ระบำรักซาตาน

Tags: เทพบดี,คุณเทพ,หนูทิพย์

ตอน: ปฐมบท

ระบำรักซาตาน....โดย บุริกา

ปฐมบท

จันทร์เสี้ยวในคืนแรมแม้จะไม่สว่างนัก แต่หญิงสาวซึ่งประคองสอดแขนเข้ารั้งเอวชายหนุ่มคนหนึ่งไว้ ก็ยังพอมองเห็นเส้นทาง และสามารถพาผู้ชายตัวสูงใหญ่เดินกึ่งวิ่งเซแซดเพราะน้ำหนักตัวเขา ก่อนทั้งคู่จะวิ่งลัดตัดผ่านเข้าไปในป่ารก

ทิพย์อัปสรแม้จะรับรู้ถึงความเหนียวเหนอะ จากเลือดเขาที่แทรกผ่านเสื้อจนกระทบกับปลายนิ้วที่กอดเอวเขาอยู่ แต่เธอก็ยังแข็งใจพยายามขยับร่างของทั้งคู่ เข้าซอกลึกและหนาแน่นที่สุดของพุ่มสาบเสือ พลางดึงชายหนุ่มให้นอนลงเคียงกับตนเอง แล้วทำตัวให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้

เสียงกลุ่มคนที่วิ่งไล่ล่าดังมาให้ได้ยิน ก่อนจะกลายเป็นตะโกนโหวกเหวกอยู่ไม่ห่างจากจุดที่ซ่อนอยู่ ทำให้เธอต้องกอดเขาไว้แน่นอย่างลืมตัว ความตกใจทำให้หญิงสาวกลั้นลมหายใจหอบถี่หนักหน่วงของตัวเธอ

เองเพราะกลัวคนด้านนอกจะได้ยิน แต่เวลาที่คล้ายจะผ่านไปอย่างเนิ่นนานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ของการรอคอยก็ผ่านพ้น เมื่อคนที่ไล่ตามวิ่งกรูผ่านไปจนได้

“ช่วยผมหรือทิพย์ ทำไมคุณไม่ปล่อยให้ผมตายไป”

จู่ๆชายหนุ่มที่นอนพิงศีรษะกับอกเธออยู่ก็เอ่ยเสียงแหบออกมาจนหญิงสาวเป็นฝ่ายสะดุ้งแล้วตะปบปากเขาแน่น

“เงียบเดี๋ยวนี้เลยนะ”

ทิพย์อัปสรตวาดเสียงขุ่นทั้งหายใจหอบถี่ แต่หญิงสาวก็กดศีรษะเขาไว้กับอกของเธอเองเหมือนลืมตัว จนคนที่นอนอยู่ชิด ต้องดึงมือบางนั้นออกจากปากของเขาเอง

“เมื่อสองชั่วโมงก่อนคุณยังบอกว่าเกลียดผมไม่ใช่หรือทิพย์”

“ฉันบอกให้เงียบ! ก็ได้ฉันเกลียดคุณ พอใจแล้วใช่มั้ย”

หญิงสาวกระแทกเสียงห้วน แต่ฝ่ามือเล็กกลับโอบร่างแกร่งนั้นไว้แน่นด้วยความห่วงใย เธออาจจะปากแข็งแต่หัวใจที่เต้นหนักๆด้วยความเหน็ดเหนื่อย กลับอ่อนลงเพราะสงสารคนที่นอนหน้าเผือดอย่างที่สุด

“เกลียดผมเพราะอะไรทิพย์ ทำไมคุณจะชอบผมเหมือนคนอื่นไม่ได้”

“คุณจะให้ฉันชอบคนที่...ที่รังแกฉันยังงั้นเรอะ คุณยังมีสติอยู่รึเปล่า”

เทพบดีขยับร่างได้เชื่องช้า เพราะความเจ็บปวดจากบาดแผลก็จริงอยู่ แต่เขาก็พยายามทำจนได้เมื่อต้องการความอบอุ่นจากหญิงสาวที่นอนกอดเขาไว้แนบกับอกบนพื้นหญ้า.. ชายหนุ่มค่อยแนบหน้าลงเนินอกนุ่มก่อนวาดแขนรัดเอวคอดกิ่วของเธอไว้ขณะพึมพำเสียงสะท้านและขาดเป็นห้วง

“ผมขอโทษนะทิพย์ ผมไม่ตั้งใจจะรุนแรงกับคุณสักนิด แต่คุณก็ดื้อเหลือเกิน ผมขอคุณแต่งงานแต่คุณก็ไม่ยอม ในเมื่อผมรู้ว่าตัวเองจะตายอยู่รอมมะร่อผมก็อยากจะชื่นใจสักครั้ง ขอดีๆคุณก็ไม่ให้แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง”

“คุณเลยข่มเหงฉันเพื่อสนองตัณหาตัวเองงั้นสิ”

“ทิพย์..จริงอยู่ผมอาจจะใช้กำลัง แต่ผมก็ไม่ได้รุนแรงกับคุณมากไม่ใช่หรือ”

ทิพย์อัปสรได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วของเขา ก็เกิดความอับอายจนเธอต้องทุบกำปั้นลงบนแผงอกกว้าง ก่อนจะชะงักเมื่อร่างสูงนั้นสะดุ้งเฮือกอย่างเจ็บปวด...บาดแผลจากกระสุนบนอกเขามันอาจจะอยู่ค่อนไปทางไหล่ แต่
ในเมื่อเธอทุบมั่วๆไปอย่างนั้น มันก็ยังสร้างความเจ็บให้กับเขาจนได้

หญิงสาวหลุบตาต่ำ เมื่อไม่ต้องการสบกับดวงตาคู่นั้นของเขา เธอรู้ว่าเทพบดีมีคุณสมบัติพิเศษตรงที่
ชายหนุ่มสามารถใช้สายตาบังคับหรือออดให้ใจอ่อนกับใครๆก็ได้ และดูเหมือนมันก็ไม่เว้นสำหรับเธอเช่นกัน
ทิพย์อัปสรถอนหายใจอย่างอ่อนล้า เมื่อคิดตามคำพูดของชายหนุ่ม..มันอาจเป็นความจริงอย่างที่เขาพูดเสียด้วยและเธอต่างหาก ที่ไม่ยอมรับความจริงเรื่องที่ถูกเขารังแกเอาเมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา

ร่างสูงใหญ่หนาหนักที่ทาบทับอยู่เบื้องบนพร้อมกดตรึงเธอไว้ทั้งร่างในขณะที่เขาแทรกความแกร่งกร้าวเข้าหาเธอครั้งแล้วครั้งเล่า จากการกระทำที่รุนแรง จนเรียกน้ำตาของเธอให้ไหลหลั่งออกมาเพราะความตกใจและเจ็บปวดในเบื้องต้น กลายเป็นเชื่องช้าและนุ่มนวลลงจนได้ และสุดท้ายเธอเองต่างหากที่เป็นฝ่ายกอดรัดเขาไว้แน่น เมื่อชายหนุ่มบรรจงกดร่างลงลึกและโยกคลึงสะโพกเนิบช้า จนเธอต้องดิ้นรนอย่างกระสับกระส่าย และสุดท้ายเขาก็มอบความสุขหวานล้ำกลับคืนมาให้จนเต็มปรี่

