เพียงหนึ่งดวงใจ
เมื่อหกปีก่อน หล่อนกับเขาพบกันโดยบังเอิญ
เด็กสาวชาวบ้านกับโจรป่าซอมซ่อ

'หน้าตาเจ้าก็ดีนะ ไม่น่าเป็นโจรเลย...' เด็กสาวทำคอย่น ถามกลับอย่างใคร่รู้มากกว่าหวาดกลัว
'เจ้าจะจับเรากินรึเปล่า'
ก็แถวนี้...มีข่าวแว่วๆว่ามีโจรป่ากินคนอยู่นี่นา
คนคนนี้...น่าจะใช่
'อย่ากินเราเลย เนื้อเราไม่อร่อยหรอก ถ้าเจ้าหิว...'
เจ้าตัวยื่นผลชมพู่ในมือให้
'กินนี่ดีกว่า หวานหอมอร่อยกว่าเราเยอะ!'


ราวกับพระพรหมลิขิต อีกหกปีถัดมา ทั้งสองได้พบกันอีกครั้ง
ในฐานะจอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ กับ ข้าบาทบริจาริกาผู้ปลอมตัวมาแทนพี่สาว


เมื่อได้พบกันอีกครั้ง ใครคนนั้นจำพระองค์ไม่ได้ จึงไม่ได้รู้ว่าคนที่หล่อนเคยหยิบยื่นผลชมพู่ที่เหลือครึ่งลูกให้นั้นคือคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าหล่อน และกำลังลอบพิจารณาหล่อนด้วยความดีพระทัย
ป้ายเหล็กสลักคำว่า 'เสือดำ' ที่ใครคนหนึ่งเคยมอบให้ จวบจนบัดนี้ หกปีผันผ่าน เด็กคนนั้นก็ยังสวมใส่มันไว้ราวกับเป็นของล้ำค่า
เป็นครั้งแรกที่ทรงอุ่นวาบในอุระ...เพียงแค่ป้ายเหล็กที่ไหวเอนไปมาตรงเบื้องพระพักตร์...แค่นั้นหรือที่ทำให้ดวงหทัยของพระองค์เต้นผิดแผกไปจากเดิม
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 01 : ของแทนใจ(รีไรต์)

เอาฉบับรีไรต์มาให้อ่านเป็นตัวอย่างสองสามตอนนะค้า

-----------------------------------------------------------------------


หกปีก่อน...

ณ เวียงภูพญา เมืองเล็กๆที่ขนาบข้างด้วยนครใหญ่อย่างโภไคยและหิมวันต์

ในยุคที่มีการสู้รบเพื่อขยายดินแดนทั้งสองนครต่างดิ้นรนเอาตัวรอดเพื่อให้ดินแดนของตนเองยิ่งใหญ่มากพอที่จะไม่มีใครกล้าต่อกร

เมืองเล็กๆอย่างเวียงภูพญาคืออีกเป้าหมายที่ทั้งโภไคยกับหิมวันต์ตั้งใจจะยึดครอง

ท่ามกลางความสงบเงียบของเวียงภูพญา มีการเคลื่อนไหวอย่างลับๆของทั้งสองนคร อยู่ที่ว่า...ใครจะลงมือก่อนเท่านั้น

ในวันที่ลมหนาวพัดกระหน่ำรุนแรง...

หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เกือบพ้นเขตชายแดนทางใต้ของเวียงภูพญา คนกลุ่มหนึ่งสวมชุดเก่าซอมซ่อ มีรอยปุปะนับสิบแบกท่อนไม้ และท่อนฟืนเดินผ่านประตูทางเข้าหมู่บ้านอย่างเงียบเชียบ พวกเขาเหล่านั้นปกปิดใบหน้าของตัวเองเหลือไว้เพียงดวงตาซึ่งแลมองเพียงผืนดินใต้ฝ่าเท้าเพียงเท่านั้น

ยามหนาวจัดเช่นนี้ ผู้คนส่วนมากจะปิดหน้าปิดตาเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ตัวเอง จึงนับว่าไม่ใช่สิ่งแปลก ไม่มีใครสนใจพวกเขา อาจจะมีชาวบ้านหันมามองบ้าง หากเพียงอึดใจก็แลเลยผ่านไป

ลมพัดกระโชกรุนแรง จนผ้าที่ปิดใบหน้าของคนผู้หนึ่งสะบัดไกว เปิดเผยรูปหน้าคมสัน คางเหลี่ยม ริมฝีปากบางราวอิสตรีและจมูกที่โด่งเสียจนสะดุดตา

เขาคนนั้นรีบดึงผ้าปิดปากก่อนใครอื่นจะหันมาเห็น แล้วดุ่มเดินตามคนอื่นๆตรงไปยังโรงพักม้าซึ่งอยู่สุดทางเดินแห่งนี้ด้วย

ร้านค่อนข้างเล็กและไม่มีชื่อร้าน...แต่น่าจะมีคนเข้าพักเยอะพอสมควร เนื่องเพราะมีคนเดินทางหลายคนมายืนออกันหน้าร้าน

