รักละมุน หอมกลิ่นแก้ว (จบแล้วจ้า)
หอมกลิ่นดอกแก้วอีกแล้ว
รอยยิ้มในความฝัน ที่อบอุ่นใจ
ใครกันนะ ...

รัตติดารา หญิงสาวผู้เกิดในคืนที่ดาวส่องแสงเต็มท้องฟ้า
เธอผู้แอบรักผู้ชายคนหนึ่งฝ่ายเดียว
แต่การพบกัน เจอกันอีกครั้ง มันไม่น่าพิสมัยเสียแล้ว
เขาไม่ชอบเธอ และไล่เธอออกจากบ้านที่เธอเพิ่งจะก้าวเข้ามาอยู่ได้ไม่ถึงชั่วโมง!

นอกจากนี้ เธอยังพบกับ เทวดา ... เจ้าของกลิ่นหอมดอกแก้ว
ในบ้านหลังใหม่ที่เธอมาอาศัยอยู่อีกด้วย!!


Tags: ดอกแก้ว รัก ฝาแฝด เทวดา วิญญาณ ผี

ตอน: ตอนที่ 6

ตอนที่ 6

ท้องฟ้าดูอึมครึมแต่เช้า รัตติดาราในเสื้อเชิ้ตขาว กระโปรงผ้านิ่มๆสีเขียวขี้ม้า คาดเข็มขัดหนังสีน้ำตาล ผมยาวๆถูกเกล้าผมขึ้นเป็นมวยสูงเพราะอากาศพักนี้ร้อนจนน่ารำคาญ สะพายกระเป๋าหนังใบเดิม หยุดแหงนหน้ามองฟ้าก็เห็นเมฆสีเทาก่อตัวบดบังแสงอาทิตย์ หญิงสาวแปลกใจตรงที่เมื่อครู่ตอนเธอออกจากบ้านเพื่อมาทำงาน ท้องฟ้ายังใสแจ๋วไร้เมฆหนาทึบแบบตอนนี้ พอก้าวเท้าผ่านรั้วบริษัท ตรัย กรุ๊ป ก้อนเมฆสีเทาก็พากันมารวมตัวราวกับนัดกันไว้ เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติกำลังจะเกิดขึ้นในที่แห่งนี้

ตั้งแต่รัตติดาราสามารถเห็นวิญญาณได้ ประกอบกับคนในครอบครัวที่เธออาศัยอยู่ด้วยนั้นเข้าใจว่าเธอมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิตเนื่องจากสูญเสียพ่อแม่ไปกระทันหัน ไม่เชื่อว่าเธอมีสัมผัสพิเศษ ช่วงที่รัตติดาราสับสนและโดดเดี่ยวที่สุด เธอได้พบกับคุณครูผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่มีสัมผัสที่หกเช่นเดียวกับเธอ รัตติดาราเรียนรู้การอยู่ร่วมกับสัมผัสพิเศษนี้มาจากท่าน ทั้งการป้องกันตัวเอง เพราะวิญญาณก็มีทั้งดี และไม่ดี รวมถึงพวกเล่นของคุณไสยอีกด้วย ประสบการณ์ที่ผ่านมานั้นทำให้รัตติดาราสังหรณ์ใจกับท้องฟ้าที่มืดครึ้มในเช้าวันนี้ชอบกล ราวกับจะเกิดอาเภทหรือสถานที่นี้อาจจะมีบางสิ่งไม่ดีมาสิงสู่

ปี๊นน
เสียงแตรรถยนต์เรียกความสนใจจากหญิงสาวในเสื้อขาว กระโปรงยาวให้หันมอง รถยนต์สีดำเลขทะเบียนที่รู้จักดีจอดเทียบข้างร่างเล็ก กระจกด้านที่นั่งข้างคนขับถูกลดลงจนเกือบสุด ก่อนที่เจ้าของรถจะโผล่หน้ามามองเธอด้วยแววตาสงสัย

“ยืนทำอะไรอยู่น่ะคุณ" ศตภัทรถามจากในรถ

นับเป็นเวลาสามคืนแล้วที่เขาเลือกจะกลับไปนอนคอนโดมิเนียมหลังจากเธอให้สัญญาว่าจะย้ายออกหลังจากที่เธอผ่านงาน เวลารวมทั้งสิ้นสามเดือน ถึงแม้นั่นเธอจะรู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับเธอเท่าไหร่ ในเมื่อเธอถือสัญญาจากเจ้าของบ้านเช่่า แล้วทำไมเธอจะต้องทำตามสัญญาเถื่อนนี่ด้วย แถมยังเป็นสัญญาในช่วงที่บีบบังคับจิตใจเธออีกต่างหาก

แต่ว่าการรับปากไปแบบนั้นก็เหมือนจะทำให้เขายอมย้ายออกไป ไม่มากดดันทำให้ใจเธอเต้นโครมครามเวลาอยู่ใกล้ๆ ต้องพยายามแข็งใจไม่แสดงออกว่าเธอเคยปลื้มเขามากแค่ไหน เพราะดูท่าทางถ้าเขารู้ เขาคงหาเรื่องกลั่นแกล้งเธออีกแน่ๆ

“เปล่าค่ะ" เธอตอบเขา สีหน้าแสดงออกเช่นนั้นจริงๆ ดวงตากลมโตใสซื่อเหมือนไม่ได้ปิดบัง แต่คนฟังกลับไม่เชื่อเช่นนั้น เขาขมวดคิ้วมองเธออยู่พักหนึ่งทีเดียวก่อนจะยอมปิดกระจกรถแล้วขับเข้าไปจอดด้านใน รัตติดารามองตามรถยนต์คันสีดำของชายหนุ่มจนเขาเลี้ยวหายไปใต้อาคารกรุกระจกใสทั้งหลังตรงหน้า ถอนหายใจเบาๆ เมื่อคิดถึงเรื่องคำสัญญาปากเปล่านั่น

เผลอไปรับปากแบบนั้น เธอจะต้องย้ายออกจริงๆใช่ไหม?
แม้ศตายุจะยืนยัยกับเธอว่าเธอจะได้อยู่ที่นั่นต่อ ศตภัทรต่างหากที่ต้องยอมแพ้ไป แต่ท่าทางศตภัทรจะไม่เป็นเช่นพี่ชายเขาคิด เขายังเฝ้าพยายามทำให้เธอออกจากบ้านต้นแก้วให้ได้
แต่เธอชอบบ้านหลังนั้นมาก อยู่แล้วสบายใจ เธอจะยอมเขาง่ายๆงั้นหรือ?

