บทเรียน (รัก) นอกตำรา
นพมัลลี นักศึกษาฝึกสอนที่จบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน

นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก

แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้

มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่

Tags: นพมัลลี ตุนท์ คมิก พิชญ์ปรีชา

ตอน: บทที่ 32 : ไร้สุขชั่วชีวิต

บทที่ 32

งานเลี้ยงเล็กๆ ในอาณาบริเวณของบ้านพิชญ์ปรีชามีแต่แขกสนิทมิตรสหายเป็นกันเองร่วมงาน นพมัลลีในชุดเดรสขาวนวลผ้าเรียบ ถึงจะดูเรียบง่าย ผ้าไม่ยาวระพื้น แต่ตัวชุดก็ออกแบบโดยดีไซเนอร์มีชื่อในวงการของไทย ลูกเล่นอย่างการจับจีบไม่หวือหวาแต่เก็บรายละเอียดซ่อนความหวานของผู้ใส่ไว้ได้อย่างงดงาม ยามที่เธอออกเดินจากประตูลงมาสู่บริเวณสวนนั้นก็จับสายตาแขกในงานได้ทันที

แขกผู้ใหญ่ของนพมัลลีมีเพียงนพยาที่มาร่วมเท่านั้น ดวงตาของผู้ใหญ่แอบมีหยดน้ำคลอหน่วยตลอดเวลาที่มองเห็นหน้าลูกสาว เขาไม่เคยมองนพมัลลีเต็มตาได้เลยหลังจากรู้เรื่องราว ถึงนพมัลลีจะมีเค้าหน้าคล้ายเขาอยู่หลายส่วน แต่พอแต่งชุดวันนี้ไม่ว่าจะชุดไทย หรือชุดเดรสในงานเลี้ยง หญิงสาวกลับสวยน่ามอง รอยยิ้มใจดีทำให้เขาโหยหาถึงลวิณตราในทันที ประกายตา และรอยยิ้มนี้นพมัลลีสืบทอดมาจากลวิณตราครบถ้วน

หญิงสาวหยุดอยู่เบื้องหน้านพยา มือยังเกาะกุมมือของเจ้าบ่าวไว้มั่น อีกข้างมีมือของนวมลลิ์ที่ยิ้มหน้าบานเกินใครที่สุดในวันนี้ “วันนี้ลีสวยมากนะ”

“ขอบคุณค่ะ...พ่อ” เจ้าสาวยิ้มรับ

“คนอื่นๆ เขาว่าไงบ้าง” นพยาเลือกที่จะถามกว้างๆ ถึงคนไกล ดวงตายังรู้สึกผิดต่อการกระทำในอดีตของตัวเอง ซึ่งเป็นสาเหตุให้ครอบครัวเขาแตกกระซ่านจากกัน

“แม่กับพี่ยาบอกว่าจะส่งของขวัญมาให้ค่ะ แล้วก็แสดงความยินดีทางโทรศัพท์แล้ว ส่วนลุงทวิชส่งภาพวาดมาให้ ยังกำชับมาด้วยว่าจะต้องจัดงานอีกรอบให้ลุงได้ร่วมงาน”

นพยาหัวเราะลั่น ในใจหมั่นไส้พี่ชายเล็กๆ ที่ตอนนี้ทำอะไรก็ไม่ต้องพะวงอะไรอีก ที่สำคัญคือนพมัลลีมองอีกฝ่ายเป็นญาติผู้ใหญ่ เป็นพ่อได้ โดยไม่ต้องรู้สึกขัดความรู้สึก ส่วนตัวเขา...ความจริงที่พูดออกไปไม่ได้อีกแล้วนั้น ถือเป็นบทลงโทษ เป็นยาขมที่เขาจำต้องรับให้ได้

“ดีแล้วล่ะ”

หลังจากนั้นนพมัลลีก็วุ่นอยู่กับการรับแขกที่มีนักเรียนแสบสันต์ที่กลายเป็นพยานในการรู้เห็นความรักของพวกเขา ญาติผู้ใหญ่ของตุนท์ที่ไม่ได้ว่าอะไรกับการเห็นเจ้าสาวมีลูกแล้ว ถึงจะมีใครคิดอ้าปากว่าเป็นต้องเจอสายตาคมกริบของแม่เจ้าบ่าวจ้องเอาๆ เท่านั้น

