บทเรียน (รัก) นอกตำรา
นพมัลลี นักศึกษาฝึกสอนที่จบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน
นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก
แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้
มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน
นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก
แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้
มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่
Tags: นพมัลลี ตุนท์ คมิก พิชญ์ปรีชา
ตอน: บทส่งท้าย + ตอนพิเศษ
บทที่ 33
แสงแดดยามเช้าลอดผ้าม่านเข้ามา หญิงสาวนอนมองด้วยรอยยิ้มเศร้า ตลอดสามเดือนมานี้เธอเริ่มชินกับการมีผู้ชายตัวโตคอยมาอยู่ใกล้ อ้อนตอนนอนไม่ต่างจากเด็ก วันหยุดก็ยกครอบครัวไปเที่ยวกันต่างจังหวัด ไปไหนไปกันเสมอ แม้แต่เวลาว่างเล็กๆ น้อยๆ ตุนท์ก็จะถือโอกาสมาหยอดเธอนิดหน่อยให้เธอเขินก่อนจากไป
อ้อมแขนที่รั้งเอวเธออยู่ให้ชิดแนบกาย ลมหายใจของร่างคนข้างหลังสม่ำเสมอ แสดงว่าเขายังคงหลับสนิท นึกถึงบทลงโทษของสามีที่กะให้เธอตายคาที่นอนเมื่อคืนนี้แล้วหน้าพลันแดงก่ำ เธอกับเขาไม่ได้จะจากแล้วไม่ได้เจอกันสักหน่อย แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
“ตุนท์คะ ตื่นเถอะนะ”
ตุนท์ขยับตัวเอาคางมาเกยไหล่บาง หลับตาพริ้ม ไม่ยอมขานรับใดๆ
“ถ้าไม่ตื่น ลีจะพูดให้ตัวเล็กไม่ชอบหน้าคุณ”
ได้ผล...คนแกล้งหลับลืมตาตื่น มองค้อนภรรยาที่บังอาจยกเรื่องร้ายแรงขึ้นขู่ เขากับนวมลลิ์เพิ่งจะสมานฉันท์กันได้ไม่ทันไร จะให้บาดหมางกันอีกทำไม แค่เรื่องแยกห้องนอน ให้นวมลลิ์ไปนอนอีกห้องหนึ่งเขาก็ต้องเค้นสมองหาคำพูดมาสงบศึกกับเด็กหญิงที่ร้องหาจะนอนกับแม่ท่าเดียว
“สามเดือนแรกที่ผมจะไปที่โน่นไม่ได้ก็ทรมานผมแย่แล้วนะ”
“คุณสัญญากับตัวเล็กไปแล้วนะคะ อย่าลืม”
‘ถ้าตัวเล็กสัญญาจะแยกห้องนอนให้พ่อตุนท์ พ่อตุนท์จะไม่ไปกวนตัวเล็กกับแม่ลีตอนอยู่ที่โน่นสามเดือนแรก’
ตุนท์พูดขณะทานมื้อเช้าหลังวันแต่งงานวันแรก ไม่เพียงแค่เธอที่รับรู้ยังมีคุณตุลา และคนงานในบ้านอีก เขาจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กลับคำไม่ได้เด็ดขาด
“นั่นแหละทรมาน” ตุนท์กอดร่างนุ่มอย่างเอาแต่ใจ “แอบไปได้ไหม”
“ถ้าตัวเล็กไม่เห็นก็คงไม่ว่า” นพมัลลียิ้มแหย เธอเองก็คาดเดาอารมณ์ลูกสาวตัวน้อยไม่ออกนัก บทจะดีก็ดีจนน่าใจหาย บทจะร้ายก็เกินรับมือ
“แล้ววันนี้ยังไม่ไปได้ไหม เลื่อนไปเป็นพรุ่งนี้ มะรืนแทน”
คนฟังตีหน้ายักษ์ ปากปิดบึ้งใส่ “ได้คืบจะเอาศอกนะคะ วันนี้ลีจะใจร้ายกับตุนท์บ้าง”
“ผมจะโทรหาทุกวัน”
“ไม่เอาค่ะ เขียนจดหมายดีกว่า”
“จดหมาย!” ตุนท์ตาเหลือก อยากเอื้อมไปคว้าร่างที่ผลุบหายไปอาบน้ำในห้องน้ำให้กลับมาอธิบายกับเขาโดยเร็ว ห้านาทีพอร่างบางในชุดคลุมอาบน้ำออกมา ก็มีร่างยักษ์ยืนเท้าสะเอวปักหลักรอเอาเรื่องอยู่
“มันเป็นวิธีพรรณนาความคิดถึงที่ดีนะคะ ดีกว่าได้ยินเสียงทางโทรศัพท์อีก อยากรับรู้ความคิดถึงของคุณ ลีก็หยิบจดหมายลายมือของคุณมาอ่าน”
“สำหรับผมมันไม่พอ ไม่เจอแล้วยังจะไมได้ยินเสียง จดหมายส่งหากันทีก็นานเป็นชาติ”
“เป็นวิธีฝึกความอดทนด้วย” เห็นตุนท์ทำท่าคัดค้านอีกรอบ นพมัลลีจึงฉวยโอกาสดันเขาเข้าไปในห้องน้ำ “ลีไปรอข้างล่างนะคะ”
สามเดือนมานี้ สะใภ้แห่งบ้านพิชญ์ปรีชาพัฒนาฝีมือในการทำอาหารไปได้มากแล้ว ข้าวต้มปลายามเช้าถูกปากเด็กหญิงนวมลลิ์มากจนถึงกับออกปากขอให้ทำให้ทานด้วยยามที่ย้ายไปอยู่ที่ออสเตรีย
“ตัวเล็กขึ้นไปขนกระเป๋าก่อนนะคะ”
“ให้คนอื่นเขาขนให้ก็ได้ตัวเล็ก” ตุนท์เพิ่งก้าวเข้ามาในครัวทันสวนกับนวมลลิ์พอดี
“ไม่เอาค่ะ ตัวเล็กอยากทำทุกอย่างด้วยตัวเอง” จบคำก็วิ่งจู๊ดตึงตังขึ้นข้างบนไป
“ทำไมรู้สึกเหมือนถูกลูกด่าแฮะ” ชายหนุ่มนั่งลงบนที่นั่งว่างข้างนพมัลลี มีข้าวต้มร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมรออยู่ “จากนี้คงไม่ได้ทานอาหารฝีมือคุณไปพักใหญ่เลย”
“ให้คนในบ้านทำให้สิคะ”
“เหมือนเมียทำซะที่ไหน” ตุนท์พูดเต็มปากเต็มคำ กางหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่านจึงไม่ทันเห็นหน้าคนฟังว่ากำลังแดงก่ำ ประธานหัวโต๊ะเองที่ยกน้ำขึ้นจิบก็แทบสำลักกับคำพูดลูกชาย
“ให้ห่างๆ แฟนซะบ้าง” ผู้ดีทุกกระเบียดต้องแปลงคำเรียกลูกสะใภ้เพื่อไม่ให้ตัวเองกระดากปาก
“ใจร้าย ข้าวใหม่ปลามันแท้ๆ ไม่มีใครเห็นใจเลย”
นพมัลลีอดซัดเพียะไปบนต้นแขนคนพูดไม่ไหว สายตามองค้อน “สามเดือน ไม่ใช่สามวันนะคะ”
“สามปีผมก็จะเรียกอย่างนี้”
แม่ผัวลูกสะใภ้มองหน้าแล้วกลอกตาให้กับความรั้นของตุนท์พร้อมกัน นับจากเวลาการเดินทางของนพมัลลีกระชั้นเข้ามา ตุนท์ก็ยิ่งเอาแต่ใจตัว และพาลพาโลง่ายขึ้น แต่น่าเสียดายนอกจากจะไม่ได้รับความสงสารแล้ว ยังมีแต่เรียกคะแนนความน่าหมั่นไส้ให้กับตัวเองเพิ่มขึ้น
