พิมพ์ลภัส
พิมพ์ลภัสเด็กสาวร่างอ้วนแก้มยุ้ยด้วยน้ำหนักตัวเกือบร้อยกิโลกรัมแอบรักพี่ชายขัางบ้านที่โตมาด้วยกัน ทว่าภีรมัตเห็นเธอเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น..เธอรู้
ระหว่างเธอกับภีรมัตแตกต่างกันราวผีเน่ากับเทพบุตร ใครจะไปสวยเท่าแฟนสาวสิตาภาที่ครั้งหนึ่งเขาเคยประกาศต่อหน้าเธอว่าใช่สเป็ก นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ และการกลับมาพบกันอีกครั้งระหว่างเธอกับภีรมัตเรื่องยุ่งๆของหัวใจจึงเริ่มต้นขึ้น

Tags: พิมพ์ลภัส ภีรมัต รักหวานซึ้งปนเศรา้้

ตอน: บทที่ 32 เหินฟ้า

มาแบบรีบๆค่า ..ช่วงนี้งานยุ่งมากเลยค่า

เอ้า..ช้าอยู่ไยไปสมน้ำหน้าพี่ภีมกัน
---------------------------------------------------*---------------------------------

พิมพ์ลภัสมองการ์ดแต่งงานสีชมพูในมือนิ่งๆ บนการ์ดสลักชื่อเธอและภีรมัตไว้อย่างสวยงามประณีตด้วยน้ำหมึกสีทองก่อนจะผุดรอยยิ้มบางเบาเศร้าสร้อยเพียงนิด ครั้งหนึ่งเธอเคยอยากเป็นเจ้าสาวของภีรมัตและขอสัญญาจากเขาในวัยเด็ก ถ้าโตขึ้น..เธอจะแต่งงานกับเขา และภีรมัตก็รับปาก แต่พอมาวันนี้..วันที่เธอเฝ้ารอคอยมาถึงจริงๆ ทำไมถึงไม่มั่นใจว่ายังอยากทำเช่นนั้นอยู่รึเปล่า

ว่าที่เจ้าบ่าวหายตัวไปหลังจากลองชุดเสร็จ ทิ้งให้เธออยู่กับความฝันเพียงลำพังโดยที่เขาไม่เห็นเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร เท่านี้ก็ตีความหมายได้ไม่ยากว่าพิธีวิวาห์ที่กำลังจะมีขึ้นในอีกสามวันข้างหน้าไม่ได้เป็นสิ่งที่ภีรมัตเต็มใจให้เกิด เพียงแค่ต้องการรับผิดชอบที่ทำให้เธอด่างพร้อยก็เท่านั้น มือบางสอดการ์ดลงกระเป๋าเดินทางก่อนจะรูดซิปปิดเป็นใบสุดท้าย ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวที่จำเป็นถูกแพ็คลงกระเป๋าไปหลายวันก่อนโดยฝีมือพี่เลี้ยงคนสนิท ตั๋วเครื่องบินจองเอาไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ได้รับเมลล์ เหลือเพียงรอให้ถึงวันเดินทางเท่านั้น

เธอได้รับเมลล์จากทางสถาบันมีชื่อแห่งหนึ่งในกรุงปารีสหลังกลับจากตรังเพียงวันเดียว และก็ไม่ลังเลที่จะตอบตกลงเพื่อเข้าศึกษาต่อด้านการออกแบบดีไซด์ตามฝันเสียที แม้ลึกๆจะใจหายที่ต้องห่างกันใกล้ถึงคนละซีกโลกจริงๆ เสียงเคาะประตูจากด้านนอกดังสองครั้ง ปลุกเธอจากภวังค์

“ประตูไม่ได้ล็อกค่ะ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาช่างอ่อนระโหยเหลือเกินในความรู้สึกคนเป็นพ่อ บรรพตก้าวเข้ามาในห้อง มองบุตรสาวสุดรักด้วยความเห็นอกเห็นใจ มือบางกำลังเก็บเอกสารสำคัญที่จะต้องพกติดตัวไปด้วยลงกระเป๋าสะพายเอื่อยเฉื่อย

ดวงตาผ่านร้อนผ่านหนาวมามากจึงดูไม่ยากนักว่าบุตรสาวคิดอย่างไรกับลูกชายของเพื่อนเกลอ พิมพ์ลภัสผูกพันกับภีรมัตมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าพิมพ์ลภัสจะมอบหัวใจทั้งดวงให้กับพี่ชายต่างสายเลือดคนนี้ และถ้าตนคิดไม่ผิด ภีรมัตเองก็ไม่ได้รู้สึกต่างกัน ทว่าไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย ทั้งสองคนควรได้รับประสบการณ์ก่อนจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน นั่น..จะทำให้ความรักของทั้งคู่มีคุณค่าและยั่งยืน

เพราะฉะนั้น..ปัญหาที่เกิดจากความไม่เข้าใจและไม่ยอมเปิดใจคุยกันเสียที จึงเป็นสิ่งที่ภีรมัตและพิมพ์ลภัสจะต้องแก้โจทย์รักครั้งนี้ด้วยตัวเอง ความรักจึงจะสมบูรณ์

การจากกันครั้งนี้จะเป็นบทเรียนสอนให้ทั้งคู่รู้ว่า การที่ต้องอยู่โดยปราศจากใครอีกคนนั้น..ทรมานเพียงใด ความไม่เข้าใจกันจนต้องพรากจากจะช่วยเตือนให้ทั้งสองสามารถดูแลความรักและประคับประคองชีวิตคู่ไป ตลอดรอดฝั่งได้ เฉกเช่นตนและภรรยา เว้นซะแต่ว่า...ทั้งคู่ไม่ได้เกิดมาเพื่อกันและกัน ซึ่งก็นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

“แน่ใจแล้วหรือ..ลูกพิม” บรรพตถามด้วยแววตาเอื้อเอ็นดูและห่วงใย

“ค่ะ พิมไม่อยากยึดติดกับอะไรที่..ไม่รู้จะใช่ของเรารึเปล่า” เธอตอบไม่สบตาบิดา บรรพตโอบไหล่บุตรสาวด้วยความรักใคร่คล้ายต้องการจะปลอบประโลมและภูมิใจในตัวบุตรสาวที่คิดตกปลงได้

ที่ผ่านมาพิมพ์ลภัสอาจจะไม่เข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิต ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยงแท้และแน่นอน อะไรที่คิดว่าเป็นของเราอาจจะไม่ใช่เสมอไป คนเราเกิดมาแค่ตัวคนเดียว เวลาตายก็เอาไปได้แค่เพียงกุศลผลบุญเท่านั้น ตนจึงไม่อยากให้พิมพ์ลภัสยึดติดอยู่กับความรู้สึกรัก โลภ โกรธ หลง รังแต่จะทำให้ชีวิตหาความสุขสงบไม่ได้

