เมฆร้อยกล ฝนซ่อนเล่ห์
เพื่อตอบแทนบุญคุณ เมฆมงคล จำต้องกลืนน้ำลายตัวเองที่เคยออกปากว่าจะไม่แต่งงาน แถมยังต้องรับผิดชอบลูกในท้องของว่าที่เจ้าสาวด้วย อุตส่าห์ยอมทุกอย่าง สาวเจ้าก็ยังทำแต่เรื่องชวนปวดหัวจนอยากสลัดให้พ้นชีวิต งานนี้มันต้องงัดกลยุทธ์มาสู้กันสักตั้ง!!!
Tags: เมฆมงคล ฝนมีนา
ตอน: คำขอร้อง
เมฆร้อยกล ฝนซ่อนเล่ห์
2
คำขอร้อง
เมฆมงคลก้าวลงจากรถเบ็นซ์ซึ่งจอดเทียบประตูทางเข้าคอนโดมิเนียม เขาเดินอ้อมรถไปยังฝั่งคนขับซึ่งเลื่อนกระจกรถรออยู่แล้ว
“ขอบใจมากเพื่อนที่มาส่ง ว่างๆ อย่าลืมไปเที่ยวนาข้าวฉันนะ” เมฆมงคลบอกยิ้มๆ
“เอาจริงดิ? แกไม่ได้พูดเล่นเหรอวะ?” มหรรณพเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ
“วะ! แกเห็นฉันพูดเล่นหรือไงเนี่ย สี่ห้าปีที่หายไปก็ไปเป็นชาวนามาเว้ย...ถ้าอยากรู้ว่าจริงหรือเปล่า แกก็ไปหาฉันที่บ้านพิสูจน์กับตาเลย เดี๋ยวจะหาว่าฉันโม้!” เขาท้าทาย
“เออๆ เดี๋ยวว่างๆ จะไปดูเป็นบุญตาสักวัน” มหรรณพว่าพลางพยักหน้าก่อนยกมือโบกลาและพารถเคลื่อนออกไป
เมฆมงคลมองส่งจนรถเพื่อนลับหายไปจากสายตา รอยยิ้มยังเจือบนเรียวปาก ดวงตายังเปล่งประกายวาววาม เพียงแต่ไม่ใช่ด้วยความสนุกสนานเหมือนก่อนหน้านั้น สีหน้าของชายหนุ่มตอนนี้เต็มไปด้วยแววเยาะหยัน รอยยิ้มก็เต็มไปด้วยแววเย้าเย้ย เขาหมุนตัวเดินเข้าไปในคอนโด เรียกลิฟต์และกดชั้นที่ต้องการ
เมื่อถึงห้องแล้วชายหนุ่มก็แกะผ้าขาวม้าออกจากเอว คลี่อย่างถนอมวางพาดบนพนักเก้าอี้ก่อนถอดเสื้อม่อฮ่อม...ถอดกางเกง...
อะแฮ่ม!...คนอ่านอย่าเพิ่งจินตนาการ...กลับมาก่อน...เอาล่ะ...
เมฆมงคลหยิบผ้าขาวม้ามาพันนุ่งแทนกางเกง ชายหนุ่มเดินไปยังห้องน้ำ เปิดน้ำวักล้างหน้าเพื่อคลายเมื่อยล้า ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เขาต้องใช้กล้ามเนื้อบนใบหน้าหนักกว่าทุกวัน หลังจากใช้ผ้าขนหนูซับหยดน้ำที่หลงเหลือตามผิวหน้าและเรียวหนวด ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนในกระจก ภวังค์คิดกลับนึกย้อนไปยังเหตุการณ์หลังจากที่เขาประกาศก้องถึงอาชีพของตัวเอง
‘จริงเหรอ? ชาวนาเนี่ยนะ?’
‘อย่ามาโม้ สะโอดสะองลูกคุณหนูอย่างนายนี่นะ จะทำงานคลุกดินคลุกโคลนได้?’ มหรรณพเอ่ยอย่างไม่เชื่อ
‘ใช่ๆ ใครจะเชื่อ อดีตดาวคณะหล่อสาวแห่กรี๊ด แถมเรียนจบมีหน้าที่การงานดีถึงขั้นเปิดบริษัทเป็นของตัวเองเนี่ยนะ จะผันตัวไปเป็นชาวนา?’ อีกเสียงสนับสนุน
‘เรียนมาตั้งสูงไปทำนา คิดยังไงกัน ทำนาไม่เห็นจะรวยเลยแถมลำบากมากๆ ด้วย’
‘ร้อยไม่เชื่อ พันไม่เชื่อ...ล้านก็ไม่เชื่อ!’
ฯลฯ
สรุปโดยสายตา ร้อยเปอร์เซ็นต์ของคนในงานล้วนไม่เชื่อคำพูดเขา! คิดมาถึงตรงนี้เมฆมงคลก็อดหัวเราะไม่ได้...ความคิดของคนนี่มันหลากหลายดีจริงๆ ชายหนุ่มมองเงาสะท้อนในกระจกอีกครั้ง หนวดเครารุงรังบดบังหน้าตาไปเสียครึ่ง เขาใช้เวลาในการปล่อยหนวดให้ยาวโดยไม่ใส่ใจพักใหญ่ เพื่อดูปฏิกิริยาของคนรอบข้าง และมีจุดประสงค์หลักคือการปรากฏตัวในงานคืนนี้โดยเฉพาะ สายตาของคนในงานที่มองมายังรูปลักษณ์ภายนอกของเขาประสบความสำเร็จสำหรับเขาเป็นที่สุด คิดพลางส่งยิ้มให้เงาในกระจกก่อนจะหยิบอุปกรณ์สำหรับการโกนหนวดออกมาจัดการกำจัด ‘เปลือก’ บนใบหน้าออก
หลังจากโกนหนวด อาบน้ำ สระผม เปลี่ยนชุดเตรียมเข้านอน เมฆมงคลหยิบโทรศัพท์มือถือซึ่งเขาไม่ได้พกติดตัวไปงานด้วย ความตั้งใจคือปิดโทรศัพท์ก่อนนอน แต่ข้อความแจ้งเตือนบนหน้าจอโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดกลับทำให้เขาผุดลุกขึ้นนั่งก่อนเหลือบดูเวลาเทียบระหว่างตอนส่งกับเวลาปัจจุบัน แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วงเนื่องจากช่วงเวลาห่างกันหลายชั่วโมง ชายหนุ่มกดเข้าไปดูข้อความในโปรแกรมยอดส่งข้อความยอดนิยม
‘เมฆ ถ้าว่างโทรหาลุงด้วยนะ ลุงมีธุระสำคัญมากอยากให้เมฆช่วย’
นาฬิกาบอกเวลาสองนาฬิกาของวันใหม่แล้ว เมฆมงคลได้แต่ถอนหายใจ ให้ถึงเวลาปกติของการใช้ชีวิตแล้วเขาจะโทรศัพท์ไปหาคนส่งข้อความแน่นอน ชายหนุ่มให้คำมั่นกับตัวเอง ออกจากโปรแกรมได้เขาก็กดเข้าโปรแกรมเฟสบุ้ค ก่อนหน้านั้นเพจรวมรุ่นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นกับการตกลงมาร่วมงานเลี้ยงรุ่นของเขา เมื่องานจบไปแล้วทั้งหน้าเพจก็ยังคงอุดมไปด้วยเรื่องราวของเขา แถมยังมีรูประกอบด้วย...เพียงแต่ว่าความตื่นเต้นเปลี่ยนเรื่อง
เมฆมงคลได้แต่ยิ้มหยันกับข้อความเหล่านั้น แม้เขาไม่ใช่คนละเอียดอ่อนนักแต่ก็จับใจความในคำพิมพ์เหล่านั้นได้ว่าเจือไปด้วยแววดูแคลน ชายหนุ่มกดปิดโทรศัพท์มือถือวางไว้บนหัวเตียงอย่างไม่ใส่ใจ ปิดไฟและหลับตา...มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ แรกเริ่มล้วนมองที่เปลือก แล้วเวลาจะเป็นตัวเลือกว่าใครจะข้ามเปลือกมาพบเนื้อแท้...เขาเองก็เคยเป็น หัวเราะเบาๆ ก่อนก้าวสู่ห้วงนิทรา
