วิมานตะวัน
เรื่องราวระหว่าง อาจำเป็น กับหลานในปกครอง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทนำ + บทที่ 1



รถยุโรปกลางเก่ากลางใหม่แล่นผ่านถนนลาดยางซึ่งขนาบข้างด้วยป่าหญ้ารกชัฏด้วยความเร็วดั่งพายุ บ่งบอกความร้อนใจของคนขับที่หมายจะไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด ในเวลาโพล้เพล้เช่นนี้ หนทางเบื้องหน้าจึงค่อนข้างสลัวราง ไกลลิบสุดสายตา ถนนคดโค้งเกือบๆจะหักศอก มีป้ายสีเหลืองตั้งอยู่ตรงข้างทางแจ้งเตือนว่าเป็นโค้งอันตราย ทว่าคนขับกลับไม่ได้ชะลอคันเร่งเลยแม้แต่น้อย รถคันนั้นยังคงพุ่งไปด้วยความเร็วสูง

ยามควรชะลอ ความเร็วกลับพุ่งขึ้น อาจเพราะผืนดินบริเวณเป็นที่ลาดลงต่ำ รถคั้นจึงพุ่งด้วยความเร็ว แรง เมื่อมาถึงโค้งอันตรายจึงไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ มันพุ่งทะยานชนกับขอบถนน แล้วพลิกคว่ำ ไถลลงสู่ข้างทางชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่

โครม!

เสียงนั้นดังเพียงเสี้ยววินาทีก่อนระเบิดจะปะทุอย่างรุนแรง เปลวไฟโหมฮือลุกท่วมรถคันนั้น ลามเลียไปจนรอบบริเวณ ต้นไม้ใหญ่ที่เคยยืนต้นเขียวชอุ่ม บัดนี้กลับไหม้เป็นตอตะโก กิ่งก้านอันสูงใหญ่ของมันค่อยๆร่วงหล่นลงสู่ผืนดิน มอดไหม้กลายเป็นเถ้าธุลีเฉกเช่นเดียวกับคนที่อยู่ภายในรถคันนั้น

เมื่อสายลมพัดกระโชก ละอองธุลีเหล่านั้นก็ปลิวว่อน ลอยละลิ่วสู่เวิ้งฟ้าเบื้องบน

ชีวิตหนึ่งจบสิ้นแล้ว หากชีวิตหนึ่งกำลังจะเกิด

เด็กผู้หญิงตัวอวบอ้วน แก้มยุ้ยคนนั้น...ถือกำเนิดมาด้วยความรักของคนสองคน แต่กลับกลายเป็นที่เกลียดชังของบรรดาญาติพี่น้อง

ยิ่งเมื่อมารดาเสียชีวิตหลังจากหล่อนเกิดได้ไม่นาน อรุณธิดาก็ถูกส่งตัวไปให้คนนู้นคนนี้เลี้ยง หล่อนต้องระหกระเหินย้ายไปนู่นย้ายมานี่จนไม่อาจพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าที่ใดคือบ้านของหล่อน กระทั่งถูกส่งตัวไปอยู่กับเขา...สีหราชหรืออาราช...บุตรชายบุญธรรมของคุณปู่คุณย่าของหล่อนนั่นเอง

ท่ามกลางไร่ทานตะวันเหลืองอร่าม...ณ ที่นั้นเองที่หล่อนสามารถประกาศต่อหน้าใครต่อใครว่า

ที่นี่แหละ...วิมานของหล่อน

‘วิมานตะวัน’


--------------------------------------------------------------------




“คราวนี้จะส่งแกไปอยู่กับใครดีล่ะ ไปอยู่ไม่กี่อาทิตย์ยายพิณก็ส่งกลับมาละ จะส่งไปอยู่กับตาเพชร รายนั้นก็ส่ายหัวไม่เอาท่าเดียว” พูดพลางถอนใจพลาง ก่อนจะถามอย่างอ่อนระอาว่า “แกไปสร้างวีรกรรมอะไรไว้ ฮึ ยายหนูเล็ก?!”

คำถามนี้อรุณธิดาเคยได้ยินทุกครั้งยามที่ถูกส่งตัวกลับมายัง ‘บ้านใหญ่’

นับตั้งแต่จำความได้ เธอถูกส่งตัวไปอยู่กับคนนู้นคนนี้...หนึ่งปีบ้าง สามปีบ้าง แต่ไม่เคยเกินสี่ปีเลยสักครั้ง แม้พวกเขาเหล่านั้นจะเป็นญาติ แต่การต้องรับเธอไปเลี้ยงดูคงเป็นการสร้างความยุ่งยากลำบากใจให้กับพวกเขาอย่างสุดแสน จึงผลักไสไล่ส่งเธอในทันทีที่ทำได้ แต่ก็ยังนับว่าโชคดีที่พวกเขาเหล่านั้นยังเมตตา...ยอมดูแลและอุปการะเธอไว้ แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาเพียงหนึ่ง สองหรือสามปีก็ตาม

อรุณธิดาใช้นามสกุล ‘ไตรคุณรัตน์’ มาตั้งแต่เกิด แต่เธอกลับไม่รู้สึกว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวนี้เลยสักครั้ง เนื่องเพราะไม่เคยมีใครยอมรับเธอเลย...แม้แต่คุณย่า

...ใครๆต่างก็กล่าวหาว่าเธอเป็นตัวซวย เพราะเกิดมาปุ๊บ เรื่องร้ายๆก็บังเกิดแก่ครอบครัวไตรคุณรัตน์ในทันที

ใช่แค่เท่านั้น...ด้วยความไม่ชอบหน้ามารดาของเธอเป็นทุนเดิม ทำให้เธอกลายเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์มากยิ่งขึ้นไปอีก

เมื่อก่อนนั้น เธอไม่เข้าใจนักหรอกว่าทำไมเธอกับมารดาต้องระเห็จไปอยู่บ้านหลังเล็กซึ่งแยกตัวออกมาจากบ้านใหญ่ มาเข้าใจก็เมื่อขึ้นป.5 ป.6 นี่เอง

‘แกมันตัวซวย ทั้งแกทั้งลูกแกนั่นแหละ!’