“คุณเป็นลูกสาวคนโปรดของแม่ผมแล้วรู้ตัวไหมลี” ตุนท์กระซิบชิดริมหูนพมัลลีด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม หนึ่งอาทิตย์หลังจากที่เขาขอหญิงสาวแต่งงาน งานเล็กและอบอุ่นนี้จึงเกิดขึ้น โดยโต้โผหลักคือแม่เขาเอง ตอนนี้ยังดึงตัวนวมลลิ์ไปดูแลเพื่อปล่อยให้พวกเขาทั้งคู่มีเวลาส่วนตัว เดินออกมาพักอยู่นอกงาน

คนไม่รู้ตัวดีกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “ที่ท่านสั่งให้ลีรีบมีหลานให้ท่านอีกคนในหนึ่งปีนี้น่ะเหรอคะ”

“ผมทำได้”

นพมัลลีบิดเอวคนตอบอย่างหมั่นเขี้ยว เธอเหลือเวลาอยู่เมืองไทยอีกเกือบสามเดือน นอกจากไปสอนเด็กห้องหกทับห้าแล้ว เวลาว่างที่เหลือจากนั้น เธอต้องเตรียมใจถูกคุณตุลาลากไปฝึกความเป็นแม่บ้านกับท่าน ทั้งเรื่องทำอาหาร งานฝีมืออื่นๆ การวางตัว และการเตรียมเข้าสังคม ซึ่งอย่างหลังเธอกำลังหาทางเลี่ยงให้ได้มากที่สุด สรุปแล้วการเป็นลูกสะใภ้คนโปรดของตุลาน่าจะสร้างความปวดหัวเพิ่มแก่เธอไม่มากก็น้อย

“หมอนั่นยังพยายามหาทางติดต่อคุณอยู่ไหม” ตุนท์ยังไม่อยากวางใจเรื่องของวากูรนัก ตลอดหนึ่งอาทิตย์วากูรเพียรโทรหานพมัลลีเสมอ แต่หญิงสาวเลือกที่จะไม่รับ กระทั่งสุดท้ายคือยุติการใช้โทรศัพท์ส่วนตัวชั่วคราว เพราะทนการโทรมาเกือบร้อยสายต่อวันไม่ได้อีก ไหนจะการมาถึงโรงเรียนเพื่อขอพบนพมัลลี ทำให้เหล่ายามปวดหัวกับการ ‘ไล่’ อีกฝ่ายให้กลับไป และนพมัลลีต้องสละชั่วโมงสอนตลอดวันนั้นไป ทุกอย่างเกิดขึ้นหลังจากนพมมัลลีตอบรับคำขอแต่งงานตุนท์ เขาจึงไม่วางใจต่อให้วันนี้จะแต่งงานกันแล้ว

“ลีก็ไม่รู้ค่ะ”

“ไม่ว่าเขาจะมาไม้ไหนผมไม่กลัวหรอกนะ”

“กลัวไว้บ้างก็ดีนะคะ ครั้งหนึ่งเขาเคยให้เพื่อนมาทำร้ายลีเพื่อเอาดีเข้าตัว เขาทำได้ทุกอย่าง”

ร่างคนพูดสั่นเทาเล็กน้อย ตุนท์โอบหญิงสาวไว้อย่างทะนุถนอม เรื่องราวไม่น่าจำหลายๆ เรื่องต่อให้อยากลืมก็ยังทำไม่ได้

“คุณชวนคุณฐานิษมาด้วย” ตุนท์มองร่างบอบบางนั่งอยู่ในงานอย่างฉงน เขาไม่ยักรู้ว่าฐานิษยอมเป็นมิตรกับนพมัลลีด้วย ใครก็ตามที่เจอเหตุการณ์งานแต่งงานล่มอย่างนั้น แค่ไม่เกลียดคนทำก็ดีถมเถแล้ว แต่นี่ยังยิ้มแย้ม อวยพร มาร่วมงานได้

“ฉันยังรู้สึกผิดกับคุณฐานิษนี่คะ พอคุณฐานิษบอกอยากมาร่วมอวยพรในงานวันนี้ด้วย ฉันเลยเชิญเขาค่ะ”

“ไม่ใช่ความผิดของคุณนะลี ผู้ชายคนนั้นต่างหากที่เขาผิดเต็มประตู”

