บ้านต้นรักษ์ (จบแล้วจ้า) รีไรท์
ก้อ...กอมารุน...ราชาแห่งท้องทะเลทราย

ปะทะกับ

นีล...นัจมุน...ราชินีแห่งท้องทุ่ง


เมื่อดวงจันทร์กับดวงดาวบนฟ้าต่างแข่งกันประจันแสง...
โดยมีต้นไม้ สายน้ำ และท้องทุ่ง เป็นตัวประกัน...

หมู่บ้านอันแสนสงบร่มเย็นอย่าง 'บ้านต้นรักษ์'
กำลังจะลุกเป็นไฟ

เมื่อสิ่งที่นักลงทุนอย่างเขาต้องการ
คือสิ่งเดียวกันกับที่หญิงสาวหวงแหนยิ่งชีพ
ทั้งๆที่เธอไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะมาหวงแหนในสิ่งที่ไม่ใช่
กรรมสิทธิ์ของตน!

การเชือดเฉือนจึงก่อกำเนิดในยุคแห่งวัตถุนิยม
ที่นายทุนเป็นใหญ่

ท่ามกลางสงครามอันร้อนระอุ

ระหว่าง

ราชาแห่งท้องทะเลทราย กับ ราชินีแห่งท้องทุ่ง

ที่อยู่ห่างกันราวคนละโลก ในชีวิตกันคนละแบบ
คิดอ่านกันคนละอย่าง...

เสียงเพรียกจากวันวาน จะกลับมาขับขาน
สะพานไม้หมากที่พาดข้ามฟากเชื่อมสองฝั่งคลอง
กำลังสั่นสะเทือน...เมื่อสะพานคอนกรีตจะเข้ามาแทนที่

สายสัมพันธ์ระหว่างคนกับต้นไม้กำลังจะพัดหวนคืน

...น้ำในลำธารใสสะอาดกับน้ำมันสีดำไม่อาจเข้ากันได้ฉันใด
เธอกับเขาก็ไม่อาจเข้ากันได้ฉันนั้น...

ไม่มีใครรู้ว่าระหว่าง ดวงจันทร์ดวงใหญ่แค่ดวงเดียวที่ลอยเด่น
อยู่บนฟ้ากับดวงดาวจำนวนมากมายนับล้าน
มีความเป็นมาอย่างไร...
เว้นแต่ต้นไม้ที่ผ่านกาลเวลาโดยไม่เคยหนีหายไปไหนเท่านั้น
ที่จะไขปริศนานี้...

ต้นไม้ที่ยืนผงาดอย่างอดทนผ่านร้อนหนาว
ผ่านฤดูกาลมาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีใครเคยได้ยินเสียงบ่น
ต้นไม้ที่เหมือนจะไม่รับรู้สิ่งใด...

หากทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นและเป็นไปกลับกลายเป็นส่วนหนึ่ง
ความรักความประทับใจและความผูกพันธ์ถูกบันทึกไว้ใต้ต้นไม้
หยั่งรากลึกลงในดิน หยั่งลึกลงในจิตใจ...
มีค่า มีความหมาย...นานเท่านาน...


Tags: ดราม่า รัก ต้นไม้ กอมารุน นัจมุน ก้อ นีล เชือดเฉือน แนวอนุรักษ์

ตอน: ต้นที่ 1 พี่ชายกำมะลอ


“ไม่เอา…ไม่เอา…” เด็กสาวถูกลากให้ลงจากบันไดเรือนที่ยกสูง
โดยที่ใต้ถุนเรือนมีเป็ดไก่คอยจิกคอยไซ้ข้าวเปลือกอยู่

“ต้องไป…ต้องเอาฝีออกรู้มั้ย…”

“เดี๋ยวมันก็แตกเอง…ทำไมต้องผ่า นีลไม่เอา นีลกลัวมีด…”

แค่คิดถึงผ่าก็พาลให้นึกไปถึงมีด พ่อจะพาเธอไปผ่าเอาฝีที่ชอบ
โผล่มาที่หัวของเธอบ่อยๆ แต่ใครจะยอม…

“ถ้าผ่าคราวนี้ ต่อไปมันก็จะไม่โผล่มาให้เห็นอีก…ไม่ชอบหรือไง
หรือว่าอยากเจ็บไปเรื่อยๆไม่จบไม่สิ้น…”

ร่างที่กำลังยื้อไม่ยอมตามบิดาไปบ้านอาหมอที่ใครๆก็รู้ว่าถ้าเด็กคนไหนไปหา
ต้องร้องไห้กลับมาทุกคน…แค่เห็นเด็กพวกนั้นร้องกลับมา เธอก็ไม่อยากเจอ
อาหมอท่านนั้นแล้ว…ไม่เด็ดขาด…

“ต่อไปหัวก็จะไม่มีผมงอก เพราะมีแต่ฝีผุดเต็มหัวไปหมด จนหัวล้าน…”
เสียงหนึ่งแทรกขึ้น

“กลายเป็นผู้หญิงหัวล้าน สวยตายเลย…แถมเป็นฝี หัวก็เหม็น…เวลาฝีแตก…อึ๋ย”

สีหน้าคนพูดดูขยะแขยงเธอไม่น้อย…ทำเอาคนเป็นฝีที่หัวถึงกับมองเขาอย่างเคืองๆ

แม้จะอายกับการเป็นฝีที่หัว แต่เพราะกลัวเจ็บมากกว่าอายเลยต้องทนอายให้เพื่อนๆล้อ
ไม่จบไม่สิ้นอยู่อย่างนี้

แถมยังเป็นชันนะตุในบางครั้งอีก นี่ยังไม่รวมออกหัด อีสุกอีใส คางทูม
ที่เพื่อนๆจะรีบวิ่งหนีออกห่างไม่ขอเข้ามายุ่งเกี่ยว…บางครั้งเธอต้องหยุดเรียนยาว
เพราะครูไม่อนุญาตให้ไปโรงเรียน ทั้งที่เธอมีแรงไปเรียนหนังสือได้
เธออยากมีเพื่อนเล่น ไม่อยากเล่นคนเดียว
แต่ก็ไม่มีใครอยากเล่นกับเธอเวลาที่เธอเป็นโรคพวกนั้น

ยิ่งคนตรงหน้านี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง…ขอให้รู้เถอะว่าเธอเป็นโรคติดต่อ…
เขาจะติดปีกบินหนีเธอทุกครั้งที่เจอหน้า ยอมไปนอนที่กระท่อมปลายนา
แทนการนอนที่เรือนอย่างเคยด้วยซ้ำ…

ขนาดเป็นตากุ้งยิงหรือเป็นตาแดงเขาก็ยังแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เธอ
บอกว่าถ้าไม่ทำแบบนั้นจะติดโรคจากเธอ ต้องทำแก้เคล็ดไว้จะได้ปลอดภัย…

“เรื่องอะไรของพี่ก้อมาล้อนีล…ขอแช่งให้พี่ก้อเป็นฝีที่หัวบ้าง…จะได้รู้สึก…”
เด็กสาวขมุบขมิบปากราวกับกำลังท่องบทสวดขอพรสาปแช่งเขา

“ฉันไม่ใช่เด็กขี้โรคเหมือนเธอนิ…จะได้เป็นโรคนั่นโรคนี่
เอาไปแจกคนโน้นคนนี้ทั้งปี…เป็นคนเดียวไม่พอ…ยังจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ให้ชาวบ้านชาวช่องอีก…” แววตาสุกใสหันไปตวัดใส่คนที่กำลังต่อว่าเธอ
ว่าเป็นตัวพาหะนำโรคต่างๆ เลยหันไปฟ้องพ่อตัวเองทันทีเมื่อเริ่มสู้เขาไม่ไหว

…เป็นเช่นนี้ประจำเมื่อทำอะไรเขาไม่ได้

“พ่อ…ดูพี่ก้อล้อนีล…พี่ก้อหาว่านีลเป็นตัวเชื้อโรค…”

“ก็อย่าดื้อสิ…จะได้หายไม่ต้องมีใครมาล้ออีก…” คนเป็นพ่อพยายามเข็นลูกสาว
ให้ไปหาหมอไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ไม่เคยสำเร็จ
ลูกสาวของเขาแอบวิ่งหนีตลอด…

