หยกวาดตะวัน
"ฉันชื่อวาดตะวัน มาจากในนิยาย นิยายบนโลกมนุษย์นี่แหละ!"


เสียงเล็กแหลมของสาวน้อยที่แฝงไว้ด้วยความมาดมั่นร่ำร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น
ทำเอาชานนอยากจะเป็นบ้าตาย


ตอนนี้ชีวิตเขาวุ่นวายมากพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะหน้าที่การงานหรือว่าคนรัก
เขาเพิ่งถูกแฟนสาวสลัดทิ้งมาหมาดๆ

แต่แล้วจู่ๆ วันดีคืนดีก็มีผู้หญิงร่างเล็กบอบบางแทบปลิวได้ตกลงมาในบ้านเขา
ซ้ำร้ายยังเอาแต่พร่ำเพ้อว่าตัวเองหลุดมาจากโลกในนิยาย

งานนี้ไม่รู้ว่าหล่อนหรือเขากันแน่ที่บ้า

...ทางเดียวที่ทำได้คือเขาต้องไล่หล่อนกลับไปในโลกนิยายอย่างนั้นเหรอ ?

Tags: นักเขียน แฟนตาซี ปาฎิหารย์ ใสซื่อ เวทย์มนตร์

ตอน: บทที่ 1

บทที่ 1



"โอ๊ย...!"

เด็กสาวร่างเล็กในชุดนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่กำลังปลื้มปริ่มน้ำตาซึมกับฉากสุดซึ้งส่งท้ายของนิยาย ร้องเสียงหลงเมื่อถูกใครบางคนเขกกะโหลกเข้าให้ทีอย่างหมั่นไส้ มนชนกนั่งรอเวลาเรียนอยู่เพียงลำพังในสถาบันสอนพิเศษจึงพอจะรู้ดีว่าใครเป็นเจ้าของมะเหงกนั้น เงยหน้าจากนิยายมามองตาเขียว

"พี่นนมาเขกหัวออมทำไมเนี่ย ออมเจ็บนะ"

"ก็เขกให้เจ็บน่ะสิ"

'พี่นน' หรือ 'ใครบางคน' คนนั้นตอบห้วนๆ ก่อนทรุดตัวลงนั่งข้างเด็กสาวซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา ขณะที่มนชนกยังคงลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ หนังสือนิยายเล่มนั้นจึงถูกชานนคว้าไปอ่าน แล้วต้องทำหน้าปูเลี่ยนๆ ชอบกลให้กับชื่อนิยายบนหน้าปก

"แน่ใจนะว่าอ่านนิยายรักไม่ใช่นิยายซาดิสม์"

มนชนกรีบยื้อหนังสือนิยายคืน กลัวปากพี่ชายจะวิจารณ์เสียๆ หายๆ ไปมากกว่านี้

"ว่างมาบ่นออมได้แบบนี้แสดงว่าสอนเสร็จแล้วใช่มั้ยคะคุณพี่"

"ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะเจ้าออม" ชานนเสียงเข้มเหมือนทุกครั้งที่เขาต้องการปรามน้องสาว

"ปีหน้าก็ต้องสอบเข้ามหา’ลัยแล้ว ยังมัวแต่มาอ่านนิยายเพ้อฝันพวกนี้อีก แล้วดูชื่อ เถื่อนๆ ลงฑงฑัณฑ์ไรเนี่ย ชื่อน่ากลัวชมัด"

"ออมก็แค่อ่านคลายเครียดนิดหน่อยเอง นี่เรื่องใหม่ล่าสุดของคุณจีโนบีเลยนะ พี่ไม่ใช่แฟนนิยายเขาจะไปรู้อะไร"

เห็นมนชนกเริ่มหน้าบูด ชานนเลยได้แต่ส่ายหน้าระอา ก่อนหน้านี้เขาเองเพิ่งสอนพิเศษจบไปอย่างที่น้องสาวเดาจริงๆ นั่นแหละ แต่เขามาสอนแทนเพื่อนที่เป็นติวเตอร์ด้วยกันต่างหาก เลยอารมณ์เสียตั้งแต่รู้ว่าต้องลากสังขารมาสอนแทนทั้งที่เป็นวันหยุดของเขาแล้ว แถมเด็กๆ ที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษกับเขาเมื่อครู่นี้ก็วัยเดียวกับน้องสาวทั้งนั้นเลยเมื่อยปากที่จะเทศนาต่อ

พอเห็นว่าใกล้ได้เวลาเรียนแล้วมนชนกเลยตาลีตาเหลือกลุกจากเก้าอี้ แต่จู่ๆ ก็ชะงักหันกลับมาหาพี่ชายเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก

"เอ้อพี่นน ตอนที่พี่สอนอยู่พี่ดาโทร.มาหาออมด้วย เห็นบอกว่าโทร.หาพี่แล้วพี่ปิดเครื่อง"

ชานนนิ่วหน้าตามไม่ทันที่น้องสาวพูดถึงรินรดา...แฟนสาวของเขาขึ้นมา

แต่แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่ชานนกลับตื่นตระหนกตกใจ เด้งตัวผาง เขาลืมโทร.บอกยกเลิกนัดแฟนสาว! ตายๆๆๆๆ ความซวยมาเยือนแล้วไงไอ้นน! ไม่รู้ป่านนี้เจ้าหล่อนยังอยู่รอให้เขาไปรับที่ทำงานมั้ยเนี่ย