“นายวากูรกับคุณฐานิษจะแต่งงานกันเหรอ” ตุนท์ลดหนังสือพิมพ์ลง และเลื่อนหน้าข่าวสังคมให้ภรรยาสาวได้อ่าน นพมัลลีกวาดตาอ่านอย่างละเอียด ข่าวไม่ถึงห้าบรรทัดบอกว่าทั้งคู่สวีตหวาน และออกสื่อคู่กันบ่อยแค่ไหน และในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าทั้งคู่จะเข้าประตูวิวาห์อีกครั้งหนึ่ง หลังงานครั้งก่อนล่มไม่เป็นท่า
“คงงั้นค่ะ”
“เขาไม่ได้ส่งการ์ดมาเชิญใช่ไหม”
“คงกล้าส่งมาอีกหรอกนะคะ” นพมัลลีค่อนแคะ งานครั้งก่อนล่มไม่เป็นท่าทันทีที่เธอย่างกรายเข้างาน ต่อให้พวกเขาเชิญไปร่วมจริง เธอก็ไม่ว่างไปอีกแล้วล่ะ แม้จะอยู่ในไทยเธอก็ไม่ไป แต่นี่เธอมีเหตุผลรองรับแล้ว ตัวไม่อยู่ที่นี่ เชิญไปยังไงเธอก็ไม่ได้รับ
“ใครจะไปรู้ นายวากูรก็ร้ายไม่เบา”
“ช่างเขาเถอะค่ะ ถือว่าเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
ตุนท์ยื่นหน้ามาหอมแก้มนิ่มของภรรยาฟอดใหญ่ “ต่อให้อยากเกี่ยวก็ไม่ได้หรอก ผมดุมาก”
“ข้าวต้มวันนี้เลี่ยนจริงๆ” ตุลามองค้อนลูกชาย
“กินไปเลยค่ะ เกรงใจแม่บ้าง” นพมัลลีแสร้งทำเสียงดุ หน้าก้มรับประทานข้าวต้มฝีมือตัวเอง ไม่กล้าเงยขึ้นมองหน้าคุณตุลาว่ากำลังเอือมระอา หรือแซวอะไรมาอีก ที่จริงคนที่ห่ามๆ อย่างลูกชายท่านต่างหากที่ควรสำนึก ไม่ใช่ยังกระหยิ่มยิ้มย่อง ตัดพ้อกับมารดา
“ผมต้องตักตวงช่วงเวลาไว้ก่อนสิครับแม่ พอลีไป ผมไปอ้อนแม่บ้างก็ได้”
“ไม่ต้องหรอกย่ะ เอาเวลาบินไปอ้อนแฟนที่โน่นเถอะ”
“เดี๋ยวแม่เหงานะครับ”
“รีบทำหลานมาให้แม่เลี้ยงก็สิ้นเรื่อง”
นพมัลลีไอโขลก ปล่อยช้อน ยกมือปิดปากหลังน้ำข้าวต้มพานจะไหลลงสู่หลอดลม เธอรู้สึกใจหายใจคว่ำทุกครั้งที่แม่ลูกเขาพูดคุยกัน คนหนึ่งเอะอะก็หยอดหวานกับเธอ อีกคนมานิ่งๆ แต่มักมีประโยคที่ทำให้เธอสำลักได้
“แม่ล่ะก็ ป่านนี้อาจจะมีหลานน้อยแล้วก็ได้”
สิ้นคำพูดตุนท์นพมัลลีถึงกับได้สติ เตรียมลงมือลงไม้ไปสักยกสองยก “ลีบอกแล้วว่ายังไม่ให้มีจนกว่าจะกลับมาไงคะ”
“ผมไม่รู้” ตุนท์ลอยหน้าลอยตาตอบ สำทับด้วยรอยยิ้มร้าย เมื่อเห็นสาวเจ้ายังหน้างอเป็นจวักจึงรีบโอบไหล่มาชิดตัว ง้อเป็นการใหญ่ “เอาน่า ผมคงไม่แจ็กพ็อต เก่งขนาดทำคุณท้องหรอก”
นพมัลลีมองอย่างไม่ไว้ใจ แต่ก็คร้านกว่าจะนึกหาคำเถียง เจอลูกอ้อนของตุนท์เข้าไปมีแต่ทำให้อายเพิ่มขึ้น
“มีคนส่งจดหมายให้คุณลีค่ะ” แม่บ้านเดินเข้ามาในห้อง เลือกจังหวะที่ทุกคนต่างหันกลับมาสนใจข้าวต้ม ส่งของให้กับนพมัลลี หญิงสาวรับมาพลิกดูด้วยความประหลาดใจ ซองจดหมายสีขาวไม่มีบอกว่าใครคือผู้ส่ง แต่กลับลงชื่อของเธอไว้ว่าเป็นผู้รับ
“เห็นคนส่งไหมจ๊ะ” นพมัลลีหันไปถามแม่บ้าน
“เป็นเด็กหนุ่มนะคะ ใส่หมวกปิดหน้าตาเลยไม่รู้ว่าใครค่ะ”
คนรับจดหมายครางอย่างประหลาดใจ มือไม้สั่นขณะเปิดออก เด็กหนุ่มที่ว่าในหัวสมองของเธอนึกออกอยู่คนเดียว คนที่หายสาบสูญไปนับตั้งแต่วันงานศพของคมน์ ทุกคนที่รู้ว่าคมิกยังมีชีวิตอยู่นั้นต่างพยายามปิดปากเงียบ นอกจากบลินด์ นยฎา และนพพลที่รู้ ก็ยังมีเธอ ตุนท์ และตำรวจที่ทำคดีนี้อีกสองคนเท่านั้น ทุกคนต่างสาบานว่าจะปล่อยให้ชื่อของคมิกตายไปในวันนั้น และให้คมิกมีชีวิตใหม่
ข้อความในจดหมายสั้นกระชับ ไม่ได้ยาวมากมาย แต่ก็ทำให้คนอ่านน้ำตาคลอ และภาคภูมิใจที่อย่างน้อยเวลาหนึ่งเทอมที่ได้สอนคมิกมา เขาไม่ทำให้เธอผิดหวัง
‘ครู ผมขอบคุณสำหรับทุกอย่าง จากนี้ผมจะต้องเดินทางไปในที่ที่ไกลมาก แต่ครูไม่ต้องกังวลว่าทางนั้นจะไม่น่าเดินเหมือนกับพ่อผม ผมจะไม่ให้ตัวเองถลำในโคลนตมเด็ดขาด ผมยินดีเรื่องครูกับครูตุนท์ด้วย เจ้าตัวเล็กคงจะเอาแต่ใจตัวเหมือนเดิม สักวันพวกเราคงพบกันอีกนะครับ ขอให้ครูเดินทางโดยสวัสดิภาพ...ค.’
ชื่อย่อไม่ได้ทำให้เธอจำคมิกไม่ได้ ตรงข้ามเลย เธอกลับคิดถึงเขา และเป็นห่วง ชีวิตที่เริ่มใหม่ของคมิกจะเป็นอย่างไร จากนี้สิบปี ยี่สิบปีกลับมาพบกันอีกครั้ง คมิกคนเดิมที่เธอรู้จักจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไรบ้างไม่มีใครเลยที่จะรู้ เธอก็ได้แต่หวังว่าเขาจะเลือกทางที่ถูก ทางที่ดีได้
“ไม่เป็นไรนะ”
นพมัลลีเงยหน้ามองตุนท์ ริมฝีปากเม้มไว้อย่างอดทน “เขาจะเลือกทางถูกด้วยตัวเองได้ใช่ไหมคะ”
ตุนท์ลูบศีรษะที่มีผมสลวยปกคลุมอย่างเบามือ เอ่ยสิ่งที่เขาแสนจะภูมิใจในตัวเองอีกฝ่าย “คุณเองก็เจออะไรมาไม่น้อย เท้าของคุณก็ยังอยู่บนทางที่ถูกต้องได้เลย จากนี้คมิกเองเขาก็ต้องเลือก ผมไม่รู้หรอกว่าเขาจะทำอะไรต่อไป แต่จากที่รู้จักกันมาทำให้ผมรู้ว่าเขา จะทำตามสิ่งที่พ่อเขาขอร้อง เขาจะเป็นคนดี”
นพมัลลีบีบฝ่ามือใหญ่ของตุนท์ไว้แทนคำขอบคุณ บุคคลสองคนในชีวิตที่ทำให้เธอมีความสุขอยู่บนเส้นทางขมุกขมัวนี้ หนึ่งคือบุตรสาวตัวน้อยที่เกิดมาในช่วงเวลาที่มืดหม่นของเธอ และสองคือตุนท์ คนที่มาเติมเต็มความว่างเปล่าในชีวิต จับจูงมือของเธอฝ่าปัญหามากมาย
“รอลีนะคะ ไม่นานลีจะกลับมา”
“ผมรู้ ถ้าคุณกลับมาช้า ผมก็แค่บินไปหาคุณ”
ดวงตาสองคู่ที่สบกัน เต็มไปด้วยความรักชัดเจนที่แม้แต่พูดออกมายังน้อยไปในความรู้สึก...จากนี้พวกเขาก็แค่รอเวลา
ตอนพิเศษ