นพมัลลียิ้มอ่อน เธออยากนึกให้ได้อย่างตุนท์ แต่สมองไม่ค่อยจะสั่งการให้ทำ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีย้ำเตือนเสมอว่าหากวันนั้นเธอไม่ไปร่วมงานของวากูร เรื่องคงไม่บานปลายจนพลอยทำงานเขาล่มไม่เป็นท่าอย่างนี้ โชคดีเท่าไหร่แล้วที่งานของเธอผ่านช่วงเวลามงคลยามเช้ามาได้ปลอดภัย

“จะมีพรีเซนเทชั่นแล้วค่ะครูลี” นิลุบลเดินออกมาตามคู่บ่าวสาวที่ปลีกตัวแยกมาหลายนาที หญิงสาวดีใจแทนครูจริงๆ ที่ในที่สุดหลังชีวิตผ่านผู้ชายเลวๆ คนที่เข้ามาอีกคนก็ดีประเสริฐกว่าเดิมอย่างที่เทียบกันไม่ได้

“ขอบใจมากจ้ะ” นพมัลลีกำลังเคลื่อนเท้าออกจากที่ สายตากลับหยุดนิ่งยังจอภาพใหญ่ที่กำลังฉายภาพบางอย่างที่ทำให้เธอหยุดหายใจ ภาพแอบถ่ายของเธอสมัยเรียนมัธยมปลายแล่นผ่านไปรูปแล้วรูปเล่า และเธอั่นใจว่านี่ไม่มีทางเป็นพรีเซนเทชั่น หญิงสาวเดินเร็วจนเกือบวิ่งไปยังที่ใส่แผ่นฉายขึ้นจอ ลืมแม้กระทั่งว่าเจ้าบ่าวของเธอยืนรั้งอยู่เบื้องหลัง เธอกลัวจนประสาทจะเสีย และกลัวว่าทุกอย่างที่เธอฝันถึงจะหายวับไปในไม่กี่นาทีข้างหน้านี้

พรึบ! ไฟในงานดับ รวมถึงภาพที่กำลังฉายขึ้นจอ นพมัลลียืนคว้างอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ก้าวต่อไป หรือหันหลังถอยกลับดี ในใจนึกเกลียดวากูรขึ้นมาจับจิต

“ลี” ฝ่ามือใหญ่กอบกุมมือเย็นเฉียบชื้นเหงื่อของนพมัลลีไว้มั่น “ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรหรอก”

“แต่ว่ารูปนั่น...”

“ผมรู้ ผมไม่สนอดีต ตอนนี้มือของคุณอยู่ในมือผม คุณอยู่ตรงหน้าผม อดีตพวกนั้นผมไม่สนใจ” ตุนท์ก้มลงกระซิบขิดหูนพมัลลี อาการใจเย็นมีสติของเขาประมวลผลทางแก้ไว้เรียบร้อย “เรามาสร้างเรื่องของเราให้สมบูรณ์กันเถอะนะ”

“เรื่องของเรา...” นพมัลลีถามไม่ทันจบก็ถูกฉุดให้เดินไปสู้หน้าฝูงชนที่ส่งเสียงหึ่งกับบรรยากาศงานที่เพิ่งมีแสงสว่างจากไฟสำรองในตัวบ้านขึ้นมา คนงานคุมเครื่องเล่นซีดีวิ่งหน้าเริ่ดมาหา และกระซิบบอกปัญหาที่เขาเองยังสงสัย

“มีคนเปลี่ยนแผ่นซีดีงานครับ”

“ใครมายุ่งแถวนั้นบ้าง” ตุนท์ถามเสียงเครียด

คนงานหนุ่มเกาหัวแกรก “ผมไม่มั่นใจครับ เดี๋ยวคนโน้นมาคนนี้มา”

“ทำทุกอย่างเป็นปกติ ไม่ต้องฉายอะไรอีก ที่เหลือเดี๋ยวผมจัดการเอง”

เจ้าบ่าวกุมมือเจ้าสาวของตัวเองไว้มั่น พาเดินออกไปยังเวทีจัดงานอย่างใจเย็น นพมัลลีที่เคยมีแต่ความกังวลและหวาดหวั่นค่อยคลายลง เบื้องหลังของตุนท์ยังคงยืดตรงสง่า สีหน้าและแววตาของเขาถึงจะเคร่งเครียด แต่ก็ไม่ได้มีความไม่มั่นใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับมีสติ และใจเย็นเพิ่มขึ้น ในสมองของตุนท์ขบคิดหาทางแก้แทนเธอที่สติแทบปลิดปลิวหายไปจากร่าง

“ไม่ต้องกังวลอะไรนะ เราจะต้องผ่านวันนี้ไปให้ได้” ตุนท์จูบขมับชื้นเหงื่ออย่างปลอบโยน

“แต่ว่า ฉัน...”