‘ถ้าไม่ใช่เพราะตาใหญ่ดื้อรั้นไม่เชื่อฟังคุณแม่ มันคงไม่ชีวิตสั้นแบบนี้หรอก’

‘เด็กสลัมอย่างมัน จะหวังอะไร้ ถ้าไม่ใช่สมบัติ! ตาใหญ่ก็เหลือเกิน หลงมันซะจนไม่ฟังคำคุณแม่แม้แต่คำเดียว! แล้วเป็นไง ดูซิ! ตายซะตั้งแต่อายุแค่สามสิบ!’

ถ้อยคำเหล่านั้น ลอยเข้าหูเธอมานับครั้งไม่ถ้วน จนเธอเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง

รังเกียจมารดา ลามมาถึงลูก

เมื่อเธอเกิด บิดาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต...เธอเลยกลายเป็นตัวซวยของทั้งบ้านนับตั้งแต่นั้น!

เธอเคยกระซิบบอกมารดาว่า

‘ไปอยู่ที่อื่นกันไหมจ๊ะแม่’

หากมารดาก็ส่ายหน้า ด้วยท่านไม่อาจกระเตงลูกตัวน้อยออกไประหกระเหิน ลำบากหาเช้ากินค่ำได้

‘ทนๆเอาหน่อยเถอะหนูเล็ก ยังไง...ที่นี่ก็เป็นครอบครัวของลูก’

มารดาของเธอไม่มีญาติที่ไหน อยู่ตัวคนเดียว และ...ไม่มีเงินเก็บอะไรมากมายนัก เนื่องเพราะไม่ได้ทำงาน วุฒิเพียงป.4 คงไม่อาจนำไปสมัครงานที่ไหนได้ กอปรกับร่างกายอ่อนแอ เจ็บออดๆแอดๆไม่เว้นแต่ละวัน ท่านจึงทำงานหนักไม่ค่อยได้

‘ไปหาหมอเถอะจ้ะแม่’

‘ไม่เป็นไรๆ พักสักสองสามวันก็คงหาย’

สองสามวันล่วงเลยมาเป็นเดือน ท่านก็ยังไม่ยอมไปหาหมอ คงเพราะกลัวว่าจะไม่มีเงินจ่ายกระมัง

จริงอยู่ที่นวลจันทร์เป็นภรรยาของบุตรชายคนโตของตระกูลไตรคุณรัตน์ แต่ค่าเลี้ยงดูที่ได้รับหลังจากพิสุทธิ์เสียชีวิตซึ่งพิจิตราผู้เป็นป้าของอรุณธิดาคอยดูแลอยู่นั้นช่างน้อยนิดเหลือเกิน ไหนจะค่าเล่าเรียน ค่าเสื้อผ้า ค่ากินค่าอยู่ของอรุณธิดา นวลจันทร์จึงตั้งใจจะเก็บเงินไว้ให้ลูก มากกว่าจะนำไปใช้จ่ายอย่างอื่น

ท้ายที่สุดแล้ว เพียงเดือนเดียวหลังจากล้มป่วย นวลจันทร์ก็จากไปด้วยโรคปอดอักเสบที่ลุกลามจนไม่อาจรักษาได้ทัน อรุณธิดาต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า บรรดาญาติๆนับสิบ...มีก็เหมือนไม่มี เพราะไม่มีใครรัก ห่วงใย หรือยอมรับว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของไตรคุณรัตน์เลยแม้แต่คนเดียว!

“อยู่ที่นี่ใครจะดูแลแก ป้าก็งานเยอะ ไม่มีเวลามาดูแลหรอก คุณแม่ก็แก่มากแล้วจะลุกจะเดินไปไหนยังไม่ไหวเลย”

คุณผ่อง...คุณย่าอรุณธิดานั้น ปัจจุบันนี้อายุล่วงเลยมาถึงเจ็ดสิบห้าปีแล้ว ร่างกายก็เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา เข้าๆออกๆโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ จะลุกจะเดินไปไหนก็ไม่ค่อยสะดวกนักต้องมีพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนคุณปู่ของเธอนั้นเสียชีวิตหลังจากเธอเกิดได้ไม่กี่ปี ความทรงจำคุณปู่จึงน้อยนิดเหลือเกิน เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าความอบอุ่นจากอ้อมกอดของท่านนั้นเป็นเช่นไร จะพูดให้ถูกคือนอกจากอ้อมกอดของมารดาแล้ว เธอยังไม่เคยสัมผัสอ้อมกอดของญาติคนอื่นๆเลยแม้แต่คนเดียว!

“ให้เล็กอยู่ที่นี่...ไม่ได้เหรอคะ?”

หญิงสาวกลั้นใจเอ่ยออกไป ผลคือดวงตาวาววับคมกริบทอดตรงมาอย่างไม่พอใจ

“อยู่ได้ยังไง ป้าไม่มีเวลาดูแลเราหรอกนะ แล้วค่าเทอมที่นี่ก็แพงจะตาย! บ้านเราไม่ใช่จะรวยแบบเมื่อก่อนแล้ว!”

อรุณธิดาผู้ซึ่งนั่งพับเพียบอยู่บนผืนพรมตรงหน้าป้าของตน หลุบสายตาลงแล้วลอบระบายลมหายใจบางเบา

ไม่รวยแบบเมื่อก่อน...แต่สองวันก่อนหน้านี้ ป้าของเธอก็เพิ่งซื้อรถสปอร์ตคันหรูให้กับลูกสาวของตัวเองอย่างไม่ลังเล และไม่เสียดายเงินเลยแม้แต่น้อย หากสำหรับเธอแล้ว แค่เสื้อสักตัว ท่านยังคิดแล้วคิดอีกสามสี่ตลบเสียด้วยซ้ำ!

“เล็กอยู่โรงเรียนประจำก็ได้ค่ะ คุณป้าจะได้ไม่ต้องลำบาก”

ดูท่าจะเป็นความคิดที่ดีอยู่เหมือนกัน คุณพิจิตรานิ่งคิด ทำท่าเหมือนจะคล้อยตาม แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้า

“ไม่ได้! ขืนให้แกไปอยู่โรงเรียนประจำ เดี๋ยวใครๆเขาจะนินทาเอาได้ว่า ฉันปล่อยปละละเลยไม่ดูดำดูดีแก ไม่เอาหรอก!” ท่านปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมกับส่ายหน้าไม่ยอมท่าเดียว พัดในมือโบกโบกไปมาราวกับร้อนเป็นหนักหนาทั้งๆที่ในห้องรับแขกห้องนั้นเปิดแอร์เย็นฉ่ำเสียจนเธอรู้สึกหนาว

“เอ...เหลือใครบ้างนะ?” ถามตัวเองเพียงอึดใจก็อุทานออกมาอย่างยินดี

“จริงสิ! ฉันลืมไปได้ยังไง! ยังมีอีกคนที่น่าจะรับเลี้ยงแกได้!”