“ใครอยากล้อก็ล้อไป นีลไม่เห็นจะสน…” คนกลัวมีดของหมอ
ที่ทำให้เด็กร้องไห้มานักต่อนักแล้วส่ายหน้าไหวๆ

“ขี้ขลาดตาขาวน่ะสิ…” คนโดนว่าเม้มปากสนิทมองพี่ชายกำมะลออย่างเอาเรื่อง

“ถ้านีลยอมไปผ่าฝีออก พ่อให้นีลขอพ่อได้อย่างนึง…อยากได้อะไร
ถ้าพ่อให้ได้พ่อจะให้เลย…” เท่านั้นแหล่ะ หัวใจน้อยๆก็เริ่มไขว้เขว

“พ่อพูดจริงหรือจ๊ะ…”

“จริงสิ…”

“งั้นนีลขอไปเที่ยวงานมัสยิด ไปนั่งชิงช้าสวรรค์ ไปดูหนูวิ่งลงรูนะจ๊ะ
แล้วพ่อต้องให้ตังค์นีลซื้อขนมลากับขนมจากด้วย…นีลชอบ…”

คนเป็นพ่อได้แต่ยิ้มบางให้กับเงื่อนไขของลูกสาว…

“แต่พ่อคงไม่ว่างพาไปนะ เพราะพ่อต้องไปทำงานต่างถิ่นหลายวัน…”

“ให้แม่พาไปสิจ๊ะ…”

“แม่เราต้องอยู่เฝ้าบ้าน…” คนเป็นลูกหน้าย่นจนเกือบเหี่ยวทันทีที่ได้ยิน
บิดาบอกเช่นนั้น หากเมื่อเหลือบตาไปเห็นตัวช่วย ดวงตาที่ใกล้จะ
ดับแสงพลันฉายแววสุกใสในบัดดล

“ก็ให้พี่ก้อพาไปสิจ๊ะ…” คนเป็นพ่อหันไปมองเด็กชายที่ยืนส่ายหน้าไหวๆ

...ให้พายัยตัวปัญหาไปด้วยเขาไม่เอาด้วยคนหรอก…

“ว่าไงก้อ…พาน้องไปด้วยได้รึเปล่า…” แววตาที่เหมือนจะขอร้อง
ของผู้มีพระคุณทำให้เด็กชายเริ่มอึดอัดใจ แม้จะไม่ชอบใจนักหากก็ไม่อาจขัดได้
เขาจึงจำต้องพยักไปอย่างเสียไม่ได้

เท่านั้นแหล่ะ เสียงสดใสร้องเต้นดีใจของตัวแพร่เชื้อโรคก็กระโดดเหยงๆยอมให้
ผู้เป็นบิดาพาไปผ่าเอาฝีออกในที่สุด

ทำให้คนที่ชอบดูฉากปวดร้าวของเด็กหญิงร่วมบ้านต้องย่องตามไปเก็บภาพ
ตอนที่ยัยตัวปัญหาโดนผ่าฝี แล้วก็เป็นดังที่คาดไว้ เสียงของยัยนั่นดังลั่นบ้าน
ของอาหมอที่เด็กๆขยาดไม่กล้าเข้าใกล้ กลับบ้านมาดวงตาแดงช้ำ
ส่วนบนหัวมีผ้าก๊อตปิดแผลเอาไว้…

“ไม่ต้องมามองนีลด้วยสายตาแบบนี้นะพี่ก้อ…คอยดูนะถ้าพี่ก้อเป็นฝีที่หัวเมื่อไหร่
นีลจะหัวเราะพี่ก้อให้ฟันร่วงเลย…”

“รอไปเถอะ…” พูดจบเด็กชายท่ีหน้าตาดีผิดแผกจากผู้อื่น
ก็หัวเราะเยาะเย้ยอีกฝ่ายอย่างสนุกสนาน…ก่อนจะแลบลิ้นปลิ้นตาใส่คนเป็นฝีที่หัว
ทำเอาคนโดนล้อร้องงอแงฟ้องพ่อเป็นการใหญ่

“อย่าแหย่น้องสิก้อ…” เด็กชายเลยขมุบขมิบปากต่อว่าอีกฝ่าย
ทำให้คนโดนต่อว่าอ่านปากเขาออกเพราะโดนเขาว่าเอาบ่อยๆ

‘เชิญขี่ม้าสามศอกไปฟ้องเลยไป๊ ยัยม้าหัวปูด…ดำๆๆๆ’

“พ่อ…พี่ก้อล้อนีลว่าดำอีกแล้ว…” เด็กสาวหันไปฟ้องผู้เป็นบิดา
เมื่อถูกรังแกจิตใจจากอีกฝ่าย…ทำเอาคนเป็นพ่อเริ่มระอากับเด็กทั้งสอง

“ก้อ…ทำไมชอบแหย่น้องนัก…ก็รู้ว่าน้องขี้แยก็ยังจะแกล้งอยู่นั่น…”

“ทีอยู่โรงเรียนโดนเขาแกล้งกว่านี้ไม่ยักกะฟ้อง…” เด็กชายแบะปาก
ให้จอมขี้ฟ้องที่ซ่อนตัวอยู่หลังขาของบิดาตัวเอง

“อาไม่รู้อะไร…ลูกสาวอาน่ะโดนไอ้เด็กพวกนั้นไถตังค์ค่าข้าวไป
จนบางวันไม่ได้กินข้าวเที่ยง…” ได้ทีฟ้องบ้าง อยากรู้เหมือนกันว่าคนโดนฟ้อง
จะทำหน้ายังไง…

“ที่พี่ก้อเขาพูดน่ะจริงหรือนีล…” เด็กสาวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
หันไปส่งสายตาวิบวับให้บ่างช่างยุ

“จ๊ะ…”

“แล้วทำไมไม่บอกพ่อ…ทีอย่างนี้ล่ะปิดเงียบ…” คนตัวเล็กโดนพ่อตำหนิ

“ก็…ก็…” คนเป็นลูกอ้ำๆอึ้งๆ

“ก็กลัวอีกล่ะสิ…กลัวอย่างนี้ไม่ต้องไปดูหนูลงรูหรอก…ชิงช้าสวรรค์นั่น
ก็ไม่รู้จะขึ้นได้รึเปล่า กลัวว่าจะไปร้องกรี๊ดๆให้อายคนอื่นเค้า…”

เด็กชายต่อให้อย่างหมั่นไส้ระคนรำคาญคนขี้กลัวอีกทั้งยังขี้แย

“ก้อ…” เสียงนั้นเหมือนจะปรามอยู่ในที เพราะไม่อยากเห็นทั้งสอง
ต้องมาทะเลาะกันในเร่ืองที่ไม่เป็นเรื่องให้เขาต้องปวดหัว

“แล้วที่บอกให้เรียกพ่อทำไมไม่เรียก…จะเรียกอาทำไม…”
เด็กชายส่ายหน้าไหวๆ แววตาดูมั่นคงจริงจัง

“ก็อาไม่ใช่พ่อผมนี่…จะให้ผมเรียกอาว่าพ่อได้ไง…ผมมีพ่อแค่คนเดียว”

เสียงนั้นดูเด็ดเดี่ยวผิดแผกไปจากเด็กทั่วๆไป เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าเด็กคนนี้
เป็นใครมาจากไหน ไปเจอเข้าตรงชายป่าเลยเก็บมาเลี้ยง…
เห็นหน่วยก้านดี ที่สำคัญ ตอนที่พบ สภาพที่เห็นทำให้เขาปฏิเสธไม่ลง

และไม่ว่าจะพยายามถามอะไรพยายามง้างปากสักเท่าไหร่
เจ้าเด็กคนนี้ก็ยังคงปิดปากเงียบสนิทไม่ยอมบอกที่มาที่ไปของตัวเอง…

บอกแค่ว่าชื่อ ‘กอมารุน’ ชื่อเล่นชื่อ 'ก้อ'

พอถามถึงนามสกุลก็เอาแต่เงียบ จนเขาต้องไปแจ้งขอรับเป็นลูกบุญธรรม
ให้ใช้นามสกุลของเขาเพื่อที่จะได้ง่ายต่อการเข้าเรียนหนังสือ…

ส่วนเรื่องอื่นๆ เขาคิดว่าสักวัน เขาคงจะได้รู้...เด็กหน้าตาผิวพรรณดีขนาดนี้
เขามั่นใจว่าคงได้รับการดูแลเลี้ยงดูปูเสื่อมาอย่างดีก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน...
แต่จะจากใครและมาจากท่ีไหนเท่านั้นเองที่เขายังติดใจสงสัยไม่เลิก...