คนตัวสูงที่สุดในกลุ่มนั้นรีบเสนอความคิดเห็น

“ไปตั้งกระโจมพักแรมกันดีไหมครับ น่าจะ...สะดวกกว่าที่นี่”

คนถูกถามพยักหน้าเพียงน้อย กลุ่มคนเหล่านั้นก็พร้อมใจกันเดินจากไป

ผ่านหมู่บ้านแห่งนั้นเข้าสู่ป่าทึบ หาทำเลไม่นานก็ได้ที่เหมาะๆริมลำธารสำหรับตั้งกระโจม

ส่วนหนึ่งแยกย้ายกันไปสำรวจพื้นที่ด้านนอก ที่เหลือนั่งล้อมวงกันในกระโจม ตรงกลางคือแผนที่ฉบับหนึ่งซึ่งถูกกางออกเพื่อให้ทุกคนในที่นั้นได้ศึกษา

“เลยจากที่นี่ ต้องเดินผ่านอีกสามหมู่บ้านถึงจะถึงคุ้มหลวง” คนพูดปลดผ้าที่ปิดหน้าตัวเองออก แล้วยกมือถูปลายจมูกโด่งๆของตัวเอง “ได้ข่าวทางนั้นบ้างไหม”

“ทางหิมวันต์ยังไม่เคลื่อนไหวใดๆครับ”

“ไม่รู้การเคลื่อนไหวแบบนี้...ไม่น่าไว้ใจ” นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจ “เราต้องลงมือก่อน!”

เสียงสวบสาบด้านนอก ทำให้คนที่นั่งล้อมวงกันอยู่ขยับตัว มือสอดเข้าไปใต้ถุงเท้ากำด้ามกริชที่เสียบอยู่ในฝัก พร้อมจะชักมันออกมาทุกเมื่อ

ครั้นเห็นว่าเป็นพวกเดียวกัน ไหล่ที่เกร็งจึงผ่อนคลาย

ชายจมูกโด่งที่น่าจะเป็นหัวหน้าละมือจากกริชของตนแล้วถาม

“มีเรื่องอะไร”

“มีคนมุ่งหน้ามาทางนี้ กำลังตั้งกระโจมพักแรมกันอยู่ขอรับ”

“ใคร?”

“ถ้าการข่าวไม่ผิดพลาด น่าจะเป็น...เจ้าหลวงนพภูมิขอรับ!”

ดวงตาของคนฟังสว่างวาบ เป็นประกายทั้งยินดีและสนใจใคร่รู้ เขาผุดลุกขึ้นยืน คว้าคันธนูที่วางอยู่ด้านหลังขึ้นสะพายแล้วออกคำสั่ง

“เรา ไอ้กอบกับไอ้ริด จะไปดูลาดเลา พวกเจ้าอยู่เฝ้าที่นี่ ก่อนตะวันตกดินเราจะกลับมา”

จบคำนั้น ชายร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ก็ดึงผ้ามาปิดใบหน้าของตนแล้วเดินตัวปลิวออกจากกระโจมไปอย่างรวดเร็ว



กลุ่มควันสีเทาลอยอยู่เหนือกองไฟขนาดเล็กหน้ากระโจมสีขาว กลุ่มชายฉกรรจ์สามสี่คนนั่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ส่วนชายสูงวัยผู้ซึ่งนั่งในกระโจมนั่งเอนกายพิงหมอนอิง ในมือถือหนังสือเล่มเล็กเล่มหนึ่ง

“เป็นไงล่ะเรา บอกว่าอยากออกมาล่าสัตว์กับพ่อ สนุกไหมล่ะ”

สองตาของชายสูงวัยจับจ้องไปยังร่างเล็กๆของเด็กสาวคนหนึ่งผู้ซึ่งสวมเสื้อผ้าฝ้ายและซิ่นยาวกรอมเท้ากำลังก้มหน้าเพ่งพิศคันธนูขนาดใหญ่ในมือของตน

“สนุกสิคะ” เจ้าตัวหันไปมองชายสูงวัยผู้นั้นแล้วยิ้มจนตายิบหยี “มัทน่ะอยากมากับพ่อบ่อยๆเลยละค่ะ”

คนฟังถึงกับโบกมือไปมาแล้วส่ายหน้า “อย่าเลยลูก อันตราย นี่ถ้าพ่อเข้าป่าลึกกว่านี้พ่อคงไม่ให้ลูกมาด้วยหรอก” นิ่งไปอึดใจก่อนต่อว่า “คราวหน้าลูกมาไม่ได้แล้วนะ พ่อเป็นห่วง”

“ว้า...พ่อจะไม่ให้มัทมาด้วยจริงๆเหรอคะ”

“ก็ได้มาเห็นแล้วนี่ว่าล่ายังไง ลำบากยังไง ยังจะมาอีกหรือ?” เขาหรี่ตามองลูกสาวแล้วถามเจือเสียงหัวเราะ “ไหนว่าสงสารเจ้าสัตว์พวกนั้นไง”

