สมมติว่าเรารักกัน
เมื่อเขาและเธอ ต่างก็คิดว่า เพศตรงข้าม เป็นมาร ขวางความสำเร็จ ความรักหลอกๆ ที่สมมติขึ้นขายผ้าเอาหน้ารอด จะจบลงแบบใด

ติดตามได้ใน สมมติว่าเรารักกัน
Tags: โรแมนติกคอมมาดี้

ตอน: ตอนที่ 1

ตอนที่ 1

กลางดึกในคืนเดือนมืด ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดกางเกงยีนส์เก่าๆ เสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนลวกๆ ที่ไหล่ของเขาสะพายกระเป๋ากีต้าร์ใบโต ในลานจอดรถนั้นเปิดไฟหรี่ๆเอาไว้ แต่ก็ยังคงสว่างพอที่เขาจะมองทางเห็น ฉับพลัน เขาก็มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง โซซัดโซเซมาทางเขา และสุดท้าย ก็เซมาชนกับตัวเขาเข้าอย่างจัง



โอ๊ย



เขาร้องเสียงหลงและรับหล่อนไว้ และทันใด กีต้าร์แสนรักนั้น หลุดจากหัวไหล่และกำลังจะตกลงพื้น กีต้าร์ตัวนี้เกือบหมื่น เขาเลยตัดสินที่จะปล่อยคนที่เซมาชนเขาและถลาไปรับกีต้าร์แทน ร่างนั้นเมื่อหลักยึดถลาไปรับกีต้าร์ ก็ทรุดฮวบลง หัวน๊อกพื้นดังป๊อกเลยทีเดียว



นัทธ์ใช้กระเป๋ากีต้าร์เขี่ยร่างหญิงสาว



“ช่วยฉันทีค่ะ ฉันเป็นลม”



เสียงหวานๆนั้น ดังออกมาจากลำคอหล่อน ยังไม่ตายแฮะ ชายหนุ่มจะเข้าไปช่วยพยุง แต่ ก็ติดกระเป๋ากีต้าร์ ไอ้จะวางลงก็ไม่กล้า เกิดมันร่วงอีกเขาคงหัวใจวายแน่ สุดท้าย นัทธ์ก็ลากทั้งคน และสะพายกีต้าร์ไว้แล้วก็ลากหล่อนพยุงให้ลุกขึ้นมา เอาแขนหล่อนมาพาดไว้กับบ่าตัวเอง ลากหล่อนและกีต้าร์ไปพร้อมกัน



“ไปที่รถผมก่อนแล้วกันนะ ที่รถพอจะมียาดม”



ชายหนุ่มบอกกับหญิงสาวปริศนาที่ตัวเองพยุงมา หล่อนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ชายหนุ่มโอบหญิงสาวเข้ามาไว้กับอก ก่อนที่ศีรษะหล่อนจะซบลงกับไหล่กว้างของเขา นัทธ์ไขกุญแจรถและพยุงหญิงสาวปริศนาเข้าไปนั่งที่เบาะ เอากีต้าร์วางไว้ที่เบาะหลัง ก่อนจะปรับเอนให้หล่อนนอนราบลง เดินอ้อมไปเบาะคนขับ เปิดเก๊ะเอาพิมเสนน้ำและหยิบขวดน้ำออกมา เทมันลงบนผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าของเขา เช็ดหน้าเช็ดตาให้หล่อน อีกมือหนึ่งเปิดพิมเสนให้เธอดม



หลังจากที่ได้สังเกตหน้าซีดขาวนั้นถนัดๆ เขาก็ร้องอ๋ออยู่ในใจ



น้ำตาลวงเฟรชนี่เอง ทำไมกูซวยแบบนี้วะ



เขาเป็นโรคแพ้ผู้หญิงสวย



ไม่ใช่เพราะจะปลื้มและชื่นชอบหรอกนะ แต่เขาเบื่อผู้หญิงหน้าตาดี ก็เท่านั้นแหละ



เธอคือหนึ่งในสมาชิกสี่คนของวงเฟรช เกิร์ลกรุ๊ปอันดับหนึ่งของบริษัทที่เขาสังกัดอยู่ เขาเคยเห็นเธอในโปสเตอร์ของบริษัท ตามนิตยสาร และสื่อต่างๆ เธอเป็นนักร้องสาวหน้าตาน่ารักที่วางตัวดี ภาพลักษณ์ดี นี่เธอคงทำงานมากเกินไป จนมาเป็นลมที่ลานจอดรถ คงจะเพิ่งเลิกจากการซ้อม เขารู้ว่า ช่วงนี้วงเฟรชกำลังจะปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ เลยซ้อมอย่างหนักเลยสินะ



