สาปหฤหรรษ์
แนะนำเรื่องแบบย่อๆ
เสียงเล่าลือกล่าวขานถึงนางอัปลักษณ์ในตำนานผู้แสนเหี้ยมโหดชั่วร้ายเกินใครแต่อำนาจทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับนางเช่นกัน เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ต้องยอมมอบกายถวายชีวันแลกความอยู่รอดของแผ่นดินด้วยการเป็นสามีของนาง

หมายเหตุ.- เปลี่ยนชื่อเรื่องจาก 'นางเงา' เป็น 'สาปหฤหรรษ์' นะคะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 17-20




ตอนที่ 17

การเดินทางรอนแรมมาถึงวันที่สาม บุญรักษานั่งอยู่ในกระโจมหลังใหญ่สุดของค่ายพัก เป็นกระโจมของปัทมราชครู ลักษณะกระโจมหรือการตั้งค่ายเป็นเช่นเดียวกับครั้งแรกที่เธอถูกจับตัวมา ก่อนถูกส่งลงไปอยู่ในหลุมหลักเมืองเมื่อครั้งนั้น

วันนี้เธอเพิ่งสัมผัสได้ถึงความเป็นอิสระ เจ้าชีวิตไม่อยู่ เขาไปทำธุระตั้งแต่เช้า จะว่าแสงแรกโผล่พ้นขอบฟ้าและหายตัวไปเลยก็คงใช่ ปัทมราชครูไม่บอกว่าไปไหน บอกแค่ว่าจะกลับมาในเวลาเดียวกันของวันพรุ่งนี้ ซึ่งเท่ากับเขาจะหายตัวไปหนึ่งวันเต็ม

เธอไม่เข้าใจว่าการถือพรหมจรรย์ของปัทมราชครูมีเพื่ออะไร เขาไม่เข้าใกล้หรือเฉียดกรายให้โดนเนื้อตัวตั้งแต่วันที่โภไคยมาพบยังเรือน คือเมื่อรับสำรับเช้า ราชครูก็แยกตัวออกไป การอาบน้ำไม่ได้ขัดถูเนื้อตัวของเขา หรือเธอมีหน้าที่เตรียมน้ำให้อาบ ข้าวของเครื่องใช้ สำรับอาหารน้ำดื่ม ที่หลับนอนเธอล้วนดูแลไม่ขาดตกบกพร่อง เวลานอนเธอก็เหมาเสื่อผื่นหมอนใบเฝ้าข้างเตียงของเขา ดูแลเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงตอนเช้ามืดก่อนเขาจะจากไป

นับว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อยที่เขาไม่เข้าใกล้หรือหาเรื่องแตะเนื้อต้องตัวเธอเหมือนทุกครั้ง อยากให้เขาทำแบบนี้ตลอดไป ค่อยโล่งอกและหายใจคล่องขึ้นมาหน่อย

เธอคอยสังเกต ปัทมราชครูจะนั่งสมาธิเพื่อทำภารกิจบางอย่าง เธอไม่รู้ว่าเขาทำอะไร รู้แต่ว่ากำลังตามหาเฒ่าทับทิม และการมาถึงชายแดนของตักศิลานครก็เพื่อเหตุนี้

“ส่งสำรับเจ้าข้า” นั่นคือเสียงของหัวหน้าผู้ดูแลสำรับ ซึ่งมาทำหน้าที่แทนคนเก่า

บุญรักษาเดินออกไป การห่มสไบ นุ่งจีบหน้านาง เธอทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ใช่ว่าจะสวยงามอะไรนัก ส่วนเนื้อผ้านั้นเป็นผ้าพื้น ไม่แตกต่างจากผู้คนทั่วไป ไม่อาจรู้ได้ว่าราชครูนำมาจากไหน รู้แค่เขายื่นให้ เธอก็รับและใส่เช่นนั้น ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนซักด้วยมือ

หญิงสาวเกี่ยวผ้าหน้ากระโจมไปไว้ทางหนึ่ง ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างคุ้นคุ้ย หลีกทางให้เขานำสำรับเข้าไป เปิดผ้าค้างไว้ ยืนรออยู่ตรงนี้เพื่อป้องกันคำครหา

“วันนี้ส่งสำรับด้วยตนเองนะเจ้าข้า” เธอทักทาย สายตามองไปนอกกระโจม ไม่มีใครเดินผ่านแถวนี้เลยสักคนหนึ่ง ดูเงียบเหงาวังเวงพิกล แตกต่างจากทุกวันที่ต้องมีเดินตรวจยามสักเล็กน้อยให้รู้ว่าขยันขันแข็ง

บุญรักษาหันกลับมา จึงเห็นว่าอีกฝ่ายค้อมตัว มาอยู่ตรงหน้าของเธอแล้ว

“สำรับนี้ จัดเสร็จสิ้นแล้วเจ้าข้า” เขาพูดเหมือนเดิมทุกครั้ง และเดินจากไป

เธอมองตาม วันนี้มาแปลก ปกติต้องมีบ่าวถือสำรับมาให้ แต่คราวนี้มาส่งด้วยตัวเองโดยไม่มีลูกน้อง ปกติเขาจะทำหน้าที่แค่เดินนำ คอยตรวจความเรียบร้อยอย่างที่เคยเห็น ส่วนวันนี้ไม่มีใครเดินตาม อีกทั้งยังดูระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ยิ้มแย้มเหมือนตอนราชครูอยู่ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะไม่ต้องเกรงใจรายนั้นก็เป็นได้ แต่ไม่เป็นไร เธอแค่ได้คุยลอยลมสักนิดสักหน่อยก็พอหายเหงา เพราะนอกจากปัทมราชครู่ คนที่พอจะพูดคุยและรู้จักในโลกแห่งนี้ก็มีหัวหน้าฝ่ายสงสำรับคนเดียวที่เธอคุยด้วยบ่อยที่สุด

ว่าแต่... เธอจะหาทางหนีไปได้อย่างไรกันนะ

คิดแล้วก็กลุ้มใจอยู่คนเดียว บุญรักษาปล่อยผ้าหน้ากระโจมลง หันหลังกลับมา ครุ่นคิดเงียบๆ โดยยังไม่เดินไปไหน

“ทุกวันขึ้นแปดค่ำ ขึ้นสิบห้าค่ำ แลวันแรมแปดค่ำ แรมสิบห้าค่ำ ปัทมราชครูจักสะสางภาระบางอย่าง มิได้อยู่เรือนพำนัก เป็นเช่นนี้แต่นานมา แม่หญิงโปรดระวังตัวไว้ให้จงหนักเมื่อท่านราชครูมิได้อยู่คุ้มภัย”

บุญรักษาหมุนตัวกลับ เลิกผ้าหน้ากระโจมขึ้นรวดเร็ว “ท่านโภไคย” เอ่ยดั่งละเมอเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนพูด

อีกฝ่ายยืนอยู่ตรงปากประตูกระโจมนี้ เธอรีบมองซ้ายมองขวา ระมัดระวังกิริยาไม่ให้เสียหายนัก แต่อย่างไรก็ต้องมองโดยรอบไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย

“หาได้มีผู้ใด” เขาตอบโดยเธอไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ

หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “ขอบพระคุณยิ่งนัก ที่บอกความนี้แก่ข้าพเจ้าเจ้าข้า” ถอยหลังเตรียมกลับเข้าไป

“แม่หญิงจักสนทนากับข้าพเจ้าเพียงครู่ ได้ฤๅไม่เจ้าข้า” คำพูดประโยคนี้ทำให้ชะงัก ดูเหมือนว่าเขาจะให้เกียรติเธอไม่น้อย

บุญรักษายิ้มตอบ “หากเป็นคุณ หรือเป็นประโยชน์แก่ท่านโภไคย มิได้มีภัยใดต่อตัวท่าน ตัวข้าพเจ้า หรือท่านราชครู ข้าพเจ้าย่อมยินดียิ่งเจ้าข้า”

เธอส่งนัยไปกับถ้อยคำนี้ว่าหากการสนทนาที่กำลังจะเกิดขึ้นเธอไม่ได้เดือดร้อน ก็ไม่มีปัญหาอะไร

