รักละมุน หอมกลิ่นแก้ว (จบแล้วจ้า)
หอมกลิ่นดอกแก้วอีกแล้ว
รอยยิ้มในความฝัน ที่อบอุ่นใจ
ใครกันนะ ...

รัตติดารา หญิงสาวผู้เกิดในคืนที่ดาวส่องแสงเต็มท้องฟ้า
เธอผู้แอบรักผู้ชายคนหนึ่งฝ่ายเดียว
แต่การพบกัน เจอกันอีกครั้ง มันไม่น่าพิสมัยเสียแล้ว
เขาไม่ชอบเธอ และไล่เธอออกจากบ้านที่เธอเพิ่งจะก้าวเข้ามาอยู่ได้ไม่ถึงชั่วโมง!

นอกจากนี้ เธอยังพบกับ เทวดา ... เจ้าของกลิ่นหอมดอกแก้ว
ในบ้านหลังใหม่ที่เธอมาอาศัยอยู่อีกด้วย!!


Tags: ดอกแก้ว รัก ฝาแฝด เทวดา วิญญาณ ผี

ตอน: บทนำ - ตอนที่ 1

** ปิ่นขออนุญาตพักอีกเรื่องไว้ก่อนนะ พอดีติดขัดนิดหน่อย
เอาเรื่องใหม่ที่เขียนไปได้ส่วนหนึ่งแล้วมาลงให้ลองอ่านแทนก่อนค่ะ
จะพยายามลงทุกสองวันนะคะ ถ้าไม่ติดธุระอะไร

เป็นเรื่องราวเหนือธรรมชาตินิดหน่อยค่ะ

บทนำ

เด็กสาววัยสิบห้าปี เดินหลงอยู่ในสถานที่แปลกตา เธอหันมองไปทางไหนก็เจอแต่หมอกสีขาว หนาวและเย็นจนร่างกายผอมเล็กในชุดกระโปรงสีขาวต้องยกแขนขึ้นกอดตัวเอง

“ไม่ใช่ทางนั้น" เสียงอ่อนโยนของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น เด็กสาวหันไปมองทางต้นเสียง เพราะแสงสว่างจ้าที่สาดเข้ามาทำให้ดวงตากลมโตของเด็กสาวหรี่ลง พยายามมองผ่านแสงสว่างนั้นไป เห็นเพียงเงาจางๆของผู้ชายตัวสูง และขายาว

“มาทางนี้สิ สาวน้อย" เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง

สาวน้อยที่ว่าลังเลใจ หากเพียงชั่วอึดใจเธอก็ตัดสินใจเดินไปหาเขา ถึงเธอไม่แน่ใจ แต่อาจเพราะเธอไม่รู้ว่าเธอจะเดินไปทางไหนดี ในสถานที่ที่เธอไม่รู้จักที่นี่

เธอเดินเข้าไปใกล้เขา เห็นเพียงมือผิวขาวสะอาดยื่นฝ่าหมอกสีขาวมาตรงหน้า ได้กลิ่นละมุนของดอกแก้วหอมยามสัมผัสมือที่ใหญ่กว่า อีกครั้งที่เธอเชื่อใจเขา แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นหน้าของเขาเลยก็ตาม

“ไปเถอะ ผมจะไปส่งคุณเอง หนูเร"

เขารู้จักเธอ เด็กสาวเลิกคิ้ว และยังไม่ทันจะเงยหน้ามองเจ้าของเสียงอบอุ่นนั้นอีกครั้ง เธอก็เหมือนกับว่าถูกกระชากอย่างแรง สถานที่ที่ขาวสะอาดตาดับวูบไปทันที และเมื่อเธอลืมตาอีกครั้ง ก็พบว่าเธอเพียงแค่สลบ และฝันไปเท่านั้น ถึงอย่างนั้นกลิ่นดอกแก้วก็ยังติดจมูก ราวกับว่ามันไม่ใช่ความฝัน ...


ตอนที่ 1

“นี่ยัยประหลาด ได้ข่าวว่าจะไปกรุงเทพฯเหรอ"

นี่เป็นอีกครั้งที่มุกรินเข้ามาหาเรื่องเธอ คนโดนก่อกวนปิดนิตยสารลง อุตสาห์หนีมานั่งอ่านหนังสือในศาลาทรงห้าเหลี่ยมหลังบ้านแล้วยังจะตามมารังควานกันอีก ดวงตากลมฉายแววไม่พอใจเมื่อเธอหันมองญาติผู้พี่ที่ยืนทำหน้าโกรธเธออยู่ ราวกับว่าเธอไปกลั่นแกล้ง หรือขโมยของรักเจ้าตัวมาอย่างไรอย่างนั้น

“นี่ ยายมุก เลิกเรียกหนูเรแบบนี้สักทีเถอะ ไม่น่ารักเลย" ไม้เอก พี่ชายแท้ๆวัยสามสิบของมุกริน และเป็นญาติผู้พี่อีกคนของ หนูเร หรือ รัตติดารา เดินเข้ามาตำหนิน้องสาวเขา ใบหน้าที่เห็นกรามนูนชัดส่ายไปมาเบาๆ

“ทำไมล่ะพี่ไม้ ก็ยัยนี่ประหลาดจริงหนิ มุกไม่ได้พูดไปเองสักหน่อย คนอะไรชอบพูดคนเดียว" มุกรินยังคงยืนยันสิ่งที่เธอเรียกรัตติดารา ตั้งแต่ที่แม่ของเธอรับรัตติดารามาอยู่ด้วย มุกรินมักจะเห็นรัตติดาราพูดคนเดียวอยู่เรื่อย