น้ำตาลรู้สึกดีขึ้นมาก หล่อนลืมตาขึ้นมองผู้ที่ช่วยเหลือหล่อน เขาชะโงกหน้ามาดูใกล้ๆอย่างกังวล (กลัวจะมาตายในรถเขา) หญิงสาวกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นจากเบาะ



“ดีขึ้นแล้วเรอะ ไหวไหมเนี่ยคุณ”



“ขอบคุณมากค่ะ ฉันดีขึ้นมากแล้ว”



“โอเค งั้นบ้านคุณอยู่ไหน เดี๋ยวผมจะไปส่งให้”



น้ำตาลมองผู้ชายที่ช่วยเหลือหล่อนอย่างตั้งใจ ไฟในรถนั้น สว่างพอที่จะมองเห็นใบหน้าเขาอย่างชัดเจน เขาเป็นชายหนุ่มหน้าคม คิ้วของเขาหนาเป็นปื้น ดวงตานั้น ดำสนิท ผมของเขาถูกตัดซอยเป็นทรงนิยม และทำสีเป็นสีน้ำตาลทองปิดหน้าผาก ใบหูของเขาเจาะและใส่ตุ้มหูสีเงิน



“ฉันจะไว้ใจคุณได้แค่ไหนคะ”



หญิงสาวพูดอย่างหวาดระแวง หน้าตาเขา ถึงจะดูดีมาก คุ้นๆว่าเหมือนจะเป็นนักร้องด้วยซ้ำ แต่หล่อนก็ยังไม่อยากไว้ใจ นัทธ์ถอนหายใจอย่างแสนจะเบื่อหน่าย



“ผมจะทำอะไรคุณที่ลานจอดรถนี่นะ ไม่อยากขึ้นหน้าหนึ่ง แต่ถ้าคุณไม่สบายใจ ก็ เอาเป็นว่า คุณอยากจะทำแบบไหน ก็แล้วแต่ จะยืมโทรศัพท์ผมไหมล่ะ เผื่อจะโทรหาเพื่อนคุณในวง ถ้ายังไม่สบายใจก็โทรหาตำรวจเลยแล้วกัน”

น้ำเสียงของเขาเริ่มจะติดรำคาญ หญิงสาวแอบค่อนขอดเขาในใจ อิตาบ้า มาเหน็บฉันทำไมเนี่ย



"คุณรู้จักฉันด้วยเหรอคะ”



“รู้สิ คุณดังออกจะตาย ทำไมผมจะไม่รู้จัก เอางี้แล้วกัน ผมจะขับรถไปส่งคุณที่บ้าน หรือจะให้ผมขับรถคุณไปก็ได้ แต่คุณอย่าขับรถเองเลย มันอันตราย”



คำพูดยืดยาวไม่ได้ทำให้เธอไว้ใจเขาได้ง่ายๆ หญิงสาวตัดสินใจยืมโทรศัพท์เขาโทรหาพี่กะทิ หัวหน้าวง ที่เพิ่งแยกกันไม่นานให้กลับมารับหล่อน แต่พี่กะทิปิดเครื่อง สงสัยคงนอนแล้วแน่ๆ



แล้วนี่หล่อนจะทำยังไงดี



ชายหนุ่มเห็นแบบนั้น ก็ควักเอาบัตรประชาชนออกมา ยื่นให้หล่อนดู และยื่นปกซีดีอัลบั้มแรกของเขาให้หล่อนดูอีกด้วย

“ผมชื่อนัทธ์ หัวหน้าวง Night Knight สังกัดเดียวกับคุณ อายุ28ปี โอเคหรือยัง หรือคุณจะโทรให้ตำรวจมาก็ได้นะ ตอนนี้ก็รีบๆตัดสินใจมา ผมง่วงแล้ว”