“ลูกเชื่อเรื่องเนื้อคู่มั้ย..ลูกพิม” ท่านถามหลังจากทิ้งตัวนั่งบนขอบเตียงนอน

“เหมือนคุณพ่อกับคุณแม่รึเปล่าคะ” เธอเอียงคอถามดวงตาแวววาวสดใสดั่งเด็กขี้สงสัยคล้ายเมื่อครั้งยังเยาว์วัย แม้จะเจือรอยเศร้าให้เห็นอยู่บ้างก็ตามที

“ก็ใช่..แต่ไม่ทั้งหมด บางคนเป็นเนื้อคู่ แต่กลับอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน ก็มีเหตุให้ต้องพลัดพรากลาจาก บางคนไม่ใช่เนื้อคู่ แต่ก็พยายามประคับประคองชีวิตคู่ทั้งที่ยังทะเลาะกันแทบทุกวัน มันขึ้นอยู่กับผลบุญที่กระทำร่วมกันแต่ชาติปางก่อน เมื่ออดีตที่เคยเกิดมารักกันได้กระทำกรรมดีต่อกันมากน้อยเพียงใด”

“พิมเคยได้ยินว่า..ตักบาตรร่วมขันจะได้เป็นเนื้อคู่ทุกชาติภพ ไม่ใช่เหรอคะพ่อ” พิมพ์ลภัสหย่อนกายนั่งลงข้างบิดาแล้วกอดเอวหนาออดอ้อนประจบ ท่านก็วาดมือมาโอบตอบ

“ถ้าคู่แท้ในชาติที่แล้วร่วมกันสร้างแต่ความดีงาม ครองคู่ด้วยความรักความเข้าใจ ไม่ผิดศีลข้อสาม เกิดกี่ชาติก็ต้องมาพบกันและรักกันทุกชาติไป” พิมพ์ลภัสผละออกห่างจากอ้อมกอดบิดาแล้วทำสีหน้าครุ่นคิด
เธอกับภีรมัตเป็นคู่แท้กันรึเปล่านะ.. ก่อนที่บิดาจะเอ่ยต่อ

“ลูกพิมก็เหมือนกัน ถ้าลูกกับตาภีมเป็นคู่แท้กันทุกชาติภพ ยังไงเค้าก็ต้องรอจนกว่าลูกจะกลับมา”

“แล้วถ้าพิมไม่ใช่คู่แท้สำหรับพี่ภีมล่ะคะ ถ้าพิมหนีบฝรั่งตาน้ำข้าวกลับมาด้วย คุณพ่อจะรับได้มั้ยคะ จะดุพิมรึเปล่า” เธอเอ่ยกลั้วขัน

“ถามตัวเองก่อนเถอะ จะเลิกรักเค้าได้รึเปล่า แอบรักแอบชอบมาตั้งสิบปี จะเปลี่ยนใจไปมองฝรั่งตาน้ำข้าวได้รึ” ท่านโคลงศีรษะเธอเบาๆหยอกเย้า พิมพ์ลภัสรีบหลุบตามองพื้นเร็ววูบเขินที่บิดาอ่านเธอได้ทะลุปรุโปร่ง

“คุณพ่อรู้..”

“รู้สิ..พ่อมีลูกสาวคนเดียว เป็นยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจ ทำไมจะดูไม่ออกว่าลูกคิดยังไงกับตาภีม ตามติดเค้าแจซะขนาดนั้น”

“ฟังดู..เหมือนปลิงยังไงไม่รู้นะคะพ่อ” เธอทำหน้าแหยๆแล้วพูดต่อ “แต่พิมก็ไม่เคยทำอะไรเสียหายเลยนะคะ อยู่ในกรอบตลอด เด็กดีจะตาย” เธอเอ่ยพร้อมเอนศีรษะซบไหล่บิดาประจบประแจงท่านกอดตอบแล้วโคลงศีรษะทุยเบาๆ บุตรสาวโตขึ้นมากในสายตาผู้เป็นพ่อ มีความคิดความอ่านเกินตัว เป็นผู้ใหญ่กว่าที่คิด จากนี้คงไม่มีอะไรต้องห่วงหรือเป็นกังวลอีก

“คู่แท้ แม้ห่างไกลกันเพียงใด สักวันก็ต้องมาบรรจบพบกันอยู่ดี” ท่านเอ่ยยิ้มๆ

“คุณพ่ออยากให้พิมแต่งงานกับเอ่อ...พี่ภีมหรือคะ”

“ก็ลูกรักตาภีมไม่ใช่เหรอ ทำไมพ่อถึงจะไม่อยากให้ลูกแต่งงานกับคนที่ลูกรักล่ะ” ท่านเอ่ยยิ้มอบอุ่นมาให้พิมพ์ลภัสไม่เอ่ยตอบ ดวงตาคู่สวยหม่นแสงลงจนผู้เป็นพ่อก็ดูออก พ่อจะรู้รึเปล่า ที่เธอต้องหนีการแต่งงานครั้งนี้ไปไกลถึงฝรั่งเศสเพราะเธอรักภีรมัตเพียงฝ่ายเดียว ปากอิ่มถอนใจเฮือกยาวเซ็งๆ ก่อนที่ท่านจะหยิบบางอย่างจากกระเป๋าเสื้อนอน

“จดหมายตอบรับจากสถาบันที่ฝรั่งเศส ถ้าลูกตัดสินใจแล้วก็ต้องเอามันไปด้วย” ท่านยื่นมันให้กับเธอ พิมพ์ลภัสรับมาถือด้วยความรู้สึกโหวงในอกชอบกล พรุ่งนี้แล้ว ที่เธอจะต้องจากทุกคนไปไกล บิดาออกจากห้องไปแล้ว ขณะที่ความวุ่นวายใจก็เกิดขึ้นมาอีก

พรุ่งนี้เธอจะต้องเดินทางก่อนที่พิธีวิวาห์จะมีขึ้นในอีกสองวันถัดไป เรื่องของมารดายังคงเป็นปัญหาใหญ่ให้เธอหนักใจไม่น้อย แม้บิดาออกจะช่วยอธิบายเรื่องนี้แทน ทว่าคำประกาศิตในวันนั้นก็ทำให้เธอนึกกลัวเกรงขึ้นมา ท่านประกาศจะตัดแม่ตัดลูกถ้าเธอหนีการแต่งงาน แต่หนนี้..มันจำเป็นจริงๆ เธอไม่อาจเข้าพิธีวิวาห์กับภีรมัตได้ ทั้งที่ตัดสินใจแล้ว ทว่าก็ยังเจ็บปวดแสนสาหัส แต่ก็น่าจะดีกว่าต้องแต่งงานกับคนที่ไม่เคยมีใจให้เลย

-----------------------------------------------------------------------------*----------------------------------------------------------------------
ในที่สุดวันที่ต้องอำลาจากทุกคนไปแดนไกลก็มาถึง เธอออกจากบ้านมาหาเพียงอรด้วยหัวใจร้อนรุ่ม ยิ่งเวลากระชั้นชิดมากเท่าไหร่หัวใจก็หวิวโหวงมากเท่ากัน เพียงอรจ้องพิมพ์ลภัสตาไม่กะพริบเช่นเคย รอยคล้ำรอบดวงตาบ่งบอกให้รู้ว่าพิมพ์ลภัสคงจะนอนไม่หลับถึงได้จรลีมาหาเธอแต่เช้าตรู่ แล้วนั่งนิ่งเป็นตอจนถึงแปดโมง