“ก็...สงสารค่ะ” เจ้าตัวเข้ามานั่งข้างๆพ่อ เอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว “ล่าเล่นๆมัทก็ไม่ชอบหรอกค่ะ...ป้องกันตัวน่ะคงไม่เป็นไร หรือล่าเพื่อเป็นอาหารก็ยังพอได้ แต่ถ้าเพื่อความสนุก มัทไม่เอาด้วยหรอกนะคะ สงสาร”

คนเป็นพ่อเพียงแต่หัวเราะ ไม่พูดอะไรหลังจากนั้นเพราะให้ความสนใจกับหนังสือในมือเสียแล้ว ลูกสาวผู้ซึ่งได้แต่นั่งเฉยๆไม่รู้จะทำอะไรจึงค่อยๆย่องออกจากกระโจม ไม่ลืมที่จะคว้าชมพู่ที่วางเรียงรายกันอยู่ในถาดออกไปด้วย

ออกมานอกกระโจมก็เดินไปทักคนนั้นทีคนนู้นที ระหว่างนั้นก็แทะกินอย่างเอร็ดอร่อย

หนึ่งผลก็แล้ว สองผลก็แล้ว...เหลือผมที่สาม เด็กสาวยังไม่คิดจะทาน เพราะสายตาสะดุดเข้ากับเจ้าสัตว์ตัวอวบอ้วนสีขาวที่เพิ่งวิ่งผ่านหน้าไป

“อุ๊ย...” เจ้าตัวอุทานเบาๆก่อนจะวิ่งตามมันไป

เพราะทุกคนกำลังพักผ่อนกันอย่างสบายอารมณ์ กอปรกับทานอาหารจนอิ่มหนำสำราญจึงพากันเอนหลังนอนหลับกันเป็นทิวแถว สุดท้ายก็ไม่มีใครทันเห็นว่าเด็กสาวผู้นั้นหายตัวไปเสียแล้ว



เจ้าขนปุยวิ่งเร็วเหลือเชื่อ ขณะที่เด็กสาวก็ตามไม่ลดละ

มือข้างหนึ่งถลกผ้าซิ่นของตัวเองขึ้นเพื่อให้วิ่งสะดวก ส่วนมืออีกข้างกำผลชมพู่ไว้มั่น วิ่งพลางแทะกินไปพลาง กระทั่งเห็นเจ้าขนปุยหายลับเข้าไปในพุ่มไม้ เจ้าตัวได้ดึงผลชมพู่ออกจากปาก

“โธ่...อย่าเพิ่งหนีสิ เจ้ากระต่ายน้อย” พึมพำอย่างแสนเสียดายราวกับจะไม่ได้พบกันอีก “มาให้ข้ากอดสักครั้งน่า เราเป็นเพื่อนกันได้นี่นา”

พูดราวกับเจ้าสัตว์ขนปุยตัวนั้นจะเข้าใจ พลางก้มๆเงยๆสอดส่ายสายตาผ่านพุ่มไม้ เมื่อยังได้ยินเสียงสวบสาบดังมาจากด้านใน แสดงว่ากระต่ายยังไม่ได้หนีหายไปไหน

“มามะ มาทำความรู้จักกันหน่อย” พร้อมกับพูด เจ้าตัวทำท่ากระโจนเข้าไปในนั้นเสียด้วยซ้ำ แต่ได้เพียงแค่คิด เมื่อต้องผงะเพราะมีอะไรบางอย่างโผล่พรวดขึ้นมา

มทนาลัยไม่ใช่คนกรีดกราดโวยวาย จึงอุทานเบาๆในลำคอเพียงเท่านั้น ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

ไม่สิ...ไม่ใช่สิ่ง แต่เป็นคน!

คนตัวใหญ่ยักษ์ในชุดรัดกุมสีดำทั้งตัว โพกศีรษะและปกปิดใบหน้าส่วนล่างด้วยผ้าสีเดียวกัน

เขา...หล่อนเดาว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย ด้วยไหล่กว้างตั้งตรง อกผายไหล่ผึ่ง รวมถึงมือที่ค่อนข้างใหญ่และดูแข็งแกร่ง

เขายืนจังก้าตรงหน้าหล่อน มือข้างหนึ่งหนีบหูกระต่ายขนฟูไว้แล้วยกขึ้นเกือบๆเสมอไหล่ ส่วนมืออีกข้างไพล่ไว้ทางด้านหลัง...ไม่รู้ว่าซ่อนอะไรไว้รึเปล่า มทนาลัยหรี่ตามองอย่างระแวง

พ่อเคยบอกหล่อนว่า ในป่ามีอันตรายรอบด้าน ทั้งคนทั้งสัตว์ หล่อนยังไม่เคยเจอสัตว์ร้าย แต่วันนี้คงโชคร้ายที่ได้มาเจอคนร้ายเสียก่อน

“นั่น...” เด็กสาวรวบรวมความกล้าแล้วชี้นิ้วไปที่กระต่ายตัวนั้น “กระต่ายของข้า”

บังเกิดความเงียบระหว่างกันเมื่อเขาเอาแต่ใช้สายตาดุๆจับจ้องมองหล่อน ในช่วงเวลาอันแสนเงียบงันนั้นหล่อนจึงได้พิจารณาเสื้อผ้าที่เขาสวม มันทั้งซอมซ่อ ทั้งแหว่งวิ่น มีรอยปะเป็นหย่อมนับได้หลายสิบรอย ...อาจจะเป็นชาวบ้านแถวๆนี้ที่เข้ามาหาของป่ากินก็ได้ หรือไม่...อาจจะเป็นโจรที่กำลังหิวโซ

ตาดุๆแบบนี้ สงสัยจะโมโหหิวอยู่กระมัง!