น้ำตาลแอบค้อนเขาเล็กๆ ก่อนจะตัดสินใจ



“งั้นก็ช่วยขับรถของฉันไปแล้วกัน”



ได้คำตอบแบบนั้น เธอจึงยอมให้เขาขับรถของเธอไปส่งที่คอนโดที่พัก



“ขอบคุณมากนะคะ” หญิงสาวขอบคุณเขาอีกครั้ง หลังจากที่เขาลงจากรถของหล่อน



“ไม่เป็นไร ทางที่ดีก็ทำงานรู้จักรักษาสุขภาพบ้าง เกิดเป็นลมล้มคาเวทีขึ้นมาละอายชาวบ้าน”



พูดจบเขาก็เดินหายไปในความมืด โดยที่หญิงสาวได้แต่กัดริมฝีปากและยกมือขึ้นเหมือนอยากจะทุบผู้ชายปากเสีย



เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาแผดเสียงร้องจนชายหนุ่มเอาหมอนมาปิดหน้า แต่เสียงนั้น ก็ยังดังรบกวนโสตประสาทหูของเขาอย่างที่สุด สุดท้าย นัทธ์ก็เอื้อมมือไปกดปิดทันทีที่เห็นชื่อผู้จัดการส่วนตัวของเขา แต่เสียงโทรศัพท์ภายใน ก็ดังขึ้นทันทีที่เขาปิดมือถือ นัทธ์จำใจที่จะต้องยกหูขึ้น



“ยังไม่ถึงเวลานัดนี่นา พี่ชิต”



เขางัวเงียใส่ผู้จัดการส่วนตัว



“เออ แต่นายต้องรีบมาบริษัทด่วนจี๋ ตอนนี้ฉันจะถูกป๋าบีบคอตายแล้ว”



“อะไรอ่ะ แค่ประชุมแผนโปรโมต เออๆ เดี๋ยวผมจะรีบไปแล้วกัน สิบนาทีนะ”



เดินเข้าบริษัท ทุกคนที่นั่น มองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ทุกสายตา เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขามองอย่างงงๆ พี่ชิต ผู้จัดการส่วนตัวของวงเขา รีบเดินมาหาเขาด้วยท่าทางเคร่งเครียด



“นัทธ์ ไปหาป๋ากับพี่หน่อย มีเรื่องด่วน ท่านอยากคุยด้วย”



ชายหนุ่มทำสีหน้าเบื่อหน่าย คงจะเรียกไปคุยเรื่องข่าวของเขาก่อนอีกแล้วสินะเนี่ย ก่อนหน้านี้เค้าโดนเรียกเข้าห้อง “เย็น” ไปสองสามครั้งแล้ว ครั้งแรกก็ ที่เขาโดนเรื่องข่าวเกย์ นักข่าวพาดพิงแบบอักษรย่อ เขาเลยเหวี่ยงใส่พวกนั้นจนถูกพูดถึงในเรื่องความก้าวร้าว หาว่าเป็นแบดบอย สรุปว่าตัวเขาเป็นเกย์หรือเป็นแบดบอยกันแน่วะ



ครั้งนี้คงไม่พ้นเรื่องเดิมๆ



นัทธ์เปิดประตูเข้าไป ก็พบว่าน้องๆในวงของเขา ทั้งมิ้นท์ จูน และเวย์ นั่งสงบเสงี่ยมเจี๋ยมเจี้ยมอยุ่ที่โซฟาหน้าโต๊ะทำงานของท่านประธานบรรพตหรือ ป๋า ที่ทุกคนในบริษัทนี้เรียกกัน ส่งสายตาว่า พี่ไม่รอดแน่มาให้เขา ชายสูงวัยกำลังนั่งมองหนังสือพิมพ์บันเทิงฉบับหนึ่งอย่างเคร่งเครียด เขาไม่เคยเห็นประธานบริษัทเป็นแบบนี้มาก่อน ชายหนุ่มเหลือบมองไปที่โซฟาก็พบกับหญิงสาวที่เขาช่วยเหลืออยู่เมื่อคืน



“อ้าว คุณ เจอกันก็ดีแล้ว เมื่อคืนลืมทวงค่าแท็กซี่ โห มันพาไปอ้อมซะไกลโพ้น นี่เป็นเพราะผมเผลอหลับนะเนี่ย ไม่งั้นค่าแท๊กซี่มันไม่แพงแบบนี้”



