บ้านต้นรักษ์ (จบแล้วจ้า) รีไรท์
ก้อ...กอมารุน...ราชาแห่งท้องทะเลทราย

ปะทะกับ

นีล...นัจมุน...ราชินีแห่งท้องทุ่ง


เมื่อดวงจันทร์กับดวงดาวบนฟ้าต่างแข่งกันประจันแสง...
โดยมีต้นไม้ สายน้ำ และท้องทุ่ง เป็นตัวประกัน...

หมู่บ้านอันแสนสงบร่มเย็นอย่าง 'บ้านต้นรักษ์'
กำลังจะลุกเป็นไฟ

เมื่อสิ่งที่นักลงทุนอย่างเขาต้องการ
คือสิ่งเดียวกันกับที่หญิงสาวหวงแหนยิ่งชีพ
ทั้งๆที่เธอไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะมาหวงแหนในสิ่งที่ไม่ใช่
กรรมสิทธิ์ของตน!

การเชือดเฉือนจึงก่อกำเนิดในยุคแห่งวัตถุนิยม
ที่นายทุนเป็นใหญ่

ท่ามกลางสงครามอันร้อนระอุ

ระหว่าง

ราชาแห่งท้องทะเลทราย กับ ราชินีแห่งท้องทุ่ง

ที่อยู่ห่างกันราวคนละโลก ในชีวิตกันคนละแบบ
คิดอ่านกันคนละอย่าง...

เสียงเพรียกจากวันวาน จะกลับมาขับขาน
สะพานไม้หมากที่พาดข้ามฟากเชื่อมสองฝั่งคลอง
กำลังสั่นสะเทือน...เมื่อสะพานคอนกรีตจะเข้ามาแทนที่

สายสัมพันธ์ระหว่างคนกับต้นไม้กำลังจะพัดหวนคืน

...น้ำในลำธารใสสะอาดกับน้ำมันสีดำไม่อาจเข้ากันได้ฉันใด
เธอกับเขาก็ไม่อาจเข้ากันได้ฉันนั้น...

ไม่มีใครรู้ว่าระหว่าง ดวงจันทร์ดวงใหญ่แค่ดวงเดียวที่ลอยเด่น
อยู่บนฟ้ากับดวงดาวจำนวนมากมายนับล้าน
มีความเป็นมาอย่างไร...
เว้นแต่ต้นไม้ที่ผ่านกาลเวลาโดยไม่เคยหนีหายไปไหนเท่านั้น
ที่จะไขปริศนานี้...

ต้นไม้ที่ยืนผงาดอย่างอดทนผ่านร้อนหนาว
ผ่านฤดูกาลมาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีใครเคยได้ยินเสียงบ่น
ต้นไม้ที่เหมือนจะไม่รับรู้สิ่งใด...

หากทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นและเป็นไปกลับกลายเป็นส่วนหนึ่ง
ความรักความประทับใจและความผูกพันธ์ถูกบันทึกไว้ใต้ต้นไม้
หยั่งรากลึกลงในดิน หยั่งลึกลงในจิตใจ...
มีค่า มีความหมาย...นานเท่านาน...


Tags: ดราม่า รัก ต้นไม้ กอมารุน นัจมุน ก้อ นีล เชือดเฉือน แนวอนุรักษ์

ตอน: ลำนำ


24 ปีก่อน…

ณ ท้องทุ่งสีเขียวสด สายลมพัดปลิวต้นข้าวนับหมื่นแสนต้น
ต่างพากันโบกไสวไปตามแรงลม…ลมรำเพยพัดพลิ้วแผ่วใบไม้โรย

ไอดินกลิ่นหญ้ากรุ่นหอม...ร่างน้อยๆสองร่างของเด็กชายหญิงกำลังวิ่งเล่น
ไปตามคันนาราวกับว่าสถานที่แห่งนี้คืออาณาจักรของทั้งสองที่ไม่ว่าจะวิ่งเล่นเท่าไหร่
ก็มิรู้จักเบื่อ...การผจญภัย ณ แดนดินถิ่นนี้คือความสนุกสนานของความเป็นเด็ก

ต้นจิกตรงริมหนองน้ำออกดอกสีส้มอมแดงก้านดอกยาวสลวยห้อยลงเลียบพื้นผิวน้ำ
ใสสะอาดก่อเป็นเงาสะท้อนภาพอันวิจิตรงดงามยากที่จิตรกรใดจะสร้างสรรได้

ร่างแน่งน้อยมักจะปีนขึ้นไปนั่งตรงกิ่งใหญ่ของมันที่ยื่นออกไปยังหนองน้ำ
ถึงกึ่งกลางหนองราวกับมันต้องการจะจับจองหนองน้ำแห่งนี้ไว้หล่อเลี้ยงชีวา
ปลาน้อยใหญ่แหวกว่ายไปมาอย่างสนุกสนานไม่แตกต่างกับเด็กสาวตัวน้อย
ที่กำลังแกว่งเท้าเล่นน้ำอยู่ตรงนั้นเป็นประจำด้วยแววตาสดใสเป็นประกายแห่งความสุข

ต้นตำเสาที่ออกดอกสีเหลืองอ่อนเป็นพุ่มเป็นพวงเข้าช่อสวยงาม
กำลังส่งกลิ่นหอมอบอวนไปทั่วท้องทุ่ง มันอยู่ใกล้กันกับต้นจิก
ราวกับเป็นมิตรสหายทีี่ดีต่อกันมาอย่างช้านาน

มือน้อยๆมักจะคอยนั่งลงเก็บดอกที่ร่วงหล่นจากต้นของมันมาร้อยกับต้นหญ้าเส้นเล็กๆ
ที่หาได้แถวใต้ต้นตำเสาราวกับมันถูกสร้างมาให้เข้ากันอย่างลงตัว
เพื่อใช้แทนด้ายกับเข็ม เมื่อร้อยจนสุดความยาวของต้นหญ้าแล้วจึงผูกรวบ
เข้าพวงทำเป็นมาลัยคล้องแขน ยกขึ้นโชว์ให้เด็กชายที่ตัวโตกว่าดูด้วยความภาคภูมิใจ
ในฝีมือการร้อยดอกไม้ของตน และไม่คิดจะลืมร้อยมาลัยเผื่อเขาด้วยเสมอ
หากเจ้าตัวกลับปฏิเสธเสียงแข็ง

“ฉันไม่ใช่ผู้หญิง จะได้ใส่มาลัยคล้องแขนเหมือนเธอ…”

“ก็นีลอยากให้พี่ก้อนี่นา…รับไปสิ…หอมออก…” ร่างแน่งน้อยยังคง
ทู่ซี้พร้อมยัดเยียดพวงมาลัยดอกตำเสาให้คนตรงหน้าไม่เลิก
พลางยกมันขึ้นมาสูดดม