พิมพ์ลภัสหันมาสบมองเพื่อนรักหลังจากรู้สึกถึงสายตาคล้ายต่อว่าเธอกลายๆที่ไม่ยอมพูดยอมจาอะไรเลย

“มีอะไรว่ามา” เธอเปิดโอกาสให้เพื่อนได้ซักถามเป็นครั้งสุดท้าย

“อีกสองวันก็จะถึงวันแต่งแล้วนะ แกไม่เปลี่ยนใจแน่เหรอพิม” เพียงอรถามอีกครั้ง หลังจากหลายวันที่ผ่านมาเธอเฝ้าเพียรถามและก็ได้คำตอบเดิมๆ คือยืนยันว่าจะไปเรียนต่อไม่เปลี่ยนใจแน่แท้ และยังย้ำทุกครั้งที่เจอกันว่าห้ามปากโป้งบอกภีรมัตรวมทั้งเพื่อนสนิทคนใกล้ชิดทั้งหลายของเขารู้เด็ดขาด ถ้าเผลอหลุดปากเมื่อไหร่ จะตัดขาดจากความเป็นเพื่อน ที่ผ่านมา..ให้อภัย มันทำให้เพียงอรหัวหด พิมพ์ลภัสเป็นคนฉลาดคงจับผิดเธอได้ไม่ยากนัก อาจจะรู้ความจริงแล้วก็ได้ว่าเธอร่วมมือกับภีรมัต ถึงได้พูดดักคอไว้แบบนี้

“อืม..” พิมพ์ลภัสขานรับในลำคอ สีหน้าเบื่อโลกเต็มที

“แกไม่เสียดายเหรอ ที่ผ่านมา..แอบรักเค้าแทบตาย พอได้แต่งงานกันจริงๆกลับจะทิ้งไปซะงั้น”

“เสียดาย..” พิมพ์ลภัสตอบเนือยๆ

“เอ้า!..“ เพียงอุทานด้วยความมึนงง

“ฉันไม่อยากฉวยโอกาส ไม่อยากใช้ทะเบียนสมรสผูกมัดให้เขาต้องอยู่กับฉันทั้งที่ได้ไม่รัก คนไม่ได้รักกัน แต่งกันไป มันจะไปรอดเหรออร ฉันไม่อยากแต่งแล้วเป็นหม้ายเว้ย!” พิมพ์ลภัสพ่นคำพูดออกมายืดยาวพร้อมทั้งปรี๊ดแตกในแบบที่เพียงอรไม่เคยได้เห็นบ่อยนัก เพียงอรมองอึ้งๆก่อนที่พิมพ์ลภัสจะพูดต่อเสียงเครือ “แค่วันนี้...มีชื่อฉันกับเขาอยู่บนการ์ดใบเดียวกันก็เพียงพอแล้ว” มือเรียวกรีดไล้น้ำตาที่ตีรื้นขึ้นมานิด แววตาเศร้าสร้อยพลอยให้เพียงอรสลดหดหู่ไปด้วย

หลายวันที่ผ่านมา พิมพ์ลภัสพูดน้อย กินน้อย ไม่ยิ้มเลย เพิ่งจะมีวันนี้แหละที่ยอมเผยความในใจจนหมดเปลือก เพียงอรเหลือบดูนาฬิกาข้างฝาห้อง เหลือเวลาอีกห้าชั่วโมง พิมพ์ลภัสก็ต้องเตรียมตัวไปแอร์พอตแล้ว

“อีกห้าชั่วโมง แกอยากทำอะไรก่อนไปมั้ยพิม”

“ฉันอยากพบจุลกานต์” เธอบอกเจตนารมณ์ ตั้งแต่กลับมาเธอไม่มีโอกาสได้พบเขาเลย เธออยากขอโทษสำหรับเรื่องราวที่ผ่านมาและขอบคุณที่เขาแถลงข่าวเพื่อเธอ เพียงอรขยับเข้ามาใกล้อีกนิดพร้อมทั้งยิ้มพราวหน้าทะเล้น

“นี่พิม..ถามจริง สี่วันที่ตรังแกจะลืมได้ลงคอเหรอ” เพียงอรกระแซะไหล่ยิ้มล้อๆหรี่ตาจับจ้องหน้าทะเล้นพิมพ์ลภัสเข้าใจดีว่าเพียงอรหมายถึงสิ่งใด

“จะบ้าเหรอ ฉันยังเวอร์จิ้นย่ะ” เธอเอ่ยพร้อมทั้งค้อนขวับไปหนึ่งที หน้าแดงเรื่อ ก่อนที่เพียงอรจะเอ่ยตาโต

“โอ้โห! พี่ภีมของฉันเนี่ย..พระเอกทั้งในจอนอกจอเลยเนอะ” พิมพ์ลภัสเหล่มองเพื่อนยิ้มระเรื่อเต็มใบหน้า
------------------------------------------------------------------------------------*----------------------------------------------------------

ทั้งสองมาพบจุลกานต์ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งหลังจากเพียงอรช่วยเช็คจนรู้ว่าเขากำลังทำอะไร ที่ไหน จุลกานต์มีงานโชว์ตัวให้กับสินค้ายี่ห้อหนึ่งที่เขาเป็นพรีเซนเตอร์ พอลงจากเวทีก็ต้องแปลกใจไม่น้อยที่เห็นพิมพ์ลภัสและเพียงอรยืนรวมอยู่ในกลุ่มทีมงาน

หลายวันที่ผ่านมาตั้งแต่รู้ข่าวว่าพิมพ์ลภัสกลับมาแล้ว เขาต้องคอยห้ามตัวเองไม่ให้ไปพบเธอเพราะพิมพ์ลภัสกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ เขาไม่อยากให้เธอลำบากใจ ทว่าวันนี้เธอกลับเป็นฝ่ายมาหาเขาซะเอง จุลกานต์ตัดสินใจก้าวเข้าไปหาร่างบางที่คล้ายจะบางลงไปทุกวัน

“พิม” เสียงทุ้มแฝงไปด้วยความประหลาดใจที่พบเธอ

“คุณพอจะมีเวลามั้ยคะ ฉันอยากคุยกับคุณก่อนเดินทาง” ประโยคที่พิมพ์ลภัสพูดออกมา สร้างความงุนงงให้แก่จุลกานต์ไม่น้อย เขาไม่เข้าใจว่าพิมพ์ลภัสจะเดินทางไปไหน ทั้งที่วันพรุ่งนี้ก็จะเข้าพิธีแต่งงานแล้ว ทว่าก็ยังไม่เอ่ยถามในทันที

“รอเดี๋ยวนะพิม ผมขอไปแจ้งผู้จัดการก่อน” จุลกานต์เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม พิมพ์ลภัสมองตามแผ่นหลังสูงสง่าของเขาเดินหายเข้าไปในกลุ่มทีมงานหลังเวที เพียงครู่ก็กลับออกมา