รัตติดาราคิดแล้วคิดอีก คำตอบคือ ไม่ ... สัญญาชุลมุนช่วงนั้นถือว่าเป็นการบีบบังคับ เธอไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก!!

เมื่อหญิงสาวคิดได้อย่างนั้น จึงรีบก้าวเท้ายาวไปในอาคาร เห็นศตภัทรเดินออกมาจากประตูด้านที่จอดรถพอดี

“คุณภัทร เรื่องบ้าน...”

รัตติดาราต้องหยุดพูดกระทันหัน แทบหยุดหายใจเมื่อดวงตาที่มองหน้าคนตัวสูงเหลือบเห็นอะไรบางอย่างเลยด้านหลังชายหนุ่มไปหลายเมตร มีวิญญาณหญิงสาวผมยาวผิวซีดขาวในชุดกระโปรงสีแดงซึ่งแถบหนึ่งชุ่มเลือดแห้งกรังที่ไหลจากด้านข้างขมับกำลังเดินผ่านผู้คนไป รัตติดารากลืนน้ำลายลงคอยากลำบาก ดวงตากลมยังจ้องมองตามจนร่างนั้นค่อยๆลางเลือนหายไปในอากาศ

“มีอะไรหรือคุณ” ศตภัทรหันมองตามสายตาของคนตัวเล็ก ก็ไม่่เห็นมีอะไรผิดสังเกต จึงเขย่าต้นแขนเธอเบาๆ เรียกเธออีกที
“คุณเร!”

“เปล่าค่ะ" หญิงสาววกดวงตากลับมามองหน้าชายหนุ่ม คราวนี้ความตกตื่นในดวงตากลมยังไม่หายไป เขาจับพิรุธได้โดยง่าย

“เห็นอะไร" ถามไปก็เสียวสันหลัง ขยับจากยืนหันหลังให้มายืนข้างๆคนตัวเล็กกว่าแทน

“คุณไม่อยากฟังหรอกค่ะ" รัตติดารารู้ดีว่าอีกฝ่ายกลัวเรื่องพวกนี้ ดูจากหน้าหวาดระแวงของร่างสูง ทำให้รัตติดาราเลือกจะไม่เล่าดีกว่า หญิงสาวยิ้มแหยๆให้เขา

“นั่นทำให้ผมยิ่ง... เออ ช่างเถอะ ไม่ฟังก็ได้” ศตภัทรเกือบหลุดปากบอกว่าเขายิ่งกลัว... นึกขึ้นได้ เขายืดหลังเต็มความสูง ขยับสูทสีเทาที่สวมทับเสื้อเชิ้ตสีดำ เก๊กท่าว่าไม่สนใจ

“ไม่ใช่ไม่่ฟังก็ได้ ฉันว่าอย่าฟังเลยจะดีกว่า เดี๋ยวจะนอนไม่หลับเอานะคะ เหมือนเมื่อคืน"

“ใครบอกคุณ!" ศตภัทรหันมามองหญิงสาวทันทีที่ได้ยิน เห็นดวงตากลมกระพริบปริบๆ รอยยิ้มขำๆติดอยู่ริมฝีปากสีชมพูสดใสก็นึกได้ทันที
“พี่เอสินะ เขาเล่าอะไรอีก?"

เขาเดาได้ถูกเผง รู้สึกร้อนๆหนาวๆขึ้นมาอีกรอบ เพราะไม่รู้พี่ชายฝาแฝดเล่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาให้เธอฟังบ้าง
รัตติดารายกมือขึ้นปิดปาก ไม่ยอมตอบ รีบจ้ำเดินตรงไปยังโถงลิฟท์ที่มีพนักงานส่วนหนึ่งยืนรอคิวอยู่

“นี่ อย่าหนี บอกมานะว่าเรื่องอะไรอีก ยายตัวเล็ก!”

ศตภัทรไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆหรอก เขาก้าวเท้ายาวๆเดินตามหลังร่างเล็กไปไม่กี่ก้าวก็ตามทัน แต่ถึงเขาจะคาดคั้นอย่างไร คนตัวเล็กในสายตาเขาก็ไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย นั่นยิ่งทำให้ศตภัทรสงสัยว่า พี่เอของเขาจะต้องเผาเขาไปเยอะมากแน่ๆ!

ภาพของศตภัทรกับหญิงสาวแปลกหน้าที่เดินไล่ตามกัน เด็กสาวอ่อนวัยคนนั้นดูเป็นต่อจนศตภัทรต้องเดินตามคาดคั้นอีกฝ่าย ไม่เหมือนที่ใครๆบอกกันเป็นเสียงเดียวว่าศตภัทรนั้นเย็นชาเกินไป ทั้งคู่ดูสนิทสนมผิดสังเกตทำให้อธิติยาที่เพิ่งมาถึงกับหยุดมอง ดวงตาโตสวยกริบด้วยการแต่งแต้มมาอย่างดีวาวด้วยความสงสัยระคนไม่พอใจ

ยายนั่นเป็นใคร ทำไมถึงได้ดูสนิทสนมกับศตภัทรขนาดนั้น!

“คุณตี้ สวัสดีค่ะ" เสียงหวานๆประจบประแจงทำให้อธิติยาหันไปมอง เจ้าของเสียงแหลมเล็กนั้นคือ ทีน่า อธิติยารู้จักดีเพราะติดต่องานด้วยกันบ่อยๆ ทีน่าในเสื้อคอกลมแขนกุดสีดำ กระโปรงสั้นสีครีมกว่าเข่าเป็นคืบ เสื้อนอกสีเดียวกับกระโปรงพาดอยู่บนแขนยาวๆที่ผอมเกินไปเดินตรงมาทางเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“สวัสดีค่ะคุณทีน่า สบายดีไหมคะ" ลูกสาวคนเดียวของท่านประธานฯ ถาม ทีน่ายิ้มกริ่มอย่างดีใจที่อีกฝ่ายถามเป็นห่วงเธอ

“สบายดีค่ะ แล้วคุณตี้ยืนรอใครอยู่หรือเปล่าคะ"

ทีน่าเห็นอธิติยาในเดรสสั้นแขนกุดสีเหลืองเลมอนตัดกับสีเทาอ่อนยี่ห้อหรู ทีน่าเพิ่งเห็นมันลงในแมกกาซีนเร็วๆนี้กำลังยืนมองบางสิ่งอยู่นาน โดยมีเลขานุการสาวของอธิติยายืนอยู่ด้านหลัง