“เมื่อไหร่เธอจะเลิกตามฉันไปโน่นไปนี่สักที…น่าเบื่อ น่ารำคาญจริงๆ”

“ก็นีลเห็นพี่ก้อไม่มีเพื่อนเล่นนี่…”

“ฮึ…มีเพื่อนเล่นอย่างเธอฉันก็ไม่เอา…ไปให้ไกลๆเลยยิ่งดี…”

“แต่พ่อบอกว่าให้พี่ก้อดูแลนีลนะ…”

“ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อเธอ…ฉันโยนเธอลงไปในหนองน้ำนั่นนานแล้ว
ชอบนักไม่ใช่หรือไอ้ต้นจิกต้นนั้นน่ะ…”

“พี่ก้อใจร้าย…นีลไปทำอะไรให้พี่ก้อตั้งกะเมื่อไหร่…”

“รำคาญ…บอกว่ารำคาญไง…ไม่ชอบ…เบื่อขี้หน้า เข้าใจมั้ย…”

หน้าตาเขาบึ้งตึงและพอมือเล็กๆพยายามยัดเยียดไอ้พวงมาลัยหน้าตา
ไม่ได้เรื่องสำหรับเขามาคล้องแขนเขา เขาก็รีบสะบัดมันทิ้งทันที…
ทำเอาคนให้ถึงกับน้ำตารื้น…ด้วยความน้อยอกน้อยใจ

“หยุดนะ…อย่ามาสำออย…ถ้าร้องออกมาล่ะก็…ฉันจะจับเธอโยนลงไป
ในหนองน้ำแล้วกลับไปบอกพ่อเธอว่า…ฉันหาเธอไม่เจอ…จะเอามั้ยล่ะ”

เขาบอกเธอด้วยเสียงเข้มดุ…ทำเอาเธอชักเริ่มกลัวเขาขึ้นมาอีกครั้ง
พอเขาเดินหันหลังพร้อมกับคันเบ็ดในมือ เด็กสาวจึงหยิบก้อนขี้ดินขึ้นมา
ขว้างใส่หลังของเขาเต็มแรง ทำเอาคนโดนก้อนขี้ดินปาใส่ถึงกับจุก
หันมาจ้องมือปาเขม็ง แล้วก้าวอาดๆมาหา…

เด็กสาวรู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไปเลยรีบชิ่งหนีโดยมีเขาวิ่งไล่กวดตามมาติดๆ

“จับไม่ได้ไล่ไม่ทันหรอก…ฮ่าๆๆๆ” เสียงใสๆร้องเย้ยเขาเสียงระรื่น
วิ่งซิกแซกไปมาตามคันนาอย่างคล่องแคล้วว่องไวก่อนจะรีบปีนหนีขึ้นไปบนต้นหว้า
ไต่ไปนั่งอยู่บนกิ่งที่เยื้องไปยังเส้นทางน้ำ ถ้าเขาขึ้นตามมา เธอก็จะหนีเขา
ด้วยการกระโดดลงไปในน้ำนั่น น้ำมันลึกไม่มาก คงไม่เป็นไรหรอก…

“งู…นั่นงู…” เสียงของเขาตะโกนขึ้นมาจากใต้ต้นหว้าต้นใหญ่
มือก็ชี้มาทางเธอ ทำเอาคนที่อยู่บนต้นหว้าถึงกับขาสั่น

“งู งูที่ไหน…”

“บนหัวเธอนั่นไง…ใช่เลย…ตัวมันลายๆ กำลังแลบลิ้นจะกินหัวเธอแล้ว”

อารามตกใจ ร่างแน่งน้อยก็รีบกระโดดลงไปในน้ำที่ว่าทันที
สภาพเลยไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำป๋อมแป๋ม ตอนนี้กำลังลอยคอ
ร้องขอความช่วยเหลือจากอีกคนที่ยืนหัวเราะเธออยู่ตรงริมน้ำ…

“สมน้ำหน้ากะลาหัวจอก…ฮ่าๆๆ” มือน้อยยกขึ้นหวังให้เขาดึงเธอขึ้นไป
หากเขากลับยักไหล่ส่ายหน้าบอกเธอว่า

“ขึ้นมาเองสิ…ยัยดาวดำ…”

“พี่ก้อ ดึงนีลขึ้นไปหน่อยสิ…นีลเปียกหมดแล้ว…ว้ายยยยย”
เสียงกรีดร้องในตอนท้ายนั่นทำเอาคนที่กำลังจะติดปีกบินหนีไปต้องหันกลับมามอง

“งู งู งู…” เสียงนั้นสั่นทีเดียวเมื่อสายตาหันไปยังจอมปลวกที่อยู่
ไม่ไกลกันกับต้นหว้าต้นใหญ่

“มันตัวใหญ่…พี่ก้อ…ช่วยเอานีลไปที…” หญิงสาวเต้นเร่าๆอยู่ในน้ำ
จะขึ้นก็ขึ้นไม่ได้เพราะจมโคลนอยู่ และเมื่อเด็กชายหันไปพบว่ามีงูตัวใหญ่
เท่าลำแขนของตนจริงๆไม่ใช่การล้อกันเล่นอย่างที่เขาทำไปเมื่อครู่
เขาก็รีบคว้าลำแขนเล็กๆนั่นแล้วดึงพรวดเดียวขึ้นมาบนบก
อารามตกใจ ร่างแน่งน้อยก็กระโดดเข้าใส่ร่างเด็กชาย เกาะหลังเขาติดหนึบ

“เฮ้ย…ปล่อยนะ…”

“ไม่…นีลกลัว…พี่ก้อเอานีลไปด้วยนะ…” แทบไม่ต้องคิดนานเมื่ออยู่ๆ
เจ้างูตัวนั้นมันเลื้อยเข้ามาใกล้เหย่ือ ร่างที่โตกว่ารีบวิ่งถลาโดยไม่คิดชีวิต
ลืมสนิทใจไปว่าได้แบกใครติดหลังไปด้วย…

“หันไปดูสิว่ามันยังตามมาอีกรึเปล่า…” เสียงนั้นถามขึ้นเมื่อเริ่มวิ่งมาไกล
ได้สักระยะแล้ว ทว่า เด็กสาวไม่กล้าหันกลับไปมองได้แต่ก้มหน้างุดอยู่กับแผ่นหลังนั่น

“บอกว่าให้หันไปดู” คนที่กำลังวิ่งสั่งเสียงเข้มปนหอบหายใจถี่ด้วยความเหน่ือย
เหงื่อไหลซึมเต็มหน้าและลำคอ

“มะ…มะ…ไม่รู้…นีลไม่เห็น…” เสียงเล็กตอบกลับไปอย่างสั่นๆ

สุดท้ายเลยโดนคนที่แบกสลัดร่างปล่อยให้ลงไปนั่งจุ้มปุกอยู่ตรงพื้นดินแข็งๆข้างล่าง
ก่อนจะเหลียวหลังไปมองก็ไม่พบว่างูตัวนั้นมันไล่ตามมาแล้ว