สามปีครึ่ง...เธอก็ยังไม่กลับมา ตุนท์นั่งหน้าบอกบุญไม่รับตรงเทอเรซหน้าบ้าน หลายปีมานี้เขาอดทน และคอยบินไปหาอีกฝ่าย โดยเฉพาะช่วงปีแรกที่เขาหัวหมุนที่สุด เพราะภรรยาสุดที่รักท้อง! ไปถึงออสเตรียไม่ถึงเดือนดีอาการแพ้ท้องก็ออก ทั้งเรียน และแพ้ท้องทำเอาคนทางนี้เป็นห่วง จะบินไปมารดาบังเกิดเกล้าก็ชิงตัดหน้าบินไป แล้วทิ้งงานมหาศาลไว้ให้เขาจัดการ
กว่าจะเคลียร์งานแล้วบินไปหานพมัลลีได้อีกฝ่ายก็ท้องไปห้าหกเดือนเข้าแล้ว นวมลลิ์ที่ในตอนแรกปากบอกไม่เอาน้อง พอจะมีน้องจริงก็ประคบประหงมแม่และน้องในท้องเต็มที่ ไม่ดื้อไม่ซนให้แม่เหนื่อยเพิ่ม เขาอยากจะวางงานในไทยชั่วคราว แต่มารดาที่บินสวนกลับมาดูงานให้ก่อนปล่อยให้เขาอยู่กับนพมัลลีได้แค่ครึ่งปี ลูกชายคลอดไม่ถึงสามเดือนดีก็ต้องบินกลับมาทำงานต่อ ไปๆ กลับๆ จนเขาจะถือเครื่องบินเป็นบ้านหลับนอนหลังที่สอง
ผ่านมานับจากวันแรกที่ไป นพมัลลีกลับมานอนที่บ้านของเขาได้ไม่ถึงสิบครั้งเลย นึกแล้วน่าเศร้ายังไงไม่รู้
“พ่อครับ” เด็กชายตัวอ้วนนั่งมองพ่อถอนหายใจหลายเฮือกตาแป๋ว ยื่นมืออ้วนป้อมมาจับหนวดของพ่อที่ลืมโกนหัวเราะคิกคัก
ตุนท์เหล่มองเจ้าตัวแสบที่กำลังเล่นหนวดเขา เห็นถึงความพยายามยืดตัวเต็มที่เพื่อหนวดเขาแล้วจึงเมตตาด้วยการก้มหน้าลงมาให้ถึงมือเล็ก อาการไต่หยุบหยับของมืออุ่นทำให้เขายิ้มตาม เสียงหัวเราะของบุตรชายพอปัดเป่าอารมณ์คนขี้เหงาไปได้บ้าง
กวิณทั้งเขาและนพมัลลีตัดสินใจผลัดกันนำไปเลี้ยง ให้เด็กชายปรับตัวได้กับทั้งพ่อและแม่ แรกๆ ที่มาไทยกวิณก็ร้องหาแม่ โชคดีที่นพมัลลียกเลิกกฎส่งจดหมายหากันเปลี่ยนเป็นโทรศัพท์ได้ พอกวิณได้ยินเสียงแม่กับพี่สาวก็อ้อแอ้ๆ เลิกงอแง
“ให้ลูกดึงหนวดเล่นอีกแล้ว” ตุลาเดินออกมาอุ้มหลานคนโปรดหน้าตาอิ่มเอิบภูมิใจ “ไปงานนิทรรศการกับย่าดีกว่าเนอะ”
“นิทรรศการอะไรอีกล่ะครับ”
“นิทรรศการศิลปะ”
“ปีสองปีมานี้ผมก็เดินนิทรรศการงานศิลป์ออกจะบ่อยไป แม่เองถึงจะชอบสะสมรูปก็ไม่ได้เดินงานแบบนี้บ่อยๆ ถ้าไม่ใช่ศิลปินที่ถูกใจ ครั้งนี้ใครล่ะครับ” ตุนท์มีวิธีคลายความคิดถึงคนทางไกลด้วยการไปเดินดูนิทรรศการศิลปะที่มาจัดในไทย ตามรายชื่อศิลปินที่นพมัลลีเคยพูดถึง
“คนนี้แม่ปลื้ม ตุนท์มาขับรถให้แม่หน่อยแล้วกัน เดี๋ยวแม่พอตากวิณไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด”
“กวิณไปด้วยเหรอครับ”
ตุลายิ้มลึกลับส่งมา ก่อนจะอุ้มหลานชายกลับเข้าบ้านไป ตุนท์ขมวดคิ้วมองอย่างไม่ไว้ใจ ท่าทางมีแผน และลับลมคมในแบบนี้ หรือว่า...ตุนท์ชะโงกหน้าไปมองรูปภาพแต่งงานซึ่งประดับติดฝาผนังข้างกันกับรูปของพ่อแม่ จ้องหน้าเจ้าสาวพลางหรี่ตา “ลี คุณหรือเปล่า”
รูปในงานที่นพมัลลีรวบรวมมาในเวลานี้กลับดูแห้งแล้งไม่น่าสนใจ เธอรอให้ตุนท์มาในงานนี้ ชื่นชมความสำเร็จ ความพยายามของเธอ...แต่เขาไม่มา
‘แม่พาตากวิณไปอาบน้ำแปบเดียว ออกมาอีกที ตาตุนท์ก็ขับรถหายไปไหนแล้วไม่รู้’
‘เหรอคะ’
เสียงของเธอที่ทวนถามไปนั้นออกจะเหม่อลอย ไร้สติ จวบจนงานเลิก คุณตุลาจึงขอพานวมลลิ์กับกวิณไปหาอะไรทานข้างนอก และเธอขอเลี่ยงก่อน อ้างว่าต้องอยู่จัดงานให้ครบถ้วนเพื่อเปิดให้เข้าชมในวันพรุ่งนี้
“เป็นแม่ลูกสองอายุยังไม่มาก แต่ทำหน้าเป็นป้าแก่มีเรื่องหนักอกไปได้” ดิศที่เพิ่งคุยกับศิลปินต่างชาติเสร็จปลีกตัวออกมาจิกกัดหุ้นส่วนทางธุรกิจที่กลายมาเป็นหนึ่งในศิลปินคนดังทำเงินให้เขาไปอีกหนึ่ง ในระยะเวลาหนึ่งปีมานี้นพมัลลีถีบตัวเองมีชื่อในวงการศิลปะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทวิชได้ รูปแนวพอร์ทเทรตเป็นแนวที่นพมัลลีถนัดที่สุด
“คุณตุนท์เขาไม่มางานนี่คะ”
“ต๊าย...เห็นเขาสำคัญด้วยเหรอ”
“ครู...” นพมัลลีท้วงเสียงอ่อย หลายปีมานี้เธอถูกดิศค่อนขอดถึงความไม่ใส่ใจสามี และลุยเรื่องเรียนและงานเป็นหลัก
“ไม่ต้องมาทำเสียงเล็กเสียงน้อย ถ้าการกระทำของเธอคืออยู่ห่างเขาไปเรื่อยๆ แบบนี้”
“ฉันตั้งใจกลับมาอยู่ที่ไทยถาวรแล้วค่ะ”
“เขาอาจจะเปลี่ยนไปแทน” ดิศยังยุแยงไม่เลิก เห็นสีหน้าลูกศิษย์เจ็บปวดจึงลดโวลุ่มลงนิดหนึ่ง “ทำไมไม่โทรหาเขาล่ะ อย่าบอกนะว่าจำเบอร์ไม่ได้”
คนโดนยุมองค้อนตากลับ “จำได้ค่ะ แต่เขาไม่รับ ปิดเครื่อง”
“นั่นปะล่ะ อาการแปลกแล้วไง”
“ครู!” นพมัลลีคิดว่าถ้าตัวเองยังเป็นเด็กมัธยมต้นวัยใสอยู่คงทำท่าดีดดิ้น กำมือกระทืบเท้าขัดใจไปแล้ว แต่นี่เธออายุเกือบจะสามสิบ ทั้งยังมีลูกอีกสองคน ขืนทำอย่างนั้นต่อหน้าดิศได้โดนเอาไปล้อให้ลูกอายหลานอาย
“เอาล่ะ วันนี้กลับไปก่อนไป เดี๋ยวฉันเคลียร์งานที่เหลือให้ แหม งานแสดงศิลปะภรรยาตัวเองแสดงทั้งที ให้มาดูก่อนวันเปิดงาน ไม่รู้ไปคั่วสาวอยู่ที่ไหน”
ดิศปิดปากทำหน้าตาอย่างกับไม่รู้ตัวว่าปากหลุดอะไรออกมาบ้างแล้วรีบเดินเร็วหนีหายไป ปล่อยให้นพมัลลีกัดฟันกรอดอย่างคับแค้นใจที่ตัวเองหาเหตุผลมาหักล้างไม่ได้ เชื่อใจเขาเธอน่ะเชื่ออยู่แล้ว แล้วเธอล่ะ สามปีกว่ามานี้ทิ้งเขาไว้ที่นี่คนเดียว เพียงเพราะ... นพมัลลีมองภาพผลงานในโซนของตัวเอง ที่จัดรวมอยู่กับศิลปินไทยรุ่นใหม่ เพื่อชื่อเสียงเธอพัฒนาตัวเอง และหาทางขายผลงาน ทั้งยังร่ำเรียนเพื่อใบปริญญา เธอคิดมาเสมอว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เธอยืนเคียงข้างตุนท์ได้โดยไม่มีใครสนใจประวัติในอดีตของเธอ