เธอจำได้ว่าเสียงแหบห้าวของเขาที่ดังอยู่ใกล้หูนั้นสั่งสอนและเว้าวอนปานใด ยามเร่งเร้าอธิบายความต้องการของตนเองเพื่อชี้แนะให้เธอทำตามจนสามารถเรียกเสียงครางลึกจากเขาได้หลายต่อหลายครั้ง หญิงสาวถอนหายใจยืดยาว ขณะหัวใจเต้นกระหน่ำรุนแรง เมื่อคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา นั่นเธอสามารถเรียกว่าการข่มเหงอย่างนั้นหรือ

“คุณหยุดพูดเถอะค่ะ..ฉันจำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น”

“แต่ผมจำได้นะทิพย์ จำได้ดีแล้วก็คิดว่าถึงตอนนี้ตัวเองต้องตาย ผมก็คงตายอย่างมีความสุข”

เขายังคงพูดอ่อนโยนดังเดิม ทั้งๆที่เลือดอุ่นๆยังไหลจากบาดแผลเป็นระยะ และทิพย์อัปสรก็เริ่มใจเสียเมื่อได้ยิน

เสียงคล้ายข่มความเจ็บปวดของเขา

“ทิพย์ คุณทิ้งผมไว้ที่นี่แล้วคุณก็ออกไปหาพี่ชายของคุณเถอะ”

“ถึงฉันไม่ชอบคุณ แต่ฉันก็ไม่ใจร้ายพอจะทิ้งคนใกล้ตายหรอกนะ”

เธอแวดเขาแล้วเริ่มขยับตัวแต่นั่นเพราะชายหนุ่มเป็นคนที่ดันร่างของเธอให้ห่างต่างหาก

“อย่าอยู่ที่นี่เลยทิพย์ ถ้าพี่คุณมาเห็นคุณเองที่จะเดือดร้อน”

“ไม่นะคุณเทพบดี ถึงยังไงเราก็ต้องไปด้วยกัน”

“ผมจะไปคนเดียว”

มือแข็งที่ผลักเธอออกห่างพร้อมร่างของชายหนุ่มที่ลุกนั่ง ทำให้ทิพย์อัปสรต้องลุกตามก่อนจะรั้งแขนเขาไว้แน่น
แต่แล้วหญิงสาวก็ใจแป้วเมื่อเธอมองสบกับตาดำกริบในความมืดที่เกือบไม่เห็น..แม้จะเลือนรางแต่แววตาเขาก็
ช่างทอแววห่างเหินและอำมหิตจนหญิงสาวรับรู้ได้พอๆกลับเสียงห้วนที่เขาเอ่ยตามมา

“อย่าตามผมมานะทิพย์ ไม่อย่างนั้นผมฆ่าคุณแน่”

มือบางร่วงผล็อยจากต้นแขนที่เคยกอดรัดเมื่อไม่นานนี้ แล้วทิพย์อัปสรก็น้ำตาตกเป็นครั้งแรก เมื่อร่างสูงของเทพบดีลุกยืน ก่อนชายหนุ่มจะเริ่มเดินเซซังออกห่างเธอไปเรื่อยๆ



บทที่ 1



ห้องประชุมขนาดใหญ่ของทีอาร์มอเตอร์ บริษัทนำเข้ารถยนต์ระดับหรูของประเทศ บัดนี้ได้ถูกดัดแปลงจนกลายเป็นห้องจัดเลี้ยงประจำปี...แสงไฟหลากสีกะพริบพร่าง และส่องตรงไปกลางเวที ทำให้เห็นหญิงสาวหกคนในชุดสีทองอลังการวูบวาบกำลังร่ายลีลาการเต้นเรียกสายตาจากพนักงานทั้งหนุ่มและสาวให้มองตาแทบไม่กระพริบ

ทิพย์อัปสร นพนันท์ คือหนึ่งในนักเต้นเหล่านั้น หญิงสาวมาจากครอบครัวฐานะปานกลาง ซึ่งไม่ได้ทุกข์ยาก ขนาดต้องออกมาหางานทำพิเศษเหมือนที่ใครบางคนคิด แต่ความรักในการเต้นรำที่มีมาตั้งแต่เด็กประกอบกับการถูกชักชวน ทำให้เธอและเพื่อนร่วมกลุ่มกันเพื่อรับงานพิเศษในบางครั้ง

ดวงตายาวรีดำขลับมองลงไปด้านล่าง ซึ่งขณะนี้เธอแทบจะมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เนื่องจากไฟแทบทุกดวงในหอประชุมขนาดใหญ่ส่องตรงมาที่เวทีเป็นจุดเดียว หญิงสาวเห็นแล้วก็อดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้เมื่อคิดว่า จะมีคนสักกี่คนที่รู้ว่า ผู้หญิงซึ่งกำลังเต้นรำเหล่านี้ แทบจะไม่ต่างกับผีเสื้อที่ถูกขังอยู่ในโดมแก้ว ...เห็นเท่าที่เห็น...ได้ยินเท่าที่ได้ยิน..นอกนั้นเธอทุกคนต่างไม่รับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น นอกจากการเต้นและเสียงเพลง รวมทั้งแจกรอยยิ้มไปเบื้องหน้าเท่านั้น

เสียงเพลงจบลง พร้อมกับเรือนร่างอรชรทั้งหมด หายไปจากหน้าเวทีเรียกเสียงปรบมือเกรียวกราว แต่หลังจากนั้น ทั้งหกสาวที่เพิ่งวาดแขนส่งท้ายอย่างอ่อนช้อย กลับวิ่งวุ่นกันอยู่ในห้องด้านหลัง ราวไม่ใช่คนที่เคยตีหน้าสวยอยู่เมื่อครู่

“ทิพย์เห็นพู่ขนนกเรามั้ย”

“เพลงต่อไปใส่ชุดไหนน่ะทิพย์”

“รองเท้าล่ะทิพย์พวกเราจะใส่แบบไหนดี”

“โอ๊ย...ฉันเบื่อพวกแกเป็นบ้า ทำไมต้องถามฉันตลอด ไอ้ที่พูดออกมาน่ะมันเป็นของส่วนตัวของพวกแกนะ แล้วเรื่องชุดกับเพลงนั่นอีก เราตกลงและวางแผนกันมาก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่รู้จักจำ แล้วก็เก็บของใช้ตัวเองให้เป็นที่เป็นทางกันบ้างสิ ฉันไม่ใช่คนใช้ของพวกหล่อนนะยะ”