“รอคนรู้จักค่ะ ... จริงสิคะ ตี้ได้ข่าวว่าแผนกของคุณทีน่ามีเด็กมาใหม่ใช่ไหมคะ"

“ค่ะ เด็กใหม่เป็นผู้หญิงค่ะ มาทำได้อาทิตย์กว่าแล้ว เพิ่งจบเลยต้องมาสอนงานเด็กใหม่อีก งานแทนที่จะลดดันต้องมาเพิ่มขึ้นอีก"

ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกันที่ทีน่าไม่ถูกชะตากับเด็กใหม่ที่ชื่อรัตติดารานั่น เด็กนั่นกลายเป็นจุดสนใจจากหนุ่มๆในทีมอย่างรวดเร็ว ไม่รวมศตภัทรอีก ที่เหมือนสนใจรัตติดาราเป็นพิเศษจนใครๆก็มองกันออก

“มีใครแนะนำมาหรือเปล่า" อธิติยาถามต่อ

“ไม่นะคะ เหมือนสมัครเข้ามาเอง พี่นิกเป็นคนสัมภาษณ์เองด้วยค่ะ"

“เหรอคะ แล้วเด็กใหม่คนนั้นชื่ออะไรหรือคะ" อธิติยาถามราวกับเป็นเรื่องถามไถ่ทั่วไป ไม่ให้คนฟังผิดสังเกต เธอคิดว่าที่ทีน่าพูดถึงน่าจะเป็นคนเดียวกับเด็กสาวที่อยู่กับศตภัทรเมื่อครู่

“รัตติดาราค่ะ ชื่อเล่นว่าเร คุณตี้มีอะไรหรือเปล่าคะ" ถึงอย่างนั้นทีน่าก็ยังรู้สึกแปลกๆที่ผู้บริหารระดับสูงจะมาถามชื่อเด็กใหม่ที่แสนจะไม่โดดเด่นอย่างเด็กคนนั้น

อธิติยายิ้มบางๆ
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ถามดูเฉยๆ เดี๋ยวตี้ขอตัวไปหาแขกที่นัดไว้ก่อนนะคะ น่าจะมาแล้ว"

หญิงสาวสะสวยในชุดสีเหลืองเลมอนเดินไปยังโถงล้อบบี้อีกฝั่ง ทีน่ามองตาม เธอยักไหล่เมื่อไม่ได้คำตอบ ก่อนจะเดินไปยังลิฟท์เพื่อขึ้นไปทำงานของเธอบ้าง อธิติยาเดินห่างออกมาแล้วแต่ยังคงติดใจอยู่กับภาพที่เห็น

เธอพยายามมาสี่ปี ยังทลายกำแพงน้ำแข็งของศตภัทรไม่ได้ แค่กระเทาะออกสักนิดยังไม่ได้! แล้วทำไมเด็กคนนั้นที่เพิ่งเข้าใหม่ถึงได้ดูสนิทสนมกับศตภัทรนัก หรือว่าทั้งคู่รู้จักกันมาก่อน

. ... สำหรับอธิติยาแล้ว มันไม่เกี่ยวหรอกว่าจะเข้ามาแบบไหน เข้ามาแล้วจะทำให้ทีมมีงานเพิ่มขึ้นหรืองานสบายขึ้น หากภาพความสนิทสนมกับศตภัทรต่างหากที่ทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจเด็กใหม่คนนั้นอย่างมากทีเดียว!

++

แม้จะล่วงเลยมาเกือบได้เวลาพักเที่ยง แต่รัตติดาราก็ยังหาจังหวะเหมาะๆในการเข้าไปคุยเรื่องบ้านกับศตภัทรไม่ได้สักที หัวหน้าทีมเธอก็ยุ่งกับโปรเจ็คคอมมูนิตี้มอลล์ที่ใกล้พรีเซนต์ลูกค้า รัตติดาราทากาวบนกระดาษชิ้นเล็กๆ เพื่อนำมันไปประกอบเป็นรูปจำลอง หรือ ที่เรียกกันติดปากว่า โมเดล ของคอมมูนิตี้มอลล์ในส่วนกันสาดที่ยื่นออกมาจากตึกหลักเพื่อกันแดดกันฝนอยู่ตรงโต๊ะประชุมตัวยาวอีกมุมของห้องทำงานทีมของเธอ สมาธิหญิงสาวไม่ได้อยู่กับโมเดลเลย มัวแต่มองศตภัทรเดินไปเดินมาเมื่อเมฆกำลังกางผังบนกระดาษแผ่นใหญ่ให้เขาดูอยู่

... บ่อยๆที่รัตติดาราชอบอ่านวิธีคิด วิธีทำงานของศตภัทรผ่านหน้าหนังสือ เธออดยิ้มและปลื้มปริ่มไม่ได้ที่วันนี้เธอได้มาสัมผัส ได้เห็นกับตาเธอ เขาช่างเท่จนเธออยากจะกดโทรศัพท์ไปกรี๊ดให้เพื่อนที่คณะเธอฟังจริงๆ!!

“หล่อใช่ไหมล่ะ น้องชายผมเอง บอกแล้วให้จีบ” เสียงของศตายุดังขึ้นทำให้รัตติดาราถึงกับสะดุ้ง ทำหน้าเหรอหรา เธอเกือบลืมไปแล้วว่ายังมีเทวดาหนุ่มอีกคนที่ตามติดเธออย่างกับตังเม!

“พูดอะไรคะ ไม่ใช่แบบนั้นเลยนะคะ!" รัตติดาราปฏิเสธเสียงเบาราวกระซิบ ต้องคอยมองไม่ให้คนอื่นเห็นว่าเธอพูดคนเดียว ขณะที่เทวดาหนุ่มกำลังทำหน้ามีความสุข ภูมิใจหนักหนาที่ชมน้องชายตัวเองซึ่งหน้าตาเหมือนเขาเปี๊ยบ!