“งั้นก็อย่าลืมพาน้องไปงานคืนพรุ่งนี้ด้วย…พ่อฝากน้องด้วยนะก้อ
คิดเสียว่านีลเป็นน้องสาว ได้มั้ย…” เด็กชายเหลือบตาไปมองคนที่เอาแต่
หลบหน้าอยู่ตรงชายกางเกงพ่อแล้วส่ายหน้า

“ไม่…ผมไม่มีพี่ไม่มีน้อง…และไม่ชอบน้องสาวแบบนี้…น่ารำคาญ...
พวกผู้หญิงไร้สาระ…” พูดจบก็เดินเลี่ยงออกไปยังสวนส้มโอหลังบ้าน
ทำเอาประมุขของบ้านถึงกับส่ายหน้าพลางลอบถอนหายใจ

“หนักใจอะไรหรือพี่…”

“ก็หนักใจลูกชายของเธอน่ะสิ…”

“ฉันว่าก้อเขาน่าสงสารออกพี่…เด็กตัวแค่นี้เอง…ต้องมาระเห็ดระเหเร่ร่อน...”

“ก็เพราะว่าสงสารน่ะสิถึงไม่อยากทำอะไรผลีผลามหรือพูดจาให้เสียใจ
กลัวว่าจะน้อยใจหนีเตลิดเปิดเปิงไปไหนต่อไหน…บอกตามตรงว่า
พี่กลัวใจเด็กคนนี้จริงๆ…” คนเป็นประมุขของบ้านมองภรรยาคู่ชีวิต
ด้วยสีหน้าหนักใจ

“ฉันว่าไม่หรอก…เห็นอย่างนั้น…ก้อเขาดูแลยัยหนูของเราดีออกนะพี่
ผลการเรียนก็ดีเยี่ยม...มีความรับผิดชอบ สั่งอะไรเป็นทำได้ไร้ที่ติ...
งานการก็ช่วยฉันไม่เคยขัด เป็ดไก่ต้อนเข้าเล้าให้ทุกเย็น...
เห็นยัยหนูเล่าให้ฟังบ่อยๆว่าพี่เขาช่วยโน่นช่วยนี่ประจำ…ใช่มั้ยยัยหนู…”

ผู้เป็นลูกที่ยืนฟังพ่อแม่พูดคุยกันหูผึ่งรีบพยักหน้ายืนยันหนักแน่น

เธอไม่อยากให้ใครมองพี่ชายกำมะลอของเธอว่าเป็นคนไม่ดีเลย…
อย่างน้อยเขาก็ใจดีกับเธอ...แม้จะใจร้ายมากกว่าก็ตาม…


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


“อย่าคิดนะว่ามากับฉันแล้วจะสนุกน่ะ…”

คนที่ต้องหนีบเด็กผู้หญิงที่เขาแสนจะรำคาญมางานมัสยิดด้วยถึงกับพูดออกมา
ด้วยสีหน้าเซ็งๆ ทว่า เด็กสาวหาได้สนใจคำพูดนั้นไม่
เพราะมัวแต่มองของเล่นสารพัดรวมทั้งของกินมากมายที่วางขายเกลื่อนกลาด
ไปทั่วทั้งงานอย่างตื่นเต้น

เธอไม่เคยได้มางานแบบนี้ เพราะไม่มีคนพามา พ่อกับแม่ไม่เคยว่าง
ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกหลังจากฟังจากเสียงเพื่อนๆโม้ให้ฟังมาตลอด…
โดยเฉพาะชิงช้าสวรรค์ เธออยากรู้ว่ามันมีหน้าตาเป็นยังไง…
ทำไมเพื่อนๆถึงได้ชอบนักหนา ไหนจะหนูวิ่งเข้ารูอีก…เธอต้องไปดูให้เห็น
กับตาให้ได้ว่ามันเป็นยังไง

“พี่ก้อ…พี่ก้อพานีลไปดูชิงช้าสวรรค์หน่อยสิ…” เด็กสาวเริ่มหันไปอ้อนคนพามา

“ก็นั่นไง…อยากดูก็ดูไปสิ ไม่เสียตังค์ด้วย แต่บอกไว้ก่อนนะว่า
ฉันไม่พาไปขึ้นหรอก…ไม่อยากหูแตก…”

เด็กชายชี้ไปยังชิงช้าสวรรค์ที่มองเห็นมาแต่ไกลตั้งแต่เดินเข้างานมาด้วยซ้ำ…
เด็กสาวยิ้มกว้างมองชิงช้าสวรรค์ที่หมุนไปมาด้วยดวงตาระยิบระยับเป็นประกาย

“บนนั้นมีคนอยู่ด้วยนี่พี่ก้อ…นีลอยากขึ้นไปอยู่บนนั้นบ้างจัง”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่พาขึ้นไปแน่ๆ…”

“งั้นนีลขึ้นคนเดียวก็ได้…ไม่เห็นจะง้อพี่ก้อเลย เชอะ”

“ไม่!” เสียงนั้นฟังดูเฉียบขาดทีเดียว แต่คนที่กำลังอยากขึ้นชิงช้าสวรรค์
มีหรือจะยอมง่ายๆ ร่างแน่งน้อยท่ีสวมชุดกระโปรงสวยสีชมพูหวานแบบจัดเต็ม
เพื่อมางานนี้เดินไปยังเป้าหมายดังกล่าวโดยไม่สนใจเสียงนกเสียงกา
ที่กำลังส่งเสียงรบกวนการไปถึงเป้าหมายของตน

“บอกว่าให้หยุดไง…ไม่งั้นจะพากลับบ้าน…” ร่างที่ใหญ่กว่าวิ่งมาดักหน้าไว
กางแขนไม่ยอมให้อีกฝ่ายผ่านไปได้

“พี่ก้อ…ทำไมพี่ก้อต้องห้าม…กว่านีลจะขอพ่อมางานได้ นีลต้องเจ็บฝีที่หัว
ตอนมันโดนผ่ามากนะพี่ก้อ…ออกไปเลย ไม่ต้องมาขวาง…”

คนที่ยังมีผ้าก๊อตแปะอยู่บนหัวร้องบอกด้วยสีหน้าไม่พอใจที่ถูกขัดขวาง

“ไปดูหนูลงรูดีกว่า…” ว่าแล้วก็คว้าข้อมือเล็กลากไปยังสถานที่ที่
จัดให้มีการแข่งหนูลงรู

“เผื่อโชคดีได้ของเล่นไง…” เขาบอกแล้วลากเธอจนมาถึงที่ที่มีการ
แข่งให้หนูวิ่งลงรู หากหนูลงรูของใคร คนนั้นก็ได้ของอย่างหนึ่งติดมือ

เด็กสาวเลยเพลิดเพลินไปกับการดูหนูวิ่งลงรูอยู่พักใหญ่ ได้ของเล่น
ติดไม้ติดมือกลับมาด้วย แต่ก็ไม่ได้ลืมชิงช้าสวรรค์ไปง่ายๆ

“พี่ก้อ…เราไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ด้วยกันเถอะนะ นีลสัญญาว่าจะไม่ร้องกรี๊ด…
ไม่ร้องเด็ดขาดเลย…นะพี่ก้อนะ…” เด็กชายส่ายหน้าไม่ยอมท่าเดียว
ยังไงเขาก็จะไม่ใจอ่อนเด็ดขาด เกิดอยู่ๆยัยตัวปัญหานี่เกิดไปร้องไห้
ตอนอยู่บนนั้นจะทำยังไง…ขี้กลัวแถมยังขี้แยออกขนาดนี้…

“ไม่…ยังไงก็ไม่…”

“แต่นีลไม่เคยมางานแบบนี้เลย…และก็ไม่รู้ว่าจะได้มาอีกเมื่อไหร่
พ่อต้องไปทำงานที่ไกลๆบ่อยๆ ส่วนแม่ก็ต้องเฝ้าบ้าน…พี่ก้อให้นีล
ขึ้นไปบนนั้นนะจ๊ะ…นีลสัญญา คำไหนคำนั้นเลย…”
คนฟังชักเริ่มใจอ่อนลงมาอีกโขเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“แน่นะ…” เด็กสาวพยักหน้ายืนยันหนักแน่น