อรุณธิดาหัวใจเต้นโครมคราม ตระหนกขึ้นมาเล็กน้อยด้วยไม่รู้ว่าตนเองจะต้องไปผจญชะตากรรมที่ไหนในตอนนี้

“อาของแกอีกคนไง!”

หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยนึกไม่ออกในคราแรก อึดใจถัดมารอยสว่างวาบจึงจุดขึ้นในดวงตากลมโตที่โดดเด่นที่สุดบนวงหน้านั้นอย่างระลึกได้

“น้องบุญธรรมของฉันไง ไอ้เจ้าราชน่ะ แกจำได้รึเปล่า?”

“อะ...อาราชเหรอคะ?”

ความทรงจำครั้งล่าสุดที่เธอจำได้ก็เมื่อเก้าปีที่แล้ว ตอนอายุแปดขวบ เธอถูกอาราชทำโทษด้วยการตีก้น เพราะอุตริพาลูกพี่ลูกน้องปีนป่ายขึ้นต้นชมพู่ม่าเหมี่ยวหลังบ้าน




อาราชคนนั้น หน้าตาดุ เสียงดุ แถมยังโหดอีกด้วย เขาจับตัวหล่อนคว่ำหน้าลงบนตัก แล้วตีเอาๆอย่างไม่ปรานีปราศรัยเลยแม้แต่ครั้งเดียว!

ถึงหล่อนจะไม่เป็นที่ยอมรับของบรรดาญาติคนอื่นๆ แต่ก็ไม่เคยมีใครลงไม้ลงมือกับหล่อนเลยเช่นนั้นเลยสักครั้ง อาจเพราะกลัวคำครหากระมัง หรือไม่ก็เห็นหล่อนเป็นอากาศธาตุไม่อยากจะใส่ใจมากกว่าที่เป็นอยู่ ทว่าสำหรับอาราชคนนี้ เขาลงมือตีหล่อนอย่างไม่สนใจคำห้ามปรามของใครเลย!

อรุณธิดาจำได้แม่น จำฝังใจ และเข็ดขยาดที่จะเผชิญหน้ากับคุณอาคนนี้จึงพยายามหลบลี้หนีหน้าเสมอ ทุกครั้งที่เขามาที่บ้านใหญ่ หล่อนก็จะหาเรื่องออกไปปากซอย หรืออ้างว่าไปทำรายงานบ้านเพื่อนเป็นประจำ แล้วนี่...จะให้ไปอยู่กับเขาได้อย่างไร!

หลายปีผ่านไป ความโหดและดุคงจะไม่ลดทอนไปกี่มากน้อย หนำซ้ำอาจจะมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า หากหล่อนไปอยู่กับเขาคงไม่ต่างอะไรกับถูกจับไปขังคุกเลยกระมัง!

อรุณธิดาอยากจะปฏิเสธเหลือเกิน แต่รู้ดีว่าถึงปฏิเสธไปก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ คำของคุณพิจิตราถือเป็นคำขาด หากท่านต้องการสิ่งใด ก็ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ทั้งนั้น!

“โรงเรียนที่นั่นก็ไม่แพงเท่าไรนัก ตกลงเอาตามนี้แหละนะ เดี๋ยวฉันจะโทรบอกตาราชก่อน ส่วนแกก็จัดข้าวจัดของเตรียมตัวไว้เลย จะได้รับไปจัดการหาโรงเรียนใหม่ให้ทันเปิดเทอมหน้า”

อรุณธิดาหน้าซีด ทำอิดออดไม่ยอมไปเสียที จนคุณพิจิตราชักสีหน้า

“เอ๊า! แล้วมานั่งทำอะไรอยู่ ฉันบอกให้ไปเตรียมข้าวของไง!”

คำพร่ำบ่นอีกกระบุงโกยกำลังจะตามมาทว่าเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มที่หน้าตึกทำให้คำเอ็ดตะโรของคุณพิจิตรากลืนหายลงไปในลำคอ

“เอ๊ะใครมา?”

ยังไม่ทันตะโกนให้เด็กรับใช้ออกไปดู ผู้มาเยือนก็ก้าวอาดๆเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม เขาเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ รูปร่างสูงโปร่ง ผิวค่อนข้างขาว...คงจะดีกว่านี้หากใบหน้าของเขาไม่มีไรหนวดเขียวจางๆตามแนวกรามและรายล้อมริมฝีปาก เขาสวมเสื้อยืดสีขาวทับด้วยเสื้อเชิ้ตลายสก็อต กางเกงเป็นกางเกงยีนที่มีรอยแหว่งวิ่นตรงหัวเข่า อรุณธิดาไม่เคยเห็นใครสวมชุดเช่นนี้เข้ามาในเขตบ้านไตรคุณรัตน์มาก่อน พอเห็นลักษณะของเขาเช่นนั้น หล่อนจึงเพ่งมองจนตาแทบถลนทีเดียว

“ต๊าย!!! ตาราช! กำลังนึกถึงแกอยู่พอดีเลย!”

ความที่ไม่ได้พบกันมานาน ความทรงจำระหว่างกันจึงค่อนข้างรางเลือน หล่อนจำหน้าเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ มารู้ว่าเขาคือคนที่หล่อนจะต้องไปอยู่ด้วยก็ตอนที่ป้าของหล่อนเอ่ยทักขึ้นมานี่เอง

“สวัสดีครับพี่จิต” เขายกมือไหว้นอบน้อม ก้าวอาดๆเข้ามาทรุดกายลงนั่งเคียงข้างผู้เป็นพี่สาว รอให้เด็กรับใช้สองหนึ่งถือตะกร้าผลไม้เข้ามาวางบนโต๊ะตัวเตี้ยหน้าโซฟาเรียบร้อยแล้ว เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพและเคารพนบนอบอยู่ในที

“ผมมาเยี่ยมคุณแม่ครับ ซื้อผลไม้มาฝากด้วย”

อรุณธิดาลอบพิจารณาเขา...เปล่าหรอก หล่อนไม่ได้สนใจว่าเขาจะหล่อเหลาขนาดไหน แค่เพราะไม่ได้พบหน้ากันมานาน ทำให้เธออย่างเพ่งให้ชัดๆว่าเขาเปลี่ยนไปจากเมื่อหลายปีก่อนอย่างไรบ้าง

ราวกับรู้ว่ามีคนจ้องมอง เขาหันขวับมาทางหล่อน ตาประสานตาชวนให้ใจของคนแอบมองเต้นโครมครามจนต้องเมินหลบ อับอายกึ่งขวยเขินแบบอธิบายไม่ถูก...ปกติอรุณธิดาไม่ใช่คนที่จะหลบสายตาของใครง่ายๆ แต่กับคนตาดุคนนี้แล้ว หล่อนไม่กล้าสานสบสายตาด้วยเลยจริงๆ!