เท้าเรียวหยุดยังภาพ ‘บ้าน’ ภาพผลงานของเธอที่คุณตุลาครอบครองมาเป็นเวลาสามปีกว่านี้ ภาพบ้านอันอบอุ่นที่เธอลืมเลือนไป นพมัลลียกมือสัมผัสภาพบ้านในรูปน้ำตาคลอ เธอหวังที่จะได้พบเขาที่นี่ บอกกับเขาด้วยตัวเองว่าเธอจะไม่จากไปไหนอีก...แต่เขาไม่มา
ร่างที่ซูบผอมไปจากการทำงานและเรียนหนักเกร็งตัวขึ้น มองฝ่ามือใหญ่วางทาบบนมือของตัวเองที่แปะอยู่บนกรอบรูปอย่างตะลึง เงาในกรอบรูปสะท้อนใบหน้าคมคายที่เธอคิดถึงสุดหัวใจ ทั้งที่ไม่เจอเขาไม่ถึงสองเดือน แต่ความรู้สึกที่ได้เจอในครั้งนี้แตกต่างไปจากทุกๆ ครั้ง
“ตุนท์”
“จะกลับไปอีกไหม” น้ำเสียงเข้มถามออกมา สีหน้านิ่งอ่านความรู้สึกไม่ออก จนคนมองสะท้อนใจ
“ไม่แล้ว”
“ไม่โกหก”
“ไม่กล้าโกหกหรอก”
“เพราะอะไร”
นพมัลลีกระชับมือของตุนท์ ใช้นิ้วชี้ตัวเองจิ้มบนรูปบ้านหลังน้อย “ลีเดินทางเหนื่อยแล้ว อยากกลับบ้าน แต่คนมารับกลับช้าจัง”
“ก็รออยู่ที่บ้านตลอด ไม่กลับมาเอง” ตุนท์ลูบแหวนบนนิ้วนางเล็กข้างซ้ายของนพมัลลี ดวงตาเปล่งประกายระยับถูกใจ เขาไม่เคยเห็นนพมัลลีถอดแหวนวงนี้ออกเลย
“ลีขอโทษ”
ตุนท์หัวเราะเบาๆ กับสีหน้าสำนึกผิด ก่อนจะดึงร่างของนพมัลลีมากอดไว้แน่น หัวเราะลั่นที่แกล้งให้ภรรยาสาวหน้าเจื่อนจ๋อยคอตกได้
“ฮือ”
“ลีร้องไห้ทำไม” ตุนท์ถามกลั้วหัวเราะ แต่กลายเป็นว่าทำให้นพมัลลีร้องหนักขึ้น เขาต้องปลอบหนัก ลูบศีรษะเล็กอย่างทะนุถนอม “ผมอยู่นี่แล้ว”
“โดนครูดิศไซโคมา กลัวแทบตายเลยรู้ไหม”
“โอ๋ๆ โดนจี้ใจดำมานี่เอง ผมจะทิ้งลีไปไหน ต่อให้นอนเหงาแห้งตายบนเตียงก็ไม่กล้าวอกแวกหรอก เดี๋ยวตัวเล็กถือปังตอมาไล่ฟันผม”
“เกือบพูดดีแล้วนะคะ” นพมัลลีปาดน้ำตาอย่างซาบซึ้ง มองงานศิลป์ที่ตัวเองสร้างมา สลับกับใบหน้าของตุนท์ “ลีสร้างทุกอย่างขึ้นมาก็จริง แต่ไม่มีวันไหนที่ไม่คิดถึงคุณเลยนะคะ ลีมีแต่นึกว่าให้ลีทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อจะกลับมายืนเคียงข้างคุณได้เร็วๆ ลีอยากเป็นภรรยาที่เชิดหน้าชูตาคุณ แต่ลีเพิ่งรู้ว่าพอช่วงเวลานี้มาถึงลีกลับไม่ได้ดีใจเท่าไหร่”
“ทำไมล่ะ มันเป็นความฝันของคุณ ผมภูมิใจในตัวคุณมาก ลีเก่งจริงๆ”
นพมัลลีส่ายหน้า กอดสามีไว้แน่น “คุณต่างหากคือความฝันของลี เพราะคุณลีถึงอยากอยู่เคียงข้างคุณให้ได้ ตุนท์คือคนที่ลีตามหามาตลอดชีวิต ลีจะไม่จากคุณไปไหนอีก จะอยู่ทำข้าวต้มให้ทุกเช้า นอนด้วยกันทุกคืน เลี้ยงลูกๆ ของเราด้วยกัน พาลูกไปส่งโรงเรียน ลีจะคอยไปช่วยที่โรงเรียนบ้าง ลีอยากกอดคุณทุกๆ วันนะคะ”
ตุนท์ยิ้มแก้มปริ สองแขนกอดตอบด้วยหัวใจอิ่มเอิบ เวลาที่รอคอยมาตลอดยาวนานก็จริง แต่เมื่อช่วงเวลาสิ้นสุดแห่งการรอคอยมาถึง ทุกอย่างช่างดูคุ้มค่า
“ผมจะอยู่ให้ลีกอดจนเบื่อไปข้างเลยนะ”
“ไม่มีวันเบื่อหรอกค่ะ...มีแต่รักมากขึ้น”
จบบริบูรณ์
……………………………………………………………
คุณ konhin เรื่องของสองคนนั้นก็จบลงไปแบบนั้นนะคะ สร้างภาพว่ามีความสุขออกสื่อกันไป
คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ เรื่องนี้ต้มมาม่าได้หลายหม้อเลยค่ะ ต้มเองอิ่มแปล้เหมือนกัน ฮา ในที่สุดความดราม่าก็จอดลงแล้วนะคะ หวานส่งท้ายนิดหน่อย อิอิ
คุณ ผักหวาน เรื่องนี้ชอบความพลิกล็อกค่ะ ฮา แต่คู่นั้นก็จบลงแบบหน่วงๆ เปิดปลายไว้
คุณ violette ขอโทษที่อัพช้านะคะ มีตอนก่อนหน้าตอนจบนี้อีกหนึ่งตอนด้วยนะคะ ^^
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านกันมาจนถึงตอนจบนี้นะคะ ขอบคุณที่มาร่วมดราม่ามหากาพย์ด้วยกัน ตอนหลังๆ ระดับความอืดนี่ค่อนข้างสูง ฮา ในที่สุดก็มาถึงตอนจบแล้ว ดีใจมาก เรื่องนี้สร้างอาการไมเกรนให้กับคนเขียนไม่น้อยเลย ฮา
ส่วนภาคต่อขอเว้นไว้ก่อนนะคะ แอบกระซิบว่าร่างพล็อตต่อเสร็จ แต่ก็ต้องมาพิจารณาต่อเพราะมันดราม่าหนักมากกกก คู่พ่อแม่อาจเบากว่า ฮ่าๆๆ คนเขียนอาจรับสภาพดราม่าคูณสองยังไม่ได้ ฮา อาจจะหยิบจับเรื่องต่อของรักดังฝันมาแทน อ่านกันหรือยังเอ่ย เรื่องนั้นฮาแน่ แต่จะเขียนเมื่อไหร่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้นะคะ
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็น ทุกคนที่มาทำให้เรื่องนี้ติดอันดับ และทุกคนที่เข้ามาอ่านอีกครั้งค่ะ ^^
แสงแดดยามเช้าลอดผ้าม่านเข้ามา หญิงสาวนอนมองด้วยรอยยิ้มเศร้า ตลอดสามเดือนมานี้เธอเริ่มชินกับการมีผู้ชายตัวโตคอยมาอยู่ใกล้ อ้อนตอนนอนไม่ต่างจากเด็ก วันหยุดก็ยกครอบครัวไปเที่ยวกันต่างจังหวัด ไปไหนไปกันเสมอ แม้แต่เวลาว่างเล็กๆ น้อยๆ ตุนท์ก็จะถือโอกาสมาหยอดเธอนิดหน่อยให้เธอเขินก่อนจากไป
อ้อมแขนที่รั้งเอวเธออยู่ให้ชิดแนบกาย ลมหายใจของร่างคนข้างหลังสม่ำเสมอ แสดงว่าเขายังคงหลับสนิท นึกถึงบทลงโทษของสามีที่กะให้เธอตายคาที่นอนเมื่อคืนนี้แล้วหน้าพลันแดงก่ำ เธอกับเขาไม่ได้จะจากแล้วไม่ได้เจอกันสักหน่อย แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