“ยิ้มให้สวยที่สุด สมกับเป็นเจ้าสาวที่มีความสุขของผมก็พอ”

นพมัลลีทดสอบ ‘ยิ้ม’ ที่ค่อนข้างเกร็งอยู่มากออกไป ซึ่งตุนท์ยังคงไม่ให้ผ่าน ชายหนุ่มส่ายหน้าอยู่สามครั้งกับรอยยิ้มแข็ง ปากสั่น กระทั่งนพมัลลีสูดหายใจเฮือกใหญ่ หลับตา และฉีกรอยยิ้มหวานที่สุด ใช้ดวงตามองหนุ่มคนรักจนตาเป็นประกาย เธอพยายามลืมเลือนรอบข้าง ลืมปัญหาที่กำลังเผชิญ...และมองเห็นเพียงเขา

“เยี่ยมมากลี” ตุนท์จูบปากสีฉ่ำหวานล้ำทีหนึ่งอย่างอดใจไม่ไหว

“ปากเปื้อนหมดนะคะ”

“หวานดี” ตุนท์เม้มปาก และแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองให้คนมองหน้าตาร้อนเห่อด้วยความเขิน มารู้สึกตัวอีกที ไฟในงานก็สว่างโร่ขึ้นอีกครั้ง พวกเขายืนตรงแน่วตรงข้างเวที เสียงพูดคุยเงียบเสียงลง รอคอยให้พวกเขาขึ้นมาพูดคุย

ตุนท์เดินขึ้นบนเวทีด้วยท่าทางปกติ โปรยรอยยิ้มที่คิดว่าจะทำให้ภาพลักษณ์ของเจ้าบ่าวในคืนนี้ทวีคูณความหล่อใส่ตาแขกเหรื่อมากขึ้น ก่อนจะเข้าเรื่องสำคัญ

“วันนี้คลิปหวานที่พวกเราเตรียมมาเสียน่ะครับ ภาพที่เห็นนั่นก็เป็นภาพสวยๆ ที่ผมเคยแอบถ่ายเขาสมัยก่อน ผมบังเอิญเจอเขาเมื่อหลายปีก่อนแล้วครับ” เสียงฮือฮาดังขึ้นอย่างตื่นเต้น ตุนท์ยิ้มหวานแจกอีกรอบไม่เผยพิรุธได้เท่ากับนพมัลลีที่กำลังฟังหน้าตาตื่น “ลีไม่เคยเจอผมหรอกครับ ตอนนั้นผมเจอเขาบังเอิญก่อนจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ลีไม่เหมือนใครตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมได้เจอเขา ผมอยากจะเก็บภาพเขาไว้”

เรื่องเล่าอันน่าประทับใจของตุนท์สร้างขึ้นมาได้อย่างไร้ที่ติ ไม่มีสักคนสงสัย นพมัลลีจากที่กลัวก็เริ่มคลายอาการตัวเกร็ง รับฟังด้วยความเขินแกมหมั่นไส้ที่เขาเล่าเรื่องออกมาได้ลื่นไหล เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเธอกลัวเธอตายว่าถ้าหากคลิปในวีดีโอนั้นเล่นจนจบภาพเธอกับวากูร ซึ่งสมัยก่อนก็เคยถ่ายรูปด้วยกันจะทำให้งานแต่งงานของเธอล่มไม่เป็นท่า

“จูบเลยๆ”

นพมัลลีได้สติอีกครั้งหลังสมองเผลอคิดนอกเรื่องไปชั่วขณะ ตัวตั้งตัวตีคือนายบลินด์ที่ป้องปากสั่งการนำมา และพลอยให้แขกคนอื่นต่างเห็นดีเห็นงามตามไปด้วย

“เด็กเขาขอมา”