หญิงสาวที่ยืนเท้าเอวหมับก่อนจะร่ายยาวเป็นชุด ทำให้สาวๆอีกห้าคนในกลุ่มต้องตีหน้าเจื่อน แต่มันก็เป็นเพียงครู่เดียวเหมือนเดิม เพราะหลังจากทุกคนตีหน้าเศร้าราวสำนึกผิดไม่เกินห้าวินาที ใบหน้าของสาวแต่ละ
คนก็เริ่มมีรอยยิ้ม ก่อนจะพูดอ้อนคนที่ทำท่าเหมือนโกรธอยู่นั่น

“เหอะน่า ขอให้ผ่านงานนี้ไปก่อนนะทิพย์ พวกเราจะจัดระเบียบใหม่ คราวนี้จะเอาให้เนี้ยบไปเลย”

“ใช่ พวกเราสัญญานะทิพย์”

“อย่าโม้ดีกว่ายายภา ฉันเห็นแกพูดแบบนี้มาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ไปโน่นเลยรองเท้าแกอยู่ในกล่องสีดำโน่น”

ทิพย์อัปสรพูดพลางก็ชี้นิ้วหมับก่อนจะหันไปเปลี่ยนชุดตัวเองอย่างร้อนรน แต่เสียงประกาศมอบเกียรติบัตรพนักงานดีเด่นที่เริ่มต้นขึ้น ทำให้หญิงสาวต้องลอบถอนใจแผ่วยาวเหมือนโล่งอก..นี่ยิ่งกว่าระฆังช่วยชีวิต เพราะยังดีที่มีรายการคั่น ไม่อย่างนั้นพวกเธอคงได้วิ่งกันเป็นลิง

“ต่อไปเป็นการประกาศผลพนักงานดีเด่นซึ่งทำยอดขายได้ทะลุเป้า และเราอยากจะแจ้งข่าวดีว่า ปีนี้นอกจากจะได้เดินทางไปพักผ่อนที่ยุโรปแล้ว ท่านประธานยังใจดีมอบพ็อกเก็ตมันนี่ให้ด้วย ช่วยปรบมือขอบคุณท่านหน่อยครับ...”

สิ้นเสียงโฆษกหนุ่ม ภายในห้องประชุมก็ปรบมือกราว แต่เมื่อหกสาวซึ่งอยู่หลังเวทีได้ยินเสียงนั้น ทุกคนต่างอ้าปากหวอและทำโตกันเป็นแถว

“หูย พวกนี้โชคดีเป็นบ้า ฉันอิจฉาจังเลยนะเนี่ย”

“งั้นแกก็หมายตาบริษัทนี้ไว้เลยสิ พอเรียนจบโทแกก็เข้ามาทำงานที่นี่ เผื่อจะได้ไปเที่ยวกับเค้าบ้าง”

รุจิภาเอ่ยขึ้นทั้งมองเพื่อนขวางๆเหมือนหมั่นไส้ ซึ่งอีกฝ่ายก็เถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้

“พูดเป็นบ้านังภา แกก็รู้ไอ้บริษัทนี้เราเข้าได้ที่ไหน เพราะมันคนละเรื่องกับที่ฉันเรียนมาเลยนะแก”

“โอ๊ยไม่เห็นยากก็หัดเอาสิ มันจะยากอะไรนักหนากับการขายรถน่ะ”

“ฉันพูดไม่เก่งนี่ อีกอย่างไม่ชอบด้วยถ้าต้องไปยืนชักชวนให้คนอื่นมาซื้อของ ฉันชอบทำงานนั่งโต๊ะมากกว่า”

นารถนุดีตอบเสียงอ่อยเหมือนคนไม่มั่นใจในตัวเอง แต่ในช่วงที่ทุกคนถกเถียงรวมทั้งแต่งเนื้อแต่งตัวกันอยู่นั้น เสียงเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ซึ่งรับหน้าที่เป็นโฆษกให้งานก็ดังขึ้นอีกครั้ง และทำให้การโต้เถียงของสาวๆต้องหยุดลงไป เนื่องจากพากันตะแคงหูด้วยเพราะความอยากรู้

“ขอโทษทุกคนด้วยนะครับ ท่านประธานยังเดินทางมาไม่ถึง เราคงต้องรอสักครู่ เวลานี้ขอเชิญทุกคนออกมาร่วมสนุกที่หน้าเวทีเลยนะครับถือว่าเป็นการคั่นเวลา เชิญเลยนะครับ..”

สาวนักเต้นเกือบทุกคน ยิ้มออกมาได้เมื่อรู้ว่ามีเวลาอีกนิดหน่อยเพื่อต่อชีวิต แต่ทิพย์อัปสรกลับเบิกตากว้างเหมือนตกใจอยู่คนเดียว ก่อนหญิงสาวจะอุทานออกมาเสียงเครือ

“ฉันตายแน่คราวนี้”

“ทิพย์แล้วแกจะกลับบ้านทันหรือเปล่าเนี่ย แกบอกพ่อกับแม่ไว้ว่าจะกลับสี่ทุ่มไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ นั่นนะเป็นเวลาที่ฉันเผื่อไว้เรียบร้อยแล้วด้วย ถ้าเราต้องมารออะไรนี่อีก ฉันกลัวจะไม่ทันเอานะสิ”

“ใจเย็นน่าทิพย์ เขาคงไม่ช้าเท่าไรหรอก อย่างมากก็ไม่น่าเกินครึ่งชั่วโมง รับรองแกกลับบ้านไปฉลองวันเกิดกับพ่อแม่ทันแน่ๆ”

“ฉันให้แค่ครึ่งชั่วโมงนะภา ถ้านานกว่านั้นฉันจะกลับก่อน พวกแกเต้นกันเองก็แล้วกัน”

“เออน่า วันเกิดเพื่อนทั้งทีพวกเราไม่ดึงแกไว้หรอกทิพย์ ขืนดึงไว้เดี๋ยวความลับก็แตกเท่านั้น”

หญิงสาวค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้างหลังได้ยินเพื่อนพูด สาเหตุก็จากเธอกลัวความลับจะแตกจริงๆนั่นแหละ เพราะการรับงานด้วยการเต้นนี้ พ่อกับแม่เธอไม่รู้สักนิด ถ้าเผื่อพ่อแม่เธอจับพลัดจับผลูรู้ขึ้นมาเมื่อไหร่ มันก็หมายความว่าเธอเป็นอันจบ

แต่หลังจากหญิงสาวรอแล้วรอเล่าเพื่อจะเต้นปิดรายการ มันก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ทิพย์อัปสรซึ่งตอนแรกๆก็นั่งนิ่งอยู่ได้เป็นปกติ เธอก็กลายเป็นลุกขึ้นยืนกอดอกอย่างกระสับกระส่าย...สุดท้ายร่างเพรียวที่เดินเป็นเสือติดจั่นอยู่ในห้องแคบๆ ก็ทำให้เพื่อนสาวต้องเอ่ยออกมาเมื่อทนไม่ไหว

