รักละมุน หอมกลิ่นแก้ว (จบแล้วจ้า)
หอมกลิ่นดอกแก้วอีกแล้ว
รอยยิ้มในความฝัน ที่อบอุ่นใจ
ใครกันนะ ...

รัตติดารา หญิงสาวผู้เกิดในคืนที่ดาวส่องแสงเต็มท้องฟ้า
เธอผู้แอบรักผู้ชายคนหนึ่งฝ่ายเดียว
แต่การพบกัน เจอกันอีกครั้ง มันไม่น่าพิสมัยเสียแล้ว
เขาไม่ชอบเธอ และไล่เธอออกจากบ้านที่เธอเพิ่งจะก้าวเข้ามาอยู่ได้ไม่ถึงชั่วโมง!

นอกจากนี้ เธอยังพบกับ เทวดา ... เจ้าของกลิ่นหอมดอกแก้ว
ในบ้านหลังใหม่ที่เธอมาอาศัยอยู่อีกด้วย!!


Tags: ดอกแก้ว รัก ฝาแฝด เทวดา วิญญาณ ผี

ตอน: ตอนที่ 7.1

รักละมุน ~ หอมกลิ่นแก้ว ตอนที่ 7 . 1

“ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น!!”

ศตภัทรพ่นลมออกมาทางปากก่อนที่จะเม้มแน่น คิ้วหนาเหนือดวงตาคมสีดำสนิทกดเข้าหากัน เมื่อคำพูดคนตัวเล็กยังหลอกหลอนเขาอยู่ในหัวไม่หาย

จบประโยคนั้น ศตภัทรปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ นึกขึ้นมาได้ว่าชืื่อบางชื่อนั้นเป็นชื่อเฉพาะบุคคล เช่นเขา เขาไม่เคยแนะนำชื่อเล่นตัวเองให้ใครเรียกตั้งแต่ที่เขาเป็นต้นเหตุให้ศตายุตาย เขาบอกคนอื่นเสมอว่าเขาชื่อ 'ภัทร' มีเพียงบิดามารดา และน้องสาวเท่านั้นที่เรียกเขาว่า 'บี' ... ไม่สิ ... อาจจะมีอีกคน คนที่เขาคิดว่าไม่ต้องนำมารวมอีกต่อไปแล้ว คนที่มีชีวิตใหม่ อนาคตสดใสในชีวิตคู่

บางทีชื่อนั้น เธอคงสงวนไว้ให้กับคนพิเศษคนนั้นที่เขาเจอวันนั้นก็เป็นได้

จริงๆแล้ว การที่เขาอยากจะให้เธอแทนตัวเอง 'หนูเร' เขาไม่ได้จริงจังขนาดนั้น เพียงแต่หลายครั้งที่ศตภัทรเห็นหญิงสาวพูดจาเสียงเล็กเสียงน้อยอ่อนหวานเหมือนลูกแมวอ้อนๆอยู่ลำพัง ศตภัทรรู้ดีว่าเธอคงคุยกับพี่ชายเขานั่นแหละ เขารู้สึก 'อยากได้' แบบนั้นบ้างขึ้นมาเฉยๆเลยพาลใส่รัตติดาราไปอย่างนั้น

ทั้งๆที่เขาเองไม่ใช่หรือที่เสียมารยาทกับเธอก่อน
ศตภัทรหัวเราะเยาะตัวเองเมื่อนึกถึงวันแรกที่พบกัน ประโยคที่สองที่คุยกันคือ เขาไล่รัตติดาราออกจากบ้านแท้ๆ

แต่ว่า ... ศตภัทรรู้สึกบางอย่าง

ช่วงเวลานั้นที่เธอพูดออกมา ดวงตากลมๆนั่นไม่แสดงอารมณ์อะไรเลย มันดูทึบ และหม่น เขาอาจจะคิดมากไปว่ามีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในความสดใสร่าเริงซึ่งสามารถสร้างบรรยากาศสบายใจให้คนอื่นของรัตติดารา เขามักจะจ้องมองดวงตากลมๆที่มักจะมีแววตาหลากหลาย การเดาความรู้สึกของหญิงสาวผ่านดวงตานั้นไม่ยากเลย จนบางเวลาเขายังเผลอมองเธออยู่นาน เหมือนดูตัวการ์ตูนสักตัว ที่เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวตกใจจนบางทีเขายังเผลอหลุดขำออกมา