“เด็กขอแล้วเกี่ยวอะไรกับผู้ใหญ่คะ” นพมัลลีบ่ายเบี่ยง หน้าไม่กล้าเผชิญกับตุนท์ ยามนี้ทั้งหน้าทั้งหูขึ้นสีเข้มเหมือนกันหมด

“เอาน่า” ตุนท์เกี่ยวเอวของหญิงสาวเข้ามาซบไหล่ แล้วจรดริมฝีปากไปบนแก้มนวลสองข้าง แขกร่วมงานกรี๊ดกร๊าดกันเป็นแถว ยกเว้นเจ้าตัวต้นคิด

“นั่นไม่เรียกว่าจูบนะพี่ตุนท์ จูบมันต้อง...” บลินด์ทำมือชนกัน หน้าตาเจ้าเล่ห์

“งานนี้มีเด็กเยอะ ให้เกียรติสายตาเด็กๆ บ้างเถอะน่า” ตุนท์ท้วงแทนนพมัลลีเพราะรู้ว่าร่างของเจ้าสาวนั้นใกล้จะระเบิดเพราะความเขินแทบแย่แล้ว

“อ้ะ ผมปิดตาก็ได้”

“ไม่ ไว้คืนนี้พี่เคลียร์กับลีเขาเอง...โอ๊ย!” คนพูดเบ้ตัวงอจากการพูดไม่คิด นพมัลลีส่งสายตาคาดโทษไม่จริงจังมาให้ เสียงหัวเราะของเจ้าบ่าวช่วยปัดเป่าความหวาดหวั่นในใจของเธอจนไม่เหลือ มือใหญ่ที่รับมือเธอไปกอบกุมไว้มีแต่ความอบอุ่น จริงใจ เป็นฝ่ามือที่เธอไม่เคยพานพบมาก่อนในชีวิต

ตุนท์ในวันแรกที่เธอเคยพบนั้นเป็นอย่างไร ถึงวันนี้เขาก็ยังเป็นเช่นเดิม ใส่ใจเธอ และไม่หน่ายหนีไปกับปัญหามากมายของเธอ เขาแตกต่างจากคนทุกคนที่เธอเคยพบมาจริงๆ

“ขอบคุณนะคะตุนท์...ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ขอบคุณที่มีคุณในวันนี้”

“ผมก็ขอบคุณ ที่ลีเลือกผม” ฝ่ามือใหญ่ทาบแก้มเนียนของเจ้าสาว ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหยดน้ำที่เอ่อล้นออกมาให้อย่างเต็มใจ เมื่อจนปัญญาที่จะหยุดความซาบซึ้งของนพมัลลี กับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุด จึงทำได้แค่ดึงหญิงสาวมากอดไว้แนบกาย ลูบศีรษะนุ่มแทนการปลอบโยน

แขกในงานปรบมือให้กับความรักของพวกเขา ตุนท์เหลือบตาดูปฏิกิริยาของมารดาและลูกสาวหมาดๆ ที่พอมีก็โตไปถึงเจ็ดขวบว่าเป็นอย่างไร คนโตกว่ายกมือซับน้ำตา ส่วนเด็กน้อยกำลังกอดตุ๊กตาคิตตี้ที่เขาซื้อให้แน่น ปากบู้เล็กน้อย และนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ข้างมารดาเขา

“ถึงเวลาส่งตัวแล้วมั้งครับ” ตุนท์พูดเสียงออกไมค์ ไม่ได้สนใจฤกษ์ว่ามารดาบอกเอาไว้กี่โมง

คนไม่รู้ฤกษ์ก้มหน้าคางชิดอกด้วยความอาย ปากเงียบเป็นเบื้อใบ้ ถึงเธอจะเคยมีประสบการณ์มาก่อน แต่นั่นก็นานมาก และเธอไม่ได้อยากจะจดจำ ไม่เหมือนกับครั้งนี้...

“อุ้ย ตุนท์” ร่างเบาหวิวของเธอลอยขึ้น นพมัลลีรีบเกี่ยวคอเจ้าบ่าวตัวแสบที่กำลังกระทำการอุกอาจให้เธอเขิน ได้แต่ซบหน้ากับอกของเขา และปล่อยให้เขาเผชิญเสียงแซวจากแขกเหรื่อในอาณาบริเวณนั้นไป พอเข้ามาในบ้านปราศจากคนพลุกพล่านหญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมา ส่งสายตามองค้อนให้กับตุนท์ “ปรึกษาบ้างก็ได้นะคะ”

“คืนนี้ไม่ต้องนอนนะ”

“นี่...”