ชายหนุ่มที่กำลังนั่งจิบกาแฟก่อนใช้นิ้วจิ้มหน้าจอมแทบเล็ตอยู่นั้น หากมีคนในงานเลี้ยงรุ่นเมื่อคืนนี้มาพบเข้าก็คงจำไม่ได้ ไม่ใช่เพียงแค่หนวดเคราที่หายไปแล้วทำให้หน้ามหาโจรเปลี่ยนเป็นผู้เป็นคนขึ้นเท่านั้น ผมยาวกระเซอะกระเซิงเหมือนไม่ได้สระถูกจับมัดลวกๆ เมื่อคืน แม้ตอนนี้จะมัดแบบขอไปทีแต่ผ่านการสระสะอาดและผ่านหวีบ้างแล้ว ชุดคอสเพลย์ชาวนาเมื่อคืนถูกถอดพับเก็บลงกระเป๋าเดินทาง เขาเลือกหยิบเอาชุดที่ใส่ประจำออกมาสวมใส่ เสื้อยืดสีเข้ม กางเกงยีนส์เก่าซีด รองเท้าผ้าใบพร้อมลุยงานเป็นสไตล์ที่เมฆมงคลพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วว่าไม่เคยตกยุค
หลังจากตื่นนอนเมื่อเช้า เมฆมงคลจึงโทรศัพท์ไปหาคนที่ส่งข้อความมาหาเขาเมื่อคืน ครั้นคนปลายสายรู้ว่าเขาอยู่เมืองหลวงอยู่แล้วก็แสดงความยินดีและนัดแนะเพื่อพบปะพูดคุยธุระสำคัญ ร้านกาแฟร้านเล็กๆ หัวมุมถนนที่ทั้งเขาและคนนัดรู้จักดีจึงเป็นจุดนัดพบของเขาวันนี้ ชายหนุ่มเลือกตะติดกระจกที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพนอกร้านซึ่งทางร้านจัดสวนหย่อมเล็กๆ พอให้ลูกค้าสบายตายามจิบกาแฟ
เมฆมงคลมาก่อนเวลานัดพอสมควร เขาสั่งกาแฟและขนมปังปิ้งมารับประทานระหว่างรอ ไม่ลืมหยิบแท็บเล็ตมาดูความเคลื่อนไหวของแปลงนาซึ่งจะมีรายงานสถานการณ์ที่น่าสนใจจากคนงานส่งผ่านทั้งโปรแกรมสนทนาและเฟสบุ้คเป็นระยะ เทคโนโลยีทันสมัยในปัจจุบันเขาไม่ลืมนำมันมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดสำหรับงานเขา
แม้นานๆ ครั้งเขาจะเงยหน้าจากจอแท็บเล็ต แต่ก็พอจับสังเกตได้ว่า มีสายตาหญิงสาวทั้งในร้านและที่เดินผ่านไปมองเขาอย่างสนใจ ชายหนุ่มอมยิ้มกับจอแท็บเล็ต...อย่างน้อยก็รู้สึกพอใจกับเสน่ห์ที่หลงเหลือของตัวเอง เขาคิดขำๆ
“แทบจำไม่ได้แน่ะเมฆ!” เสียงทักทายกลั้วยิ้มฉุดเมฆมงคลจากภวังค์คิด เขาเงยหน้าจากจอแท็บเล็ตพร้อมผุดลุกขึ้นยกมือไหว้ทันทีที่เห็นว่าเป็นใคร
ผู้มาใหม่คือชายสูงวัยร่างท้วมดูภูมิฐาน ใบหน้าเกลื่อนยิ้มดั่งคนอารมณ์ดีเป็นนิจ เสื้อเชิ้ตลายดอกสีสดใสเข้ากับบรรยากาศฤดูร้อนของประเทศไทยเป็นอย่างดี
“เป็นไงบ้างหลานชาย” ผู้สูงวัยเอ่ยถามหลักยกมือรับไหว้ชายหนุ่ม ตบไหล่หนาเบาๆ พลางชี้เชิญกันให้นั่ง
“สบายดีตามอัตภาพครับ คุณลุงล่ะครับไม่ได้เจอกันนานแล้ว เป็นอย่างไรบ้างครับ?” เมฆมงคลถามกลับก่อนเรียกพนักงานมาสั่งเครื่องดื่มที่เขาจำได้ว่าผู้สูงวัยชื่นชอบ
“สบายดีตามสภาพคนแก่แหละเมฆเอ๊ย” ไทรทองเอ่ยยิ้มๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ถอนหายใจเบาๆ เมฆมงคลมองใบหน้าของผู้มีพระคุณ คนที่เปิดดวงตามองโลกความจริง มอบโอกาสดีๆ ให้เขาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ เขาไม่ลังเลใจเลยที่จะบอกว่า เขาสามารถเรียกชายตรงหน้าว่า ‘พ่อ’ อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ
“พักนี้ผมไม่ค่อยได้โทรไปหาคุณลุงเลย ต้องขอโทษด้วยนะครับ” เขาบอกเสียงเกรงใจ
“ไม่เป็นไรๆ ลุงเข้าใจว่าเมฆกำลังยุ่งกับการขยายพื้นที่ทำนา ลุงก็โทรไปคุยกับพ่อของเมฆบ่อยๆ รายนั้นก็บ่นว่าเมฆไม่ค่อยกลับบ้านกลับช่อง ขลุกอยู่แต่ปลายนา”
“มันสะดวกกับการทำงานมากกว่าครับคุณลุง พ่อเองแค่ยุ่งวุ่นวายเรื่องนายสองตัวนั่นก็ปวดหัวพอแล้ว เกิดผมเอาความเหนื่อยไปทับถมอีกจะพาลแย่กันไปหมด” เมฆมงคลหมายความถึงน้องชายต่างมารดาอีกสองคนซึ่งกำลังอยู่ในวัยเรียน กำลังคึกคะนองขยันหาเรื่องชวนปวดหัวมาให้เมืองผู้เป็นพ่อเสมอ
“ก็จริงของเมฆนะ แต่พักหลังมานี่ดูเขาชื่นชมเมฆมากนะ เวลาเข้าวงสนทนากันนี่คุยเรื่องเมฆทับถมลูกชาวบ้านเรื่อยเลย” ไทรทองว่ากลั้วหัวเราะ
“ทีตอนผมบอกว่าจะทำนาค้านผมหัวชนฝาเลย” เมฆมงคลเอ่ยยิ้มๆ แม้ไม่บอกแต่ผู้สูงวัยก็ดูออกว่าชายหนุ่มเองก็ภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่รู้ว่าตัวเองถูกหยิบยกเรื่องดีขึ้นมาเอ่ยอ้าง
“เมฆก็ต้องเข้าใจพ่อเขา เขาเคยเป็นชาวนา เคยทำนาลำบากมาก่อน สมัยพ่อของเมฆทำนาน่ะเครื่องไม้เครื่องมือเทคโนโลยีมันก็ไม่ทันสมัยเหมือนยุคนี้ เขากลัวเมฆลำบากเหมือนเขาไง” ไทรทองให้เหตุผล “พ่อของเมฆก็เป็นแบบนี้แหละ หัวดื้อมาตั้งแต่หนุ่มยันแก่ฝังใจเชื่อเรื่องอะไรแล้วไม่ค่อยจะเปลี่ยนความคิดง่ายๆ ต้องทำให้ดูเหมือนที่เมฆเองก็ดื้อพิสูจน์ด้วยการลงมือทำจนพ่อเขาเห็น” เมฆมงคลไม่เอ่ยคำใดคล้ายยอมรับคำกล่าวนั้นอยู่ในที