“เอ...เด็กคนนี้”

สีหราชครุ่นคิดพร้อมกับยกมือลูบปลายคาง เป็นอากัปกิริยาครุ่นคิดแบบที่เขาทำจนติดเป็นนิสัย

“ใช่...อรุณธิดา ใช่หนูเล็กรึเปล่าครับ?”

“แกนี่ความจำดีจริง เจอกันแค่สองสามครั้งเองไม่ใช่รึ แถมตอนนั้นยายหนูเล็กยังตัวแค่เนี้ยอยู่เลย” พูดพลางทำท่าทางประกอบ ส่วนสีหราชนั้นหัวเราะเบาๆในลำคอ ตาเป็นประกายยามหันมามองหล่อนอีกครั้ง

“ก็สมตัวนี่ครับ...ตอนเด็กๆตัวเล็กนิ้ดเดียว” เขาเอนกายพิงพนักในท่วงท่าสบาย เอ่ยต่อว่า “ผมคงจำได้เพราะตาของแกมั้งครับ ตาแกสวยไม่เหมือนใคร”

คุณพิจิตราทำเสียงขึ้นจมูก “ก็ได้ทางแม่มาน่ะสิ”

วกมาเรื่องนี้...สีหราชก็กระแอมกระไอ เปลี่ยนเรื่องคุยทันที

“ผมแวะมาแป๊บเดียวนะครับ เดี๋ยวต้องรีบไปแล้ว คุณแม่อยู่บนห้องรึเปล่าครับ”

“จ้ะ ก็เหมือนทุกวันนั่นแหละ เดี๋ยวนี้ลุกเดินไปไหนมาไหนไม่ได้แล้ว”

เห็นน้องชายบุญธรรมทำท่าว่าจะลุก ก็รีบรั้งตัวไว้ทันที “เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป คุยกับพี่ก่อน”

“ครับ? พี่จิตมีเรื่องอะไรเหรอครับ?”

เขาทิ้งกายลงตามเดิม หันไปถามพี่สาวด้วยความสงสัยจริงจัง

“พี่มีเรื่องขอร้อง”

เพียงแค่เริ่มต้น สีหราชก็ดูเหมือนจะเดาสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูดได้แล้ว ชายหนุ่มเหล่มองเด็กสาวที่เอาแต่ก้มหน้ามองพื้น ผมดำขลับที่ถักเปียเดียวไว้หลวมๆหลุดรุ่ยจนปอยผมตกลงมาปรกหน้า

“อย่าบอกนะครับว่าจะส่งหนูเล็กไปอยู่กับผม”

“ต๊าย!! แกนี่ฉลาดจริงๆเลยนะ!” ว่าพลางแลตามองไปยังหลานที่ตนเองไม่ค่อยชอบหน้านัก “ก็หลานแกน่ะ ไปอยู่กับยายพิณยังไม่กี่อาทิตย์ก็ถูกส่งกลับมาแล้ว ไม่รู้ว่าไปทำวีรกรรมอะไรไว้มันถึงไม่ยอมรับเลี้ยงท่าเดียว แล้วนี่พี่ก็ไม่รู้จะส่งไปให้ใครดูแลแล้ว จะให้อยู่ที่นี่ พี่ก็ไม่มีเวลาดูแล งานพี่เยอะ ไหนจะเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้าน ไหนจะบริษัท ลูกคนเล็กของพี่ก็เพิ่งจะสิบขวบ พี่เลยคิดว่าจะส่งไปอยู่ที่ไร่แกจนกว่ายายหนูเล็กจะเรียนจบ...ถือว่าช่วยพี่หน่อยนะราช”

คนถูกร้องขอระบายลมหายใจยาว เบือนหน้ามาจับจ้องเด็กสาวร่างเล็กแต่แก้มยุ้ยอย่างหนักใจไม่น้อย เลี้ยงใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายยิ่งเป็นเด็กวัยนี้ด้วยแล้ว เข้มกวดงวดขันเกินไปก็ไม่ดี แต่จะปล่อยให้อิสระทำอะไรตามอำเภอใจก็ไม่ได้อีก แต่จะปฏิเสธเขาก็ใจไม่แข็งพอ

...ยิ่งดูเกกมะเหรกเกเรจนใครไม่เอาแบบนี้ด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งหนักใจ

วีรกรรมของอรุณธิดานั้นใช่ว่าเขาไม่เคยรับรู้ ตรงกันข้ามเขารับรู้ทุกเรื่องเพราะคุณพิจิตรามักจะโทร.มาเล่าให้ฟังเป็นเชิงบ่นอยู่เสมอ อาจจะใส่สีตีไข่ไปบ้างเล็กน้อย แต่คงไม่เกินจริงสักเท่าไนหรอก

เด็กซนและน่าจะ...ดื้อเงียบอย่างอรุณธิดา เขาจะรับมือไหวหรือ เขาเองก็ไม่เคยมีลูก ไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน...