“เหนื่อยเปล่าจริงๆ…ยัยปลิงดำ…”

เขามักจะเรียกชื่อเธอเป็นอย่างอื่นตลอด แต่ไม่ว่าจะเรียกอะไร
ก็ต้องตบท้ายด้วยคำว่า ‘ดำ’ ทุกที

ไม่เห็นจะมีใครล้อว่าเธอดำสักคน…แต่ถ้าเทียบกับเขาเธอยอมรับก็ได้ว่า
เธอดำกว่าเขา…ก็แค่เขาขาวกว่า ไม่ใช่เพราะเธอดำสักหน่อย

“พี่ก้อ…นีลหิว…” เด็กสาวลูบท้องตัวเองที่กำลังส่งเสียงร้อง

“ก็ใครใช้ให้เธอหาเรื่อง…คนกำลังตกปลาอยู่ดีๆ…ถ้าไม่ได้กินข้าวเที่ยง
อย่ามาบ่นนะ…” พูดจบก็เดินไปทางคันเบ็ดที่เขาได้ปักไว้ตามช่องทางน้ำ
ตรงแปลงข้าวไว้หลายคัน ร่างแน่งน้อยเดินตามต้อยๆ
ก่อนจะร้องเต้นดีใจเมื่อพบว่ามีปลาช่อนตัวโตมาติดคันเบ็ดคันนึงของเขาเข้าให้แล้ว…

“ไชโยๆ…พี่ก้อของนีลเก่งที่สุดในจักรวาล…”

เด็กสาวดีใจที่มื้อเที่ยงวันนี้เธอจะได้กินปลาช่อน เพราะถ้าให้กลับไปบ้าน
กว่าจะเดินถึงบ้านก็อีกไกลโข…เธอเดินไม่ไหวแน่ๆถ้าท้องยังไม่ได้กินอะไรแบบนี้…

“แล้วพี่ก้อจะทำไงกับมันอ่ะ…นีลทำไม่เป็นนะ…”

รีบออกตัวว่าทำมาหากินไม่เป็นสักอย่างทันทีทันใด

“ก็รู้อยู่หรอกว่าสมองเท่ามดแบบนี้ไม่มีปัญหาทำกิน…” เขาว่าเธอพร้อมกับส่ายหน้า

“แต่นีลจุดไฟได้นะ…เคยจุดเตาไฟให้แม่บ่อยๆ”
เด็กสาวคุยโม้ว่าตนก็มีดีที่จุดไฟได้…

“แล้วไหนล่ะไม้ขีดไฟ…มีรึเปล่า…” หัวทุยๆผมรุ่ยร่ายเพราะเปียกแนบลู่
ไปกับหนังศีรษะส่ายไปมาอย่างยอมจำนน…

“งั้นก็ไม่ต้องมาโม้…” ว่าจบก็เอาปลาออกมาจากคันเบ็ด
แล้วดึงมีดเล่มเล็กออกมาจากปลอกที่ใส่เอาไว้ในกระเป๋ากางเกงเสมอ…
พร้อมกับกล่องไม้ขีดไฟ…

เพียงไม่นานก็ได้กองไฟเล็กๆใต้ต้นตำเสาข้างๆหนองน้ำ
พร้อมกับปลาช่อนที่ถูกตัดหัวทิ้งพร้อมกับเถือเกล็ดออกจนเกลี้ยง
มีการผ่าท้องเอาทุกอย่างในท้องปลาออกจนเกลี้ยงแล้วล้างเอาเลือดปลาออก
ด้วยน้ำในหนอง…หลังจากนั้นมันก็ถูกเสียบด้วยไม้แล้วนำขึ้นย่างไฟ

ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนน้ำย่อยของคนที่นั่งเฝ้าคอยดูกรรมวิธีทุกขั้นตอนมาตลอด
ปากก็คอยแต่จะถามไปเรื่อย…บางครั้งจึงโดนตวาดว่าให้หุบปากและอยู่ในความสงบ

“ถ้ายังพูดมากล่ะก็…อดแน่…” นั่นคือคำขู่ที่ทำให้เด็กสาวหุบปากฉับลง
นั่งพับเพียบเรียบร้อยมองปลาช่อนที่ถูกพลิกไปมาอย่างสนใจ…

พอมันสุกได้ที่เขาก็เอาไปกินคนเดียว ไม่ยอมแบ่งให้เธอ พอเธอขอกิน
เขาก็บอกว่า

“ก็เธอบอกว่าขยะแขยงไส้เดือนไม่ใช่เหรอ…”

ที่รู้เพราะตอนเขานำจอบไปขุดหาไส้เดือนมาเป็นเหยื่อตกปลา
เธอก็ตามเขาไปดูด้วย บ่นว่าไส้เดือนยั้วเยี้ยหน้าตาน่ารังเกียจ ไม่กล้าจับ
พอเขาแกล้งโยนไส้เดือนใส่ก็กระโดดเหยงๆกรีดร้องลั่น วิ่งแจ้นไปฟ้องแม่ว่าเขาแกล้ง…

“รู้มั้ยว่าฉันตกปลาช่อนด้วยไส้เดือนนะ และปลาช่อนมันก็กินไส้เดือนเป็นอาหาร
เธอจะกินปลาช่อนจริงๆเหรอ…ฉันว่าอย่าเลย…”

“นีลจะกิน…ปลาช่อนก็ส่วนปลาช่อน ไส้เดือนก็ส่วนไส้เดือนสิ…”

“ไม่ให้…ใครตกคนนั้นเป็นเจ้าของ…เธอไม่มีสิทธิ์” เขายังคงกินเย้ย
ทำเอาคนไม่ได้กินถึงกับแหกปากร้องลั่นทุ่ง…

“แหกปากเข้าไป…เดี๋ยวควายมันก็วิ่งมาขวิดให้หรอก…”

คนที่กลัวโดนควายขวิดเลยหันไปมองรอบๆตัวอย่างหวาดผวา…
หากพอไม่เห็นว่าใกล้ๆจะมีควายสักตัวเลยแหกปากร้องต่อ…

จนเขายัดเนื้อปลาช่อนใส่ปากนั่นแหล่ะถึงได้หยุดแหกปากร้อง
หันมาเคี้ยวเน้ือปลาช่อนพร้อมรอยยิ้มทั้งน้ำตาแทน…

“ถ้าก้างติดคอเธอขึ้นมาฉันจะล้วงคอเธอให้อ้วกปลาช่อนของฉันออกมา
จนหมดพุงเลยคอยดู” เมื่อเห็นเธอกินมูมมาม…เจ้าของปลาช่อน
เลยต่อว่าอย่างระอา