ชานนวิ่งพรวดพราดออกมาจากสถาบันสอนพิเศษเดี๋ยวนั้น ขับรถตรงดิ่งมายังที่ทำงานของแฟนสาวในเวลาถัดมา ใจที่ร้อนรนนั้นทำให้ชานนเหยียบคันเร่งด้วยความเร็วสูงโดยไม่รู้ตัว ขณะเดียวกันไม่ลืมที่จะโทรศัพท์หารินรดาไปด้วย แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามติดต่อหล่อนเท่าไหร่กลับถูกตัดสายทิ้งมาตลอดทาง นั่นเองชายหนุ่มถึงได้สบถออกมาอย่างหัวเสีย นึกโทษตัวเองที่ผิดนัดกับแฟนสาวเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ กระทั่งถึงหน้าอาคารสำนักงานใหญ่ของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ทำงานของรินรดา

ด้วยความที่เลยเวลาเลิกงานมามากแล้วจนตะวันตกดิน บริเวณลานจอดรถด้านหน้าอาคารจึงค่อนข้างมืดสลัวมีเพียงโคมไฟถนนส่องทาง ชานนต้องชะลอความเร็วลงเพื่อเพ่งสายตาเป็นพิเศษมองหาแฟนสาว แต่แล้วภาพหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาคมเข้มแบบไทยๆ ผิวสีน้ำผึ้งที่ยังคงนั่งรอด้วยความอดทนอยู่เพียงลำพังบนม้านั่งหน้าประตูทางเข้า-ออกของอาคาร ทำให้ชานนรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีกเป็นทวีคูณ รีบกระวีกระวาดลงจากรถมาหาแฟนสาว

"ผมขอโทษนะดาที่ให้รอ"

หญิงสาวเจ้าของชื่อเหลือบมองเขาด้วยหางตา รินรดานั้นเห็นรถของแฟนหนุ่มแต่แรกแล้วล่ะแต่หล่อนไม่แสดงสีหน้าใดนอกจากยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ชานนต้องฝืนปั้นหน้ายิ้มสู้ทั้งที่เหงื่อแตกพลั่ก จะเข้ามาโอบไหล่แฟนสาวง้อแต่กลับต้องหยุดกึก เพราะรินรดากลับลุกเดินหนีไปคนละทาง

"ไม่เอาน่ะดา ผมรู้ตัวว่าผมผิด คุณจะด่าจะว่าผมยังไงก็ได้แต่อย่าประชดผมแบบนี้ได้มั้ย ผมขอร้อง"

รินรดาหยุดฝีเท้าพลัน หันมาเผชิญหน้ากับเขา

"ก่อนหน้านี้นนหายไปไหนมา"

"ผม...เอ่อ..." จู่ๆ สาวตรงหน้าก็หันกลับมา คนที่กำลังสาวเท้าตามหลังหญิงสาวมาติดๆ เลยตั้งหลักไม่ทันเสียเอง อ้ำอึ้งตอบ "...ผมมีสอนแทนเพื่อนติวเตอร์ด้วยกันเลยมาช้า แต่...เอิ่ม...ที่จริงผมจะโทร.มาบอกเลิกนัดคุณเย็นนี้แล้วนะ คุณจะได้ไม่ต้องรอ แต่ผม...ลืม"

"ลืม?" รินรดาทวนคำแฟนหนุ่มแล้วต้องแค่นหัวเราะออกมา

"เหอะ ที่จริงดาน่าจะรู้เหตุผลนนดีอยู่แล้ว ไม่น่าถามให้เสียเวลาเลย"

"มันไม่ใช่อย่างนั้นดา แต่เพื่อนมันป่วยกะทันหัน ผมเลยไม่ทันได้บอก"

รินรดากรอกตาขึ้นฟ้าอย่างสุดเซ็งก่อนหันหลังให้แฟนหนุ่ม ทำท่าจะเดินเท้าออกจากที่ทำงานไปเสียอย่างนั้นร้อนถึงชานนต้องสาวเท้าไวเข้ามาขวางทางไว้ คว้ามือแฟนสาวมาเกาะกุม

"โธ่ดา...ผมขอโทษ เอางี้ พรุ่งนี้เช้าผมขอแก้ตัวด้วยการมารับคุณไปทำงานแทนเป็นไง"

รินรดาสะบัดมือออกอย่างไม่ใยดี

"พอเถอะนน ถ้าไม่มีใจจะทำให้กันก็อย่ารับปากอะไรส่งเดชอีก”

“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง ก็คนมันลืม ลืมก็คือลืม มันไม่ได้มีความหมายอะไรมากกว่านั้น…เราอย่ามาเสียเวลาทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้เลย”

“เรื่องไม่เป็นเรื่องเหรอคะนน อ๋อ เพราะนนคิดแบบนี้สินะถึงได้ไม่เคยจำเรื่องของดาได้สักอย่าง รู้มั้ยว่าวันนี้ดานั่งรอนนอยู่กี่ชั่วโมง ในสายตานน ดาคงทั้งโง่และก็ไร้สาระมากใช่มั้ยที่อดทนนั่งรอนนได้จนป่านนี้ ก็เพราะดาอยากรู้ไงว่านนจะนึกได้แล้วรีบมาหาดาเมื่อไหร่”

แฟนสาวหมดความอดทนระเบิดอารมณ์ออกมา ชานนจากที่มีน้ำโหเมื่อครู่ถึงกับนิ่งอึ้งไปในพริบตา ตอนนั้นเองที่ต่างฝ่ายต่างปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ...