“ยายมุก! ไปเลย เข้าบ้านไป" ไม้เอกออกคำสั่งเมื่อเขาปรามน้องสาวไม่สำเร็จ

“โธ่ พี่ไม้ก็ ... แต่ก็ได้ ไหนๆก็จะไม่ต้องเห็นหน้ายัยประหลาดนี่สักที ทนมาตั้งเจ็ดปี อายเขาจะตาย!” พูดจบ ร่างเล็กของมุกรินก็วิ่งตื๋อกลับไปยังบ้านไม้ทรงไทยล้านนา ปล่อยพี่ชายมองตามแล้วอดส่ายหน้าไปมาอีกครั้งไม่ได้

“อย่าไปคิดมาล่ะ หนูเร ยายมุกเป็นแบบนี้ไม่เคยเปลี่ยน อายุก็ยี่สิบสามแล้วยังทำตัวเหมือนเด็กๆ" ไม้เอกหันกลับมาปลอบโยนน้องสาวอีกคน รัตติดาราที่น่าสงสาร เสียพ่อแม่ไปพร้อมกันเมื่อเจ็ดปีก่อน แม่ของไม้เอกซึ่งเป็นพี่สาวแม่ของเธอไปรับมาอยู่ด้วยเพราะเป็นญาติที่สนิทที่สุดแล้ว เขาเรียนหมอมาเลยเข้าใจว่าที่รัตติดาราชอบพูดคนเดียวอาจจะเป็นเพราะเธอเสียพ่อแม่ไปกระทันหัน ต่อให้พ่อแม่เขาซึ่งเป็นลุงและป้าพยายามเอาใจใส่แค่ไหน การสะเทือนใจอย่างหนักก็็ต้องใช้เวลาในการรักษา ซึ่งตอนนี้รัตติดาราก็ดีขึ้นมาแล้ว ร่าเริงเป็นปกติ

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่ไม้ หนูเรชินแล้ว" รัตติดาราตอบแบบไม่ใส่ใจนัก จริงอย่างที่บอกไปนั่นหล่ะ เธอไม่สะเทือนอะไรกับคำพูดไร้สาระของมุกรินมาหลายปีแล้ว

“ก็ดีแล้ว แล้วเก็บของหมดหรือยัง" ไม้เอกถามความเป็นไปหลังจากที่เพิ่งรู้ข่าว ตัวเขาไปประชุมมาหลายวันกว่าจะรู้เรื่องจากแม่เขาว่า รัตติดาราได้งานที่กรุงเทพฯ และตัดสินใจจะไปเช่าบ้านอยู่ที่นั่น

“ค่ะ เรียบร้อยแล้วค่ะ พี่ไม้" รัตติดาราตอบพร้อมรอยยิ้มสดใส ที่ไม้เอกมองทีไรก็สบายใจทุกครั้ง เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าน้องสาวที่สามารถสร้างบรรยากาศสบายใจให้คนรอบข้างเสมอๆอย่างรัตติดาราจะยังโสดสนิท ไม่มีเพื่อนชายเลยสักคน ซึ่งเขาก็ว่าดีเหมือนกัน ยังไงเสียรัตติดาราก็เป็นน้องสาวที่เขาช่วยพ่อแม่ดูแลมาตั้งหลายปี เขาห่วงอยู่ไม่น้อยกลัวจะไปโดนผู้ชายที่ไหนหลอกเอา

“เริ่มงานวันไหนนะ" เขาถามถึงกำหนดการของน้องสาวตัวเล็ก

“อีกสองวันค่ะ แต่หนูเรต้องไปกรุงเทพฯพรุ่งนี้เตรียมตัวน่ะค่ะ หนูเรนัดคนทำสัญญาบ้านเช่าตอนขึ้นไปเซ็นสัญญาเมื่ออาทิตย์ก่อนเรียบร้อยแล้วด้วย คุณลุงช่วยจัดการให้ด้วยค่ะ พี่ไม้ หนูเรจะได้เป็นพนักงานออฟฟิศแล้วนะคะ"

“จ้า ดีใจด้วยนะ เฮ้อ! พี่คงคิดถึงเราแย่ ไม่มีเสียงแจ๋นๆพูดมากๆแล้ว" ไม้เอกคิดอย่างนั้นจริงๆ เมื่อมองหญิงสาวซึ่งตอนนี้โตจนสวยสะพรั่ง เขายังจดจำเด็กสาวตัวผอมกะหร่องที่พ่อแม่พาเข้าบ้านเมื่อเจ็ดปีก่อนได้อยู่เลย ตัวรัตติดาราสั่นเทาเหมือนลูกนกหลงทางทีเดียว

“แหม พี่ไม้ก็ใช่จะอยู่บ้านตลอดนี่คะ หนูเรก็จะได้แก้แค้นพี่ไม้บ้าง ให้คิดถึงหนูเรเสียให้เข็ด" ใบหน้ากลมเอียงเล็กน้อย หรี่ตามองกวนๆจนเรียกเสียงหัวเราะจากคนตัวสูงกว่าได้ชุดใหญ่

“แล้วนี่ บริษัทฯที่ได้ทำเนี่ย ใช่บริษัทที่ผู้ชายคนที่เราชอบทำงานอยู่ใช่ไหม" คำถามของพี่ชายทำเอาคนใจเย็นจากการหาเรื่องของพี่สาว กลายเป็นใจเต้นแรงตึกตัก หันขวับไปทางใบหน้าคมทันที

“พี่ไม้รู้ได้อย่างไรคะ!” เธอไม่คิดว่าจะมีใครรู้ว่าเธอมีเหตุผลอื่นแอบแฝงอยู่!

