รักละมุน หอมกลิ่นแก้ว (จบแล้วจ้า)
หอมกลิ่นดอกแก้วอีกแล้ว
รอยยิ้มในความฝัน ที่อบอุ่นใจ
ใครกันนะ ...

รัตติดารา หญิงสาวผู้เกิดในคืนที่ดาวส่องแสงเต็มท้องฟ้า
เธอผู้แอบรักผู้ชายคนหนึ่งฝ่ายเดียว
แต่การพบกัน เจอกันอีกครั้ง มันไม่น่าพิสมัยเสียแล้ว
เขาไม่ชอบเธอ และไล่เธอออกจากบ้านที่เธอเพิ่งจะก้าวเข้ามาอยู่ได้ไม่ถึงชั่วโมง!

นอกจากนี้ เธอยังพบกับ เทวดา ... เจ้าของกลิ่นหอมดอกแก้ว
ในบ้านหลังใหม่ที่เธอมาอาศัยอยู่อีกด้วย!!


Tags: ดอกแก้ว รัก ฝาแฝด เทวดา วิญญาณ ผี

ตอน: ตอนที่ 2

ตอนที่ 2

“ย้ายออกไปซะ สัญญาเช่าคุณต้องถูกยกเลิก"
ศตภัทรไม่นึกถึงมารยาทที่ควรทักทายกันก่อนแม้แต่สักนิด เขารีบขับรถมายังบ้านหลังนี้ ก่อนที่บ้านของเขาจะถูกใครก็ไม่รู้เข้ามาอยู่ ไม่เหยียบย่ำความทรงจำดีๆของเขา

“เฮ้ย ไอ้ภัทร เบาๆ" กณิกที่เดินตามเข้ามาพยายามเตือนเพื่อนสนิท หาได้เรื่องไม่ เมื่อคนฟังหูดับเพราะความโกรธ ไม่ได้ยินที่เขาเตือนหรอก

“หมายความว่าไงคะ ย้ายออก? คุณเป็นเจ้าของบ้านนี้หรือคะ" รัตติดาราถามอย่างสงสัย งุนงงไปหมด

“ไม่ใช่สักหน่อย บ้านนี้ไม่ใช่ของเขา อย่าไปฟัง" เสียงต่ำจากร่างสูงที่สวมสูทสีขาว ใบหน้าเหมือนกับศตภัทรแย่งตอบกลับมา รัตติดาราหันขวับไปทาง อะไรที่ไม่ใช่คน สอดปากขึ้น

“เงียบน่า!” หลุดปากสั่งไปด้วยความเคยชิน

“อะไรกัน ถามคนอื่นแล้วมาสั่งให้คนอื่นเงียบ" ศตภัทรมองหญิงสาวด้วยแววตาตำหนิ

“ฉันไม่ได้ว่าคุณ" เธอรีบหันกลับมาปฏิเสธ ลืมตัวไปว่ามีเพียงเธอที่ได้ยินเสียงของร่างสูงชุดขาวเท่านั้น
“แล้วฉันก็ไม่ยกเลิกสัญญาด้วย" เธอเชิดหน้าตอบอีกฝ่าย เรื่องอะไรกัน เธอชอบบ้านหลังนี้ และเธอก็ทำถูกต้องตามสัญญาที่ลงไว้

“ว่าไงนะ โดนไล่แล้วยังจะอยากอยู่อีกเหรอ" ร่างกายสูงก้าวเท้าเข้าหา คนตัวเล็กกว่าพยายามไม่ก้าวถอย ในเมื่อเธอไม่ผิดอะไรทำไมจะต้องกลัว ให้มันรู้ไปสิว่าผู้ชายแมนๆคนนี้จะรังแกผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอได้ลง!

และถ้าเป็นแบบนั้น เธอคงเสียดายความรู้สึกปลาบปลื้มจนพยายามทำเกรดการเรียนให้ดีจนสามารถสมัครทำงานที่บริษัทสถาปนิกใหญ่โตอย่าง ตรัย กรุ๊ป ได้

“ก็คนที่ดูแลบ้านนี้เขาให้ฉันอยู่นี่ คุณเองก็ไม่ใช่เจ้าบ้านไม่ใช่เหรอไง" แม้รัตติดาราจะสั่งให้ร่างสูงในชุดสีขาวเงียบไป แต่ข้อมูลนี้ก็ทำให้เธอเอามาแย้งคนตัวสูงได้ เขาชะงักไปเลย แสดงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง

ศตภัทรยังไม่ใช่เจ้าของบ้านทางนิตินัยจริงๆนั่นแหละ บ้านนี้เป็นชื่อของแม่ของเขา หลังจากแม่หย่ากับพ่อก็พาเขาและพี่ชายมาอยู่ที่นี่ แต่เขาก็น่าจะมีสิทธิ์ตัดสินใจบ้างไม่ใช่หรือ

“ถ้าผมเอาชื่อเจ้าบ้านมาไล่คุณ คุณจะยอมไปใช่ไหม ได้เลย" เขาหยิบโทรศัพท์มือถืออกมาเตรียมจะกด กณิกยกมือขึ้นรั้งศตภัทรไว้

“นายจะบ้าเหรอ นี่มันตีสามที่นู่นนะ" กณิกแย้ง ศตภัทรถอนหายใจอย่างหงุดหงิด จริงสิ ที่ที่มารดาเขาอยู่นั้นอยู่อีกฝั่งของโลกเลยนี่นา

“ถ้าเราหาบ้านใหม่ให้คุณ คุณจะยอมย้ายไหมครับ" กณิกหันไปถามหญิงสาว

“ก็ต้องดูก่อนค่ะ ถ้ามันไกล และไม่สะดวก ฉันก็ไม่อยากย้าย อีกอย่างฉันก็ทำถูกต้องทุกอย่าง คุณไม่คิดว่ามันไม่แฟร์สำหรับฉันหรือคะ คุณกณิก" รัตติดารารู้จักคนพูดดี ในเมื่อเขาเป็นคนสัมภาษณ์เธอเอง และดูเหมือนเขาจะเพิ่งนึกออกเช่นกัน

“อ๊ะ ผมจำคุณได้แล้ว คุณรัตติดารา เด็กใหม่ที่จะเข้ามาทำงานทีมเรา" ก่อนจะหันไปแนะนำให้ศตภัทรรู้จัก

“ฝากหาบ้านที นิค ระหว่างรอที่หาบ้านใหม่ได้ ผมจะหาที่พักให้คุณใหม่ ที่ไม่ใช่บ้านนี้" เขาไม่รอฟังคำตอบจากหญิงสาว ไม่สนด้วยว่าเธอเป็นพนักงานใหม่ของตรัยกรุ๊ป และไม่สนว่าเธอคือเด็กร่วมทีมคนใหม่ของเขา มันคนละเรื่องกับบ้าน!