“นีลสัญญา…” เด็กชายเลยจูงมือยัยตัวปัญหาไปยังชิงช้าสวรรค์

เมื่อเข้าไปนั่งอยู่ในนั้น ทั้งสองจึงหันมาตกลงกันอีกครั้งก่อนที่ชิงช้าสวรรค์
จะไต่ขึ้นไปสูงกว่านี้

“ถ้าเธอร้องออกมาให้ได้ยินแม้แต่นิดเดียวนะ…ฉันจะไม่พาเธอไปไหนอีกเลย…”

เด็กสาวพยักหน้ายืนยัน แม้ตอนนี้ชักจะเริ่มหวั่นๆขึ้นมาบ้างแล้ว
หากก็พยายามแข็งใจไว้ ยกมือปิดปากตัวเองเอาไว้แน่น
เนื้อตัวเริ่มเกร็งเมื่อชิงช้าสวรรค์เริ่มไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ

แล้วเมื่อมันไต่ขึ้นไปยังจุดสูงสุดแล้วหยุดนิ่ง เด็กสาวก็เริ่มสั่นหนักขึ้น
เอามือปิดปากตัวเองเอาไว้แน่นไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกมา ดวงตามีน้ำเอ่อคลอ

และพอมันไต่ลงมา ร่างแน่งน้อยที่รู้สึกเสียววูบก็ถึงกับโผเข้าไปกอด
คนที่นั่งอยู่ด้วยกันแน่นทีเดียว…หลับตาปี๋ไม่ยอมมองสิ่งใดๆอีกเลย…

“ว่าแล้วเชียว…ไม่น่าเลย…เสียตังค์ฟรีจริงๆ…”

ว่าพลางมองตัวปัญหาในชีวิตเขาที่เขาเดาไม่เคยผิดว่าต้องกลัว…

พอกระเช้าของเขามาถึงด้านล่าง คนที่ยังกอดเขาแน่นหลับตาปี๋ก็ยังไม่ยอมลืมตา

“ถึงแล้ว…ได้เวลาลงแล้ว…” บอกพลางยกร่างนั้นหนีบออกมาเสียเลย
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา

“พี่ก้อ…นีลกลัว…” เสียงเล็กๆสารภาพแต่โดยดี

“ก็บอกแล้วก็ไม่เชื่อ…งั้นก็กลับบ้านกัน…เร็ว” คนนำทางเร่ง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังยืนนิ่งๆไม่ยอมขยับทั้งๆที่เขาหนีบเอามาวางไว้ตรงพื้น
ท่าไหนท่านั้นไม่มีเปลี่ยนแปลง

“พี่ก้อ…นีล…นีลก้าวไม่ได้แล้ว ขา…ขานีลมันไม่มีแรง…เหมือนมันสั่นๆ”

คนฟังยกมือตบหน้าผากตัวเองด้วยสีหน้าสุดเซ็ง ก่อนจะนั่งลงส่ังให้อีกคนขี่หลัง

“ขึ้นมาเร็วๆ ไม่งั้นจะทิ้งให้เฝ้าเสาชิงช้าสวรรค์นี้ทั้งคืนแน่…ชอบนัก”
เด็กสาวจึงโถมกายลงบนแผ่นหลังนั่น ตวัดแขนทั้งสองไปข้างหน้า
แล้วเขาก็พาเธอขี่หลังเดินกลับบ้าน

“เดี๋ยวๆพี่ก้อ…นีลยังไม่ได้ซื้อขนมไปฝากแม่เลย…ขนมลากับขนมจากนั่นไง…”
ว่าพลางชี้ไปทางร้านที่ขายขนมดังกล่าว…

“เรื่องเยอะจริง…” เด็กชายบ่นจบก็เดินไปยังร้านดังกล่าว

พอได้ของที่ต้องการแล้วก็ให้เจ้าของขนมถือขนมโดยที่เขากลายเป็นม้าให้เธอขี่ไปแล้ว…
คนที่ขี่หลังสบายมาได้สักพัก แม้อยากจะขี่หลังต่อหากก็อดเห็นใจเขาไม่ได้
เลยบอกเขาว่า

“นีลหายสั่นแล้ว…พี่ก้อปล่อยให้นีลลงก็ได้…”

“หุบปากไปเถอะน่า…เดินช้าเหมือนเต่าอย่างเธอน่ะเมื่อไหร่จะถึงบ้าน
ฉันง่วงอยากนอนจะแย่อยู่แล้ว…”

คนที่ได้อภิสิทธิ์ให้ขี่หลังต่อไปได้มีหรือจะไม่ดีใจ ดวงหน้าใสจึงเบิกบานยิ่งนัก
ซบหน้าลงบนแผ่นหลังนั้น

“นีลอยากมีพี่ชายอย่างพี่ก้อจัง…พี่ก้อเป็นพี่ชายให้นีลนะ…”

“ไม่…เพราะฉันไม่ได้อยากมีน้องสาวแบบเธอสักนิดเดียว…”

“พี่ก้อไม่ชอบนีลเหรอ…”

“ใช่…เบื่อและก็รำคาญ…”

คนฟังเลยหุบปากฉับลงไม่กล้าถามต่อ ก่อนจะเปิดปากหาวหวอดๆไปตลอดทาง
แล้วหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ทำให้คนแบกต้องก้มลงหยิบข้าวของในมือที่คนหลับทำร่วงมาถือเอาไว้เสียเอง

…ทั้งคนทั้งของ…ภาระทั้งนั้น…

แต่เพราะบุญคุณที่พ่อแม่ของเด็กคนนี้ช่วยเหลือเขาเอาไว้
ให้ที่พักพิงแก่เขา ให้ข้าวปลาอาหารและให้ความรักความห่วงใยนั้น
ช่างยิ่งใหญ่นัก…ชีวิตนี้ทั้งชีวิตเขาจะไม่มีวันลืมเลย…

หากนี่คือการทดแทนบุญคุณ เขาก็เต็มใจที่จะทำเพื่อผู้มีพระคุณทั้งสอง…


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ เธอกับพี่ชายกำมะลอถูกผู้เป็นมารดาใช้ใหนั่งกวนน้ำกะทิ
ในกะทะใบใหญ่เพื่อเคี่ยวเอาน้ำมันมะพร้าว

สองพ่ีน้องต่างสายเลือดเลยต้องผลัดกันกวน จะแอบหลบไปวิ่งเล่นก็ไม่ได้
นานหลายชั่วโมงก็ไม่มีวี่แววว่าน้ำกะทิสีขาวจะเปลี่ยนเป็นน้ำมันสีเหลือง
ที่แม่เอาไว้ทอดปลาและผัดโน่นนี่ให้กิน…

แม่บอกว่าน้ำมันมะพร้าวถ้าได้เอาไปทาผมนวดผมแล้วจะทำให้ผมสวยเงางาม
เธอที่อยากผมสวยเหมือนแม่เลยต้องมานั่งเฝ้ากะทะอย่างใจจดใจจ่อ
รอน้ำมันที่ว่าอยู่

ที่สำคัญ มันมีขี้มัน หรือกากที่เหลือหลังจากกรองน้ำมันออกไปจนหมดแล้ว
รสชาติของมันหอมมันหวานอร่อยด้วย…

“ดูไฟด้วย…มอดแล้วเห็นมั้ย…” เสียงนั้นดุเธอที่มีหน้าที่ดูไฟและหาฟืนมาเติมไฟ
ผลัดกับเขาที่ตอนนี้กำลังทำหน้าที่พายน้ำกะทิอยู่ในกะทะ

“หาอะไรมาพัดสิ มันจะได้ลุก…ต้องให้บอกตลอด…”

คนที่โดนเหน็บว่าสมองเท่ามดคิดอะไรไม่เป็นได้แต่ทำตาม
โดยการไปหยิบใบพัดของแม่มาพัดวีไฟให้ลุก

“พัดให้ดีๆหน่อย ฝุ่นตลบเข้าตาฉันหมดแล้ว โอ๊ย นั่นมันจะบินมาลงกะทะแล้วนะ…
ทำอะไรไม่เคยได้เรื่องสักอย่าง…เอามานี่ แล้วมานั่งพายน้ำกะทิต่อเลยนะ…”