เพียงอรไม่ได้เข้าไปนั่งร่วมโต๊ะด้วยปล่อยให้ทั้งสองคุยกันตามสบายโดยที่ตนขอเดินดูนั่นนี่ไปเรื่อยๆ ทั้งคู่เลือกร้านกาแฟบรรยากาศสบายๆไม่ไกลจากที่เพียงอรเตร่รออยู่นัก เขายังคงมีมุกตลกๆมาเล่าเช่นเคย ทำให้เธอหัวเราะออกมาได้บ้างหลังจากเครียดตลอดช่วงหลายวัน

จุลกานต์เพ่งพิศใบหน้าเนียนใสที่ซูบเซียวลงไปมาก ยอมรับว่าเสียดายเจ้าของใบหน้าหวานหยด ทว่าก็ต้องทำใจ ก่อนที่พิมพ์ลภัสจะช้อนสายตาขึ้นมองเขาหลังจากดูดกาแฟเย็นไปเพียงนิด

“ฉันขอโทษสำหรับเรื่องที่ผ่านมา แล้วก็อยากขอบคุณที่คุณแถลงข่าวเพื่อฉัน” เธอเปิดฉากเอ่ยถึงเรื่องที่ตั้งใจมาพบเขาวันนี้ จุลกานต์วางช้อนที่กำลังคนกาแฟในถ้วยลง มองสบดวงหน้าหวานด้วยแววตาอ่อนโยนอย่างมิตร

“ผมรับคำขอบคุณอย่างเดียวนะพิม สำหรับคำขอโทษ...คุณไม่ได้ทำอะไรผิด สบายใจเถอะพิม ผมเป็นเพื่อนคุณเสมอ” คำพูดจุลกานต์ทำให้เธอยิ้มออก ซาบซึ้งใจ แม้สายตาที่มองตอบเธอยังเจือรอยเศร้าให้เห็นอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ทำให้อึดอัดอะไร

“ขอบคุณคุณมากนะคะคุณจุ๊น” พิมพ์ลภัสเอื้อมมือทาบทับมือหนาที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยความรู้สึกโล่งอก เป็นครั้งแรกที่เธอกล้ายื่นมือสัมผัสมือเขาโดยไม่รู้สึกฝืนใจเช่นแต่ก่อน

จุลกานต์เป็นสุภาพบุรุษและมีน้ำใจเป็นนักกีฬาเยี่ยมยอดน่าชื่นชม ทำไมเธอถึงไม่รักผู้ชายคนนี้นะ จุลกานต์กุมมือบางนุ่มนิ่มแล้วตบเบาๆยิ้มสบายๆ

“เมื่อกี้...คุณบอกว่าจะเดินทาง คุณจะไปไหนเหรอพิม” เขาถามในเรื่องที่ยังขัดข้องใจเมื่อคลายมือจากพิมพ์ลภัสแล้ว เธอยิ้มบางเบาแววตาหม่นแสงเศร้าลึกจนเขานึกห่วง

“ไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสค่ะ” เธอเอ่ยราบเรียบ

“เมื่อไหร่ครับ” อยากจะถามถึงเรื่องงานแต่งที่กำลังจะมีขึ้นวันมะรืน ทว่าพิมพ์ลภัสในตอนนี้คงไม่อยู่ในอารมณ์จะพูดถึงมันสักเท่าไหร่

“ห้าโมงเย็น วันนี้...”

“ถ้างั้น ผมขอไปส่งคุณที่สนามบินนะพิม” เขาเอ่ยเจือความห่วงใย

พิมพ์ลภัสยิ้มละมุนรับไมตรีจากเขา แค่นี้ก็เพียงพอแล้วจากมิตรคนหนึ่งที่เธอรู้สึกผิดมาตลอด จุลกานต์เป็นคนดีเป็นผู้ชายที่สาวๆต้องฝันถึงแม้ภาพลักษณ์ภายนอกจะเจ้าชู้อันดับหนึ่ง แต่เนื้อแท้ของจุลกานต์เขาเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่งทีเดียว ทว่าเธอไม่อาจรักเขาได้รอยยิ้มและสายตาที่ได้รับจากจุลกานต์ในวันนี้ทำให้เธอไม่ต้องติดอยู่ในความรู้สึกผิดอีกต่อไปแล้ว จากนี้ไปเธอจะคิดถึงเพียงความฝันของตัวเองเท่านั้น ส่วนเรื่องคู่แท้พรหมลิขิตหรืออะไรก็ตาม จะปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาพาไป เรื่องระหว่างเธอกับภีรมัตเบื้องบนอาจจะกำหนดไว้แล้วให้เป็นเช่นนี้ เธอและเขาคงไม่ได้เกิดมาเพื่อกันและกัน
----------------------------------------------------------------------*-------------------------------------------------------------------------

จังหวัดตรัง บ้านพักริมผา
อีกสองวันก็จะเข้าพิธีแต่งงานแล้ว ทว่าร่างสูงหล่อเหลายังนั่งกลัดกลุ้มอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อคืนจวบจนรุ่งเช้า เขากะว่าจะขับรถกลับในวันถัดไปเพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวตามที่รับปากมารดาว่าจะกลับก่อนกำหนดหนึ่งวัน ในหัวเขามีเพียงเรื่องพิมพ์ลภัส ทุกลมหายใจเข้าออกมีเพียงเธอ แล้วแบบนี้จะให้ปล่อยมือจากพิมพ์ลภัสได้อย่างไร

ตั้งแต่ข่าวการแต่งงานระหว่างเขากับพิมพ์ลภัสแพร่ออกไป สื่อมวลชนก็ตามติดยิงคำถามปวดใจที่เขาไม่อยากตอบทุกวี่วัน อย่างเช่น ...

“การแต่งงานแบบสายฟ้าแลบครั้งนี้ เกิดจากอะไรคะ” หรือ“แล้วคุณจุ๊นว่าอย่างไรบ้าง ในเมื่อคุณพิมกับคุณจุลกานต์คบกันมาก่อน”

สารพัดคำถามจี้ใจจนต้องหนีมาเก็บตัวอยู่ที่นี่เพราะต้องการความสงบ ทว่าตอนนี้ความสงบที่มีกำลังถูกรบกวนจากใครก็ตามที่ต้องการบางสิ่งบางอย่างจากเขาถึงบุกมาถึงตรัง ภีรมัตถอนใจรำคาญ เสียงฝีเท้าสองคู่ขยับใกล้เข้าเรื่อยๆ เขาชำเลืองมองเพียงนิด ต๋อยและศศินนั่นเอง เขาไม่แปลกใจที่พบทั้งสอง แล้วจึงหันกลับทางเดิมด้วยความเบื่อหน่าย

ต๋อยมองภาพพระเอกหนุ่มแล้วระอาใจ ส่ายหน้าไปมาด้วยความเวทนา คนที่กำลังจะกลายเป็นเจ้าบ่าวในอีกสองวันแต่สีหน้าไม่ได้บ่งบอกถึงความยินดีหรือความสุขที่กำลังจะได้รับเลย