“ไปเถอะทิพย์ เดี๋ยวทางนี้พวกเราจัดการกันเอง แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะทิพย์นะ”

“ขอบใจมาก นึกว่าพวกแกจะไม่พูดคำนี้ออกมาแล้ว”

ทิพย์อัปสรถอนใจเฮือกแล้วยิ้มกว้าง ก่อนวิ่งถลาออกจากห้องหลังเวทีทันควัน ความรีบเร่งทำให้เธอวิ่งเร็วจี๋ทั้งชุดแดนเซอร์นั้น เพราะหมายจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่รถ..หญิงสาวกระหืดกระหอบไปตามทางเดินยาว
ซึ่งเป็นช่วงกลางของตึกและกั้นห้องต่างๆ โดยขณะที่วิ่งนั้นเธอก็รั้งชายชุดยาวรุ่มร่ามไปด้วย

ท่ามกลางทางเดินที่สว่างพอประมาณ เสียงรองเท้าส้นสูงที่ดังกระทบพื้นเป็นจังหวะรัวเร็ว ทำให้ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังก้าวยาวๆต้องหยุดชะงักไปเป็นครู่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจหลบพ้นหญิงสาวที่เลี้ยวมุมและวิ่งตีโค้งเข้าหา พร้อมดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด

“พลั่ก”

“โอ้ย”

ร่างเล็กกว่าผงะหงายหลัง ก่อนอุทานซ้ำทั้งหน้าตาบิดเบี้ยวเมื่อสะโพกกระแทกลงกับพื้นเต็มแรง ใบหน้าซึ่งแต่งไว้เข้มจัดเงยมองขวับ ก่อนหญิงสาวจะเผยอริมฝีปากค้าง เมื่อเห็นคนที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าอย่างเต็มตา

ทิพย์อัปสรต้องขยี้ตาซ้ำเพราะสงสัยว่า สิ่งที่เธอกำลังมองอยู่นั้นเป็นหุ่นหรือว่าคนกันแน่ ร่างสูงตระหง่านที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงของเขา อยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มจัดจนเหลือบดำ ดูเหมือนคนทำงานในบริษัททั่วไป แต่ดวงตาทั้งคู่บนใบหน้าขาว ซึ่งหวีผมเปิดหน้าผากกว้างนั่นต่างหาก ที่ทำให้เธอไม่มั่นใจขึ้นมา

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำไร้อารมณ์หรือความรู้สึกใดๆ ตกลงต่ำเมื่อมองเธอนิ่งไม่กระพริบ ทิพย์อัปสรเห็นเขามองเธออยู่ครู่เดียวก็ขยับร่างก่อนจะเดินพรวดๆจากไปทันที..สิ่งนี้แหละที่ทำให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนไม่ใช่หุ่นอย่างแน่นอน

หญิงสาวนั่งกระพริบตาปริบอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนอีกครั้ง พลางวิ่งซอยเท้าถี่ๆต่อไปที่ลิฟต์โดยที่เธอไม่รู้เลยว่า ร่างสูงของชายหนุ่มซึ่งกำลังเดินอยู่นั้น หยุดชะงักการก้าวแล้วนิ่งไปคล้ายคิดอะไรบางอย่าง ก่อนเขาจะก้าวช้าลงเพื่อเดินตรงไปที่ห้องจัดงาน

แค่ผู้ชายในชุดสูทคนเดิมเดินมาถึงห้อง พนักงานรักษาความปลอดภัยก็โค้งศีรษะลงต่ำ ก่อนจะเปิดประตูกว้าง และเดินนำหน้าเขาเข้าด้านใน ครู่เดียวชายหนุ่มก็ถูกแวดล้อมไปด้วยผู้จัดการแผนก ที่กรูเข้าต้อนรับจนแทบไม่เห็นร่าง...ถ้าเทพบดี แอนเดอร์ซัน สัชฌกร ไม่สูงมากขนาดนั้น เขาคงจมหายไปกับกองทัพคน ซึ่งต่างพากันปรี่เข้ามาดูแลไปแล้ว

“ท่านจะแจกใบประกาศเลยหรือจะพักสักครู่ดีครับ”

เมื่อนั่งเรียบร้อยเครื่องดื่มถูกนำมาวางตรงหน้า พร้อมเสียงกระซิบของเลขาหนุ่มก็ดังขึ้นใกล้ๆ

“แจกเลย”

เสียงห้าวทุ้มที่ตอบมา ทำให้เลขาคนสนิทต้องยืดกายขึ้น ก่อนจะยกมือนิดๆเหมือนเป็นสัญญาณ เท่านั้นพิธีการต่างๆก็เริ่มดำเนินขึ้น

“กราบเรียนเชิญท่านประธานบริหารบริษัททีอาร์มอเตอร์ มอบเกียรติบัตรให้กับพนักงานดีเด่นประจำปี เรียนเชิญครับท่าน”

เสียงปรบมือดังขึ้น เรียกความสนใจจากสาวๆหลังเวทีได้เหมือนเดิม เพราะหลังจากนั่งรอมานานจนเกิดความอยากรู้อยากเห็นว่า คนที่ทำให้รอจะหน้าตาเป็นอย่างไร สิ้นเสียงประกาศห้าสาวก็กรูกันไปยืนแอบอยู่ใกล้ๆม่าน ก่อนดวงตาทั้งหมดจะกลายเป็นเบิกตากว้างเหมือนๆกัน

“นังมด นี่เลยต้องแบบนี้ โอ้ยฉันจะเป็นลม”

“อย่าเอ็ดไปเดี๋ยวเค้าก็หันมาเห็นเท่านั้น”

รุจิภาเอ็ดเพื่อนเบาๆแต่ตัวเองกลับหันขวับเพื่อแอบมองชายหนุ่มตาปรอย

“เสียดายเนอะที่นังทิพย์ไม่อยู่ ไม่งั้นป่านนี้เราได้เมาส์กันสนุกแน่ คอยดูเถอะแกพรุ่งนี้ฉันจะไปเล่าให้มันฟังว่า มันซวยขนาดไหนที่ไม่ได้เห็นสมบัติของชาติ”

“สมบัติของชาติเลยเหรอ..อืม ดูไปดูมาก็น่าจะจริงละนะ หล่อขนาดนี้ไม่สมควรตกไปเป็นของใครคนเดียว แบบนี้มันต้องเก็บเอาไว้แบ่งกันดู”

“คุณพระคุณเจ้าช่วย อีตาคนนี้มาหมกอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ทำไมหลุดรอดสายตาพวกเราไปได้ แกเห็นด้วยหรือเปล่านังมด”

“ช่าย ฉันเห็นกับแกร้อยเปอร์เซ็นต์นังเกด อย่างนี้ฉันไม่เสียใจเลยนะที่ต้องทนนั่งรอ”