ความคิดของเมฆมงคลวิ่งย้อนกลับไปวันที่เขาท้อแท้เพราะทุกปัญหารอบด้านรุมเร้า ตัวเขาเองหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ได้แต่หมกตัวอยู่ในห้องคอนโด กระทั่งไทรทองผู้เป็นเพื่อนสนิทร่วมหัวจมท้ายมากับเมือง ถูกไหว้วานให้แวะมาดูแลถามไถ่ เหตุเพราะเมืองต้องไปดูแลลูกอีกคนซึ่งประสบอุบัติเหตุอยู่ต่างประเทศ หลังจากเปิดอกพูดคุยกันอยู่หลายวัน ข้อคิดจากผู้สูงวัยก็เริ่มกระตุ้นให้เขาตื่นขึ้นมาพบกับความหวังของชีวิตครั้งใหม่ มุมมองต่อการดำเนินชีวิตจากความพลั้งผิดในอดีตก็เปลี่ยนไป ไทรทองชี้ให้เขาเห็นความสุขที่ซ่อนอยู่ในความทุกข์ เมื่อฉุกคิด เมฆมงคลจึงเดินทางกลับบ้านเกิดไปทบทวน และมองอนาคต
บ้านเกิดของเมฆมงคลอยู่จังหวัดในภาคกลางไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก บ้านของเขาอยู่ห่างจากตัวเมืองพอสมควร อากาศดี อาชีพหลักของคนในจังหวัดส่วนใหญ่คือทำการเกษตร บ้างทำสวน บ้างทำไร่ แต่ส่วนใหญ่ทำนา ช่วงเวลาที่เมฆมงคลไปอยู่บ้านนั้นคือช่วงแห่งการไถ หว่าน ปักดำ เขาค้นพบว่ากลิ่นดินโคลน กลิ่นน้ำ กลิ่นใบข้าวกล้า
เสียงพูดคุยของชาวบ้านยามกลับจากนา เสียงเครื่องยนต์ของรถไถนา...ทำให้เขารู้สึกสงบได้อย่างประหลาด ภาพความเปลี่ยนแปลงของแปลงนารอบบ้านที่เริ่มจากผืนดินปริ่มน้ำสีโคลนกระดำกระด่าง ก่อนมีต้นข้าวบ้างถูกปักดำ บ้างถูกหว่านน้ำตมเริ่มขึ้นต้นเขียว ทุ่งนาสีดินโคลนเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนสุดลูกหูลูกตา เมฆมงคลพบว่ามันคือความสงบสุขที่จะช่วยเติมเต็มและหล่อเลี้ยงชีวิตเขาต่อไป
ความรู้สึกวัยเด็กหวนกลับมาสู่เมฆมงคลอีกครั้ง เขาจำได้ว่าในตอนนั้นเมืองผู้เป็นพ่อเปลี่ยนจากคนทำนามาเป็น ‘นายทุน’ เลิกลงมือทำเอง แต่ใช้วิธีจ้างคนงานมีทั้งแบบประจำและชั่วคราว ที่นาหลายสิบไร่ที่พ่อเขามีเป็นทุนเดิมเมื่อรวมกับที่นาของแม่ก็ร่วมร้อยไร่ เท่านั้นยังไม่พอเมืองยังเก็บหอมรอมริบซื้อที่จากเพื่อนบ้านที่ย้ายไปตั้งรกรากที่อื่น ท้ายสุดพ่อเขาก็กลายเป็นเจ้าของที่นาผืนใหญ่ที่สุดในตำบล
เมืองเป็นนายทุนในการทำนาไม่นานเขาก็เริ่มปล่อยที่นาให้เช่า นั่นเพราะเขาค้นพบธุรกิจใหม่คือการทำฟาร์มวัวนมในตอนแรกเขาตั้งใจเปลี่ยนที่นาบางส่วนเป็นฟาร์มแต่แล้วก็เกิดเปลี่ยนใจ หอบเงินไปลงทุนที่จังหวัดใกล้เคียง ซึ่งนั่นทำให้เมืองต้องเดินทางไปกลับระหว่างฟาร์มและบ้าน จุดเริ่มต้นของชีวิตคู่แตกร้าวของเมืองกับนภาแม่ของเมฆมงคลก็เริ่มขึ้น ทั้งคู่เริ่มระหองระแหงเพราะความระแวง เมืองเริ่มไม่กลับบ้าน นภาเริ่มตรอมใจจนโรครุมเร้าและจากเมฆมงคลไปเมื่อเขามีอายุเพียงสิบขวบ ปีต่อมาเมืองก็แต่งงานใหม่โดยอ้างว่าเพื่อหาคนดูแลลูก
มิ่งขวัญคือแม่ใหม่ของเมฆมงคล เป็นลูกสาวเจ้าของฟาร์มวัวนมใกล้กับฟาร์มของเมือง สองปีต่อมาเมฆมงคลก็ได้น้องชาย ก่อนหน้านั้นแม่เลี้ยงของเขาดูแลค่อนข้างดี เมฆมงคลจึงไม่ได้ออกฤทธิ์ออกเดชอะไรมากนัก แต่เมื่อมีน้องเขาก็ถูกละเลยความสนใจกอปรกับเขาเริ่มย่างเข้าสู่วัยรุ่นจึงก่อเรื่องเพื่อเรียกร้องความสนใจเป็นระยะ เมืองจึงตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการส่งเขาไปอยู่โรงเรียนประจำ
เมื่อจบมัธยมต้นเมฆมงคลจึงได้เอ่ยปากขอเมืองเข้ามาเรียนเมืองหลวงซึ่งได้รับการอนุมัติโดยดีเพราะช่วงนั้นน้องชายคนที่สองของเขาเพิ่งลืมตาดูโลก...ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อจึงค่อนข้างห่างเหิน เมื่อมีปัญหาเขาเลือกที่จะเก็บไว้กับตัวเองมากกว่าเล่าให้ใครฟัง ไทรทองก้าวเข้ามาในช่วงเวลาที่เขาต้องการใครสักคน แถมดูแลห่วงใยชนิดที่เขาไม่ค่อยได้รับจากพ่อแท้ๆ เขาจึงไว้เนื้อเชื่อใจและให้ความเคารพนับถือสุดชีวิต
“แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ หลังจากขยายพื้นที่ทำนาแล้ว?” คำถามของไทรทองดึงภวังค์คิดของเมฆมงคลกลับมาสู่ปัจจุบัน
“ผมจะทดลองทำนาข้าวต้นเดียวครับ ตอนนี้ปรุงดินอยู่ พอดีไปอ่านเจอในอินเตอร์เน็ตน่าสนใจดีผมเลยว่าจะลองครับ” ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ “ส่วนที่ทำไว้กลับไปนี่สักสองอาทิตย์ก็เกี่ยวได้แล้วครับ คงได้เงินคืนคุณลุงอีกก้อน”
“ลุงบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องรีบคืน เก็บไว้ทำทุนแล้วค่อยคืนทีเดียวก็ได้” ไทรทองบอกพลางถอนหายใจ
“ไม่ได้หรอกครับคุณลุง เดี๋ยวผมจะผิดวินับตัวเองครับ” เมฆมงคลบอกจริงจัง ผู้สูงวัยกว่าได้แต่ถอนหายใจพลางส่ายหน้าอย่างระอากับความรั้นของเขา กระนั้นก็มีรอยพึงใจเจือในสีหน้า
“ไอ้เรามันก็ดื้อรั้นอย่างนี้ละน้า” คำพูดนั้นเต็มไปด้วยรอยเอื้อเอ็นดู
“ยอมผมเรื่องนี้เถอะครับคุณลุง แค่คุณลุงยอมให้ผมกู้เงินมาลงทุน ยอมโดนพ่อผมงอนเพราะโดนหักหน้าจนเกือบเสียเพื่อนที่คบกันมาหลายสิบปีเพราะผมนี่ก็เป็นพระคุณที่สุดแล้วครับ” เมฆมงคลเอ่ยเท้าความ
แรกเริ่มที่เขาตัดสินใจเป็นมั่นเหมาะว่าจะเริ่มต้นงานใหม่คือการทำนา เมืองผู้เป็นพ่อคัดค้านชนิดหัวชนฝาโดยอ้างเหตุผลถึงความลำบาก ไทรทองอยู่ร่วมเหตุการณ์ปะทะครั้งนั้นจึงกลายเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ย รอบแรกเมฆมงคลพ่ายแพ้ย่อยยับ แต่เขาก็ไม่ย่อท้อตั้งหน้าตั้งตาตื้อเรื่อยไป หลายวันเข้าเขาก็ยกเรื่องแม่ขึ้นมาอ้าง พูดตัดพ้อจนผู้เป็นพ่อรู้สึกผิดกับการจากไปของภรรยาเก่า กอปรกับมีไทรทองคอยเป็นคนสนับสนุนเขาจึงได้ที่นาส่วนของแม่เป็นที่ทำทุน