ศตภัทรดึงเอกสารในลิ้นชักข้างโต๊ะทำงานออกมาอ่าน ชื่อของรัตติดาราปรากฏอยู่ส่วนบนของกระดาษขนาดเอสี่ ชายหนุ่มได้ขอให้ทางฝ่ายบุคคลส่งตัวก๊อปปี้มาให้หลังจากที่เขาพยายามหาทางกดดันให้รัตติดาราย้ายออกจากบ้านเก่าของเขา

ข้อมูลของ นางสาว รัตติดารา ชิดไพลิน อายุ 23ปี ประวัติส่วนตัวคืออาศัยอยู่กับผู้เป็นลุงและป้า พร้อมระบุว่าบิดามารดาเสียชีวิต ซึ่งเขาไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกับดวงตาไร้ดวงดาวพร่าวพราวเช่นปกตินั่นหรือไม่

ศตภัทรมองไปยังประตูห้องที่ปิดอยู่ กั้นระหว่างโต๊ะทำงานของเขากับโต๊ะทำงานพนักงานคนอื่น เขานึกถึงเหตุผลก่อนหน้านี้ที่เขาย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านเก่า แม้เขาจะยังหวงบ้านหลังนั้นแต่ศตภัทรก็นึกไม่ออกว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความไม่พอใจนั้นมันถูกยกออกจากอกเขา กลายเป็นว่าตอนนี้เขากลับมีเหตุผลอื่่นแทรกเข้ามาแทน ... เหตุผลที่จะย้ายเข้าไปบ้านหลังนั้นอีกครั้ง!



รัตติดารายกมือขึ้นปิดดวงตา เมื่อรู้สึกว่าสมาธิในการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์มันถูกรบกวนไปหมด ศตายุมองหญิงสาวอย่างเป็นห่วง

“หนูเร" เขาเรียกเธอแผ่วเบา แต่หญิงสาวกลับไม่ได้ยินเสียงเขา เธอส่ายหน้าไปมาเรียกให้สมาธิกลับมา แล้วพยายามทำงานต่อ

“เร เอาเอกสารนี้ไปให้พี่ปัท ฝ่ายบัญชีแทนพี่หน่อยสิ ฟ้าเขาไม่อยู่ที่โต๊ะน่ะ" เสียงของเมฆเรียกให้รัตติดาราหันมอง ดวงตาที่เคยสดใสหม่นหมองราวกับคนไม่สบาย

“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าซีดแบบนั้น" เมฆถามอย่างเป็นห่วง "ไหวไหม? พี่เอาไปเองก็ได้นะ"

“ไม่เป็นไรค่ะ ไปเดินหน่อยก็ดี" รัตติดารารับเอกสารจากเมฆ แล้วลุกเดินออกจากห้องทำงานทีมเธอไป



ไม่นาน รัตติดาราก็เสร็จจากการนำเอกสารมามอบให้ตามที่เมฆไหว้วาน เธอเดินกลับไปทางเดิม แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องเบิกตาโตเมื่อเห็นศตายุโผล่มายืนอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่แบบร่างโปร่งใสที่คอยตามเธออยู่ หากเป็นกายหยาบเช่นมนุษย์คนอื่นทั่วไป จะดูแตกต่างก็คงเป็นผิวขาวประกายกับแสงแดด โดดเด่นเจิดจ้าเรียกได้ว่าหยุดลมหายใจสาวๆได้เลย เขายังคงใส่เสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวสีขาว ที่น่าตกใจที่สุดคือเสื้อสูทสีชมพูคลุมทับอยู่ รัตติดาราไม่คิดหรอกว่าจะมีผู้ชายปกติที่ไหนจะกล้าใส่แบบนี้ และเขาไม่ลืมที่จะสวมแว่นตาปิดดวงตาสีน้ำตาลเข้มอ่อนโยนของเขา

“คุณศตายุ ทำไม" รัตติดาราถามอย่างตกใจ เขาไม่ตอบกลับดึงให้เธอเดินตามไป

“เดี๋ยวก่อนค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า" เธอหันมองรอบด้าน ใบหน้าที่เหมือนกันกับศตภัทรอาจจะทำให้มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น