เมื่อวานตั้งแต่รู้ว่าพิมพ์ลภัสจะหนีงานแต่งไปฝรั่งเศสจากปากแทนไท ตนก็เพียรพยายามโทร.หาทั้งวัน ทว่าเขากลับไม่ยอมรับสายแล้วยังปิดเครื่องหนีไปซะเฉยๆ อยากจะลงมาบอกข่าวภีรมัตด้วยตัวเองตั้งแต่เมื่อวาน แต่ก็ติดงานสำคัญไม่อาจเลี่ยงได้ เพิ่งจะโทร.หาศศินติดเมื่อเช้า ถึงได้รู้ว่าภีรมัตหนีมาเก็บตัวอยู่ที่ตรัง ต๋อยจึงเล่าเรื่องราวที่เพิ่งรับรู้มาให้ศศินฟัง แล้วจึงนัดแนะพบกันโดยที่ต๋อยจับเครื่องบินมาลงที่หาดใหญ่ ในขณะที่ศศินจะขึ้นฝั่งมารับจากนั้นทั้งสองก็บึ่งรถมาที่นี่ ทั้งคู่สบตากันนิดหนักใจกับภาพเบื้องหน้า

“สภาพไม่เหลือเค้าพระเอกเลยว่ะ” ต๋อยกอดอกมองพระเอกเบอร์หนึ่งด้วยความเห็นใจ ก่อนจะโยนหนังสือบันเทิงฉบับหนึ่งลงบนโต๊ะ ทว่าภีรมัตกลับเหลือบมองแล้วเมินเฉย ศศินส่ายหน้ารำคาญใจ ขนาดว่าเขากับต๋อยเอาความจริงมาให้ถึงที่ภีรมัตก็ยังไม่ยอมค้นหาด้วยตัวเอง

“ไอ้ภีม แกมัวปลีกวิเวกมาอยู่ที่นี่ แล้วเมื่อไหร่จะหายโง่สักทีวะ” ศศินเป็นฝ่ายหัวเสียซะเอง ภีรมัตเหลือบมองเพียงนิดก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงติดจะรำคาญ

“ฉันไม่มีอารมณ์จะเตะแกหรอกนะไอ้ศิน มีอะไรก็ว่ามา” ภีรมัตเอ่ยเนือยๆไม่มอง ท่าทางหงุดหงิดไม่น้อยที่ถูกรบกวน ศศินตั้งท่าจะอ้าปากโต้ตอบ ทว่าต๋อยกลับห้ามเพราะถ้าปล่อยให้ทั้งคู่โต้เถียงกันไปมา วันนี้คงไม่รู้เรื่องแน่ ต๋อยจึงกางหนังสือเล่มนั้นบันเทิงหน้าหนึ่งที่จุลกานต์ให้สัมภาษณ์ไว้ซะเอง

“อ่านซะภีม จะได้รู้ว่าพิมรักเธอไม่ใช่จุลกานต์” พร้อมเฉลยด้วยความรำคาญไม่ต่างจากศศิน

ภีรมัตหันมองทั้งคู่ไปมาไม่เชื่อสิ่งที่ต๋อยเพิ่งจะบอกเมื่อครู่นี้ก่อนจะก้มอ่านบทความที่จุลกานต์ให้สัมภาษณ์อย่างรวดเร็ว‘คนที่
พิมรัก...ก็ต้องเป็นคนที่พิมจะแต่งงานด้วยสิฮะ ผมขอยืนยันว่าสิ่งที่พูดในวันนี้เป็นความจริง’ ความรู้สึกคล้ายถูกภูเขาทั้งลูกทับอกหายเป็นปลิดทิ้งก่อนจะเงยมองต๋อยและศศินด้วยแววตาเป็นประกายความหวังอย่างไม่เชื่อ พิมพ์ลภัสรักเขาเหรอ เป็นไปได้ไง ทำไมเขาถึงไม่เคยจับความรู้สึกนั้นได้เลย

“พิมรักผมเหรอครับ” ภีรมัตมองต๋อยสลับกับศศินต้องการการยืนยัน ทั้งคู่สบตากันนิดก่อนจะตอบพร้อมกันเสียงดังชนิดที่ทำให้
ภีรมัตสะดุ้ง

“เออ..!”

“ผมจะกลับไปถามพิมให้รู้เรื่อง” ภีรมัตพรวดพราดลุกจากเก้าอี้แล้ววิ่งหายไปในห้องนอนกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกุญแจรถในมือ เดินแกมวิ่งผ่านหน้าต๋อยและศศินโดยไม่สนใจเสียงทัดทานจากทั้งคู่มือหนาเปิดประตูรถอย่างรีบร้อน ทว่าศศินก็ตามมารั้งไว้ก่อนที่ภีรมัตจะสอดกายเข้าไปนั่ง

“ไอ้ภีมไปเครื่องเถอะว่ะ เดี๋ยวไม่ทัน” ศศินเอ่ย ขณะที่ต๋อยเพิ่งจะตามมาสมทบด้วยอาการหอบแฮ่กเพราะวิ่งตั้งแต่บนบ้านมาข้างล่าง

“หมายความว่าไง มะรืนนี้ถึงจะมีงานแต่ง แล้วทำไมถึงจะไม่ทันวะ” ภีรมัตมีสีหน้างุนงง ทั้งยังรู้สึกหวาดหวั่นโดยไม่ทราบสาเหตุกับประโยคของศศินก่อนที่ต๋อยจะเป็นผู้เฉลยอีกครั้ง

“พิมจะไปฝรั่งเศส...วันนี้” สิ้นคำพูดต๋อยหัวใจเขาก็แทบจะหยุดเต้น

เมื่อครู่ทั้งสองเพิ่งจะนำแสงสว่างแห่งชีวิตมาให้แท้ๆ ผ่านไม่ถึงนาทีกลับฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น ร่างสูงนิ่งอึ้งไปอึดใจ ภีรมัตก้มดูนาฬิกาข้อมือ เขามีเวลาเหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงที่จะไปตามเอาความรักจากพิมพ์ลภัสมาครอบครองก่อนที่เธอจะจากไป แม้ต้องจากก็ขอให้พิมพ์ลภัสได้รับรู้ว่าเขารักเธอมากมายเพียงใด ทั้งสามก้าวขึ้นรถโดยที่ภีรมัตเป็นผู้ขับ รถสปอร์ตแทบจะพุ่งไปข้างหน้าด้วยความร้อนรุ่มของเจ้านาย จุดหมายปลายทางคือสนามบินสุวรรณภูมิ