“ไม่ติดหรอกน่า…พี่ก้อไม่ต้องห่วง…นีล…” พูดยังไม่ทันขาดคำ
คนที่บอกว่าก้างปลาไม่มีทางติดคอก็เริ่มกลืนน้ำลายไม่คล่องคอขึ้นมา
หากกลับกลบเกลื่อนอาการไว้ไม่ยอมปริปากเอ่ยออกไป
ด้วยกลัวว่าจะโดนเขาล้วงคอขึ้นมา…

“นี่น้ำ…” เขายื่นขวดน้ำที่มักเอามาทิ้งไว้แถวนี้ให้ คนที่ก้างกำลังติดคอ
เลยรีบรับน้ำมากิน พยายามให้ก้างหลุดลงไปในท้อง หากไม่เป็นผล

“อ้าปาก…” เด็กหญิงสะบัดหน้าจนผมปลิว

“บอกให้อ้าปาก…หูแตกรึไง…” เมื่อโดนขู่กรรโชก เด็กสาวจึงยอมอ้าปากตามคำสั่ง

และไม่นานเขาก็ใช้มือนึงจับท้ายทอยเธอไว้อีกมือก็ล้วงมือเข้าไปในปากของเธอ
ใช้ปลายนิ้วชี้เขี่ยไปในลำคอ ทำเอาเจ้าของลำคอถึงกับรู้สึกคลื่นไส้
อยากจะอาเจียนออกมา

“อย่านะ…” เสียงนั้นร้องห้ามไว้…

“อึ๋ย น้ำลายเยิ้มเลย…มีเชื้อโรคติดมารึเปล่าก็ไม่รู้”

มือที่ล้วงเข้าไปเมื่อครู่รีบสะบัดน้ำลายที่เปื้อนมือหยอยๆ
แล้ววิ่งไปยังหนองน้ำเพื่อล้างมือของตนทันที

ก่อนจะกลับมามองหน้าแดงก่ำของคนที่โดนล้วงคอไปเมื่อครู่

“มันหลุดไปรึยัง…” เด็กสาวพยักหน้าเมื่อไม่รู้สึกว่ามีอะไรกีดขวางในลำคออีกแล้ว

“ขอบคุณค่ะพี่ก้อ…” เด็กสาวเอ่ยขอบคุณเขาจากใจจริง

“ตะกละ…” นั่นคือคำตอบรับของเขา ทำเอาคนฟังถึงกับแบะปาก หน้ามู่ทู่ทีเดียว

แต่เพียงไม่นาน เสียงตุ๊บก็ดังแทรกแหวกสายลมเข้ามา ทำให้คนหูไวหันไปมอง
ก่อนจะรีบลุกวิ่งไปยังต้นมะม่วงคันที่ทั้งสูงทั้งใหญ่ต้นนั้นทันทีทันใด

มองดูโคนต้นของมันแล้วก็พบเข้ากับผลหันหอมหวนของมันเข้าพอดี
เรียกรอยยิ้มจากร่างเล็กได้ไม่น้อย มือป้อมๆวิ่งไปเก็บผลมะม่วงขึ้นดม

“หอม…” ไม่มีผลมะม่วงต้นไหนจะส่งกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นผลมะมุด
อย่างต้นมะม่วงต้นนี้ ผลของมันกลมเท่าลูกปิงปอง รสชาติหวานฉ่ำ
แต่ทำให้รู้สึกคันคอยิกๆทุกทีที่กิน…หญิงสาววิ่งไปหาพี่ชายแล้วยื่นผลมะม่วงให้เขา

“เอามาให้ทำไม…”

“ก็เอามาให้กินไง…กินสิ…แลกกับปลาช่อนนั่น” เขาส่ายหน้าราวกับไม่ใส่ใจ

“เดี๋ยวนีลจะไปอ้อนต้นมะม่วงให้มันส่งมะม่วงมาให้อีก…ผลน้ีพี่ก้อเอาไปกินก่อน…
คอยดูฝีมืออ้อนต้นมะม่วงของนีลก็แล้วกาน…”

หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างเมื่ออีกฝ่ายรับผลมะม่วงไปจากมือเธอ
หลังจากนั้นร่างแน่งน้อยก็วิ่งเข้าไปกอดต้นมะม่วงเอาไว้แน่น
และด้วยความใหญ่ทำให้โอบไม่รอบ แก้มใสแนบไปกับลำต้นนั้นอย่างรักและหวงแหน
พร้อมกับอ้อนมันว่า

“ต้นมะม่วงสุดสวยและแสนใจดี๊ใจดีจ๋า…ส่งมะม่วงอร่อยๆมาให้นีล
กับพี่ก้อกินหน่อยนะ…นีลขอไม่มาก แค่อีกสักลูกก็พอแล้ว…น้าาา”

เสียงหวานใสลากยาวทีเดียว หากกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบกลับมา
ต้นมะม่วงยังคงนิ่งงันราวกับไม่ได้ยินคำอ้อนวอนของเธอเลย…

“ได้โปรดเถอะนะจ๊ะ…ขออีกลูกเดียว…ลูกเดียวเท่านั้น…”

อยู่ๆลมก็พัดผ่านเข้ามา…แม้ไม่แรงนัก หากก็ทำให้ผลมะม่วงที่อยู่สูงลิบลิ่ว
เกินจะสอยถึงก็ร่วงลงมาจากต้นหลายผลทีเดียว

ส่งผลให้ร่างแน่งน้อยกระโดดโลดเต้นดีใจ วิ่งไปเก็บผลมะม่วงอย่างร่าเริงเบิกบาน
พอล้นมือจึงดึงชายเสื้อยืดที่สวมอยู่ขึ้นแล้วยัดผลมะม่วงลงไป

“ขอบคุณนะจ๊ะต้นมะม่วงใจดีของนีล…น่ารักที่สุดเลย…”
แก้มใสแนบกับต้นมะม่วงเป็นการขอบคุณแล้วเดินหน้าบานไปหาพี่ชาย

“เห็นฝีมือนีลหรือยัง…” เสียงนั้นโอ่หน่อยๆ หน้าตาแป๋วแหววนั่นบ่งบอกว่า
ตนนั้นเจ๋งแค่ไหน...