“นั่นไง ในมือเธอ กี่ครั้งแล้วที่อ่านเรื่องของเขา"

นิ้วหนาของพี่ชายชี้ไปทางหนังสือแมกกาซีนเล่มใหม่บนโต๊ะไม้กลางศาลาทรงห้าเหลี่ยมที่หญิงสาวปิดลงตอนโดนมุกรินก่อกวน แมกกาซีนที่มีใบหน้าชายหนุ่มหล่อเหลาเจ้าของหัวใจรัตติดาราโชว์หราอยู่บนหน้าปก

จริงๆแล้ว ไม้เอกเห็นแรกๆ ก็ไม่ได้สนใจ หากมีครั้งหนึ่งเข้าไปในห้องนอนรัตติดารา เขาพบว่ารัตติดาราที่ไม่สนใจผู้ชายคนไหนเลยนั้น มีหนังสือที่มีเรื่องราวของผู้ชายบนปกอยู่หลายเล่ม ไม่รวมกับรูปถ่ายคู่ที่ตั้งไว้บนหัวเตียงอีก ไม้เอกสงสัยเลยเอาชื่อไปค้นดูในอินเตอร์เน็ต พบว่าเป็นสถาปนิกดาวรุ่งคนใหม่ของวงการ

ใบหน้าขาวเหวอ ที่โดนจับได้ ทั้งที่เธอเก็บเงียบมาตลอดสองปี!

“ใช่ไหมล่ะ เขาทำงานที่ ตรัย กรุ๊ป นี่"

ริมฝีปากสีชมพูธรรมชาติอ้าออกอย่างไม่ทันที่เจ้าตัวรู้สึก นี่ไม้เอกรู้เยอะเกินไปแล้วนะ!

“ไม่ใช่สักหน่อย หนูเรอยากทำงานกับคุณตรัยต่างหาก เขาเป็นสถาปนิกที่เก่งมากๆเลยนะคะ บริษัทก็ดังด้วย" รัตติดารารีบปฏิเสธเสียงดัง อาการแบบนี้ ไม้เอกรู้ทันทีว่าที่เขาเดาไว้ถูกหมดเลย

“โอเค พี่จะเชื่อแบบนั้นนะ" เขายอมให้น้องสาวสักครั้งก็ได้

“ต้องเชื่อสิคะ หนูเรพูดจริงนะคะ!” รัตติดารายืนยันเสียงดังฟังชัด ก่อนที่เธอจะหลุดหัวเราะออกมา ไม่รู้จะโกหกไปทำไมในเมื่อเธอโกหกได้ไม่เก่งเลย อีกฝ่ายมองอย่างรู้ทันขนาดนี้ ทั้งคู่พูดคุยกันไปหัวเราะกันไป ก่อนที่จะต้องอยู่ไกลกัน

สายลมที่พัดเอื่อยๆอยู่ๆก็พัดแรงขึ้นจนรัตติดาราต้องเอามือรวบผมหยักศกยาวๆสีน้ำตาลอ่อนของเธอไว้ด้วยกลัวจะพันกันยุ่งเหยิง กลีบดอกแก้วโดนพัดมาตามลม เมื่อลมสงบ ดอกแก้วดอกหนึ่งร่วงลงบนหน้าปกซึ่งมีรูปศตภัทรยืนยิ้มขรึมอยู่ ราวกับว่ามีใครบางคนจับวางลงอย่างเบามือ ....

+++

รถยนต์สีดำที่ถูกดูแลอย่างดีไร้ฝุ่นเกาะจอดลงตรงหน้าล้อบบี้ แกรนด์ ไฮด์ โฮเทล แอนด์ สปา พนักงานต้อนรับหนุ่มประจำหน้าประตูรีบเข้ามาเปิดประตูรถด้านข้างคนขับให้ชายหนุ่มร่างสูงภายในลงจากรถ ยังไม่ทันที่พนักงานหนุ่มจะปิดประตูรถลงอย่างสนิท ร่างสูงผู้มาใหม่ก็เดินตรงไปยังประตูกระจกอัตโนมัติบานใหญ่แล้ว ตามด้วยชายหนุ่มอีกคนซึ่งเพิ่งลงจากรถด้านคนขับรีบก้าวเท้าตามอย่างไวว่อง เพราะความคุ้นเคยที่นี่ดี เขาจึงสามารถให้พนักงานขับรถไปเก็บแทนได้

พนักงานสาวตรงเคาน์เตอร์บริการลูกค้าเห็นหน้าแวบเดียวก็จำได้ดี รีบเข้ามาทำการต้อนรับทันที

“คุณศตภัทร"

ศตภัทร ลูกชายคนกลางของรองประธานกรรมการบริหาร เจ้านายอีกคนของเธอเอง

“คุณศิระอยู่ไหม"
น้ำเสียงขรึมถามห้วนๆ ดวงตาโตมีแววไม่พอใจชัดเสียจนคนถูกถามรีบตอบน้ำเสียงสั่น

“อยู่ด้านบนค่ะ"

สิ้นเสียงหวานจากพนักงานสาว คนฟังก็เดินตรงไปยังโถงลิฟท์ด้านในซึ่งเป็นสำนักงาน คนเดินตามหลังหันมองส่งสายตาเห็นใจพนักงานสาวที่โดนลูกหลงจากเพื่อนร่วมงานของเขา

กณิกก้าวมายืนข้างๆศตภัทร เพื่อรอลิฟท์ขึ้นไปห้องผู้บริหารด้านบน เหลือบมองคนตัวสูงระดับเดียวกันข้างๆแล้วก็นึกไม่ออกว่าต่อจากนี้จะมีสงครามเกิดขึ้นไหม