เสียงดุและดูเข้มงวดนั้นทำเอาคนโดนดุตัวหงอยอมสิโรราบ
เขาให้ทำอะไรก็ยอมเขาหมด จะต่อว่ายังไงก็หมดทางโต้แย้ง…
เลยต้องมานั่งจับไม่พายกวนน้ำกะทิต่อจากเขาโดยที่เขากลับไปนั่งพัดวีไฟต่อ

พอเธอเผลอกวนไปอีกทางสลับไปมาเพราะเมื่อยแขนเขาก็ต่อว่าให้อีกว่า

“แม่เธอบอกว่าให้กวนไปทางเดียวกันไม่ใช่รึไง ไม่เคยจำ…ยัยมดดำ”

“งั้นพี่ก้อก็มากวนเองเลย…นีลทำอะไรก็ไม่เห็นดีสักอย่าง…”
คนโดนดุเริ่มน้อยใจ

“ก็มันจริงมั้ยล่ะ ไปไล่เป็ดไล่ไก่โน่นไป…ออกไปห่างๆเลยนะ…รำคาญ”

คนโดนไล่หน้างอเกือบๆจะร้องไห้ออกมาแล้ว แต่เมื่อโดนอีกคนชี้หน้า
ด้วยแววตาเข้มดุ ปากที่กำลังจะแหกปากร้องก็ต้องรีบหุบฉับ

“เสียงเอะอะอะไรกันสองคนนี้…” เสียงของคนเป็นแม่ที่กำลังนั่งเย็บเสื้อ
ที่พีี่ชายกำมะลอของเธอทำขาดเอ่ยขึ้น

“ไม่มีอะไรครับ…” เสียงคนตัวโตกว่าตอบกลับไปขณะที่จ้องตา
จอมขี้ฟ้องเขม็งไม่ให้เปิดปากพูดออกมา

“พี่ก้อชอบโกหกคนอื่น…”

“ก็ดีกว่าเด็กขี้ฟ้องอย่างเธอที่ชอบสร้างปัญหาให้ชาวบ้านเขาอยู่เรื่อยล่ะน่า…”

“นีลไม่ใช่เด็กมีปัญหา พี่ก้อนั่นแหล่ะเป็นเด็กมีปัญหา
คุณครูท่ีโรงเรียนก็ว่าพี่ก้อเป็นเด็กมีปัญหา…”

คราวนี้คนตัวเล็กกว่าถึงกับสวนกลับออกไปทันควัน
ส่งผลให้คนที่โดนมองว่าเป็นเด็กมีปัญหาถึงกับควันออกหู

“เป็นเด็กบ้านแตกด้วย…” แม้ไม่รู้ว่าเด็กบ้านแตกคืออะไร
แต่เมื่อได้ฟังคนอื่นเขาว่ามาอย่างนั้นก็เลยต่อว่าอีกฝ่ายคืนบ้าง

“พูดใหม่นะ…บอกว่าให้พูดใหม่” เสียงนั้นเริ่มตะคอกด้วยสีหน้าไม่สู่้ดีนัก
หากอีกคนกลับไม่ได้กริ่งเกรงขึ้นมา…คนเรามันก็มีจุดจุดนึงที่ไม่อยากทนเหมือนกัน

“ไม่…นีลพูดเรื่องจริง…” ดูเหมือนคนพูดเรื่องจริงกำลังจะเจอดีในอีกไม่ช้า

“หยุดนะนีล!” เสียงของคนเป็นแม่ที่ได้ยินแว่วๆว่าเด็กสองคนพูดเรื่องอะไรกัน
ตวาดลูกสาวเสียงเข้มทีเดียว ทำเอาคนเป็นลูกแท้ๆถึงกับใจเสีย

“เอาข้าวไปให้ไก่ไป ปล่อยให้พี่ก้อเขาทำต่อ…” ทว่า เด็กสาวยังนั่งไม่ยอมไหวติง

“แม่บอกว่าให้ไปไง…อย่ามาดื้อกับแม่นะนีล…” เด็กสาวแบะปาก
เตรียมจะร้องไห้ด้วยความน้อยอกน้อยใจมารดาที่เข้าข้างพี่ชายกำมะลอ
แถมเขายังหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เธออีก เด็กสาวเลยเปลี่ยนจากที่อยากจะแหกปากร้องไห้
เป็นลุกขึ้นยืนยกมือตีหัวเขาไปสามทีซ้อนกัน

“นี่แน่ะๆๆ…” แล้วก็วิ่งจู๋ออกไปทันที ก่อนจะหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่คืน

“นีล ตีหัวพี่ไม่ได้นะ มันบาปรู้มั้ยลูก…ไปขอโทษพี่เขาเดี๋ยวนี้…”

คนเป็นแม่เห็นการกระทำของลูกสาวเต็มๆตาเลยสั่งแกมบังคับด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หากคนเป็นลูกแท้ๆกลับนิ่งเฉย

“ถ้าดื้อนัก แม่จะตีนะนีล…” คนขี้กลัวเริ่มลนลาน และเมื่อเห็นมารดา
ลุกขึ้นไปหยิบไม้หวายขึ้นมาไว้ในมือพร้อม เด็กสาวเลยยอมเดินเข้า
ไปหาพี่ชายกำมะลอและขอโทษเขาอย่างไม่เต็มใจนัก

“ขอโทษใหม่…แบบนั้นแม่ไม่นับว่าเป็นการขอโทษที่ถูกต้อง…”

เมื่อเห็นว่าลูกยังเฉย เลยยกไม้ขึ้นง้าง ทว่าเด็กชายกลับลุกขึ้น
เอาตัวขวางทางหวายไว้

“ไม่เป็นไรครับอา…แล้วไปแล้ว ผมไม่ถือสา…”

“ออกไปนะก้อ…แม่จะตีเด็กที่ดื้อ สอนไม่ฟังจะได้หลาบจำ…
บอกให้ออกไปไงก้อ…” หากเด็กชายกลับยืนนิ่งไม่ยอมออกไป

“หรือจะให้ตีทั้งคู่…”

“ไม่นะไม่…นีลขอโทษจ๊ะ นีลขอโทษ…แม่อย่าโกรธนีลนะจ๊ะ…”

เสียงน้อยๆร้องบอก ในขณะที่ยังคงหลบอยู่ข้างหลังคนตัวโตกว่า
ด้วยความกลัวไม้หวายของแม่ ก่อนจะหันไปพูดกับพี่ชายกำมะลอ
ด้วยแววตาสำนึกผิดแล้วจริงๆว่า

“พี่ก้อ…นีลขอโทษ…คราวหลังนีลจะไม่ตีหัวพี่ก้ออีก…”

“แน่นะนีล…” คนเป็นแม่ถามย้ำเสียงเขียวทีเดียว

“แน่จ๊ะ…นีลรู้แล้วว่ามันบาป นีลจะไม่ทำอีก…”

“งั้นก็กลับไปทำหน้าที่ต่อ…” คนเป็นแม่เอาไม้หวายลง ทั้งสองเลย
แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนต่อ

“งั้นเดี๋ยวนีลช่วยพี่ก้อเคี่ยวน้ำมันต่อนะจ๊ะ…”

“ได้…แต่ต้องไม่ทะเลาะกันอีกนะ…”

“ไม่แล้วจ๊ะ…” เมื่อเห็นว่าลูกสาวยอมแต่โดยดีแล้วจึงหันไปทางอีกคนที่ยืนนิ่งอยู่

“ว่าไงก้อ…”

“ไม่แล้วเหมือนกันครับ…” เด็กชายยอมพร้อมกับนั่งลงประจำตำแหน่งเดิม
แล้วทำหน้าที่ของตนต่อไป

พอเคี่ยวน้ำมันมะพร้าวจนเสร็จ ทั้งสองก็มานั่งกินขี้มันหรือกากที่ได้จากการ
กรองน้ำมันออกด้วยกันที่ใต้ถุนบ้าน…

“พี่ก้อชอบล่ะสิ…”

“เฉยๆ…” เด็กชายตอบด้วยสีหน้าแววตาเรียบๆ ส่วนคนที่ตักกินจนปากมันแผล็บ
อย่างไม่สนใจว่ามันจะเลอะปากขนาดไหนนั้นยิ้มแก้มปริ