ห้าสาวยังหัวเราะคิกคัก ขณะวิพากษ์วิจารณ์ชายหนุ่มร่างสู งซึ่งยืนตัวตรงแจกใบประกาศให้กับพนักงานชายหญิงหลายคน หลังจากเสร็จเขาก็พูดให้กำลังใจ และขอบคุณอีกครั้งก่อนจะเดินหายลงไปจากเวที

ในขณะที่เทพบดีนั่งนิ่งและรับฟังรายงานพร้อมๆกับจิบเครื่องดื่มไปด้วย สายตาคมก็ตวัดกราดไปรอบเดียวเร็วๆก่อนจะแลเลยไปบนเวที ร่างสูงที่นั่งตัวตรงโน้มไปเบื้องหน้า ขณะเพ่งมองหญิงสาวห้าคนซึ่งออกมาเต้นรำไปตามจังหวะเพลงนั่น อะไรบางอย่างที่เขาเริ่มสังเกตเห็น ทำให้เทพบดีต้องหันมาหาเลขาหนุ่มข้างตัว

“คุณไปหาพวกนี้มาจากไหน”

“ท่านหมายถึง..พวกเธอหรือครับ”

“ใช่”

เขารับคำเสียงหนักขณะพิจารณาเครื่องแต่งกายของหญิงสาวเหล่านั้น

“ติดต่อผ่านอินเตอร์เน็ตครับท่าน ผมเลือกหลายแห่งเหมือนกัน แต่ดูแล้วกลุ่มพวกเธอมีผลงานที่ดี เพราะบริษัทต่างๆเคยเรียกใช้บ่อยน่ะครับ”

“พวกนี้ไม่ได้เต้นประจำตามผับใช่หรือเปล่า”

“ครับท่าน เท่าที่รู้มาพวกเธอมีงานทำกันแล้ว และบางคนก็เรียนระดับปริญญาโทอยู่บ้าง”

“ทีมหนึ่งมีห้าคนนี่นะรึ”

“เปล่าครับมีหกคน”

“แต่ผมเห็นห้า”

เสียงดุที่เอ่ยแย้งมาทำให้เลขาหนุ่มต้องหันไปบนเวทีอีกครั้ง ภัณฑารักษ์เริ่มขมวดคิ้วมุ่น เมื่อนับสาวนักเต้นบนเวทีแล้วเห็นว่าหายไปหนึ่งคน

“คุณรักษ์ ผมสงสัยว่าถ้าคนไม่ครบเหมือนที่จ้างมา คุณจะจ่ายเงินอย่างไร”

เลขาหนุ่มคิ้วเข้มตวัดตามองไปทางเวทีอีกครั้ง ก่อนจะหันมาตอบเจ้านายหนุ่มด้วยเสียงเรียบ

“ค่าจ้างทั้งหมดต้องหารหก แล้วก็หักออกหนึ่งสิครับ”

คำตอบที่ได้ทำให้ชายหนุ่มยิ้มติดมุมปากนิดๆก่อนจะพูดขึ้นทั้งดวงตาจับที่เวทีนั่น

“ไม่ต้องถึงขนาดนั้น เอาเป็นว่าผมจะจ่ายเงินค่าจ้างเต็มจำนวนก็ได้ แต่คุณช่วยเชิญคนที่หายไป มาพบผมวันพรุ่งนี้จะได้หรือเปล่า”

“ผมจะจัดการให้ครับท่าน”

เทพบดีมองกลุ่มหญิงสาวที่หายไปหลังเวที ก่อนจะหันมาสนในกับคนอื่นๆที่ร่วมโต๊ะราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ร่างสูงของเลขาหนุ่มหน้าตายที่หายออกไป ทำให้เขาอดนึกถึงสิ่งที่หมอนั่นจะจัดการไม่ได้..เขารู้ดีว่านายรักษ์นั่นมันเค็มและโหดขนาดไหน ทุกสิ่งที่เขาอยากได้เพียงแค่เอ่ยคำเดียวเท่านั้น ภัณฑารักษ์จะจัดการเอามาถวายให้แทบเท้า และรวมทั้งแม่สาวนั่นด้วย

ครั้งแรกเขาก็ไม่รู้หรอกว่าเธอเป็นใคร และเพราะความรีบร้อนนั้นแท้ๆ ทำให้เขาได้พบกับเธอในสถานการณ์ฉุกละหุก เวลาที่จะพูดคุยหรือซักถามก็ไม่มีทั้งสิ้น แต่สิ่งหนึ่งที่เทพบดีรู้ เมื่อเห็นดวงตายาวรีเบิ่งมองเขาด้วยความตกใจนั้นก็คือ ดวงตาเธอมันก่อให้เกิดกระแสไฟฟ้ารุนแรงไหลผ่านตลอดร่าง...ความคิดต่อมาที่พุ่งเข้าสู่สมองของเขาในลำดับต่อมาก็คือต้องการผู้หญิงคนนี้ คนที่อยู่ในชุดนักเต้นรำกรีดกรายราวผีเสื้อกลางคืนคนนั้น และเขาต้องการได้เธอมานอนอยู่ใต้ร่างตัวเองสักคืน





“ไม่โหดไปหน่อยเหรอคุณ แค่เพื่อนฉันมีธุระจำเป็นต้องกลับก่อน นี่ถึงกับต้องหักเงินกันเลยรึไง”

เกดนราน่าจะสติขาดผึงก่อนเพื่อนในกลุ่ม เมื่อได้ยินชายหนุ่มหน้าตายเดินมาบอกว่า จะหักเงินบางส่วนเพราะคนเต้นรำไม่ครบตามที่ตกลงกันไว้ หลังจากทุกคนในกลุ่มตกใจเธอก็แวดก่อนเพื่อนและเขาก็ตอบกลับมาด้วย
น้ำเสียงและใบหน้าเรียบเรื่อยราวไร้ความรู้สึก

“ขอโทษนะครับคุณผู้หญิง ตอนทำสัญญาผมจำได้ว่าพวกคุณบอกมีสมาชิกหกคน ผมก็เลยคิดเงินให้มากกว่าที่พวกคุณเคยได้ แต่ในเมื่อพวกคุณผิดสัญญา ผมก็ต้องหักเงินออก นี่มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องนะครับ”

“ถูกต้องบ้าอะไร ยายทิพย์น่ะเค้าก็เต้นตั้งแต่เพลงแรกคุณก็เห็น แล้วความผิดครั้งนี้มันก็มาจากคุณด้วยเหมือนกัน ความจริงพวกฉันน่าจะคิดเงินเพิ่มด้วยซ้ำ เพราะคุณต่างหากที่ทำให้เราต้องรอ ท่านประธานของคุณมาช้าเองนะคะ”

“สงสัยว่าคุณจะไม่ได้อ่านสัญญานั่น เพราะในสัญญาว่าจ้างบอกไว้ว่า เวลางานของบริษัทเราอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม และทั้งนี้ค่าจ้างจะยังคงเดิม ซึ่งจะจ่ายในอัตราสามหมื่นต่อพนักงานรับจ้างหกคน”