เมื่ออยู่ๆ ศตภัทรที่เพิ่งเลิกประชุมงานกับลูกค้า ก็ได้รับรู้เรื่องจาก ศรุตา น้องสาวต่างแม่ที่ว่า ศิระ พ่อของเขาปล่อยบ้านเก่าให้คนอื่นเช่า ซึ่งเป็นบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย กณิกรู้ดีว่าเพื่อนเขาหวงบ้านหลังนั้นมาก ขนาดไปอยู่ต่างประเทศยังจ้างให้คนเข้าไปทำความสะอาด ดูแลต้นไม้อย่างดี อย่าว่าแต่ศตภัทรเลยที่ไม่เข้าใจ กณิกเองก็คลางแคลงในการตัดสินใจของศิระเหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆถึงได้กล้าปล่อยบ้านสำคัญที่หวงแหนขนาดนั้นให้คนอื่น ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้เช่า

“ภัทร ใจเย็นๆนะ" กณิกพยายามใช้เสียงเย็นๆลูบปลอบคนใจร้อน แต่ดูเหมือนลูกไฟในอกอีกฝ่ายจะใหญ่เกินไป ขณะที่ทั้งคู่ก้าวเท้าเข้าไปในลิฟท์

“ถ้านายเป็นฉัน นายคงเย็นไม่ไหวหรอกนิค" น้ำเสียงห้วนยังคงเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว คนฟังลอบถอนหายใจเบาๆ ไม่นานลิฟท์ก็พาพวกเขามาถึงชั้นผู้บริหารระดับสูง

“อ้าว คุณศตภัทร มาหาท่านรองฯศิระหรือคะ"

ผู้หญิงวัยห้าสิบห้าซึ่งเพิ่งเดินมาจากทางห้องทำงานของศิระ เห็นศตภัทรเดินสวนมาจึงถามขึ้น ค่อนข้างประหลาดใจที่ศตภัทรมาหาพ่อถึงที่ทำงานนี่ ได้ข่าวว่าเจอกันทีไรทะเลาะกันห้องแตกทุกที!

“สวัสดีครับคุณป้าวิไล พ่ออยู่ไหมครับ"

แม้จะโกรธคนในห้องแค่ไหน แต่กับคนอื่นซึ่งอาวุโสกว่า ศตภัทรต้องปรับโทนเสียงให้ดูอ่อนน้อมต่ออีกฝ่าย ยิ่งคุณวิไลคนนี้ทำงานร่วมกับพ่อเขาด้วย ถึงเขากับพ่อจะมีเรื่องราวค้างคามาสิบห้าปี แต่เขาก็ไม่อยากให้พ่อต้องโดนใครตำหนิเพราะกริยามารยาทลูกเลวๆอย่างเขา เพิ่มเรื่องให้รู้สึกแย่กันกว่าเก่าอีกเรื่อง

“อยู่ค่ะ ป้าเพิ่งคุยกับท่านรองฯเสร็จเอง" เธอตอบเขา ใบหน้ามีริ้วรอยผ่านโลกมาห้าสิบห้าปียังไม่คลายความแปลกใจ

“งั้นผมขอไปพบท่านก่อนนะครับ สวัสดีครับ" ชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าพนมมือไหว้ลา ไม่ลืมค้อมหลังเมื่อเดินผ่านผู้ใหญ่กว่า กณิกทำตามอีกฝ่ายทั้งพนมมือไหว้เคารพ และค้อมหลังเดินตาม

“คุณภัทร" เลขานุการสาวอายุอ่อนกว่าศตภัทรยืนขึ้น ตกใจไม่ต่างกับวิไลเมื่อเห็นเจ้าของร่างสูงเดินมาแต่ไกล อีกฝ่ายแทบไม่มองหน้าเลขานุการสาวเลย ผลักประตูไม้สีเข้มเข้าไปด้านใน หญิงสาวผู้รักษาการหน้าประตูเมื่อถูกทำให้เหมือนกับเธอทำผิดต่อหน้าที่รีบวิ่งตามร่างสูงเข้าไปด้านในทันที

“คุณภัทรคะ! เดี๋ยวก่อนค่ะ!”

และเมื่อเลขานุการสาวตามมาทัน หยุดนิ่งท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด ระหว่างกายสูงของลูกชายซึ่งยืนประจันหน้ากับบิดาที่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ ตอนนี้เขาเงยหน้าตอบโต้แววตากลับไปยังอีกฝ่ายอย่างไม่มีใครยอมใคร

“ไม่เป็นไรครับ คุณก้อย ไปทำงานต่อเถอะ"

ศิระโบกมือเบาๆให้เลขานุการสาววัยลูก คนฟังจึงรีบหันหลังเดินกลับออกไปนอกประตู ในห้องจึงเหลือเพียง ศิระ ศตภัทร และผู้สังเกตการณ์ที่พร้อมห้ามศึกอย่างกณิก

“พ่อให้คนเช่าบ้านต้นแก้ว!” ศตภัทรตรงเข้าประเด็นทันที ไม่อย่างนั้นเขาไม่มาที่ทำงานของศิระหรอก!