“ไม่มีใครเห็นหรอกครับ" เขาว่า ยังคงเดินจูงมือเธออยู่

ซึ่งคงจะเป็นอย่างที่เขาบอก เธอและเขาเดินผ่านล้อบบี้ก็ไม่มีใครหันมองเธอสักคน ทั้งๆที่สูทสีชมพูโดดเด่นขนาดนี้
เขาพาเธอมาหยุดลงตรงกลางสวนสีเขียวด้านหลังอาคารที่ทำงาน

“มีอะไรหรือคะ พาหนูเรมาที่นี่ทำไม" เธอถาม มองสนามสีเขียวที่เขาพามาก็ไม่เข้าใจ

“ธรรมชาติจะทำให้คนที่ใจวุ่นวายสงบลงได้ครับ ที่นี่ใกล้สุด" เทวดาหนุ่มในชุดสีชมพูตอบ

“ใครใจวุ่นวายหรือคะ" คนถามเอียงคอ ไม่เข้าใจ

“หนูเรไงครับ ผมเป็นห่วงคุณนะ ช่วงเวลาที่คุณใจไม่สงบ ผมติดต่อคุณไม่ได้ เหมือนคลื่นโทรศัพท์นั่นล่ะที่ถ้าถูกแทรกมากๆ สัญญาณมันก็ไม่ชัด ผมเลยต้องทำแบบนี้ไม่งั้นเราคงไม่ได้คุยกัน ... หนูเรกำลังเครียดอยู่ใช่ไหม"

ไม่รู้เพราะอิทธิฤทธิ์เทวดา หรือเพราะน้ำเสียงนุ่มที่ถามออกมา หรืออาจจะเป็นดวงตาสีน้ำตาลของเขาก็ได้ รัตติดาราจึงยอมเปิดปากเล่าออกมา

“หนูเรกลัวค่ะ เมื่อกี้ กลัวมาก" รัตติดาราพยายามเรียบเรียงความรู้สึกตัวเองออกมาเป็นคำพูด

“กลัวอะไรครับ" ศตายุไม่ได้ซักไซ้ เร่งเอาคำตอบ แต่เขาพยายามเป็นผู้รับฟังที่ดีของเธออยู่ต่างหาก

“กลัวว่าหนูเรจะชอบเขามากไปกว่านี้ หนูเรอยากหยุดทุกอย่างที่แค่เขาเป็นไอดอลของหนูเร มันมากกว่านี้ไมไ่ด้จริงๆค่ะ" แม้ดวงตาของรัตติดาราจะชุ่มไปด้วยความเศร้า ความสับสน แต่เธอก็ไมไ่ด้มีหยาดน้ำคลอแต่อย่างใด

“ทำไมล่ะครับ" ศตายุไม่เข้าใจ

“ถึงหนูเรจะพยายามเข้มแข็ง บอกตัวเองว่าที่เป็นแบบนี้ เห็นวิญญาณ เห็นผี มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ แต่สำหรับคนอื่น หนูเรก็เป็นตัวประหลาดอยู่ดี หนูเรไม่อยากให้เขาเกลียดหรือกลัวหนูเร คุณก็เห็นนี่คะว่าคุณภัทรเขากลัวผีแค่ไหน"

ภาพของลูกพี่ลูกน้องอย่างมุกรินล้อเลียนเธอ เพื่อนที่พากันตีตัวออกห่างเมื่อรู้ความลับของเธอทั้งที่สนิทกันมาก ไม่รวมถึงที่เธอเคยบอกความลับนี้ให้ชายหนุ่มที่เธอเคยชอบเพียงเพราะเขาบอกว่าเขารับทุกอย่างที่เธอเป็นได้ แต่ว่าเขาก็ออกห่างไปอยู่ดี

รัตติดารากลัวว่าศตภัทรอาจจะเป็นแบบนั้นเช่นกัน หรือต่อให้ไม่ใช่ศตภัทร กับผู้ชายคนอื่น เขาก็คงไม่ต่างกัน
ถ้าหากโดนเกลียดอีกสักครั้ง กลัวแบบจริงจัง ถ้าศตภัทรอาจจะเป็นแบบนั้น รัตติดาราไม่รู้ว่าเธอจะเอาตัวรอดจากความเศร้านั้นได้อย่างไร