เกดนราได้ยินเสียงเย็นๆแล้วก็แทบจะร้องกรี๊ด ยิ่งเห็นใบหน้าเรียบสนิทเหมือนไร้ความรู้สึกนั่นเธอก็ยิ่งโมโห หญิงสาวกัดฟันแน่นเมื่อรู้ว่าพวกเธอเป็นฝ่ายพลาด แต่เมื่อไม่รู้จะสู้กับผู้ชายหน้าเลือดคนนี้แบบไหน เธอจึงเอ่ยถามด้วยเสียงห้วนจัด

“ตกลงคุณจะจ่ายเท่าไหร่”

“สามหมื่นแต่มีข้อแม้”

“ข้อแม้อะไร” ทั้งห้าสาวแทบจะพูดย้ำพร้อมๆกัน

“พรุ่งนี้ท่านประธานขอพบคนที่หายไป..ที่นี่”

“พบยายทิพย์เหรอ พบทำไม”

“ผมให้คำตอบไม่ได้เพราะไม่ใช่ท่านประธาน”

ร่างสูงเพรียวในชุดสูทเรียบกริบ หันหลังขวับเดินจากไปทันทีเหมือนหมดความสนใจ แต่เกดนรากลับต้องเป็นฝ่ายผวาเข้าคว้าแขนเขาไว้แน่นพลางอ้อนสุดฤทธิ์

“เดี๋ยวสิคะ แล้วตอนนี้คุณจะไม่แบ่งจ่ายสักนิดเหรอ”

ดวงตาเฉยเมยของชายหนุ่ม เหลือบมองใบหน้าที่แต่งไว้จนเข้มแวบหนึ่ง ก่อนจะปลดมือหญิงสาวออกและเอ่ยตอบด้วยเสียงเย็นชา

“แค่คืนเดียวไม่เป็นอะไรมั้ง..นี่มันดึกแล้วด้วย พวกคุณคงไม่จำเป็นต้องใช้เงิน”

ร่างสูงที่เดินหนีไปทำให้เกดนราอยากจะวิ่งตาม แล้วหาอะไรฟาดไปบนศีรษะได้รูปนั่นสักที หนอย เขาช่างพูดออกมาได้ว่าดึกแล้วไม่ต้องใช้เงิน ทีเธอเต้นเกือบตายไม่เห็นบ่นสักคำว่าดึก

“ทำไงดีละเกด เราจะโดนเบี้ยวหรือเปล่านี่”

“ไม่หรอกมั้งเศษเงินแค่นี้ ขนหน้าเข้งไม่กระดิกด้วยซ้ำอย่าว่าแต่ร่วงเลยแก”

เกดนราตอบเสียงห้วนกับเพื่อนสาวเพราะความหงุดหงิด ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่

“นั่นสิแต่ทำไมต้องอยากเจอยายทิพย์ด้วย แกว่าไงนังมด”

“สงสัยอยากคุยเรื่องที่หายไปละมัง เวรกรรมของเราที่มาเจอบริษัทโหดๆยังงี้”

เสียงเพื่อนสาวที่ถกเถียงและบ่นพึม ทำให้เกดนราต้องกดโทรศัพท์หาทิพย์อัปสรเมื่อไม่รู้จะจัดการอย่างไร

“ทิพย์เกิดเรื่องใหญ่แล้วนะ”

“อะไรเกด อย่าบอกนะว่าที่นั่นไฟไหม้”

“ยิ่งกว่าไฟไหม้อีกนะสิ นังทิพย์ฉันจะบอกข่าวดีให้แกรู้ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างทีอาร์มอเตอร์ไม่ยอมจ่ายเงินสามหมื่นให้กับนักเต้นอย่างเรา”

“อะไรนะ หมายความว่ายังไงนี่จะเบี้ยวเรายังงั้นเรอะ”

“มันก็ไม่เชิงนะทิพย์ เพียงแต่อีตาหน้าเย็นที่ชื่อรักษ์อะไรนั่นบอกกับฉันว่า เค้าจะจ่ายแต่จะหักส่วนของแกออก”

“หมายความว่ายังไงหักส่วนของฉัน”

“อีตาเค็มนั่นเขาเอาหกหารสามหมื่นนะสิ แล้วก็หักออกเหลือแค่ห้า เขาบอกว่าคนเต้นไม่ครบ”

ทิพย์อัปสรซึ่งนั่งกินเค้กวันเกิดที่เหลืออยู่ในห้องนอนของตัวเอง แทบจะลุกขึ้นเต้นผางเมื่อได้ยินเพื่อนสาวรายงาน ก่อนเธอจะวางช้อนแล้วอุทานลั่น

“แค่เพลงสุดท้ายเพลงเดียวนี่นะถึงกับหักเลยเหรอ มันจะมากไปละมั้ง นี่นังเกดพรุ่งนี้ฉันจะไปฉะนายรักษ์อะไรนั่นเอง บอกให้เขารอฉันได้เลยนะ”

“แกได้มาแน่เพราะเขาต้องการพบคนที่หายไป ยังไงพรุ่งนี้แกมาจัดการทีนะทิพย์ พวกเราไม่ว่างน่ะต้องไปทำงานกันอีก ขืนมัวไปตามเงินคนละห้าพันพวกฉันได้ถูกไล่ออกงานแน่”

“ได้เลย ตอนเที่ยงรับรองพวกแกได้เงินครบทุกคน”

หญิงสาวเอ่ยเสียงเครียดก่อนจะวางสายไป หลังจากนั้นเธอก็ล้มตัวลงนอนพลางคิดด้วยความสงสัยว่าทำไมถึงเกิดปัญหาขึ้นมาได้ การรับงานที่แล้วๆมาไม่เคยเลยที่จะเกิดเรื่องเหลวไหลพรรณนี้ แค่เรื่องนิดๆหน่อยๆทำไมอีกฝ่ายจึงไม่ยอมอะลุ้มอล่วย ทั้งๆที่ขาดเธอไปแค่คนเดียวก็ไม่ทำให้ทีมเดือดร้อน หรืองานเขาเสียหาย...ทิพย์อัปสรป่ายมือไปหัวเตียง ก่อนหยิบสัญญามาอ่านซ้ำอย่างละเอียด แล้วพึมพำเสียงดุเพราะโมโหสุดขีด

“บริษัททีอาร์มอเตอร์เหรอ ฉันจะจำไว้ ต่อไปอย่าหวังว่าพวกเราจะรับงานที่นี่อีก”

เธอเพิ่งเห็นว่าสัญญาฉบับนั้นทำไว้อย่างรัดกุม และตอนนี้ภัณฑารักษ์เลขาผู้รอบจัดก็ทำเอาหญิงสาวต้องล้มตัวนอนอย่างอ่อนใจ เธอไม่เคยเจอสัญญาที่มีรายละเอียดปลีกย่อยขนาดนี้มาก่อน และเพราะเหตุนั้นกว่าทิพย์อัปสรจะข่มตาให้หลับลงได้ เธอก็แทบหมดความสุขทั้งๆที่คืนนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของเธอแท้ๆ