“แล้วทำไม บ้านนั้นเป็นของแม่ของแก แล้วแม่แกก็อนุญาตแล้ว" ศิระตอบอย่างไม่ใส่ใจ ก้มหน้าเซ็นเอกสารบนโต๊ะอย่างใจเย็น

เห็นท่าทางแบบนั้นศตภัทรที่ตอนนี้เหมือนไฟถูกน้ำมันสาดเพิ่ม ก้าวเท้าตรงไปหน้าโต๊ะทำงานบิดา กณิกตกใจจะยื่นมือมาดึงแขนเพื่อนร่วมงานหากไม่ทัน ศตภัทรไปยืนอยู่ห่างโต๊ะศิระไม่ถึงคืบ!

“พ่อบอกแม่นี่ว่าพ่ออยากให้คนเช่า แม่เชื่อที่พ่อพูดเสมออยู่แล้ว" ศตภัทรรู้จักนิสัยทั้งพ่อเขา และแม่ของเขาดี มาธวี มารดาของเขาใจดีที่สุด และศิระ ก็เอาแต่ใจเป็นที่สุดเหมือนกัน!

“แล้วไง บ้านปล่อยไว้เฉยๆมันก็เก่า ให้คนเช่าก็ดีแล้ว" ศิระยังคงไม่เห็นว่าทำไมศตภัทรจะต้องโมโหถึงขนาดมาหาเขาถึงที่ ปกติแทบจะเอาคนไปลาก ยังไม่ยอมมาเลย

“ก็บ้านนั้น พ่อก็รู้ว่าสำคัญกับผมมากแค่ไหน พ่อทำแบบนี้เพราะพ่อต้องการจะยั่วผมใช่ไหม"

ศตภัทรพยายามนึกหาเหตุผลมากมาย ก็หนีไม่พ้นสงครามประสาทที่ศิระชอบเอามาเล่นกับเขา รู้ทั้งรู้ว่าเขารักบ้านต้นแก้วมากแค่ไหน มันเป็นบ้านที่มีความทรงจำของเขามากมาย จะว่าเขาหวงของเหมือนเด็กไม่โตก็ได้นะ เขายอมรับ!

“ยั่ว? นี่ฉันไม่ว่างขนาดมาคิดหาแผนการเหมือนเด็กเล่นกันหรอกนะ แกเองก็เถอะ ว่างขนาดมาถามฉันถึงที่เพราะเรื่องนี้ พี่ตรัยคงให้งานแกน้อยไปสินะ" ศิระส่ายหัวไปมา

“ยกเลิกซะเถอะพ่อ ผมซีเรียสนะ ผมไม่อยากให้ใครมาอยู่ที่ที่ ...” คำพูดกลืนหายไปในดวงตาคมโตที่เศร้าสร้อย นับตั้งแต่เกิดเรื่องราวเมื่อสิบห้าปีก่อน เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะกล้าขอร้องบิดาอะไรอีก เมื่อเขาถูกบิดาเกลียดเข้าไส้ขนาดไล่ออกจากบ้านเพราะความผิดที่เขาได้ก่อขึ้นนั้นมันช่างเป็นเรื่องที่ยกโทษให้ไม่ได้เลย และเขาก็ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ มีแต่ความผิดที่เกาะกินใจเขาอยู่ทุกวัน

“ทำสัญญาไปแล้ว" ศิระก้มหน้าเซ็นเอกสารบนโต๊ะต่อ หมายความตามที่ว่า ไม่มีทางยกเลิก

“ยกเลิกสัญญาไปสิ เงินมัดจำก็คืนให้เขาไป หรือต้องการได้ค่าเสียเวลาอะไร ผมจัดการให้เองก็ได้" ศตภัทรยังไม่ยอมตัดใจง่ายๆ

“ทำไม แกกลัวว่าเรื่องของพี่ชายแกจะหายไปงั้นหรือ แกรู้ไว้เลย เรื่องของศตายุไมได้อยู่ที่บ้านต้นแก้ว แต่นี่ อยู่ในหัวใจของฉัน" ศิระจิ้มเข้าที่อกตัวเอง น้ำเสียงเย็นๆเมื่อครู่หายไปกลายเป็นน้ำเสียงสั่นที่กลั้นความเสียใจที่ซ่อนอยู่ในร่างกายท้วมสูงของเขา การสูญเสียลูกชายไปหนึ่งคน เขาไม่มีทางลืมได้ลงหรอก!

“แกก็เหมือนกัน เลิกยึดติดได้แล้ว อะไรๆมันก็คืนมาไมไ่ด้แล้ว ใช้ชีวิตแกไปซะ" ศิระพูดจริงจัง

“ยังไงผมก็จะไล่คนนั้นออกจากบ้านให้ได้คอยดูสิ!” ศตภัทรยืนกราน ใช่ว่าเขาจะไม่มี ศตายุ ในใจ เขามีอยู่แทบทุกจังหวะการเต้นของหัวใจของเขา เขาเจ็บ เศร้า เสียใจ รู้สึกผิดแทบทุกลมหายใจเข้าออกกับอีกคนที่เกิดมาพร้อมกัน แต่ว่า เขาก็ทำใจไมไ่ด้ถ้าบ้านจะต้องมีใครเข้าไปเหยียบย่ำและใช้ชีวิตอยู่

สิ้นคำประกาศก้อง ร่างกายสูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบสองเซนติเมตรก็หันหลัง กระชากประตูเดินออกไป ศิระมองตามศตภัทร บุตรชายที่มีใบหน้าเค้าเดียวกับเขา สีผิวเข้มเล็กน้อย ความสูง ก็ได้ไปจากเขา หากกลับเป็นลูกชายที่เขาไม่เคยจะลงรอยด้วยดีสักครั้ง ยิ่งหลังจากเสียศตายุไปความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลูกก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ

หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาคงจะคิดให้มาก ก่อนที่จะพูดทุกอย่างออกไป