“เจ้าเป็นโจรรึเปล่า จะมาลักอะไร”

มองเลยไปยังด้ามกริชสลักลวดลายวิจิตรที่โผล่พ้นผ้าคาดเอวของเขาก็รู้ว่าราคาแพงมาก ไหนจะคันธนูที่อีกฝ่ายสะพายอยู่ทางด้านหลังอีก คนที่สวมชุดซอมซ่อเช่นนี้ไม่น่าจะเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้ได้

หล่อนจึงสรุปเองในใจ

เป็นโจรแน่ๆ...แต่โจรอะไรล่ะ โจรป่าหรือโจรธรรมดา?

ฉับพลันนั้น ลมหนาวพัดกระโชกแรง มทนาลัยถึงกับสะท้านยกมือกอดอกตัวเองไว้ ส่วนเขา...ผ้าที่ปิดใบหน้าส่วนล่างของชายผู้นั้นสะบัดปลิว เผยให้เห็นรูปหน้าที่ซ่อนอยู่...แนวกรามแข็งแกร่งรกเรื้อด้วยหนวดเครา ริมฝีปากเรียวบางที่เม้มน้อยๆ และจมูกโด่งๆที่แสนสะดุดตา

“กระต่ายเจ้าหรือ”

เขาเอื้อนเอ่ยเป็นคำแรก เสียงของเขาก้องกังวาน มีท่วงทำนองสูงต่ำฟังไพเราะแต่แปลกหู

“เปล่า...เราเห็นมันวิ่งผ่านหน้าเลยตามมันมา”เห็นคนตัวโตเหลือบมองกระต่ายตัวนั้น หล่อนก็ชักใจไม่ดี...โจรอย่างเขา ถ้าไม่ได้เงินทองกลับไป ก็ต้องล่าสัตว์กลับไปสักตัว เจ้ากระต่ายที่น่าสงสารจะโดนจับกินรึเปล่าหนอ?

“เมื่อมันไม่ใช่ของเจ้า ข้าก็จับไปกินได้สิ”

นั่นปะไร! คนโมโหหิวเริ่มจะหาของกินละ!

“อย่าเลย...มันน่าสงสารออก ปล่อยมันไปเถอะ”

อีกฝ่ายเลิกคิ้ว ดวงตาเป็นประกายแบบที่หล่อนอ่านไม่ออก เพียงอึดใจหลังจากนั้นเขาก็ยอมปล่อยมันไป เจ้ากระต่ายรีบวิ่งปรู๊ดหนีหายไปในทันใดราวกับกลัวว่าจะถูกคนตัวยักษ์จับกิน

“ทำไมเจ้ามาวิ่งเล่นแถวนี้”

คนที่เพิ่งพรูลมออกจากปากอย่างโล่งอกหันกลับไปมองคนถาม

“เปล่านะ เราไม่ได้มาวิ่งเล่น เรามาล่าสัตว์ตะหาก”

“มากับใคร? ไม่ได้มาคนเดียวแน่ๆละ”

คนตัวโตเริ่มซัก ขณะที่คนตอบไม่อยากตอบ จึงตอบส่งๆไปว่า

“มากับพี่ชาย” มทนาลัยหรี่ตามองเขาสลับกับก้มมองผลชมพู่ที่เหลืออยู่ครึ่งผลในมือของตนเอง “หน้าตาเจ้าก็ดีนะ ไม่น่าเป็นโจรเลย” เด็กสาวทำคอย่น ถามกลับอย่างใคร่รู้มากกว่าหวาดกลัว “เจ้าจะจับเรากินรึเปล่า”

...ก็แถวนี้มีข่าวแว่วๆว่ามีโจรป่ากินคนอยู่นี่นา

คนคนนี้...น่าจะใช่ หนำซ้ำกำลังหิวอยู่ด้วย...เจ้ากระต่ายก็หนีไปแล้ว จะเหลืออะไรให้กินล่ะ ก็มีแต่หล่อนนี่แหละ!

คนยังไม่อยากถูกจับกิน รีบโพล่งออกมา

“อย่ากินเราเลย เนื้อเราไม่อร่อยหรอก ถ้าเจ้าหิว...” เจ้าตัวยื่นผลชมพู่ในมือให้กับเขา “กินนี่ดีกว่า หวานหอมอร่อยกว่าเราเยอะ!”