“ผมเห็นคุณมองตาไม่กระพริบมาสิบห้านาทีได้แล้วครับ" ศตายุนั่งเท้าคางข้างๆ จ้องมองเธออยู่นานแล้ว แต่รัตติดารากลับไม่สนใจเขาเลย เอาแต่มองน้องชายเขาอย่างเดียว

“เวอร์ไปไหมคะ" รัตติดาราก้มหน้าหนีสายตาจับผิดของศตายุ เขายิ้มพราว

“ไม่เวอร์เลยครับ ผมมองคุณอยู่" เขาว่า ยังยิ้มไม่หุบ แก้มสองข้างของหญิงสาวแดงระเรื่อ น่ารักจนอดมองนานๆไม่ได้

“นี่ท่าทางคุณจะไม่มีอะไรทำ ถึงได้มาจ้องคนอื่นเขาแบบนี้" รัตติดาราย้อน แต่ไม่ได้ทำให้เทวดาหนุ่มโกรธได้เลย

“ตอนนี้ยังไม่มีครับ ... อ้อ มีอย่างนึงทำอยู่แต่ต้องใช้เวลากว่าจะสำเร็จ เพราะงั้นเลยมาเฝ้า ว่าที่น้องสะใภ้ ได้"

ศตายุยิ้มกว้างกับสรรพนามที่เขาเรียกเธอท้ายประโยค ทำเอาคนฟังถึงกับผุดลุกขึ้น ถ้าไม่ติดที่เสียงขาเก้าอี้ที่เธอเลื่อนนั้นดังจนคนคุยงานอีกวงหันมามองเธอเป็นตาเดียวกันหมดคงได้แหวใส่เทวดา แล้วเธอคงบาปกรรมแน่นอน

“ขอโทษค่ะ" รัตติดาราก้มหัวให้พนักงานรุ่นพี่ที่หันมามองเธอ

พอเธอนั่งลงทำโมเดลต่อ พวกเขาจึงเลิกสนใจเธอหันกลับไปคุยงานต่อ ศตภัทรคือคนสุดท้ายที่ยังมองเธออยู่ ซึ่งรัตติดารามัวแต่ฮึดฮัดกับศตายุที่ยังล้อเธอด้วยแววตาไม่เลิกจึงไม่ทันสังเกตแววตาของศตภัทร มองมายังเธอ ดวงตาเขานั้นมีคำถามมากมายที่อยากรู้



“คุณเร!” ศตภัทรเรียกขณะที่รัตติดาราออกจากห้องทีมฯ กำลังจะไปรับประทานมื้อเที่ยงพร้อมใกล้รุ่ง ทำให้คนตัวเล็กต้องหยุดเดินหันมองหลังจากบอกให้ใกล้รุ่งล่วงหน้าไปโรงอาหารก่อน

“อะไรคะ" เธอถามเขา นึกถึงคำว่า 'ว่าที่น้องสะใภ้' ที่ศตายุเรียกแล้วก็เขินจนไม่กล้าสบตาเขาขึ้นมาทันที

“เมื่อกี้ คุณเจออะไรอีกแล้วใช่ไหม" เขาถาม ไม่ใช่แค่น้ำเสียงที่กังวล ยังรวมถึงดวงตาคมที่มองมาด้วย

“คะ? เมื่อกี้ ... อ้อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ไม่ได้เจออะไรหรอกค่ะ" คนตอบยิ้มหวานให้

“ไม่เชื่อหรอก ถ้าในห้องนี้มันมีอะไรแปลกๆ ก็บอกผม"

“คุณกลัวหรือคะ ฉันบอกได้เลยค่ะในห้องนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว ... จะมีก็แค่เทวดาจุ้นๆเหมือนแมวกวน" รัตติดาราพูดประโยคหลังกับตัวเอง เบาจนศตภัทรไม่ได้ยินก็จริง

แต่เทวดาแมวกวนที่ว่านี่ถึงกับก้มลงมาถามหญิงสาวใกล้ๆเลยทีเดียว
“ว่าใครเป็นแมวครับ"

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เห็นคุณตกใจ ผมเป็ ... เออ ช่างมันเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว ไปทานข้าวเถอะ" อยู่ๆศตภัทรก็ตัดบท แล้วโบกมือไล่เธอเฉยเลย เจ้าตัวพูดจบก็เดินออกจากห้องทีมฯล่วงหน้่าเธอไป

“กลัวก็บอกสิว่ากลัว" รัตติดาราปักใจเชื่อแบบนั้น โดยเฉพาะท่าทางเดินไวๆราวกับหนีอะไรของศตภัทรยิ่งบอกชัด!

ศตภัทรเดินเอามือปิดปากออกมาจากห้องทีมฯ เขาหลบมาหยุดหลังเสาที่ห่างออกมาไม่ไกลมาก แต่เป็นคนละทางกับที่ไปโรงอาหาร หลบอยู่หลังเสา หันไปมองรัตติดาราเดินออกจากห้องทีมฯเพื่อไปรับประทานอาหารเที่ยง พ่นลมหายใจที่เหมือนกลั้นไว้จนถึงที่สุดออกมา

“ผมเป็นห่วง ... อะไรของเราวะ! จะพูดอะไรแบบนั้นออกไปทำไม!!” ศตภัทรบ่นกับตัวเอง เขาสับสนจนต้องพยายามสูดลมหายใจลึกๆ ตอกย้ำตัวเองกับสิ่งที่เขาเห็นมา

“อย่าลืมสิ ยัยนั่นมีแฟนแล้ว เฮ้อ!!" เขาเตือนตัวเองอีกครั้ง พิงกับเสาที่ใช้เป็นที่พรางตัว หลับตาตั้งสติ โดยที่เขาไม่เห็นหรอกว่าพี่ชายฝาแฝดกำลังยืนพิงเสาต้นเดียวกับเขาอีกฝั่ง

ศตายุยิ้ม แล้วส่ายหัวไปมา
“เหลือแค่ง้างปากทั้งคู่ล่ะมั้ง"

คิดได้แบบนั้น เทวดาหนุ่มก็ดีดนิ้วหนึ่งที หายตัวแว้บ เหลือเพียงศตภัทรที่ยืนกลอกตาไปมาเพียงลำพัง



++


รัตติดาราออกจากอาคารสำนักงานมาตรงทางเดินมีหลังคาทอดยาวๆออกจากอาคารหลักไปยังโรงอาหารที่ตั้งอยู่อีกฝั่ง ข้างๆทางเดินคือที่จอดรถซึ่งตอนนี้ว่างอยู่สามช่องติดๆกัน เธอเห็นคนมุงกันอยู่จึงเดินเข้าไปหาใกล้รุ่งที่ยืนรวมกลุ่มอยู่ด้วย