แต่เพราะเวลามันย้อนไปไม่ได้ และเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนนิสัย ทิฐิ ที่มี เขาจึงต้องทนดูแลอีกฝ่ายห่างๆแบบนี้

ศิระหวังว่าสักวัน ศตภัทรจะปล่อยวางการโทษตัวเองลง แล้วยอมใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แม้ศิระจะต้องทะเลาะกับศตภัทรทุกเช้าเย็น เขาก็ยอม

“พ่อคะ" หญิงสาวตัวเล็กผิดกับศิระซึ่งเป็นบิดาโผล่เข้ามาในห้อง ด้วยใบหน้าตื่นๆ

“ทะเลาะอีกแล้วเหรอคะ ลูกศรได้ยินดังไปถึงลิฟท์เลย เดินสวนกับพี่บีเมี่อกี้ทำหน้าตาน่ากลัวมากเลยค่ะ" ศรุตาเล่าให้บิดาฟังถึงสีหน้าพี่ชายต่างมารดา โผล่มาทีไรก็มีแต่เรื่องทะเลาะกันอยู่เรื่อย

ศิระยังไม่หายเหนื่อยใจเรื่องเมื่อครู่ จึงทำได้แค่เพียงพยักหน้าตอบกลับศรุตาเงียบๆ

+++

รถแทกซี่สีเหลืองสดใสจอดลงข้างกำแพงรั้วสีขาวสะอาดตา มีร่มไม้ของต้นไม้สูงคอยบังแดดให้ตอนหญิงสาวในชุดเอี๊ยมยีนส์ก้าวลงจากรถ โดยไม่ลืมสะพายกระเป๋าใส่โน้ตบุ๊คไว้บนไหล่ โซเฟอร์ยังใจดีช่วยเธอหอบกระเป๋าเดินทางล้อลากลงจากรถให้อีกด้วย

รัตติดาราก้าวเท้าจากจุดที่แทกซี่เพิ่งจะออกตัวไปมายืนหน้าประตูรั้วบ้าน สายลมพัดผ่านตัวเธอไป กิ่งและใบไม้รอบๆตัวโบกไหว ส่งเสียงซ่าเบาๆ ราวกับส่งเสียงต้อนรับผู้มาใหม่อย่างเธอ

“กลิ่นดอกแก้ว" หญิงสาวสูดดมกลิ่นที่ลอยมาจากพุ่มต้นแก้วกลางสนามหญ้าข้างบ้านที่เธอทำสัญญาเช่าเอาไว้ หญิงสาวหวนนึกถึงเรื่องราวแปลกๆก็ยังแคลงใจอยู่ไม่หาย

วันที่เธอมาสัมภาษณ์งาน และฟังผลครั้งสุดท้ายว่าผ่าน รวมถึงเซ็นสัญญาเริ่มงานนั้น เธอได้พบกับผู้ชายวัยพ่อคนหนึ่งตอนที่เธอแวะไปนั่งเล่นในสวนสาธารณะข้างโรงแรมที่เธอมาพักกับคุณลุง ยามเช้าวันนั้น คุณลุงบอกนานๆมากรุงเทพฯที เลยอยากรวมตัวพบปะกับเพื่อนที่อยู่กรุงเทพฯ เธอจึงมาเดินเล่นรอเพื่อตอนบ่ายจะได้กลับเชียงใหม่กัน เพราะเธอจองตั๋วเครื่องบินรอบหัวค่ำเอาไว้แล้ว จริงสิ ถ้าอยู่ที่นี่เธอคงต้องหาที่พักด้วยสินะ ... หาที่ไหนดีนะ

“อุ๊ย คุณลุงไหวไหมคะ"

เธอตกใจหลุดออกจากความคิด เมื่ออยู่ๆคุณลุงตัวสูง ผิวสีเข้ม ออกท้วมๆ ลงพุงคนหนึ่งในเสื้อโปโลสีขาว กางเกงวอร์มขายาวสีดำ ทรุดลงนั่งกับพื้นคอนกรีตแถวๆที่เธอนั่งเล่นอยู่

“ตาลายน่ะหนู คนแก่ก็อย่างนี้แหละ ขอบใจนะ" เขาพยายามดันตัวลุกขึ้น โดยที่รัตติดาราช่วยพยุงด้วย

“มานั่งตรงนี้ก่อนนะคะคุณลุง หนูมีพกยาดมมาด้วย นี่ค่ะ" หญิงสาวส่งยาดมอันเล็กๆสีขาวให้คุณลุง ก่อนที่เธอจะนั่งลงข้างๆ ถอดหมวกที่เธอสวมมาพัดวีให้

“ขอบใจมากนะ หนูนี่ใจดีจริงๆ เดี๋ยวนี้คนเขาไม่ค่อยสนใจกันหรอก" คนอายุแก่กว่าเล่าให้ฟังพลางถอนใจ

“คนกรุงเทพฯเป็นแบบนั้นหรือคะคุณลุง" หญิงสาวจากต่างจังหวัดถามอย่างซื่อๆ คนฟังยิ้มหัวเราะเอ็นดูคนถามเหลือเกิน

“แบบนั้นแหละ ต่างคนต่างรีบ แข่งกันน่าดู ขนาดไม่มีเวลาให้ครอบครัวเลยล่ะ" คุณลุงเล่า น้ำเสียงเศร้าราวกับว่าเป็นเรื่องที่ตัวเองประสบมา

“เพราะพวกเขาไม่เคยคิดว่าจะวันหนึ่งจะเสียครอบครัวไปสินะคะ เลยไม่ให้ความสำคัญ" คำพูดของหญิงสาวอ่อนวัยกว่าข้างๆทำให้คนฟังสะอึกไปทั้งใจ