ศตภัทรกดหาพ่อของเขาทันที ไม่นานศิระก็กดรับสาย

“พ่อ ผมอยากได้ห้องพักโรงแรม"

“ไม่มี เต็มหมด" ในสายตาตอบแบบเหมือนไม่คิด ทำให้คนฟังดวงตากระตุก

“เดี๋ยวสิพ่อ โรงแรมตั้งใหญ่ ห้องว่างสักห้องก็ไม่มีเลยหรือไง" เขาไม่เชื่อ!

“แกคิดว่าโรงแรมที่ฉันทำมันกระจอก แต่ความจริงห้องที่นี่เต็มตลอดปี แค่นี้นะ!” ศิระตัดสายหลังพูดจบ ศตภัทรขมวดคิ้วขัดใจคนในสายเหลือเกิน รู้ว่าศิระไม่อยากช่วยอะไรเขา แต่อย่างน้อยก็น่าจะพยายามช่วยสักนิดสิ!

“บ้านที่ฉันรู้จักก็ไม่มีว่างว่ะ" กณิกเพิ่งวางสายจากการโทรฯถามไถ่คนรู้จัก จะมีก็ไกลและไม่สะดวกแน่ๆสำหรับผู้หญิงคนนี้

“เมื่อกี้แกบอกว่า ผู้หญิงคนนี้ทำงานที่ตรัย ใช่ไหม" ศตภัทรหันไปถามเพื่อนสนิท กณิกพยักหน้าตอบ รอยยิ้มมีเลศนัยผุดบนใบหน้าหล่อเหลาผิวสีเข้ม เขาย่างเท้าเข้ามาใกล้และคราวนี้รัตติดาราก็ไม่คิดจะถอยหนี เธอยังคงเชิดหน้ามองอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้

“ถ้าผมไม่ให้คุณผ่านฯการทำงาน คุณก็ต้องออกจากบ้านนี้ไปอยู่ดีใช่ไหม" คำพูดที่เหมือนไม่ใช่ศตภัทรที่จะพูดออกมาได้ทำให้ทั้งกณิกและรัตติดารา รวมถึงร่างในสูทสีขาวเบิกตาโต

“เฮ้ย ไอ้ภัทร แยกแยะหน่อยสิวะ" กณิกไม่เห็นด้วยเลย

“ถ้าคุณศตภัทรแยกแยะไม่ได้ ไม่ต้องรอให้ถึงวันประเมินฉันก็ไม่อยากทำงานร่วมกับหัวหน้านิสัยเด็กหวงของแบบนี้ ฉันพร้อมจะบายเองล่ะค่ะ แต่ฉันเองก็ไม่ใช่พวกเหลาะแหละ จะให้คุณเชือดง่ายๆด้วย"

เธอเชิดหน้าตอบ เรื่องอะไรที่จะยอมแพ้ง่ายๆกับเรื่องไร้เหตุผลแบบนี้ เพราะเขาเองนั่นแหละที่หาเรื่องให้เธอสู้กลับก่อน ไม่ว่าด้วยบ้านหลังนี้สำคัญกับเขาแค่ไหน เขาก็ไม่ควรมองเธอเหมือนผู้ร้าย เหมือนขโมยที่เตรียมจะขโมยบ้านไปจากเขาแบบนี้ เธอเสียความรู้สึกกับชายหนุ่มจนแทบอยากจะร้องไห้เสียดายเวลาถึงสองปีที่เธอหลงรักเขา

“งั้นก็รอดูละกัน ไป! นิค กลับ!" ศตภัทรทิ้งสาสน์ท้าไว้ ก่อนจะหันไปเรียกเพื่อนสนิท แล้วเดินกลับออกจากบ้านไป รัตติดาราทรุดลงนั่งกับโซฟาหวายที่มีเบาะหุ้มผ้าสีฟ้าลายดอกไม้เล็กๆสีชมพูสีขาวระบายเต็มเบาะ

“ไม่มีเหตุผลเลย เป็นแบบนี้ตลอดไม่เคยเปลี่ยน" เสียงต่ำละมุนดังขึ้นจากชายหนุ่มอีกคนที่เหลืออยู่ในบ้านกับเธอ รัตติดารามองไปทางคน ไม่สิ ไม่ใช่คน เขากำลังมองตามศตภัทรที่เดินออกไปสักพักแล้ว

“ว่าแต่คุณเถอะ เป็นใคร ทำไมหน้าเหมือนเขาคนนั้นขนาดนี้" เธอถามขณะพิงตัวกับพนักโซฟาหวาย หยิบหมอนอิงลายเดียวกับผ้าหุ้มเบาะมากอดไว้ เธอหมดแรงจนไม่อยากขยับมากไปกว่านี้

ร่างสูงในชุดสีขาว มีละอองดวงดาวพร่างพรมขยับมานั่งข้างๆ กลิ่นหอมดอกแก้วจากตัวของเขาทำให้รัตติดารารู้สึกดีขึ้นทันทีที่ได้กลิ่น

“ผมชื่อ ศตายุ เป็นพี่ชายฝาแฝดศตภัทร เป็นเทวดาครับ"

“เทวดา? พี่ชายฝาแฝด?”

เธอเคยเจอผี วิญญาณ มาหลายแบบสักแต่ที่พวกเขาจะให้เธอเห็นเพื่อขอส่วนบุญหรือแก้ไขปัญหา แต่รัตติดาราไม่เคยเจอเทวดามาก่อน เธอขยับตัวขึ้นนั่งดีๆ มองใบหน้าหล่อเหลาที่ถอดแบบมาจากศตภัทรพิมพ์เดียวกัน หากแต่เขาอ่อนวัย ขาว และผอมกว่าอีกคน รวมถึงแววตาที่ใจดีอ่อนโยน ไม่หยาบกระด้างเหมือนแฝดคนน้อง

“ครับ" เขาพยักหน้าเบาๆ

“แปลกจัง ฉันว่าฉันอ่านเรื่องของเขามาเยอะ ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย" แฟนพันธ์แท้ของศตภัทรนิ่วหน้า กับเรื่องที่เธอเพิ่งรู้ เธอรู้เพียงว่าเขามีน้องสาวต่างแม่อีกคนชื่อศรุตา ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอเท่านั้น