ลมพัดหวิววู่ ใบไม้เสียดสีกันบังเกิดเป็นท่วงทำนองอันไพเราะ ผสานกับเสียงหัวเราะผะแผ่วของคนหลายคน

มทนาลัยขมวดคิ้ว แลมองเข้าไปในพุ่มไม้ แต่มันหนาทึบจนไม่เห็นอะไร

“เจ้า...มากันหลายคนเหรอ”

ชักเห็นท่าไม่ดี เด็กสาวเริ่มหวั่นกลัวขึ้นมาจริงๆเสียแล้ว

มทนาลัยค่อยๆก้าวถอยหลัง ตั้งใจว่าจะรอตอนเขาเผลอแล้วรีบวิ่งสุดฝีเท้า กลับไปยังที่พักแรม...คงไม่ห่างจากที่นี่เท่าไรกระมัง

“เอ๊ะ!” หล่อนอุทาน ชี้มือส่งๆมั่วๆ “เจ้ากระต่ายน้อยนี่!”

พอเขาหันขวับไปทางนั้น หล่อนก็วิ่งจ้ำอ้าวอย่างไม่คิดชีวิต มือยังกำผลชมพู่แน่น

...ก็แหม ของอร่อยๆแบบนี้ทิ้งไปก็น่าเสียดายสิ!!!

วิ่งยังไม่ถึงสิบก้าวเลยกระมัง หล่อนก็ถูกใครคนนั้นอุ้มจนเท้าลอยเหนือพื้นด้วยแขนเพียงข้างเดียว!

ไม่แปลกหรอก...ก็เขาตัวใหญ่ราวกับยักษ์ หล่อนน่ะตัวนิ้ดเดียว เท่าเอวเขาเองกระมัง!

มทนาลัยหวีดร้อง กำลังจะตะโกนหาคนช่วย แต่กลับถูกเขาดุ

“เงียบ! เจ้าอยากถูกกินจริงๆรึไง!” จากนั้นเขาแบกหล่อนพาดบ่าพาวิ่งหายลับไปในพุ่มไม้ ไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มชายฉกรรจ์เกือบยี่สิบคน เปลือยอกท่อนบนและสวมกางเกงสีตุ่นสั้นครึ่งต้นขาก็เดินผ่านมา ในมือมีอาวุธพร้อมสรรพ ทั้งธนู ดาบ มีด กริช และ...หอกปลายแหลม

คนที่ถูกกอดรัดอยู่ในพุ่มไม้เบิกตากว้าง คำบอกเล่าของผู้แก่ผู้เฒ่าในคุ้มผุดขึ้นมาในหัว

‘ไอ้พวกกินคนมันจะถือหอกไว้ตลอดเวลา’

‘ทำไมล่ะคะคุณยาย’

‘เพราะพอเจอเหยื่อ ไม่ว่าที่ไหนตอนไหนมันจะได้จัดการได้ทันทีอย่างไรล่ะ!’

นั่นไง...หอกที่ว่า

แน่แล้ว...กลุ่มชายในชุดประหลาดนั่นตะหากที่เป็นโจรป่ากินคน ส่วนคนที่กำลังกอดรัดจนหล่อนหายใจไม่ออกอยู่นี่น่าจะเป็นแค่โจรธรรมดาหรือไม่ก็พวกชาวบ้านที่มาล่าสัตว์เท่านั้นเอง

มทนาลัยนึกห่วงพ่อ แต่...องครักษ์เกือบยี่สิบ น่าจะปกป้องท่านได้

คนตัวใหญ่ยักษ์ใช้แขนล่ำสันของตนกอดร่างเล็กๆ แถมยังเกยปลายคางกลางศีรษะของหญิงสาวอีกด้วย มทนาลัยเริ่มอึดอัดจนต้องขยับตัวยุกยิก เขาจึงปรามเบาๆ

“ชู่ว์...อยู่นิ่งหน่อยสิเด็กน้อย”

“เรา...” ก่อนที่คำพูดจะหลุดออกจากปากจิ้มลิ้ม มือใหญ่ก็ตะครุบปิดมันไว้เสียก่อน

“ข้ายังมีงานต้องทำ ยังไม่อยากสู้กับไอ้พวกนั้นตอนนี้ เข้าใจไหม?”

ใบหน้าที่ก้มต่ำ ทำให้หล่อนเห็นดวงตาดำลึกคู่นั้นชัดเจน

“อยู่เฉยๆ นิ่งๆ จนกว่ามันจะไป ได้รึเปล่า”

คนตัวเล็กผ่อนลมหายใจยาว ก่อนพยักหน้า พอเขาปล่อยมือจากปากหล่อน หล่อนก็ยืดตัวเล็กน้อยเพื่อกระซิบข้างหูเขาว่า

“กอดเราเบาๆหน่อย เราหายใจไม่ออก”

คนฟังทำสีหน้าประหลาด ครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง ขณะที่หล่อนยังพูดต่อไปว่า

“เราสัญญาว่าจะนั่งนิ่งๆ หายใจเบาๆด้วยเอ้า”

มุมปากเรียวบางยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม พร้อมกับอ้อมกอดที่คลายออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“มากกว่านี้อีกไม่ได้เหรอ” คนตัวเล็กยังไม่พอใจ แต่ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านั้นเมื่อคนตัวโตยกนิ้วชี้แตะริมฝีปาก พลางพยักเพยิดไปทางโจรป่ากินคนกลุ่มนั้น