“น่าตาราช” ผู้เป็นพี่สาวไม่ให้เวลาเขาคิด หนำซ้ำยังรู้จักเขาดีจนสามารถดึงความสงสารเวทนาในก้นบึ้งหัวใจของเขาออกมาจนได้ “แกก็รู้ว่าหนูเล็กไม่มีใคร กำพร้าพ่อ กำพร้าแม่ แถมไม่มีใครเอาอีก แกจะใจร้ายไม่ดูดำดูดีมันเลยหรือไง”

บางทีเขาก็นึกอยากจะย้อนถามเหมือนกันว่า ‘แล้วพี่จิตละครับทำไมไม่ดูดำดูดีเด็กคนนี้เลย ผมก็ไม่ใช่ญาติแม้ๆเสียหน่อย’

แต่พออรุณธิดาช้อนสายตาขึ้นมามองสบ ดวงตากลมโตวาวๆคู่นั้นมันทำให้เขาใจอ่อนยวบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สุดท้ายเขาก็จำใจตกลงแต่โดย

“ในเมื่อไม่มีใครดูแลหนูเล็ก ผมก็ยินดีดูแลให้ครับ”

คุณพิจิตราร้องกรี๊ดอย่างยินดีแทบจะโผเข้ากอดน้องชายของตนเลยด้วยซ้ำ ขณะที่อรุณธิดาใจหายวาบ นึกภาพตัวเองถูกทำโทษ ไม่ก็ถูกกักบริเวณแล้วก็หน้าซีดไร้สีเลือดราวกับกำลังจะถูกส่งไปเข้าคุกเข้าตารางอย่างไรอย่างนั้น!



อรุณธิดาไม่เคยรู้สึกว่า ‘บ้านใหญ่’ เป็นบ้าน แม้เมื่อยามที่มารดายังคงอยู่เคียงข้าง หล่อนก็ยังไม่อาจเรียกที่นี่เป็นบ้านได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เด็กสาวอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว พยายามไม่สร้างปัญหาหรือทำสิ่งใดๆให้ระแคระคายสายตาของผู้เป็นป้า หากเมื่อมีอคติและความชิงชังท่วมท้นหัวใจแล้ว ไม่ว่าหล่อนจะทำอะไรมันก็ขวางหูขวางตาไปหมดนั่นแหละ

ลัลนา...ลูกสาวคนโตของท่าน ลูกพี่ลูกน้องของหล่อนที่อายุอ่อนกว่าหล่อนเพียงไม่กี่ปีก็ไม่ต่างอะไรจากผู้เป็นมารดา เมื่อยามเป็นเด็กแม้จะเคยวิ่งเล่นด้วยกันอย่างสนิทสนมมาแล้ว แต่พอโตขึ้น ความรู้สึกนึกคิดและการแสดงออกก็เปลี่ยนไป ถึงจะไม่ได้แสดงความจงเกลียดจงชังออกมาอย่างชัดเจน แต่หล่อนก็รับรู้ได้...พบหน้ากันทีไร เจ้าหล่อนมักจะเชิดปลายคาง แล้วปรายตามองหล่อนราวกับหล่อนต้อยต่ำกว่ามาก

ชีวิตของอรุณธิดาอยู่กับความรู้สึกแปลกแตกแยกมานานเหลือเกิน ขนาดถูกส่งตัวไปอยู่ที่อื่น หล่อนก็ไม่อาจหลีกพ้นความรู้สึกเหล่านี้ได้เลย

แล้วครั้งนี้เล่า...ไร่สีหราชจะทำให้หล่อนรู้สึกอบอุ่นไม่ว้าเหว่เหมือนเคยได้รึเปล่า

อรุณธิดาทอดถอนใจอย่างกลัดกลุ้มขณะวางเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายลงในกระเป๋าเดินทาง เสื้อผ้าและข้าวของส่วนตัวของเธอมีไม่มากนักจึงใช้เวลาจัดไม่นาน หล่อนปิดและรูดซิปเรียบร้อยจึงกวาดตามองรอบๆห้องอย่างใจหาย...อีกครั้งที่หล่อนต้องจากไป คราวนี้จะกี่วันกี่เดือนก็ยังไม่รู้

อรุณธิดาคว้ากระเป๋าสะพายสีตุ่นดูสมบุกสมบันเพราะใช้มาหลายปีสะพายบนไหล่แล้วหิ้วกระเป๋าเดินทางใบย่อมออกจากห้อง เดินผ่านทางเดินอิฐเล็กๆที่ปูระหว่างสวนหย่อมสองข้างทาง ผ่านบึงดอกบัว และโรงจอดรถ จึงมาถึงจุดหมาย

อาราชกำลังพูดคุยอยู่กับคุณป้าพิจิตรา

“ไว้ถึงที่นู่นแล้วผมจะโทร.หานะครับ”

จังหวะจะโคนและน้ำเสียงอันก้องกังวานของเขาทำให้หล่อนนึกย้อนไปถึงวันที่ถูกเขาจับก้นตีอย่างไม่ปรานี

‘ชวนน้องขึ้นไปบนนั้นได้ยังไง ถ้าตกลงมาแข้งขาหักจะว่ายังไง ฮึ! เราเองก็เหมือนกัน ตัวก็เล็กแค่นี้ ทำไมถึงซนนัก!’

อรุณธิดาจำไม่ได้ว่าถูกตีไปกี่ที รู้แต่ว่าเจ็บและ...กลัว

ในเวลานั้นหล่อนเห็นเขาเป็นยักษ์ขมูขีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวเลยเชียวละ!

แต่พอมาเจอกันวันนี้ แม้เขาจะยังน่ายำเกรงอยู่บ้าง แต่ความหล่อเหลาบดบังความน่ากลัวไว้ได้...นิดๆ

พูดถึงความหล่อ...อาราชก็หล่อจริงๆ ยิ่งได้เพ่งพิจารณาในตอนนี้หล่อนก็อดชื่นชมไม่ได้ ด้วยคิ้วเข้มโค้งได้รูปสวย ดวงตาแม้จะไม่ใหญ่มาก หากเมื่อมีแพขนตายาวล้อมกรอบไว้ก็ดูคมเข้มพอควร กอปรกับแววตาอันคมกริบด้วยแล้ว หากจ้องสบตากันตรงๆ หล่อนก็ไม่คิดว่าจะเป็นฝ่ายชนะได้ จมูกของเขาโด่งเป็นสันชัดเจนแตกต่างจากพี่ๆน้องๆในบ้าน...ก็จะแปลกอะไรในเมื่อเขาเป็นเพียงลูกบุญธรรมของคุณผ่องเท่านั้น