----------------------------------------------------------------------------*------------------------------------------------------------------
พิมพ์ลภัสก้าวเท้าลงบันไดมาก็เห็นว่ามารดานั่งหน้าตึงคอตั้งบ่ารออยู่ บิดาคงบอกท่านแล้ว คุณหญิงปานทิพย์ถึงได้หน้าเชิดไม่แม้แต่จะชายตาแล พิมพ์ลภัสขยับเท้าเข้ามาหาก่อนจะนั่งลงกับก้มกราบแทบเท้ามารดาน้ำตานอง ท่านก็ไม่ต่างกันน้ำตาร่วงเผาะเมื่อเธอบอกว่าจะไม่แต่งงานกับภีรมัตและจะไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสวันนี้

“แม่คะ พิมรู้ว่าพิมเป็นลูกที่แย่ ทำให้แม่ต้องขายหน้าถึงสองครั้งสองครา แม่จะดุจะด่าพิมยังไงก็ได้ แต่อย่าเกลียดพิมเลยนะ พิมมีแม่แค่คนเดียว ถ้าแม่ไม่รักพิม พิมจะอยู่ได้ยังไงคะ” พิมพ์ลภัสกอดขามารดาร่ำไห้ปริ่มจะขาดใจ สะอื้นจนตัวโยน ทว่าท่านกลับเฉยเมยไม่มองเธอแม้เพียงนิด

“คุณหญิงปล่อยลูกไปเถอะนะ ลูกพิมเจ็บปวดมามากเกินพอแล้ว” บรรพตเอ่ยขึ้นมาบ้างหลังจากทนดูบุตรสาวสะอื้นร่ำไห้ต่อไม่ไหว

“พอเลย ทั้งพ่อทั้งลูก ทำอะไรไม่คิดถึงจิตใจฉันบ้าง เห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอรึไง” คุณหญิงปานทิพย์หันมาแว๊ดใส่ผู้เป็นสามีอย่างเหลืออดก่อนจะต่อว่าบุตรสาว “เราก็เหมือนกัน หนีงานหมั้นงานแต่งถึงสองครั้งสองคราจะให้ฉันเอาบีบคลุมหัวเดินรึไง...พิมพ์ลภัส”

“พิมขอโทษค่ะแม่ แต่พิมพ์ลแต่งงานกับพี่ภีมไม่ได้จริงๆ พิมเจ็บ แม่เข้าใจพิมนะ พิมรักแม่นะคะ”

“รักฉัน แล้วทำแบบนี้ทำไม” คุณหญิงปานทิพย์เอ่ยกราดเกรี้ยวน้ำตาคลอ

“แม่คะ ตั้งแต่เล็กจนโต พิมเชื่อฟังแม่ทุกอย่าง แต่ครั้งนี้...พิมทำตามที่แม่ขอไม่ได้จริงๆ พิมไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้วคะแม่ พี่ภีมเค้าไม่ได้รักพิม แล้วพิมก็ไม่อยากฝืนใจแต่งกับคนที่ไม่เคยรักพิมมากกว่าน้องสาวได้ แม่ให้พิมไปเถอะนะ” เธออ้อนวอนมารดาทั้งน้ำตา สะอื้นจนตัวโยน ทำให้เพียงอรแทนไทและบรรดาสาวใช้ในบ้านพลอยสลดหดหู่กับบรรยากาศไปด้วย

ภาพที่พิมพ์ลภัสร้องไห้สะอึกสะอื้นสะท้อนหัวอกผู้เป็นแม่ให้ร้าวระบมไปตามกัน ตั้งแต่เล็กจนโตลูกสาวคนนี้ไม่เคยทำให้ตนผิดหวัง กระทั่งเกิดเรื่องคราวนี้ ตนเองก็ไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดนัก แต่สิ่งที่พิมพ์ลภัสพรั่งพรูออกมาแม้จะมั่นใจว่าภีรมัตก็รักบุตรสาวตนไม่ต่างกัน ทว่ามีอะไรบางอย่างขวางกั้นทั้งคู่เอาไว้ และตนก็ไม่อยากแทรกแซง คุณหญิงปานทิพย์เอื้อมไปคว้าบุตรสาวขึ้นมาสวมกอด นั่นยิ่งทำให้พิมพ์ลภัสร้องไห้หนักกว่าเดิม

“แล้วกลับมาเยี่ยมแม่บ้างนะ อย่าไปแล้วไปลับล่ะลูกพิม” ท่านลูบศีรษะทุยเบาๆอย่างเห็นใจและรักใคร่

“ขอบคุณค่ะแม่” เธอเอ่ยทั้งที่ยังสะอื้นไม่เลิก

“เอ้า...ถ้างั้นก็รีบไปกันเถอะเดี๋ยวจะตกเครื่อง” บรรพตเอ่ย

ในที่สุดสถานการณ์ระหว่างแม่กับลูกก็กลับมาปรองดองดังเดิม ทุกคนจึงขึ้นรถตู้เพื่อไปส่งพิมพ์ลภัสที่สนามบินเพราะนี่ก็ใกล้ได้เวลาเข้าเกตแล้ว
-----------------------------------------------------------------------------*-----------------------------------------------------------

ภีรมัตขับรถจากตรังมาสนามบินที่ใกล้ที่สุดราวชั่วโมงเศษ เขาเหยียบคันเร่งเกือบจมมิดคันเพราะความร้อนใจ ทั้งต๋อยและศศินต้องนั่งตัวเกร็งตลอดทาง แต่พอมาถึงพนักงานของสายการบินดันบอกว่าเขามาช้าไป เครื่องเพิ่งจะออกไปก่อนหน้าเขาเมื่อครู่นี้เอง เที่ยวต่อไปต้องรออีกชั่วโมงครึ่ง

ภีรมัตเซถอยหลังนิด สิ้นไร้เรี่ยวแรง เหลือบดูนาฬิกาข้อมือ เขามีเวลาเหลืออีกราวสองชั่วโมงเมื่อเครื่องเทียบรันเวย์ก่อนขึ้นบิน เวลาน้อยลงทุกขณะ...บีบขั้นจิตใจจนแทบคลั่ง ทำไมความรักของเขาถึงมีอุปสรรคเยอะนักนะ นึกโมโหที่สายการบินจัดเที่ยวเข้ากรุงเทพฯน้อยเกินไป เหลือเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง ถ้าเขาไปไม่ทัน มันก็จะเป็นเวลาตายของเขาเช่นกันได้ จึงได้แต่ภาวนาเว้าวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้เขาไปทันการณ์ทีเถอะ

ต๋อยกลับมาหาภีรมัตพร้อมตั๋วเครื่องบินสองใบ ศศินจะตามไปทีหลัง อาสาจะขับรถภีรมัตขึ้นกรุงเทพฯให้ในวันรุ่งขึ้น อีกอย่างเขาต้องเข้าไปขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชาก่อน ทั้งสองมองภีรมัตสลับกับมองหน้ากันเป็นพักโดยที่ไม่มีใครเอ่ยอะไร จวบจนได้เวลา เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศถึงผู้โดยสารที่จะเดินทางไปกรุงเทพฯในเที่ยวบินนี้ ภีรมัตกระเด้งสุดตัวรีบวิ่งไปที่เกตขณะที่ต๋อยตามแทบไม่ทัน แม้ตัวจะอยู่ที่นี่ ทว่าหัวใจเขาไปถึงกรุงเทพฯนานแล้ว