“เขาไม่เคยเล่าให้ใครฟังหรอกครับ เขายังรู้สึกผิดกับเรื่องของผมอยู่ และนั่นทำให้ผมยังอยู่ที่นี่ ผมเป็นห่วงเขา" เสียงของศตายุเศร้าเหลือเกิน รัตติดารารับรู้ผ่านทั้งน้ำเสียงและแววตาของเขา
"แล้วคนที่คุณเจอที่สวนสาธารณะนั่นก็คือพ่อของพวกเรา"

“หา? นั่นพ่อของพี่ภัทรเหรอคะ"

เธอตกใจเมื่อได้รู้ นี่เธอคุยกับพ่อของพวกเขาแล้วหรือนี่ แล้วนั่นเธอดึงดันจะไปนอนโรงแรมพ่อของศตภัทร เพื่อหวังจะได้เจอศตภัทรที่อาจจะแวะมาหาพ่อบ้าง แต่ก็ไม่ได้เจอจนกระทั่งกลับ โดยที่ไม่เอะใจเลยว่าคนที่เธอเจอที่สวนสาธารณะข้างๆโรงแรมคือ ศิระ พ่อของศตภัทร
จริงสิๆ เธอนึกออกแล้วว่าเขาแนะนำตัวว่าชื่อ ศิระ นี่นา!

“ผมดลใจให้พวกท่านยอมปล่อยให้คุณเช่าบ้านนี้เองแหละครับ"

เทวดาหนุ่มรู้สึกผิดไม่น้อย เขาไม่คิดว่าศตภัทรจะยังคงมีอารมณ์รุนแรงเวลาที่มีใครมาแตะของรักเจ้าตัวอยู่ สมัยเด็กๆก็เป็นแบบนี้ เขาคิดว่าพอโตแล้วศตภัทรน่าจะหายอาการนี้แล้ว แต่ก็ไม่เลย

“ผมต้องขอโทษที่ทำให้คุณเจอเรื่องแย่ๆตั้งแต่วันแรก"

“ทำไมเขาต้องหวงบ้านหลังนี้ขนาดนั้นด้วยคะ" รัตติดาราถามเขา ในเมื่อเทวดาหนุ่มอ่อนโยนและสุภาพกับหญิงสาว เธอจึงพูดคุยกับเขาอย่างสบายใจเหมือนเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมานาน

“ผมเคยอยู่กับนายบี ผมหมายถึงพี่ภัทรของคุณน่ะครับ อยู่ที่นี่ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ แม่หย่ากับพ่อเพราะพ่อทำงานเยอะและมีเรื่องเข้าใจผิดกัน แล้วงานของแม่ก็ทำให้แม่ต้องย้ายไปทำงานที่อเมริกาตอนพวกเราอายุสิบขวบ พ่อก็แต่งงานใหม่กับแม่ของน้องลูกศร เราจึงอยู่กันเองมียายดูแล ถึงแบบนั้นเราก็มีความสุขกันมาก แม่บินกลับมาทุกสามเดือน พ่อก็แวะมาบ่อยๆ เราไม่รู้สึกขาดอะไรเลย แต่พ่อกับนายบีไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ เจอหน้าก็มีเรื่องให้ทะเลาะกันตลอด นายบีอารมณ์ร้อน ส่วนผมน่ะเย็นเหมือนน้ำเลยต้องปลอบเขาบ่อยๆเพราะผมเป็นพี่"

เทวดาหนุ่มนิ่งไปอึดใจ เมื่อคิดถึงช่วงเวลาพลิกผัน

"ช่วงที่นายบีเป็นวัยรุ่นอารมณ์ร้อน แม่เองก็แต่งงานใหม่อยู่ที่นั่นไม่ได้กลับบ่อยๆแล้ว พ่อก็ชอบมองว่าเขาเป็นพวกเกเร ทั้งที่เขาแค่ชอบเรียนศิลปะและดนตรี ไม่เข้าใจกัน ผมกลายเป็นคนเดียวที่เข้าใจเขา พยายามทำให้เขามีความสุข แต่ว่าตอนที่ผมอายุสิบเจ็ด ผมก็ตายจากเขามา ... ผมเข้าใจนะว่า เขาคงไม่อยากให้ใครมาแย่งความสุขในบ้านหลังนี้ไป อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ เขาหวงของรักของเขาแค่นั้นเอง เขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอก"

“แบบนั้น คุณไม่น่าดลใจพวกท่านเลย" รัตติดาราที่ได้ฟังก็รู้สึกผิด เธอควรยอมย้ายออกไปสินะ แต่เธอก็ชอบบ้านหลังนี้มาก คงรู้สึกเสียดายถ้าต้องย้ายออกไป

“ผมตั้งใจให้คุณเข้ามาเป็นความสุขครั้งใหม่ของนายบี ผมรู้ว่าคุณชอบเขา" คำพูดของเทวดาหนุ่มทำให้คนฟังเลิกคิ้วสูง แก้มกลมระเรื่อแดงเล็กน้อย

“อะไรกัน ทำไมมีแต่คนรู้เรื่องนี้!” เธอถามเสียงสูง ไม่เคยบอกใครแท้ๆ ทั้งไม้เอก แล้วนี่เทวดายังจะล่วงรู้ความลับเธออีก และพอศตายุพูดขึ้นมา ใบหน้ากลมๆของรัตติดาราก็หมองลง เธอเพิ่งจะประกาศสงครามเล็กๆกับผู้ชายที่เธอหลงใหล แอบปลื้ม แอบรักมาตั้งสองปีหมาดๆ ดูท่าทางความรักของเธอจะต้องจบลง

“ไม่เอาน่า .. อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ หนูเร อย่ายอมแพ้นะครับ สู้ๆ" เทวดาหนุ่มกำสองมือชูขึ้น ให้กำลังใจใบหน้ากลมที่ตอนนี้กำลังสลด

รัตติดารามองเทวดาหนุ่มผู้ร่าเริง เธออยากจะไม่ยอมแพ้อยู่หรอก หากยังนึกไม่ออกว่าเรื่องของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป ในเมื่อทุกอย่างมันเริ่มต้นได้แย่ขนาดนี้ บางทีเขาน่าจะเกลียดเธอแล้วล่ะ!