“ตุนท์คะ ตื่นเถอะนะ”
ตุนท์ขยับตัวเอาคางมาเกยไหล่บาง หลับตาพริ้ม ไม่ยอมขานรับใดๆ
“ถ้าไม่ตื่น ลีจะพูดให้ตัวเล็กไม่ชอบหน้าคุณ”
ได้ผล...คนแกล้งหลับลืมตาตื่น มองค้อนภรรยาที่บังอาจยกเรื่องร้ายแรงขึ้นขู่ เขากับนวมลลิ์เพิ่งจะสมานฉันท์กันได้ไม่ทันไร จะให้บาดหมางกันอีกทำไม แค่เรื่องแยกห้องนอน ให้นวมลลิ์ไปนอนอีกห้องหนึ่งเขาก็ต้องเค้นสมองหาคำพูดมาสงบศึกกับเด็กหญิงที่ร้องหาจะนอนกับแม่ท่าเดียว
“สามเดือนแรกที่ผมจะไปที่โน่นไม่ได้ก็ทรมานผมแย่แล้วนะ”
“คุณสัญญากับตัวเล็กไปแล้วนะคะ อย่าลืม”
‘ถ้าตัวเล็กสัญญาจะแยกห้องนอนให้พ่อตุนท์ พ่อตุนท์จะไม่ไปกวนตัวเล็กกับแม่ลีตอนอยู่ที่โน่นสามเดือนแรก’
ตุนท์พูดขณะทานมื้อเช้าหลังวันแต่งงานวันแรก ไม่เพียงแค่เธอที่รับรู้ยังมีคุณตุลา และคนงานในบ้านอีก เขาจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กลับคำไม่ได้เด็ดขาด
“นั่นแหละทรมาน” ตุนท์กอดร่างนุ่มอย่างเอาแต่ใจ “แอบไปได้ไหม”
“ถ้าตัวเล็กไม่เห็นก็คงไม่ว่า” นพมัลลียิ้มแหย เธอเองก็คาดเดาอารมณ์ลูกสาวตัวน้อยไม่ออกนัก บทจะดีก็ดีจนน่าใจหาย บทจะร้ายก็เกินรับมือ
“แล้ววันนี้ยังไม่ไปได้ไหม เลื่อนไปเป็นพรุ่งนี้ มะรืนแทน”
คนฟังตีหน้ายักษ์ ปากปิดบึ้งใส่ “ได้คืบจะเอาศอกนะคะ วันนี้ลีจะใจร้ายกับตุนท์บ้าง”
“ผมจะโทรหาทุกวัน”
“ไม่เอาค่ะ เขียนจดหมายดีกว่า”
“จดหมาย!” ตุนท์ตาเหลือก อยากเอื้อมไปคว้าร่างที่ผลุบหายไปอาบน้ำในห้องน้ำให้กลับมาอธิบายกับเขาโดยเร็ว ห้านาทีพอร่างบางในชุดคลุมอาบน้ำออกมา ก็มีร่างยักษ์ยืนเท้าสะเอวปักหลักรอเอาเรื่องอยู่
“มันเป็นวิธีพรรณนาความคิดถึงที่ดีนะคะ ดีกว่าได้ยินเสียงทางโทรศัพท์อีก อยากรับรู้ความคิดถึงของคุณ ลีก็หยิบจดหมายลายมือของคุณมาอ่าน”
“สำหรับผมมันไม่พอ ไม่เจอแล้วยังจะไมได้ยินเสียง จดหมายส่งหากันทีก็นานเป็นชาติ”
“เป็นวิธีฝึกความอดทนด้วย” เห็นตุนท์ทำท่าคัดค้านอีกรอบ นพมัลลีจึงฉวยโอกาสดันเขาเข้าไปในห้องน้ำ “ลีไปรอข้างล่างนะคะ”
สามเดือนมานี้ สะใภ้แห่งบ้านพิชญ์ปรีชาพัฒนาฝีมือในการทำอาหารไปได้มากแล้ว ข้าวต้มปลายามเช้าถูกปากเด็กหญิงนวมลลิ์มากจนถึงกับออกปากขอให้ทำให้ทานด้วยยามที่ย้ายไปอยู่ที่ออสเตรีย
“ตัวเล็กขึ้นไปขนกระเป๋าก่อนนะคะ”
“ให้คนอื่นเขาขนให้ก็ได้ตัวเล็ก” ตุนท์เพิ่งก้าวเข้ามาในครัวทันสวนกับนวมลลิ์พอดี
“ไม่เอาค่ะ ตัวเล็กอยากทำทุกอย่างด้วยตัวเอง” จบคำก็วิ่งจู๊ดตึงตังขึ้นข้างบนไป
“ทำไมรู้สึกเหมือนถูกลูกด่าแฮะ” ชายหนุ่มนั่งลงบนที่นั่งว่างข้างนพมัลลี มีข้าวต้มร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมรออยู่ “จากนี้คงไม่ได้ทานอาหารฝีมือคุณไปพักใหญ่เลย”
“ให้คนในบ้านทำให้สิคะ”
“เหมือนเมียทำซะที่ไหน” ตุนท์พูดเต็มปากเต็มคำ กางหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่านจึงไม่ทันเห็นหน้าคนฟังว่ากำลังแดงก่ำ ประธานหัวโต๊ะเองที่ยกน้ำขึ้นจิบก็แทบสำลักกับคำพูดลูกชาย
“ให้ห่างๆ แฟนซะบ้าง” ผู้ดีทุกกระเบียดต้องแปลงคำเรียกลูกสะใภ้เพื่อไม่ให้ตัวเองกระดากปาก
“ใจร้าย ข้าวใหม่ปลามันแท้ๆ ไม่มีใครเห็นใจเลย”
นพมัลลีอดซัดเพียะไปบนต้นแขนคนพูดไม่ไหว สายตามองค้อน “สามเดือน ไม่ใช่สามวันนะคะ”
“สามปีผมก็จะเรียกอย่างนี้”
แม่ผัวลูกสะใภ้มองหน้าแล้วกลอกตาให้กับความรั้นของตุนท์พร้อมกัน นับจากเวลาการเดินทางของนพมัลลีกระชั้นเข้ามา ตุนท์ก็ยิ่งเอาแต่ใจตัว และพาลพาโลง่ายขึ้น แต่น่าเสียดายนอกจากจะไม่ได้รับความสงสารแล้ว ยังมีแต่เรียกคะแนนความน่าหมั่นไส้ให้กับตัวเองเพิ่มขึ้น
“นายวากูรกับคุณฐานิษจะแต่งงานกันเหรอ” ตุนท์ลดหนังสือพิมพ์ลง และเลื่อนหน้าข่าวสังคมให้ภรรยาสาวได้อ่าน นพมัลลีกวาดตาอ่านอย่างละเอียด ข่าวไม่ถึงห้าบรรทัดบอกว่าทั้งคู่สวีตหวาน และออกสื่อคู่กันบ่อยแค่ไหน และในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าทั้งคู่จะเข้าประตูวิวาห์อีกครั้งหนึ่ง หลังงานครั้งก่อนล่มไม่เป็นท่า
“คงงั้นค่ะ”
“เขาไม่ได้ส่งการ์ดมาเชิญใช่ไหม”
“คงกล้าส่งมาอีกหรอกนะคะ” นพมัลลีค่อนแคะ งานครั้งก่อนล่มไม่เป็นท่าทันทีที่เธอย่างกรายเข้างาน ต่อให้พวกเขาเชิญไปร่วมจริง เธอก็ไม่ว่างไปอีกแล้วล่ะ แม้จะอยู่ในไทยเธอก็ไม่ไป แต่นี่เธอมีเหตุผลรองรับแล้ว ตัวไม่อยู่ที่นี่ เชิญไปยังไงเธอก็ไม่ได้รับ
“ใครจะไปรู้ นายวากูรก็ร้ายไม่เบา”
“ช่างเขาเถอะค่ะ ถือว่าเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
ตุนท์ยื่นหน้ามาหอมแก้มนิ่มของภรรยาฟอดใหญ่ “ต่อให้อยากเกี่ยวก็ไม่ได้หรอก ผมดุมาก”
“ข้าวต้มวันนี้เลี่ยนจริงๆ” ตุลามองค้อนลูกชาย
“กินไปเลยค่ะ เกรงใจแม่บ้าง” นพมัลลีแสร้งทำเสียงดุ หน้าก้มรับประทานข้าวต้มฝีมือตัวเอง ไม่กล้าเงยขึ้นมองหน้าคุณตุลาว่ากำลังเอือมระอา หรือแซวอะไรมาอีก ที่จริงคนที่ห่ามๆ อย่างลูกชายท่านต่างหากที่ควรสำนึก ไม่ใช่ยังกระหยิ่มยิ้มย่อง ตัดพ้อกับมารดา