แต่ก็ได้เพียงเท่านั้นเพราะเมืองที่ทุ่มเทเงินทองแม้เขาจะไม่ขอมาโดยตลอดกลับไม่ยอมให้กู้เงินเพื่อทำทุน ครั้งนี้หัวเด็ดตีนขาดเมืองก็ไม่ยอม ไทรทองจึงช่วยตัดไฟโทสะซึ่งเริ่มเห็นรางๆ จากเมฆมงคลด้วยการเอ่ยให้กู้ยืมเงินก้อนใหญ่ เขาจึงได้เริ่มทำนาจริงจัง ล้มลุกคลุกคลานกับการเป็นมือใหม่อยู่หลายปีกว่าจะเริ่มมีเงินก้อนมาคืนไทรทองได้ คนให้ยืมนอกจากจะไม่ทวงแถมยังไม่ยอมทำสัญญากู้ยืม นั่นยิ่งทำให้ความนับถือและความเกรงใจเพิ่มพูนทบทวี
“เอาเถอะๆ จะอย่างไรก็ตามใจ แต่เหลือเงินติดก้นถุงไว้เยอะหน่อยก็ดีนะ...ลุงขอเตือน” ท้ายประโยคไทรทองเอ่ยกลั้วยิ้ม
“ผมตัวคนเดียว ยังไม่มีธุระจำเป็นต้องใช้อะไรหรอกครับ แนวโน้มเรื่องต้นทุนก็คำนวณไว้แล้ว กันส่วนทุนสำรองไว้แล้ว...ห่วงผมก็มีแค่นี้เองครับ” เมฆมงคลบอกยิ้มๆ
“เออ...พูดถึงห่างก็ดีแล้ว...ไม่คิดจะแต่งการแต่งงานบ้างหรือไงเราน่ะ มองๆ ใครไว้บ้างไหม?” ไทรทองเอ่ยถาม สีหน้ารอคอยคำตอบจริงจังจนเมฆมงคลอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
“ผมไม่เหมาะกับการมีครอบครัวหรอกครับ” ชายหนุ่มตอบเสียงหนัก ประกายตายามเอ่ยถึงเรื่องการมีครอบครัวเจ็บปวดลึกล้ำ
“บางครั้งเรื่องแบบนี้มันก็ไม่ได้ขึ้นกับความเหมาะไม่เหมาะหรอกนะเมฆ...อาจจำเป็นต้องมีเพราะความจำเป็น ภาวะจำยอม หรือเพื่อหน้าตาในสังคมก็ได้” ไทรทองจริงจังทั้งน้ำเสียงและสีหน้า กิริยานั้นทำให้เมฆมงคลเอะใจหรี่ตามองคนพูดอย่างจับสังเกต “คนเป็นพ่อเป็นแม่ แม้ปากจะบอกว่าไม่สนใจแต่ก็ไม่สามารถทำอย่างที่พูดได้หรอก ได้รักได้เลี้ยงดูแลมาแต่เล็กแต่น้อย ต่อให้ลูกทำผิดมากแค่ไหน โกรธแค่ไหนก็ตัดทิ้งไม่ได้ ยิ่งเห็นลูกหลานโดเดี่ยวไร้คนดูแล...ยิ่งเห็นลูกมีปัญหาเป็นทุกข์ พ่ออย่างลุงก็ทนไม่ได้” ท้ายประโยคเสียงอ่อนใจ สีหน้าพลันสลดวูบลงจนเมฆมงคลอดไม่ได้
“คุณลุง...มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าครับ...บอกผมได้นะครับถ้าช่วยได้ผมยินดี” ไทรทองเงยหน้ามองคนพูดทันทีที่ฟังจบ แววตาเปี่ยมหวังแม้สีหน้ายังดูหมอง
“ลุงเคยเล่าให้เมฆฟังว่ามีลูกสาวอยู่คนเดียว แม่ตายตั้งแต่ยังเล็กจำได้ไหม?” ผู้สูงวัยเกริ่นนำ เมฆมงคลพยักหน้ารับ
“จำได้ครับ คุณลุงเคยให้ดูรูปที่พกติดกระเป๋าสตางค์ รู้สึกจะเป็นรูปสมัยมัธยมต้นมั้งครับ คุณลุงยังเปรยๆ ว่าอยากพามาขอคำแนะนำจากผมตอนน้องจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแต่ก็ไม่ได้เจอกันเพราะผมยุ่งกับธุรกิจ”
“นั่นแหละๆ ยัยตัวแสบยัยตัวยุ่งของลุงนั่นแหละ...ตอนเด็กๆ ลุงก็เห็นว่าขาดแม่ เป็นห่วงความรู้สึกลูกก็เลยไม่แต่งงานใหม่ กลัวลูกขาดความอบอุ่นก็เลยรักเลยโอ๋มากไปหน่อย...ลูกสาวลุงเลยโตมาแบบ...เอาแต่ใจ ยิ่งโตยิ่งหนักข้อ...จนลุงอ่อนใจ...แล้ว...เอ่อ...ล่าสุดนี่...ก็...” ไทรทองตะกุกตะกัก เหลือบตามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างกระอักกระอ่วน เมฆมงคลจึงเอ่ยอย่างจริงใจ
“คุณลุงมีเรื่องอะไรอยากให้ผมช่วยก็บอกมาเถอะครับ ผมยินดี”
“จริงๆ นะเมฆ...ลุงมองไม่เห็นใครที่พอจะไว้ใจได้อีกแล้ว จึงแบกหน้าเอาความอายมาขายเมฆนี่แหละ” ไทรทองเอ่ยเสียงหม่น “ถ้าเมฆไม่ช่วย...ลุงก็ไม่รู้จะพึ่งใครแล้ว” เสียงสั่นเครือในประโยคลงท้ายทำให้เมฆมงคลขยับตัวนั่งหลังตรง เอ่ยคำรับรองหนักแน่นที่สุดเท่าที่เขาเคยเอ่ยมา...และเป็นคำที่หนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิตของเขา
“ผมช่วยเต็มที่ครับลุงไทร บอกมาเลยครับผมยินดี” แววลิงโลด ยินดี ฉาบทาทั้งสีหน้าแววตาของผู้สูงวัย มือยื่นมากุมไหล่หนาของชายหนุ่มคล้ายดั่งรอคำนี้มานานหนักหนา
“ขอบใจมากเมฆ...ขอบใจที่รับปาก!” เมฆมงคลพยักหน้าพลางยิ้มรับ...ก่อนรอยยิ้มของเขาจะชะงักค้างเมื่อได้ยินคำขอร้อง
“ช่วยแต่งงานกับลูกสาวลุงหน่อยนะเมฆ!”
จบตอน คำขอร้อง
หลังฉาก #2
เมฆ : ป้า เอ๊ย พี่! ทำไมทำกับผมอย่างเน้!
รัมย์ : เป็นพระเอกพี่ต้องอดทนน้อง
เมฆ : ต้นตอนนึกดีใจว่าพอมีมาดพระเอกแล้วเชียว!
รัมย์ : เป็นพระเอกพี่ต้องอดทนน้อง
เมฆ : มีสาวหันมองด้วย อย่างชอบ!
รัมย์ : เป็นพระเอกพี่ต้องอดทนน้อง
เมฆ : แล้วดูประวัติชีวิตผมเด้! ทำไมมันรันทดอย่างน้านนนนน !!
รัมย์ : เป็นพระเอกพี่ต้องอดทนน้อง
เมฆ : แถมยังจบได้หดหู่คนโสดอย่างผมมาก...ผมขอยกเลิกการเป็นพระเอกพี่ได้มะ? ไปอัญเชิญไอ้หรรมาเลย ผมยินดีหลีกทาง!!
รัมย์ : เป็นพระเอกพี่ต้องอดทนน้อง...ได้หลวมตัวมาแล้วออกยากจนกว่าจะจบแหละ...หยุด! ห้ามมีปัญหา! ก้มหน้าก้มตาท่องบทตอนต่อไปไป๊!!!!
เมฆ : ..........
.....