คนที่ไม่อยากถูกจับกิน จึงต้องรูดซิบปากเงียบไปโดยปริยาย




พวกโจรป่ากินคนยังไม่ยอมเดินผ่านเลยไป แต่กลับล้อมวงพูดคุยปรึกษาหารืออะไรกันบางอย่าง จากความตกใจและหวาดกลัวกลับแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยใคร่รู้อย่างรวดเร็ว

...สวมแค่กางเกงตัวเดียวไม่หนาวหรือไงนะ

เด็กสาวเพ่งมองผ่านพุ่มไม้ ยังพอมองเห็นรอยสักบนแผ่นหลังของชายกลุ่มนั้น

...รอยสักอะไรน้า? เสือ? หรือ ปีศาจ?

ถ้าไม่ใช่เพราะถูกกอดไว้ล่ะก็ เจ้าหล่อนคงจะยื่นหัวออกจาพุ่มไม้ที่ใช้เป็นที่กำบังตัวไปแล้ว

“นี่...” คนตัวโตห้ามปรามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มขยับตัวยุกยิก หากก็ไม่ทันเสียแล้วเพราะหนึ่งในชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นหันมามองราวกับรู้ว่ามีคนซ่อนตัวอยู่

มทนาลัยถึงกับสะดุ้ง รีบยกมือปิดปากปิดจมูกของตัวเองไว้ แล้วนั่งตัวแข็งทื่อ แทบไม่กล้าหายใจเลยทีเดียว ครั้นเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆก็เห็นสายตาตำหนิชัดเจน

“เราไม่ได้ทำอะไรเสียงดังเลยนะ” เจ้าหล่อนพูดเสียงอู้อี้ ฟังแทบไม่รู้เรื่อง

“ชู่ว์” เพียงยกนิ้วชี้แตะริมฝีปาก ปลายหอกด้านหนึ่งก็พุ่งผ่านพุ่มไม้เข้ามา

มทนาลัยได้ยินเสียงปลายคมหอกแหวกผ่านอากาศ ด้วยความเร็ว แรงและ...คงหมายปลิดชีวิตด้วย!

ใจของหล่อนร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม รู้ชะตากรรมของตัวเองล่วงหน้าว่าคราวนี้คงไม่รอดแน่ หล่อนคงต้องตายภายใต้คมหอกนั่น และอาจจะถูกฉีกเนื้อเป็นชิ้นๆเพื่อเป็นอาหารของคนกลุ่มนั้นด้วย

หล่อนรีบหลับตาปี๋ ส่งเสียงกรีดร้องอยู่ในอก ความกลัวทำให้หล่อนไม่กล้าเปล่งเสียง มือที่ยกปิดริมฝีปาก บัดนี้มันเกร็งแข็งและกดลึกลงบนผิวเนื้อของตนเองจนหล่อนรู้สึกเจ็บ

ในช่วงความเป็นความตาย เพียงชั่วลมหายใจ หล่อนคิดว่าปลายคมหอกนั่นต้องปักลงบนร่างกายของหล่อนส่วนใดส่วนหนึ่ง...ถ้าไม่ใช่ท้อง ก็ต้องเป็นอก หรือไม่ก็...กลางกระหม่อมหล่อนเลยละ!

ร่างเล็กขดตัวเข้าหากัน น้ำตารื้นเต็มเบ้า ก่อนจะหยาดหยดลงมาด้วยความกลัวตาย

ฉึก!

นั่นไง! ปลายหอกนั่นต้องปักลงตรง...

หล่อนไม่อาจต่อคำได้ เพราะไม่ว่าตรงส่วนไหนบนร่างกายหล่อนก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อยนิด

เอ...แปลกจัง ทำไมไม่เจ็บนะ

แว่วเสียงโห่ร้องตะโกน ตามมาด้วยเสียงต่อยกันตุบตับและเสียงฟาดฟันหนักหน่วง มทนาลัยค่อยๆปรือตามอง สะดุ้งน้อยๆเมื่อสบดวงตาเกรี้ยวกราดและทรงพลังของคนตัวใหญ่ยักษ์

เขาโกรธแน่ๆละ...ทั้งโกรธ ทั้งเอือมระอา ทั้งหงุดหงิด สายตาของเขาบอกหล่อนเช่นนั้น!

“ดีนะที่มีคนของข้ามาช่วย ไม่งั้น เจ้ากับข้าคงได้เป็นศพอยู่ตรงนี้แล้วละ!”

จบคำนั้น ของเหลวสีแดงสดก็หยาดหยดลงมาบนเสื้อของหล่อน

หยดแรก ตามมาด้วยหยดที่สอง สามและสี่

เสื้อสีขาวกลายเป็นด่างดวง...แดงฉาน

มทนาลัยเบิกตากว้างเมื่อก้มลงพิจารณาของเหลวนั้นแล้วพบว่ามันคือเลือด...ไม่ใช่เลือดของหล่อน แต่เป็นเลือดของเขา!