โภไคยก้มหน้าที่มีรอยยิ้มเล็กน้อยลงครั้งหนึ่งพองาม “ล้วนมีคุณ มิได้มีโทษดอกเจ้าข้า” เขาผายมือไปยังทิศหนึ่ง “เชิญแม่หญิง”

คนถูกเชิญละล้าละลังเล็กน้อย ‘ราชครูก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้ออกไปไหนนี่นา คงไม่เป็นไรกระมัง’ คิดเช่นนั้นก็เดินตามออกไป

ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากที่เห็นคือจุดหมายที่โภไคยเลือก เขานั่งตรงรากไม้ช่วงหนึ่ง เธอยิ้มให้ หาที่นั่งห่างจากอีกฝ่ายพอประมาณ หันหน้าเข้าหาเขา เห็นรากไม้แบบนี้แล้วอดคิดถึงวันนั้นที่ถูกจับตัวมาไม่ได้ หากไม่สะดุดรากไม้จนล้ม ตอนนี้เธอจะมีสภาพอย่างไรกันนะ ช่างน่าคิดไม่น้อยทีเดียว และโชคดีมากที่ไม่สะดุดผิดตำแหน่งจนหน้าคว่ำเลือดโชกเพราะมองอะไรไม่เห็น

เธอยิ้มให้โภไคย เมื่ออีกฝ่ายยังเงียบไม่ยอมเอ่ย

“แม่หญิงคงติดตามท่านราชครู แลรับใช้ใกล้ชิดมานานแล้ว จึ่งสามารถปรนนิบัติเยี่ยงนี้ โดยท่านราชครูมิได้ระแวงภัยใด”

ถึงจะสงสัยว่าปกติปัทมราชครูอยู่คนเดียวหรอกหรือ แต่สีหน้าแววตาที่แสดงออกยังคงยิ้มน้อยๆ ให้โภไคยเช่นเดิมไม่เปลี่ยน เธอต้องไม่แสดงพิรุธใดแม้ได้ยินคำพูดของเขาที่สะดุดหู

“เหตุนี้... ท่านโภไคยควรเรียนถามท่านราชครูดอกเจ้าข้า” ตอบไปอย่างผู้มีกิริยางาม ส่วนความหมายของคำพูดนี้บ่งบอกว่าทุกอย่างอยู่ที่ดุลพินิจของปัทมราชครูทั้งสิ้น ว่าเขาจะให้คำตอบไหน ส่วนเธอเป็นผู้ใต้ปกครอง ย่อมไม่ควรเอ่ยอะไรเกินขอบเขตของตนเอง ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีนัก

อีกทั้งเธอไม่ควรหาเรื่องด้วยการบอกรายละเอียดใดๆ ออกไปเมื่อยังไม่รู้อะไรแน่ชัดกับสภาพในตอนนี้ เวลาก็ล่วงมาหลายวัน จนป่านนี้เธอยังไม่ได้เห็นสภาพแวดล้อม วัฒนธรรม หรือความเป็นอยู่ มากไปกว่าสิ่งที่ได้เห็นมา

“แม้นใบหน้ามิได้เฉิดฉันท์ แต่วาจาแลน้ำเสียงนั้นเป็นเอกยิ่งนัก สมแล้วที่ท่านราชครูจักเรียกใช้ปรนนิบัติใกล้ชิด”

เธอเริ่มรู้สึกถึงอารมณ์ถากถางกลายๆ “ข้าพเจ้าเป็นเพียงใบไม้ที่ตกในลำธาร กระแสน้ำพัดไปทางใดย่อมเป็นไปเช่นนั้นดอกเจ้าข้า” หวังว่าเขาจะเข้าใจความหมาย

เธอใช้คำพูดนี้เพราะต้องการบรรเทาอารมณ์ของเขาที่ดูเหมือนจะแดกกัน เพราะถ้าหากโภไคยฉลาดพอ เขาย่อมรู้ว่าชะตากรรมของเธอนั้นไม่ได้เป็นผู้ลิขิตเอง อีกทั้งจากสิ่งที่เห็น คนใกล้ตัวปัทมราชครูล้วนเก็บงำกิริยา ไม่มีใครแสดงอาการหรือคำพูดมากเกินไป ล้วนอยู่ในระเบียบเคร่งครัดโดยราชครูไม่ต้องมาพูดย้ำ และเธอก็มีชะตากรรมไมต่างจากคนอื่น นั่นรวมถึงว่าเธอจะอยู่หรือตาย ย่อมขึ้นกับความเมตตาของปัทมราชครูต่างหาก และนั่นไม่แตกต่างจากประโยคคำพูดที่เอ่ยออกไปสักนิด

“เช่นนั้น... ข้าพเจ้าคงเป็นดั่งขอนไม้จมนิ่งใต้บึงใหญ่ ถูกโคลนตมจอกแหนพันรั้งทับถมไว้ ช่างไร้แสงแห่งชีวา”

นี่เขาจะเล่นเกมลับสมองหรืออย่างไร เพราะคำพูดที่เขาเอ่ยย่อมแปลความหมายว่าเขามีโชคชะตาเลวร้ายยิ่งกว่าเธอ เพราะเขานั้นจมอยู่ใต้น้ำ แต่เธอยังลอยอยู่ มีโอกาสรอดมากกว่าเขา จึงเอ่ย...

“ชนเหล่าใดย่อมมีเหตุให้เป็นไป ดั่งผลไม้ยากจักมีต้นเป็นปุยเมฆมิใช่ฤๅเจ้าข้า” ความหมายของคำพูดประโยคนี้คือบอกเขาว่าใครจะเป็นอย่างไรย่อมมีต้นเหตุของเรื่องนั้นทั้งสิ้น สิ่งที่เขากำลังเป็นหรือรู้สึกก็เช่นกัน ย่อมมีเหตุแห่งผลที่เกิด ส่วนเธอก็ไม่แตกต่าง เพียงแต่ในส่วนของเธอนั้นยังไม่รู้ว่าต้นเหตุคืออะไร ถึงได้เกิดผลที่พิลึกมากถึงเพียงนี้

โภไคยยิ้มกว้างแบบไม่เห็นฟัน สีหน้าแววตาของเขานั้นดูฉลาดเฉลียวรู้ทันเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อเขายิ้มกว้าง จึงเห็นว่าเขามีเขี้ยวมหาเสน่ห์เสียด้วยแน่ะ ทำให้หล่อเหลาขึ้นมาเป็นพะเรอเกวียนเชียว

เขาว่า... “ข้าพเจ้าทุกข์ด้วยว่ามิรู้ทุกข์ของตนเริ่มจากที่ใด ใจรุ่มร้อนถวิลหานางในฝัน ทว่าเมื่อลืมตากลับลืมเลือน ครั้นเห็นแววตาแม่หญิงวันนั้นตรงประตูเรือนท่านราชครู ส่วนลึกจึงรู้สึกสงสัย ว่าเหตุใดจึ่งคุ้นตา ด้วยเหตุว่าความจริงเรามิเคยพบกัน”

เขาเข้าเรื่องที่ต้องการจะถามแล้ว บุญรักษายิ้มให้ ในใจสงสารโภไคยไม่น้อย แต่ก็ต้องเอ่ยว่า “ท่านคงเป็นผู้เจ็บไข้ แต่มิอาจรู้ว่าตนนั้นโดนพิษใด จึ่งยากแก้ไขกระนั้นฤๅเจ้าข้า” พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงให้ความเป็นมิตรไปบ้าง เผื่อเขาจะได้บรรเทาความทุกข์อันไม่รู้ที่มานี้

ชายหนุ่มยิ้มเศร้า เขาส่ายหน้าช้าๆ “ข้าพเจ้าย่อมรู้เหตุแห่งตนเป็นแน่แท้ เพียงแต่ส่วนลึกช่างประหลาดล้ำ ใคร่มองหาผู้ปลดทุกข์นี้เป็นที่ยิ่ง แต่กลับมิทราบได้ว่าต้นเหตุนั้นคือผู้ใด เพียงเห็นแม่หญิง...ก็ดั่งว่ามีทุกข์ในใจมิแตกต่าง จึ่งใคร่เจรจา ด้วยหวังว่าคงพบมิตรผู้ตกยาก มิได้โดดเดี่ยวเกินไปนักเจ้าข้า”

ไม่สงสารก็ต้องสงสารโภไคยละคราวนี้ เพราะเธอเองที่ไม่รู้สาเหตุว่ามาอยู่ที่โลกแห่งนี่ได้อย่างไร ยังอยากกลับบ้าน อยากพ้นสภาพที่กำลังเป็นก็ยังทำไม่ได้ และทรมานนัก ส่วนโภไคยนั้นกลับไม่รู้อะไรเลยว่าตนเองกำลังเป็นอะไร เจอกับอะไร จึงทำให้สงสารเขาเมื่อเธอรู้ดีว่าต้นเหตุของทุกข์ครั้งนี้มาจากใคร ครั้นจะให้พูดความจริงก็คงหาเรื่องเข้าตัว จึงได้แต่เอ่ยเพียง...