“มีอะไรหรือฟ้า" รัตติดาราถาม พยายามเขย่งมองฝ่ากลุ่มคนเข้าไปตรงกลาง ยังไม่ทันจะได้เห็น ก็มีเสียงพนักงานรักษาความปลอดภัยดังขึ้นจากเบื้องหลัง

“ขอทางหน่อยครับ"

ร่างหนาๆของเจ้าของเสียงห้าวแทรกไทยมุงเข้าไป รัตติดาราจึงเห็นว่ามีผู้หญิงวัยเดียวกันกับเธอคนหนึ่งสลบอยู่กับพื้น รถพยาบาลของโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศมาจอดรอตรงที่ว่าง บุรุษพยาบาลหนุ่มสองคนเดินมายกร่างนั้นเข้าสู่รถพยาบาล จวบจนรถพยาบาลเปิดเสียงไซเรน แล้ววิ่งออกไปจากบริษัท กลุ่มไทยมุงจึงพากันสลายไป

แต่มีอยู่คนหนึ่ง ไม่สิ ไม่ใช่คน เพราะเขาไม่มีเท้า แถมยังลอยอยู่ในอากาศอีก

อติภาพ ... รัตติดาราเจอเขาจนได้หลังจากวันก่อนพยายามหาอยู่ตั้งนาน บทจะเจอก็เจออย่างง่ายดาย เขายืนอยู่รวมกับกลุ่มพนักงานเมื่อครู่ พอพนักงานพากันสลายตัว รัตติดาราจึงเห็นอติภาพชัดเจน

“อยู่ดีๆก็กรี๊ดออกมา เหมือนตกใจอะไรบางอย่าง" ใกล้รุ่งเล่าออกมา น้ำเสียงสั่น

“กรี๊ดเหรอ หรือว่าเขาเห็นคุณ" รัตติดาราหันมองไปยังวิญญาณดื้อที่ไม่ยอมเข้าร่างอย่างอติภาพ

คนถูกสงสัยโบกไม้โบกมือปฏิเสธเสียงดัง
“ไม่ใช่ผมนะครับ ผมไม่ได้ทำให้เธอตกใจ"

“ไม่ใช่คุณภาพหรอกค่ะ ฟ้าเห็นค่ะ ผีผู้หญิงที่เลือดเลอะไปครึ่งตัวที่ตั้งใจจะหลอกผู้หญิงที่สลบเมื่อกี้" ใกล้รุ่งยังคงตกใจไม่หาย เธอรู้สึกว่าวิญญาณผู้หญิงดวงนั้นน่ากลัว ราวกับจะมาแก้แค้นใครที่นี่

“ใช่ๆ ผมก็เห็นนะ น่ากลัวมากเลย ผมว่าคนที่สลบน่าจะมีปัญหากับผีตัวนั้น" อติภาพออกความเห็น

“อยู่ห่างๆไว้ดีกว่านะครับ คุณทั้งสอง และคุณด้วย...คุณอติภาพ" ศตายุโผล่มาเมื่อไหร่ไม่มีใครสังเกต แต่ว่าพออติภาพเห็นแล้วก็ทำท่าจะรีบหายตัวไป ศตายุทำอะไรบางอย่างไม่ให้อีกฝ่ายหนีไปได้ อติภาพหยุดยินนิ่งเมื่อถูกสะกดไว้

“ไม่ต้องหนีหรอกครับ ผมไม่พาคุณกลับร่างหรอก" เขาบอกกับอติภาพ คนฟังเหมือนจะยังกังวลแต่เทวดาหนุ่มไม่พูดต่อ หันมาบอกหญิงสาวทั้งสอง
“อย่าไปยุ่งนะครับ นี่มันไม่ใช่เรื่องของคุณทั้งคู่ มันไม่ปลอดภัย"

รัตติดาราพยักหน้าหงึกๆ ใกล้รุ่งกลับกระพริบตาปริบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับศตายุ ชายหนุ่มในชุดขาวที่ส่องประกาย สวยจับตา กลิ่นหอมของดอกแก้วทำให้ใกล้รุ่งรู้สึกถึงความอบอุ่นอ่อนโยน

“สวัสดีครับ ผมศตายุครับ คุณฟ้า" คนแนะนำตัวยิ้มกว้างสดใสระยิบระยับ

“สวัสดีค่ะ เอ๊ะ คุณหน้าตาเหมือนกับ...” ใกล้รุ่งมองใบหน้าเทวดาหนุ่มอย่างทึ่งๆ

“ครับ ผมเป็นฝาแฝดของศตภัทรเขาครับ ผม..." ศตายุแนะนำตัวเพิ่มเติม

“โอ๊ย หิวแล้ว จะคุยกันอีกนานไหมมมคะ ไปเถอะฟ้า เดี๋ยวเรเล่าให้ฟังเอง" รัตติดาราประท้วงขึ้น ลากใกล้รุ่งให้เดินตามไปยังโรงอาหาร ผ่านร่างวิญญาณของอติภาพที่ยังคงขยับตัวไม่ได้เพราะถูกเทวดาหนุ่มสะกดไว้

“นี่ๆ ปล่อยผมก่อนสิ คุณเทวดา!” อติภาพร้องตามเสียงหลงเมื่อเขากำลังถูกทั้งคนและเทวดาทิ้งไว้ด้านหลัง

เสียงปิ๊งดังขึ้นอีกครั้ง อติภาพหลุดจากการะถูกสะกดทันที เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะกลัวว่าจะถูกลากกลับร่าง และความอึดอัดที่ถูกสะกดนิ่งเมื่อครู่ ก่อนจะรีบตามใกล้รุ่งไปยังโรงอาหารบ้าง


++


เรื่องที่พนักงานสาวกรี๊ดแล้วเป็นลมไป ถูกลือหึ่งว่าเป็นเพราะเธอเห็นผีดังไปทั่วบริษัท เรื่องนี้ถึงหูกณิกด้วย กณิกรู้ดีว่าเพื่อนสนิทเขาที่ทำงานด้วยกันมานานนั้นไม่ชอบเรื่องผีสางที่สุด

“ภัทร นายได้ยินเรื่องพนักงานฝ่ายบุคคลที่เป็นลมไหมวะ" กณิกกระซิบถามเพื่อนสนิทระหว่างนั่งรอประชุมในตอนบ่าย อธิติยาเรียกประชุมด่วนบ่ายสองโมง แต่เจ้าตัวกลับยังมาไม่ถึง