อรุณธิดาเคยรู้มาคร่าวๆว่าคุณนพ...บิดาของสีหราชกับคุณปู่ของหล่อนนั้นเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เรียนโรงเรียนเดียวกัน เคยอยู่บ้านใกล้กัน แต่พอเรียนจบมหาวิทยาลัยคุณนพกับครอบครัวก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่ทั้งสองยังติดต่อกันอยู่เป็นประจำ กระทั่งเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งใหญ่ ทำให้บิดามารดาและคุณปู่คุณย่าของสีหราชเสียชีวิต ขณะที่เขาอายุเพียงสิบสามปีเท่านั้น เวลานั้นเขาไม่ได้ติดรถไปด้วยแต่อยู่ที่บ้านกับพี่เลี้ยงจึงรอดชีวิตมาได้ นับตั้งแต่วันนั้นคุณปู่ของหล่อนก็รับเขาเป็นบุตรบุญธรรมและให้เขามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ด้วยกัน กระทั่งเขาเรียนจบมัธยมปลายจึงย้ายไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแถวบ้านของเขา รวมทั้งกลับไปดูแลไร่ทานตะวันที่ทิ้งร้างมาหลายปี

“เจ้าเด็กคนนี้มันแก่นนักละ ถ้ามันทำอะไรไม่ถูกใจ แกก็ลงโทษได้ตามสะดวกเลยนะ”

คำว่าลงโทษทำให้หล่อนเกือบสะดุ้ง เด็กสาวก้มหน้างุดแอบทำปากยื่นยาวเล็กน้อย...หล่อนทำแบบนี้ประจำเวลาไม่อยากให้ใครเห็น

“เอ้า มาพอดี เก็บของเรียบร้อยแล้วนะ”

หล่อนรีบปรับสีหน้า ลากกระเป๋าเข้าไปใกล้พร้อมกับตอบรับ

“ค่ะคุณป้า”

“งั้นก็รีบไปสิจ๊ะ มัวแต่รออะไรอยู่!”คุณพิจิตรารีบรุนหลังอรุณธิดาเข้าไปนั่งในรถ ราวกับอยากจะไล่หล่อนให้ไปพ้นๆจากที่นี่เสียที เด็กรับใช้คนหนึ่งรีบเข้ามายกกระเป๋าของหล่อนไปใส่ไว้ในกระโปรงหลัง

“ไปไป...ออกเดินทางได้แล้ว เดี๋ยวจะมืดค่ำ”

ความรีบร้อนรีบเร่งนั้นทำให้อรุณธิดาอดรวดร้าวในใจไม่ได้...อีกครั้งแล้วที่หล่อนไม่เป็นที่ต้องการของใครๆ หล่อนควรจะชินแต่ก็ไม่เคยชินเสียที เด็กสาวซ่อนใบหน้าแสนเศร้าไว้ด้วยการก้มหน้ามองพื้นแล้วก้าวเข้าไปนั่งในรถอย่างไม่อิดออด

รถของสีหราชไม่ใช่รถยุโรปราคาแพงแบบที่บ้านใหญ่ใช้ แต่เป็นรถญี่ปุ่นค่อนข้างเก่า เหมือนจะใช้มานานนับสิบปี ในรถดูสะอาดสอ้านเพราะไม่มีอะไรเลยนอกจากแผ่นซีดีเพลงสองสามแผ่น เด็กสาวแอบหยิบขึ้นมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็พบว่าเป็นแผ่นของนักร้องต่างประเทศที่หล่อนไม่รู้จัก

ครั้นได้ยินเสียงประตูเปิด อรุณธิดาก็รีบวางแผ่นซีดีนั้นลงตามเดิม รีบเอี้ยวตัวหันไปมองกระจกด้านข้าง ใจเต้นตึกตัก...ยากจะบอกว่าหวาดกลัว หรือตื่นเต้นที่จะได้เปิดหูเปิดตากับไร่ทานตะวันที่ลัลนาเคยบอกว่ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา

ประตูปิดลง พร้อมกับเสียงขยับตัวของเจ้าของรถ ไม่นานนักเสียงเครื่องยนต์ก็ครางกระหึ่มไม่ต่างอะไรกับเสียงไอโขลกๆของชายสูงวัย น่าแปลกที่เขาขับมันมาได้จนถึงที่นี่

“อยากฟังเพลงอะไรก็เลือกได้เลย อาไม่ว่าหรอก”

เป็นคำเอื้อเฟื้อและแสนใจดี หากความทรงจำในวัยเด็กก็ทำให้หล่อนหวาดระแวงอยู่นั่นเอง เด็กสาวเบือนสายตามามองเขา ขณะเดียวกันก็กระเถิบไปจนชิดประตูอีกด้าน

“ไม่ต้องไปนั่งเบียดประตูแบบนั้นก็ได้ อาไม่กัดหรอกน่า”

คำพูดทีเล่นทีจริง และรอยยิ้มที่อวดฟันเขี้ยวของเขานั่นอีก มันช่างแตกต่างจากสิ่งที่หล่อนสัมผัสในวัยเยาว์เหลือเกิน

“อย่าบอกนะว่ากลัวอาตั้งแต่ตอนนั้นน่ะ”

คราวนี้อรุณธิดาเบิกตากว้าง เอ่ยออกมาเป็นคำแรก

“ตอนนั้น...”

“ก็วันที่อาตีหนูเล็กไง...อาจำได้นะ หนูเล็กร้องไห้จ้าเลย” ชายหนุ่มเหลือบมองคนฟังเห็นหน้าซีดราวไก่ต้มก็อดหัวเราะไม่ได้ “ตอนนั้นเราซนจริงๆนี่ ตัวก็เล็กนิดเดียวปีนขึ้นไปตั้งสูง ตกลงมาแข้งขาหักจะทำยังไง”

คนฟังหันหลังให้เขาอีกครั้ง เถียงอุบอิบว่า

“เล็กปีนออกจะบ่อย ไม่เห็นเคยตกซะที”

“มันก็มีโอกาสพลาดสักวันละน่า” เงียบกันไปอึดใจกระทั่งสีหราชพารถออกสู่ถนนใหญ่ เขาจึงเอ่ยต่อ “ยังซนอยู่รึเปล่าล่ะเรา”

“เล็กแน่ใจว่าคุณป้าเล่าให้อาราชฟังแล้ว” หล่อนหันมามองใบหน้าขาวๆนั้นพร้อมกับถาม “จริงไหมคะ”

คนถูกถามหัวเราะหึๆ มือข้างหนึ่งจับพวงมาลัย ส่วนอีกข้างเท้ากับขอบหน้าต่างรถ และใช้มือลูบไรหนวดจางๆตามปลายคางของตน

“ได้ยินวีรกรรมมาเยอะ เห็นว่าเคยแกล้งแฟนยายพิณจนตกน้ำตกท่าเลยเหรอ หืม?”