“ผมกำลังปรึกษา มีให้เลือกเพิ่มนอนตอนสาย หรือไม่ก็ไม่ต้องออกไปไหนสามวัน”

นพมัลลีอ้าปากค้าง การปรึกษาของตุนท์ดูแล้วจะมีแต่ระยะเวลาที่น่ากลัว และเธอเองก็ยังไม่ได้เตรียมใจมาขนาดนั้น “สามวัน คุณเอาเวลาไปปลูกถั่วงอกไม่ดีกว่าเหรอคะ ฉันออกมาจากห้องได้อายเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี”

“ปลูกถั่วงอกเป็นความคิดที่น่าสนใจนะ แต่ต้องให้คุณมาปลูกเป็นเพื่อน” ตุนท์หัวเราะหึ หน้าตายิ้มกรุ้มกริ่มกับคำสองแง่สามง่ามของตน ใช้มือเปิดเข้าไปในห้องนอน และปิดลง วางร่างบอบบางลงบนที่นอน ในขณะที่อีกฝ่ายเอาแต่ทำหน้าอย่างกับเห็นผี

“รอแม่มาส่งตัวให้ก่อนดีไหมคะ”

“เวลาส่งตัวตอนบ่าย อย่าทำเป็นลืมสิ” ริมฝีปากของตุนท์เริ่มระรานผิวเนียนบริเวณหน้าผาก

“ไม่ลืม แต่อวยพรอีกสักรอบก่อนก็ดีนะคะ” มือบางยันอกหนาไว้ หน้าตาแดงก่ำ หัวใจเธอเต้นดังจนกลัวว่าตุนท์จะได้ยินว่าที่จริงในยามนี้ปอดกำลังหดขนาดลงอย่างรวดเร็ว

“ผมไม่อยากเสียเวลาอีก อีกไม่กี่เดือนลีจะหนีผมไปไกลแล้ว ผมอยากใช้เวลาที่เหลือจากนี้ให้คุ้ม” ตุนท์จูบปากสีฉ่ำที่ให้รสหวานในคออย่างชื่นใจ ท่าทีต่อต้านเริ่มอ่อนลง และปล่อยตัวเป็นอิสระยอมให้เขาค่อยๆ รุกรานในริมฝีปาก

“คืนนี้มีแค่เราสองคน ไม่ต้องนึกถึงใครอีกนะลี เป็นผู้หญิงของผมก็พอ” น้ำเสียงของตุนท์เริ่มพร่า

“ด้วยความยินดีค่ะ”

นพมัลลีเป็นฝ่ายประทับริมฝีปากลงไปบนปากหนาดังคำสัญญาทั้งที่ร่างกายสั่นเทาด้วยความขวยเขิน อ้อมกอดหนากระชับร่างของเธอแนบกาย และเริ่มบทเพลงรักที่ทั้งเขาและเธอจะเริ่มเขียนขึ้นมา...นับจากนี้



ในขณะที่ใครๆ ต่างกำลังมีความสุข หนึ่งคนกำลังทุกข์ระทมใจอย่างที่สุด วากูรหักแผ่นซีดีที่เขาเฝ้าทะนุถนอมไว้กว่าเจ็ดปีทิ้งคามือ เขาเสียดาย แต่ไม่เท่ากับโกรธที่รู้ว่ามันถูกนำมาใช้ทำร้ายวันสวยงามของนพมัลลี ตอนนี้เขารู้แล้วว่านอกจากนพมัลลีจะไม่สะเทือนต่อคำขู่ของเขา หญิงสาวยังแกร่งพอจะมองไม่เห็นหัวเขาบนโลกใบนี้ และจัดงานแต่งงานขึ้นมา แม้ไม่อยากยอมรับ ถึงจะเป็นความจริงที่เจ็บปวดที่สุด แต่เขาหันหลังหนีไม่ได้แล้ว นพมัลลีไม่ได้เลือกเขา และคงไม่มีวันมองเขาเป็นตัวเลือกนับจากวันนั้นที่วัยคะนองของเขากระทำการหยาบช้า วางแผนหลายตลบเพื่อลวงอีกฝ่ายเข้ามา รู้ตัวอีกทีก็เป็นเขาเองที่ดิ้นไม่หลุดจากแผนการของตัวเอง แถมยังรู้สึกตัวช้า มารู้ในวันที่อีกฝ่ายหนีหายลับไปไกลเกินกว่าจะหาตัวเจอ

