ฤดูรัก
เขาผิดหวังจากความรัก ส่วนเธอไม่กล้ามีความรัก
อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อหนุ่มสถาปนิกอารมณ์ดี ที่หนีมาเลียแผลใจในชนบทแสนห่างไกล มาเจอคุณหมอสาวมาดขรึมที่ไม่กล้าเริ่มต้นกับใคร

แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ เมื่อลมหนาวพาคนสองคนมาเจอกัน ณ ชนบท อันแสนห่างไกลและหนาวเหน็บ
Tags: หวานแหวว ดราม่า

ตอน: (6) เหตุผลอื่น

ผม เดินเหงื่อชุ่ม ใส่รองเท้าแตะออกจากโรงยิม มือข้างหนึ่งถือลูกบาส ส่วนอีกข้างหิ้วร้องเท้ากีฬา วันนี้ผมเล่นบาสอย่างเดียว เนื่องจากพวกลุงๆ และลูกทีมคนอื่นๆไม่อยากเล่นบอลวันนี้ พวกเขาคิดที่จะวางแผนจัดตั้งทีมที่แข็งแกร่ง เพื่อฝ่าด่านเข้าไปรับเงินสองแสนจากผู้ว่าฯ

และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็น พี่เขียวกับศักดิ์ชัยคุยกัน

“คุณผาไม่มาร่วมตั้งวงกับพวกเราด้วยหรือครับ มาช่วยกันคิดแผน แล้วดื่มสักกรึ๊บก็ยังดี”

ลุงจ่าเชิญชวนผม

ผมยิ้มตอบด้วยความเสียใจที่ต้องปฏิเสธ เพราะผมดื่มเหล้าไม่เก่ง แค่ไม่ถึงแก้ว ผมก็กลายเป็นตัวบ้าไปแล้ว

“ไม่ดีกว่าครับลุง ผมคอไม่แข็ง ไว้นัดคุยกันเย็นพรุ่งนี้อีกทีนะครับลุงจ่า”

แล้วผมก็ล่ำลาทุกคน ก่อนจะกลับเข้าบ้านอาถกล

เย็นวันนั้นอาถกลไม่อยู่บ้าน เพราะต้องเข้าไปประชุมในจังหวัดถึงเรื่องการออกหน่วยเคลื่อนที่ รวมทั้งเรื่องกีฬาต้านยาเสพติด จึงเหลือแต่ผมกับอามณ นั่งทานข้าวคุยกันสองคนราวกับแม่ลูก

“ตาผา เราอยู่นี่มาเกือบเดือนแล้ว คิดถึงบ้านหรือยัง” อามณถามขณะตักเนื้อปลาทูส่งให้

ผมเคี้ยวตุ้ยๆ เนื่องจากวันนี้มีน้ำพริกปลาทูของโปรด

“คิดถึงครับ แต่ผมอยู่ที่นี่แล้วสบายใจดี คืนนี้ก็กะว่าจะโทรหาคุณแม่สักหน่อย สงสัยคงเป็นห่วงแย่แล้ว”

อามณมองผมแล้วยิ้มให้อย่างเอ็นดู “เป็นลูกคนเดียวเหรอเราน่ะ หัวแก้วหัวแหวนเลยสิ”

ผมอมยิ้มแล้วพลางนึกถึงหน้าฟ้าคราม น้องสาวแสนซนตัวแสบที่ขนาดโตจนมีงานมีการทำแล้ว ยังทำตัวโลดโผนเหมือนเด็กๆ จนคุณพ่อคุณแม่และญาติๆเวียนหัวบ่อยๆ

“ผมมีน้องสาวครับ ทั้งซนและดื้อ แต่เป็นขวัญใจของครอบครัวมากกว่าพี่ชายอย่างผม”

อามณทิพย์ทำตาโต “เหรอจ๊ะ พี่ชายอย่างภูผาคนรักน้องมากเลยสินะ น้องผู้หญิงเสียด้วย ทำงานทำการอะไรอยู่หรือเปล่า”