“สักวันท่านคงหายจากทุกข์นี้ ข้าพเจ้าก็เช่นกัน ไยฤๅ...ที่สักวัน ใบไม้นั้นจักมิถึงฝั่งได้ ย่อมผิดจากความจริงเป็นแน่แท้ แลขอนไม้ของท่านนั้นจักมิได้มีผู้พบเห็น ย่อมมิได้เช่นกัน แม้นว่ามิได้พบเห็นเร็ววัน แต่เมื่อใดที่น้ำในบึงแห้งผาก ขอนไม้ที่เต็มไปด้วยโคลนตม จอก แหน ย่อมพ้นได้ ยิ่งเมื่อมีผู้ใดสามารถนำขึ้นจากก้นบึง และปัดเป่าโคลนตมจอกแหนให้สิ้นไป มิแคล้วว่าจักเห็นขอนไม้นั้นเป็นแน่แท้ แลมิใช่ขอนไม้ดั่งยลเพียงชั่วครู่ แต่จักเป็นกำปั่นบรรจุของล้ำค่าดอกเจ้าข้า”

เธอให้กำลังใจโภไคยได้เท่านี้ เธอบอกเขาว่าอย่าดูถูกตัวเอง อย่าคิดว่าจะไม่มีวันพ้นทุกข์ อย่าคิดว่าไม่มีใครจะไม่เห็น หากสิ่งๆ นั้นมีค่าในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นวันไหน เมื่อไร เวลาใด คุณค่าในตัวย่อมไม่ได้ลดลงเป็นแน่แท้

โภไคยยิ้มรับ เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย “นับถือแม่หญิงในคำสั่งสอนนี้ เจรจามินาน กลับทำให้ข้าพเจ้าตาสว่าง มิได้มืดบอดอีกต่อไป”

บุญรักษารับไหว้อีกฝ่ายแทบไม่ทัน

ชายหนุ่มเอ่ย “ข้าพเจ้าดีขึ้นยิ่งนัก เจรจาครานี้เป็นคุณเหลือล้น หากครั้งหน้าข้าพเจ้าขออนุญาตท่านราชครูมิผิดธรรมเนียม จักเชิญแม่หญิงสนทนาในคราต่อไปเจ้าข้า” เขายิ้มให้อย่างขอบคุณ ก่อนจะลุกขึ้น ผายมือไปทางกระโจม

หญิงสาวยิ้มรับและลุกขึ้นอย่างงงๆ เช่นกัน สับสนกับผู้ชายพวกนี้ ใช้งานเสร็จก็ไล่ จึงทำตัวไม่ถูกเมื่อโภไคยยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จึงทำได้เพียงจากมา

“แม่หญิง เราสอง...มิเคยพบพานมาเลยนั้น เป็นเรื่องจริงแท้ฤๅเจ้าข้า”

เป็นคำถามที่ไม่กล้าให้คำตอบ บุญรักษาหันกลับมา จึงเห็นว่าโภไคยก้าวเข้ามาหาตนเอง เขาเว้นระยะไว้พองาม ไม่น่าเกลียดสำหรับการพูดคุยระหว่างกัน

บุญรักษาเอ่ย “จริงแท้เจ้าข้า” ตอบและหันหลับเตรียมกลับกระโจมพัก

โภไคยตีคู่โดยเว้นระยะห่างไว้ “ข้าพเจ้ารับหน้าที่คุ้มภัยแก่แม่หญิง ตามคำสั่งของท่านราชครู นั่น” เขาหยุดเดิน ทำให้บุญรักษาต้องหยุดไปด้วย หญิงสาวมองมือของเขาที่ชี้ไปทางกระโจมหลังหนึ่ง อยู่เยื้องตรงกันข้ามกับกระโจมพักของปัทมราชครู “ที่พักของข้าพเจ้า”

บุญรักษายิ้มให้เขา พยักหน้าว่าเข้าใจแล้ว “ขอบพระคุณยิ่งนักเจ้าข้า”

โภไคยยิ้มรับน้อยๆ “แม่หญิงเรียกข้าพเจ้าได้ทุกเพลา อย่าได้เกรงใจเทียวหนา” พูดจบก็ผายมือเป็นความหมายว่าให้เธอเข้ากระโจมพักของตนเองไปก่อน

ในเสี้ยววินาทีที่เธอแอบมองโภไคยผ่านช่องว่างหน้ากระโจม จึงเห็นว่าชายหนุ่มมองเธออยู่ก่อนนี้ เขาหันหลังเข้ากระโจมพักของตนเองเมื่อเห็นว่าเธอเข้ามาเรียบร้อยแล้ว

บุญรักษาถอนหายใจกับสิ่งที่เห็น ดูเหมือนเค้าลางความยุ่งยากมาเยือนเสียแล้วกระมัง



- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -


ตอนที่ 18


ตัวอักษรไม่คุ้นเคยจากตำราในมือคืองานที่บุญรักษาต้องเร่งจำ ปัทมราชครูสั่งให้เธอศึกษาตัวอักษรพวกนี้ก่อนจะออกไป เขาต้องการให้เธออ่านออกเขียนได้ ตำราสารพัดสิ่งจึงถูกบรรจุอยู่ในหีบไม้ที่เห็น ถูกนำออกมาจากเรือน ติดตามมาจนถึงที่นี่ ซึ่งตอนนี้วางอยู่ตรงมุมหนึ่งของกระโจม ไม่ห่างจากหัวเตียงของราชครู

หญิงสาววางตำราในมือไว้บนโต๊ะไม้ตัวเตี้ยตรงหน้าอย่างหมดแรง โต๊ะตัวนี้ราชครูให้บ่าวจัดหามาไว้ให้สำหรับการเรียนหนังสือของเธอ ขนาดพอๆ กับโต๊ะนักเรียนระดับประถมของเมืองไทยก็เข้าเค้า แตกต่างตรงความสูงที่พอดีสำหรับคนนั่งกับพื้น

บุญรักษาได้แต่ถอนหายใจ หยิบตำราเล่มเดิมขึ้นมา มองอย่างไรก็ไม่เข้าหัว ปัทมราชครูคิดว่าเธอเป็นอัจฉริยะหรืออย่างไรกันนะ ที่เพียงแค่โยนตำราให้อ่านแล้วจะรู้ได้ทันทีอย่างนั้นหรือ คาดหวังสูงไปหน่อยกระมัง เธอก็แค่มนุษย์คนหนึ่งที่ยังหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร จริงแท้แล้วที่นี่คือที่ไหน เธอก็ไม่รู้สึกนิด แล้วนั่นจะให้เธอมานั่งจำตัวอักษรที่ไม่รู้ว่าตัวไหนเป็นตัวไหน เธอจะรู้เรื่องได้สักเท่าไรกันเชียว ถ้าหากเป็นภาพก็คงง่ายกว่านี้ พอจะดำน้ำไปได้บ้าง แต่นี่ให้จดจำโดยไม่เข้าใจและเขายังไม่สอน ช่างจนปัญญา