“ฝีมือลมเห็นๆ…”

“หือ…ฝีมือนีล…ต้นมะม่วงใจดีเลยเห็นใจ…เห็นมั้ยได้มาตั้งหลายลูก
กับคนอื่นมันหวงลูกจะตาย…แต่กับนีลมันใจดีสุดๆ…”

หญิงสาวยิ้มอย่างภูมิใจที่ตนกลายเป็นที่รักของต้นมะม่วงใหญ่…
พ่อเคยบอกเธอว่ามันอยู่มาตั้งแต่พ่อยังเด็กๆ…นี่ก็แสดงว่ามันต้องอายุมากแล้ว…

“กลับบ้านเถอะ…เดี๋ยวแม่เธอดุเอานะ…” คนตัวโตกว่ารีบบอกเตือน
เมื่อเห็นว่าดวงตะวันเริ่มตั้งตรงเหนือศีรษะพอดิบพอดีแล้ว

เด็กสาวพยักหน้า ยิ้มให้คนหน้าขาว ผิวพรรณและลักษณะหลายๆอย่างของเขา
ที่ดูผิดแผกไปจากชาวบ้านในแถบนี้…ไม่รู้ว่าพ่อไปเก็บเด็กผู้ชายคนนี้
มาเป็นพี่ชายเธอจากที่ไหน…อยู่ๆเธอที่เป็นลูกสาวคนเดียวมาตลอด
ก็ได้พี่ชายมาอยู่ด้วย…เขาอายุห่างกับเธอสามปี เธออายุหกขวบ ส่วนเขาเก้าขวบ…

สองปีแล้วที่เราได้ทำความรู้จักกัน เธอไม่เคยลืมวันแรกที่พ่อพาเขาเข้าบ้าน…
สภาพของเขาดูมอมแมมเหมือนแมวไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน
หน้าตาบึ้งตึง…ไม่พูดไม่จา ถามอะไรไม่ตอบ ไม่มีความเป็นมิตรเอาเสียเลย…

พอเธอเข้าไปเซ้าซี้เพราะอยากทำความรู้จักกันไว้ก็โดนเขาตะคอกใส่
ตอนนั้นเธอวิ่งร้องไห้ไปกอดแม่…แล้วแทบไม่คิดอยากจะเข้าใกล้เขาอีก

เพื่อนที่โรงเรียนมักล้อเขาอยู่บ่อยครั้งว่าเขาเกิดมาจากกองขยะบ้าง
ว่าเขามีแม่เป็นควายที่กินหญ้าอยู่ในทุ่งบ้าง…และเขาก็ตอบโต้ด้วยการชกพวกนั้นกลับไป
จนหน้าบวมช้ำ ร้อนจนคุณครูต้องเรียกพ่อของเธอไปที่โรงเรียน…

‘เป็นลูกผู้ชายต้องอดทน…การใช้กำลังไม่ได้ทำให้เราดูดีขึ้น…
คนดีต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น…’

พ่อเธอมักพูดกับเขาเช่นนี้เสมอ หากเขากลับเอาแต่นั่งนิ่งๆ ไม่ตอบโต้
ไม่พูดคำใดเลย

เธอเองก็ไม่กล้ายุ่งกับเขา…แม้อยู่บ้านเดียวกันแต่เธอก็ขอเลือกที่จะ
อยู่ให้ห่างจากเด็กเกเรอย่างเขาให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้…

แต่แล้ววันที่เธอโดนรุ่นพี่ผู้ชายที่โรงเรียนกลั่นแกล้งสารพัด
ตั้งแต่แย่งขนมในมือเธอไปกินหน้าตาเฉย แย่งสมุดของเธอ
แล้วยังขู่จะเอาเงินที่พ่อให้เธอไว้ซื้อข้าวเที่ยงที่โรงเรียนอยู่บ่อยครั้ง…
ทำให้บางวันเธออดกินข้าวเที่ยง…แต่ก็ไม่กล้าฟ้องคุณครู
เพราะกลัวว่าพวกรุ่นพี่นั่นจะแค้นแล้วตามมารังแกเธออีก…

โดยเฉพาะวันที่รุ่นพี่จอมเกเรและขาใหญ่ประจำโรงเรียนเข้ามาแย่ง
ขนมเค้กก้อนเล็กๆในมือเธอที่เพื่อนเอามาฝาก พอเธอแย่งคืน
พวกนั้นก็หัวเราะเยาะใส่ แล้วละเลงหน้าเค้กลงบนหน้าเธอกับผมของเธอเล่น
เห็นเป็นสนุก พวกเขาหัวเราะในขณะที่เธอร้องไห้

แต่ไม่ว่าเธอจะร้องไห้เท่าไหร่ก็ไม่มีเพื่อนคนไหนเข้ามาช่วยเหลือเลย…
ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยเธอสักคน คุณครูประจำชั้นอนุบาลก็ไม่อยู่

แต่แล้วอยู่ๆเขาก็โผล่เข้ามาในห้อง ทั้งต่อยทั้งถีบพวกนั้นจนพวกนั้นวิ่งหนีกระเจิง
แล้วเขาก็จูงเธอไปที่ห้องน้ำ ล้างหน้าให้ เช็ดครีมที่เลอะเส้นผมให้…
ถอดเสื้อนักเรียนของเขาออกมาซับน้ำที่ใบหน้ากับที่ผมให้เธอโดยไม่พูดอะไรสักคำ…

เธอเองได้แต่สะอื้นน้อยๆไม่กล้าส่งเสียงร้องดังๆกลัวเขาจะตวาดใส่หน้า…
แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังโดนอยู่ดี…

“เลิกร้องงอแงได้แล้วน่า…รำคาญ…”

เขาตะคอกใส่ ส่งผลให้เธอถึงกับสะอึก พยายามอั้นเอาไว้ไม่ให้มีเสียงลอดออกมา…

เธอรู้ว่าเขาเป็นคนขี้รำคาญ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เพราะตาเขามันดุ…เหมือนเสือ
ตัวก็ใหญ่กว่าเด็กคนอื่นๆในรุ่น…ขนาดรุ่นพี่ป.หกก็ยังตัวเล็กกว่า…

“ก็เพราะว่าอ่อนแอขี้แยแบบนี้ไงเล่า ถึงได้โดนเขารังแกไม่เลิก…
ทำไมไม่รู้จักสู้บ้าง มือก็มี เท้าก็มีเท่าคนอื่นเขา…ไม่ได้เกิดมาพิการสักหน่อย…
ทำไมไม่รู้จักใช้มันให้เกิดประโยชน์บ้าง…” เขาว่า

“นีลไม่กล้า…นีลกลัว…พวกเขามีกันหลายคน ตัวใหญ่ๆทั้งนั้น…
นีลตัวเล็กกว่าเขาตั้งเยอะ…ถ้าพวกเขาล้มทับนีล นีลต้องแบนติดพื้นแน่ๆ”

“ถ้าขี้ขลาดนักก็ปล่อยให้เขาเอาเปรียบต่อไปก็แล้วกัน…คราวหลัง
จะไม่เข้าไปช่วยหรอก…เบื่อผู้หญิงขี้แย…เอะอะก็แหกปากร้องไห้…”

“พวกผู้ชายก็ชอบใช้กำลัง…ชอบต่อยกัน…ชอบรังแกคนที่ไม่มีทางสู้
น่าเบื่อสุดๆ…” เธอโต้กลับนับว่าเป็นครั้งแรกที่เธอกล้าสวนกลับเขาอย่างลืมตัว