----------------------------------------------------------------*----------------------------------------------------------------------
ทุกคนอยู่พร้อมกันหน้าบริเวณทางเข้าเกตสำหรับผู้โดยสารขาออกที่จะเดินทางไปฝรั่งเศส เพียงอรกุมกระชับมือนุ่มของเพื่อนรักไว้ตลอดทางไม่ยอมปล่อย ใจหายที่ต้องจากกันไกลโดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบกันอีก พิมพ์ลภัสกุมกระชับตอบด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน

“ไท...ฝากไอ้อรด้วยนะ อย่าทิ้งล่ะ...ไม่งั้นได้นอนร้องไห้ขี้มูกโป่งไม่เลิกแน่ พิมขี้เกียจฟังมันคร่ำครวญ” เธอเอ่ยกับแทนไทเป็นนัยๆกลั้วขำทั้งที่อยากจะร้องไห้ไม่ต่างจากเพียงอร “นี่!ไอ้อร ฉันไปเรียนต่อนะ แกร้องไห้เหมือนคนญาติเสียไปได้”

“ก็มันเศร้านี่หว่า เคยเห็นกันแทบทุกวัน จู่ๆแกก็หนีไปไกลตั้งฝรั่งเศส แล้วเมื่อไหร่จะกลับมาก็ไม่รู้” เพียงอรเอ่ยปนเสียงเครือ เธอเองก็ตอบคำถามเพื่อนไม่ได้เช่นกันว่าจะกลับมาเมื่อไหร่

“แกหยุดร้องได้ม๊ะ ฉันจะร้องตามว่ะ” พิมพ์ลภัสกรีดไล้หยาดน้ำใสที่เอ่อคลอหน่วยตาเพียงนิดก่อนจะหันมาพูดกับจุลกานต์

“ขอบคุณมากนะคะคุณจุ๊นสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา” จุลกานต์ฉวยมือบางนุ่มนิ่มขึ้นมากุมอย่างอาลัย

“โชคดีนะพิม เวลาที่ผมทักไลน์ไปก็ตอบมาบ้างล่ะ”

พิมพ์ลภัสยิ้มละมุนให้เขาก่อนจะจับกระชับมือหนาตอบส่งผ่านความรู้สึกอย่างมิตรให้เขา

“แน่นอน ฉันต้องตอบอยู่แล้วล่ะ ก็คุณคือเพื่อนที่แสนดีของฉันคนหนึ่ง ฉันจะลืมคุณได้ไงคุณจุ๊น” เธอยิ้มกว้างให้เขาและจุลกานต์ก็ยิ้มตอบกลับมา ก่อนจะปล่อยมือจากเขาแล้วหันมาสวมกอดป้าเพ็ญที่อ้าแขนรอ เพียงครู่จึงผละออกมามองลุงหมอและป้าเพ็ญนิ่งๆ
--------------------------------------------------------------------*--------------------------------------------------------------------------

เธออยากจดจำดวงตาอบอุ่นของป้าเพ็ญและรอยยิ้มมหาเสน่ห์ของลุงหมอเพื่อระลึกถึงใครบางคนที่จะไม่ได้พบเจอกันอีกแล้ว
ภีรมัตถอดแบบดวงตาจากป้าเพ็ญ แต่กลับมีรอยยิ้มกระชากใจแบบนายแพทย์ประจักษ์ ทว่ารอยยิ้มของภีรมัตกลับบาดใจสาวๆได้มากกว่าผู้เป็นพ่อซะอีก รวมทั้งเธอที่ใจแกว่งทุกครั้งยามที่ได้รับมัน

“อย่าทิ้งให้ตาภีมรอนานนักนะลูก” ป้าเพ็ญเอ่ยกับเธอ และพิมพ์ลภัสก็หลบตาวูบก่อนจะยิ้มรับเพียงบางเบา

แม้เพ็ญมณีจะไม่เคยได้ยินจากปากบุตรชายว่าคิดกับสาวน้อยตรงหน้านี้มากกว่าความเป็นพี่น้องที่มีมาตั้งแต่เล็กๆ ทว่าความที่เป็นแม่ลูกกันมาทั้งชีวิต ตนจึงมั่นใจว่ามองไม่ผิด ภีรมัตรักพิมพ์ลภัสมาพักใหญ่แล้ว เพียงแต่อาจจะยังไม่รู้ใจตัวเอง เพ็ญมณีลูบ
หลังสาวน้อยที่ตนเอ็นดูดั่งลูกเบาๆเมื่อสาวน้อยก้มกราบแทบอก ก่อนจะผละไปไหว้ลาผู้เป็นสามีตนบ้าง

“รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆนะน้องพิม” นายแพทย์ประจักษ์ให้พรพร้อมทั้งลูบศีรษะเธอเบาๆ ก่อนที่จะหันมาหาบิดามารดาน้ำตาคลอ เธอกับมารดาแม้จะไม่ค่อยแสดงความรักต่อกันดั่งเช่นแม่ลูกคู่อื่น ทว่าเธอก็รับรู้เสมอมาว่ามารดารักเธอมากมายเพียงใด พิมพ์ลภัสโผเข้าซบอกอุ่นของบิดามารดาเอ่ยเสียงสั่นเครือ

ทุกครั้งผู้ที่จะต้องเดินทางคือบิดา ทว่าหนนี้กลับเป็นเธอที่จะต้องจากทุกคนไปคนละซีกโลก ก็อดใจหายไม่ได้

“พักผ่อนบ้างนะคะแม่ อย่าทำงานมากเกินไปเดี๋ยวจะไม่สบายเอา คุณพ่อด้วยค่ะรักษาสุขภาพด้วยนะคะ”

“ห่วงตัวเองเถอะ ไปอยู่ไกลหูไกลตาพ่อแม่อย่าคิดว่าจะทำอะไรตามอำเพยใจได้นะพิมพ์ลภัส แค่นี้แม่ก็จะอกแตกตายอยู่แล้ว แล้วก็อย่าสร้างเรื่องสร้างราวให้อาเค้าปวดหัวอีกเด็ดขาด” ท่านสั่งเสียงเฉียบทว่ามันกลับทำให้เธอยิ้มออก

“พิมจะโทร.มาทุกวันเลยนะคะ” เธอเอ่ยเสียงเริ่มเครือขึ้นมาอีก หลังจากได้ยินเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ประกาศให้ผู้โดยสารเที่ยวบินที่เธอถือตั๋วอยู่เตรียมตัวเข้าเกต พิมพ์ลภัสโผเข้ากอดบิดามารดาอีกครั้ง“พิมรักพ่อกับแม่นะคะ” ก่อนที่คุณหญิงจะเป็นฝ่ายแกะมือบุตรสาวออกซะเองเมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศซ้ำอีกครั้ง อีกทั้งถ้าพิมพ์ลภัสยังกอดตนไม่ยอมปล่อยเสียที ตนคงได้ร้องไห้ออกมาบ้างล่ะ เพราะไม่เคยต้องห่างลูกสักที