*******************************




สัมผัสเย็นวาบแปลกประหลาดบริเวณข้างแก้มปลุกชานนตื่นในเช้าวันรุ่ง ความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจทำให้ชายหนุ่มต้องพยายามฝืนยกเปลือกตาหนักอึ้ง กะพริบตาถี่ๆ ปรับเลนส์สายตาสู้แสงไฟนีออนบนเพดานห้อง แต่แล้วเสียงแผล็บๆ ที่ดังอยู่ข้างหูกับความเปียกชื้นที่มีแนวโน้มจะทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ บนแก้มเรียกความสนใจจากคนบนโซฟาห้องรับแขกหันมอง

สุนัขพันธุ์ปั๊กสีน้ำตาลอ่อนกำลังยื่นหน้าเข้ามาพร้อมลิ้นเลียแผล็บที่ปากเขา ทำเอาชานนตาสว่างพลัน ร้องเฮ้ยออกมา แทบผลักสุนัขตัวแสบกระเด็นตกโซฟาเสียเดี๋ยวนั้นถ้าไม่มีเสียงร้องห้ามของใครบางคนดังขัดขึ้นเสียก่อน

“เจ้าซาหริ่มมานี่ ถูกพ่อเขาดีดกลับมาแม่ช่วยอะไรไม่ได้นะ”

มนชนกนั้นเพิ่งออกมาจากห้องน้ำ เจ้าซาหริ่มพอได้ยินแม่ของมันเรียกก็กระโดดผลุงลงจากตัวชานนวิ่งมาหา ขณะที่ ‘พ่อ’ เอาหลังมือเช็ดน้ำลายสุนัขบนปากตัวเองด้วยสีหน้าขยะแขยง

“พี่บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าไม่ให้มันมาเล่นกับพี่แบบนี้”

“นึกเสียว่ามันกู๊ดมอร์นิ่งคิสแล้วกันค่ะ” มนชนกแซวพี่ชายยิ้มๆ พลางวางชามแก้วและผ้าขนหนูผืนเล็กสำหรับเช็ดตัวลงบนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา

“ตื่นมาก็อารมณ์เสียเชียวนะคุณพี่ มา เดี๋ยวน้องเช็ดตัวให้จะได้สร่างเมา”

“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก พี่โอเคแล้ว” คนบนโซฟาขืนตัว จำได้ว่าหลังจากที่แยกกับรินรดาเมื่อคืนเขาไปดื่มกับเมธัส...เพื่อนติวเตอร์ด้วยกันต่อ ไม่รู้กลับบ้านมาตั้งแต่เมื่อไหร่

เหลือบมองเวลาบนนาฬิกาฝาผนังห้อง แล้วต้องก้มมองสารรูปตัวเองถึงเพิ่งรู้ตัวว่าหลับอยู่บนโซฟาห้องรับแขกทั้งที่ยังอยู่ในชุดเดิม เห็นว่าสายมากแล้วชานนจึงค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่ง ครานั้นเองถึงได้รู้สึกหนักศีรษะแปลกๆ กายร้อนวูบวาบ อารามปวดเมื่อยตามเนื้อตัวพาลจะทรุดฮวบลงไปนอนตามเดิม ร้อนถึงมนชนกต้องช่วยพยุงจับพี่ชายเอนกายกับหมอนด้านหลัง

“ลาพักอยู่บ้านสักวันมั้ยพี่นน”

ชานนโบกปัดอย่างไม่ใส่ใจ ยังหน้านิ่วคิ้วขมวดรำคาญตัวเองที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

“ออมรู้เรื่องพี่กับพี่ดาแล้วนะ เอิ่ม เมื่อคืนพี่เมธัสเป็นคนพาพี่มาส่งที่บ้านน่ะออมเลยขอให้พี่เขาเล่าให้ออมฟังเอง” น้องสาวรีบชี้แจงกลัวพี่ชายโวยเข้าให้ซ้ำสอง ทว่าชานนก็ยังไม่วายบ่นเป็นหมีกินผึ้งต่อว่าเพื่อน มนชนกเลยอดไม่ได้ไถ่ถามพี่ชายด้วยความเป็นห่วง

”ตกลงพี่ดาขอเลิกกับพี่จริงๆ เหรอ เป็นเพราะเมื่อวานที่ออมรับโทรศัพท์แล้วบอกว่าพี่ติดสอนรึเปล่า ออม...ออมขอโทษนะพี่นน ออมไม่รู้ว่าพี่นัดกับพี่ดาไว้ ออมไปช่วยพูดกับพี่ดาได้นะพี่นน”

“พอๆ เจ้าออม” เห็นน้องสาวเริ่มตื่นตูมคนเป็นพี่เลยยิ่งปวดหัวตุบ

ชานนพ่นลมหายใจออกมาดังพรืด คล้ายกับต้องการปลดปล่อยความทุกข์ใจที่มีให้ลอยหายไปในอากาศ ลูบหน้าตัวเองแรงเผื่อจะสลัดความมึนงงออกไปได้บ้าง ไม่ได้สังเกตหรอกว่ายังคงมีสายตาของน้องสาวมองมาตลอด ยังไงมนชนกก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี

‘อย่าหาว่าดาสอนเลยนะคะ แต่การที่นนลืมบ่อยๆ ถ้ามันไม่ได้แปลว่านนไม่ใส่ใจ แล้วมันคืออะไร...นนตอบกับตัวเองให้ได้ก็พอค่ะ เพราะตลอดระยะเวลาที่เราคบกันมานนได้ให้คำตอบนั้นกับดาหมดแล้ว’

มันเป็นคำพูดสุดท้ายที่แฟนสาวทิ้งไว้ให้ชานน เขายังจดจำได้ทุกถ้อยคำที่หล่อนตัดพ้อต่อว่า

หากแววตาของรินรดายามที่สบมองเขานั้นแดงก่ำและมีน้ำใสๆ คลอคลองที่ดวงตา แฟนสาวคงรู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กันที่ต้องพูดแบบนั้นออกมา แต่ก็สมควรแล้วล่ะ เพราะตลอดเวลาที่คบกันมาเขาไม่เคยทำตัวเป็นแฟนที่ดีของรินรดาเลยสักครั้ง ขนาดวันเกิดของหล่อนเขายังจำผิดวันเลย ไหนจะอาหารที่หญิงสาวชอบ หรือแม้แต่เรื่องราวในชีวิตที่เกิดขึ้นระหว่างหล่อนกับเขา มีเรื่องใดบ้างที่ยังอยู่ในความทรงจำเขายังต้องใช้เวลาคิด

ชานนจากเอ็ดน้องสาวเมื่อครู่พอเห็นสีหน้าเป็นกังวลนั้นก็ใจอ่อน ดึงร่างเล็กๆ ของน้องสาวมาโอบไว้ในอ้อมแขนหลวมๆ

“ไม่ต้องคิดมากน่ะเรา พี่มันปากเสียเอง พี่ดาเขาก็เลยอาจจะแค่อยากพูดให้พี่รู้สึกบ้าง...ไม่ได้บอกเลิกพี่ตรงๆ เสียทีเดียวหรอก” เอ่ยปลอบน้องสาวเพราะไม่อยากให้พลอยไม่สบายใจไปด้วย แม้ว่าจะเหมือนปลอบใจตัวเองอยู่ก็ตาม

“ว่าแต่เราเถอะ ปกติเห็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ต้องหนีออกไปทำรายงานที่บ้านเพื่อนทุกที ทำไมวันนี้ถึงอยู่บ้านได้”

“แหม...ทำมาแซวน้อง”

มนชนกแกล้งเบะปาก ร้องไห้กระซิกๆ ล้อพี่ชาย แต่คราวนี้ไวกว่าหลบมะเหงกพี่ชายทันเลยหัวเราะออกมาได้หน่อย

“พี่นนดีขึ้นก็ดีแล้ว งั้นบ่ายนี้น้องขอออกไปเที่ยวกับเพื่อนนะ”

“นั่นไง พูดยังไม่ทันขาดคำ”

“นะๆๆ พี่นน” มนชนกทำตาปริบๆ อ้อน พี่ชายเลยขยี้ศีรษะน้องสาวด้วยความหมั่นเขี้ยว



**********************************




ตกเย็นวันนั้นหลังจากสอนพิเศษเสร็จ ชานนพยายามโทรศัพท์หารินรดาเพื่องอนง้อแฟนสาว แต่พอถูกตัดสายทิ้งอีกตามเคย ซ้ำร้ายรินรดายังปิดเครื่องใส่เขา คนโทรศัพท์หาเลยจำต้องถอดใจเก็บข้าวของเพื่อออกไปรับน้องสาวแทน หากยังไม่ทันเดินพ้นประตูสถาบันสอนพิเศษดีก็มีเสียงเพื่อนติวเตอร์ทักดังตามหลังมา เป็นชายหนุ่มรูปร่างสันทัด ใบหน้าหวานเชื้อสายจีน...เมธัสนั่นเอง

“ท่าทางนายยังแย่อยู่เลย หรือนี่คิดจะไปดื่มต่อเหมือนเมื่อวานอีก”

“ไปดื่มอะไรล่ะ ฉันรีบไปรับน้องโว้ย เห็นว่าอยู่กับเพื่อนที่ร้านอาหารแถวนี้”

อาการหัวเสียประหนึ่งโกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อนนั้นทำให้เมธัสหน้าถอดสี เป็นฝ่ายชานนที่ยังคงพูดต่อ

“เจอนายก็ดีเหมือนกัน ตอนแรกว่าจะขอบใจเสียหน่อยที่อุตส่าห์พาไปส่งบ้าน ที่ไหนได้นายกลับเอาเรื่องดาไปเล่าให้เจ้าออมฟัง มันน่า...”