“หนูมีเวลาอยู่กับครอบครัวแค่สิบห้าปีเองค่ะ ถ้าหนูเจอคนพวกนั้น หนูจะบอกเขาให้มอบเวลาให้คนในครอบครัวเยอะๆก่อนที่จะต้องจากกันไปแบบหนู"

“อย่างนั้นหรือ ลุงเองก็มีเวลาอยู่กับลูกแค่สิบเจ็ดปีเหมือนกัน ลุงเองก็ให้เวลากับพวกเขาน้อยเกินไป" ชายร่างท้วมเล่าน้ำเสียงเบาหมดแรง สะท้อนใจเหลือเกิน

“พวกเขาเสียแล้วหรือคะ" รัตติดาราถามอย่างไม่รู้ คิดว่าเขาอาจจะเหมือนกับเธอ

คนถูกถามส่ายหน้าช้าๆ
“เสียไปคนหนึ่ง แต่อีกคนมีก็เหมือนไม่มี"

แววตาเศร้าๆของคนอายุมากกว่า ผมของเขาขาวประปราย ร่างกายก็เหมือนจะอ่อนล้าตามวัยที่มากขึ้นด้วยนั้นทำให้คนมองสงสารจับใจ

“จริงสิ หนูมาจากไหนหรือ ไม่ใช่คนกรุงเทพฯใช่ไหม" คุณลุงหันมาถาม รัตติดารายิ้มให้ทั้งดวงตา

“เชียงใหม่ค่ะ หนูพักอยู่โรงแรมข้างๆนี่เองค่ะ" ใบหน้ากลมบุ้ยไบ้ไปทางตึกสูงๆข้างสวนสาธารณะ คุณลุงร่างท้วมมองตามยิ้มอย่างมีความหมาย

“มาเที่ยวหรือ" ถามต่ออีก

“มาสัมภาษณ์งานค่ะ ผ่านแล้วด้วยค่ะ คุณลุงพอจะทราบไหมคะว่าถ้าจะหาเช่าบ้านจะหาได้จากที่ไหน" รัตติดาราที่นึกค้างเรื่องนี้อยู่ก่อนที่จะเข้ามาช่วยลองถามกับคนสูงวัยกว่าดู

“เอ ปกติเขาก็หาทางอินเตอร์เน็ตกันนะ ลุงเองก็ไม่รู้หรอก" คนแก่กว่าพยายามนึกเท่าที่นึกออก แต่เขาตามยุคสมัยไม่ทันจริงๆ อีกอย่างส่วนใหญ่เขาจะให้คนอื่นทำแทนเสียด้วยสิ

ขณะที่ทั้งคู่เงียบไปนั้น สายลมพัดผ่านทั้งคู่ไป ดอกแก้วปลิวมาจากไหนสักที่มาร่วงลงบนมือหนาของคนมากอายุกว่า ดวงตาคมที่มีริ้วรอยแห่งอายุก้มมองก่อนที่เขาจะนึกบางอย่างออก
“ลุงรู้จักบ้านให้เช่านะ หนูสนใจไหม"

รอยยิ้มดีใจผุดขึ้นบนริมฝีปากสีชมพูสดใส ใบหน้ากลมขาวระเรื่อแดงเมื่อได้ยิน

“จริงหรือคะ ว่าแต่ ไกลมากไหมคะ หนูไม่ได้ขับรถน่ะค่ะ แถมบริษัทอยู่แถวรถไฟฟ้าอีก" เธอตั้งใจจะหาเป็นคอนโดมิเนียม หรืออพาทเมนท์ริมทางสถานีรถไฟฟ้ามากกว่า

“ไม่ไกลหรอก ใกล้ๆนี่เอง แต่มันอยู่ในซอยต้องเดินหน่อยนึง เดี๋ยวนะ"

รัตติดารามองคุณลุงที่หยิบกระดาษเล็กๆออกมาจากกระเป๋าคาดเอว พร้อมปากกาสีเงินวาววับ จดขยุกขยิกไม่นานก็ยื่นมันส่งให้เธอ

“โทรฯไปเบอร์นี้นะ คนดูแลเขาชื่อ ดล เขาจะบอกรายละเอียดหนูเอง จริงสิ หนูชื่ออะไรจ๊ะ ลุงจะได้บอกคนติดต่อไว้ให้ก่อน" คนถามน้ำเสียงใจดี

“หนูชื่อ รัตติดารา ค่ะ ใครๆก็เรียกกันว่าหนูเร" เธอแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้ม

“... หนูเร ... ลุงจะจำไว้นะ ถ้าคนติดต่อถามชื่อลุง ก็บอกว่าติดต่อมาจาก คุณศิระ เขาจะเข้าใจเรื่องราวเอง" เขาไม่ลืมแนะนำตัวเองให้หญิงสาวด้วย

รัตติดารารับกระดาษแผ่นเล็กมา เธอเห็นว่ามันไม่เสียหายถ้าจะลองโทรศัพท์สอบถามดู พบว่าบ้านหลังนั้นอยู่ในทำเลที่ดีมาก และเมื่อสอบถามราคาก็พบว่ามันไม่แพงเลย ขนาดที่ไปดูบ้านกับลุง ลุงของเธอยังอดชมไม่ได้ว่าบ้านหลังนี้สวยเกินราคาเช่าจริงๆ และตัดสินใจเช่าบ้านหลังนี้ทันที