“อ๋อ ยัยฟ้าทำอยู่กระทรวงการต่างประเทศน่ะครับ เพิ่งจบโทด้านรัฐศาสตร์จากเมืองนอกมาหมาดๆ แล้วทำไมอาคิดว่าผมรักน้องมากล่ะครับ”

อามณเลิกคิ้วสูง “แหม พ่อผา เราน่ะดูเป็นผู้ชายอบอุ่น แล้วนี่มีแฟนหรือยัง คงไม่ใช่อย่างเจ้าวินที่ครบเล่นๆไปวันๆหรอกนะ นี่ก็จะสามสิบกันแล้ว ไม่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่สักที”

ผมขำเมื่อาหญิงบ่นถึงธาวิน ไอ้เจ้านี่ก็มีเรื่องให้ผมปวดหัวและต้องช่วยบ่อยๆเหมือนกัน เพราะมันน่ะกะล่อน แล้วก็เจ้าชู้ที่หนึ่ง ธาวินเกือบชอบฟ้าครามแล้ว แต่ทว่าน้องผม บู๊เก่ง และไม่อ่อนหวานเหมือนผู้หญิงทั่วไป ธาวินเลยขอถอยห่าง

นึกถึงเจ้าเพื่อนตัวดี ป่านนี้คงทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต ไม่ก็หลอกพ่อกับแม่ว่าไปดูงาน แต่แอบไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งในโลกกับสาวๆในสังกัดเป็นแน่

“ว่าไงล่ะ” อาหญิงพูดซ้ำ

“ครับ” ผมตอบกลับงงๆ

“อาถามว่ามีแฟนหรือยัง หล่อๆ อย่างเราน่ะ”

น่าแปลกที่จู่ๆอาก็สนใจเรื่องแบบนี้ของผม ผมไม่อยากตอบและไม่อยากคิดเรื่องพวกนี้ในตอนนี้เลยจริงๆ มันทำให้ผมระลึกถึงอดีตของตัวเองกับนิชาอีก

ผมก้มหน้าก้มตาทานข้าว

“เคยมีครับ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว”

น้ำเสียงอามณดูราวกับดีใจ แต่แอบข่มอารมณ์ไว้ลึกๆ

“เหรอ ดีแล้วล่ะ แต่แหม ดูทำท่าเข้าซิ อย่างกับคนเพิ่งอกหักแล้วมาย้อมใจที่นี่ กินให้หมดล่ะ เดี๋ยวอาไปคั้นน้ำส้มก่อน เผื่อจะเอาไปให้หนูดาด้วย”

แล้วอามณก็เดินตัวปลิวเข้าครัวไปอีกครั้ง

ผมสะอึก อานี่ฉลาดจริงๆ ผมเกือบพลาดไปแล้ว




“ใจร้ายมากนะเราน่ะ ไม่ติดต่อแม่มาร่วมเดือน สบายดีจนลืมทางนี้ หรือทุกข์มากจนออกบวชแล้วล่ะ”

คุณแม่พูดประชดมาตามสาย

ผมหัวเราะเบาๆ “นี่ล่ะครับที่ผมจะโทรมาบอก ผมประจำอยู่วัดข้างโรงพยาบาลนะครับ”

แล้วผมก็ได้ยินเสียงโหวกเหวก ก่อนที่จะมีเสียงแหลมสูงของน้องสาวตัวแสบลอดตามสายมา

“แหมๆ คนใจบาปอย่างพี่ ไม่มีทางทำอย่างนั้นร้อก”

ต่อด้วยเสียงทุ้มแอบดุของคุณพ่อ “อย่ารีบสึกล่ะ ให้พ่อขอหวยก่อน”

ให้ตาย…คุณแม่เปิดสปี๊กเก้อร์โฟนอีกแล้ว ทำอย่างนี้ทีไร ผมคุยไม่รู้เรื่องทุกที

“ตาผา! อย่ามาพูดเล่นอย่างนี้นะ! โตขนาดนี้แล้วช่วยพูดจริงจังหน่อยได้ไหม หา!”