“ได้ยินอยู่ เห็นว่ารถพยาบาลมารับไปเลยหนิ" ศตภัทรได้ยินมาแค่นี้ เขาไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก

“จริงๆแล้วรู้ไหมว่าเพราะอะไร" กณิกถาม ศตภัทรรู้ทันเพราะเขาได้ยินมาเช่นกัน

“ไม่อยากรู้" ศตภัทรตอบทันที นึกหงุดหงิดที่คนรอบตัวชอบเอาเรื่องผีเรื่องวิญญาณมาเล่าให้เขาฟังจริงๆ

“เฮ้ย อะไรวะ ไม่สนุกเลย" กณิกบ่น คนไม่หลงกลหันมายิ่มยิงฟัน เย้ยที่ไม่ติดกับเพื่อนซี้

อธิติยาเปิดประตูเข้าห้องประชุมมาพอดี หญิงสาวในชุดสีเลมอนตัดกับสีเทาเดินนำหน้าชายหนุ่มร่างสูงสวมสูทสีดำ ตัวผอมผิวขาว ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนมานั่งยังหัวโต๊ะประชุม เธอไม่ลืมที่จะผายมือให้คนที่เดินตามมานั่งลงตรงเก้าอี้ที่ว่างอยู่ตัวสุดท้าย หัวหน้าทีมเจ็ดทีมในห้องประชุมต่างมองคนใหม่เป็นตาเดียวกัน

“วันนี้ ตี้อยากจะแนะนำทีมเมเนเจอร์คนใหม่ให้ทุกคนรู้จักค่ะ เขาจะมาทำหน้าทีทีมเมเนเจอร์แทนคุณวสันต์"

พออธิติยาพูดขึ้น เรียกเสียงฮือฮาไม่น้อย ก่อนที่สายตาทุกคนหันไปมองเชษฐาผู้ซึ่งเป็นรองหัวหน้าทีมแทนวสันต์ที่ลาออกไปมาราวสองเดือน แต่ยังไม่ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเสียที ซึ่งแม้เขาจะทำหน้าที่แทนแต่เขาก็ยังไม่ได่้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ อยู่ๆอธิติยาก็เปิดตัวพนักงานใหม่ในตำแหน่งนี้ เชษฐาถึงกับโกรธจนใจเต้น หายใจแรง

“คุณเชษฐาเองก็ทำหน้าที่ได้ดีนะคะ แต่ตี้อยากลองนำเอาคนที่มีประสบการณ์การทำงานในต่างประเทศเข้ามาเพื่อให้งานของบริษัทเรามีไอเดียใหม่ๆ" อธิติยาหันไปบอกกับเชษฐา ที่เบือนหน้าหนีเธอ เขาไม่ปิดบังความไม่พอใจที่เขามีอยู่เลย แต่อธิติยาก็ไม่ได้สนใจ หันกลับมายังที่ประชุมต่อ

“นี่คือคุณณฉัตร หรือ คุณฉัตร เป็นเพื่อนของตี้เองค่ะ เราไปเจอที่สิงคโปร์ ที่ที่คุณฉัตรทำงานอยู่ เขาจบจากอเมริกาที่มหาวิทยาลัย ... และเคยทำงานที่อเมริกามาก่อนที่บริษัท ...”
อธิติยาพูดถึงชื่อมหาวิทยาลัยที่ณฉัตรจบปริญญาโทมา รวมถึงบริษัทที่ผ่านมา คนในห้องไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนมาใหม่ถึงกระโดดขึ้นมาเป็นหัวหน้าทีมทันที

“จบที่เดียวกับนายเลยนี่หว่า ภัทร" กณิกจำได้ ศตภัทรไม่ได้พูดอะไร เขามองเหมือนกับกำลังเก็บข้อมูลอีกฝ่าย

“ผม ณฉัตร ครับ อายุสามสิบปี ผมไม่เคยทำงานเมืองไทย ถ้าหากมีอะไรก็แนะนำผมได้นะครับ" ณฉัตรลุกขึ้นยืนทำความรู้จักทุกคนด้วยน้ำเสียงนอบน้อม หากว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนบนใบหน้าผอมยาวพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม ตัวสูงเพรียวของเขาดูเย่อหยิ่งสมกับเป็นเด็กจบนอก

เชษฐายกมุมปากขึ้น ท่าทางแบบนี้ ไม่ต่างกับศตภัทรตอนที่ตรัยพามาแนะนำตัวเลย กับศตภัทรนั้นเขายังยอมรับได้ว่า
นอกจากเป็นเด็กเส้นของตรัยแล้ว ที่เลื่อนขั้นเพราะผลงานด้วยส่วนหนึ่ง ผลงานที่ใครๆก็ต้องยอมรับให้แยกทีมไปอีกทีม

หากณฉัตรไม่ใช่เลย เข้ามาด้วยอายุน้อยกว่าเขาแต่กลับได้ตำแหน่งหัวหน้าทีมไป แบบนี้อธิติยาใช้อำนาจเกินตัวในยามที่ตรัยยังนอนอยู่โรงพยาบาลไปหรือเปล่า?

“โดยโปรเจ็คใหม่ที่ทีมของฉัตรเขาทำก็คือ โปรเจ็คที่จะโคกับสิงคโปร์..."

“เดี๋ยวก่อนสิครับ" ศตภัทรแทรกขึ้น เขามองไปยังหญิงสาวหัวโต๊ะด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
“ปกติเราจะเสนอไอเดียแข่งกันไม่ใช่หรือครับ แบบนี้ผมว่าไม่แฟร์เท่าไหร่นะครับคุณตี้" ศตภัทรค้าน เขาไม่ยอมรับหรอก โปรเจ็คใหญ่นี้ใครๆก็อยากทำทั้งนั้น เพราะมันคือชื่อเสียงของตรัยกรุ๊ป และเป็นผลงานของคนที่ได้ทำด้วย

“แต่ว่า ...” อธิติยาเหลือบมองณฉัตร ท่าทีชัดเจนแบบนั้น ทุกคนคาดเดาได้ทันทีว่าคงเป็นเงื่อนไขที่ทั้งคู่ตกลงกันไว้ก่อน