+++

แล้วมันก็เป็นเช่นนั้น

สายตาเย็นชาที่มองมายังเธอ ทำให้รัตติดาราแทบจะหมดแรงทั้งๆที่เป็นวันเริ่มงานแรก เธอทำเก่งท้าเขาไปแบบนั้นทั้งที่จริงแค่เห็นแววตาไม่พอใจที่มองเธอ เธอก็แทบทรุดแล้ว

“นี่คือน้องใหม่ของเรานะครับ ชื่อรัตติดารา"

กณิก แนะนำเธอให้คนในทีมรู้จัก หญิงสาวก้มศีรษะให้รุ่นพี่ทุกคนในทีม
รัตติดาราถูกพาเข้ามาทำงานร่วมกับทีมของศตภัทร เธอแทบจะกลั้นความดีใจไม่อยู่ตอนที่ได้ทราบว่าเธอสังกัดอยู่ทีมของเขา แก้มขาวแดงก่ำด้วยความยินดี ในบริษัทใหญ่อย่างนี้ แบ่งกันเป็นหลายทีมจนรัตติดาราคาดหวังน้อยมากที่จะได้ทำงานร่วมทีมเดียวกับชายหนุ่ม และอาจจะไม่มีโอกาสได้พบเจอชายหนุ่มในหัวใจ ใครจะไปเชื่อว่าเธอกลับได้พบเขาก่อนวันเริ่มงาน แถมเป็นการพบกันแบบไม่น่าพิสมัยเสียด้วย

ศตภัทรที่ยืนมองเธอ เขาไม่พูดอะไร กลับเดินเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวด้านในเฉยเลย นั่นทำให้ทุกคนในทีมรู้สึกถึงบรรยากาศอึมครึม กณิกรีบเอ่ยขึ้นน้ำเสียงสดใสร่าเริงสร้างบรรยากาศ

“โต๊ะทำงานของคุณอยู่ตรงนี้นะครับ แรกๆเราอาจจะให้คุณเรียนรู้ในการเขียนแบบก่อน แต่เราจะมีการประชุมไอเดียกันบ่อยๆ มีอะไรคุณก็สามารถเสนอแนะได้ เดี๋ยวฝากด้วยนะ เมฆ"

กณิกแนะนำจบ เขาก็เดินหายไปในห้องทำงานของศตภัทร ทั้งที่ห้องทำงานของกณิกอยู่ติดกับเขา

หญิงสาวมองไปรอบๆส่วนที่เธอทำงาน มีคนร่วมทีมอยู่ประมาณสิบคน มีทั้งสถาปนิก ฝ่ายติดต่อประสานงาน ฝ่ายทำงบประมาณ และฝ่ายทำแบบโดยเฉพาะ
หากพนักงานที่เป็นนักศึกษาจบใหม่ทางบริษัทมีนโยบายให้เรียนรู้จนเชี่ยวชาญเรื่องแบบ เรื่องการวางงบประมาณ ก่อนเพื่อจะได้เข้าใจการทำงานกับฝ่ายอื่นได้

รัตติดารามองคอมพิวเตอร์สีดำบนโต๊ะทำงานสีขาวสะอาดตา มีเพียงกล่องใส่ปากกา และโทรศัพท์วางเตรียมไว้ให้เท่านั้น โต๊ะทำงานของทุกคนหันหน้าชนกัน โดยแบ่งเป็นกลุ่มละสี่ตัว เธอจึงนั่งรวมกลุ่มกับสถาปนิกที่ทำงานมาก่อนหน้าเธอสามคน

“พี่ชื่อเมฆ และนี่ชื่อ กร กับ ทีน่า" เมฆ ชายหนุ่มผิวขาวสวมแว่นกรอบดำอายุราวสามสิบเป็นคนแนะนำคนในทีมออกแบบ

“มีอะไรถามได้นะครับน้อง" ศิวกรพูดอย่างใจดี เขาเป็นชายหนุ่มตัวเล็กกว่า อายุยี่สิบห้าปี สูงไม่เกินร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ผิวสีเข้ม ผมตัดสั้น

“เรค่ะ เรียกว่าเรก็ได้" รัตติดาราแนะนำตัวกับพวกเขาอย่างอ่อนน้อม

“ตอนแรกไม่เห็นว่าพี่ภัทรจะอยากรับคนเพิ่ม น่าแปลก" ทีน่า หญิงสาวคนเดียวของทีมดีไซน์เอ่ยขึ้น น้ำเสียงไม่เป็นมิตรนัก เธอมีผมบ๊อบสั้น ใบหน้าขาวสวยคางแหลมเฟี้ยวแต่งหน้าจัดเต็มชนิดที่รัตติดาราคิดว่าถ้าจะมาทำงานให้ทัน เธอคงต้องตื่นเช้ามากแน่ๆ

“ทีน่า ก็ดีแล้วหนิ เห็นเธอบ่นว่างานเยอะไม่ใช่เหรอ" เมฆพูดต่อ ไม่เห็นด้วยที่ทีน่า หรือ ธิติมา จะมาพูดอะไรแบบนี้ให้รัตติดารารู้สึกไม่ดี

“อย่าคิดมากนะเร เอ้า เอาแบบนี่ไปศึกษาดูก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะประชุมเรื่องนี้" เมฆหยิบกระดาษแบบขนาดใหญ่ส่งให้พนักงานใหม่ รัตติดาราลอบถอนใจระบายความอัดอั้นกับสายตาของหัวหน้าทีมหนุ่มออกมาเบาๆ

“เฮ้ย ภัทร นายทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ" กณิกเอ่ยขึ้นทันทีที่ปิดประตูลง เสียงไม่พอใจดังในระดับที่มั่นใจว่าคนด้านนอกไม่มีทางได้ยิน

“นายตั้งแง่กับคุณเรเพราะเรื่องบ้าน แยกแยะหน่อยสิวะ" เขาไม่เคยเห็นศตภัทรเป็นแบบนี้มาก่อนเลย คนที่เป็นมืออาชีพคนหนึ่งที่เขารู้จัก คนที่เยือกเย็น รับมือได้ทุกเรื่องจนกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่วัยสามสิบสองปีแห่งวงการสถาปัตย์ คนที่แม้จะอายุเท่ากันแต่กณิกก็ยอมให้เขาเป็นหัวหน้า เขาเป็นเพียงผู้ช่วยก็ยอม

คนที่แยกแยะไม่เป็นแทบจะโยนกระดาษแบบแปลนตึกขนาดเอสามลงที่เขาจะต้องตรวจงานลงบนโต๊ะ หมุนตัวพร้อมเก้าอี้เบือนหลบเพื่อนขี้บ่น

“ถ้านายเป็นแบบนี้ ฉันจะเป็นแบ๊กอัพให้คุณเรนะ" กณิกไม่ยอมแน่ๆถ้าหากจะมีเรื่องไม่ยุติธรรมในทีม ถ้ารัตติดาราไมไ่ด้ทำสิ่งไหนผิด เธอก็จะต้องผ่านงานอย่างคนอื่นๆ

“ทำไม นายชอบยายตัวเล็กหรือไง"

“บ้าแล้ว นายอย่าพูดพล่อยๆน่า ใครได้ยินจะไม่ดีต่อคุณเร ฉันพูดแบบนี้เพราะฉันไม่อยากให้เรื่องในใจนายมาทำให้งานเสียหาย แล้วคุณเรก็จะน่าสงสารมากถ้านายเอาเรื่องส่วนตัวมาตัดสินเธอ" กณิกพยายามเตือนเพื่อนสนิท การไม่ผ่านงานอาจจะทำให้คนคนหนึ่งเสียความมั่นใจไปได้เยอะ ซึ่งมันน่าสงสารเกินไป!