“โฮ้ย! แกล้งที่ไหนละคะ คุณมาร์คเขาสะดุดขาตัวเองตะหาก! เล็กไม่ได้ทำอะไรเขาเล้ย...จริงๆนะคะ!”

“ก็เราจับไส้เดือนมาโยนใส่เขาไม่ใช่เหรอ...ไม่ต้องมาปิดหรอก อารู้เรื่องที่เราทำหมดทุกอย่างนั่นแหละ ยายพิณโทร.มาบ่นให้อาฟังเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง”

อรุณธิดาถอนหายใจเฮือก ทิ้งกายพิงเบาะ ยกมือกอดอก แล้วปิดปากเงียบ

“ถ้าหนูเล็กทำแบบนั้น แสดงว่ามันต้องมีเหตุผล คนเราจะแกล้งใครสักคน ไม่ใช่นึกอยากแกล้งก็แกล้งขึ้นมาเฉยๆแบบนั้น หนูเล็กคงไม่ได้แย่แบบนั้นใช่ไหม”

“โธ่! อาราชคะ เล็กไม่ใช่คนไม่มีความคิดนะคะ ก็คุณคนนั้นน่ะ เขามา...เอ่อ...มาโอบๆกอดๆเล็กแบบนั้น เล็กก็โมโหสิคะ ใครจะทนได้! ไม่รู้น้าพิณไปรักผู้ชายแบบนั้นได้ยังไง”

เห็นแววตาของสีหราชที่มองมาอย่างเคลือบแคลงแล้ว อรุณธิดาก็รีบพยักหน้าหงึกหงักแล้วเอ่ยย้ำอย่างจริงจังอีกครั้ง

“จริงๆนะคะ เล็กไม่ได้โกหก”

“แล้วทำไมตอนนั้นไม่อธิบายให้น้าพิณของเล็กเข้าใจล่ะ”

“จะบอกได้ยังไงล่ะคะ น้าพิณเขาต้องเชื่อแฟนมากกว่าเล็กอยู่แล้ว” ประโยคถัดมาเธอลดเสียงลง ดังอยู่แค่ในลำคอเท่านั้น “เล็กไม่อยากให้น้าพิณเกลียดเล็กไปมากกว่านี้”

อรุณธิดาสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อจู่ๆมือใหญ่ก็วางลงบนศีรษะของหล่อน

“พิณเขาไม่ได้เกลียดหรอก...จริงๆแล้วไม่มีใครเกลียดหนูเล็กหรอก ถ้าเกลียดจริง หนูเล็กคงถูกไล่ตะเพิดออกจากบ้านไปนานแล้ว จริงไหม”

ไม่รู้เพราะคำปลอบโยน หรือเพราะมือของเขาที่ทำให้หัวใจของหล่อนอุ่นวาบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

ความหวาดกลัวในตอนแรกเริ่มคลายลงทีละน้อยๆ อรุณธิดาเริ่มรู้สึกขึ้นมาหน่อยๆแล้วว่าการไปอยู่กับเขา อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดก็เป็นได้


ระหว่างทาง สีหราชแวะซื้อกาแฟและเติมน้ำมันครั้งหนึ่ง อรุณธิดานั่งรออยู่ในรถ ทอดสายตามองผู้ปกครองคนใหม่ด้วยความรู้สึกเป็นกังวล...สำหรับอาหนุ่มผู้นี้หล่อนไม่ได้รู้จักมักคุ้นเท่าไรนัก พูดกันตามจริงหล่อนเจอหน้าเขานับครั้งได้ หน้ำซ้ำยังไม่ได้พบกันมาหลายปี แล้วจู่ๆหล่อนกลับต้องมาอยู่ในความดูแลของเขา และใช้ชีวิตอยู่กับเขาอย่างกะทันหันแบบนี้ เขาจะรู้สึกเช่นไร...ไม่สบายใจ เบื่อ รำคาญ หรืออาจจะอยากส่งเธอให้ไปไกลๆไร่สีหราชแล้วก็เป็นได้

อรุณธิดาน้ำตารื้นยามนึกภาพตัวเองต้องแบบกระเป๋าเดินทางเข้าบ้านนู้นออกบ้านนี้นับสิบครั้งจนกลายเป็นความเคยชินและ...โหยหา หล่อนอยากมีบ้านสักหลังที่หล่อนสามารถเรียกได้เต็มปากว่าบ้าน

จะมีวันนั้นหรือเปล่า?...วันที่หล่อนมีบ้านของตัวเองสักที!

อรุณธิดาปัดความคิดอันฟุ้งซ่านของตัวเองทิ้งไป เมื่อสีหราชเดินกลับมาพร้อมกาแฟและ...ขนมถุงใหญ่

“เอ้า! อาไม่รู้ว่าหนูเล็กชอบอะไรเลยหยิบมาเกือบหมดเลย”

อรุณธิดากะพริบตาปริบๆขณะยื่นมือไปรับถุงขนมจากเขา

“ทำไม? ไม่ชอบเหรอ?”

“เปล่าค่ะ เล็กไม่ได้ไม่ชอบนะคะ เล็กแค่...เกรงใจ” หล่อนวางถุงขนมบนตัก หยิบขนมขบเคี้ยวยี่ห้อหนึ่งขึ้นมา ฉีกซองเรียบร้อยก็หยิบขนมในถึงนั้นยื่นให้เขา “ขอบคุณนะคะ”

“ให้อา?”

“ก็ซื้อมาแล้วก็ต้องกินด้วยกันสิคะ”

“อาไม่ใช่เด็กแล้วนะ เลิกกินขนมพวกนี้ไปตั้งนานแล้ว”

“เลิกไปแล้วก็กลับมากินใหม่ได้นี่คะ”

หล่อนจ้องเขาตาแป๋ว...ตากลมๆคู่นี้ช่างออดอ้อนจนทำให้เขาพูดคำปฏิเสธออกมาไม่ได้

“กินด้วนกันนะคะอาราช ให้เล็กกินคนเดียวก็ไม่อร่อยน่ะสิ”

คนถูกคะยั้นคะยอพ่นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เข้าเกียร์ แล้วค่อยๆเหยียบคันเร่งพารถเคลื่อนตัวออกจากปั๊มน้ำมันแห่งนั้น

“เอาก็เอา! อากินเป็นเพื่อนก็ได้”

อรุณธิดายิ้มกว้างจนแทบเห็นฟันทุกซี่ ก่อนจะยื่นขนมชิ้นนั้นมาจดจ่ออยู่ตรงปากเขา

“งั้นเล็กให้อาราชกินชิ้นแรกเลย”

คนเป็นอาหัวเราะแผ่วๆ ส่ายหน้าน้อยๆแต่ก็ยอมอ้าปากงับขนมชิ้นนั้นเข้าปาก ก่อนหยิบกาแฟดื่มตามอีกหนึ่งอึก เวลานั้นเอง จู่ๆก็มีสุนัขตัวหนึ่งวิ่งลงมาจากทางเดินเท้าและกำลังจะตัดหน้ารถพอดี หญิงสาวรีบชี้มือชี้ไม้ กรีดร้องสุดเสียง

“ระวังค่ะอาราช!”