“หนูเร ผมขอโทษ ผมไม่เคยรู้เลยว่ามีเรื่องแบบนี้"

บางครั้งศตายุก็มองข้ามเรื่องแบบนี้ไป เพราะเขาอ่านจิตใจเธอไม่ได้ ใบหน้าสดใสมีความสุขเสมอ จะซ่อนเรื่องเศร้าขนาดนี้เอาไว้ แล้วที่พูดแบบนั้นกับศตภัทรเรื่องชื่อเล่น ก็คงเพราะรัตติดาราไม่อยากหวั่นไหวไปมากกว่านี้สินะ ...

หญิงสาวสั่นหน้าไปมา มอบยิ้มให้
“ขอโทษทำไมคะ ไม่ใช่ความผิดคุณศตายุสักหน่อย หนูเรต้องขอบคุณมากกว่า เพราะได้พูดออกมาเลยสบายใจขึ้นมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ"

ศตายุเห็นคนตัวเล็กยิ้มให้ ก็อดจะยิ้มตามไม่ได้ ทั้งที่รู้แก่ใจว่าหญิงสาวพยายามฝืนเพื่อจะให้เขาสบายใจ นิสัยแบบนี้น่าจะหารครึ่งกับน้องชายเขาได้นะ รายนั้นก็ขวานผ่าซากตลอดทุกเรื่อง ศตายุยังไม่สบายใจแม้จะได้ฟังแบบนั้นก็ตาม
แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้หญิงสาวกลับไปทำงาน ขณะที่เขาได้แต่เฝ้ามองเธออยู่ข้างๆเฉกเช่นปกติที่เคยทำ ก็แค่นั้น
... แค่นั้นจริงๆ


++


เลยเวลาเลิกงานมาราวครึ่งชั่วโมง

ใกล้รุ่งกำลังเดินออกจากโต๊ะทำงานไปยังลิฟท์เพื่อจะกลับบ้าน ระหว่างทางเธอเห็นอติภาพกำลังลอยตามใครบางคนอยู่ เธอเลยตัดสินใจเดินตามอติภาพไป จนกระทั่งเขาหยุดอยู่หน้าประตูกระจกใส ด้านในคือทีมที่เชษฐาทำงานอยู่ ไฟด้านในยังเปิดสว่าง พนักงานบางส่วนยังคงทำงานอยู่ อติภาพเหมือนจะถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันมาเห็นใกล้รุ่งยืนอยู่ด้านหลัง วิญญาณลูกชายคนเล็กของท่านประธานฯคลี่ยิ้มดีใจ เพราะใกล้รุ่งยุ่งมากจนทั้งคู่ไม่ได้คุยกันเลย

อติภาพนำทางหญิงสาวผิวขาวซีดมาจนถึงห้องห้องหนึ่ง ใกล้รุ่งมองห้องที่เธอเดินเข้ามา มีโต๊ะทำงานสีดำสไตล์ทันสมัยตั้งอยู่ตรงกลาง ชั้นหนังสือบิวท์อินผนังสองด้าน ด้านหลังโต๊ะทำงานคือกระจกใสซึ่งท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดลงแล้ว หญิงสาวแทบไม่ต้องถามว่านี่เป็นห้องของใครเมื่อเธอเห็นรูปถ่ายขนาดใหญ่ของอติภาพแขวนอยู่ข้างประตู

ภาพขาวดำของอติภาพนั้น ชายหนุ่มยืนสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงพิงรถสปอร์ตคันหรู สวมเสื้อเชิ้ตสีเข้มกางเกงยีนส์ และแว่นตาดำโก้เก๋ ใกล้รุ่งมองไม่ออกเลยว่าคนเท่ๆในภาพจะคือคนเดียวกับวิญญาณหน้าจืดข้างๆเธอ

“ผมไม่ชอบรูปนี้เลย บอกให้พ่อเปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยนสักที" อติภาพบ่น หญิงสาวหันมองก็เห็นว่าเขาคงไม่ชอบจริงๆ