เง่อ เจอหน้ากันก็ทวงเงิน หล่อนไม่เคยพบเคยเจอผู้ชายแบบนี้มาก่อน ส่วนใหญ่จะช่างเอาอกเอาใจ พูดจาไพเราะเหนาะหูกับหล่อนเสมอมา



เขามาจากดาวดวงไหนเนี่ย



“ทั้งหมดก็ 220 นี่ไม่รวมภาษีนะ เอามา”



พูดจบ เขาก็แบมือมาตรงหน้าหล่อน



ท่านประธานถึงกับอ้าปากค้าง ไม่คาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้ตรงหน้าเขา และก่อนที่จะเอ่ยอะไรออกมา ประตูห้องทำงานของเขาก็ถูกผลักเข้ามาอย่างไม่เกรงใจ



ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร เพราะไม่มีใครที่จะไร้มารยาท(ซึ่งก็ไม่เคยมีอยู่แล้ว) เรย์ ลูกสาวคนเล็กของเขานั่นเอง



“ป๋า ป๋าจะทำแบบนี้กับน้ำตาลไม่ได้นะคะ ป๋าต้องฟังเรย์ก่อน ป๋าอย่ากล่าวหาน้ำตาลแบบไม่มีหลักฐานเด็ดขาด ไม่งั้นเรย์จะโกรธป๋ามากที่สุด”



เรย์ หนึ่งในนักร้องวงเฟรช และอีกหนึ่งฐานะคือลูกสาวของประธานบริษัท ออกโรงเล่นงิ๊วปกป้องน้องคนเล็กของวงอย่างสุดเดช ไม่รอช้าที่อีกสองสาวคือกะทิหัวหน้าวงและแคลก็ออกมาร่วมด้วยช่วยกัน น้องๆทั้งสามของวง Night Knight เมื่อเห็นวงสาวๆเขาปกป้องกัน ก็รีบดีดตัวผุงถลามาปกป้องพี่ชายบ้างทันควัน เสียงหลายเสียงปนกันจนฟังไม่ได้ศัพท์เสียจนท่านประธานว๊ากลั่น



“โว้ยยยย หยุดโวยวายกันเสียที เอ้า แล้วเอาไปดู”



พูดจบ ท่านบรรพตก็เอาหนังสือพิมพ์โยนใส่พวกโทรโข่ง ทั้งหมดแย่งกันอ่านหนังสือพิมพ์ พอเห็นภาพข่าวเท่านั้น ทางฝั่งชายหนุ่ม ถึงกับร้องออกมาด้วยคำผรุสสวาทพร้อมกัน



“...บหายยย”



ส่วนสาวๆ เรย์และกะทิอุทานออกมาพร้อมกัน



“ตาเถร!!!”



สาวแคล ออกจะอินเตอร์ตามพื้นฐานดั้งเดิมที่เธอมี



“โอมายก๊อดดดด”



และข้อความที่ทำให้ทั้งหมดอยู่ในอาการช๊อคก็คือ



ช็อควงการ นัทธ์นักร้องหนุ่มหน้าใหม่ก่อไฟรักกับน้องเล็กแห่งวงเฟรชในรถส่วนตัวกลางดึก



และภาพที่ประกอบคำบรรยายนั้นก็คือภาพของชายหนุ่มและหญิงสาวที่ส่อไปในทางล่อแหลม แทบทุกภาพ เหมือนกับหล่อนและเขากำลังพลอดรักกันอย่างหวานฉ่ำ ตั้งแต่ที่ลานจอดรด จนมาถึงรถของเขาทีเดียว



“นัทธ์หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธสุดขีด คว้าหนังสือพิมพ์โยนลงพื้นก่อนจะกระทืบอย่างแรง



“โว้ยยย แม่งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ “



ส่วนน้ำตาลถึงกับหน้ามืด หงายหลังไปให้พี่ๆในวงรับแทบไม่ทัน



หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งห้องก็เหลืออยู่แค่สามคน คือท่านบรรพต นัทธ์ และน้ำตาล ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องถูกกันออกไป ซึ่งก็ออกไปจริง แต่ก็ออกไปอยู่หน้าห้อง เอาหูแนบประตูคอยแอบฟังอย่างใจจดใจจ่อ