ศตภัทรได้แต่พยักหน้าส่งๆไป ไม่อย่างนั้นหูเขาจะแตกเอาก่อนเพราะโดนกณิกบ่นไม่หยุด ถอนหายใจหนักๆ ยังไงๆเขาต้องคิดหาทางเอายายตัวเล็กนั่นออกจากบ้านต้นแก้วให้ได้ แต่เขายังไม่รู้ว่าควรจะใช้วิธีการไหนดี

+++

“นี่เป็นใบสมัครประกันสังคมนะคะ"

รัตติดารามองไปยังเจ้าของมือเรียวเล็ก พบเป็นหญิงสาวร่างผอมผมยาวดำสนิทเคลียไหล่ในชุดทำงานสีชมพูหวานตา ตัวสูงกว่าเธอเล็กน้อย ใบหน้าขาวจนแทบเรียกได้ว่าซีดกำลังระบายยิ้มอ่อนโยนให้เธอ ยื่นกระดาษใบหนึ่งให้ นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ รวมถึงเป็นกฏหมายบังคับที่เธอจะต้องนำเอกสารสำหรับพนักงานใหม่ของบริษัทมาให้

“ชื่อใกล้รุ่งค่ะ เรียกว่า ฟ้า ก็ได้ เป็นผู้ช่วยด้านเอกสารของพี่ภัทร และคอยช่วยงานด้านเอกสารให้คนในทีมค่ะ ฟ้าเห็นจากประวัติของเรแล้วเราอายุเท่ากันค่ะ" เมื่อหญิงสาวร่างผอมแนะนำตัว รัตติดาราก็ยิ้มให้ตอบกลับ

“ขอบคุณนะคะ ฟ้า"

“..."
ใกล้รุ่งยิ้มนิ่งๆ แต่เมื่อเธอมองไปยังร่างสูงข้างๆรัตติดาราที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมา ดวงตาเรียวๆของเธอโตขึ้น

“เขาคงเห็นผม และเขาก็มีสัมผัสพิเศษเหมือนคุณนะ หนูเร" ศตายุเป็นคนอธิบาย

“ท่าทางเราจะมีอะไรเหมือนกันนะคะ" รัตติดาราไม่เคยเจอใครที่มองเห็นวิญญาณเหมือนเธอมาก่อนเลยจึงดีใจไม่น้อย

ใกล้รุ่งเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยิน

“ฟ้า เอาเอกสารไปให้บัญชีทีสิ" เมฆเรียกตัวใกล้รุ่งใช้งานก่อนที่ใกล้รุ่งจะพูดอะไรต่อ หญิงสาวรูปร่างผอมจึงต้องผละจากพนักงานใหม่ ไปรับเอกสารจากสถาปนิกหนุ่มรุ่นพี่ แล้วเดินออกจากห้องทำงานทีมไป



ใกล้รุ่งเดินออกจากห้องทำงานทีม เพื่อจะไปยังห้องบัญชี เธอนึกถึงชายหนุ่มในชุดสีขาว มีละอองสีขาวระยิบระยับคลุมร่าง สวยงาม ... ใบหน้าเขาช่างเหมือนกับศตภัทรไม่มีผิด คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน แต่แล้วอยู่่ๆเธอก็รู้สึกขนลุกวาบไปทั้งตัว เมื่อเธอเห็นวิญญาณชายหนุ่มในชุดพยาบาลสีฟ้าร่างสูงกำลังเดินตรงมายังเธอ ตัวของเขาโปร่งใสจนมองทะลุตัวได้ ใบหน้าหล่อเหลาเกาหลีสไตล์นั้นถ้าเขาฟื้นขึ้นมา เขาคงเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆไม่น้อยแน่ๆ

ใกล้รุ่งเม้มริมฝีปาก ... ท่าทางเธอจะถูกก่อกวนอีกแล้ว ...

“ยังทำเป็นไม่เห็นกันอีกเหรอ ผมจับได้นะว่าคุณเห็นผม คุณฟ้า" วิญญาณหนุ่มก้มลงมาถามคนตัวเล็กกว่าที่ยืนนิ่ง เห็นดวงตาเรียววูบไหวก็หัวเราะสนุกสนาน

“หกเดือนแล้วนะ ผมรู้ว่าคุณเห็นผม" เขายังไม่เลิกวอแวหญิงสาว ใกล้รุ่งสูดลมหายใจเต็มปอด เดินต่อ เธอใจแข็งได้อีก!

ใกล้รุ่งอดทนมาได้หกเดือน ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงาน เธอพบวิญญาณชายหนุ่มโดยบังเอิญขณะเอาเอกสารไปให้อีกตึก เธอตัดสินใจเดินผ่านทางเชื่อมด้านซ้ายที่เชื่อมระหว่างตึกใหม่และตึกเก่าเพราะมันใกล้และสะดวก แม้ใครๆจะไม่ค่อยชอบเดินผ่านเพราะมันทั้งมืดและลือกันว่ามีผีสิง ใกล้รุ่งเจอผีมาสารพัดสารพัน แม้เธอจะไม่ชินแต่เธอก็ไม่ได้กลัว เพียงแค่เธอไม่อยากถูกรบกวนเท่านั้น เพราะถ้าพวกเขารู้ว่าเธอเห็น พวกเขาจะมาก่อกวนเธอจนเธอต้องช่วยพวกเขาอยู่เรื่อย

และนั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับ อติภาพ วิญญาณชายหนุ่มวัยยี่สิบสามปีในชุดพยาบาล ที่เธอรู้จักเพราะเธอเคยเห็นรูปของอติภาพมาก่อน เขาเป็นลูกชายคนเล็กของตรัย เจ้าของบริษัทแห่งนี้ เธอยังรู้เพิ่มอีกว่า อติภาพนั้นนอนหลับไม่ได้สติเป็นเจ้าชายนิทรามาเป็นปีแล้ว