หญิงสาววางตำราลงอีกรอบหนึ่ง จ้องมองอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร สมองกลับจินตนาการถึงทางหนีว่าน่าควรไปด้วยวิธีใดได้บ้างหลังจากนี้ ปล่อยตำราที่มีลักษณะคล้ายสมุดไทยขาว ขนาดกว้างราวหนึ่งฝ่ามือ ยาวมากกว่าสองฝ่ามือ ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้านอนนิ่งอยู่บนโต๊ะเช่นนั้น

บุญรักษากอดอก ครุ่นคิดถึงปัทมราชครู เขาไม่อยู่ทุกวันพระ ช่างเป็นการทำธุระที่ขัดแย้งในความรู้สึกไม่น้อย เขาน่าจะไปหานางอมรรตัย แต่เขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขา ส่วนเธอเท่ากับว่ามีโอกาสพาตัวเองหนีสี่วันในหนึ่งเดือน

‘แต่ติดโภไคยนะแก’ คนคิดหนักขมวดคิ้วจนแทบชนกัน ไม่แน่ว่าอาการของโภไคยที่มองเธอจนลับตาก็คือกำลังทำตามคำสั่งของราชครู คอยเฝ้ามองความเคลื่อนไหวของเธอก็เป็นได้ อย่าเพิ่งคิดเข้าข้างตัวเองแบบผู้หญิงซึ่งนับว่าเป็นอันตรายนัก

เธอไม่ลืมคำพูดจากบทสนทนาของพวกเขา แค่สั้นๆ แต่ก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เห็นอนาคตตนเองรำไรหากไม่หนีเสียที

หญิงสาวยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง อีกมือหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ เคาะนิ้วเมื่อใช้ความคิดถึงเรื่องนี้

ผ้านุ่งของเธอก็เป็นผ้าถุงกับสไบ การหนีคงต้องจัดการใหม่เพื่อให้สะดวกที่สุด ผ้าคลุมผืนนั้นของท่านราชอยู่ในหีบผ้าของราชครู ถูกใส่แม่กุญแจเอาไว้ คงต้องหาทางเก็บแยกออกมาโดยอีกฝ่ายไม่รู้ตัว

แล้วก็จินตนาการถึงเหตุการณ์ลำดับต่อไป ว่าถ้าหากได้ผ้าคลุมคืนมาแล้ว สิ่งของที่สามารถนำไปแลกเสบียงกรังที่เธอก็ต้องตระเตรียม เครื่องประดับราชครูก็มีอยู่บ้าง เธอน่าจะขอยืมไปสักชิ้นสองชิ้นเผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน ยังไม่อยากอดตายหรือไปเป็นขอทานเร็วนัก หรือไม่ก็อาจหาเรื่องขออะไรจากเขาก็น่าจะพอได้ เธอไม่อยากเป็นขโมย

ทว่านั่นจะทำให้ราชครูไหวตัวทันหรือไม่ว่าเธอกำลังวางแผนอะไรหรือกำลังคิดอะไร ซึ่งต้องทบทวนใหม่ตรงจุดนี้เมื่อความคิดหลายอย่างตกผลึกแน่แล้ว

ส่วนวันหนี เธอคงต้องเลือกวันที่เขาออกไปตามล่าเฒ่าทับทิม หรือไม่...ก็เป็นวันพระรอบต่อๆ ไป ต้องมองหาความเป็นไปโดยรอบค่ายด้วยว่าเวรยามเป็นเช่นไร มีคนเท่าไร และเมื่อได้จังหวะ รู้ทางหนีทีไล่ วางแผนให้รัดกุมแน่แล้ว โอกาสหนีไปจากที่นี่ย่อมมีแน่นอน และนั่นทำให้ยิ้มออกมา

ทว่าคิดไปคิดมาเริ่มปวดสมอง ขอนอนหลับสักงีบหนึ่งเถอะ

“แม่หญิงรัก”

เสียงเรียกนี้ทำให้บุญรักษาหันขวับทั้งสภาพเคลิ้มง่วงเต็มแก่ เธอเพ่งมอง “ท่านราช” เกือบอุทานแต่ก็ยั้งปากตนเองไว้ได้ ระดับเสียงไม่ดังมากไปกว่าการกระซิบ

เปรี้ยง!

เสียงฟ้าผ่าดังกึกก้องไปทั่วทันทีทันใด ความดีใจหายไปในพริบตา เสี้ยววินาทีต่อมากระโจมพักหลังนี้ถูกแยกชิ้นส่วนกระจัดกระจาย แสงแดดในยามเย็นทำให้รู้ว่าโภไคยยืนอยู่ไม่ไกลจากเธอ

“ท่านราชครูกล่าวไว้มิได้ผิดไปเทียว” น้ำเสียงของโภไคเหี้ยมเกรียมและเย็นชา

บุญรักษาแหงนมอง รอยยิ้มของโภไคยดูน่ากลัวเหลือเกิน ช่างเหมือนรอยยิ้มของราชครูเวลาจะลงมืออะไรสักอย่างแบบเลือดเย็นเข้าไปทุกที

เธอมองท่านราช รายนั้นก็ยิ้มเย็นชาน่ากลัวนัก บอกว่าพร้อมและรู้ทันกับสิ่งที่ต้องเจอในตอนนี้เช่นกัน ซึ่งนั่นทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ท่ามกลางสนามรบของสงครามสุดอันตราย ผู้ชายแต่ละคนในโลกนี้ที่เธอได้อยู่ใกล้ล้วนมีความน่ากลัวกันทุกคน พวกเขามีพื้นหลังอย่างไรกันแน่

บุญรักษาสงสัย ทว่าในความสงสัยก็ค่อยๆ ขยับคลานห่างออกมา สายตาของพวกเขาบอกให้รู้ว่ารอให้เธอพ้นไปจากตรงนี้และไม่อยากให้เป็นอันตราย นั่นจึงต้องพาตัวเองไปหลบใต้เตียงของราชครู พอให้พ้นรัศมีการปะทะ

แต่เชื่อไหม... เท้าของเธอกลับทำงานได้ดียิ่งกว่า เมื่อรู้ตัวชัดแล้วว่ากำลังลุกขึ้นทั้งที่ดวงตายังจ้องเขม็งไปยังทั้งสองที่เผชิญหน้ากัน ไอสังหารคุกรุ่นแผดเผามากขึ้นทุกทีจนสัมผัสได้ และเธอไม่ควรอยู่ใกล้ไม่กว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น

เมื่อบุญรักษาห่างออกมามากแล้ว ไม่ได้อยู่ในกระโจมเช่นเดิมอีก แสงเจิดจ้าและเสียงดังราวกับฟ้าร้องฟ้าผ่าจนแผ่นดินสะเทือนไหวก็เกิดขึ้นทันที สภาพเช่นนี้ช่างไม่แตกต่างจากวันพายุกระหน่ำที่เรือนพักของราชครูและเธอฝันเห็นท่านราช

หรือไม่... ในวันนั้นอาจเกิดการปะทะกันเช่นที่เห็นนี้ก็เป็นได้

ทุกอย่างเป็นไปอย่างน่ากลัว เสียงอื้ออึงมีมากจนยากจะรับรู้อีก บุญรักษาเพิ่งรู้จักอาการหูดับและตาบอด เธอมองอะไรไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไร ไม่รู้ว่าเกิดความเป็นไปอย่างไรบ้าง

“ตื่นๆ”

ใครมาเรียกให้เธอตื่น ไม่กลัวตายหรืออย่างไรกัน คนเขาสู้กันหนักหน่วงออกปานนั้น

“หากเจ้ามิตื่น พี่จักจูบเรียกขวัญ แม่รัก”

นั่นทำให้ต้องสั่งตนเองให้ลืมตา บุญรักษาเห็นแต่ความพร่ามัว กระบอกตาปวดแปลบ กว่าครู่หนึ่งที่ปรับตัวได้จึงเห็นปัทมราชครูอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะที่เธอนั่งอ่านตำราก่อนนี้ เขากำลังมองเธอ ชันเข่าข้างหนึ่งขึ้นมา วางแขนพาดบนหัวเข่าด้วยท่าทางทรงอำนาจนัก