“ถ้าฉันขอติดรถนายไปลงป้ายรถเมล์ข้างหน้า จะได้รึเปล่า”

“รถเมล์?” จู่ๆ เพื่อนก็วกเข้าเรื่องตัวเองเสียอย่างนั้นคนบ่นเลยกลายเป็นนิ่วหน้า

“ที่จริงตอนแรกฉันเห็นว่าบ้านนายอยู่ก่อนถึงคอนโดฉัน เลยว่าจะขอติดรถไปลงตรงปากหมู่บ้าน รถฉันเพิ่งส่งซ่อมเมื่อเช้าน่ะ ซวยโดนพวกหัวขโมยทุบกระจกเอาของในรถไปเกือบหมด”

“เฮ้ย!” ข่าวใหม่จากเพื่อนทำให้ชานนตกใจไม่น้อย “ทำไมนายไม่เห็นเล่าให้ฉันฟังเลย แล้วโดนเมื่อไหร่”

“ก็ตอนที่ฉันไปส่งนายที่บ้านนั่นแหละ ฉันจอดรถทิ้งไว้ที่ผับตอนกลับมาเอารถถึงได้รู้เรื่อง แต่ถ้านายรีบ ฉันเดินไปป้ายรถเมล์เองได้ เดี๋ยวออมรอนานด้วยไม่ใช่ไร”

“ไปได้ๆ ฉันก็แค่บ่นไปอย่างนั้นเอง”

เพื่อนดันซีเรียสแซงโค้งชานนเลยเข้ามาตบบ่าให้กำลังใจ พากันเดินไปยังลานจอดรถ “เดี๋ยวฉันไปส่งนายเอง ส่งให้ถึงคอนโดเลย ถือว่าเป็นการไถ่โทษจากฉันแล้วกันที่ทำให้นายซวย แต่อย่างที่บอก ขอแวะไปรับออมก่อนนะ รับปากไว้แล้วไม่ไปรับเดี๋ยวเป็นเรื่องแบบดาอีก”

สถาบันสอนพิเศษอยู่ตึกแถวในซอยห่างจากร้านอาหารที่มนชนกอยู่กับเพื่อนไปไม่มากนัก ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงสองหนุ่มก็มาถึงร้านตามที่ต้องการ เป็นสวนอาหารไทยธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง แต่ด้วยการตกแต่งสถานที่ที่เต็มไปด้วยของเก่าโบราณจึงดูเก่าแก่คร่ำคร่าค่อนไปทางชวนขนลุกพอควรในสายตาของชานน พาลอดแปลกใจไม่ได้ที่กลุ่มน้องสาวนัดกันมาทานอาหารในที่แบบนี้

“พี่นน ทางนี้”

มนชนกโบกมือไหวๆ เรียก ชานนถึงได้เห็นว่าน้องสาวออกมารอที่ทางเดินเข้า-ออกของสวนอาหารแล้วจึงสืบเท้าเข้าไปหา ขณะที่เมธัสยังคงนั่งรออยู่ในรถ

“เราคุยกับเพื่อนเสร็จแล้วเหรอ...เฮ้ย จะลากพี่ไปไหนเจ้าออม เจ้าออม...”

“เสียงดังไปได้พี่นน” มนชนกต่อว่าทั้งที่ยังคงลากพี่ชายถูลู่ถูกังให้เข้าไปในร้านด้วยกัน “ออมก็จะลากพี่ไปโชว์ตัวพี่โบว์น่ะสิ พี่สาวของเพื่อนออมเอง เจ้าของร้านอาหารนี้ไง พี่โบว์สวยมากเลยนะ แถมยังเป็นพี่สาวที่สุดแสนจะใจดี ไม่แน่ พี่โบว์นี่แหละอาจมาช่วยดามใจพี่ก็ได้”

“ตลกแล้ว ไม่เอาเจ้าออม” ได้แต่เอ็ดน้องเสียงเขียวไปอย่างนั้น เอาเข้าจริงชานนก็ไม่อยากให้น้องเสียหน้าเพราะดูท่าเจ้าตัวแสบคงไปโม้เรื่องเขาไว้เยอะแล้วเลยยอมให้ลากไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่

ภายในร้านมีหญิงสาวรูปร่างผอมบางคนหนึ่งกำลังยืนคุยอยู่กับหญิงสูงวัยที่หน้าเคาท์เตอร์บาร์ พอเห็นมนชนกลากชายอีกคนเข้ามาในร้าน ทั้งสองก็เลิกสนทนากันชั่วขณะ

“ขอโทษค่ะพี่โบว์ ออมไม่รู้ว่าพี่โบว์มีแขก”

“ไม่ใช่แขกที่ไหนหรอกจ้ะน้องออม” หญิงสาวที่ชื่อโบว์บอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนหันไปแนะนำมนชนกให้หญิงสูงวัยข้างกายได้รู้จัก ขณะเดียวกันนั้นก็ผายมือไปยังหญิงสูงวัยเพื่อแนะนำให้มนชนกได้รู้จักเช่นกัน

“นี่แม่หมอจันทรนิมิตที่พี่เล่าให้ฟังว่าแกดูดวงด้วยไพ่จันทร์สีฝุ่นไงจ๊ะ แกจะมาดูดวงให้ลูกค้าในร้านพี่คืนนี้”

“แม่หมอจันทรนิมิตเหรอคะ !” มนชนกเลิกสนใจเรื่องพี่ชายไปในทันทีทันใด

“ออม...ออม...โอ๊ย ออมไม่นึกว่าจะได้เจอแม่หมออ่ะพี่โบว์ ตื่นเต้นพูดไม่ถูกเลย แม่หมอดูดวงให้ออมหน่อยนะคะ”