รัมย์ : คุณคนอ่าน...เค้ามาช้า...เค้าขอโทษ...งุงิงุงิ >< เค้าขอตัวไปแต่งตัวก่อนนะ ฉากหน้าต้องออกแระ เฟี้ยววววววววววว
2
คำขอร้อง
เมฆมงคลก้าวลงจากรถเบ็นซ์ซึ่งจอดเทียบประตูทางเข้าคอนโดมิเนียม เขาเดินอ้อมรถไปยังฝั่งคนขับซึ่งเลื่อนกระจกรถรออยู่แล้ว
“ขอบใจมากเพื่อนที่มาส่ง ว่างๆ อย่าลืมไปเที่ยวนาข้าวฉันนะ” เมฆมงคลบอกยิ้มๆ
“เอาจริงดิ? แกไม่ได้พูดเล่นเหรอวะ?” มหรรณพเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ
“วะ! แกเห็นฉันพูดเล่นหรือไงเนี่ย สี่ห้าปีที่หายไปก็ไปเป็นชาวนามาเว้ย...ถ้าอยากรู้ว่าจริงหรือเปล่า แกก็ไปหาฉันที่บ้านพิสูจน์กับตาเลย เดี๋ยวจะหาว่าฉันโม้!” เขาท้าทาย
“เออๆ เดี๋ยวว่างๆ จะไปดูเป็นบุญตาสักวัน” มหรรณพว่าพลางพยักหน้าก่อนยกมือโบกลาและพารถเคลื่อนออกไป
เมฆมงคลมองส่งจนรถเพื่อนลับหายไปจากสายตา รอยยิ้มยังเจือบนเรียวปาก ดวงตายังเปล่งประกายวาววาม เพียงแต่ไม่ใช่ด้วยความสนุกสนานเหมือนก่อนหน้านั้น สีหน้าของชายหนุ่มตอนนี้เต็มไปด้วยแววเยาะหยัน รอยยิ้มก็เต็มไปด้วยแววเย้าเย้ย เขาหมุนตัวเดินเข้าไปในคอนโด เรียกลิฟต์และกดชั้นที่ต้องการ
เมื่อถึงห้องแล้วชายหนุ่มก็แกะผ้าขาวม้าออกจากเอว คลี่อย่างถนอมวางพาดบนพนักเก้าอี้ก่อนถอดเสื้อม่อฮ่อม...ถอดกางเกง...
อะแฮ่ม!...คนอ่านอย่าเพิ่งจินตนาการ...กลับมาก่อน...เอาล่ะ...
เมฆมงคลหยิบผ้าขาวม้ามาพันนุ่งแทนกางเกง ชายหนุ่มเดินไปยังห้องน้ำ เปิดน้ำวักล้างหน้าเพื่อคลายเมื่อยล้า ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เขาต้องใช้กล้ามเนื้อบนใบหน้าหนักกว่าทุกวัน หลังจากใช้ผ้าขนหนูซับหยดน้ำที่หลงเหลือตามผิวหน้าและเรียวหนวด ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนในกระจก ภวังค์คิดกลับนึกย้อนไปยังเหตุการณ์หลังจากที่เขาประกาศก้องถึงอาชีพของตัวเอง
‘จริงเหรอ? ชาวนาเนี่ยนะ?’
‘อย่ามาโม้ สะโอดสะองลูกคุณหนูอย่างนายนี่นะ จะทำงานคลุกดินคลุกโคลนได้?’ มหรรณพเอ่ยอย่างไม่เชื่อ
‘ใช่ๆ ใครจะเชื่อ อดีตดาวคณะหล่อสาวแห่กรี๊ด แถมเรียนจบมีหน้าที่การงานดีถึงขั้นเปิดบริษัทเป็นของตัวเองเนี่ยนะ จะผันตัวไปเป็นชาวนา?’ อีกเสียงสนับสนุน
‘เรียนมาตั้งสูงไปทำนา คิดยังไงกัน ทำนาไม่เห็นจะรวยเลยแถมลำบากมากๆ ด้วย’
‘ร้อยไม่เชื่อ พันไม่เชื่อ...ล้านก็ไม่เชื่อ!’
ฯลฯ
สรุปโดยสายตา ร้อยเปอร์เซ็นต์ของคนในงานล้วนไม่เชื่อคำพูดเขา! คิดมาถึงตรงนี้เมฆมงคลก็อดหัวเราะไม่ได้...ความคิดของคนนี่มันหลากหลายดีจริงๆ ชายหนุ่มมองเงาสะท้อนในกระจกอีกครั้ง หนวดเครารุงรังบดบังหน้าตาไปเสียครึ่ง เขาใช้เวลาในการปล่อยหนวดให้ยาวโดยไม่ใส่ใจพักใหญ่ เพื่อดูปฏิกิริยาของคนรอบข้าง และมีจุดประสงค์หลักคือการปรากฏตัวในงานคืนนี้โดยเฉพาะ สายตาของคนในงานที่มองมายังรูปลักษณ์ภายนอกของเขาประสบความสำเร็จสำหรับเขาเป็นที่สุด คิดพลางส่งยิ้มให้เงาในกระจกก่อนจะหยิบอุปกรณ์สำหรับการโกนหนวดออกมาจัดการกำจัด ‘เปลือก’ บนใบหน้าออก
หลังจากโกนหนวด อาบน้ำ สระผม เปลี่ยนชุดเตรียมเข้านอน เมฆมงคลหยิบโทรศัพท์มือถือซึ่งเขาไม่ได้พกติดตัวไปงานด้วย ความตั้งใจคือปิดโทรศัพท์ก่อนนอน แต่ข้อความแจ้งเตือนบนหน้าจอโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดกลับทำให้เขาผุดลุกขึ้นนั่งก่อนเหลือบดูเวลาเทียบระหว่างตอนส่งกับเวลาปัจจุบัน แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วงเนื่องจากช่วงเวลาห่างกันหลายชั่วโมง ชายหนุ่มกดเข้าไปดูข้อความในโปรแกรมยอดส่งข้อความยอดนิยม
‘เมฆ ถ้าว่างโทรหาลุงด้วยนะ ลุงมีธุระสำคัญมากอยากให้เมฆช่วย’
นาฬิกาบอกเวลาสองนาฬิกาของวันใหม่แล้ว เมฆมงคลได้แต่ถอนหายใจ ให้ถึงเวลาปกติของการใช้ชีวิตแล้วเขาจะโทรศัพท์ไปหาคนส่งข้อความแน่นอน ชายหนุ่มให้คำมั่นกับตัวเอง ออกจากโปรแกรมได้เขาก็กดเข้าโปรแกรมเฟสบุ้ค ก่อนหน้านั้นเพจรวมรุ่นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นกับการตกลงมาร่วมงานเลี้ยงรุ่นของเขา เมื่องานจบไปแล้วทั้งหน้าเพจก็ยังคงอุดมไปด้วยเรื่องราวของเขา แถมยังมีรูประกอบด้วย...เพียงแต่ว่าความตื่นเต้นเปลี่ยนเรื่อง
เมฆมงคลได้แต่ยิ้มหยันกับข้อความเหล่านั้น แม้เขาไม่ใช่คนละเอียดอ่อนนักแต่ก็จับใจความในคำพิมพ์เหล่านั้นได้ว่าเจือไปด้วยแววดูแคลน ชายหนุ่มกดปิดโทรศัพท์มือถือวางไว้บนหัวเตียงอย่างไม่ใส่ใจ ปิดไฟและหลับตา...มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ แรกเริ่มล้วนมองที่เปลือก แล้วเวลาจะเป็นตัวเลือกว่าใครจะข้ามเปลือกมาพบเนื้อแท้...เขาเองก็เคยเป็น หัวเราะเบาๆ ก่อนก้าวสู่ห้วงนิทรา
ชายหนุ่มที่กำลังนั่งจิบกาแฟก่อนใช้นิ้วจิ้มหน้าจอมแทบเล็ตอยู่นั้น หากมีคนในงานเลี้ยงรุ่นเมื่อคืนนี้มาพบเข้าก็คงจำไม่ได้ ไม่ใช่เพียงแค่หนวดเคราที่หายไปแล้วทำให้หน้ามหาโจรเปลี่ยนเป็นผู้เป็นคนขึ้นเท่านั้น ผมยาวกระเซอะกระเซิงเหมือนไม่ได้สระถูกจับมัดลวกๆ เมื่อคืน แม้ตอนนี้จะมัดแบบขอไปทีแต่ผ่านการสระสะอาดและผ่านหวีบ้างแล้ว ชุดคอสเพลย์ชาวนาเมื่อคืนถูกถอดพับเก็บลงกระเป๋าเดินทาง เขาเลือกหยิบเอาชุดที่ใส่ประจำออกมาสวมใส่ เสื้อยืดสีเข้ม กางเกงยีนส์เก่าซีด รองเท้าผ้าใบพร้อมลุยงานเป็นสไตล์ที่เมฆมงคลพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วว่าไม่เคยตกยุค