คุณแม่ตะโกนว่าเสียงสูง จนผมต้องเอาหูออกห่างจากโทรศัพท์

แล้วผมก็หัวเราะงอหาย ครอบครัวผมนี่จี้เส้นจริงๆ

“เอาล่ะครับๆ ทุกคน โปรดเงียบและฟังผมมก่อน ตอนนี้ผมนายภูผา สุขสบายดี และไม่ได้เสียใจอะไรมากมายแล้วครับ”

ผมได้ยินเสียงทุกคนหายใจโล่งอกพร้อมกัน เฮ้ๆ ผมไม่ใช่คนอ่อนแอจนน่าเป็นห่วงขนาดนั้นเสียหน่อย

“ดีแล้วไอ้ลูกชาย หล่อๆอย่างแก หาแฟนใหม่แป๊ปเดียว ดูอย่างยายฟ้าสิ ขี้เหร่ขนาดนี้ ยังหาแฟนไม่ได้เลย”

ยายฟ้าตะโกนค้านเสียงแข็ง “อะไรคุณพ่อ! รูปประโยคมันแปลกๆนะคะ แล้วนี่พี่ผา อย่าพึ่งกลับมาล่ะ ช่วงนี้ฟ้าเลยได้ครองทีวีห้องนั่งเล่นคนเดียวเลย ฮ่าๆๆๆ”

น้องสาวตัวแสบเอ๊ย พูดดีนัก “หึ แม่คุณ นั่งๆ นอนๆ ดูทีวี ระวังบั้นท้ายมันจะเติบโตด้านข้าง”

แล้วเจ๊แกก็กรี๊ดเลียนแบบนางร้ายของหนังน้ำเน่า

“โอ๊ย พอๆ พ่อลูกนี่คุยกันไม่รู้เรื่อง ตาผาบอกแม่ซิจะกลับเมื่อไหร่ ราเชนโทรมาถามแม่ อยากเรียกแกกลับไปช่วยงานจะแย่ เขาบอกว่าช่วงใกล้ปีใหม่ มีคนจ้างออกแบบบ้านเยอะจนรับไม่ไหว ที่สำคัญ เขาบอกว่าลูกค้าติดใจผลงานของลูกที่ออกแบบให้คอนโดคุณแหม่มมาก”

ผมกุมขมับ เมื่อนึกถึง พี่ราเชน หุ้นส่วนของผมที่ร่วมกันก่อตั้งบริษัท

ผมว่าพี่โกหก เพราะช่วงนี้เศรษฐกิจกำลังแย่ ใครเขาจะสร้างบ้านกันนักหนา อีกทั้งผลงานคอนโดคุณแหม่มของผมก็ออกจะเรียบๆ ไม่ได้น่าสะดุดตา หรือโดดเด่นอะไรนัก

พี่ราเชนแค่ขี้เกียจทำงานคนเดียวนั่นล่ะ

“บอกพี่ราเชนว่าเดี๋ยวผมติดต่อไปเองล่ะครับ ส่วนผมอาจจะกลับหลังปีใหม่ แต่ก็ไม่แน่หรอกฮะ ว่าแต่คุณแม่เถอะ สบายดีนะครับ คงไม่ได้คิดถึงผมจนนอนไม่หลับนะ”


คุณแม่เสียงอ่อนขึ้นมาทันที และคาดว่าคงปิดสปี๊กเกอร์โฟนแล้ว เพราะผมไม่ได้ยินเสียงคุณพ่อและน้องสาวอีก

“ฮืม…ภูผา แม่สบายดี แต่ห่วงและคิดถึงลูกมาก แม่เห็นลูกรักนิชามาก กลัวว่าลูกจะเสียใจจน…”