“เจ้าออม !” เป็นชานนที่โวยขึ้นมา ก็ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์มาบอกน้องสาวแล้วว่ามีเมธัสขอติดรถมาด้วย จะปล่อยให้เพื่อนแกร่วรอเจ้าตัวแสบดูดวงเนี่ยนะ มันใช่เรื่องเหรอ

“คุณใช่มั้ยที่เป็นพี่ชายของหนูคนนี้”

หญิงสูงวัยเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเย็นยะเยือกแปลกๆ อยู่ในลำคอ พลางมองเลยผ่านมายังชายร่างสูงใหญ่ ผิวสองสี ที่ยืนอยู่ข้างมนชนก

“ช่วงนี้ถ้าเป็นไปได้ ลดความมุทะลุดุดันของคุณลงบ้างแล้วอะไรๆ ในชีวิตคุณจะดีขึ้นเอง”

คำพูดแปลกพิลึกพิลั่นนั้นทำให้ชานนเลิกคิ้วสูงอย่างฉงน งุนงงว่าคนตรงหน้าคุยกับเขาหรือใครกันแน่ ต่างจากมนชนกที่แววตาเป็นประกายด้วยความประหลาดใจแกมมีความหวัง “นี่แม่หมอรู้ด้วยเหรอคะว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพี่นน สุดยอดไปเลยค่ะ แล้วอะไรๆ ที่แม่หมอพูดถึงคืออะไรเหรอคะ ช่วยบอกพี่ชายออมด้วยนะคะ...เอิ่ม...จริงสิ ออมลืมแนะนำไปเลย”

มนชนกเกี่ยวแขนพี่ชายให้เขยิบเข้ามายืนใกล้ๆ

“แม่หมอพูดถูกเป๊ะเลยค่ะ นี่พี่นน พี่ชายออมเอง แต่เราเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องกันนะคะ พ่อแม่ส่งออมมาอยู่กับพี่นนเพื่อให้ออมได้เรียนที่กรุงเทพฯ น่ะค่ะ...แม่หมอจันทรนิมิตแกดูดวงแม่นมากเลยนะพี่นน เพื่อนออมหลายคนเคยดูดวงกับแกมาแล้วทั้งนั้น”

ชานนยังคงจับจ้องแม่หมอจันทรนิมิตนิ่ง รู้ตัวว่าเสียมารยาท แต่สำหรับเขาแล้วไม่ได้ชื่นชมในสิ่งที่น้องสาวพร่ามถึงความเก่งฉกาจของแม่หมอตรงหน้าสักนิด จึงมองสำรวจคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า หญิงสูงวัยที่น้องสาวเรียกว่า ‘แม่หมอ’ นั้นอยู่ในชุดยิปซีลายพระจันทร์เสี้ยวกระโปรงยาวกรอมเท้าสีเลือดหมู หากดวงตาแน่นิ่งคู่นั้นที่จ้องมองเขาตอบกลับมาอย่างไม่เกรงกลัวสายตา ชานนสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวระคนน่าเกรงขามอยู่ในคราเดียวกัน สุดท้ายจึงเป็นฝ่ายเสมองไปทางอื่นเสียเอง

“หนูกลับไปกับพี่ชายหนูก่อนเถอะ เดี๋ยวทางนี้ฉันให้คุณโบว์ล็อคคิวไว้ให้เอง”

แม่หมอจันทรนิมิตเสนอทางออกให้ มนชนกดีใจถึงกับยิ้มแก้มปริยอมกลับบ้านกับพี่ชายแต่โดยดี แต่ยังไม่วายขอไปลาเพื่อนที่โต๊ะอาหารก่อน

คล้อยหลังสาวน้อยออกจากวงสนทนาไปแล้ว หญิงสาวเจ้าของร้านเองก็ต้องปลีกตัวไปรับโทรศัพท์ลูกค้ากะทันหัน แม่หมอจันทรนิมิตเลยจะกลับไปประจำที่สำนักหมอดูซึ่งอยู่ชั้นบนของร้าน ทว่าชานนกลับตามแม่หมอไป

“เดี๋ยวครับแม่หมอจันทรนิมิต เมื่อครู่นี้ที่คุณว่าอะไรๆ ในชีวิตจะดีขึ้น คุณหมายถึงชีวิตผมอย่างนั้นเหรอ”

หญิงสูงวัยชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ชานนเลยสบโอกาสนั้นเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า

“คุณไม่เชื่อฉัน?”

คำถามสั้นและห้วนสวนกลับมานั้น ชานนเพียงแค่ยักไหล่เพียงนิดอย่างไม่ยี่หระ ที่จริงเรื่องทำนายทายทักในสายตาเขาแล้วเป็นเรื่องไร้สาระทั้งเพ แต่ที่ตามมาคาดคั้นเพราะแม่หมอพูดให้ค้างคาใจเองต่างหาก ซึ่งแม่หมอจันทรนิมิตก็พออ่านสีหน้าเขาออกเหมือนกัน แม้ว่าจะยังคงวางมาดเคร่งขรึมชวนขนลุกอยู่ก็ตาม ยามเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ฉันหมายความตามนั้น โดยเฉพาะ...เรื่องความรัก”

ประโยคท้ายสะดุดหูชานน ชวนให้มองแม่หมออย่างเหลือเชื่อ อย่าบอกนะว่าหญิงสูงวัยผู้นี้รู้เรื่องที่เขามีปัญหากับรินรดา