“งั้นเราไปหาฝรั่งมากินแกล้มดีมั้ยพี่ก้อ…” คนตัวเล็กกระซิบเบาๆ
เพื่อไม่ให้มารดาได้ยินแผนการของตน มิเช่นนั้นจะโดนมิใช่น้อย

“ขี้เกียจปีน…”

“หาไม้สอยเอาก็ได้…”

“เมื่อยแขนแล้ว…” คนที่ใช้มือพายน้ำกะทิจนแตกมันส่ายหน้าไหวๆ

"งั้นใช้ไม้ขว้างปาเอา...พี่ก้อปาเก่งอยู่แล้ว..." มือปาหันมามองคนยุแล้วส่ายหน้า

"ใช้หนังสติ๊กก็ได้...เดี๋ยวนีลหาลูกหินกระสุนให้พี่ก้อเอง"
หากอีกฝ่ายกลับไม่สนใจหรือใส่ใจ

“โธ่...งั้นนีลปีนไปเก็บบนต้นเองก็ได้…นีลปีนได้นะ…”

“น้ำหน้าอย่างเธอน่ะเรอะจะปีนได้ ขี้คร้านจะตกต้นฝรั่งเอา
ฉันขี้เกียจตามไปเก็บเธอที่ใต้ต้น…”

คนโดนสบประมาทย่นจมูกพร้อมกับแบะปากแล้วยื่นหน้าใส่
ทำเอาเด็กชายขยุ้มขี้มันขึ้นป้ายแก้มพร้อมกับป้ายผมของคนตัวเล็กกว่าทันที
ด้วยความหมั่นไส้ คนตัวเล็กเลยเอาคืนบ้าง

เลยเกิดศึกขึ้นตรงใต้ถุนบ้านอีกครั้ง กว่ากรรมการจะมาห้ามมวยคู่นี้
สภาพของนักมวยทั้งคู่ก็ดูยับเยินแทบดูไม่ได้

โดยสภาพของนักมวยฝ่ายหญิงนั้นผมเผ้ายุ่งเหยิง มันเยิ้มไปหมด
หน้าตาก็เลอะไปด้วยกากน้ำมันมะพร้าว เนื้อตัวไม่ต้องถาม
ตอนนี้มีคราบน้ำมันเลอะเต็มไปหมด

ส่วนนักมวยฝ่ายชายก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน…
นับว่าเป็นคู่ที่สูสี สมน้ำสมเนื้อที่สุดคู่หนึ่ง

“ไปอาบน้ำสระผมทั้งคู่…แล้วก็ซักเสื้อเองด้วย…ห้ามใครสักให้กัน
ของใครคนนั้นต้องรับผิดชอบเอง…”

เสียงกรรมการตัดสินชี้ขาดดังขึ้นพร้อมระฆังหมดยก
สองพี่น้องต่างสายเลือดเลยมองหน้ากันก่อนจะถอนใจออกมาพร้อมกัน

“โน่นเลย…ไปที่ลำธารนั่นเลย…” ผู้เป็นมารดาชี้ไปยังลำธารที่อยู่ไม่ไกลกันกับบ้าน…
ทั้งสองเลยเดินหน้ามุ่ยพร้อมกับอุปกรณ์สำหรับอาบน้ำไปด้วยกันที่ลำธาร

หากยังไม่วายได้ยินเสียงมารดาไล่หลังมาอีกว่า

“ถ้าได้ยินว่าทะเลาะกันในลำธารอีกล่ะก็…เย็นนี้ไม่ต้องกินข้าว…”

เด็กทั้งสองเลยต้องสงบปากสงบคำ อีกทั้งยังต้องสงบท่าทีต่อกันเพื่อ
สะสางภารกิจให้ลุล่วง หากก็ยังไม่วายเหน็บคนตัวเล็กที่ใช้ผงซักฟอกมากจนเกินเหตุ

“มันมากไปมั้ย…เกือบหมดซองแล้วนั่น…”

“นีลกลัวมันจะไม่สะอาด…” ปากบอกมือก็ยังขยี้เสื้อผ้าของตัวเองไปด้วย

“กลัวมันทุกเรื่องจริงๆ…” ไม่วายบ่นคนขี้กลัว

ซึ่งกว่าจะซักเสื้อเสร็จก็ใช้เวลาไปนานโข พอเสร็จจากเสื้อทั้งสองก็
หันมาเล่นน้ำสระผมด้วยกัน

“ไหนให้ดูหน่อยซิว่าฝีที่หัวเธอหายสนิทแล้วยัง…”
ว่าพลางจับหัวทุยๆนั่นมาสำรวจดู…

“หายแล้วนะเนี่ย…แต่หัวยังเหม็นเหมือนเดิม…”

คนที่ดูเหมือนจะไม่เคยมีอะไรดีในสายตาพี่ชายกำมะลอเงยหน้าขึ้นมองอย่างเคืองๆ

“ก็กำลังจะสระผมอยู่นี่ไง…เดี๋ยวก็หอม…”

“หมดซองนี่จะหอมรึเปล่าก็ไม่รู้…”

“เก๊าะต้องหอมซี…” ว่าแล้วก็บีบยาสระผมแล้วขยี้ลงบนศีรษะตัวเอง

“เวลาสระเขาให้สระจนทั่ว ไม่ใช่สระแค่กระจุกที่กลางหัว
มันต้องสระอย่างนี้…” ว่าพลางสาธิตให้ดูด้วยการบีบยาสระผมลงไปบนฝ่ามือ
แล้วขยี้ไปบนศีรษะทุยๆนั่นไปจนทั่ว นวดไปตามเส้นผมยาวนุ่มมือ

“โอ๊ย…พี่ก้อมือหนักจะตาย…นีลเจ็บหนังหัวจะแย่อยู่แล้ว…” เด็กสาวโวยวายลั่น

“ใจเสาะจริงๆ…”

“งั้นลองดูมั้ย เดี๋ยวนีลสระแบบที่พี่ก้อสระให้นีลบ้าง”

“พอๆ…ไม่ต้อง…ลืมไปแล้วรึไงว่าแม่เธอบอกว่าห้ามยุ่งกับหัวฉัน”

“ก็แค่สระ ไม่ได้จะตีสักหน่อย…ก้มลงมาเลย…” เด็กชายส่ายหัวไม่ยอมท่าเดียว

คนตัวเล็กเลยกระโดดขึ้นขี่หลังใช้มือข้างนึงกอดคอเขาเอาไว้
ส่วนอีกข้างนึงบีบยาสระผมแล้วละเลงลงบนหัวของคนที่ตนเองขี่หลังอยู่…

แม้เจ้าของแผ่นหลังจะพยายามสลัดเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหลุด…
เพราะขาทั้งเกี่ยวกระหวัดรัดลำตัวของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างเหนียวแน่น

“เธอนี่มันลิงดำชัดๆ…” และเมื่อนึกได้ว่าจะแกล้งลิงตัวนี้อย่างไร
คนตัวโตก็เลยแกล้งล้มหงายหลังลงไปในน้ำ

ทำเอาลิงที่เกาะติดเหนียวแน่นเป็นตังเมถึงกับกรี๊ดลั่น หากกลับกระโดดเกาะขาอีกฝ่าย
ที่พยายามจะหนี กลายเป็นล้มลงเป็นกอดกันอยู่ในน้ำ

คนตัวโตเลยถือโอกาสล้างยาสระผมออกให้ตัวเองแล้วก็ยัยตัวปัญหาไปด้วยเสียเลย

“แสบตาจังเลยพี่ก้อ…” มือป้อมๆยกขึ้นหมายจะขยี้ตาหากโดนมือของอีกฝ่าย
คว้าเอาไว้ได้ทัน

“อย่าขยี้สิ…เดี๋ยวตาแดงช้ำหมด…อยากเป็นตาแดงอีกรึไง...”
ว่าพลางกวักน้ำขึ้นลูบหน้าให้คนที่บอกว่าแสบตาอยู่หลายรอบ

“เป็นไง…หายรึยัง…” ร่างเล็กกว่าพยักหน้า

"นีลจะไม่เป็นตาแดงใช่มั้ยพี่ก้อ..." จริงๆก็ไม่ได้กลัวการเป็นตาแดง
เพราะมันก็แค่เจ็บตานิดๆกับมีขี้หน้ามาปิดตาเวลาตื่นนอนเท่านั้น...
แต่ที่ไม่อยากเป็นเพราะเวลาเป็นตาแดงทีไร ไม่มีใครอยากเข้าใกล้เธอ
ไม่มีใครอยากเล่นด้วย โดยเฉพาะพี่ก้อ...หลายวันกว่าเขาจะยอมเข้าใกล้เธอ
ขนาดตอนกินข้าว เขายังหอบจานข้าวหนีไปนั่งกินที่นอกชานเรือนเสียไกลตา...