หลังจากตื่นนอนเมื่อเช้า เมฆมงคลจึงโทรศัพท์ไปหาคนที่ส่งข้อความมาหาเขาเมื่อคืน ครั้นคนปลายสายรู้ว่าเขาอยู่เมืองหลวงอยู่แล้วก็แสดงความยินดีและนัดแนะเพื่อพบปะพูดคุยธุระสำคัญ ร้านกาแฟร้านเล็กๆ หัวมุมถนนที่ทั้งเขาและคนนัดรู้จักดีจึงเป็นจุดนัดพบของเขาวันนี้ ชายหนุ่มเลือกตะติดกระจกที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพนอกร้านซึ่งทางร้านจัดสวนหย่อมเล็กๆ พอให้ลูกค้าสบายตายามจิบกาแฟ
เมฆมงคลมาก่อนเวลานัดพอสมควร เขาสั่งกาแฟและขนมปังปิ้งมารับประทานระหว่างรอ ไม่ลืมหยิบแท็บเล็ตมาดูความเคลื่อนไหวของแปลงนาซึ่งจะมีรายงานสถานการณ์ที่น่าสนใจจากคนงานส่งผ่านทั้งโปรแกรมสนทนาและเฟสบุ้คเป็นระยะ เทคโนโลยีทันสมัยในปัจจุบันเขาไม่ลืมนำมันมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดสำหรับงานเขา
แม้นานๆ ครั้งเขาจะเงยหน้าจากจอแท็บเล็ต แต่ก็พอจับสังเกตได้ว่า มีสายตาหญิงสาวทั้งในร้านและที่เดินผ่านไปมองเขาอย่างสนใจ ชายหนุ่มอมยิ้มกับจอแท็บเล็ต...อย่างน้อยก็รู้สึกพอใจกับเสน่ห์ที่หลงเหลือของตัวเอง เขาคิดขำๆ
“แทบจำไม่ได้แน่ะเมฆ!” เสียงทักทายกลั้วยิ้มฉุดเมฆมงคลจากภวังค์คิด เขาเงยหน้าจากจอแท็บเล็ตพร้อมผุดลุกขึ้นยกมือไหว้ทันทีที่เห็นว่าเป็นใคร
ผู้มาใหม่คือชายสูงวัยร่างท้วมดูภูมิฐาน ใบหน้าเกลื่อนยิ้มดั่งคนอารมณ์ดีเป็นนิจ เสื้อเชิ้ตลายดอกสีสดใสเข้ากับบรรยากาศฤดูร้อนของประเทศไทยเป็นอย่างดี
“เป็นไงบ้างหลานชาย” ผู้สูงวัยเอ่ยถามหลักยกมือรับไหว้ชายหนุ่ม ตบไหล่หนาเบาๆ พลางชี้เชิญกันให้นั่ง
“สบายดีตามอัตภาพครับ คุณลุงล่ะครับไม่ได้เจอกันนานแล้ว เป็นอย่างไรบ้างครับ?” เมฆมงคลถามกลับก่อนเรียกพนักงานมาสั่งเครื่องดื่มที่เขาจำได้ว่าผู้สูงวัยชื่นชอบ
“สบายดีตามสภาพคนแก่แหละเมฆเอ๊ย” ไทรทองเอ่ยยิ้มๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ถอนหายใจเบาๆ เมฆมงคลมองใบหน้าของผู้มีพระคุณ คนที่เปิดดวงตามองโลกความจริง มอบโอกาสดีๆ ให้เขาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ เขาไม่ลังเลใจเลยที่จะบอกว่า เขาสามารถเรียกชายตรงหน้าว่า ‘พ่อ’ อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ
“พักนี้ผมไม่ค่อยได้โทรไปหาคุณลุงเลย ต้องขอโทษด้วยนะครับ” เขาบอกเสียงเกรงใจ
“ไม่เป็นไรๆ ลุงเข้าใจว่าเมฆกำลังยุ่งกับการขยายพื้นที่ทำนา ลุงก็โทรไปคุยกับพ่อของเมฆบ่อยๆ รายนั้นก็บ่นว่าเมฆไม่ค่อยกลับบ้านกลับช่อง ขลุกอยู่แต่ปลายนา”
“มันสะดวกกับการทำงานมากกว่าครับคุณลุง พ่อเองแค่ยุ่งวุ่นวายเรื่องนายสองตัวนั่นก็ปวดหัวพอแล้ว เกิดผมเอาความเหนื่อยไปทับถมอีกจะพาลแย่กันไปหมด” เมฆมงคลหมายความถึงน้องชายต่างมารดาอีกสองคนซึ่งกำลังอยู่ในวัยเรียน กำลังคึกคะนองขยันหาเรื่องชวนปวดหัวมาให้เมืองผู้เป็นพ่อเสมอ
“ก็จริงของเมฆนะ แต่พักหลังมานี่ดูเขาชื่นชมเมฆมากนะ เวลาเข้าวงสนทนากันนี่คุยเรื่องเมฆทับถมลูกชาวบ้านเรื่อยเลย” ไทรทองว่ากลั้วหัวเราะ
“ทีตอนผมบอกว่าจะทำนาค้านผมหัวชนฝาเลย” เมฆมงคลเอ่ยยิ้มๆ แม้ไม่บอกแต่ผู้สูงวัยก็ดูออกว่าชายหนุ่มเองก็ภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่รู้ว่าตัวเองถูกหยิบยกเรื่องดีขึ้นมาเอ่ยอ้าง
“เมฆก็ต้องเข้าใจพ่อเขา เขาเคยเป็นชาวนา เคยทำนาลำบากมาก่อน สมัยพ่อของเมฆทำนาน่ะเครื่องไม้เครื่องมือเทคโนโลยีมันก็ไม่ทันสมัยเหมือนยุคนี้ เขากลัวเมฆลำบากเหมือนเขาไง” ไทรทองให้เหตุผล “พ่อของเมฆก็เป็นแบบนี้แหละ หัวดื้อมาตั้งแต่หนุ่มยันแก่ฝังใจเชื่อเรื่องอะไรแล้วไม่ค่อยจะเปลี่ยนความคิดง่ายๆ ต้องทำให้ดูเหมือนที่เมฆเองก็ดื้อพิสูจน์ด้วยการลงมือทำจนพ่อเขาเห็น” เมฆมงคลไม่เอ่ยคำใดคล้ายยอมรับคำกล่าวนั้นอยู่ในที
ความคิดของเมฆมงคลวิ่งย้อนกลับไปวันที่เขาท้อแท้เพราะทุกปัญหารอบด้านรุมเร้า ตัวเขาเองหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ได้แต่หมกตัวอยู่ในห้องคอนโด กระทั่งไทรทองผู้เป็นเพื่อนสนิทร่วมหัวจมท้ายมากับเมือง ถูกไหว้วานให้แวะมาดูแลถามไถ่ เหตุเพราะเมืองต้องไปดูแลลูกอีกคนซึ่งประสบอุบัติเหตุอยู่ต่างประเทศ หลังจากเปิดอกพูดคุยกันอยู่หลายวัน ข้อคิดจากผู้สูงวัยก็เริ่มกระตุ้นให้เขาตื่นขึ้นมาพบกับความหวังของชีวิตครั้งใหม่ มุมมองต่อการดำเนินชีวิตจากความพลั้งผิดในอดีตก็เปลี่ยนไป ไทรทองชี้ให้เขาเห็นความสุขที่ซ่อนอยู่ในความทุกข์ เมื่อฉุกคิด เมฆมงคลจึงเดินทางกลับบ้านเกิดไปทบทวน และมองอนาคต
บ้านเกิดของเมฆมงคลอยู่จังหวัดในภาคกลางไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก บ้านของเขาอยู่ห่างจากตัวเมืองพอสมควร อากาศดี อาชีพหลักของคนในจังหวัดส่วนใหญ่คือทำการเกษตร บ้างทำสวน บ้างทำไร่ แต่ส่วนใหญ่ทำนา ช่วงเวลาที่เมฆมงคลไปอยู่บ้านนั้นคือช่วงแห่งการไถ หว่าน ปักดำ เขาค้นพบว่ากลิ่นดินโคลน กลิ่นน้ำ กลิ่นใบข้าวกล้า