“เจ้าบาดเจ็บ!”

แน่แล้ว...คมหอกนั่นต้องปักลงบนเรือนร่างของเขาแทนที่จะเป็นเรือนร่างของหล่อน

มทนาลัยกวาดตามองหารอยแผล กลับไม่พบอะไร

“เจ้าโดนแทงข้างหลังเหรอ”

หล่อนถามเสียงสั่นเครือ เริ่มใจไม่ดีเมื่อเห็นเลือดของเขาลงมาไม่ขาดสาย น้ำตาของหล่อนเอ่อท้นขึ้นมาอีกคราจนภาพทุกอย่างพร่าไปหมด

“หะ...ให้เราดู” คราวนี้หล่อนพูดเจือสะอื้น ความหวาดกลัวว่าเขาจะตายมีมากกว่ากลัวว่าตัวเองจะถูกฆ่าเสียอีก

ก็เขาช่วยชีวิตหล่อนไว้...หากเขาเป็นอะไรไป หล่อนคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตเป็นแน่

“ระ...เราจะช่วยเจ้าเอง”

คนตัวโตแค่นเสียงหัวเราะ มองใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตาเกรอะกรังนั้นอย่างไม่เชื่อถือ

“เจ้าน่ะนะจะช่วยข้า? อายุเท่าไรแล้วเรา เคยเรียนหมอมาหรือไง?”

“เท่าไรก็เท่านั้นแหละน่า” เอ่ยพลางยกหลังมือเช็ดน้ำตาของตัวเองอย่างลวกๆ ระหว่างนั้นคนของยักษ์ตัวโตยังตั้งหน้าตั้งตาสู้กับพวกโจรป่ากินคน ดูท่าจะชนะเสียด้วย เมื่อฝ่ายนั้นค่อยๆร่นถอยไปแล้ว

“โตพอก็แล้วกัน”

เด็กสาวไม่ยอมขยายความว่า ‘โตพอ’ นั้นคือเท่าไร เหมือนกับว่าไม่อยากจะบอกอายุตัวเองกับใครอย่างไรอย่างนั้น

“มา! ให้เราดูหน่อย”

คนตัวโตส่ายหน้าดิก แล้วผุดลุกขึ้นยืน แม้จะทำหน้าเหยเก และขยับตัวไม่ถนัดนัก หากก็ไม่มีเสียงร้องโอดโอย ราวกับเขาไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด

พอเขาลุก มทนาลัยจึงเห็นหอกปลายแหลมนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ปลายคมหอกมีรอยเลือดแดงฉาน บนพื้นก็มีเลือดเปรอะเปื้อนเป็นหย่อมๆเช่นกัน

“เจ้าเสียเลือดมาก ต้องรีบห้ามเลือดก่อน”

คนตัวเล็กลุกตาม รีบคว้ามือเขาไว้ ตั้งใจจะพาไปยังกระโจมที่พักเพื่อให้ทหารของพ่อรักษา แต่เขากลับไม่ยอมให้หล่อนช่วย

“ไม่ต้อง! แผลแค่นี้ ข้าไม่เป็นไรหรอก”

“ไม่เป็นไรได้ไง เลือดเจ้า...”

พูดยังไม่ทันจบ คนตรงหน้าก็ใช้นิ้วดีดหน้าผากของหล่อนอย่างแรง หนำซ้ำยังกล่าวหาหล่อนอีก

“เป็นเพราะเจ้า...ข้าถึงได้ซวยแบบนี้ไง!” จากนั้นก็ออกคำสั่ง “รีบกลับไปหาพี่ชายของเจ้าซะ แล้วอย่ามาเดินเล่นคนเดียวอีก”

“ไม่ต้องห่วง...”

...แถวนี้ถิ่นข้า คำนั้นกลืนหายไปในลำคอ เมื่อเขาพูดขัดขึ้นมาว่า

“ข้ากลัวคนอื่นจะซวยเหมือนอย่างข้า!”

“เจ้า!” มทนาลัยโกรธจนพูดไม่ออก ได้แต่จ้องมองเขาตาวาววับ

และถ้าไม่ใช่เพราะเขาช่วยชีวิตหล่อนไว้ละก็ หล่อนจะเดินหนี ไม่สนใจเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

หากความเป็นคนจิตใจดีและมีน้ำใจ ทำให้เด็กสาวไม่อาจทำเช่นนั้นได้

หล่อนจึงยื่นชมพูที่ยังถือไว้ในมือให้กับเขา

“ตอบแทนน้ำใจที่ช่วยเราไว้”

ชมพู่มาเหมี่ยวผลสีแดงเข้ม เหลืออยู่ครึ่งผล...พอจะทานได้อยู่หรอกถ้ามันไม่เปรอะเปื้อนกะดำกะด่างเช่นนั้น

“กินได้แน่เหรอ”

คนตัวเล็กก้มมอง พอเห็นสภาพของมันก็ทำเสียงบางอย่างในลำคอราวกับเสียดาย ก่อนจะใช้มือปัดๆเช็ดๆให้มันพอ ‘ดูได้’

“กินได้น่า”

“โจรอย่างเจ้าไม่น่าเลือกกินนี่นา มีอะไรให้กินก็กินๆไปเถอะ แต่ขออย่างเดียว อย่าล่าคนเอาเนื้อไปกินแล้วกัน!”