“ยัยสมองเท่ามดเอ๊ย…สมควรแล้วที่จะโดนพวกนั้นรังแก…”

เขาจิ้มหน้าผากเธอจนหน้าหงาย เธอคว้าขันน้ำขึ้นมาได้ก็เลยเคาะหัวเขา
ไปสามครั้งติดๆกันเป็นการเอาคืน…

“นี่เธอกล้าทำร้ายฉันเหรอยัยมดดำ…” ว่าแล้วเขาก็ผลักเธอจนลื่นล้มลง
ไปบนพื้นห้องน้ำที่เปียกแฉะ เสียงร้องลั่นไปทั้งห้องน้ำจึงดังขึ้นอีกรอบ

“หุบปากนะ…ไม่งั้นฉัน…ฉันจะจับไปโยนที่ห้วยหลังโรงเรียน” เขาขู่เสียงเข้มทีเดียว

“เอาให้พ่อเธอหาไม่เจอ…เป็นอาหารให้ไอ้เข้…”

เด็กหญิงตัวน้อยอย่างเธอเลยยกมือปิดปากตัวเองเพื่อกลั้นสะอื้นเอาไว้อีกครั้ง
มือน้อยๆอีกข้างจับขากางเกงนั้นเขย่าเบาๆเพื่ออ้อนวอน

“อย่าจีบนีลไปทิ้งห้วยนะพี่ก้อ…นีลขอโทษ นีลจะไม่ทำร้ายพี่ก้ออีก”

“แน่นะที่บอกว่าจะไม่ทำร้ายฉันอีก…” เขาชี้หน้าเธอด้วยแววตาดุๆ
เธอก็เลยต้องพยักหน้ารับด้วยความกลัวสุดหัวใจ…เธอเชื่อว่าถ้าเธอทำให้เขาโกรธ
เขาสามารถจับเธอไปโยนในห้วยได้จริงๆ

“งั้นก็ลุกขึ้น…กลับบ้านได้แล้ว…โรงเรียนเลิกแล้ว…” เพราะมีเสียงกริ่ง
บอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น ร่างแน่งน้อยจึงพยายามชันกายเพื่อลุกขึ้น
โดยคนไร้น้ำใจก็ยังคงยืนดูอยู่เฉยๆ ไม่มีช่วยเหลือพยุงกันบ้างเลย

“ถ้าพ่อเธอถามว่าเกิดอะไรขึ้น…เธอจะตอบว่าไง…” เมื่อเห็นว่า
คนตรงหน้าเปียกม่อลอกม่อแลกเช่นนี้จึงอดกังวลไม่ได้

“เอ่อ…พี่ก้อ…จะให้นีลบอกพ่อว่าไง…” สีหน้าคนพูดดูเหยเก

“สมองเท่ามดอย่างเธอไม่เคยคิดอะไรเป็นเลยจริงๆ…ก็บอกไปสิว่าเธอไม่ระวัง
ซุ่มซ่ามเดินลื่นในห้องน้ำ…” เขาสอนให้เธอโกหกพ่อชัดๆ

“แต่นีลไม่เคยโกหกพ่อ…”

“ถ้างั้นอยากบอกอะไรก็เชิญ…” พูดจบเขาก็ทิ้งเธอไว้ในห้องน้ำนั่น

“พี่ก้อ…นีลไม่กล้าออกไปเข้าแถว…” เด็กสาวร้องเรียกคนที่เดินหนี
เธอไปเสียอย่างนั้น เธออายเพื่อนถ้าให้ออกไปเข้าแถวหลังเลิกเรียนในสภาพเช่นนี้…

“พี่ก้ออยู่เป็นเพื่อนนีลก่อน…” แต่ไม่ว่าจะร้องเรียกเขาเท่าไหร่ เขาก็ไม่หันมาแล…

เด็กตัวน้อยเลยยืนแอบอยู่ในห้องน้ำจนโรงเรียนเลิกแล้วเพื่อนๆกลับกันหมดแล้ว
จึงย่องเข้าห้องเพื่อไปหยิบกระเป๋า…สอดส่ายสายตามองหาว่าคุณครูอยู่ในห้องไหม
ก็ปรากฎว่าไร้ร่างของคุณครู เด็กสาวยิ้มพลางพ่นลมหายใจ
แล้วเดินไปหยิบกระเป๋านักเรียนของตัวเองแต่กลับไม่มี…

ร่างแน่งน้อยเดินไปเดินมาอยู่ในห้องเรียนอนุบาลเพื่อหากระเป๋านักเรียนของตัวเอง
น้ำตาเอ่อคลอเมื่อหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ…และพอออกมาอยู่ตรงหน้าห้อง
ก็พบว่ากระเป๋าของเธออยู่ในมือไอ้พวกรุ่นพี่จอมเกเรสามคนนั่น

เด็กน้อยมองหาร่างของพี่ชายโดยอัตโนมัต หวังให้เขามาช่วยเธออีกครั้ง
หากกลับมองไม่เห็นใครนอกจากขาใหญ่ของโรงเรียนที่เธอแสนกลัว
จนขยาดไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากเห็นหน้า

“น้องนีลคนสวย…ถ้าอยากได้กระเป๋าคืนต้องให้พี่สามคนหอมแก้มก่อนกลับบ้าน…”

รุ่นพี่ของเธอสามคนนี้อยู่ป.หกแล้ว และดูกร่างที่สุดในโรงเรียนจนใครๆก็กลัว
กันตัวหงอทั้งนั้น…คุณครูตีเท่าไหร่ก็ไม่กลัว
และเธอที่เป็นแค่เด็กอนุบาลจะไปหาญสู้ได้อย่างไร…

“เอาของนีลมานะคะ…นีลจะกลับบ้านแล้ว…”
เธอกลัวจนน้ำตาแทบเล็ด ฉี่จะราดด้วยซ้ำ

“ก็บอกแล้วไงว่าให้พี่หอมแก้มก่อน…”

“นีลไม่ให้หอม…นีลจะฟ้องครูจะฟ้องพ่อ…” เด็กสาวโวยวายหากก็ไม่
เป็นผลเมื่อสามร่างใหญ่โตก้าวเข้ามาใกล้ มีท่าทีคุกคาม

หากยังไม่ทันถึงตัว พวกเขาสามคนก็ถูกผลักกับถูกถีบจนลงไปนอนกองอยู่กับพื้น
เด็กสาวรีบวิ่งไปหลบข้างหลังพี่ชายทันทีที่รู้ว่าเป็นเขาที่เข้ามาช่วยเธอเอาไว้ได้ทัน

“มึงอีกแล้วหรือไอ้ก้อ…ระวังไว้นะมึง กูจะยกพวกมาตีหัวมึง…คอยดู”