ที่รัตติดาราติดใจ ก็คือ พุ่มต้นแก้วสูงระหลังคาชั้นหนึ่งของบ้าน กลิ่นของมันช่างให้ความรู้สึกคุ้นเคย สบายใจอย่างประหลาด

รัตติดาราหยิบกุญแจที่ผู้ดูแลบ้านให้เธอมาตอนที่ทำสัญญาไว้วันนั้น ไขประตูรั้ว ผลักเขาๆก่อนจะปิดแล้วล็อคมันอีกครั้ง หญิงสาวลากกระเป๋าเดินทางใบโตเข้าไปด้านในบ้านที่เย็นสบาย ให้ความรู้สึกสงบ และน่าอยู่

หญิงสาวเดินสำรวจภายในบ้านอีกครั้ง คุณดล คนดูแลวัยห้าสิบกว่าบอกว่าให้คนมาทำความสะอาด เปลี่ยนผ้าม่าน และจัดการเรื่องอินเตอร์เน็ตให้เรียบร้อยแล้ว รัตติดารามาหยุดอยู่กลางห้องรับแขกส่วนของหน้าบ้าน ทันใดนั้นเองหญิงสาวกลับรู้สึกประหลาดๆ เป็นความประหลาดที่คุ้นเคย ขนบนแขนพร้อมใจกันลุกพรึ่บพร้อมกับได้กลิ่นหอมของดอกแก้วฉุนมาจากเบื้องหลัง จนรัตติดาราต้องหันหลังกลับไปมอง ดวงตากลมที่โตอยู่แล้วยิ่งเบิกโตขึ้นไปอีก เมื่อเธอเห็นใครบางคนยืนอยู่ในแสงสีขาวท่ามกลางความมืดภายในบ้านที่ยังไมไ่ด้เปิดหน้าต่างรับแสงแดดด้านนอก

“สวัสดี ในที่สุดคุณก็เห็นผมแล้วสินะ" เสียงทุ้มต่ำอ่อนโยนดังจากร่างสูงในแสงสีขาว ราวกับมีดวงดาวอยู่รอบๆร่างนั้นส่องแสงระยิบระยับวับวาวน่าอัศจรรย์ใจ รัตติดาราเจอสิ่งลึกลับมามาก เธอไม่กลัวเท่าไหร่ แต่ที่ตกใจเพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เธอคิดว่า เป็นสิ่งลึกลับที่สวยงามที่สุดที่เคยเห็นมา!

“คุณเป็นใคร ทำไม?" หญิงสาวเอ่ยถาม ใบหน้ายังไม่หายช็อคจากสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า

และเมื่อร่างสูงก้าวออกจากแสงสีขาว โดยที่ยังพาแสงดาวระยิบระยับมาด้วย เขาตรงเข้ามาใกล้ กลิ่นดอกแก้วไม่ฉุนเท่าเดิมกลับส่งกลิ่นหอมชวนฝันน่าเคลิบเคลิ่ม รัตติดารายิ่งตาโตกว่าเก่า ไม่ใช่เพราะความงดงามที่รายล้อมร่างสูงโปร่ง แต่เป็นเพราะใบหน้าของเขานั้นช่างเหมือนกับคนคนหนึ่งที่เธอมอบหัวใจให้เขาไปเมื่อสองปีก่อนแล้ว

หรือว่า .... เธอมาช้าไป!!

ยังไม่ทันหายตกใจสองเรื่องซ้อน รัตติดาราก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงประตูรั้วบ้านถูกเหวี่ยงออกเสียงดังแอ๊ด เธอละสายตาจากสิ่งสวยงามหันไปมอง พบว่ามีชายหนุ่มอีกคนเดินผ่านประตูบ้านซึ่งเธอเปิดค้างไว้เข้ามา ถ้าดวงตากลมโตได้กว่าเดิมสองสามเท่า เธอคงทำมันไปแล้วเมื่อเธอเห็นว่า ชายหนุ่มร่างสูงที่อยู่ๆโผล่มาอีกคนนั้น คือ ศตภัทร!

คนมาใหม่น่ะใช่แน่ๆ ศตภัทร พิพัฒนธนากุล เธอสามารถเอาความรักที่เธอมีให้เขามาสองปีมารับประกันเลยว่าเธอมองไม่ผิดแน่ๆ!!

“เธอ เป็นคนมาเช่าบ้านนี้ใช่ไหม" เสียงห้าว ถามขึ้นห้วนๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่ได้ใจเธอไปครองตั้งแต่แรกเห็นดูไม่พอใจเธอเท่าไหร่ ทั้งๆที่เธอมั่นใจว่านอกจากเคยไปขอให้เขาถ่ายรูปคู่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว เธอไม่เคยไปเหยียบเท้า หรือตบหัวเขามาก่อนแน่ๆ

“คะ?”

ความงุนงงไม่ทันหาย เขาก็พูดต่อน้ำเสียงเข้ม ไม่มีความเป็นมิตรให้แม้แต่น้อย
“ย้ายออกไปซะ สัญญาเช่าคุณต้องถูกยกเลิก!”

“หา!?” รัตติดาราตกใจมากกว่าเดิม ถ้าเธอเป็นโรคหัวใจ เธอคงหัวใจวายไปแล้วกับเรื่องที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันนี้

นี่มันอะไรกันเนี่ย!?


+ จบตอน +



ปิ่นนลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 มี.ค. 2558, 18:14:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 มี.ค. 2558, 18:54:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 2488





   ตอนที่ 2 >>
Zephyr 22 มี.ค. 2558, 01:25:35 น.
นายออกตัวแรงนะ ศตภัทร
กึกึ พี่ชายยังร่อนเร่อยู่ในบ้านสินะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account