เสียงพูดคุยของชาวบ้านยามกลับจากนา เสียงเครื่องยนต์ของรถไถนา...ทำให้เขารู้สึกสงบได้อย่างประหลาด ภาพความเปลี่ยนแปลงของแปลงนารอบบ้านที่เริ่มจากผืนดินปริ่มน้ำสีโคลนกระดำกระด่าง ก่อนมีต้นข้าวบ้างถูกปักดำ บ้างถูกหว่านน้ำตมเริ่มขึ้นต้นเขียว ทุ่งนาสีดินโคลนเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนสุดลูกหูลูกตา เมฆมงคลพบว่ามันคือความสงบสุขที่จะช่วยเติมเต็มและหล่อเลี้ยงชีวิตเขาต่อไป
ความรู้สึกวัยเด็กหวนกลับมาสู่เมฆมงคลอีกครั้ง เขาจำได้ว่าในตอนนั้นเมืองผู้เป็นพ่อเปลี่ยนจากคนทำนามาเป็น ‘นายทุน’ เลิกลงมือทำเอง แต่ใช้วิธีจ้างคนงานมีทั้งแบบประจำและชั่วคราว ที่นาหลายสิบไร่ที่พ่อเขามีเป็นทุนเดิมเมื่อรวมกับที่นาของแม่ก็ร่วมร้อยไร่ เท่านั้นยังไม่พอเมืองยังเก็บหอมรอมริบซื้อที่จากเพื่อนบ้านที่ย้ายไปตั้งรกรากที่อื่น ท้ายสุดพ่อเขาก็กลายเป็นเจ้าของที่นาผืนใหญ่ที่สุดในตำบล
เมืองเป็นนายทุนในการทำนาไม่นานเขาก็เริ่มปล่อยที่นาให้เช่า นั่นเพราะเขาค้นพบธุรกิจใหม่คือการทำฟาร์มวัวนมในตอนแรกเขาตั้งใจเปลี่ยนที่นาบางส่วนเป็นฟาร์มแต่แล้วก็เกิดเปลี่ยนใจ หอบเงินไปลงทุนที่จังหวัดใกล้เคียง ซึ่งนั่นทำให้เมืองต้องเดินทางไปกลับระหว่างฟาร์มและบ้าน จุดเริ่มต้นของชีวิตคู่แตกร้าวของเมืองกับนภาแม่ของเมฆมงคลก็เริ่มขึ้น ทั้งคู่เริ่มระหองระแหงเพราะความระแวง เมืองเริ่มไม่กลับบ้าน นภาเริ่มตรอมใจจนโรครุมเร้าและจากเมฆมงคลไปเมื่อเขามีอายุเพียงสิบขวบ ปีต่อมาเมืองก็แต่งงานใหม่โดยอ้างว่าเพื่อหาคนดูแลลูก
มิ่งขวัญคือแม่ใหม่ของเมฆมงคล เป็นลูกสาวเจ้าของฟาร์มวัวนมใกล้กับฟาร์มของเมือง สองปีต่อมาเมฆมงคลก็ได้น้องชาย ก่อนหน้านั้นแม่เลี้ยงของเขาดูแลค่อนข้างดี เมฆมงคลจึงไม่ได้ออกฤทธิ์ออกเดชอะไรมากนัก แต่เมื่อมีน้องเขาก็ถูกละเลยความสนใจกอปรกับเขาเริ่มย่างเข้าสู่วัยรุ่นจึงก่อเรื่องเพื่อเรียกร้องความสนใจเป็นระยะ เมืองจึงตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการส่งเขาไปอยู่โรงเรียนประจำ
เมื่อจบมัธยมต้นเมฆมงคลจึงได้เอ่ยปากขอเมืองเข้ามาเรียนเมืองหลวงซึ่งได้รับการอนุมัติโดยดีเพราะช่วงนั้นน้องชายคนที่สองของเขาเพิ่งลืมตาดูโลก...ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อจึงค่อนข้างห่างเหิน เมื่อมีปัญหาเขาเลือกที่จะเก็บไว้กับตัวเองมากกว่าเล่าให้ใครฟัง ไทรทองก้าวเข้ามาในช่วงเวลาที่เขาต้องการใครสักคน แถมดูแลห่วงใยชนิดที่เขาไม่ค่อยได้รับจากพ่อแท้ๆ เขาจึงไว้เนื้อเชื่อใจและให้ความเคารพนับถือสุดชีวิต
“แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ หลังจากขยายพื้นที่ทำนาแล้ว?” คำถามของไทรทองดึงภวังค์คิดของเมฆมงคลกลับมาสู่ปัจจุบัน
“ผมจะทดลองทำนาข้าวต้นเดียวครับ ตอนนี้ปรุงดินอยู่ พอดีไปอ่านเจอในอินเตอร์เน็ตน่าสนใจดีผมเลยว่าจะลองครับ” ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ “ส่วนที่ทำไว้กลับไปนี่สักสองอาทิตย์ก็เกี่ยวได้แล้วครับ คงได้เงินคืนคุณลุงอีกก้อน”
“ลุงบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องรีบคืน เก็บไว้ทำทุนแล้วค่อยคืนทีเดียวก็ได้” ไทรทองบอกพลางถอนหายใจ
“ไม่ได้หรอกครับคุณลุง เดี๋ยวผมจะผิดวินับตัวเองครับ” เมฆมงคลบอกจริงจัง ผู้สูงวัยกว่าได้แต่ถอนหายใจพลางส่ายหน้าอย่างระอากับความรั้นของเขา กระนั้นก็มีรอยพึงใจเจือในสีหน้า
“ไอ้เรามันก็ดื้อรั้นอย่างนี้ละน้า” คำพูดนั้นเต็มไปด้วยรอยเอื้อเอ็นดู
“ยอมผมเรื่องนี้เถอะครับคุณลุง แค่คุณลุงยอมให้ผมกู้เงินมาลงทุน ยอมโดนพ่อผมงอนเพราะโดนหักหน้าจนเกือบเสียเพื่อนที่คบกันมาหลายสิบปีเพราะผมนี่ก็เป็นพระคุณที่สุดแล้วครับ” เมฆมงคลเอ่ยเท้าความ
แรกเริ่มที่เขาตัดสินใจเป็นมั่นเหมาะว่าจะเริ่มต้นงานใหม่คือการทำนา เมืองผู้เป็นพ่อคัดค้านชนิดหัวชนฝาโดยอ้างเหตุผลถึงความลำบาก ไทรทองอยู่ร่วมเหตุการณ์ปะทะครั้งนั้นจึงกลายเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ย รอบแรกเมฆมงคลพ่ายแพ้ย่อยยับ แต่เขาก็ไม่ย่อท้อตั้งหน้าตั้งตาตื้อเรื่อยไป หลายวันเข้าเขาก็ยกเรื่องแม่ขึ้นมาอ้าง พูดตัดพ้อจนผู้เป็นพ่อรู้สึกผิดกับการจากไปของภรรยาเก่า กอปรกับมีไทรทองคอยเป็นคนสนับสนุนเขาจึงได้ที่นาส่วนของแม่เป็นที่ทำทุน
แต่ก็ได้เพียงเท่านั้นเพราะเมืองที่ทุ่มเทเงินทองแม้เขาจะไม่ขอมาโดยตลอดกลับไม่ยอมให้กู้เงินเพื่อทำทุน ครั้งนี้หัวเด็ดตีนขาดเมืองก็ไม่ยอม ไทรทองจึงช่วยตัดไฟโทสะซึ่งเริ่มเห็นรางๆ จากเมฆมงคลด้วยการเอ่ยให้กู้ยืมเงินก้อนใหญ่ เขาจึงได้เริ่มทำนาจริงจัง ล้มลุกคลุกคลานกับการเป็นมือใหม่อยู่หลายปีกว่าจะเริ่มมีเงินก้อนมาคืนไทรทองได้ คนให้ยืมนอกจากจะไม่ทวงแถมยังไม่ยอมทำสัญญากู้ยืม นั่นยิ่งทำให้ความนับถือและความเกรงใจเพิ่มพูนทบทวี
“เอาเถอะๆ จะอย่างไรก็ตามใจ แต่เหลือเงินติดก้นถุงไว้เยอะหน่อยก็ดีนะ...ลุงขอเตือน” ท้ายประโยคไทรทองเอ่ยกลั้วยิ้ม
“ผมตัวคนเดียว ยังไม่มีธุระจำเป็นต้องใช้อะไรหรอกครับ แนวโน้มเรื่องต้นทุนก็คำนวณไว้แล้ว กันส่วนทุนสำรองไว้แล้ว...ห่วงผมก็มีแค่นี้เองครับ” เมฆมงคลบอกยิ้มๆ