เสียงหัวหน้าโจกข่มขู่ ก่อนจะรีบวิ่งหนีออกไปทันทีเมื่อรู้ว่าสู้ไม่ได้
เด็กชายจึงหยิบกระเป๋านักเรียนมาไว้ในมือแล้วจูงมือกึ่งๆลาก
ให้ร่างที่เล็กกว่าเดินตามเขาไป

“กลับบ้าน!” เสียงน้ันกระชากพร้อมกับลากถูเด็กสาวกลับบ้านด้วยสีหน้าบึ้งตึง…

'นีล' หรือ 'เด็กหญิงนัจมุน' ไม่เคยได้เห็นเขายิ้มเลยสักครั้ง
เขาเป็นเด็กที่ไม่ยิ้ม ไม่สดใส มีแต่เสียงตะคอกกับหน้าตาดุๆน่ากลัว

“พี่ก้อพูดกับนีลเพราะๆก็ได้…”

“ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้แหล่ะ…” ลากไปลากมาคนที่โดนลากเลยสะดุด
เอากับขอบปูนล้มลงหัวเข่าไถลจนถลอกเลือดซึมออกมา เสียงน้อยๆ
เริ่มส่งเสียงร้องโอดครวญอีกรอบ

“โอ้ย…ฉันจะบ้าตายกับเธอจริงๆ…ซุ่มซ่่าม อ่อนแอ ขี้แย น่ารำคาญที่สุด”

พูดจบก็ปล่อยมือเธอแล้วส่ายหน้า ทิ้งเธอเอาไว้ให้นั่งกุมหัวเข่า
ที่เลือดกำลังไหลซึมออกมา…ปากน้อยสูดเบาๆด้วยความปวดแปลบ
เงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของคนที่ทิ้งเธออีกแล้วด้วยน้ำตาคลอเบ้า…

ก่อนจะค่อยๆพยุงตัวเองแล้วเดินกะเผลกตามเขาไป
หมายจะให้ทันเขาทั้งๆที่รู้ดีว่าไม่มีทางตามเขาทัน…

และแม้เขาจะทิ้งระยะห่างกันไกลแค่ไหน หากเธอก็ยังอุ่นใจที่มีเขาอยู่ใน
ระยะสายตาเช่นนี้ เพราะเมื่อเธอมีภัย เขาต้องรับรู้และเข้ามาช่วยเธออีก
อย่างแน่นอน…

เขาไม่ใช่คนใจร้ายจริงๆหรอก…เธอเคยแอบได้ยินคุณครูบอกว่า

เขาเป็นเด็กมีปัญหา…แล้วเด็กมีปัญหาคืออะไร…
ทำไมต้องมีปัญหาด้วย

แล้วเธอล่ะ...เธอเป็นเด็กมีปัญหาเหมือนเขารึเปล่า???





..........โปรดติดตามตอนต่อไป..............



ขอพื้นที่อารัมภบทนิดนึง ^^



เรื่องนี้ "แนวดราม่า+แนวอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม+แนวรักเชือดเฉือน"
เอามายำผสมปนเปกันค่ะ...โดยเน้น "ความรักกับความผูกพันธ์" เป็นหลัก
ขอเอามาแปะจองพื้นที่ไว้ก่อนนะคะ อิอิ

ตั้งใจเขียนเกี่ยวกับสายสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนและคนกับต้นไม้...
ซึ่งเป็นความรักที่อยู่บนความแตกต่างในหลายๆด้าน
โดยเฉพาะวิถีชีวิตและพื้นฐานความคิด


ใจจริงเขียนเพราะนึกถึงคืนวันเก่าๆเมื่อตอนยังเยาว์ นึกถึงวิถีชีวิตตอนนั้น
ทำให้อดเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองท่ีพลิกผันแล้วก้าวข้ามผ่านวันเวลา
มาจนถึงทุกวันนี้ไม่ได้...มันแตกต่างอย่างไม่น่าเช่ือว่าเราจะเดินก้าวผ่าน
ความต่างเหล่านั้นมาได้อย่างไร...

และยังคงโหยหาคืนวันเก่าๆเหล่านั้นอยู่เสมอ...มันยังคงความสวยงาม
เป็นเงาที่ไม่จางหายไป...ยังคงเก็บไว้ในใจ...ให้ได้คิดถึง...
เพราะไม่มีถนนเส้นใดจะนำเรากลับไปยังถนนเส้นนั้นได้อีกแล้ว
นอกจากถนนสายนี้เท่านั้น...

ยังไงขอฝากเรื่องนี้เอาไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ

อาจไม่ถึงกับป่าเขาลำเนาไพร จนต้องไปอยู่กันในหุบเขาห่างไกลผู้คนค่ะ...
แต่เป็นชีวิตบ้านๆของคนบ้านๆและต้นไม้พื้นบ้านที่หาดูได้ทั่วไป
กับชีวิตหรูหราของคนเมืองกับเหล่าต้นไม้ที่ถูกยกระดับขึ้นไปอยู่ในกระถางอย่างดี
แต่กลับต้องไปยืนต้นผงาดเพื่อกินฝุ่นและควันพิษอยู่ในเมืองอย่างน่าสงสาร...

ซึ่งเป็นหนึ่งในความเหลื่อมล้ำของสังคมคนและสังคมต้นไม้...
ที่ยากจะหาจุดสมดุลได้... ^o^

แล้วเราจะรู้ว่า...ต้นไม้รักเรามากแค่ไหน...
และต้นไม้ต้องอดทนมากขนาดไหนกับการกระทำของมนุษย์...

บางที...การที่เรารู้ว่ามันรักเรา อาจทำให้เราเกิดรักมันมากขึ้นกว่าเดิม...
จากที่ไม่เคยคิดจะรักก็อาจจะอยากรัก...

ความรักเกิดขึ้นได้โดยไม่รู้ตัว...และเมื่อรู้ตัวว่าโดนรัก เราอาจจะอยากรักตอบ
จนอยากจะกอดมันให้สมกับความรักที่ยิ่งใหญ่ของมันที่มีให้เราเสมอมา ^^

และในบางครั้ง...ความสุขก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากที่จะได้มา
เพียงแต่บางคนต้องคอยเฝ้าทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขที่ว่า...