แล้วทำไมโชคชะตายังต้องพาให้เขามาพบกับนพมัลลีอีก! วากูรสัมผัสถึงความรัก ความเข้าใจจากคนบนเวทีด้วยความอิจฉา แต่ไร้ซึ่งอิศยาต่อไป วันนี้ นาทีนี้ต่อให้เขาช่วงชิงกายของนพมัลลีมาไว้ข้างกายสำเร็จ เกรงว่าหัวใจของอีกฝ่ายจะไม่ตามกายมา แต่เมื่อกายใจอยู่ห่างไกลกัน ร่างคงไม่ต่างจากคนไร้วิญญาณ เขาเองก็คงมีบทสรุปเดิมคือ...ความทุกข์ ไม่สู้ให้เขาทุกข์ฝ่ายเดียว ก้มหน้ารับกรรมของตัวเองไปไม่ดีกว่าเหรอ

“เป็นคุณจริงๆ ด้วยกูร” หญิงสาวในชุดราตรีสีเงินเดินอ้อมเวทีออกมาทางด้านหลัง และหยุดห่างจากบุรุษในชุดคนงานห่างออกไปสามก้าว “ถ้าคุณมาช้ากว่านี้ คลิปเด็ดเคลื่อนไหว พร้อมเสียงคงออกไปด้วย ลีคงไม่รู้ว่าตอนนั้นคุณแอบถ่ายอะไรไว้บ้าง”

“คุณไปเอามาได้ยังไง”

“พ่อของคุณเอามาให้ฉัน พอท่านรู้ว่าฉันยังรอคุณ ท่านก็คิดแผนเล่นงานนพมัลลีขึ้นมา”

“พ่อ!” วากูรกัดฟันกรอด โมโหที่ตัวเองมีจุดอ่อนถึงขนาดที่ใครคนไหนจะหยิบมาเล่นงานเมื่อไหร่ก็ได้

“ถ้ายังมีครั้งหน้าอีก ฉันจะเล่นงานนพมัลลีหนักกว่านี้” ฐานิษกล่าวเสียงเย็น หน้าตายิ้มแย้มหน้าฉากถูกลบเลือนไป ไม่มีสักนาทีที่เธอจะปล่อยวางหรือมีความสุขได้จริง

“คุณจะให้โอกาสผม?”

“ให้โอกาสเราต่างหาก ไม่ได้มีแค่คุณที่รักนพมัลลีมาก ฉันเองก็ไม่ต่างกันนักหรอก รักจนยอมเป็นคนโง่”

น้ำเสียงสารภาพ กอปรน้ำตาที่คลอหน่วย เธอพูดไม่หมด นอกจากความรักเธอยังมีความแค้น และการมองเห็นผู้ชายที่หลอกเธอมาตลอดเป็นอิสระ และไล่ตามคนที่ตัวเองรักทำให้เธออยากทรมานเขาไปพร้อมๆ กัน ในเมื่อเขาไม่สมหวังในรัก และเธอไม่สมหวังแม้จะมีเขาอยู่ข้างกาย ก็เจ็บไปทั้งคู่ ทรมานให้ตายกันไปข้าง เธอปล่อยเขาไปไม่ได้ เหมือนกับที่เขาไม่ยอมวางนพมัลลีให้อยู่แค่ในอดีต

“ถ้าผมปฏิเสธ”

“ฉันยังมีแผ่นก็อปอีกมาก มันพร้อมทำลายคุณ และคนที่คุณรักตลอดเวลา”

“คุณมีความสุขที่ทำเหรอฐา ทั้งชีวิตคุณจะไม่มีความสุขเพราะผม”

เพียะ! ฝ่ามือบางฟาดไปบนซีกหน้าคนที่เธอรักและเกลียดจนไม่สามารถแยกแยะได้ว่าความรู้สึกในยามนี้สิ่งใดมากกว่ากัน นอกจากเธอจะไม่ยอมเสียเขาไปให้ใครอีก เธอถูกฉีกหน้ามาครั้งแล้ว จะไม่ปล่อยเขาไปเสวยสุขง่ายๆ