“ทำไมล่ะคะ ฟ้าว่าหล่อดีออก"

ได้ฟังคำชม คนฟังก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“หล่อเหรอ ... แต่รูปใหญ่ๆในห้องแบบนี้ เวลานั่งทำงานแล้วเหมือนโดนตัวเองจ้องอยู่ ไม่ไหวนะ" เขาส่ายหน้า

“ฉันเข้ามาหลังจากคุณประสบอุบัติเหตุ เคยรู้เหมือนกันว่าคุณเข้ามาทำงานที่นี่หลังเรียนจบ" ใกล้รุ่งเล่าในสิ่งที่เธอรู้

“พ่ออยากให้เข้ามาดูๆน่ะ หลังจากเคี่ยวเข็ญจนผมเรียนจบสถาปัตย์มาได้" น้ำเสียงชายหนุ่มเศร้าสร้อย รวมไปถึงดวงตาบนใบหน้าที่ใกล้รุ่งบอกว่าจืดๆ อาจจะเป็นเพราะเขายังนอนป่วยอยู่

“คุณไม่ชอบหรือคะ" เธอถามจบ เขาก็พยักหน้า

“ไม่ชอบมากที่สุด ถึงที่สุดเลย ผมทำมันได้ไม่ดีเลยล่ะ จบมาได้แบบที่เรียกว่าแย่มาก ผมไม่คิดจะกล้าทำงานสายนี้ด้วยซ้ำ"

“นั่นคือเหตุผลที่คุณไม่อยากฟื้นหรือคะ"

ใกล้รุ่งถามตรงๆ อติภาพก็พยักหน้าตอบตรงๆเช่นกัน
“ใช่ครับ"

“แต่ถ้าคุณฟื้นขึ้นมาตอนนี้ บางทีพ่อของคุณอาจจะยอมฟังก็ได้นะคะ เขาเรียนรู้แล้วว่าการฝืนใจใครสักคน มันส่งผลเสียมากขนาดไหน" ใกล้รุ่งรู้มาว่าการที่ตรัย ประธานบริษัทฯ เข้าโรงพยาบาลอยู่นั้นก็เพราะเครียดเรื่องอติภาพ

อติภาพกลับเบือนหน้าหนี

“คุณควรจะ...”

“พอเถอะครับ" อติภาพขัดขึ้น ไม่อยากจะฟังอะไรต่อ

“แต่ว่า คุณกำลังทำให้พ่อของคุณเสียใจมาก มันไม่ดีนะคะ"
ใกล้รุ่งที่สูญเสียพ่อแม่และครอบครัวไปพร้อมกัน เธอไม่อยากให้อติภาพต้องเสียใจเช่นเธอ จึงอยากจะเตือนสติ

“นี่ก็จะดึกแล้ว ผมจะไปส่งคุณที่ประตูบริษัท ไปกันเถอะครับ"

อติภาพตัดบท ลอยลิ่วไปที่ประตูห้อง หันมองกดดันให้หญิงสาวเดินตามมา ใกล้รุ่งได้แต่ถอนหายใจเมื่อเธอไม่สามารถโน้มน้าวจิตใจชายหนุ่มได้ ต้องยอมเดินออกจากห้องนี้ไป ระหว่างทาง อติภาพก็นึกบางอย่างได้ หันมาเล่าให้หญิงสาวฟัง

“จริงสิ ผมรู้แล้วนะว่าผีสาวนั่นตามใครเข้ามา"

ใกล้รุ่งเลิกคิ้ว มองชายหนุ่ม และฟังในสิ่งที่เขารู้มา



++


ภายในห้องทำงานที่เขาเพิ่งเป็นเจ้าของได้วันเดียวนั้น ณฉัตรวางรูปถ่ายคู่ระหว่างเขากับหญิงสาวใบหน้าสวยคนหนึ่งบนโต๊ะทำงานประจำตำแหน่ง เขายิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน

“คุณปรีย์ มาอยู่ที่นี่กับผมนะ แล้วคุณต้องช่วยผมนะ ให้ผมทำมันให้สำเร็จ ... ตรัย กรุ๊ป นี่ จะต้อง ...หึหึ”