“ละเมอกระไรรึเจ้า ร้องเอะอะมะเทิ่งน่ากลัวนัก ประหนึ่งอยู่กลางสงครามเช่นนั้นแล” เขาพูดกลั้วหัวเราะ

บุญรักษายิ้มไม่ออก มองโดยรอบเร็วไว กระโจมพักยังอยู่ดีเหมือนเดิมทุกประการ

‘ฝันได้สนุกสุดๆ ไปเลยฉัน’ คิดแล้วก็ยิ้มแหย

“ยามเย็นก่อนค่ำ ห้ามเผลอหลับเทียว เช่นนั้นจักฝันร้าย แม้เข้าเช้าวันใหม่เจ้ายังโวยวายให้ผู้คนแตกตื่น คำโบราณว่านี้ล้วนจริงแท้” พูดจบก็ชะโงกมาหอมหน้าผากเธอหนึ่งทีอย่างไม่ทันตั้งตัว “เช้าแล้วเจ้า ไยมิหลับนอนให้เป็นที่เป็นทาง ฟุบกับโต๊ะอ่านเขียน จักสำแดงให้พี่เห็น ว่าเจ้าขยันยิ่ง...เช่นนั้นฤๅ”

ยักคิ้วหลิ่วตาให้หน้าแดงเสียนี่

คนโดนหยอกล้อปั้นหน้าไม่ถูกไปเลยทีเดียว ยิ้มให้เขาอย่างฝืดเฝื่อน เธอหลับยาวขนาดนี้เลยหรือ

แต่โอย... ปวดคอปวดหลังชะมัด แทบขยับตัวไม่ไหว เหมือนจะเป็นเหน็บเสียด้วยสิ ละเมอเพ้อเจอได้สุดๆ ไปเลย ต้องโทษที่คิดหาทางหนีจนเก็บไปฝันเป็นเรื่องเป็นราว แต่ช่างเป็นเรื่องราวที่เหมือนจริงมาก

เธอขยับถอยหลัง พยุงตัวเองให้นั่งได้แบบไม่ทรมานนัก ขาเป็นเหน็บจนน้ำตาแทบไหล ทว่าในจังหวะที่ไม่ทันตั้งตัว ราชครูก็สอดแขนมาจากด้านหลัง อุ้มเธอขึ้นโดยไม่บอกไม่กล่าว

“ไปแอบซนที่ใด ฤๅคิดอ่านเรื่องใดรึแม่รัก”

บุญรักษาส่ายหน้ารัว กะพริบตาปริบๆ “เป็นเหน็บเจ้าข้า” รีบบอกเพราะขยับเนื้อตัวแต่ละทีช่างทรมานเหลือเกิน

ปัทมราชครูหัวเราะงอหงาย เป็นครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายยิ้มและหัวเราะเต็มเสียง แต่นั่นก็ยังดูมากไปด้วยระเบียบและไว้ท่า บ่งบอกความงามสง่าในแบบที่เขาเป็น

“แม่หลีกเลี่ยงคำตอบพี่ จงตอบมาโดยไว ไปซนที่ใดมา” พูดจบก็ทำท่าจะปล่อย

แต่นั่นยิ่งทำให้บุญรักษากัดฟันกรอด น้ำตาไหล อยากงับคอของอีกฝ่ายที่แกล้งกัน รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเหน็บก็ควรปล่อยให้เธออยู่นิ่งๆ จนกว่าจะหายดี แต่นี่ขยับไม่ได้หยุด

“ไม่ได้ซนเจ้าข้า แค่มิทราบว่าจะอ่านตำราให้ได้ตามคำสั่งท่านราชครูเยี่ยงไร เมื่อความรู้ในภาษาอ่อนด้อย ไร้พื้นฐานเจ้าข้า”

เขาจุ๊บหน้าผากของเธอเร็วๆ “เช่นนั้นก็จงหายเจ็บป่วยโดยไวเถิด” พูดจบก็จูบเธอเสียอย่างนั้น

ปากเปื่อยไปแล้วกระมัง

“ค่อยหายคิดถึง” พูดจบจึงพาเธอมาวางไว้บนเตียง

บุญรักษาไม่พูดอะไร รีบสังเกตรอบๆ ว่ามีความผิดปกติใดบ้าง เพราะแน่ใจว่ายากจะเป็นไปได้กับการหลับทั้งสภาพนั้นโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถตลอดคืน

ปัทมราชครูขยับเข้ามา ขยับกอดให้เธอได้หนุนแขน รอยยิ้มสุขใจดูแปลกกว่าที่เคยเห็น

เธอกำลังถูกตบตา... ใช่หรือไม่



- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -



ตอนที่ 19



เธอกำลังถูกตบตา... ใช่หรือไม่ ความรู้สึกบอกอย่างนั้น บอกว่ามีการเล่นตลก

สิ่งที่เห็นจะใช่ความฝันจริงหรือ เหมือนจริงเหลือเกิน

“มองพี่เยี่ยงนี้ คงตื่นเต็มตาแล้วกระมัง เช่นนั้นจงเร่งท่องอักขระอักษรให้พี่ฟังเถิดเจ้า”

หา! งานเข้าแต่เช้า

“ไป” พูดแล้วก็แทบจะแซะเธอให้พ้นจากเตียง

ไม่ต้องถามว่าจะอยู่ตรงนี้อีกนานไหม เพราะรีบเผ่นมาถึงส่วนอาบน้ำในกระโจมอย่างรวดเร็วมาก มือหยิบขัน ตักน้ำ หยิบก้านข่อยจิ้มเกลือ ขัดถูฟันและลิ้นรัวๆ เพื่อความสะอาด ป้องกันกลิ่นปากด้วยอุปกรณ์ที่ดีที่สุดในโลกนี้

‘แหวะ’ ทั้งขม ทั้งฝาดเงื่อน ทั้งเค็มปี๋ ปรับตัวไม่ได้สักที แปรงฟันทีไรก็แทบขย้อนอะไรที่มีในท้องออกมา หัวสั่นหัวคลอน ขนลุกกันไม่หยุดเลยทีเดียว และนั่นทำให้ต้องใช้ความพยายามอดกลั้นอย่างมาก

ขัดฟันไปก็ขนลุกขนพองไป

“ขัดฟัน ไยจึ่งทำหน้าเหมือนนักโทษถูกรีดเอาความกระนั่นเล่า แม่รัก”

ใบหน้าหล่อๆ ที่โผล่มาทักทายอยู่ด้านข้างโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้ความพยายามอดกลั้นพังทลาย บุญรักษาพ่นทุกสิ่งอย่างที่มีในปากในท้องออกมา

หมดสภาพกันเลยทีเดียว ไม่เหลือภาพผู้หญิงน่ารักอันพึงมีเพราะเขานี่แหละ

บุญรักษารู้สึกถึงรสเปรี้ยวจัดจนขมฝาดแสบคอแสบปาก ยิ่งผสมรสของก้านข่อยแล้วช่างสุดจะบรรยาย ผสมกันเข้าไปเป็นรสชาติที่ยากเอ่ยถึงสรรพคุณ โชคดีที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าน้ำขมๆ เพราะเพิ่งตื่น ไม่อย่างนั้นคงไม่งามเสียยิ่งกว่านี้

ราชครูทำลายความอดทนของเธอได้รวดเร็วนัก

“ยังมิได้หลับนอนร่วมหอ แม่จักเตรียมตัวท้องกับพี่แล้วรึ”

บุญรักษาชะงัก มือที่หยิบขันตักน้ำค้างไว้ที่เดิม หันขวับ มองเขานิ่งๆ เพราะพูดไม่ออก ก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง กลั้วปาก บ้วนทิ้งไปเร็วไว ส่วนปัทมราชครูยังลูบหลังให้ประหนึ่งมีน้ำใจเหลือล้น