"ไม่เป็นหรอกน่า...แต่ถ้าเป็น...เก๊าะ...ตัวใครตัวมัน...อยากไม่ระวังเอง..."
เด็กสาวหน้างอ นึกกลัวการเป็นตาแดงขึ้นมาตะหงิดๆ...

“งั้นเราขึ้นจากน้ำกันเถอะ…” ว่าพลางจูงมือน้อยๆของเด็กสาวในวัยหกขวบ
ขึ้นไปบนฝั่ง หยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นห่อตัวให้คนที่ล่อนจ้อนทันที

ก่อนจะจัดการกับตัวเองที่นุ่งกางเกงเพียงแค่ตัวเดียว…
เนื่องจากโดนกำชับมาว่าไม่ให้ล่อนจ้อนลงน้ำเพราะเขาเข้าสุหนัด
(เข้าพิธีขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ) แล้ว

ก่อนจะรีบผลัดชุดใหม่ที่เตรียมมาด้วย อีกทั้งยังต้องช่วยแต่งตัวให้เด็ก
ที่ยังใส่เสื้อกลับหน้ากลับหลัง ปลิ้นนอกออกในก็มี

หลังจากนั้นจึงนำเสื้อที่ซักไปตากที่ราวตากผ้าด้วยกัน…และก็เช่นเคย
คนที่ตัวเล็กกว่าไม่มีปัญหาจะตากผ้าถึง ส่วนสูงยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะตากผ้าได้
เลยต้องพึ่งพาคนที่ตัวสูงกว่าอยู่ดี…

“อยากกินฝรั่งนั่นน่ะพี่ก้อ…ลูกมันสุกแล้ว ห้อมหอม…”

คนที่อยากกินฝรั่งมาแต่ต้นไม่วายเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเดินผ่านใต้ต้นฝรั่งต้นนั้น

“ก็บอกว่าข้ีเกียจปีนไง…”

“แต่…” ปากที่กำลังจะอ้าต่อเป็นอันต้องหุบฉับเมื่อเจอเข้ากับแววตา
เรืองแสงได้ของอีกฝ่าย

“ถ้าไม่ได้กินจะนอนไม่หลับรึไง เพ้ออยู่นั่นแหล่ะ…”

คนโดนหาว่าเพ้อเลยเลิกตอแยทันที…

หากพอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว อยู่ๆผลฝรั่งก็หล่นลงมาจากต้นราวกับปาฏิหาริย์…
เด็กน้อยทั้งสองหันไปมองตามเสียงนั้นพร้อมกัน

และเป็นคนตัวเล็กกว่าที่มือไว เท้าไว วิ่งไปยังเป้าหมาย
และคว้ามาไว้ในมือพร้อมกับพิจารณาด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า

“มันไม่ได้เน่าด้วยแหล่ะพี่ก้อ…” ว่าพลางพิสูจน์ด้วยการกัดดู
ก็ไม่พบว่ามีหนอนอยู่ข้างใน

“ต้นฝรั่งมันยังใจดีกว่าพ่ีก้อเป็นไหนๆ…มันเห็นใจนีล…รู้ว่านีลอยากกินลูกของมัน…
มันเลยยอมปล่อยลูกมันมาให้นีล เห็นมั้ย…”

ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปหาต้นฝรั่ง กอดมันแล้วเอาแก้มไปแนบกับลำต้น

“ขอบใจนะจ๊ะต้นฝรั่งแสนดี…ขอให้อ้วนพีๆ…ลูกดกทุกปีเลยนะจ๊ะ”

“ใจคอจะกอดต้นไม้ทุกต้นที่มันส่งลูกมาให้เธอกินเลยรึไง ไร้สาระจริงๆ”

คนที่โดนมองว่าทำเรื่องไร้สาระหันไปตวัดตาใส่คนที่ไม่มีความเป็นมิตรเอาเสียเลย
ก่อนจะบอกว่า

“ก็คนมันรักนี่…มันน่ารักออก…” คนฟังได้แต่ส่ายหน้า

“งั้นก็ยืนกอดมันให้สมกับความน่ารักของมันไปก็แล้วกัน…”

พูดจบพร้อมส่ายหน้าแล้วก็ทิ้งให้คนตัวเล็กกว่าให้ยืนกอดต้นฝรั่งต้นนั้นต่อไป
ทำเอาเด็กสาวถึงกับรีบผละจากต้นไม้แล้ววิ่งตามหลังพี่ชายกำมะลอไปให้ทัน…
แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะวิ่งทันสักที...





...........โปรดติดตามตอนต่อไป.................


รอบบนี้...เอาสองพี่น้องต่างสายเลือดมาเสริฟต่อ...
ตอนนี้ก็ยังอยู่ในโหมดของยุคที่ไร้โทรศัพท์มือถือ ไม่มีอินเตอร์เนตอยู่ค่ะ
รอให้โตอีกหน่อย...แบบว่ากำลังกินกำลังโต...เหอๆ ^^

สลับอารมณ์กับการเข็นเงามาร ที่ใกล้จะปิดฉากแล้ว... ^^

เรื่องนี้...ชีวิตของพระ-นางต่างก็มีพลิกผันชนิดที่น่าใจหายนิดนึง...

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่หลงเข้ามาอ่านนะคะ อิอิ
ขอบคุณทุกๆไลค์ที่กดให้น้า
ขอบคุณกำลังใจดีที่พิมพ์มาบอกจ๊ะ
แล้วก็...ขอบคุณนักอ่านเงา




..........ตอบเมนท์จ่ะ.............


1.คุณyapapaya...โยเอามาแปะก่อนที่เรื่องเหล่ามารจะปิดฉากลงอ่ะจิ...
ต้องเปิดเรื่องใหม่เรียกพลังไว้ก่อน...ประมาณว่า...ยังมีไรให้เขียนอีกเยอะ...
ขาสั้นๆจะได้ปั่นไปเรื่อยๆ ไม่ต้องหยุดมัน...เหอๆ

ทุกวันนี้ เวลาเจอปัญหาของยุคดิจิตอล เช่น การก๊อปปี้มือถือ การเข้ารหัส
เพื่อเจาะข้อมูลสำคัญ การขโมยชิ้นงานผ่านโปรแกรม ทำเอาเต่าผู้น่าสงสาร
หวนคิดไปถึงยุคอะนาล็อกทุกที...ยุคนั้นมันไม่น่าปวดหัวขนาดนี้เลย...เหอๆ
ยุคนี้เหมือนจะต้องระวังมากอีกหลายเท่าตัว ยิ่งรู้ว่ามีกล้องอินฟาเรดด้วยแล้ว
คนที่อยากทำอะไรลับๆล่อๆในโรงหนัง ยิ่งต้องระวังน้าาา...ฮ่าาาาาาา...
แบบว่า...โลกมันช่างเปี๊ยนไป๋ เมื่อก่อนถ้าอยากดูหนังสด ก็แค่ลองไปด้อมๆมองๆดู
แถวๆจอมปลวก มายุคนี้แค่เราอยากไปดูหนังในโรงอย่างสบายอารมณ์
เปล่าเลย ได้ดูหนังสองสามเรื่องนอกจอเป็นของแถมไปซะงั้น เหอๆ
แต่คาดว่าจอมปลวกน่าจะถูกรบกวนน้อยกว่าการโดนกล้องอินฟาเรดส่องน้าาาา ฮ่าๆๆ
ประมาณว่า...ยุคดิจิตอลช่างเป็นยุคที่ดูอะไรได้แบบทะลุทะลวง แบบว่าไม่ต้องนั่งทางใน
ก็เห็นอะไรๆหรือเห็นเหตุการณ์ต่างๆในที่มืดได้...เหอๆ...ไม่ต้องเป็นผู้วิเศษ
แค่ขอให้มีอุปกรณ์สอดส่องพร้อม ก็โอเคแล้ว...ซ้ำยังดูจากที่ไกลๆได้ด้วย...
แบบว่านั่งบนหอคอยดูความเป็นไปของชาวโลก...