ใกล้รุ่งไม่อยากรู้ ไม่อยากฟัง ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขาเลย เธอแค่อยากทำงานที่นี่เงียบๆเท่านั้น

“เรามาคุยกันดีกว่าน่า ผมเหงาอะ" เขาตื๊อไม่เลิก

... นายเหงาแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน! ... ใกล้รุ่งแทบอยากจะแหวกลับไปนักแต่ก็ต้องอดทน

“มีพนักงานเข้าใหม่เหรอ ผมไปทักทายเขาดีกว่า" ชายหนุ่มพูดจบน้ำเสียงร่าเริง ใกล้รุ่งหันขวับไปจ้องมองทั้งที่เมื่อครู่เธอยังอดทนได้อยู่เลย

การที่หญิงสาวแสดงออกแบบนี้ยอมรับว่าเห็นเขา ทำให้วิญญาณชายหนุ่มมีรอยยิ้มดีใจที่ยั่วอีกฝ่ายสำเร็จ

“ห่วงเขาสินะ น่าสนุกจัง" ใบหน้าหล่อที่เรียกได้ว่าหยุดลมหายใจสาวๆได้ยื่นมาใกล้ ใกล้รุ่งเม้มปาก ก่อนที่จะสะบัดตัวหันกลับไปเดินต่อ

“อยากทำอะไรก็ทำ แต่มันไม่ง่ายหรอกนะ" เธอพึมพำคนเดียวเบาๆ เธอไม่น่าจะห่วงคนมาใหม่เท่าไหร่เพราะรัตติดารามีสิ่งสวยงามนั้นคุ้มครองอยู่ นึกแล้วก็ว่าดีเสียอีก เผื่อวิญญาณจอมตี๊อนี่จะได้เข็ดหลาบบ้าง!

+++

รัตติดาราละความสนใจจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เมื่อโทรศัพท์มือถือเธอดังขึ้น เบอร์ไม่คุ้นเคยทำให้คิ้วเรียวที่ผ่านการเขียนมาอย่างดีย่นเข้าหากันเล็กน้อย

“สวัสดีค่ะ" เสียงใสกรอกลงไปในเครื่องมือสื่อสาร

“หนูเร นี่ลุงเองนะ ลุงศิระที่แนะนำบ้านเช่าให้หนูไง" เสียงทุ้มใจดีตอบกลับมา หญิงสาวตกใจจนต้องผุดลุกขึ้น รีบเดินออกมาตรงทางเดินด้านหน้าห้องทำงานทีมของเธอ
“จำได้ไหมจ๊ะ" คนในสายถามกลับมา

"จำได้สิคะ" หญิงสาวตอบทั้งพยักหน้าให้โทรศัพท์

“หนูต้องขอบคุณคุณลุงที่แนะนำบ้านให้ สวยมากเลยค่ะ ทำเลก็ดีมากด้วย"

คำพูดของหญิงสาวคราวลูกทำให้คนในสายหัวเราะดีใจ
“ดีใจที่หนูชอบนะ"

“แต่คุณลุงคะ บ้านหลังนั้นมีความสำคัญมากสำหรับคุณศตภัทร ... ลูกชายคุณลุงไม่ใช่หรือคะ หนูว่า ..." รัตติดาราถามในสิ่งที่เธอไม่สบายใจ ลังเลใจว่าจะทำอย่างไรดี เธอควรหาบ้านเช่าหลังใหม่ รัตติดาราที่ยืนเชิดหน้าเถียงคอเป็นเอ็นกับศตภัทรเมื่ีอวันก่อนนั้นเพราะไม่รู้ความสำคัญที่มีต่อเขา

“ช่างเขาเถอะหนู อย่าไปร้อนใจกับความเอาแต่ใจของลูกชายลุงเลย ปล่อยเขาบ้าไปแบบนั้นแหละ การตัดสินใจเป็นสิทธิ์ของแม่เขา ในเมื่อแม่เขาไม่ขัดข้อง หนูก็ไม่ต้องย้ายออกหรอกน่า หนูชอบบ้านหลังนั้นไม่ใช่หรือ" ศิระพูดราวกับทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย

“ชอบสิคะ แต่หนู ...”

“ตอนนี้คนถือสัญญาคือหนูนะ เจ้านั่นมันไม่มีสิทธิ์ไล่หนูออกจากบ้านหรอก อย่าไปกลัว มั่นใจเข้าไว้ มีอะไรเกิดขึ้นหนูก็มาบอกลุงได้เสมอ เจ้านั่นไม่กล้าทำอะไรหรอกแค่โวยวายไปแบบนั้น ลุงเลี้ยงเขามาลุงรู้นิสัยเขาดี"

ศิระให้กำลังใจหญิงสาว แม้จะพูดแบบนั้น เขาใช่ว่าจะไม่ห่วง เพียงแต่ว่าเขารู้จักนิสัยลูกชายดี ถึงแม้จะอารมณ์ร้อนแค่ไหน แต่เขาก็เลี้ยงมาให้เคารพผู้หญิง ไม่รังแกเพศตรงข้าม และเขารู้ว่าศตภัทรโตขึ้น มีเหตุผลมากขึ้น ผ่านประสบการณ์ชีวิตด้วยการหาเลี้ยง ส่งเสียตัวเองเรียนจนจบระดับปริญญาโท อีกอย่าง ... ถึงศตภัทรจะไม่ยอมลงให้เขาผู้เป็นพ่อ แต่ถ้ามาธวีพูดออกมาล่ะก็ ลูกชายของเขาไม่มีทางที่จะไม่ฟัง!