ณฉัตรยิ้มมุมปาก พลางมองผ่านกระจกใสออกไปด้านนอก ดวงตาคมจ้องมองไปยังด้านล่างอย่างมีความหมาย ในกระจกที่เขามองผ่านไปนั้นได้สะท้อนภาพหญิงสาวชุดแดงคนหนึ่ง

++


ศตภัทรก้าวเท้าเข้าบ้านหลังเก่าของเขาหลังจากจอดรถแล้ว รู้สึกขัดเขินไม่น้อย เมื่อเขาตัดสินใจก่อนหน้านี้ว่าจะต้องหาทาง 'สนิท' ให้มากขึ้น เขาไม่เคยลืมนิสัยตัวเองว่าเขาเป็นคนดื้อด้านมากทีเดียว ไม่ค่อยจะยอมแพ้อะไรง่ายๆ

แต่พอเขาเดินมาถึงห้องรับแขกเท่านั้น ไหล่หนาที่กำลังระแวงว่ายายตัวเล็กของเขาจะโผล่มาโวยวายใส่หรือเปล่าก็ลู่ลง เห็นว่าคนโวยวายที่ว่ากำลังนั่งหลับอยู่บนโซฟา คอแหงนขึ้นเอียงไปซ้ายที ขวาที ศตภัทรสงสัยว่าเวลาเขาไม่อยู่บ้าน รัตติดาราจะหลับแบบนี้ตลอดเลยไหม

“นี่คุณ คุณเร” เขาเรียกเธอ รัตติดารายังคงหลับ แหงนหน้า อ้าปากหวอ

คนมองส่ายหน้าไปมา ดูสิ ถ้าใครมาเห็นเข้า จะขายออกไหมนี่ผู้หญิงคนนี้ เขานั่งลงข้างๆ มองหน้าหญิงสาวอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะทอดเสียงนุ่มเรียกเธอเบาๆ
“หนูเร ... หนูเรครับ” เขาลองดูหน่อย ลองดูว่าอีกฝ่ายจะตื่นมาโวยวายอะไรใส่เขาไหม

“อื้อ อีกห้านาทีค่า คุณศตายุ” รัตติดารากลับตอบสนองกับชื่อนี้ แต่เธอเข้าใจผิด เรียกชื่อพี่ชายเขาแทน

คนถูกเรียกชื่อผิดยกมุมปากขึ้นอย่างขัดใจ
“ไม่ใช่พี่เอสักหน่อย 'บี' ต่างหาก เรียกให้ถูกหน่อยสิ หนูเร" เขาบอกเธอเบาๆ ไม่พอใจขึ้นมานิดๆ

+ จบตอนที่ 7,1 +



ปิ่นนลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 เม.ย. 2558, 03:06:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 เม.ย. 2558, 03:35:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1767





<< ตอนที่ 6   
ปิ่นนลิน 5 เม.ย. 2558, 03:08:08 น.
ขอมาแบบเสี้ยวหนึ่งก่อนนะคะ
นั่งอ่านทวนไปด้วย มีแก้เพียบเลย แหะๆ



คุณ Zephyr : ไม่หึงหรอกค่า แต่อาจจะงอนบ้าง นิสัยหมอนี่มันเอาแต่ใจ 555

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ ^^
แวะทักทายกันบ้างนะคะ ^___^


kaelek 5 เม.ย. 2558, 09:26:40 น.
แหม่!! อาการแบบนี้ไม่หายง่ายๆสินะ#อาการเธอฟ้องชัดๆ#จนกว่าจะได้อย่างใจสินะ


กาซะลองพลัดถิ่น 5 เม.ย. 2558, 15:38:00 น.
อ่อ ผีสาวตามณฉัตรมาหรือปล่าว ....นายบีอยากให้หนูเรสนใจและสนิทกับตัวเองมั่งล่ะดิ


Zephyr 5 เม.ย. 2558, 17:47:13 น.
แหม นายบี ไม่ค่อยเลยอ่า
ขี้งกเอาแต่ใจชะมัด

พี่เอๆๆๆๆ จัดการสั่งสอนหมอนี่หน่อยสิ หมั่นไส้ ฮึ
ผีเลือดสาดนั่นตามณฉัตรเข้ามาสินะ
นายเห็นผีกะเค้าด้วย??


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account