โอ้...อะนาล็อก เจ้าจงกลับมา ^^

ปล.เต่าเกิดทันได้ดูโทรทัศน์ขาว-ดำนะจะบอกให้...พ่อยังเก็บโทรทัศน์เครื่องนั้น
เอาไว้อยู่เลย ตอนนี้มันก็ยังดูได้ ถ้ามีเสาอากาศให้มันน่ะนะ ฮ่าๆๆๆ
เมื่อก่อนต้องไปยืนหมุนเสาอากาศเวลาฝนตกลมพัดตลอด...แบบว่า ต้องคอย
ตะโกนถามคนข้างในว่าภาพชัดยัง...ถ้ายังก็หมุนเสาอยู่นั่นจนกว่าจะชัด...
ตอนได้ไปเรียนที่ญี่ปุ่น มันแบบว่ากระโดดข้ามไปยุคนึงเลยอ่ะ...แบบว่างงๆว่า
ทำไมญ่ีปุ่นไม่เห็นมีเสาอากาศ ไม่มีจานดาวเทียม แต่ดูทีวีได้ชัดแจ๋วหว่าาาาา
อินเตอร์เนตของเขาไมมันโหลดหนังไม่กี่วินาทีเสร็จได้...เต่าตกใจ...เกิดไรขึ้น
พอเรียนจบกลับบ้านเกิดเขายังทะเลาะกันเรื่อง 3G แบบว่ายังตกลงกันไม่ได้
ด้านโทรทัศน์ก็มานั่งถกกันว่าจะเอาไงดี แบบว่าทะเลาะกันตั้งแต่อินเตอร์เนต
ยันโทรทัศน์...ส่วนเราเก๊าะ...เหอๆ...ทำไมชีวิตเต่ามันกลับพลิกไปพลิกมาแบบนี้หว่า...
แต่เอาเถอะ...ให้เต่ากลับไปอยู่ยุคอะนาล็อกอีกสักกี่หน เต่าก็บ่ยั่นดอกหนา...
ออกจะติดใจสุดๆ ยุคนั้นน่ะ...มันมีเสน่ห์ตราตรึงจิต...อิอิ

ถ้าอายุปัจจุบันมีเลข 3 วางอยู่ข้างหน้า...เราก็เจเนอเรชั่นเดียวกัน...อิอิ


2.คุณnapt...มาต่อให้กันแล้วน้าาาา...ดีใจค่ะดีใจ ^^

3.คุณkonhin...เปิดเรื่องใหม่ไว้ก่อนค่ะ...เพื่อเรียกกำลังภายใน
จะได้ไม่รู้สึกอะไรตอนปิดฉากเงามาร ประมาณว่า แต่งต่อปายยยย...อิอิ
ถ้าอ่านแล้วเป็นไง ติชมกันได้นะคะ ^^

4.คุณตุ๊งแช่...คาดว่าลูกปาดกับน้องดาวก็คงต้องอยู่ในไหต่อไป
ไม่รู้จะกลายเป็นปลาร้าหรือว่าบูดูนะงานนี้...เหอๆ

ส่วนหนูกีสสสสสส...เต่าก็ว่าจะปล่อยเธอไปโดยไม่ทำไรไม่ได้ดอกหนา
กำลังฟัดกับนางอยู่...เหลือไม่กี่ตอน แต่ก็ยังแบบว่า ต้องไปต่ออารมณ์ให้ติด...อิอิ
ดีนะที่หนูกีสเป็นแนวดราม่า...เลยไปต่อได้ไม่ต้องโดนดองในไหอย่างลูกปาด...อิอิ

ส่วนเรื่องใหม่ถอดด้าม(พร้า)นี้...นายก้อ โหด ดุดัน มุทะลุ แบบว่าเลือดร้อนสุดๆ
ไม่ถึงกับเถื่อน แค่ไร้อารมย์สุนทรีย์ไปหน่อยเท่านั้นเอง...เหอๆ

ส่วนหนูนีล...ตอนนี้กลัวแทบทุกอย่าง ยกเว้นพี่ก้อ...ที่กลัวๆกล้าๆ...
แบบว่า...รู้ไงว่าเขาไม่ทำไรเราจริงๆหรอก ถ้าเราไม่หาเรื่องเขาจนถึงจุดๆหนึ่ง เหอๆ
เหมือนพ่อแม่เรา เรากล้าดื้อ แต่เราก็รู้ว่าไม่ควรดื้อจนถึงจุดๆหนึ่ง ที่แบบว่า
อาจทำให้เจ็บตัวมิใช่น้อย...ฮ่าๆๆๆ แต่คุณเธอมีอาวุธที่ไม่แพ้อาวุธใดในโลก
นั่นคือ ลูกอ้อนนนนนน...ฮ่าาาาา


5.คุณsunflower...เรื่องนี้เน้นความรักกับความผูกพันธ์ค่ะ
ต้องมาดูกันว่า สองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร...เพราะหลายคนที่ยังอยู่ด้วยกันได้
ทั้งๆที่ความรักจืดจางไปนานแล้วนั่นก็เพราะอยู่ได้ด้วยความผูกพันธ์...
ความผูกพันธ์อาจก่อเกิดเป็นความรักได้...ซึ่งต้องดูว่ามันเป็นความผูกพันธ์แบบไหน
และในลักษณะใด แล้วจะก่อเกิดไปเป็นความรักในรูปแบบไหนต่อไป...อิอิ
เรื่องนี้เลยจะมีแบบหลากหลายอุณหภูมิ ตั้งแต่ เยือกเย็น อบอุ่น จนไปถึงเดือดพล่าน...
วาบหวาน ซาบซ่่าน จืดสนิท ขมปี๋ เผ็ด เค็ม เปรี้ยว ถ้าเต่าผสมไม่ดี
รสชาติของเรื่องนี้อาจจะออกมาห่วยได้ใจเลยก็ได้นะนั่นน่ะ...เลยพยายามคัดสรร
วัตถุดิบอยู่ค่ะ...พร้อมด้วยการกะปริมาณของสารประกอบต่างๆด้วย...
ถ้าผลการทดลองผิดพลาด มันก็คงให้รสชาติประหลาดพิลึก แต่ถ้าผลการทดลอง
เป็นไปได้ด้วยดี ก็คาดว่าพอกล้อมแกล้มไปได้อีกสักเรื่องนึง อิอิ


6.คุณแว่นใส...สงสัยอะไรอ่ะ บอกเต่าได้ไหม....คือสงสัยที่มาที่ไป
ของเด็กชายก้อ หรือว่าเด็กหญิงนีลหรือคะ...หรือว่าสงสัยในตัวเต่า
ว่าอายุเท่าไหร่แล้ววววว...อิอิ อันหลังนี้ได้โปรดอย่าถามมมมมม...เหอๆ



.......ขอให้สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์พูนสุขกันทุกคนนะคะ........


"เต่าโย"




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 พ.ค. 2558, 01:50:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 พ.ค. 2558, 01:50:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 2858





<< ลำนำ   ต้นที่ 2 ตัวปัญหากับตัวช่วย >>
sunflower 1 พ.ค. 2558, 07:19:50 น.
รออ่านตอนโต


แว่นใส 1 พ.ค. 2558, 09:08:06 น.
ก็วัยเลข 3 เหมือนกันล่ะน่าตัวเอง


ปรางขวัญ 1 พ.ค. 2558, 17:06:33 น.
555 มายกมือเป็นสาวกเลข 3 เหมือนกันค่ะคุณโย


ตุ๊งแช่ 2 พ.ค. 2558, 20:14:58 น.
นีล. นี่อ้อนแล้วรึ. ดูอ้อนมือ. อ้อนเท้า. พี่ก้อ น๊า



yapapaya 3 พ.ค. 2558, 00:41:03 น.
เลยหลักสี่มามากโขแล้วคะคุณโย จะแตะเลข5 แล้วค้า มองดูยุคสมัยเปลี่ยนไปไวจริงๆ


konhin 19 พ.ค. 2558, 06:29:32 น.
ลงชื่อย้อนหลังค่ะ


napt 20 พ.ค. 2558, 02:22:17 น.
ชอบจังค่ะ ย้อนอดีตได้รื่นรมย์มาก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account