ผมรีบพูดแทรกเสียงหนัก “ผมมไม่เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงหรอกครับ ยังไงความรู้สึกของคุณพ่อคุณแม่ก็สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด”

คุณแม้ถอนหายใจยาว

“ดีแล้วจ้ะ แม่รักลูกนะภูผา”

เสียงอันแสนหวานและอบอุ่นของคุณแม่ ทำเอาใจผมอ่อนยวบ ผมหลับตาลงและคิดถึงท่านกับครอบครัวของเราเหลือเกิน…และรู้สึกโชคดีเพียงใด ที่มีคนที่รักและห่วงผมเพียงนี้

ผมเอ่ยเสียงนุ่มแต่หนักแน่น “ผมก็รักคุณแม่ครับ ฝากบอกคุณพ่อกับฟ้าด้วยนะฮะ”

แล้วเราก็คุยกันตามประสาแม่ลูกอีกพักหนึ่ง ก่อนผมจะเอ่ยลาไปเข้านอน

“ไม่ต้องห่วงผมนะครับ เดี๋ยวผมก็กลับแล้ว ฝันดีนะครับคุณแม่”

“จ้ะลูกรัก”

แล้วคุณแม่ก็ตัดสายไป ผมเดินกลับไปจัดที่นอนและเกือบจะเอนตัวลงพักผ่อน พลางสายตาก็อดมองไปที่ผ้าม่านสีทึบของห้องนอนฝั่งตรงข้ามไม่ได้ คุณดาคงไปเข้าเวรอีกแล้ว

ผมเกือบจะหลับ แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก ผมรับอย่างงัวเงีย

“เฮ้ย…ไอ้ผา เอ็งหลับยัง”

ผมจำได้ เสียงกวนแบบนี้ ต้องเป็นธาวิน

“เออมีไร ข้าง่วงจะแย่”

เสียงธาวินดูไม่สบายใจและพูดไม่เต็มปากเต็มคำ “เอ็ง อยู่กับอาข้าแล้วสบายใจยัง”

“อืม สบายดี มีไรอีกวะ ง่วง จะนอน”

มันดูลังเลอย่างไรชอบกล ปกติมันจะรีบบอกธุระให้เสร็จๆแล้ววางสายไป

“ไอ้ผา…” ธาวินกลับเสียงเป็นอ่อนโยน

“ข้าก็ไม่อยากบอกตอนนี้หรอก แต่ว่า…เอ็งต้องรู้เลย ดีกว่ามารู้ทีหลังที่กรุงเทพฯ”

ผมรู้สึกเพลียจากการเล่นบาสจนแทบทนไม่ไหว

“เออๆ พูดมาเลย จะได้รีบนอน” จะมีเรื่องอะไรที่ผมทนไม่ได้อีก แค่เรื่องนิชาเรื่องเดียวก็คงเพียงพอแล้ว ธาวินคงโทรรมาแจ้งว่า กางเกงตัวโปรดของผมที่มันยืมไปได้อันตรธานไปแล้วเป็นแน่

เหมือนธาวินจะสูดหายใจเข้าจนเต็มปอด “คืองี้…เอ็งต้องเข้มแข้งไว้นะ…คือ…นิชาจะแต่งงานในอีกสามเดือน”

อืม…อะไรนะ!!! ผมตาสว่างทันที ทั้งๆที่สมองยังประมวลผลไม่ทัน เลยได้แต่นิ่งเงียบ ทบทวนคำพูดเมื่อกี้

ใคร แต่งงาน อะไร ที่ไหน

กว่าจะรู้ตัวมือที่จับโทรศัพท์ก็สั่นเทา

“เอ็งว่าอะไรนะไอ้วิน” ผมพูดเสียงราวกับกระซิบ

ธาวินตอบกลับเสียงอ่อน “นิชา จะแต่งงานกับหนุ่มลูกครึ่งทายาทบริษัทน้ำมัน หมั้นกันอาทิตย์หน้า ส่วนงานแต่งคงอีกสามเดือน ข้าอยากให้เอ็งรับรู้เลยจะได้รีบๆทำใจ ดีกว่ามารู้ตอน…”