นัทธ์เอามือกอดอก หมุนเก้าอี้ไปมา ตาลอย ส่วนน้ำตาลก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น



โรคประสาทคงใกล้ถามหาเขาเต็มทนแล้ว



“นัทธ์ ช่วยหยุดหมุนเก้าอี้ซักที น้ำตาล หยุดร้องไห้ก่อน แล้วอธิบายความจริงมา”



นัทธ์จ้องมองท่านบรรพตก่อนจะถาม



“ถ้าผมเล่าแล้ว ป๋าจะเชื่อเราสองคนไหม”



ชายสูงวัยกอดอกเอนหลังพิงเก้าอี้ ก่อนจะสบตากับชายหนุ่มตรงหน้า



“ฮือ ป๋า คือว่า ฮืออ น้ำตาลไม่ได้ ฮืออ ฮือออออออ”



หญิงสาวพยายามจะเล่าแต่หล่อนก็สะอึกสะอื้นจนชายหนุ่มรำคาญ



“ถ้าไม่หยุดร้องไห้ก็อย่าเล่าอะไรเลย แล้วก็ช่วยไปนั่งไกลๆ ผมกับป๋า ผมเล่าไม่รู้เรื่อง”



เขาเอ็ดผู้หญิงข้างๆ ก่อนจะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้กับท่านบรรพตฟัง



บรรพตมองชายหญิงตรงหน้าอย่างพิจารณาอีกครั้ง เขาเป็นผู้ปลุกปั้นและดูแลสองวงนี้มาโดยตลอด โดยเฉพาะหญิงสาว เขาเห็นหล่อนตั้งแต่อายุ13-14 จนตอนนี้ ล่วงเลยมากว่าสิบปีแล้ว ใจนึง เขาก็รู้สึกสงสารทั้งคู่ แต่อีกใจ เขาต้องหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด วงของนัทธ์เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน เรื่องราวข่าวแย่ๆ ก็มีมากพอจนทำให้เขาอยากจะกินอย่าแก้ปวดหัววันละกล่องอยู่แล้ว วงของนัทธ์เป็นศิลปินกลุ่มฝีมือดี เขาไม่อยากให้เรื่องนี้มาทำให้กระแสของพวกเขาที่กำลังมาแรงตกลงไป ส่วนวงเฟรช แม้จะดังอยู่แล้ว แต่ถ้าข่าวเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไปมากเท่าไหร่ ภาพพจน์ดีๆที่น้ำตาลสะสมมา มันก็จะหายไป และเธอจะติดลบในวงการ



“ขอป๋าคิดหน่อย ว่าจะแก้ไขยังไง ออกไปพักกันก่อนแล้วกัน มีอะไรคืบหน้าแล้วป๋าจะให้คนไปบอก”



เมื่อพ้นประตูห้องออกมา นัทธ์ส่งสายตามองหาน้องๆ แต่ก็ไม่พบใครอยู่หน้าห้อง เขาเดินเคียงคู่กับคู่กรณีไปตามทางเดิน เสียงสะอื้นของหล่อนมันรบกวนระบบความคิดของเขาจนต้องหันมาถาม



“เมื่อไหร่จะหยุดร้องซักทีเนี่ย ผมไม่ได้ปล้ำคุณซักหน่อย”



“ฉันเสียใจนี่ หมดกันแล้ว สิ่งที่ฉันทำมาโดยตลอดหลายปี คุณรู้ไหมว่า กว่าฉันจะมาถึงจุดนี้ได้ ฉันต้องผ่านอะไรมาบ้าง ฉันต้องอดนอน ซ้อมเต้น ต้องสละอะไรอย่างเพื่อที่จะได้เป็นนักร้อง” หล่อนร้องไห้ไป พูดไป ชายหนุ่มอึ้ง จริงสินะ เธอต้องผ่านอะไรมามากมาย กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เขาไม่ควรสงสัยกับความเสียใจของหล่อน นัทธ์ถอนหายใจ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงออกมายื่นให้



“เช็ดซะ ตอนนี้ความน่ารักคุณลดเหลือครึ่งเดียวแล้ว”