+++

“แม่ขอสั่งลูกห้ามไปไล่กับคนเช่าบ้านออกเด็ดขาดนะ บี"

มาธวีสั่งเสียงเข้มผ่านวีดีโอคอลบนแทปเล็ต ภายในห้องทำงานส่วนตัวของเขา ขนาดที่ศตภัทรยังนิ่งอึ้งไปเพราะไม่ชินน้ำเสียงเด็ดขาดแบบนี้ ครั้งสุดท้ายที่ได้ยินน้ำเสียงแบบนี้ก็คือตอนเขาอายุสิบขวบ ที่เขาแย่งของเล่นจากศตายุ เลยโดนหวดด้วยไม้เรียวเสียจนขาเป็นรอยไปโรงเรียนหลายวันเลยทีเดียว

มาธวีใจดีมากแค่ไหน ถ้าทำให้เธอโกรธขึ้นมา ก็น่ากลัวมากเท่านั้น

“แต่แม่ครับ บ้านนั้นผมไม่อยากให้ใครมาอยู่ ผมตั้งใจจะอยู่เองด้วยซ้ำ อยู่ๆพ่อก็ให้คนอื่นเช่าอ่ะ"

ศตภัทรกำลังงอแง ไม่ต่างกับเด็กที่อยากได้ของเล่น หากแฟนคลับหนุ่มหล่อมาดขรึมบนหน้าหนังสือ หรือสื่ออื่นๆ คนนี้มาเห็นภาพนี้ล่ะก็ คะแนนนิยมอาจจะหายไปเกือบหมดก็เป็นได้

มาธวีส่ายหัวไปมา เธอจำแทบไม่ได้แล้วว่าศตภัทรยังมีมุมแบบนี้อยู่ หลังจากศตายุเสียไป ศตภัทรก็ชอบทำท่าขึงขัง เช้มแข็งไม่แสดงออกถึงความอ่อนแอเลย

“กลับมาตั้งนานก็ไม่ไปอยู่ แล้วจะไปอยู่ตอนที่แม่ปล่อยเช่านี่นะ แล้วทำไมตอนแม่จะยกให้เราเราถึงไม่เอา บ่ายเบี่ยงๆอยู่ได้" มาธวีนิ่วหน้าใส่ลูกชาย

ศตภัทรฟังแล้วก็อดทำปากคว่ำใส่คนในวีดีโอคอล์ไม่ได้ ... แม่เองก็ลืม ... ลืมที่เคยพูดไว้เมื่อตอนนั้นสินะ มีแต่เขาใช่ไหมที่จำได้

“สัญญาเช่ามันแค่หนึ่งปี ลูกก็อดทนหน่อยละกัน บ้านจะได้ไม่เก่า มีคนอยู่ดีกว่าไม่มีนะลูก"

มาธวีพยายามปลอบโยนลูกชาย แม้เธอเองจะประหลาดใจในตัวเองไม่น้อยที่ยอมฟังศิระ ปล่อยบ้านเก่าของเธอให้คนแปลกหน้าเช่า แต่ศิระก็ไม่ใช่คนที่จะเข้ามายุ่งวุ่นวายกับของของเธอตั้งแต่หย่าขาดกันมา ก็ต่างคนต่างอยู่มาตลอด ทั้งคู่ไม่ได้เกลียดกัน แต่เพราะความรักที่จืดจาง ศิระทำงานเยอะจนแทบไม่มีเวลา และเธอก็เริ่มรู้สึกตัวว่าเธอไม่มีความสุข ไม่ได้รักเขาแบบก่อนแต่งงานแล้ว ทั้งคู่จึงตกลงจะหย่ากันโดยยังไปมาหาสู่เพื่อดูแลลูกทั้งสองอยู่เรื่อยๆ

จริงๆแล้วในคืนก่อนหน้าที่ศิระจะถามความเห็นเธอเรื่องการปล่อยบ้านให้คนเช่า มาธวีฝันเห็นลูกชายฝาแฝดคนโตที่เสียไปกำลังยืนยิ้มใบหน้าแจ่มใส มีความสุขอยู่ในบ้านต้นแก้ว แล้วพอเช้ามาศิระก็ติดต่อมาเรื่องนี้อีก บางทีนี่อาจจะเป็นความต้องการของศตายุก็เป็นได้ มาธวีเลยปล่อยให้ศิระช่วยจัดการแทน และเธอก็ต้องวางแผนเตรียมตัวรับมือลูกชายคนเล็กที่คงไม่พอใจแน่ๆ

“ลูกคงไม่อยากให้แม่โกรธใช่ไหม ถือว่าแม่ขอละกันนะจ๊ะ รักษาสุขภาพด้วยนะลูก แม่ต้องไปแล้วจ้ะ" สั่งแล้วจบด้วยการข้อร้องของมารดา ทำให้คนที่ดื้อรั้นไปทั้งใบหน้าและดวงตา คอตก แน่นอนว่าเขาไม่กล้าขัดคำพูดของแม่หรอก

“ครับ" รับคำอย่างเสียไม่ได้

วีดีโอคอล์ถูกตัดไป ศตภัทรเกาหัวแกรกๆ เอนหลังกับพนักพิงเก้าอี้ทำงาน คิดไม่ออกเลยว่าเขาควรจะทำอย่างไรดีนะ ปล่อยให้เธออยู่จนครบปีไป หรือว่า ...

ดวงตาคมสีนิลวาววับเมื่อมีความคิดหนึ่งจุดประกายขึ้นมา ... ไล่ไม่ได้ แต่ถ้ากดดันจนออกไปเองล่ะ เขาก็ไม่ผิดใช่ไหม


+++


ท้องฟ้าด้านบนมืดลงแล้ว หากแสงสว่างจากตึกรามบ้านช่อง ร้านอาหารมากมายที่เปิดรอให้คนไปกินข้าว พูดคุยกันหลังเลิกงาน ทำให้กลางคืนในเมืองใหญ่ยังคงมีสีสันแตกต่างจากบ้านสวนต่างจังหวัดที่หญิงสาวเคยอยู่ ที่พอเข้าหัวค่ำ ต่างก็เข้าบ้าน และอยู่กับครอบครัว

ระหว่างทางกลับบ้าน รัตติดารารับรู้ได้ทันทีว่าจุดไหนมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อย ดวงวิญญาณที่ยังวนเวียนเพื่อหาตัวตายตัวแทนยืนจับจ้องเฝ้ารอโอกาส แต่ดวงวิญญาณพวกนั้นไม่กล้ามายุ่งกับเธอ แค่มองมาก็พากันหายตัวกลายเป็นควันไปหมด รัตติดาราเคยสงสัยนะว่าทำไมวิญญาณพวกนั้นถึงได้เหมือนจะกลัวเธอนัก มาวันนี้เธอเพิ่งได้คำตอบ

“ผมทำให้พวกนั้นกลัวคุณเองล่ะ คุณจะได้ไม่โดนกวนใจบ่อยๆ" ศตายุบอกเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเสมอ

กลิ่นหอมๆของดอกแก้วที่เธอได้กลิ่นบ่อยๆ ราวกับเป็นกลิ่นประจำตัวเธอจนใครๆก็ทักทั้งที่เธอไม่เคยใช้น้ำหอมคงคอยดูแลเธออยู่ และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้รัตติดาราไม่เคยกลัวผี หรือวิญญาณ มีบ้างที่ตกใจเพราะบางครั้งพวกเขาก็ไม่ได้มีสภาพที่น่ามองเท่าไหร่