พอเถอะ พอเถอะ ขอบใจมากเพื่อน ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างจบลงแล้ว

คราวนี้มันไม่เหลืออะไรจริงๆ แต่ก่อน ถึงปากผมจะพร่ำบ่นเสียใจว่าเธอจากไป แต่ในส่วนลึก ผมยังหวังว่าเธอจะรีบเรียนจบแล้วกลับมาหาผมดังเดิม

แต่นี่ไม่แล้ว…ไม่มีอีกแล้ว ความหวังลมๆแล้ง พอกันที จบอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน

ผมรู้สึกหายใจไม่ออก และตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ จนธาวินต้องตะโกนเรียกด้วยความเป็นห่วงหลายที

ผมพยายามรวบรวมกำลัง แล้วพูดออกไปแผ่วเบา “ข้ารู้แล้ว แค่นี้ก่อนนะ ไม่ต้องห่วง”

ความรักนี่มันช่างเป็นดาบสองคม ยามใดมีความสุข ก็สุขจนล้น แต่ยามที่จะทิ่มแทงทำร้าย ก็ไม่เคยปราณีเลยแม้แต่นิดเดียว

ผมไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้พูดพร่ำเพ้อเสียใจ และไม่ได้เอนตัวลงนอนหลับตาให้ลืมความขมขื่น แต่ผมได้แต่นั่งตัวแข็งไปนานชั่วขณะหนึ่ง จนในที่สุด ผมก็ตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง

ผมลุกจากเตียงด้วยความรู้สึกว่างเปล่า เดินลงบันไดชั้นล่างที่มืดมิด เปิดประตูบ้าน และเดินออกไปข้างนอกให้ร่างกายปะทะความหนาวเหน็บ

ผมแค่อยากจะเดินไปเรื่อยๆคนเดียวแบบไม่ต้องคิดอะไร ให้ร่างกายและจิตใจมันชาจนไร้ความรู้สึก ผมจะได้ลืมเธอ ลืมเรื่องที่ว่าผมรักเธอมากขนาดไหน และไม่คิดว่าจะรักใครได้มากเท่านี้อีก

นิชา…คุณจะจากผมไปจริงๆหรือ

มีคนวิ่งผ่านผมไป พร้อมด้วยเสียงโวยวายอย่างโกลาหล แต่ผมไม่ได้ใส่ใจและไม่รับรู้ ผมยังคงเดินเท้าเปล่าออกไปไกลจากบ้านเรื่อยๆ ก่อนที่จะรู้สึกได้ว่ามีคนมากระชากจากด้านหลังโดยแรง

“คุณภูผาคะ!!!!”

ผมหันหลังไปมองด้วยสายตาว่างเปล่า แต่กลับได้เห็นคุณดาในชุดเสื้อกาวน์ ผมเผ้ายุ่งเหยิงและสายตาที่มองผมด้วยความรู้สึกที่อธิบายยาก

“ช่วยขับรถไปส่งโรงพยาบาลในตัวจังหวัดทีได้ไหมคะ!!! ลุงจ่าและพวกหนุ่มๆเมามาก ไม่มีใครขับได้เลยค่ะ”

ผมยังคงสมองกลวง ฟังเธอไม่ทันว่าพูดอะไร “อะไรนะครับ”

แต่ดูท่าคุณดาจะไม่ฟัง เธอกระชากแขนผมแล้วกึ่งลากกึ่งวิ่งพาผมไปที่หน้าตึกโรงพยาบาลใกล้ห้องฉุกเฉิน

แล้วผมก็ได้สติ เมื่อเห็นคุณดากับพยาบาลหลายคนกำลังเข็นผู้ป่วยที่มีสายอะไรไม่รู้เต็มตัว เข้าไปในหลังรถตู้เก่าๆ ทุกคนดูวุ่นวายและลนลานมาก

คุณดาชะโงกหน้ามาจากหลังรถพลางตะโกนเสียงดังน่ากลัว

“ช่วยขับรถพาไปโรงพยาบาลในจังหวัดทีค่ะคุณผา!!!!!!”