เรื่องนี้จึงมีทั้ง "เจ้าปัญหา" และ "เจ้าปัญญา"
มีปริศนามาให้นักอ่านขบคิดกันพอเป็นกระสัยให้คันยิกๆนิดๆหน่อยๆด้วยค่ะ

ซึ่งจะไม่มาเป็นบทเป็นตอน แต่จะมาเป็นต้นๆนะจ๊ะ...อิอิ

อาจเพราะส่วนหนึ่งโยเติบโตมาท่ามกลางอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาล
อย่างท้องทุ่ง ท้องไร่ ท้องสวน และท้องทะเล
ทุกอย่างรอบกายอุดมสมบูรณ์พูนสุข ผู้คนโอปาปราศัยด้วยดี

สมัยก่อนผู้คนไม่ค่อยสนใจเรื่องเงินทองและความร่ำรวย...
บ้านต้องมีขนาดเท่านั้นเท่านี้หรือต้องมีรถยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้กันนัก...
โลกแห่งวัตถุยังเข้าไปแทรกซึมไม่ถึงว่างั้นค่ะ...

สิ่งที่พวกเขามักสนใจคือความสงบ ความสุขใจ...ใช้ชีวิตเรียบง่าย
แค่มีข้าวปลาอาหารให้กินทุกวัน มีบ้านให้พักพิง มีเสื้อผ้าให้พอปกปิดผิวกาย
ไม่ให้อุจาดตาแก่ผู้พบเห็น ได้ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ทุกคนก็ยิ้มได้มีความสุขแล้ว

ส่วนเด็กๆก็ขอแค่ให้มีสถานที่กว้างๆให้ได้วิ่งเล่น ให้ได้รู้สึกผจญภัย
ก็สนุกสนานมากแล้ว...ไม่มีลูกกวาดสีสันสวยงามก็ขอให้มีผลไม้หวานๆ
ให้เก็บกินโดยไม่ต้องกังวลว่าเจ้าของเขาจะต่อว่าเอา
เท่านี้เด็กๆก็ยิ้มหน้าบานแล้ว โดยเฉพาะเพื่อนเล่นนั้นสำคัญมาก

เป็นความสุขเล็กน้อยแต่ดูยิ่งใหญ่

ยิ่งได้พูดคุยคลุกคลีกับผู้เฒ่า ได้ฟังเรื่องราวในอดีตย้อนไป
เมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว แม้จะเป็นเรื่องราวที่ดูแสนจะธรรมดาสำหรับคนสมัยนี้
แต่โยก็นั่งฟังเสียเพลินจนลืมเวลาทุกที...

จึงขอหยิบยกเรื่องราวหลากหลายรสชาติเหล่านั้นมาไว้ในเรื่องนี้อีกสักเรื่อง...

นับว่าเป็นยำใหญ่ใส่สารพัด...ที่นำเรื่องจริงผสานกับจินตนาการของคนแต่ง ^^


นางเอกของเต่าเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ผู้พิทักษ์ป่าเต็มขั้น
แต่เธอคือราชินีแห่งท้องทุ่ง...เพราะท้องทุ่งคืออาณาจักรของเธอ
ที่เธอรักยิ่งชีพ...

ส่วนพระเอกก็คือราชาแห่งท้องทะเลทราย
ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ห่างกันราวอยู่กันคนละโลก...
ใช้ชีวิตกันคนละแบบ คิดอ่านกันคนละอย่าง ^o^

ฝากติชมกันตามสบายเลยค่ะ...หลุดรั่วตรงไหนขอให้บอกเต่า
เต่าโยพร้อมน้อมรับทุกความคิดเห็นเพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขในคราวต่อไปจ่ะ ^^

แม้พระเอกจะเป็นราชาแห่งท้องทะเลทราย แต่ไม่ใช่นิยายแนวทะเลทราย ^o-
เพราะเต่าไม่ถนัดเขียนแนวนั้นสักเท่าไหร่ เฮะๆ


ปล.เรื่องอื่นที่ค้างอยู่ เช่น "หะบีบี้...สุดที่รักของผม" กับ "ดาวล่องหน"
โยคงต้องดองไว้ในขวดโหลต่อไป เพราะพยายามปัดฝุ่นเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ
อารมณ์มันไม่ให้...เพราะช่วงชีวิตในขณะนี้และอาจจะยืดไปอีกสักพักใหญ่ๆ
ไม่ได้อยู่ในห้วงฝันสักเท่่าไหร่...เลยเพ้อไม่ออกค่ะ...เฮะๆ

ณ ช่วงเวลานี้ดูจะเหมาะกับการเขียนแนวชีวิตมากๆ...
อารมณ์มันส่งได้ดีกว่าเขียนแนวอื่น...เหอๆ

ส่วน เรื่องเศษหน่ึงส่วนสองยกกำลังศูนย์นั้น...โยกะจะปั่นไปพร้อมๆกับเรื่องนี้
หลังจากปิดเรื่อง "เงามาร" ได้แล้ว...



ฝากนายก้อ กอมารุน กับ หนูนีล นัจมุน ด้วยน้า

รวมทั้งเต่าโย...ที่ยังคงต้องการกำลังใจจากนักอ่านอยู่เสมอค่ะ ^^


"เต่าโย"




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 เม.ย. 2558, 00:19:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 เม.ย. 2558, 00:19:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 3419





   ต้นที่ 1 พี่ชายกำมะลอ >>
yapapaya 29 เม.ย. 2558, 04:27:20 น.
เปิดเรื่องเข้ามาแบบงงๆ เรื่องมารยังไม่จบนับศพเห่ล่ามารยังไม่ได้ เปิดเรื่องใหม่ซะแล้ว คริ คริ สารภาพตามตรงเลยนะคะคุณโยคนสวยเข้ามาอ่านคำโปรยก่อนแล้วจะมาใหม่ ชอบแนวนี้เฃหมือนกัน รำลึกความหลังวันวานที่ยุคไร้ 3G 4Gสงสัยเราจะอยู่รุ่นเดียวกันแน่เลยคุณโย คิดถึงแล้วแอบยิ้ม


napt 29 เม.ย. 2558, 07:19:02 น.
มารอค่ะ ^^


konhin 29 เม.ย. 2558, 08:46:08 น.
โอ๊ะ มาเปิดเรื่องใหม่นี่เอง แวะมาลงชื่อก่อนค่ะ ยังม่ะได้อ่านเลยย


ตุ๊งแช่ 29 เม.ย. 2558, 09:10:21 น.
หะบีบี้ กับดาว ไม่เป็นไรปล่อยไว้ในไหได้ ....

หนูกีสส นี่ไม่ได้น๊าาา ..มันเลยจุดพีคมาแระ เอาตอนจบมาซะโดยดี..

เรื่องใหม่นี่ นายก้อ โหดชิมิ...หนูนีล นี่ ทีอันธพาลกลัว กลับไม่กลัวพี่ตัว


sunflower 29 เม.ย. 2558, 13:34:49 น.
ซันชอบอ่านแนวนี้มาก ความรักแบบความผูกพันธ์ แต่ตอนนี้ซันยังแยกไม่ออกเลยว่าอันไหนความรักอันไหนความผูกพันธ์


แว่นใส 29 เม.ย. 2558, 13:50:10 น.
ก็ยังสงสัยอยู่ดี


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account