“ผมต้องตักตวงช่วงเวลาไว้ก่อนสิครับแม่ พอลีไป ผมไปอ้อนแม่บ้างก็ได้”
“ไม่ต้องหรอกย่ะ เอาเวลาบินไปอ้อนแฟนที่โน่นเถอะ”
“เดี๋ยวแม่เหงานะครับ”
“รีบทำหลานมาให้แม่เลี้ยงก็สิ้นเรื่อง”
นพมัลลีไอโขลก ปล่อยช้อน ยกมือปิดปากหลังน้ำข้าวต้มพานจะไหลลงสู่หลอดลม เธอรู้สึกใจหายใจคว่ำทุกครั้งที่แม่ลูกเขาพูดคุยกัน คนหนึ่งเอะอะก็หยอดหวานกับเธอ อีกคนมานิ่งๆ แต่มักมีประโยคที่ทำให้เธอสำลักได้
“แม่ล่ะก็ ป่านนี้อาจจะมีหลานน้อยแล้วก็ได้”
สิ้นคำพูดตุนท์นพมัลลีถึงกับได้สติ เตรียมลงมือลงไม้ไปสักยกสองยก “ลีบอกแล้วว่ายังไม่ให้มีจนกว่าจะกลับมาไงคะ”
“ผมไม่รู้” ตุนท์ลอยหน้าลอยตาตอบ สำทับด้วยรอยยิ้มร้าย เมื่อเห็นสาวเจ้ายังหน้างอเป็นจวักจึงรีบโอบไหล่มาชิดตัว ง้อเป็นการใหญ่ “เอาน่า ผมคงไม่แจ็กพ็อต เก่งขนาดทำคุณท้องหรอก”
นพมัลลีมองอย่างไม่ไว้ใจ แต่ก็คร้านกว่าจะนึกหาคำเถียง เจอลูกอ้อนของตุนท์เข้าไปมีแต่ทำให้อายเพิ่มขึ้น
“มีคนส่งจดหมายให้คุณลีค่ะ” แม่บ้านเดินเข้ามาในห้อง เลือกจังหวะที่ทุกคนต่างหันกลับมาสนใจข้าวต้ม ส่งของให้กับนพมัลลี หญิงสาวรับมาพลิกดูด้วยความประหลาดใจ ซองจดหมายสีขาวไม่มีบอกว่าใครคือผู้ส่ง แต่กลับลงชื่อของเธอไว้ว่าเป็นผู้รับ
“เห็นคนส่งไหมจ๊ะ” นพมัลลีหันไปถามแม่บ้าน
“เป็นเด็กหนุ่มนะคะ ใส่หมวกปิดหน้าตาเลยไม่รู้ว่าใครค่ะ”
คนรับจดหมายครางอย่างประหลาดใจ มือไม้สั่นขณะเปิดออก เด็กหนุ่มที่ว่าในหัวสมองของเธอนึกออกอยู่คนเดียว คนที่หายสาบสูญไปนับตั้งแต่วันงานศพของคมน์ ทุกคนที่รู้ว่าคมิกยังมีชีวิตอยู่นั้นต่างพยายามปิดปากเงียบ นอกจากบลินด์ นยฎา และนพพลที่รู้ ก็ยังมีเธอ ตุนท์ และตำรวจที่ทำคดีนี้อีกสองคนเท่านั้น ทุกคนต่างสาบานว่าจะปล่อยให้ชื่อของคมิกตายไปในวันนั้น และให้คมิกมีชีวิตใหม่
ข้อความในจดหมายสั้นกระชับ ไม่ได้ยาวมากมาย แต่ก็ทำให้คนอ่านน้ำตาคลอ และภาคภูมิใจที่อย่างน้อยเวลาหนึ่งเทอมที่ได้สอนคมิกมา เขาไม่ทำให้เธอผิดหวัง
‘ครู ผมขอบคุณสำหรับทุกอย่าง จากนี้ผมจะต้องเดินทางไปในที่ที่ไกลมาก แต่ครูไม่ต้องกังวลว่าทางนั้นจะไม่น่าเดินเหมือนกับพ่อผม ผมจะไม่ให้ตัวเองถลำในโคลนตมเด็ดขาด ผมยินดีเรื่องครูกับครูตุนท์ด้วย เจ้าตัวเล็กคงจะเอาแต่ใจตัวเหมือนเดิม สักวันพวกเราคงพบกันอีกนะครับ ขอให้ครูเดินทางโดยสวัสดิภาพ...ค.’
ชื่อย่อไม่ได้ทำให้เธอจำคมิกไม่ได้ ตรงข้ามเลย เธอกลับคิดถึงเขา และเป็นห่วง ชีวิตที่เริ่มใหม่ของคมิกจะเป็นอย่างไร จากนี้สิบปี ยี่สิบปีกลับมาพบกันอีกครั้ง คมิกคนเดิมที่เธอรู้จักจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไรบ้างไม่มีใครเลยที่จะรู้ เธอก็ได้แต่หวังว่าเขาจะเลือกทางที่ถูก ทางที่ดีได้
“ไม่เป็นไรนะ”
นพมัลลีเงยหน้ามองตุนท์ ริมฝีปากเม้มไว้อย่างอดทน “เขาจะเลือกทางถูกด้วยตัวเองได้ใช่ไหมคะ”
ตุนท์ลูบศีรษะที่มีผมสลวยปกคลุมอย่างเบามือ เอ่ยสิ่งที่เขาแสนจะภูมิใจในตัวเองอีกฝ่าย “คุณเองก็เจออะไรมาไม่น้อย เท้าของคุณก็ยังอยู่บนทางที่ถูกต้องได้เลย จากนี้คมิกเองเขาก็ต้องเลือก ผมไม่รู้หรอกว่าเขาจะทำอะไรต่อไป แต่จากที่รู้จักกันมาทำให้ผมรู้ว่าเขา จะทำตามสิ่งที่พ่อเขาขอร้อง เขาจะเป็นคนดี”
นพมัลลีบีบฝ่ามือใหญ่ของตุนท์ไว้แทนคำขอบคุณ บุคคลสองคนในชีวิตที่ทำให้เธอมีความสุขอยู่บนเส้นทางขมุกขมัวนี้ หนึ่งคือบุตรสาวตัวน้อยที่เกิดมาในช่วงเวลาที่มืดหม่นของเธอ และสองคือตุนท์ คนที่มาเติมเต็มความว่างเปล่าในชีวิต จับจูงมือของเธอฝ่าปัญหามากมาย
“รอลีนะคะ ไม่นานลีจะกลับมา”
“ผมรู้ ถ้าคุณกลับมาช้า ผมก็แค่บินไปหาคุณ”
ดวงตาสองคู่ที่สบกัน เต็มไปด้วยความรักชัดเจนที่แม้แต่พูดออกมายังน้อยไปในความรู้สึก...จากนี้พวกเขาก็แค่รอเวลา
ตอนพิเศษ
สามปีครึ่ง...เธอก็ยังไม่กลับมา ตุนท์นั่งหน้าบอกบุญไม่รับตรงเทอเรซหน้าบ้าน หลายปีมานี้เขาอดทน และคอยบินไปหาอีกฝ่าย โดยเฉพาะช่วงปีแรกที่เขาหัวหมุนที่สุด เพราะภรรยาสุดที่รักท้อง! ไปถึงออสเตรียไม่ถึงเดือนดีอาการแพ้ท้องก็ออก ทั้งเรียน และแพ้ท้องทำเอาคนทางนี้เป็นห่วง จะบินไปมารดาบังเกิดเกล้าก็ชิงตัดหน้าบินไป แล้วทิ้งงานมหาศาลไว้ให้เขาจัดการ
กว่าจะเคลียร์งานแล้วบินไปหานพมัลลีได้อีกฝ่ายก็ท้องไปห้าหกเดือนเข้าแล้ว นวมลลิ์ที่ในตอนแรกปากบอกไม่เอาน้อง พอจะมีน้องจริงก็ประคบประหงมแม่และน้องในท้องเต็มที่ ไม่ดื้อไม่ซนให้แม่เหนื่อยเพิ่ม เขาอยากจะวางงานในไทยชั่วคราว แต่มารดาที่บินสวนกลับมาดูงานให้ก่อนปล่อยให้เขาอยู่กับนพมัลลีได้แค่ครึ่งปี ลูกชายคลอดไม่ถึงสามเดือนดีก็ต้องบินกลับมาทำงานต่อ ไปๆ กลับๆ จนเขาจะถือเครื่องบินเป็นบ้านหลับนอนหลังที่สอง
ผ่านมานับจากวันแรกที่ไป นพมัลลีกลับมานอนที่บ้านของเขาได้ไม่ถึงสิบครั้งเลย นึกแล้วน่าเศร้ายังไงไม่รู้
“พ่อครับ” เด็กชายตัวอ้วนนั่งมองพ่อถอนหายใจหลายเฮือกตาแป๋ว ยื่นมืออ้วนป้อมมาจับหนวดของพ่อที่ลืมโกนหัวเราะคิกคัก