“ถ้าเขาดีพอจริงๆ ทำไมถึงไม่กล้าสู้กับพวกเราล่ะครับ" ศตภัทรหันมองไปยังคนมาใหม่

ณฉัตรยิ้ม ก้มหน้าลงครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้น จ้องมองคนถาม ก่อนจะหันตอบอธิติยา เพื่อนร่วมรุ่นก็จริงสมัยมหาวิทยาลัยก็จริง แต่อธิติยาอายุน้อยกว่าเขาถึงสองปี กระนั้นก็ยังมีพูดคุยกันทักทายกันอยู่บ้าง
“ผมโอเคครับตี้ เรามาแข่งกันที่ไอเดียก็ดี" น้ำเสียงเขาไม่กังวลอะไรเลยแม้แต่สักนิด ท่าทางมั่นใจมาก

“เอาอย่างนั้นหรือคะ ตี้คิดว่าคุณอยู่ที่นั่น น่าจะ ...” อธฺิติยาถามย้ำชายหนุ่ม

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ลองดูก็ได้ น่าสนุกดีออกครับ" ณฉัตรตอบอธิติยาก็จริง แต่กลับมองศตภัทรไม่วางตา ประหนึ่งจะส่งสัญญาณท้าทายกันมากกว่า

การประชุมจบลงที่โปรเจ็คสิงคโปร์ ทุกทีมที่อยากทำให้ส่งไอเดียมาแข่งขันกัน ถ้าใครไอเดียผ่านทั้งเธอและทางบริษัทฯร่วมที่สิงคโปร์จะได้เป็นทำงานชิ้นนี้

“น่าหมั่นไส้ว่ะ" กณิกพูดขึ้นหลังจากเดินออกจากห้องประชุมมาแล้ว

“ตอนฉันกลับมาใหม่ๆ ก็โดนแบบนี้แหละ"
ศตภัทรหัวเราะ ดังหึผ่านจมูก

เขานึกถึงภาพตัวเองตอนที่ตรัยพาเข้าห้องประชุมมาแนะนำตัว แม้จะไม่ได้เป็นตำแหน่งหัวหน้าทีมเลยทันที หากการที่ตรัยพาเขาเข้ามาเองนั้นก็ทำให้คนมองว่าเป็นเด็กเส้นจนพากันหมั่นไส้เขากันหมด แต่ใช่เขาจะแคร์ เขาไม่สนใจด้วยซ้ำ ศตภัทรเลือกที่จะแข่งกับตัวเอง ใช้เวลากับตัวเอง แทนที่จะไปสนคำชม คำด่า หรือคำนินทาของใคร

จะว่าไปในบริษัทฯ หรือนอกบริษัทฯ เขาก็มีแค่ กณิก ศรุตา ที่เขาพอจะไว้ใจพูดคุยได้ สำหรับคนในทีมเขาเท่านั้นที่ศตภัทรจะลดกำแพงความเป็นส่วนตัวให้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น คือพูดคุยเล่นกันได้ แต่เขาไม่สามารถไว้ใจใครจริงๆได้สักคน ประสบการณ์ที่เลวร้ายทำให้ศตภัทรเข็ดเกินที่จะไว้ใจใครสักคนมากๆเช่นสมัยก่อน

กณิกหัวเราะเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้า
“เสียใจด้วยภัทร เพราะมันไม่ใช่แค่ใหม่ๆ ตอนนี้นายก็ยังโดนหมั่นไส้อยู่ ... นายมันชอบตาแบบนี้ไง" กณิกใช้นิ้วชี้สองข้างดึงหางตาไปด้านหลัง เพื่อจะบอกว่าศตภัทรชอบขึงตาดุใส่ทุกคน เลยโดนหมั่นไส้ไม่หาย

ศตภัทรหัวเราะกับท่าทางของเพื่อนสนิท ก่อนที่จะมองเห็นใครบางคนยืนหันหลังทำลับๆล่อๆอยู่ปลายทางเดินคนละด้านที่เขาจะเดินไปกับกณิก
ยัยตัวเล็ก ... ทำอะไรของเขา?

“เอ่อ นิก นายเดินไปก่อนนะ เดี๋ยวตามไป" ศตภัทรบอกเพื่อนซี้ เห็นกณิกเดินไปไกลแล้วจึงรีบก้าวเท้าไวๆมายืนข้างหลังยายตัวเล็กที่ว่า ซึ่งเธอไม่ได้เอะใจ หรือรู้สึกตัวเลยว่าเขามายืนอยู่ด้านหลังเธอ

ศตภัทรพ่นลมออกจมูกหนึ่งทีเบาๆ ใช้นิ้วสะกิดไหล่เล็กๆ

“นี่คุณศตายุ อย่ามากวนหนูเรสิคะ!” รัตติดารากลับปัดมือเขาออก

... หนูเร?
ศตภัทรย่นคิ้วกับชื่อนี้ เหมือนเขาได้ยินแว่วๆว่าเธอแทนตัวเองแบบนี้มาครั้งหนึ่งกับเขา และหลายครั้งที่เขาได้ยินเธอพูดคนเดียว แน่นอนศตภัทรรู้ดีว่าทุกครั้งที่่ผ่านมานั้นรัตติดาราพูดกับใคร
ซึ่งเธอคงคิดว่าเป็นศตายุที่มากวนเธอ เธอแทบไม่หันมามองด้วยซ้ำว่าเป็นเขา ไม่ใช่พี่ชายฝาแฝดเขาสักหน่อย!

“หนูเรครับ ไม่ใช่ผมนะ" ศตายุเอ่ยขึ้น ทำให้รัตติดาราหันขวับ เธอจำและแยกเสียงทั้งสองคนออกได้ เห็นศตภัทรยืนส่งสายตาดุๆมาทางเธอ โดยที่ศตายุยืนส่งสายตาเอาใจช่วยข้างๆ

“มายืนทำอะไรตรงนี้ แล้วพูดคนเดียวไม่กลัวเขาหาว่าบ้าหรือไง" ศตภัทรถามเสียงขรึม

“คือว่า ... คุณภัทรได้ยินเรื่องผู้หญิงที่กรี๊ดแล้วสลบไปยังคะ" รัตติดาราถามเขา ดวงตากลมวิบวับ จนคนมองสงสัยว่านี่เธอรู้สึกอะไรในน้ำเสียงเขาบ้างไหมนะ?