“ไปเถอะลูกพิม เดี๋ยวประตูจะปิดซะก่อน” บิดาเอ่ยพร้อมทั้งโอบกระชับไหล่ภรรยา

พิมพ์ลภัสจำต้องเดินเข้าเกต เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศว่าเหลือเวลาอีกเพียงสิบนาทีก็ต้องขึ้นเครื่องแล้ว พิมพ์ลภัสโบกมือลาทุกคนพร้อมรอยยิ้ม ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นก่อนจะหายลับเข้าไปตามทางเดินเข้าเกตคือรอยยิ้มจากทุกคน
---------------------------------------------------------------------*-------------------------------------------------------------------------------

ภีรมัตกระวีกระวาดลงจากเครื่องบินทั้งที่ประตูยังเปิดไม่สุด ปกติเขาก็เดินทางโดยเครื่องบินเป็นประจำเวลามีถ่ายละครไกลๆ ไม่เคยต้องรู้สึกว่าระบบของนกเหล็กยักษ์จะวุ่นวายจนทำให้เขาเสียเวลาทั้งหงุดหงิดที่ต้องรอให้เจ้าหน้าที่พูดให้จบก่อนประตูจะเปิดออก เขากระโจนลงจากเครื่องทันทีแล้วออกแรงวิ่งสุดฝีเท้าเพื่อไปให้ทันที่ประตูขาออกสำหรับผู้โดยสารที่จะเดินทางไปต่างประเทศโดยไม่สนใจว่าต๋อยจะตามทันรึเปล่า

“พิม...” เขาตะโกนก้องสุดเสียงหน้าประตูทางเข้าเกตที่พิมพ์ลภัสเพิ่งจะหายเข้าไปก่อนหน้านี้ ทุกสายตาในที่นั้นหันมามองเขาเป็นตาเดียวกันรวมทั้งกลุ่มมารดาที่มาส่งพิมพ์ลภัสด้วยก่อนที่เขาจะหันมาสะดุดสายตากับพวกท่านหน้าประตูพอดี ภีรมัตรีบปรี่เข้าไปหามารดาเอ่ยถามน้ำเสียงร้อนรน “แม่ฮะ พิมล่ะ พิมยังไม่ได้ขึ้นเครื่องใช่มั้ยครับ” เขากุมมือมารดาอีกทั้งยังออกแรงบีบกระชับจนแน่นอย่างรอคอยคำตอบที่บีบคั้นจิตใจ ทว่ามารดากลับมองเขานิ่งๆด้วยสายตาเห็นใจ ภีรมัตเหลียวมองทุกคนพร้อมกับหัวใจที่หวาดหวั่นกับคำตอบที่จะได้

เพียงอรมองเขาด้วยความไม่สบใจนัก อดสมน้ำหน้าไม่ได้ เสียใจซะบ้างก็ดี อยากมาก็มา เวลาจะหายก็ไม่บอกไม่กล่าวปล่อยให้เพื่อนเธอเจ็บช้ำจมน้ำตาจนร้าวระบม แต่ก็อดเห็นใจไม่ได้ จึงบุ้ยปากบอกเขาเอง ภีรมัตมองตามสายตาเพียงอรเข้าไปทางประตูเข้าเกตก่อนจะรีบถลาจะเข้าไปในเกตให้ได้ ทว่าเมื่อไม่มีบัตรเจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้

ภีรมัตพยายามข้อร้องอ้อนวอน ทว่าเจ้าหน้าก็ไม่อาจทำตามที่ขอได้จึงแนะนำให้เขาติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยติดต่อผู้โดยสารบนเครื่อง แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้เพราะเครื่องกำลังจะออกจากรันเวย์แล้วจึงต้องปิดสัญญาณโทรศัพท์ที่จะแทรกเข้าไประหว่างเครื่องกำลังทะยานขึ้นเหนือรันเวย์ ภีรมัตวิ่งไปรอบทั่วๆอย่างบ้าคลั่งราวกับคนเสียสติก่อนจะมาหยุดนิ่งที่กระจกบานใหญ่มองเครื่องบินที่พิมพ์ลภัสโดยสารเหินขึ้นฟ้าด้วยหัวใจที่แตกสลาย

เขามาช้าไปเพียงห้านาที ห้านาทีที่ฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น ร่างสูงทุรดลงไปกองกับพื้นอย่างอ่อนแรง น้ำตาลูกผู้ชายที่ไม่คิดว่าจะหลั่งให้กับเรื่องใดง่ายๆไหลออกมาเงียบๆเมื่อไม่อาจสกัดกั้นต่อความเจ็บปวดไหว หัวใจที่เพิ่งจะได้รับน้ำเมื่อหลายชั่วโมงก่อน เหี่ยวเฉาลงอีกครั้ง อาการบีบคั้นจิตใจให้เจ็บปวดทรมานจวนเจียนขาดใจเมื่อรู้ว่าเสียเธอไปแล้ว พิมพ์ลภัสจากเขาไปแล้ว เพราะความโง่เขลาและปากหนักของตัวเองทำให้ต้องสูญเสียเธอ

...เธอจากเขาไปแล้วพร้อมกับหัวใจรักของเขาทั้งดวง

ทุกคนรวมทั้งต๋อยที่วิ่งมารวมกลุ่มกับคนอื่น ยังไม่ทันจะได้พักหายก็ต้องวิ่งตามภีรมัตมาที่นี่ ทันได้เห็นภาพที่ภีรมัตทรุดกายลงไปกองกับพื้นพอดี ต่างสลดหดหู่ไปตามๆกัน เห็นใจแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว
------------------------------------------------------------*----------------------------------------------------------------------------------
โพสต์ตั้งหลายรอบกว่าจะได้ มะเข้าใจเกิดไรขึ้นกับเว็บอ่ะนะ

ขออภัยค่ะที่ไม่ได้ตอบเม้น..แบบว่ายุ่งจริงไรจริงค่ะ

รักษาสุขภาพด้วยนะคะ

By...รจนาไฉน



รจนาไฉน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 มี.ค. 2558, 22:14:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 มี.ค. 2558, 23:28:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1538





<< บทที่ 31 สละโสด   
ร้อยวจี 27 มี.ค. 2558, 00:52:01 น.
คราวนี้จะเห็นใจหรือสมน้ำหน้าดีล่ะ ตอนเค้าอยู่ก็ไม่เคลีย มีตอนนี้ก็จะเป็นจะตาย เฮ่ย...


กาซะลองพลัดถิ่น 27 มี.ค. 2558, 02:51:58 น.
ก็ตามไปดิ แหม แค่นี้เองสอบถามข้อมูลจากพ่อตา แม่ยายก็น่าจะรุ้แล้วไม่ใช่เหรอ
ถ้านายรักจริงอ่ะนะ ไปสารภาพถึงที่เลยดิ.....


coonX3 30 มี.ค. 2558, 06:26:47 น.
สมน้ำหน้า คิดเองเออเองตลอด ทางออกยังมีถ้ามีสติคิ
ดได้นะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account