หล่อนเหลือบไปเห็นโจรป่ากินคนวิ่งหนีกระจัดกระจายแยกย้ายไปคนละทาง จึงพูดต่อว่า “คนของเจ้าเก่งชะมัด!...ไม่เหมือนโจรป่าเลย เจ้าคงไม่ใช่...”

หล่อนพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำตอนที่เขาก้าวโหย่งๆเข้ามาไปผู้ติดตาม

“นี่! เจ้าเดินหนีเราเหรอ เรายังพูดไม่จบเลย”

ตะโกนปาวๆพร้อมกับโบกไม้โบกมือไปด้วย มือข้างนั้นถือชมพู่ไว้อยู่พอดี พอเห็นมันเท่านั้นแหละ เด็กสาวก็ทำจมูกย่นแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเขาไป

“จะยังไงก็ช่าง เจ้าต้องรับชมพู่ผลนี้ไว้”

หล่อนวิ่งมาดักหน้าเขาไว้ แล้วยื่นชมพู่ให้อีกครั้ง

“เราจะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”

“แต่ชมพู่ครึ่งผล แลกกับที่ข้าต้องเจ็บตัวเพราะเจ้าเนี่ยนะ? เฮอะ! คุ้มจริงๆให้ตาย!”

“เอ๊ะ! อย่ามาสบถใส่เรานะ!”

“ก็ดูของตอบแทนที่เจ้าให้เราสิ” ว่าพลางชี้นิ้วไปรอบๆชมพู่ผลนั้น “กินเข้าไปแล้วจะตายรึเปล่าก็ไม่รู้ ไม่มีอะไรที่มัน....ดูดีกว่านี้แล้วเหรอ”

คนถูกขอสิ่งที่ดูดีกว่าทำปากยื่นยาว พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด ก่อนหยิบอะไรบางอย่างออกจากเข็มขัดคาดเอวของตน

“เอ้า! เรามีแค่นี้แหละ”

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นกำไลข้อมือทำจากผ้าฝ้าย...บนนั้นปักลวดลายดอกไม้อ่อนช้อย...เป็นดอกสีม่วงอ่อนแซมด้วยใบไม้สีเขียวเล็กๆ ลายปักราวกับมีชีวิต เพราะมันดูเหมือนกำลังไหวเอนตามแรงลม

“ของมีค่าที่สุดของเรา เราให้”

“ของมีค่าของเจ้า แล้วจะเอามาให้ข้าทำไม”

คนตัวเล็กชักโมโหจริงๆจังๆ เจ้าหล่อนถลึงตาใส่เขาแล้วเอ่ยด้วยเสียงกระแทกกระทั้น

“ก็เจ้าบอกอยากได้ของดีๆไม่ใช่รึไง ก็นี่แหละดีที่สุดแล้ว!”

เห็นอีกฝ่ายยังยืนนิ่ง มทนาลัยจึงจับผ้าผืนนั้นเหน็บบนผ้าคาดเอวของเขา

“อย่าให้มันเปื้อนล่ะ เรารักมันมากรู้รึเปล่า”

เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าหล่อนยังยัดผลชมพู่ใส่มือเขาอีก

“ชมพู่นี่ก็ด้วย เราอุตส่าห์ให้ เจ้าจะกินหรือไม่กินก็ตามใจ แต่เจ้าต้องรับไว้” หล่อนเงยหน้าสบตาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เราเคยเรียนหมอมาบ้าง อย่างน้อยๆก็ให้เราช่วยทำแผลให้เถอะ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่สบายใจ”

ดวงตากลมโตนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจและ...ออดอ้อนนิดๆ

ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าไม่ทราบได้ คนที่ไม่ไว้ใจฝีมือเด็กอย่างหล่อนจึงยอมพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้

“เอ้า...เอาก็เอา! อยากรู้เหมือนกันว่าฝีมือเจ้าจะขนาดไหน!”


จบตอนที่ ๑ ค่ะ ^----^



ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 มี.ค. 2558, 16:44:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 มี.ค. 2558, 16:59:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1318





<< บทนำ   บทที่ 02 : ของแทนใจ 2 (รีไรต์) >>
Zephyr 26 มี.ค. 2558, 20:37:17 น.
โฮ้ยยยยยๆๆๆๆ เวอร์ชั่นนี้ น่าร้ากกกก
มุ้งๆมิ้งๆกันแต่แรกเลยอ่า ฮ่าๆๆๆ
แหม มัทน้อยทำนายรุทรเสียเลือดแต่แรกเห็นหน้าเลยทีเดียว อิอิ


แว่นใส 27 มี.ค. 2558, 10:36:15 น.
น่ารักจริงเชียว


นักอ่านเหนียวหนึบ 3 เม.ย. 2558, 03:35:03 น.
มุ้งมิ้งท่ามกลางโจรกินคน บรึ้ยยยย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account