“อื้อ นิกก็บอกผมเมื่อกี้" ชายหนุ่มตอบ

“ใช่ๆค่ะ นั่นแหละ ฉันว่าต้องเป็นเพราะเธอเห็นผีแน่เลย เมื่อกี้เห็นผีหายตัวไปตรงประตูนั้นค่ะ" รัตติดาราชี้ไปทางประตูห้องประชุมที่เขาเพิ่งออกมา แต่ประตูบางนั้นไม่ได้เปิดใช้มานานแล้ว

“อือฮึ แล้วยังไงต่อ" ศตภัทรกอดอก ฟังหญิงสาวเล่า

“เมื่อกี้ ก็มีคนโดนผีหลอกค่ะ เกือบตกบันไดแหนะ ฉันอยากจะไปถามเธอจังว่าทำไปทำไม" รัตติดารามองไปยังประตูไม้บานที่เธอเห็นวิญญาณหญิงสาวชุดเปื้อนเลือดลอยหายเข้าไป

“แล้วผีตัวนั้นมันเกี่ยวกับคอมมูนิตี้มอล์ที่ทำอยู่หรือเปล่า" ศตภัทรถามเธอ รัตติดาราเอียงคอ งุนงง

“คะ? ไม่น่าเกี่ยวนะคะ"

“แล้วววว ... ผีตัวนั้นช่วยเราออกแบบคอมมูนิตี้มอลล์ได้ไหมครับ คุณหนูเร"
ศตภัทรยังคงยิงคำถามที่ทำให้คนฟังงุนงง สรรพนามที่เรียกก็ไม่ปกติ เพราะปกติรัตติดาราจะไม่แทนตัวเองว่าหนูเรกับคนที่เธอไม่ได้สนิทด้วย

“ไม่ค่ะ" เธอตอบ ตอนนี้รัตติดาราเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยขึ้นมานิดๆ
“ไม่เกี่ยวค่ะ งั้นไปทำงานต่อก่อนนะคะ" คนตัวเล็กยิ้มแหยๆ พยายามจะขยับไปทางซ้าย ทว่าแขนหนากลับยื่นมาแปะกับผนังกันเธอไว้ หญิงสาวค่อยๆเงยหน้ามองร่างสูง

“เดี๋ยวสิ ผมยังไม่ได้บอกให้ไปไหนนะ"

“แต่ว่า ...” เธอนิ่วหน้า ต้องโดนต่อว่าแน่เลย ที่หนีงานมาตามผีแบบนี้!

เมื่อไปด้านซ้ายไม่ได้ รัตติดาราจึงพยายามเขยิบไปทางขวา หากไม่ทัน ศตภัทรใช้มือข้างที่เหลือประกบกับผนังทั้งที่ยังถือสมุดจดในมืออยู่

“คุณภัทร ปล่อยฉันไปเถอะค่ะ" คนตัวเล็กรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกนกในฝ่ามืออีกฝ่ายอย่างไรก็ไม่รู้

“หนูเรสิ ... ทำไมเรียกตัวเองแบบนั้นได้แค่กับพี่เอหรือไง" ศตภัทรถาม น้ำเสียงทุ้มของเขาแผ่วเบา ดวงตาคมที่จ้องมองกำลังตัดพ้อเธอ

... ทำไมเขาถึงทำเสียงแบบนี้ ?
รัตติดาราเกิดคำถาม มองดวงตาสีดำขลับที่เหมือนจะดูดให้เธอหลงเข้าไปในนั้น ไม่รวมกับกลิ่นน้ำหอมจากกายสูงทำให้รัตติดาราหัวใจเต้นแรงจนน่ากลัวว่าเขาอาจจะได้ยิน เขาอยู่ห่างจากเธอแค่หนึ่งช่วงแขนเขาเท่านั้น เธอพยายามหันซ้ายทีขวาที หาทางหนีที่มองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ

“ทำอะไรกันอยู่คะ!” เสียงที่ดังขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ทั้งคู่หันมอง เห็นอธิติยายืนมองด้วยแววตาไม่พอใจอยู่ ศตภัทรลดมือสองข้างลง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นดึงข้อมือเล็กไว้แทน แม้นั่นจะยิ่งทำให้อธิติยาเบิกตาโตมากขึ้น

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ขอตัวก่อนนะครับ" เขาพูดจบก็ค้อมหัวให้ ดึงให้รัตติดาราเดินตามไปโดยไม่สนใจเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นลูกสาวท่านประธานฯ ที่สามารถเอาเขาออกจากงานได้ทันทีที่เขาทำให้เธอโกรธ

++

“คุณภัทร ปล่อยฉันนะคะ" รัตติดาราพยายามดึงแขนตัวเองให้ออกจากมือใหญ่ระหว่างที่ต้องพยายามเดินให้ทันเขา ไม่อย่างนั้นเธอได้ล้มแล้วถูกเขาลากแน่ๆ แต่ก็ไม่สามารถ ทั้งที่เขาไม่ได้ออกแรงอะไรด้วยซ้ำ

“แทนตัวเองว่าหนูเรสิ พูดเพราะๆหน่อย ผมเป็นหัวหน้าคุณนะ" เขาหันมาพูดกับเธอ

“ไม่ได้หรอกค่ะ" รัตติดาราตอบ ทำให้ศตภัทรหยุดเดิน หันมามองเธอ สีหน้าเคืองๆ

“ทำไมไม่ได้" เขาไม่เข้าใจ ...

“ก็ เราไมไ่ด้สนิทกันขนาดนั้น" รัตติดาราตอบเขา

และนั่นทำให้ศตภัทรชาไปทั้งหัวใจ ... เขาลืมบางเรื่องไปจนได้!!

+จบตอน+



ปิ่นนลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 เม.ย. 2558, 01:43:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 เม.ย. 2558, 01:03:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 1719





<< ตอนที่ 5.2 (จบตอน)   ตอนที่ 7.1 >>
ปิ่นนลิน 4 เม.ย. 2558, 01:45:12 น.
ขออภัยที่มาช้าค่ะ
พอดีตืดงานนิดหน่อย

ขอบคุณที่แวะมาอ่านกันนะค้า

คุณ Zephyr เอาใจช่วยให้ทั้งคู่คุยกันดีๆสักทีก่อนดีกว่า ฮ่าๆๆ

ขอบคุณค่า


Zephyr 4 เม.ย. 2558, 12:56:22 น.
สักวันนายภัทร เอ้ย นายบี ต้องหึงพี่เอหน้ามืดแหงๆ
แค่ให้เรียกหนูเรยังลำบากยากเย็น จะคุยกันดีๆได้เกินสามประโยคมั้ย


kaelek 5 เม.ย. 2558, 09:12:31 น.
แหมๆๆ อาการเธอฟ้องอ่ะ นายบี


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account