อารามตกใจ ชายหนุ่มเหยียบเบรกอย่างกะทันหันจนอรุณธิดาหน้าคะมำ ดีที่คาดเข็มขัดนิรภัยไว้ ศีรษะจึงยังอยู่รอดปลอดภัยไม่กระแทกเข้ากับคอนโซลรถด้านหน้า

เสียงเบรกดังสนั่นกึกก้องอยู่ในหัว อรุณธิดายกมือปิดหน้า ไม่กล้ามอง คิดว่าเจ้าสุนัขตัวนั้นคงไม่รอดแล้วเป็นแน่แท้

รอกระทั่งรถจอดสนิท หล่อนจึงค่อยๆกางมือทั้งสิบออก แล้วเปิดเปลือกตามองดู เห็นเจ้าสุนัขขนสีน้ำตาลตัวผอมกระหร่องนอนหมอบอยู่กลางถนน หางตกห้อยราวกับหวาดกลัวเป็นนักหนาก็ถึงกับพรูลมออกจากปากอย่างโล่งอก แต่ก่อนที่สีหราชจะทันได้พูดอะไร หลานสาวตัวดีก็เปิดประตูวิ่งไปหาเจ้าสุนัขตัวนั้นเสียแล้ว

เจ้าตัวเล็กผอมมากและยังดูหิวโซราวกับไม่มีใครให้อาหารมันหลายวันแล้ว ขนของมันกะดำกะด่างเปรอะเปื้อนสกปรก...คงเป็นสุนัขจรจัดไม่มีเจ้าของ หรือไม่ มันก็อาจจะหลงทางมา

“มามะ...เจ้าหมาน้อย กลับบ้านกัน”

มันคงจะกลัวคน จึงเดินหนี วิ่งไปกลางถนน อรุณธิดาก็เดินตามไม่ลดละ ค่อยๆคืบคลานเข้าหามันทีละน้อยๆ ก่อนจะกระโจนเข้าไปตะครุบมันไว้ในมือได้สำเร็จก่อนที่มันจะวิ่งหนีหายไป

เสียงแตรรถดังมาแต่ไกล หล่อนหันไปมอง ใจพลันหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเห็นรถบรรทุกคันหนึ่งมุ่งหน้ามาทางหล่อน

ขาหล่อนก้าวไม่ออก ขยับไปไหนก็ไม่ได้ ได้แต่กอดเจ้าสุนัขตัวน้อยไว้แน่น ก้มหน้าหลับตาปี๋

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง เสียงทุ้มนุ่มดังแทรกเข้ามาในโสตประสาทของหล่อน

“หนูเล็ก!” สิ้นเสียงนั้น หล่อนจึงรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกระแทกใส่ร่างหล่อน จนหล่อนเซซวนล้มลง กลิ้งหลุนๆไปตามพื้น

นานแน่นิ่งอยู่เช่นนั้นจนเสียงรถแล่นผ่านไป เหลือเพียงเสียงลมพัดหวิววู่และเสียงร้องครางหงิงๆของสุนัขตัวน้อย อรุณธิดาจึงค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือเสื้อสีขาวของใครคนหนึ่ง หล่อนเหลือบสายตาขึ้นไปมอง ไล่จากลำคอ ปลายคาง ริมฝีปาก จมูกโด่ง และดวงตาคู่คมที่กำลังจ้องหล่อนอย่างโกรธๆ

“ระวังหน่อยสิ! เกือบตายแล้วรู้ไหม!”

ตอนนั้นหล่อนจึงได้รู้ว่าอยู่ในอ้อมกอดของสีหราช

“อาราช” อรุณธิดากลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น หล่อนรู้ว่าตัวเองทำผิดและเชื่อเถอะ...พอไปถึงไร่หล่อนต้องโดนตีก้นแน่ๆ! “ขอโทษค่ะ”

คนเป็นอาถอนหายใจเฮือก สีหน้าราวกับเอือมระอาหล่อนเหลือเกินแล้ว

“เล็กผิดเอง เล็กขอโทษนะคะ”

“ช่างเถอะ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ว่าพลางลุกขึ้นยืนและฉุดมือหล่อนให้ลุกตาม ตอนนั้นเองที่หล่อนเห็นรอยถลอกบนแขนทั้งสองข้างของเขา

“อาราชมีแผลด้วยนี่คะ” เห็นแบบนั้นหล่อนยิ่งรู้สึกผิด หล่อนรีบยกมือไหว้ขอโทษโดยที่ยังอุ้มเจ้าสุนัขตัวเล็กไว้ในอ้อมกอด “ขอโทษค่ะอาราช เป็นความของเล็กเอง ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ” อรุณธิดาคงจะขอโทษไปอีกหลายประโยคถ้าสีหราชไม่ตัดบทโดยการคว้ามือหล่อนแล้วพาเดินข้ามถนนกลับไปที่รถ

“ถึงไร่แล้วค่อยพูดกัน”

อรุณธิดาคอตก ใจหายวาบเมื่อเดาได้ว่าหล่อนคงถูกส่งกลับบ้านใหญ่แบบยังไม่ทันข้ามวันเป็นแน่แท้



เอาเรื่องใหม่มาให้อ่านค่าา ต้องเขียนให้จบปีนี้ให้ได้ ฮึบๆๆ ^___^

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ :)




ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 เม.ย. 2558, 10:34:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 เม.ย. 2558, 10:34:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 1174





   บทที่ ๒.๑ >>
Zephyr 29 เม.ย. 2558, 21:44:50 น.
ได้ตัวป่วนไว้ในไร่ละ อาราช
คูณสองเลยด้วย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account