ผมกำลังตื่นตระหนก แต่ก็รีบขึ้นประจำที่คนขับ แล้วตะโกนบอกเธอผ่านกระจกที่กั้นอยู่ระหว่างด้านหน้ากับด้านหลัง

“บอกทางผมด้วยครับ!!!”

ก่อนที่ผมจะขับเร็วที่สุดในชีวิต พาคนป่วยและคุณดาเข้าสู่ตัวเมืองยามดึกสงัด





ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไรที่ผมนั่งหลับเป็นตายในรถพยาบาล ก่อนจะตื่นขึ้นเมื่อคุณดาปลุกและชวนผมไปหาอะไรทานที่ใต้โรงพยาบาลประจำ จังหวัด

ผมมองคุณดาที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ชุดเสื้อกาวน์ที่ยับเยิน และดวงหน้าที่เหนื่อยอ่อนแต่สงบเยือกเย็น

จริงๆแล้วสภาพของผมก็ไม่ต่างกัน ผมยังอยู่ในชุดนอนของเมื่อคืนอยู่เลย

เราหาที่นั่งทานกาแฟและปาท่องโก๋ในมุมสงบ ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายเปิดการสนทนา

“คนไข้เป็นอะไรเหรอครับ แล้วรอดไหม”

คุณดาเคี้ยวปาท่องโก๋โดยเร็วก่อนจะตอบผม แต่สายตายังคงมองไปที่อื่น “หัวใจหยุดเต้นกระทันหันน่ะค่ะ แล้วโรงพยาบาลชุมชนก็ไม่มีเครื่องมือช่วยเหลือได้ตลอด เลยต้องส่งมาที่นี่ เส้นเลือดหัวใจตีบไปหลายเส้น เดี๋ยวคงต้องทำบอลลูนน่ะค่ะ ตอนนี้อาการทรงๆ แต่มีญาติมาดูแลกันเต็ม”

“อืม…” ผมเอามือลูบหน้าไล่ความง่วง “แย่จังนะครับ เมื่อวานพวกลุงๆก็เมากัน แถมอาถกลก็ไม่อยู่อีก ดีที่ผมเดินผ่าน”

คุณดาดูดกาแฟดังซ้วบ “ขอบคุณคุณด้วยนะคะ ว่าแต่คุณมาเดินอะไรดึกๆ อย่างนั้น”

คราวนี้เธอหันมาสบตาผมตรงๆ ไร้แววเขินอายหรือไม่พอใจอะไร

“เอ่อ…นอนไม่หลับน่ะครับ” ผมเลี่ยงตอบ

แล้วนึกขึ้นได้ว่า ถึงเวลาที่ผมต้องขอโทษเธอ ผมเอ่ยออกไปด้วยความสุภาพที่สุด “คุณดาครับ…”

เธอมองผมด้วยดวงตากลมแจ๋วลอดผ่านแว่นกระจกใส “คะ”

“ผมขอโทษนะครับ ที่ทำให้คุณดาต้อง…เอ่อ…ไม่พอใจอะไรบางอย่าง คุณดาคงไม่อยากเจอหน้าผมเท่าไรตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาใช่ไหมครับ”

เธอเลิกคิ้วสูง หน้าเหนื่อยๆนั้นแดงเล็กน้อย แต่ยังคงจ้องผมอย่างไม่ลดละ

“เปล่านี่คะ”

ผมว่าเธอโกหกไม่เก่ง

“พูดมาเถอะครับ จะว่าผมก็ได้ ตาไม่รักดีของผมมัน…….”