เสียงกุกกักหน้าห้องในยามเช้าปลุกทิพย์อัปสรให้ลืมตาตื่น ร่างเพรียวระหงขยับลุกขึ้นนั่งพลางเพ่งมองไปที่ประตูด้วยสายตาหวาดระแวง ครู่เดียวหญิงสาวก็ก้าวโหย่งๆไปหยิบไม้เบสบอลพาสติคมาจากมุมห้องก่อนย่องไปแอบข้างประตู เธอนิ่งฟังอยู่ชั่วครู่ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นอีกครั้ง เท่านั้นหญิงสาวก็กระชากประตูเปิดกว้าง และทำให้ร่างหนึ่งถลาเข้ามา หญิงสาวไม่รอช้าเพราะเธอฟาดไม้พลาสติกลงไปเต็มแรง

“โอ้ย..นี่พ่อเองนะทิพย์”

ทิพย์อัปสรอ้าปากหวอเมื่อเห็นผู้เป็นพ่อยืนคลำศีรษะป้อย หญิงสาวอุทานเสียงเบาก่อนเอ่ยเสียงตกใจและพนมมือแต้

“คุณพ่อขา..ทิพย์ขอโทษค่ะ ทิพย์ไม่ตั้งใจ...ทิพย์คิดว่าเป็นพี่ใหญ่ คุณพ่อเจ็บมากหรือเปล่าคะ”

“นี่พวกแกเล่นกันอย่างนี้บ่อยหรือไง...นี่จะฆ่ากันเลยเรอะ”บิดาเธอมองตาขุ่นก่อนเอ่ยเสียงดุ

“เปล่าคะพ่อ แค่เล่นกันนิดหน่อย..แต่พ่อคะมันไม่ใช่ความผิดของทิพย์นะ ..พี่ใหญ่ชอบรังแกทิพย์ก่อนนี่...พ่อรู้หรือเปล่าว่าถ้าทิพย์เข้าห้องเขาๆก็ตีทิพย์เหมือนกัน”

ทิพย์อัปสรแก้ตัวอุตลุด ก่อนถลึงตามองพี่ชายซึ่งเดินผ่านหลังบิดาไปและยักคิ้วให้เธอด้วยสีหน้าสะใจ

“เป็นไงยายตัวแสบ ฟาดพ่อเข้าให้รึเรา”

“อย่ามายุ่งนะพี่ใหญ่ เพราะพี่นั่นแหละทำให้ทิพย์ฟาดผิดฟาดถูก แล้วทำไมวันนี้พี่ไม่เข้าห้องทิพย์”

เธอเอ่ยเสียงดุจนชายหนุ่มผิวคล้ำร่างสูงในชุดตำรวจยศร้อยเอกต้องหันมายิ้มกว้าง

“สงสัยวันนี้มันวันซวยของแกมั้งทิพย์...ซวยตั้งแต่เช้าระวังซวยทั้งวันนะน้องรัก”

ทิพย์อัปสรเตรียมโดดเข้าเล่นงานพี่ชายแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อคนเป็นพ่อคว้าแขนเธอไว้แน่น ก่อนจะออกปากไล่บุตรชายที่เดินหัวเราะลั่นจากไป

“พวกแกจะทะเลาะอะไรกันได้ทุกวัน นี่พ่อสงสัยจริงๆว่าแม่แก หยิบลูกมาถูกหรือเปล่าตอนออกจากโรงพยาบาลน่ะ ....ไปลูกไปทานข้าวกันดีกว่าอย่าไปโกรธมันเลยตาใหญ่น่ะ”

เสียงคนเป็นพ่อปลอบโยนทำให้หญิงสาวค่อยอารมณ์ดีขึ้นบ้าง ก่อนจะควงแขนบิดาออกมาจากห้อง แต่เมื่อถึงโต๊ะอาหารทิพย์อัปสรก็ค้อนพี่ชายขวับ ก่อนจะนั่งลงตรงกันข้ามกับร่างสูงนั้นแล้วเธอก็เอ่ยเสียงเยาะทันที

“ดำจะตายยิ่งใส่ชุดตำรวจคราวนี้เลยเห็นแต่ลูกกะตา”

“แกก็ซีดเหมือนไข่ต้มไม่สวยซักนิด..อ้อเมื่อคืนฉลองวันเกิดไม่ใช่เรอะอายุยี่สิบห้าแล้วนี่ ยังหาแฟนไม่ได้ใช่มั้ย ...สงสัยงานนี้แกได้ขึ้นคานแน่”

หญิงสาวกำส้อมไว้แน่นเพราะความฉุน ก่อนเธอจะเอื้อมมือหมับแล้วจิ้มส้อมไปยังไข่ดาวมาจากจานพี่ชายหน้าตาเฉยและเอ่ยเสียงห้วน

“ปากเสียยังงี้ไม่ต้องกินมันแล้วไข่น่ะ....ขืนกินเข้าไปแล้วจะมีแรงมากไปไล่ด่าชาวบ้านเขาอีก เสียสถาบันตำรวจที่ดีหมด”

มือใหญ่คล้ำของคนเป็นพี่เอื้อมมาคว้ากลับไปก่อนตวัดสายตาดูหน้าอกคนเป็นน้องและเอ่ยเสียงดูแคลน

“แกก็ไม่ต้องกิน โด๊ฟยังไงนมก็ไม่ใหญ่ขึ้นมาหรอก”

“ตาใหญ่”

เสียงดุๆของคนเป็นแม่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มหันไปมองก่อนจะยิ้มกว้างและตาพราวในขณะที่น้องสาวทำหน้าเบ้ก่อนจะฟ้องพ่อเสียงสั่น

“พ่อ..พี่ใหญ่หยาบคาย”

“หยุดทั้งคู่นั่นแหละ นี่อะไรทะเลาะกันได้ทุกเช้า...ตาใหญ่ก็เหมือนกันวันนี้น้องเพิ่งอายุยี่สิบห้า เค้าเรียกว่าเบญจเพสนะอาจจะไม่ค่อยดี แกยังจะแหย่น้องอีกหรือไง แกเป็นพี่น่าจะทำให้น้องอารมณ์ดีหน่อยสิ พ่อยิ่งห่วงๆมันอยู่”

“พ่อ..นี่พ่อปลอบหนูหรือซ้ำเติมหนูกันแน่”เธอร้องเสียงหลง

“ทำไมพ่อต้องซ้ำลูก พ่อพูดผิดตรงไหนเหรอ”

“ก็พ่อบอกว่าหนูเบญจเพสหนูอาจจะซวย”

“เปล่านะทิพย์..พ่อไม่ได้พูดคำว่าซวยสักนิด”