ขมคอ ฝาดลิ้น และจุกแต่เช้าเลยทีเดียว

เขาพูดมาแต่ละคำล้วนเกินคาดหมาย ไม่เคยตั้งตัวรับสถานการณ์ได้สักครั้ง มาแต่ละทีเธอโดนไปทุกดอก ยิ่งท่าทางของผู้ชายจอมเชิด มากระเบียบ กับคำพูดเมื่อครู่ ไม่น่าจะเข้ากันสักนิดเดียว แต่สำหรับปัทมราชครู... มันใช่มาก คำพูดและท่าทางที่แสดงออกเข้ากันมาก เป็นตัวของเขามาก จะเป๊ะอะไรได้ขนาดนั้นคะพ่อคุณ

หญิงสาวรีบล้างหน้าล้างตา ล้างปากได้สะอาดหมดจดดีมากแล้วจึงหันกลับมายิ้มให้เขา ทว่ายิ้มอ่อนหวานกลายเป็นเจื่อนลงเมื่อเห็นว่าสีหน้าแววตาของราชครู คนหวังดีที่คอยลูบหลังให้ไม่หยุดแม้ในตอนนี้ช่างยิ้มได้เป็นเอกลักษณ์เหลือเกิน เขาแย้มยิ้มเล็กน้อยจนเหมือนแค่ยกมุมปากขึ้นพองาม หากดูเจ้าเล่ห์นักโดยเฉพาะแววตา ราวกับว่าเจตนาแท้จริงของเขาคือต้องการเห็นเธอในสภาพนี้ ดึงเธอเข้าไปใกล้ๆ เข้าอย่างช้าๆ แกล้งทรมานเธอด้วยความสุข

“แม่จักกินเนื้อพี่กระนั้นฤๅ ดีจัง พี่ชอบนักแล” พูดจบก็ประชิดตัว

คุณพระ! ส่งเธอไปอยู่ชายแดนเถอะ ปัทมราชครูเล่นแบบนี้ทุกวันเธอตายแน่ๆ ดูเหมือนจะรับมือยากขึ้นทุกขณะ

‘ตาย เขาโน้มตัวลงมาแล้ว!’ บอกตัวเองด้วยใจระทึก

บุญรักษาเกร็งรับสถานการณ์ ใจเต้นแรง กลัว...แต่ก็ยังยิ้มให้ ทว่าคงเป็นยิ้มฝืดเฝื่อนจนเห็นว่าแยกเขี้ยวก็เป็นได้ เมื่อเริ่มจะปั้นหน้าไม่ถูก โดยเฉพาะกลิ่นหอมจากเนื้อตัวเขาที่รดรินใกล้เข้ามา

“ส่งสำรับเจ้าข้า”

ใบหน้าที่โน้มช้าๆ เหมือนจะแกล้งกันหยุดชะงักทันใด ใบหน้าหล่อเหลาของเขานั้นห่างจากหน้าของเธอเพียงคืบเดียว

ว่าแต่... จะมีใครตายรับเช้านี้อีกใช่ไหม ดูแววตาของเขาที่แลไปยังต้นเสียงเธอเริ่มเสียวสันหลัง พอเดาออกว่าเขากำลังโกรธมากที่ถูกขัดจังหวะ

หญิงสาวแอบวางขันไว้ที่เดิมโดยไม่ขยับตัว ในจังหวะที่ปัทมราชครูกำลังยืดตัวตรง จะหันหลังไป เธอก็รีบคล้องคอของเขา โน้มใบหน้าหล่อเหลานั้นลงมา ทว่าปัทมราชครูกลับขืนตัวไว้อย่างแข็งแรงนัก เขาจับมือของเธอเอาไว้ แลมองด้วยหางตาให้รู้ว่าไม่ชอบใจอย่างยิ่ง

บุญรักษารีบขยับเข้าไปหา มองเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ถ้าหากจะขอชิมเนื้อท่านราชครูสักนิด... ท่านราชครู จักอนุญาตหรือไม่...เจ้าข้า” พูดจบก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย

มารยาล้านเล่มเกวียนมาเลยคราวนี้ บุญรักษาค่อยๆ ช้อนตามองเขาอีกครั้ง มือทั้งสองยังคล้องต้นคอของชายหนุ่ม มองอย่างออดอ้อนสักนิดก็แล้วกันนะ น่าจะพอถูไถไถ่ชีวิตหัวหน้าผู้ส่งสำรับกับบ่าวถือสำรับได้บ้าง จนป่านนี้ยังสยองกับคราวนั้นไม่หาย

ราชครูเหลือบแลเธอด้วยความนิ่งสงบ เขาไม่พูดอะไร ทว่าฝ่ามือใหญ่ๆ อุ่นๆ กลับประคองหลังศีรษะของเธอเร็วพลัน การที่เขาโน้มตัวและก้มหน้าลงมานั้นย่อมเป็นคำตอบชัดเจน

“ยินดียิ่ง” เอ่ยดั่งกระซิบก่อนแนบริมฝีปาก

ปากของเขาอุ่นจัดมาก บุญรักษารู้สึกถึงการละเลียดไล้ เขาชิมริมฝีปากของเธออย่างเอาแต่ใจไม่เคยเปลี่ยน ทว่ากลับอ่อนหวานนุ่มนวลนัก ทำได้อย่างไรนั้นสุดจะล่วงรู้ เขาจูบและกอดเธอดั่งจะหลอมกายของเขาเข้าหา แรงกอดจากวงแขนของเขายิ่งทำให้ร่างกายแนบชิด เธอสัมผัสไออุ่นจากเรือนร่างและผิวกายตึงแน่นประหนึ่งนักรบของเขาด้วยใจที่เต้นรัว

ได้โปรด... เธอจะตายก่อนพวกนั้นเสียแล้ว ไม่น่าทำแบบนี้เลย

ปัทมราชครูทำเสมือนลืมเลือนเวลา เขาไม่รับรู้สิ่งใดรอบกายเมื่อจูบและหอมเธอ บ้างเปลี่ยนเป็นจูบแผ่วๆ คลอเคลีย ไล้สัมผัสวาบหวามจนเธอแทบกองตายอยู่ตรงนี้

เขาจะทำให้เธอตายจริงๆ

เป็นเธอเองที่ลืมเวลา มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อรู้ว่าเขากำลังสูดลมหายใจเข้าลึก ประคองศีรษะของเธอให้แนบอกเขา หยุดทุกอย่างและยืนนิ่งโดยยังคงกอดเธอเอาไว้ไม่ปล่อย

“แม้นว่ากลืนกินได้ทั้งตัว ยังยากจักรู้จัก...ว่าอิ่มหนำนั้นเป็นฉันใด”

พอเถอะค่ะ... แค่นี้เธอก็เหมือนโดนกินไม่เหลือหรอแล้ว ท่านราชครูเจ้าขา โปรดอย่าทำอย่างที่เอ่ยมาเชียว เพราะถ้าหากเป็นดั่งคำที่เขาพูด จริงแท้แล้วต่อให้แนบชิดกัน เธอก็คงต้องทนให้เขาจัดการ ไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่พร้อม ทุกเวลา ทุกสถานที่ ไม่ผิดไป

‘เอิ่ม นี่ฉันคิดอะไรของฉันกันเนี่ย’



- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -



ตอนที่ 20



“วาทะแห่งปราชญ์ไร้นามได้กล่าวไว้ จิตใจสตรียากแท้หยั่งถึง แม้นความกว้างลึกนับแสนล้านโยชน์โกฏิปฏิโกฏิย่อมมิอาจคะเนใจนาง จงพึงระวังไว้จงหนัก ถลำลึกย่อมแดดิ้นแม้นมิได้สิ้นใจ ชายใดยากจักพ้นบ่วงแห่งสตรี มีหรือ...ที่สตรีจักพ้นบ่วงแห่งบุรุษเช่นกัน ด้วยความลึกมิแตกต่าง ยากหยั่งด้วยล้วนเป็นมนุษย์” เสียงร่ายบทความดังมา