“เฮ้ย!” เธออุทานเสียงห้าว หน้าแดงก่ำ แล้วโบกมือพัลวัน “บ้าน่า อย่าไปพูดถึงเลยค่ะ มันเป็นอุบัติเหตุ ดาไม่ได้โกรธอะไรเลย”

ผมหน้านิ่ว “ไม่จริงหรอกครับ แล้วคุณดาหลบหน้าผมทำไม แถมเปลี่ยนไปวิ่งรอบตลาดตอนเช้าอีก”

ผมถามคาดคั้น และราวกับทำผิดเพราะดูเธออึดอัดมากขึ้น

“คุณรู้ได้ไงคะ” เธอทำตาโต

“ผมไปดื่มกาแฟที่ร้านโกทองบ่อยน่ะ”

คุณดาจ้องผม ก่อนจะละสายตาแล้วเงียบไปสักพัก “จริงๆดาก็อายคุณนั่นแหละค่ะ เลยซื้อผ้าม่านมาติด แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่ดาหายหน้าหายตา และรับอาสาเข้าเวรบ่อยๆหรอก”

ผมมองผู้หญิงคงแก่เรียนตัวเล็กที่นั่งใกล้ๆ ขณะที่เธอกำลังคนกาแฟในแก้ว ตั้งใจรอฟังคำอธิบาย

“ดาทำแบบนั้นด้วยเหตุผลอื่นน่ะค่ะ บางครั้งการเอาความสนใจของตัวเองไปอยู่ที่การดูแลคนไข้ ก็ทำให้ดามีความสุขกว่าการคิดถึงแต่ตัวเอง”

ทีนี้ผมเลยไม่สามารถละสายตาของตัวจากผู้หญิงคนนี้ไปได้ นั่นก็เพราะด้วยเหตุผลที่ว่า ผมเข้าใจแล้ว ว่าเธอทำอย่างนั้น เพราะเรื่องหมอบดินทร์เป็นแน่ แต่ผมจะไม่ถามเธอหรอก เธอคงไม่อยากตอบคนที่พึ่งรู้จักกันไม่ถึงเดือน

และเหตุผลสำคัญที่สุดที่ผมจ้องเธอไม่วางตา นั่นด้วยก็เพราะ เธอช่างเข้มแข็ง และเป็นผู้หญิงที่น่ารักอย่างประหลาด

เธอคิดว่าการใส่ใจคนอื่นมากกว่าตัวเองนั่นเป็นสิ่งที่มีความสุข

ผมเลยนึกออก ตอนที่ผมมัวแต่ขับรถจะให้ถึงโรงพยาบาลโดยเร็ว พลางกลัวว่าคนไข้จะตาย

ชั่วขณะนั้นผมไม่ได้นึกถึงนิชาและความรู้สึกของตัวเองแม้แต่น้อย

ผมจับมือคุณดา ถึงจะรู้ว่านี่เป็นการละลาบละล้วงก็ตาม

“ขอบคุณนะครับที่ไม่ได้โกรธผม ผมนึกว่าจะเสียเพื่อนดีดีอย่างคุณไปแล้ว”

คุณดามองมือด้วยสายตาตื่นๆ ก่อนจะสบตาผมแล้วยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบุ๋มลงสองข้างแก้ม

“ไม่หรอกค่ะ คุณก็เป็นเพื่อนที่น่ารักเหมือนกันค่ะคุณผา” แล้วเธอก็มองนาฬิกาข้อมือ

“กลับโรงพยาบาลกันเถอะค่ะ”

ผมรับคำ ก่อนจะเป็นสารถีพาสุภาพสตรีที่ผมรู้สึกประทับใจคนนี้กลับสู่อำเภอเล็กๆดังเดิม



ภาพพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 พ.ค. 2558, 12:59:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 พ.ค. 2558, 13:01:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 739





<< (5) หายไป   
LOLIN 1 พ.ค. 2558, 16:25:44 น.
มาแว้วๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account