ตุนท์เหล่มองเจ้าตัวแสบที่กำลังเล่นหนวดเขา เห็นถึงความพยายามยืดตัวเต็มที่เพื่อหนวดเขาแล้วจึงเมตตาด้วยการก้มหน้าลงมาให้ถึงมือเล็ก อาการไต่หยุบหยับของมืออุ่นทำให้เขายิ้มตาม เสียงหัวเราะของบุตรชายพอปัดเป่าอารมณ์คนขี้เหงาไปได้บ้าง
กวิณทั้งเขาและนพมัลลีตัดสินใจผลัดกันนำไปเลี้ยง ให้เด็กชายปรับตัวได้กับทั้งพ่อและแม่ แรกๆ ที่มาไทยกวิณก็ร้องหาแม่ โชคดีที่นพมัลลียกเลิกกฎส่งจดหมายหากันเปลี่ยนเป็นโทรศัพท์ได้ พอกวิณได้ยินเสียงแม่กับพี่สาวก็อ้อแอ้ๆ เลิกงอแง
“ให้ลูกดึงหนวดเล่นอีกแล้ว” ตุลาเดินออกมาอุ้มหลานคนโปรดหน้าตาอิ่มเอิบภูมิใจ “ไปงานนิทรรศการกับย่าดีกว่าเนอะ”
“นิทรรศการอะไรอีกล่ะครับ”
“นิทรรศการศิลปะ”
“ปีสองปีมานี้ผมก็เดินนิทรรศการงานศิลป์ออกจะบ่อยไป แม่เองถึงจะชอบสะสมรูปก็ไม่ได้เดินงานแบบนี้บ่อยๆ ถ้าไม่ใช่ศิลปินที่ถูกใจ ครั้งนี้ใครล่ะครับ” ตุนท์มีวิธีคลายความคิดถึงคนทางไกลด้วยการไปเดินดูนิทรรศการศิลปะที่มาจัดในไทย ตามรายชื่อศิลปินที่นพมัลลีเคยพูดถึง
“คนนี้แม่ปลื้ม ตุนท์มาขับรถให้แม่หน่อยแล้วกัน เดี๋ยวแม่พอตากวิณไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด”
“กวิณไปด้วยเหรอครับ”
ตุลายิ้มลึกลับส่งมา ก่อนจะอุ้มหลานชายกลับเข้าบ้านไป ตุนท์ขมวดคิ้วมองอย่างไม่ไว้ใจ ท่าทางมีแผน และลับลมคมในแบบนี้ หรือว่า...ตุนท์ชะโงกหน้าไปมองรูปภาพแต่งงานซึ่งประดับติดฝาผนังข้างกันกับรูปของพ่อแม่ จ้องหน้าเจ้าสาวพลางหรี่ตา “ลี คุณหรือเปล่า”
รูปในงานที่นพมัลลีรวบรวมมาในเวลานี้กลับดูแห้งแล้งไม่น่าสนใจ เธอรอให้ตุนท์มาในงานนี้ ชื่นชมความสำเร็จ ความพยายามของเธอ...แต่เขาไม่มา
‘แม่พาตากวิณไปอาบน้ำแปบเดียว ออกมาอีกที ตาตุนท์ก็ขับรถหายไปไหนแล้วไม่รู้’
‘เหรอคะ’
เสียงของเธอที่ทวนถามไปนั้นออกจะเหม่อลอย ไร้สติ จวบจนงานเลิก คุณตุลาจึงขอพานวมลลิ์กับกวิณไปหาอะไรทานข้างนอก และเธอขอเลี่ยงก่อน อ้างว่าต้องอยู่จัดงานให้ครบถ้วนเพื่อเปิดให้เข้าชมในวันพรุ่งนี้
“เป็นแม่ลูกสองอายุยังไม่มาก แต่ทำหน้าเป็นป้าแก่มีเรื่องหนักอกไปได้” ดิศที่เพิ่งคุยกับศิลปินต่างชาติเสร็จปลีกตัวออกมาจิกกัดหุ้นส่วนทางธุรกิจที่กลายมาเป็นหนึ่งในศิลปินคนดังทำเงินให้เขาไปอีกหนึ่ง ในระยะเวลาหนึ่งปีมานี้นพมัลลีถีบตัวเองมีชื่อในวงการศิลปะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทวิชได้ รูปแนวพอร์ทเทรตเป็นแนวที่นพมัลลีถนัดที่สุด
“คุณตุนท์เขาไม่มางานนี่คะ”
“ต๊าย...เห็นเขาสำคัญด้วยเหรอ”
“ครู...” นพมัลลีท้วงเสียงอ่อย หลายปีมานี้เธอถูกดิศค่อนขอดถึงความไม่ใส่ใจสามี และลุยเรื่องเรียนและงานเป็นหลัก
“ไม่ต้องมาทำเสียงเล็กเสียงน้อย ถ้าการกระทำของเธอคืออยู่ห่างเขาไปเรื่อยๆ แบบนี้”
“ฉันตั้งใจกลับมาอยู่ที่ไทยถาวรแล้วค่ะ”
“เขาอาจจะเปลี่ยนไปแทน” ดิศยังยุแยงไม่เลิก เห็นสีหน้าลูกศิษย์เจ็บปวดจึงลดโวลุ่มลงนิดหนึ่ง “ทำไมไม่โทรหาเขาล่ะ อย่าบอกนะว่าจำเบอร์ไม่ได้”
คนโดนยุมองค้อนตากลับ “จำได้ค่ะ แต่เขาไม่รับ ปิดเครื่อง”
“นั่นปะล่ะ อาการแปลกแล้วไง”
“ครู!” นพมัลลีคิดว่าถ้าตัวเองยังเป็นเด็กมัธยมต้นวัยใสอยู่คงทำท่าดีดดิ้น กำมือกระทืบเท้าขัดใจไปแล้ว แต่นี่เธออายุเกือบจะสามสิบ ทั้งยังมีลูกอีกสองคน ขืนทำอย่างนั้นต่อหน้าดิศได้โดนเอาไปล้อให้ลูกอายหลานอาย
“เอาล่ะ วันนี้กลับไปก่อนไป เดี๋ยวฉันเคลียร์งานที่เหลือให้ แหม งานแสดงศิลปะภรรยาตัวเองแสดงทั้งที ให้มาดูก่อนวันเปิดงาน ไม่รู้ไปคั่วสาวอยู่ที่ไหน”
ดิศปิดปากทำหน้าตาอย่างกับไม่รู้ตัวว่าปากหลุดอะไรออกมาบ้างแล้วรีบเดินเร็วหนีหายไป ปล่อยให้นพมัลลีกัดฟันกรอดอย่างคับแค้นใจที่ตัวเองหาเหตุผลมาหักล้างไม่ได้ เชื่อใจเขาเธอน่ะเชื่ออยู่แล้ว แล้วเธอล่ะ สามปีกว่ามานี้ทิ้งเขาไว้ที่นี่คนเดียว เพียงเพราะ... นพมัลลีมองภาพผลงานในโซนของตัวเอง ที่จัดรวมอยู่กับศิลปินไทยรุ่นใหม่ เพื่อชื่อเสียงเธอพัฒนาตัวเอง และหาทางขายผลงาน ทั้งยังร่ำเรียนเพื่อใบปริญญา เธอคิดมาเสมอว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เธอยืนเคียงข้างตุนท์ได้โดยไม่มีใครสนใจประวัติในอดีตของเธอ
เท้าเรียวหยุดยังภาพ ‘บ้าน’ ภาพผลงานของเธอที่คุณตุลาครอบครองมาเป็นเวลาสามปีกว่านี้ ภาพบ้านอันอบอุ่นที่เธอลืมเลือนไป นพมัลลียกมือสัมผัสภาพบ้านในรูปน้ำตาคลอ เธอหวังที่จะได้พบเขาที่นี่ บอกกับเขาด้วยตัวเองว่าเธอจะไม่จากไปไหนอีก...แต่เขาไม่มา
ร่างที่ซูบผอมไปจากการทำงานและเรียนหนักเกร็งตัวขึ้น มองฝ่ามือใหญ่วางทาบบนมือของตัวเองที่แปะอยู่บนกรอบรูปอย่างตะลึง เงาในกรอบรูปสะท้อนใบหน้าคมคายที่เธอคิดถึงสุดหัวใจ ทั้งที่ไม่เจอเขาไม่ถึงสองเดือน แต่ความรู้สึกที่ได้เจอในครั้งนี้แตกต่างไปจากทุกๆ ครั้ง
“ตุนท์”
“จะกลับไปอีกไหม” น้ำเสียงเข้มถามออกมา สีหน้านิ่งอ่านความรู้สึกไม่ออก จนคนมองสะท้อนใจ
“ไม่แล้ว”
“ไม่โกหก”
“ไม่กล้าโกหกหรอก”
“เพราะอะไร”
นพมัลลีกระชับมือของตุนท์ ใช้นิ้วชี้ตัวเองจิ้มบนรูปบ้านหลังน้อย “ลีเดินทางเหนื่อยแล้ว อยากกลับบ้าน แต่คนมารับกลับช้าจัง”