แต่แล้วชานนกลับแค่นหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงน้องสาวตัวดีขึ้นได้ “อ้อ เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ตอนที่คุณคุยกับคุณโบว์ เธอคงรู้เรื่องผมมาจากเจ้าออมเลยมาเล่าให้คุณฟังต่อสิท่า ให้มันได้อย่างนี้สิน้องสาวคนนี้ สงสัยกลับไปต้องต่อว่าเสียหน่อย อยู่ดีๆ เอาเรื่องส่วนตัวไปพูดกับคนแปลกหน้าได้ยังไง”

แม่หมอจันทรนิมิตไม่ต้องการต่อความยาวสาวความยืดกับชายหนุ่มตรงหน้าให้เสียอารมณ์เลยผละจากไปดื้อๆ เสียอย่างนั้น ทั้งน้ำเสียงและกิริยาท่าทางที่ชานนแสดงออกนั้นบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ได้เคารพยำเกรงแม่หมออย่างหล่อนแม้แต่น้อย



*****************************




“แค่กๆๆ ขนมปังกรอบแสน แค่กๆ อร่อย มาแล้วค่า...”

มนชนกลากเสียงยาวสลับกับไอโขลกออกมาจากห้องครัว โดยมีเจ้าซาหริ่มส่ายก้นดุ๊กดิ๊กตามเจ้านายมาไม่ห่าง

ขนมปังทาเนยอบกรอบใส่จานอย่างดี วางเสิร์ฟลงบนโต๊ะอาหารท่ามกลางสายตาของชานนและเมธัสที่นั่งรอ หากทั้งสองแทนที่จะดีใจกับการมาของแม่ครัวกลับต่างทำหน้าฝืนอมขมกลืน มองขนมปังทาเนยสีน้ำตาลแกมไหม้ตรงหน้าอย่างสยอง เพราะยังเห็นควันดำลอยฟุ้งตามหลังสาวเจ้าออกมาจากห้องครัวด้วย

“เผอิญออมอบนานไปหน่อยน่ะค่ะ มันเลย...เอ่อ...ไหม้ไปนิด”

“นี่มันเกินนิดแล้วเจ้าออม” ไม่แค่พูด ชานนยังเขี่ยขนมปังในจานไปมาแหยงๆ “หืม...แล้วดู จะทำอาหารหรือเผาบ้านกันแน่ บางชิ้นไหม้เกรียมเป็นตอตะโกเชียว แน่ใจนะว่ากินเข้าไปแล้วจะยังมีชีวิตรอด”

“พี่นน !”

“นายก็พูดเกินไป ออมเขาอุตสาห์ตั้งใจทำให้” เมธัสกลัวเกิดศึกขนมปังขึ้นเสียก่อนเลยช่วยปรามเพื่อน

จังหวะนั้นเองที่มนชนกหันมาสบมองเพื่อนของพี่ชาย แต่พอเห็นผู้ชายตาหวานอย่างเมธัสสบมองมาเช่นกันเลยเลี่ยงเดินไปนั่งที่โต๊ะบ้าง หยิบขนมปังไหม้กินแก้เขิน

“ตั้งแต่ออมเรียนพิเศษกับนายมาเป็นยังไงบ้าง”

เมธัสละสายตาจากมนชนกกลับมาพูดคุยกับเพื่อน “นายสบายใจได้ ออมเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนมากกว่าแต่ก่อนเยอะเลย”

“พูดจริง?” ชานนไม่ค่อยเชื่อเพื่อนเท่าไหร่ “นายมัวแต่สอนเลยไม่ทันเห็นเจ้าออมหลับรึเปล่า”

ได้ยินชานนแซวเช่นนั้นมนชนกเลยหันไปแยกเขี้ยวใส่พี่ชาย

ภาพสองพี่น้องที่แหย่กันไปมาเรียกรอยยิ้มขันจากเมธัส เดิมทีนั้นหลังจากรับมนชนกมาจากร้านอาหารแล้วเขาตั้งใจจะกลับคอนโดเลย แต่มนชนกเป็นคนเอ่ยปากชวนเขาให้แวะทานขนมด้วยกันก่อนจึงได้ตามสองพี่น้องคู่นี้มาบ้านด้วย อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องกลับไปนอนเหงาอยู่คนเดียวเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา

อยู่ดีๆ มนชนกก็ร้องอุทานออกมา ไม่พูดพร่ำทำเพลงหน้าตาตื่นลุกไปหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเอง

“ออมลืมไปเลยว่าแม่หมอจันทรนิมิตฝากของมาให้พี่นน หายไปไหนเนี่ย จำได้ว่าเก็บไว้ในซิปนี้นี่”

ชื่อแม่หมอที่หลุดจากปากน้องสาวสร้างความงุนงงแก่พี่ชาย ไม่แน่ใจว่าตัวเองหูฝาดรึเปล่า ขณะที่มนชนกยังคงควานหาของสิ่งนั้น ครู่หนึ่งน้องสาวตัวดีก็หยิบกำไลวงหนึ่งออกมาจากกระเป๋าพร้อมระบายยิ้มกว้างสดใสที่ในที่สุดก็หาเจอ

“ก่อนออกมาจากร้าน แม่หมอฝากให้ออมเอากำไลหยกมาให้พี่ด้วย”