บุญรักษาตั้งใจฟัง เสียงขับขานของปัทมราชครูนุ่มนวลน่าฟังนัก ท่าทางงดงามยิ่ง สง่าภูมิฐาน หน้าเชิดหลังตรงเข้ากับรูปลักษณ์ของเขาเหลือเกิน เหมือนปราชญ์ในราชสำนักที่งามไปด้วยภูมิปัญญา

เขาถือตำราไว้ในมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งถือจอกน้ำขนาดพอดีมือ ยกจิบและวางลง สายตามองแต่ตำราในมือไม่มองไปทางอื่น ดูงามนักกับท่าทางเช่นนี้ น้ำในจอกของเขาบรรจุน้ำหวานกลิ่นหอม รสนุ่มนวลเมื่อแผ่ซ่านผ่านลิ้น นอกจากทำหน้าที่รินให้ไม่มีขาดตอน ก็จิบไปด้วยเช่นกัน

บุญรักษามองเขาด้วยความเพลิดเพลิน เสียงนั้นไพเราะจับใจ ยิ่งไม่ใส่เสื้อ นุ่งแค่ผ้านุ่งลอยชาย เกล้ามวยผมสูงเกือบกลางศีรษะ เข้ากับใบหน้าหล่อเหลานี้โดยแท้ เป็นผู้ชายหน้าคมแต่งกายคล้ายยุคไทยโบราณ ทำให้ทุกอย่างที่เป็นเขาดูงามจับใจจริงๆ

หญิงสาวแอบถอนหายใจออกมา มองตำราตรงหน้าที่อยู่บนโต๊ะไม้ตัวเตี้ย ทว่าในหัวกลับคิด

น่าเสียดาย... ถ้าหากวันนั้นเขาไม่ส่งเธอลงไปอยู่ก้นหลุม คงเคลิบเคลิ้มกับความงามผุดผาดแต่แฝงมาด้วยความแข็งแกร่งของเขา ใครจะไปห้ามใจไหว หล่อเหลาออกปานนี้ รูปร่างก็งามน่าซบนัก เสียงก็นุ่มนวลน่าฟังเป็นที่สุด เสียอย่างเดียวว่าฆ่าคนง่ายเกินไป ไม่เห็นคุณค่าชีวิตของใคร เพราะสุดท้ายหัวหน้าผู้ส่งสำรับที่เธอเพิ่งพูดคุยและนับว่าสนิทที่สุดได้จากไปแล้ว ส่วนบ่าวผู้ถือสำรับยังโชคดีที่ถูกละเว้นไว้

ปัทมราชครูบอกเพียงคนเป็นหัวหน้า ไม่รู้กาลเทศะ ย่อมต้องลงถูกโทษก่อนลูกน้อง เพราะผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมทำตามคำสั่ง ส่วนผู้บังคับบัญชาถือว่าล่วงเกิน ไม่อาจละเว้น และถึงแม้ว่าเขาจะละเว้นชีวิตคนยกสำรับ ทว่าเพียงแค่นี้ขาของเธอก็สั่นพับๆ แทบทรงตัวไม่อยู่เมื่อรู้ดีว่าราชครูทำอะไรลงไป ด้วยว่าสะท้อนเงาของเธอเช่นกัน ไม่รู้หัวจะอยู่กับตัวได้นานสักเท่าไร ถ้ายังต้องอยู่กับเขา

“แม่รัก จงต่อความ อักษรในตำราของเจ้า มีความว่ากระไรรึ”

คนถูกเรียกหลุดจากภวังค์ มองหาตัวอักษรบนกระดาษที่เหมือนสมุดไทยโบราณ แต่เป็นสีเข้มหรือที่เรียกว่าสมุดสีดำ อักษรบนนี้เขียนด้วยอุปกรณ์บางอย่างที่มีสีขาว ถ้าไม่ใช่ดินสอก็คงจะเป็นชุบ วิธีเขียนก็ใช้พู่กันหรือปากไก่จุ่มหมึกเพื่อเขียน

เธอเงยหน้าขึ้นมองปัทมราชครู คุณครูระเบียบอยู่ตรงหน้าเธอแล้วในตอนนี้ แม้ไม่มีไม้เรียวกำกับ แต่แผ่นหลังของเธอก็ร้อนวาบจากสีหน้าท่าทางของเขา เหมือนจะลงไม้ทันทีถ้าหากรู้ว่าไม่ตั้งใจเรียนกระนั้น

ขอนึกก่อนได้ไหม ตัวอักษรนี้ บวกกับเครื่องหมายหน้าตาแบบนี้ รวมกันแล้ว...

เธอยากจะร้องไห้ จำไม่ได้ว่าเขาร่ายไปถึงบทไหน ถ้าอย่างนั้น คงต้อง... “ท่านราชครูเจ้าข้า ข้าพเจ้า” พูดไม่ทันจบ เขาก็เอ่ย

“ตำราท่านว่า หมื่นพันคำสอน แม้นมิอาจช่ำชองในสิ่งนั้น ขอจงหมั่นใส่ใจ ขยันหมั่นเพียร แม้นไร้ทักษะจงเร่งเรียนให้หนัก หมั่นสอบถามครู ตั้งใจไว้แม่นมั่น เร็ววันย่อมรู้ชัด ปัญญามากน้อยย่อมเพิ่มพูน แม่จักบอกพี่ว่า เรียนเขียนอ่านมาแต่เช้า เพลาล่วงมาถึงบัดนี้ ยังมิได้ความใดกระนั้นรึ ยิ่งบทร่ายเมื่อครู่ แม่มิตั้งใจฟัง” เขาจ้องตาไม่กระพริบ

แผ่นหลังร้อนวาบๆ หนักกว่าเดิม บุญรักษายิ้มไม่ค่อยจะออก เสียวสันหลังไม่หยุด ไม่น่าเลย... ไม่น่าคิดเรื่องอื่นเลย “ขออภัยยิ่งนักเจ้าข้า” ไหว้ขอโทษและก้มหน้าลง

“แม่รักรู้รึไม่ โลกนี้น่ากลัวเยี่ยงไร ไยจึ่งมิพากเพียรให้จงหนัก วันหน้าภัยใดจักเกิด เจ้ารู้ได้ฤๅ ไยมิเร่งป้องกัน มากน้อยเขียนอ่านได้ย่อมมีคุณ ใช่เสียหาย”

“...” บุญรักษาเงียบ มองเขาอย่างสำนึกผิด

“เช่นนั้นแม่จงดู”

เธอไม่ทันตั้งตัวก็ถูกเขาคว้าหมับที่ข้อมือ ปัทมราชครูจ้องเข้ามาในดวงตาของเธอ

เสียงหวีดแหลมแสบแก้วหูดังมาก จนผงะหนี หันหน้าหลบอย่างไม่ตั้งใจ แต่ก็ติดมือของเขาที่กดไว้กับโต๊ะไม่ให้ขยับ ความน่ากลัวบางอย่างพุ่งปะทะเข้ามา ใบหน้าเนื้อตัวของเธอเหมือนโดนลมแรงๆ ตีจนแทบหงายหลัง ความมืดและหนาวเย็นโอบล้อมรอบตัว เสี้ยววินาทีต่อมามีแสงสว่างวาบ เผยโดยรอบให้เห็นทันที

เธอเห็นคนคนหนึ่ง คลุมผ้าสีดำแบบมีหมวก รู้ว่าเป็นใครแม้เห็นเพียงด้านหลัง ความรู้สึกบอกว่านี่คือนางอมรรตัย ส่วนชายหนุ่มรูปงาม แต่งกายด้วยผ้านุ่งลอยชายนั้นดูคุ้นตา

ความเย็นเยือกลอยมาพร้อมกับร่างในผ้าคลุมสีดำที่ล่องลอยไปอยู่ตรงหน้าชายคนที่เห็น เขากำลังลุกขึ้นยืน ท่าทางให้ความยำเกรงคนสวมผ้าคลุมไม่น้อย