“ก็รออยู่ที่บ้านตลอด ไม่กลับมาเอง” ตุนท์ลูบแหวนบนนิ้วนางเล็กข้างซ้ายของนพมัลลี ดวงตาเปล่งประกายระยับถูกใจ เขาไม่เคยเห็นนพมัลลีถอดแหวนวงนี้ออกเลย
“ลีขอโทษ”
ตุนท์หัวเราะเบาๆ กับสีหน้าสำนึกผิด ก่อนจะดึงร่างของนพมัลลีมากอดไว้แน่น หัวเราะลั่นที่แกล้งให้ภรรยาสาวหน้าเจื่อนจ๋อยคอตกได้
“ฮือ”
“ลีร้องไห้ทำไม” ตุนท์ถามกลั้วหัวเราะ แต่กลายเป็นว่าทำให้นพมัลลีร้องหนักขึ้น เขาต้องปลอบหนัก ลูบศีรษะเล็กอย่างทะนุถนอม “ผมอยู่นี่แล้ว”
“โดนครูดิศไซโคมา กลัวแทบตายเลยรู้ไหม”
“โอ๋ๆ โดนจี้ใจดำมานี่เอง ผมจะทิ้งลีไปไหน ต่อให้นอนเหงาแห้งตายบนเตียงก็ไม่กล้าวอกแวกหรอก เดี๋ยวตัวเล็กถือปังตอมาไล่ฟันผม”
“เกือบพูดดีแล้วนะคะ” นพมัลลีปาดน้ำตาอย่างซาบซึ้ง มองงานศิลป์ที่ตัวเองสร้างมา สลับกับใบหน้าของตุนท์ “ลีสร้างทุกอย่างขึ้นมาก็จริง แต่ไม่มีวันไหนที่ไม่คิดถึงคุณเลยนะคะ ลีมีแต่นึกว่าให้ลีทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อจะกลับมายืนเคียงข้างคุณได้เร็วๆ ลีอยากเป็นภรรยาที่เชิดหน้าชูตาคุณ แต่ลีเพิ่งรู้ว่าพอช่วงเวลานี้มาถึงลีกลับไม่ได้ดีใจเท่าไหร่”
“ทำไมล่ะ มันเป็นความฝันของคุณ ผมภูมิใจในตัวคุณมาก ลีเก่งจริงๆ”
นพมัลลีส่ายหน้า กอดสามีไว้แน่น “คุณต่างหากคือความฝันของลี เพราะคุณลีถึงอยากอยู่เคียงข้างคุณให้ได้ ตุนท์คือคนที่ลีตามหามาตลอดชีวิต ลีจะไม่จากคุณไปไหนอีก จะอยู่ทำข้าวต้มให้ทุกเช้า นอนด้วยกันทุกคืน เลี้ยงลูกๆ ของเราด้วยกัน พาลูกไปส่งโรงเรียน ลีจะคอยไปช่วยที่โรงเรียนบ้าง ลีอยากกอดคุณทุกๆ วันนะคะ”
ตุนท์ยิ้มแก้มปริ สองแขนกอดตอบด้วยหัวใจอิ่มเอิบ เวลาที่รอคอยมาตลอดยาวนานก็จริง แต่เมื่อช่วงเวลาสิ้นสุดแห่งการรอคอยมาถึง ทุกอย่างช่างดูคุ้มค่า
“ผมจะอยู่ให้ลีกอดจนเบื่อไปข้างเลยนะ”
“ไม่มีวันเบื่อหรอกค่ะ...มีแต่รักมากขึ้น”
จบบริบูรณ์
……………………………………………………………
คุณ konhin เรื่องของสองคนนั้นก็จบลงไปแบบนั้นนะคะ สร้างภาพว่ามีความสุขออกสื่อกันไป
คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ เรื่องนี้ต้มมาม่าได้หลายหม้อเลยค่ะ ต้มเองอิ่มแปล้เหมือนกัน ฮา ในที่สุดความดราม่าก็จอดลงแล้วนะคะ หวานส่งท้ายนิดหน่อย อิอิ
คุณ ผักหวาน เรื่องนี้ชอบความพลิกล็อกค่ะ ฮา แต่คู่นั้นก็จบลงแบบหน่วงๆ เปิดปลายไว้
คุณ violette ขอโทษที่อัพช้านะคะ มีตอนก่อนหน้าตอนจบนี้อีกหนึ่งตอนด้วยนะคะ ^^
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านกันมาจนถึงตอนจบนี้นะคะ ขอบคุณที่มาร่วมดราม่ามหากาพย์ด้วยกัน ตอนหลังๆ ระดับความอืดนี่ค่อนข้างสูง ฮา ในที่สุดก็มาถึงตอนจบแล้ว ดีใจมาก เรื่องนี้สร้างอาการไมเกรนให้กับคนเขียนไม่น้อยเลย ฮา
ส่วนภาคต่อขอเว้นไว้ก่อนนะคะ แอบกระซิบว่าร่างพล็อตต่อเสร็จ แต่ก็ต้องมาพิจารณาต่อเพราะมันดราม่าหนักมากกกก คู่พ่อแม่อาจเบากว่า ฮ่าๆๆ คนเขียนอาจรับสภาพดราม่าคูณสองยังไม่ได้ ฮา อาจจะหยิบจับเรื่องต่อของรักดังฝันมาแทน อ่านกันหรือยังเอ่ย เรื่องนั้นฮาแน่ แต่จะเขียนเมื่อไหร่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้นะคะ
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็น ทุกคนที่มาทำให้เรื่องนี้ติดอันดับ และทุกคนที่เข้ามาอ่านอีกครั้งค่ะ ^^
ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 เม.ย. 2558, 00:15:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 เม.ย. 2558, 10:58:06 น.
จำนวนการเข้าชม : 2278
<< บทที่ 32 : ไร้สุขชั่วชีวิต |
konhin 30 เม.ย. 2558, 00:30:56 น.
กรี๊ดดดดดด อ่านจบไปรอบ แล้วจะกลับไปอ่านรอบสอง สงสารตุลเนอะ ม่ะมีใครเข้าข้าง เมียทิ้งห่างตั้งนานแหน่ะ แต่ก็ต้องบอกว่า รักคือการปล่อยให้บินไปตามฝัน ลีบินตามฝัน แล้วในที่สุดก็กลับบ้านซักที
กรี๊ดดดดดด อ่านจบไปรอบ แล้วจะกลับไปอ่านรอบสอง สงสารตุลเนอะ ม่ะมีใครเข้าข้าง เมียทิ้งห่างตั้งนานแหน่ะ แต่ก็ต้องบอกว่า รักคือการปล่อยให้บินไปตามฝัน ลีบินตามฝัน แล้วในที่สุดก็กลับบ้านซักที
ปวรา 30 เม.ย. 2558, 01:10:11 น.
@konhin ดีใจที่จะกลับไปอ่านอีกรอบมากค่า เตรียมทิชชู่ให้ล่วงหน้าหนึ่งม้วน ฮา จริงๆ อยากเขียนเรื่องทวิช นพยา กวิณตราสักสามตอน แต่โดนคู่ลูกสูบพลังไปหมดเกลี้ยงค่ะ ฮา อ่านรอบสองขอให้มีความสุขกว่าเดิมนะคะ ^_^
@konhin ดีใจที่จะกลับไปอ่านอีกรอบมากค่า เตรียมทิชชู่ให้ล่วงหน้าหนึ่งม้วน ฮา จริงๆ อยากเขียนเรื่องทวิช นพยา กวิณตราสักสามตอน แต่โดนคู่ลูกสูบพลังไปหมดเกลี้ยงค่ะ ฮา อ่านรอบสองขอให้มีความสุขกว่าเดิมนะคะ ^_^
ร้อยวจี 30 เม.ย. 2558, 17:07:01 น.
ตอนสุดท้ายต้องอ่านหลายรอยหน่อย ต่อไปก็เป็นเรื่องของคมิกกับตัวเล็กหรือเปล่าเอ่ย
ตอนสุดท้ายต้องอ่านหลายรอยหน่อย ต่อไปก็เป็นเรื่องของคมิกกับตัวเล็กหรือเปล่าเอ่ย
นักอ่านเหนียวหนึบ 30 เม.ย. 2558, 23:40:25 น.
กรี้ดดด ฟินนน แถมอิ่มมาม่าด้วยยย 55555
กรี้ดดด ฟินนน แถมอิ่มมาม่าด้วยยย 55555
ผักหวาน 6 พ.ค. 2558, 13:43:54 น.
หนูลีกลายเป็นคนขี้อ้อนสามีไปซะได้ 5555
หนูลีกลายเป็นคนขี้อ้อนสามีไปซะได้ 5555