“เออ...พูดถึงห่างก็ดีแล้ว...ไม่คิดจะแต่งการแต่งงานบ้างหรือไงเราน่ะ มองๆ ใครไว้บ้างไหม?” ไทรทองเอ่ยถาม สีหน้ารอคอยคำตอบจริงจังจนเมฆมงคลอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
“ผมไม่เหมาะกับการมีครอบครัวหรอกครับ” ชายหนุ่มตอบเสียงหนัก ประกายตายามเอ่ยถึงเรื่องการมีครอบครัวเจ็บปวดลึกล้ำ
“บางครั้งเรื่องแบบนี้มันก็ไม่ได้ขึ้นกับความเหมาะไม่เหมาะหรอกนะเมฆ...อาจจำเป็นต้องมีเพราะความจำเป็น ภาวะจำยอม หรือเพื่อหน้าตาในสังคมก็ได้” ไทรทองจริงจังทั้งน้ำเสียงและสีหน้า กิริยานั้นทำให้เมฆมงคลเอะใจหรี่ตามองคนพูดอย่างจับสังเกต “คนเป็นพ่อเป็นแม่ แม้ปากจะบอกว่าไม่สนใจแต่ก็ไม่สามารถทำอย่างที่พูดได้หรอก ได้รักได้เลี้ยงดูแลมาแต่เล็กแต่น้อย ต่อให้ลูกทำผิดมากแค่ไหน โกรธแค่ไหนก็ตัดทิ้งไม่ได้ ยิ่งเห็นลูกหลานโดเดี่ยวไร้คนดูแล...ยิ่งเห็นลูกมีปัญหาเป็นทุกข์ พ่ออย่างลุงก็ทนไม่ได้” ท้ายประโยคเสียงอ่อนใจ สีหน้าพลันสลดวูบลงจนเมฆมงคลอดไม่ได้
“คุณลุง...มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าครับ...บอกผมได้นะครับถ้าช่วยได้ผมยินดี” ไทรทองเงยหน้ามองคนพูดทันทีที่ฟังจบ แววตาเปี่ยมหวังแม้สีหน้ายังดูหมอง
“ลุงเคยเล่าให้เมฆฟังว่ามีลูกสาวอยู่คนเดียว แม่ตายตั้งแต่ยังเล็กจำได้ไหม?” ผู้สูงวัยเกริ่นนำ เมฆมงคลพยักหน้ารับ
“จำได้ครับ คุณลุงเคยให้ดูรูปที่พกติดกระเป๋าสตางค์ รู้สึกจะเป็นรูปสมัยมัธยมต้นมั้งครับ คุณลุงยังเปรยๆ ว่าอยากพามาขอคำแนะนำจากผมตอนน้องจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแต่ก็ไม่ได้เจอกันเพราะผมยุ่งกับธุรกิจ”
“นั่นแหละๆ ยัยตัวแสบยัยตัวยุ่งของลุงนั่นแหละ...ตอนเด็กๆ ลุงก็เห็นว่าขาดแม่ เป็นห่วงความรู้สึกลูกก็เลยไม่แต่งงานใหม่ กลัวลูกขาดความอบอุ่นก็เลยรักเลยโอ๋มากไปหน่อย...ลูกสาวลุงเลยโตมาแบบ...เอาแต่ใจ ยิ่งโตยิ่งหนักข้อ...จนลุงอ่อนใจ...แล้ว...เอ่อ...ล่าสุดนี่...ก็...” ไทรทองตะกุกตะกัก เหลือบตามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างกระอักกระอ่วน เมฆมงคลจึงเอ่ยอย่างจริงใจ
“คุณลุงมีเรื่องอะไรอยากให้ผมช่วยก็บอกมาเถอะครับ ผมยินดี”
“จริงๆ นะเมฆ...ลุงมองไม่เห็นใครที่พอจะไว้ใจได้อีกแล้ว จึงแบกหน้าเอาความอายมาขายเมฆนี่แหละ” ไทรทองเอ่ยเสียงหม่น “ถ้าเมฆไม่ช่วย...ลุงก็ไม่รู้จะพึ่งใครแล้ว” เสียงสั่นเครือในประโยคลงท้ายทำให้เมฆมงคลขยับตัวนั่งหลังตรง เอ่ยคำรับรองหนักแน่นที่สุดเท่าที่เขาเคยเอ่ยมา...และเป็นคำที่หนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิตของเขา
“ผมช่วยเต็มที่ครับลุงไทร บอกมาเลยครับผมยินดี” แววลิงโลด ยินดี ฉาบทาทั้งสีหน้าแววตาของผู้สูงวัย มือยื่นมากุมไหล่หนาของชายหนุ่มคล้ายดั่งรอคำนี้มานานหนักหนา
“ขอบใจมากเมฆ...ขอบใจที่รับปาก!” เมฆมงคลพยักหน้าพลางยิ้มรับ...ก่อนรอยยิ้มของเขาจะชะงักค้างเมื่อได้ยินคำขอร้อง
“ช่วยแต่งงานกับลูกสาวลุงหน่อยนะเมฆ!”
จบตอน คำขอร้อง
หลังฉาก #2
เมฆ : ป้า เอ๊ย พี่! ทำไมทำกับผมอย่างเน้!
รัมย์ : เป็นพระเอกพี่ต้องอดทนน้อง
เมฆ : ต้นตอนนึกดีใจว่าพอมีมาดพระเอกแล้วเชียว!
รัมย์ : เป็นพระเอกพี่ต้องอดทนน้อง
เมฆ : มีสาวหันมองด้วย อย่างชอบ!
รัมย์ : เป็นพระเอกพี่ต้องอดทนน้อง
เมฆ : แล้วดูประวัติชีวิตผมเด้! ทำไมมันรันทดอย่างน้านนนนน !!
รัมย์ : เป็นพระเอกพี่ต้องอดทนน้อง
เมฆ : แถมยังจบได้หดหู่คนโสดอย่างผมมาก...ผมขอยกเลิกการเป็นพระเอกพี่ได้มะ? ไปอัญเชิญไอ้หรรมาเลย ผมยินดีหลีกทาง!!
รัมย์ : เป็นพระเอกพี่ต้องอดทนน้อง...ได้หลวมตัวมาแล้วออกยากจนกว่าจะจบแหละ...หยุด! ห้ามมีปัญหา! ก้มหน้าก้มตาท่องบทตอนต่อไปไป๊!!!!
เมฆ : ..........
.....
รัมย์ : คุณคนอ่าน...เค้ามาช้า...เค้าขอโทษ...งุงิงุงิ >< เค้าขอตัวไปแต่งตัวก่อนนะ ฉากหน้าต้องออกแระ เฟี้ยววววววววววว
รัมย์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 เม.ย. 2558, 23:12:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 เม.ย. 2558, 23:12:34 น.
จำนวนการเข้าชม : 1251
<< เมฆสีเทา |
รัมย์ 29 เม.ย. 2558, 23:17:59 น.
แหะ แหะ ขอบคุณสำหรับคำทักทายนะคะ เขิ้น เขิน
จะพยายม เอ๊ย พยายามมาถี่ ๆ นะเคอะ จุ๊บ ๆ
แหะ แหะ ขอบคุณสำหรับคำทักทายนะคะ เขิ้น เขิน
จะพยายม เอ๊ย พยายามมาถี่ ๆ นะเคอะ จุ๊บ ๆ
wanida 30 เม.ย. 2558, 01:48:16 น.
เข้ามาอ่าน มารอ ร้อ รอ และ รอต่อไป
เข้ามาอ่าน มารอ ร้อ รอ และ รอต่อไป
nasa 30 เม.ย. 2558, 22:41:03 น.
จะเปิดตัวนางเอกแล้ว จะร้ายขนาดไหนหนอ
จะเปิดตัวนางเอกแล้ว จะร้ายขนาดไหนหนอ
Zephyr 1 พ.ค. 2558, 00:28:36 น.
เอิ่มมมมมม เอายังงี้เลยเหรอลุง
เอิ่มมมมมม เอายังงี้เลยเหรอลุง
กาซะลองพลัดถิ่น 1 พ.ค. 2558, 01:59:54 น.
ว่าที่เจ้าสาวจะมาแล้ว ...
ว่าที่เจ้าสาวจะมาแล้ว ...
oolong 14 ม.ค. 2559, 20:03:00 น.
คุณรัมย์หายไปไหนคะ จะครบปีแล้วนะ หรือออกเป็นเล่มไปแล้ว
คุณรัมย์หายไปไหนคะ จะครบปีแล้วนะ หรือออกเป็นเล่มไปแล้ว
สิรินดา 27 พ.ค. 2559, 23:53:25 น.
คิดถึงด้วยคนจ้า
คิดถึงด้วยคนจ้า