“แต่มันก็คล้ายๆกันนะคะ”หญิงสาวเอ่ยงอนๆจนมารดาต้องปลอบเสียงนุ่ม

“ทิพย์..หนูอย่าไปเชื่อเรื่องพรรณนั้นเลยลูก อายุยี่สิบห้ามันไม่จำเป็นต้องโชคร้ายเสมอไป บางคนเค้าก็โชคดีนะลูก”

“จริงหรือคะแม่”ทิพย์อัปสรเอ่ยเสียงใสขึ้นมาได้

“จริงสิลูก แม่เคยเห็นนะบางคนก็ได้งานดีๆ บางคนก็ได้แต่งงาน”

ธนบดินทร์เพิ่งตักอาหารเข้าปากต้องทำเสียงขลุกขลักเมื่อได้ยินมารดาพูดก่อนชายหนุ่มจะคว้าแก้วน้ำมาดื่มและเอ่ยขึ้นทั้งเสียงกลั้วหัวเราะ

“แม่ครับ...ผมว่าไอ้ที่แต่งงานน่ะเค้าไม่เรียกว่าโชคดีหรอกครับ น่าจะเรียกว่าโชคร้ายมากกว่า”

คราวนี้ทิพย์อัปสรต้องอึ้งไปเป็นครู่ก่อนจะเอ่ยอุบอิบเพราะค่อนข้างจะเห็นด้วยกับคำพูดของพี่ชาย

“หนูก็คิดว่างั้น...หนูทานอาหารนะคะเดี๋ยวจะต้องออกไปเรียนอีก”

ท่าทางไม่สบายใจของเธอหารอดพ้นสายตาของคนเป็นพี่ไม่ เพราะหลังจากทานอาหารเรียบร้อยและเดินคู่กันออกมาชายหนุ่มก็เอ่ยปลอบเสียงนุ่ม ไม่วี่แววหยอกเย้าเหมือนขณะอยู่ในบ้านแม้แต่น้อย

“ทิพย์ แกคิดมากอยู่หรือไง”

“ไม่คิดแล้วพี่ใหญ่ แต่จะว่าไปทิพย์ก็อดเชื่อนิดๆไม่ได้นะเนี่ย”

“เฮ้ย อย่าเอามาเป็นอารมณ์สิทิพย์ ตอนพี่อายุเท่าแกพี่ไม่เห็นจะเป็นอะไรสักหน่อย”

“ใครบอกว่าไม่เป็น พี่ใหญ่จำไม่ได้หรือไงว่าตอนนั้นน่ะพี่ใหญ่ถูกคนร้ายยิงซะเกือบพรุน”

“แกก็พูดเกินไปทิพย์ พี่ถูกยิงไม่กี่นัดแต่พี่ก็ได้เลื่อนขั้นนะโว้ย พี่ว่ามันไม่เกี่ยวกันสักนิด เพราะพี่เป็นตำรวจยังไงๆก็เสี่ยงกับลูกปืนอยู่ดี ถ้าไม่โดนวันนั้นพี่ก็ต้องโดนวันอื่น”

ท้ายเสียงของตำรวจหนุ่มฟังรื่นรมย์ ก่อนเขาจะเอื้อมมือไปลูบผมยาวเป็นคลื่นหยิกสลวยของน้องสาวแล้วเอ่ยเตือนเสียงหนัก

“พี่ไม่เชื่อเรื่องโชคชะตาหรอกทิพย์ แล้วแกซึ่งเป็นน้องก็ต้องไม่เชื่อเหมือนกับพี่ เราอยู่ในโลกไฮเทคนะทิพย์ เรื่องแบบนี้เขาไม่เอามาคิดกันแล้ว มันเสียเวลาทำมาหากินจะตาย แกลองคิดดูนะถ้าวันๆพี่ต้องคอยดูฤกษ์ดูยาม หรือเชื่อเรื่องพรรณนี้พี่ก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี”

เสียงเตือนกึ่งปลอบโยนที่ได้ยิน ทำให้หญิงสาวต้องอ้อมแขนแล้วรัดไปรอบเอวสอบของคนเป็นพี่ชายแน่น ก่อนจะพูดด้วยความซาบซึ้งแต่เปลือกตากลับกระพริบถี่ๆอย่างน่าตลก

“ขอบคุณค่ะพี่ใหญ่ แต่ทิพย์ควรจะเชื่อดีมั้ยนะ”

“แกเป็นน้อง ถ้าไม่เชื่อพี่ต้องมีรายการเจ็บตัวกันมั่ง”

ธนบดินทร์หัวเราะเสียงดังก่อนจะกอดน้องสาวแรงๆกลับไปบ้าง แต่ก็ต้องหลังจากเขาเขกข้อนิ้วเบาๆเหนือ
หน้าผากนูนขาว ซึ่งเขาก็เห็นใบหน้าบิดเบี้ยวราวเจ็บปวดของคนเป็นน้อง

“พี่ไปทำงานนะทิพย์ อ้อลืมไปนิดนึง ตอนเย็นแกเจอดีแน่”

ร่างสูงที่ปล่อยแขนออก ก่อนจะไปยืนนิ่งอยู่ข้างรถและใบหน้าเข้มของพี่ชายที่หันกลับมามอง พร้อมพูดทิ้งท้ายด้วยท่าทางกวนๆ ทำให้ทิพย์อัปสรแทบจะปรับอารมณ์ตามไม่ทัน




....................................................

ผิดตกขออภัยล่วงหน้านะคะเพราะยังไม่ได้รีไรท์น่ะค่ะ....



บุริกา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.ค. 2554, 01:05:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.ค. 2554, 01:05:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 2470





   ตอนที่ 2 >>
คุณนายแหม่ม 13 ก.ค. 2554, 08:22:40 น.
โอ้ เจ๊เป็นอารายจ๊ะ กระหน่ำลงซะขนาดน๊านนน


หญิงใหญ่ 13 ก.ค. 2554, 12:44:25 น.
หวัดดีจ้ะเจ๊...มาตามติด...ติดตามทุกที่เลยอ่ะ ^^


smallman 13 ก.ค. 2554, 13:52:37 น.
ตามมาๆๆๆคร้าาาา ^o^


จิรารัตน์ 13 ก.ค. 2554, 15:29:54 น.
เจ๊ไฟแรง


anOO 13 ก.ค. 2554, 18:23:02 น.
มารอตอนต่อไปค่ะ


หนอนฮับ 13 ก.ค. 2554, 23:06:26 น.
ฮาาาา...ป้าจ๋า ตามมาทวงถึงที่นี่เลย อิอิ


บุริกา 14 ก.ค. 2554, 01:51:33 น.
ขอบคุณๆนายแหม่ม คุณหญิงใหญ่ (มีแต่เจ้าขุนมูลนายทั้งนั้นนิ กิกิ) แทงยูยายหนอน หนูanoo และที่ลืมบ่ลงและคงไม่ลืม คือคุณจิรารัตน์คร่า ^o^
แหง่ะ ดูไม่หมด smallman โตยยเจ้า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account