‘ไยท่านมิใส่ใจ อ่านเขียนภาษาแห่งชนกำเนิดใหม่ จักใช้เวทย์ให้เสียกำลังฤทธิ์แห่งตน มิสมควรยกย่องดอก ประมาทเช่นนี้ย่อมเป็นจุดอ่อนนัก ข้าพเจ้าสั่งการใด ไยมิทำตาม ความรู้แค่เขียนอ่านเล็กน้อยยังมิพากเพียร วันหน้ามิเสียการใหญ่ดอกรึ’ เสียงของหญิงชราไม่มีการตำหนิชัดเจน บอกด้วยความเป็นห่วงมากกว่า

แต่บุญรักษากลับรู้ว่าในความเป็นห่วงกลับมีกระแสอำมหิตชวนขนหัวลุกเจือปน และนั่นคือความน่ากลัวแท้จริงในคำพูดคล้ายว่าเป็นห่วงนั้น

ชายคนดังกล่าวหรุบตาลง โต๊ะตัวเตี้ยคั่นกลางระหว่างทั้งสองมีตำราจำนวนหนึ่งวางไว้ให้รู้ว่าก่อนนี้กำลังทำอะไร

บุญรักษามองทั้งคู่ เพ่งมองจึงรู้ว่าผู้ชายคนที่เห็นคือปัทมราชครูนี่เอง เขาก้มหน้าแต่แผ่นหลังยังหยัดตรง รวบมือเข้าไว้ด้วยกัน กิริยาสำรวมนัก ความรู้สึกบอกว่าก่อนหน้านี้เขาต้องผ่านความกดดันมาอย่างหนักหน่วง ส่วนเรื่องที่ถูกตำหนิก็เพราะเขาไม่ทำตามสิ่งที่นางอมรรตัยต้องการ คือให้อ่านและศึกษาอักขระของชนพื้นเมืองแห่งหนึ่งโดยไม่อนุญาตให้ใช้เวทมนตร์ใด ทว่าปัทมราชครูกลับใช้อิทธิฤทธิ์ที่เพิ่งได้มา ดูดซับความรู้เพราะต้องการประหยัดเวลาและแม่นยำกว่านัก

ทว่านั่นผิดจุดประสงค์ที่นางต้องการ!

หญิงสาวรับรู้ทุกอย่างประหนึ่งประสบเหตุการณ์นี้ด้วยตนเอง คำพูดของนางอมรรตัยดั่งว่าเมตตา ทว่าบุญรักษาเริ่มจับทางได้ เป็นลักษณะท่าทางและคำพูดเช่นเดียวกับปัทมราชครูที่เคยพบเห็นเมื่อเขาไม่ได้อย่างใจ หรือพบเหตุผิดพลาด แต่นางอมรรตัยอะไรนี่น่ากลัวกว่าปัทมราชครูนัก รังสีอำมหิตหนักกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า

ในเสี้ยววินาทีไม่คาดคิด ปัทมราชครูงอตัวล้มลงกับพื้น เขาเกร็งจนตัวงอ มือกำแน่น สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดทรมาน เขากำลังถูกความรู้สึกที่ถูกเข็มเป็นล้านเล่มทิ่มแทง ความเย็นจัดโอบล้อมกัดกินเข้าไปจนถึงกระดูกจนเหมือนถูกป่นในทุกวินาทีที่กำลังหายใจเข้าไป และนั่นคือการลงโทษ

เลือดสดๆ ไหลออกมาจากมุมปากของเขา ใบหน้าหล่อเหลาเป็นที่สุดกลับบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด เจ็บเหลือประมาณ แม้เป็นแค่ช่วงสั้นๆ ไม่ถึงสามวินาทีแต่กลับเหมือนนานเป็นชาติเมื่อถูกลงโทษเช่นนี้

ปัทมราชครูกระอักเลือด ตัวของเขาสั่นเทิ้มกับพื้นเช่นนั้น นี่คือความเมตตาที่สุดแล้วสำหรับคนที่ขัดคำสั่งนางอมรรตัย

“สามีเอกแห่งข้าพเจ้า อย่าได้ทำเยี่ยงนี้อีก แม้นผิดคำสั่งเพียงน้อยนิด ขัตติยะเยี่ยงท่านควรละอาย ให้พากเพียรจงพากเพียร อย่าได้กระทำเยี่ยงนี้อีก จงอย่ามีซ้ำ”

แรงบีบอัดกระแทกร่างกายปัทมราชครูอีกระลอก เลือดสดๆ พุ่งออกมาจากปากของเขา นางอมรรตัยหายวับไปแล้ว

บุญรักษาตาค้างกับสิ่งที่เห็น เธอกำลังเผชิญกับคนที่เกิดมาใช้ชีวิตในแบบไหน คำพูดที่ได้ยินดั่งว่าเอ็นดู ไร้ความเกรี้ยวกราด ทว่านางนั่นกลับลงโทษได้อย่างน่ากลัวนัก

เธอรู้ว่านี่คือความเมตตาเป็นที่สุดแล้วที่นางมอบให้คนของนาง ช่างเป็นความเมตตาที่บุญรักษากลัวเหลือเกิน กลัวเป็นที่สุดเมื่อเธอยังอยู่ใกล้ปัทมราชครู และแน่นอนว่าคงอยู่ใกล้นางอมรรตัยอะไรนี่เช่นกัน

หญิงสาวมองร่างของคนที่ค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นมา ปัทมราชครูกัดฟัน เขาหลับตา เนื้อตัวสั่นเทาเพราะความเจ็บปวด และความเจ็บปวดของเขาเธอรู้สึกถึงได้ แม้ไม่รู้ว่าชายหนุ่มกำลังคิดอะไร แต่ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเธอเข้าไปเป็นปัทมราชครูที่ถูกนางอมรรตัยตักเตือนเสียเอง เจ็บปวดเสียเอง โดยเฉพาะความรู้สึกนั้นที่เป็นเช่นเดียวกับโรคประจำตัว

“แม้นเจ้ามิรู้ความ ฤๅธรรมเนียมปฏิบัติใด จงจำไว้เถิด ว่าทุกแห่งไร้ที่ยืนแก่ผู้อ่อนแอ ไร้วินัย ไร้วิริยะอุตสาหะ แม้นครานี้เจ้าผิดพลาด แต่คราหน้าอย่าได้มี จงตั้งใจร่ำเรียน อย่าได้เหม่อลอยให้เห็นอีก” พูดจบก็ลุกขึ้น เดินออกไปจากกระโจมพัก

บุญรักษาหนาวสะท้านไปถึงหัวใจ หมดแรงฉับพลัน คำเตือนที่เขาให้มาทำให้ยิ่งกลัวจับจิต ถ้าหากไม่ใช่เพราะข้อตกลงที่เธอพูดไปครั้งนั้นว่าขอเขาละเว้นเรื่องเธอไม่รู้ธรรมเนียมของที่นี่ ตอนนี้อาจกระอักเลือดแบบที่เขาโดนนางอมรรตัยทำก็เป็นได้

‘โลกนี้มีแต่คนซาดิสซ์หรือไงกันเนี่ย’ หญิงสาวครวญในใจ คู้ขาทั้งสองขึ้น กอดเอาไว้ ซบหน้าลงไปที่หัวเข่า น้ำตาไม่ไหล มีแค่ลมหายใจหนักๆ ของตนเองที่เป่าออกมา รู้แค่ว่าตอนนี้เธออยากกลับบ้านเหลือเกิน จะมีใครพาเธอพ้นไปจากที่นี่บ้างไหม ไปให้ไกลจากปัทมราชครู

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -

ขออภัยอย่างยิ่งที่ไม่ได้มาที่เว็บเลิฟเสียนาน ผู้เขียนมีเหตุการณ์ต้องดูแลผู้ป่วยตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 58 เป็นต้นมา จนวันนี้ก็ยังต้องดูแลกันอยู่

ขอขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านที่ยังติดตามและรอคอยกันค่ะ


รัก...

อ้อย/สุชาคริยา



สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 มี.ค. 2558, 20:13:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 มี.ค. 2558, 20:13:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1770





<< ตอนที่ 14-16   
แว่นใส 21 มี.ค. 2558, 20:52:54 น.
น่าสงสารนางเอกเรา


Zephyr 22 มี.ค. 2558, 13:19:59 น.
เอิ่ม มีแต่คนน่ากลัว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account