ชานนรับกำไลหยกสีเขียวอ่อนวงนั้นมาอย่างงงๆ ก็ว่าที่ร้านอาหารน้องสาวตัวดีลาเพื่อนนานผิดวิสัยจนเขาต้องไปรอที่รถกับเมธัสแทน ที่แท้ก็ถูกแม่หมอเรียกตัวไปนี่เอง

“ออมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าแม่หมอให้มาทำไม แต่แกกำชับเด็ดขาดว่าให้พี่เก็บรักษามันไว้ให้ดีแล้วชีวิตพี่จะดีขึ้นเอง ไม่รู้แกรู้ได้ยังไง”

“แกก็เดาๆ ไปตามเรื่องนั่นแหละ รู้ๆ อยู่ว่าหมอดูคู่กับหมอเดา”

“แต่แกแม่นจริงๆ นะพี่นน”

“พอเลยเจ้าออม ก่อนหน้านี้พี่ยังไม่ได้ชำระความกับเราเลยนะ มีอย่างที่ไหนเอาเรื่องที่พี่เลิกกับแฟนไปเล่าให้คนอื่นฟัง แม่หมอนั่นเป็นพวกสิบแปดมงกุฎรึเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าเป็นเด็กเล็กๆ เหมือนแต่ก่อนป่านนี้พี่จับเราตีก้นลายไปแล้ว”

“นะ...น้องไม่ได้เล่า” มนชนกส่ายหน้าดิกปฏิเสธทันควันอย่างกับพี่ชายจะตีก้นเข้าให้จริงๆ เสียอย่างนั้น

“ก็น้องบอกแล้วไงว่ายังแปลกใจอยู่เลยที่แกรู้เรื่องพี่ อีกอย่างแม่หมอจันทรนิมิตไม่ใช่แม่หมอกระจอกๆ นะ บ้านแกมีฐานะกว่าเราตั้งเยอะ”

“มีฐานะแล้วทำไมต้องมาแหกตาหลอกลวงคนเขาไปทั่วด้วย ไม่เข้าท่า”

“ก็ที่แกร่ำรวยมาได้เพราะคนศรัทธานับถือในตัวแกไงพี่นน ไม่อย่างนั้นวันๆ นึงจะมีคนมาจ่อคิวรอดูดวงกับแกเป็นพันๆ คนเหรอ น้องยังเสียดายอยู่เลยที่ไม่ได้ดูวันนี้ ปกติแกไม่รับนัดจองล่วงหน้าหรอกค่ะ ใครโชคดีเจอแกก็ได้ดูไปแต่ถ้าวันไหนแกเกิดต้องออกไปช่วยชาวบ้านก็ชวด”

“เราก็ได้แต่พูดจากคำร่ำลือของคนอื่นทั้งนั้น” ชานนยังไม่เชื่อน้องสาว

“ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นน” เมธัสเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้างคล้ายกับต้องการเตือนสติเพื่อน

แม้เมธัสจะไม่ได้ยินในสิ่งที่หมอดูคนนั้นพูดกับเพื่อน แต่หลังจากพินิจพิเคราะห์ฟังสองพี่น้องถกเถียงกันอยู่สักพักแล้วจึงเริ่มหงุดหงิดที่ชานนเอาแต่ค้านหัวชนฝาไม่ฟังเสียงน้องสาวท่าเดียว

“อย่าหาว่าฉันเข้าข้างออมเลยนะ แต่ออมยืนยันกับนายแล้วว่าไม่ได้เล่าเรื่องส่วนตัวของนายให้ใครฟัง”

ชานนมองเพื่อนทีน้องสาวทีสลับกันไปมา แล้วต้องกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างเซ็งๆ เมื่อเห็นสองคนนั้นจ้องมองเขาตอบด้วยแววตาจริงจังไม่แพ้กัน

“ตกลงนายกับออมจะให้ฉันเชื่อเรื่องนี้จริงๆ เหรอ โอเค ฉันอาจหาคำตอบไม่ได้เหมือนกันว่าแม่หมอแกรู้เรื่องฉันได้ยังไง เพราะฉันก็ไม่ใช่พวกพ่อหมอแม่หมอทำนายทายทักพวกนั้น แต่นายไม่เคยได้ยินข่าวพวกหมอดูที่เป็นนักต้มตุ๋นหลอกลวงรึไง คนพวกนี้มันมีวิธีสารพัดอย่างเพื่อที่จะทำให้เราเชื่อ ฉะนั้น...ยังไงฉันก็ยังคงยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดที่เจ้าออมพูดมา...เป็น-เรื่อง-ไร้-สา-ระ-ทั้ง-เพ !” #





**************************
มาตามสัญญาค่ะ^^ อัพบทที่ 1 ให้แล้วน้าาา คอยติดตามนายชานนหัวดื้อได้เรื่อยๆ ทุกสัปดาห์นะคะ คิดเห็นยังไงเม้นได้เสมอจ้า จุบุๆ




สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 เม.ย. 2558, 11:51:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 เม.ย. 2558, 11:51:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 1265





<< บทนำ   บทที่ 2 >>
Zephyr 19 เม.ย. 2558, 12:37:40 น.
เอิ่ม พี่นนเปิดใจสิ ลองดูก็ไม่เวียหายนี่นา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account