“ทำไมคุณต้องคอยปกป้องฉัน" รัตติดาราถามเทวดาหนุ่มกลับไปด้วยความสงสัย

เขายิ้มอ่อนโยนทั้งดวงตา
“เพราะเรามีวาสนาต่อกันครับ ผมบอกได้แค่นี้จริงๆ" เขาตอบแค่นั้น หญิงสาวจึงได้แต่มองด้วยสายตาไม่เข้าใจ

เพราะบ้านเช่าอยู่ในซอยที่ต้องเดินเข้าไป รัตติดาราเลือกซื้ออาหารสำเร็จที่ดูแล้วสะอาดและน่ารับประทานจากร้านในตลาดหน้าซอยเข้าบ้าน และไม่ลืมแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ ซื่้อของสด น้ำดื่ม รวมถึงอาหารแห้งไว้่ติดบ้าน เผื่อเธอหิวขึ้นมาจะได้ไม่ต้องฝ่าความมืด และเหล่าววิญญาณมาซื้อตอนดึกๆดื่นๆ

ระหว่างที่เธอเดินเข้าบ้าน เธอก็อดนึกถึงใบหน้าของศตภัทรที่เดินผ่านเธอก่อนเลิกงานไม่ได้

... รอยยิ้มจากเขาน่ามองก็จริง เธอหลงใหลกับรอยยิ้มของเขาผ่านหน้าหนังสือ นี่เป็นอีกครั้งหลังจากสองปีก่อนที่เธอได้เห็นผ่านตาเธอเอง ถ้าไม่ติดว่าเธอรู้สึกร้อนๆหนาวๆขึ้นมา เมื่อคิดได้ว่า อยู่ๆเขาจะมาส่งยิ้มให้เธอทำไม ตั้งแต่เข้าไปทำงานตอนเช้า เขาแทบจะไม่พูดกับเธอเลย หน้ายังจะไม่มอง หัวใจที่เคยพองฟูเพราะจะได้ทำงานกับเขานั้นเหี่ยวแห้งเหมือนลูกโป่งโดนปล่อยลมกับความเย็นชาที่เขามีให้

นี่ ... ถ้าเธอไม่ย้ายออก เขาคงไม่ให้อภัยเธอแน่ๆใช่ไหม แล้วเธอจะดีใจที่ได้ทำงานกับเขา ได้เห็นเขาทุกๆวัน ทำไมล่ะเนี่ย ถ้าถูกเกลียดแบบนั้นแล้ว

รัตติดาราถอนหายใจหนักๆขณะเปิดประตูรั้วเข้าบ้าน เสียงโทรศัพท์มือถือเธอดังขึ้นพอดีจึงทำให้เธอไม่ทันสังเกตรถยนต์สีดำคันหนึ่งในโรงจอดรถซึ่งค่อยๆลางเลือนหายไปด้วยฝีมืออิทธิฤทธิ์จากเทวดาหนุ่ม หญิงสาวหยิบมือถือในกระเป๋าออกมาแนบหู แล้วจึงไขกุญแจเข้าบ้าน ถอดรองเท้าส้นสูงวางบนชั้นอย่างเรียบร้อย โดยไม่ลืมกดเปิดสวิตซ์ไฟกลมๆตรงกลางเพดานห้องรับแขก ดวงตากลมชะงักเมื่อเห็นรองเท้าผ้าใบผู้ชายสีขาวคาดแถบสีดำยี่ห้อดังแปลกตาวางอยู่ก่อนแล้ว

“ของใคร มีอยู่ก่อนด้วยหรือ" รัตติดารานิ่วหน้าเอ่ยถามกับตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อต้องรีบตอบกลับคนในสายเสียก่อน

... ไม้เอกโทรศัพท์มาหาเธอ ...

“ค่า พี่ไม้ ... หนูเรเพิ่งถึงบ้านเองค่ะ สบายดีค่ะ งานโอเคมากเลย ทุกคนใจดีค่ะ ... แหมพี่ไม้คะ อย่างหนูเรนี่นะคะจะมีผู้ชายมาอยู่ด้วย หนูเรไม่กล้าโกหกคุณลุงคุณป้าหรอกค่ะ ไม่มี้...ไม่มีค่ะ ... หนูเรสัญญาค่ะถ้ามีนะ หนูเรยอมให้พี่ไม้ลากหนูเรกลับบ้านทันทีเลย ... แค่นี้ก่่อนนะคะพี่ไม้ หนูเรหิวข้าวละ ... ค่า หนูเรก็รักพี่ไม้ค่ะ"

รัตติดารากดวางสาย แล้วต้องร้องวี้ดขึ้นเมื่อเธอพบว่ามีใครคนหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“คุณ ... ศตภัทร!?” ริมฝีปากเคลือบสีชมพูอ่อนๆเปิดค้าง ดวงตากลมๆเบิกโต ไม่คิดว่าจะมีใครมารอเธออยู่ในบ้านแบบนี้ แถมยังเป็นคนที่ ... เธอเพิ่งคิดถึงเขาไปหมาดๆ

... ศตภัทรซึ่งนั่งไขว่ห้างรอเธออยู่

“มาทำไมคะ" เธอถาม ตกใจจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆเลยทีเดียว

“ผมตัดสินใจแล้ว ผมไม่ไล่คุณออกละ แต่ผมจะอยู่ที่นี่ด้วยเลย”
ศตภัทรพูดพร้อมรอยยิ้มผุดขึ้นตรงมุมปากเขา

+จบตอน+



ปิ่นนลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 มี.ค. 2558, 02:35:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 มี.ค. 2558, 02:37:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 1853





<< บทนำ - ตอนที่ 1    ตอนที่ 3 >>
ปิ่นนลิน 23 มี.ค. 2558, 02:38:35 น.
คุณ Zephyr : พระเอกนิสัยเด็กค่ะ 555 อยากเขียนแนวพระเอกไม่ขรึมดูค่ะ น่าจะสนุกดี ^^


กาซะลองพลัดถิ่น 24 มี.ค. 2558, 05:34:50 น.
ท่าทางน่าจะสนุกนะคะ มีทั้งผี คน เทวดา ด้วย ....
รอตอนต่อไป


kaelek 24 มี.ค. 2558, 20:15:20 น.
มาแอบอ่าน แอบไลค์ แอบรอจ้า


Zephyr 24 มี.ค. 2558, 23:53:05 น.
นายบี นายนิสัยผู้ชายเลือดกรุ้ปบีเลยนะยะ
เด็กงอแง เด็กเกเร นิสัยไม่ดี ชิๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account