“คุณทำลายความรู้สึกฉันไปแล้ว อย่าหวังเลยว่าฉันจะปล่อยคุณไป ต่อให้ทั้งชีวิตของฉันต้องตายทั้งเป็น ฉันก็จะลากคุณให้ตายตกตามไปด้วย ฉันไม่มีความสุข คุณก็ต้องไม่มีความสุขกว่าฉัน”

“สัญญามาสิว่าต่อจากนี้คุณจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับลี”

“ถ้าคุณไม่ยุ่ง ฉันก็จะไม่ยุ่ง” ฐานิษประกาศกร้าว นัยน์ตาเจียนจะหลั่งหยาดน้ำออกมา ใจเธอผิดหวังจนไม่เหลือความหวังใดๆ อีก วากูรไม่เคยมีหัวใจให้เธอ เขาไม่เคยรักเธอ ไม่เคยใช้เศษหางตาเหลียวแล หรือใส่ใจจากจิตใจก้นบึ้งเขา ทุกสิ่งคือการแสดง ตลอดหลายปีมานี้เธอถูกหล่อหลอมความรู้สึกด้วยความหลอกลวงของเขา

“ได้ ผมจะแต่งงานกับคุณ”

เธอจะให้บทเรียนราคาแพงกับเขา...ตลอดชีวิต ฐานิษสาบานในใจด้วยความรักและแค้นที่เธอมีต่อวากูร

…………………………
แอบรู้สึกผิด ตอนแรกกะอัพให้ตอนใหม่บวกตอนจบ แต่สปีตเต่ามาก ได้มาแค่หนึ่งตอนค่ะ /II\ อาทิตย์ละตอนทีเดียว ตอนนี้เหลือตอนหน้าตอนจบกับตอนพิเศษอีกตอนก็เกลี้ยงแล้วค่ะ นับถอยหลังแล้ว ^^

คุณ กาซะลองพลัดถิ่น เอาความเป็นไปของวากูรมาเฉลยแล้วค่ะ ลีกับตุนท์ก็สุขสันต์กันไป

คุณ ผักหวาน เดี๋ยวส่งความหวานทิ้งทวนมาให้อีกเรื่อยๆ ค่ะ ชดเชยกับดราม่ามาตลอดเรื่อง ฮา

คุณ konhin เรื่องของวากูรจบแบบหน่วงๆ นะคะ

คุณ violette แต่งงานแล้วตุนท์จะตามลีไปไหมต้องรอลุ้นค่ะ อยู่ในตอนจบกับตอนพิเศษ ^^

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ ส่งมาให้ฟินอีกตอนนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่า ตอนนี้หวานก็หวานสุดๆ แต่แอบทิ้งดราม่าหน่วงๆไว้นิดหน่อย ฮา



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 เม.ย. 2558, 23:46:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 เม.ย. 2558, 23:53:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 1807





<< บทที่ 31 : ยินดีรับฝากตลอดชีพ   บทส่งท้าย + ตอนพิเศษ >>
konhin 27 เม.ย. 2558, 02:04:54 น.
เอ่อ ว่าแล้ว คงไม่มีใครเป็นแม่พระ มีแต่นางมารสวมชุดแม่ชี ร้ายนะ แล้วนางร้ายกับนายร้ายจะพากันลงนรกทางใจด้วยกัน


นักอ่านเหนียวหนึบ 27 เม.ย. 2558, 20:37:45 น.
อะฮื้มมมมมมมม เรื่องมันมาม่าบิ๊กแพคมากครัชชช แต่อร่อยยยยย ฮี่ๆๆๆ
คนที่เค้าคิดดีทำดี เค้าไม่มามัวทุกบ์ร้อนอะไรแบบนี้หรอก มีแต่คนคิดไม่ดีนั่นแหละ ต่างทุกข์กันเอง เห้อออ ถ่านร้อนแท้ๆ


ผักหวาน 28 เม.ย. 2558, 21:18:42 น.
โอ๊ะโอ....ตัวแม่แห่งความแตกตื่นในคืนวันแต่งของหนูลี คือยัยหน้าสวยฐานิษนี่เอง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account