น้ำตาลมองหน้าเขา ก่อนจะรับผ้าเช็ดหน้ามาไว้



“ผมว่าเราไปปรึกษากันเถอะ ว่าจะแก้ไขเรื่องนี้ยังไง ถือว่าช่วยป๋าคิดอีกทางแล้วกัน ห้องซ้อมของผมอยู่ชั้นล่างนี่เอง ไปเถอะ”

เมื่อถึงห้องซ้อม ก็พบว่า สมาชิกของทั้งสองวงอยู่ที่นี่กันก่อนหน้านี้แล้ว



“พอดีผมเห็นว่ามันใกล้ เลยชวนพวกเธอมานั่งคุยกันห้องนี้ครับ”



เวย์ลุกขึ้นบอกพี่ใหญ่ในวง ก่อนจะแนะนำตัวกับน้ำตาลเป็นครั้งแรก



“หวัดดีครับ ผมชื่อเวย์ ยินดีที่ได้รู้จักนะฮะ แม้จะในสถานการณ์ไม่ค่อยดี”



“เราชื่อจูน”



ชายหนุ่มตัวสูงผอม ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว บอกชื่อพียงสั้นๆ ก่อนจะสนใจเบสในมือ ไม่สนใจกลุ่มคนตรงหน้าอีก



“ผมชื่อมิ้นท์ฮะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะฮะ”



ชายหนุ่มหน้าใส กล่าวทักทายอย่างยิ้มแย้ม ก่อนจะหันมายิ้มกว้างให้กะทิ และนั่นก็ทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ



ไอ้เด็กนี่มายิ้มให้ฉันทำไมกัน



“หิวน้ำกันไหมครับ เดี๋ยวผมออกไปซื้อให้”



มิ้นท์พูดกับทุกคน แต่ก็ยังปรายตามาที่หัวหน้าวงเฟรช กะทิรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมาเฉยๆ กับสายตาหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่า บอกตัวเองว่า ให้เลิกสนใจ แล้วเธอก็ลุกขึ้นเดินไปที่กลองชุด มองดูมันอย่างสนใจ



“ขอน้ำส้มให้พวกเราแล้วกันค่ะ”



น้ำตาลบอกเสียงเรียบ



“ไม่ต้องไปหรอกมิ้นท์ พี่ไปเอง เบื่อ อยากไปเดินเล่นด้วย”



นัทธ์ลุกขึ้นพร้อมกับขันอาสา เขายังคิดอะไรไม่ออก ได้เดินออกไปซื้อของ อาจจะทำให้ได้ไอเดียอะไรดีๆ



เขาหันมาแอบมองสาวๆ ทั้งสี่คนก่อนจะแอบหมั่นไส้เล็กๆ



แหมโว้ย น้ำยังกินน้ำนางเอก



เขาเดินออกไปเรื่อยๆ จนมาถึงหน้าตึก กำลังจะย่างเท้าออกไปก็ต้องผงะถอยเข้ามาแทบไม่ทัน เพราะกองทัพนักข่าวกรูกันเข้ามาหาเขาราวกับหมาล่าเนื้อ

******************************************************
แวะเอานิยายเรื่องใหม่มาให้ขำ เอ๊ย ให้อ่านกันสนุกๆนะคะ ^^ คาดว่าคงจะลืมแสนดีไปแล้ว ฮ่า ไม่เป็นไร เราจะสร้างเรตติ้งขึ้นมาใหม่ อิอิ

ขอความฮาจงอยู่ำกับท่าน



แสนดี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ก.ค. 2554, 21:32:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ค. 2554, 21:32:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1627





   ตอนที่ 2 >>
gozilar 13 ก.ค. 2554, 02:38:54 น.
ชอบบุคลิกพระเอกเรื่องนี้อะ หนุ่มยุคใหม่จริงๆ


boon 13 ก.ค. 2554, 08:18:45 น.
รอลุ้น
หายไปนานนะคะ


sai 13 ก.ค. 2554, 10:15:07 น.
แสนดีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คิดถึงงงง หุหุ


posty 18 ก.ค. 2554, 11:07:16 น.
ตามอ่านกันต่อไปนะ แสน


ภานินี 21 ก.ค. 2554, 04:00:21 น.
เดี๋ยวเค้าแต่งบอยแบนด์มาคู่กันดีกว่า
รออ่านนะจ๊ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account