ฤดูรัก
เขาผิดหวังจากความรัก ส่วนเธอไม่กล้ามีความรัก
อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อหนุ่มสถาปนิกอารมณ์ดี ที่หนีมาเลียแผลใจในชนบทแสนห่างไกล มาเจอคุณหมอสาวมาดขรึมที่ไม่กล้าเริ่มต้นกับใคร

แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ เมื่อลมหนาวพาคนสองคนมาเจอกัน ณ ชนบท อันแสนห่างไกลและหนาวเหน็บ
Tags: หวานแหวว ดราม่า

ตอน: (5) หายไป

ผม นั่งจิบกาแฟโบราณกลิ่นหอมกรุ่นรับอากาศแสนเย็นยามเช้าในช่วงต้นเดือนธันวาคม ในร้านกาแฟเล็กๆแต่เก่าแก่ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางตลาดที่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลนัก

ร้านนี้อาเขยแนะนำมาบอกว่าถ้าอยากได้บรรยากาศแบบชนบทพร้อมกับสัมผัสวิถีชีวิตคนในชุมชนไปด้วยล่ะก็ ต้องมานั่งจิบกาแฟที่ ร้านโกทอง

ร้านโกทองไม่ได้สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมระดับโลก ไม่ได้จ้างสถาปนิกชั้นดีออกแบบ ไม่ได้ตกแต่งร้านตามสมัยนิยม และผมคาดว่า ร้านนี้คงไม่ได้แต่งเติมหรือซ่อมแซมอะไรเลยมาประมาณ 50 กว่าปี ร้านโกทองยังคงเป็นบ้านไม้หลังใหญ่ เก่าคร่ำคร่า มีเค้าเตอร์จ่ายเงินและชงกาแฟ พร้อมๆเสิร์ฟปาท่องโก๋ในที่เดียวกัน

ตามฝาผนังร้านมีรูปครอบครัวย้อนไปสักสี่รุ่นเห็นจะได้ ตั้งแต่อาม่า อากง หอบเสื่อผืนหมอนใบมาตั้งรกรากที่นี่ ทุกรูปล้วนเก่าแก่และชวนให้ระลึกถึง ผมมองไปรอบๆ เห็นในร้านเต็มไปด้วยบรรดาแขกซึ่งคุ้นเคยกับเจ้าของร้านเป็นอย่างดี ต่างทักทายอย่างเป็นกันเองและสั่งนู่นสั่งนี่มานั่งกินรองท้องยามเช้า พร้อมๆกับเริ่มรวมกลุ่มตั้งวงสภากาแฟสนทนากัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบ้านการเมืองของกลุ่มคนรุ่นใหญ่ เรื่องลูกหลานและเพื่อนบ้านของบรรดาสาวแก่แม่หม้าย และพวกเด็กเล็ก ที่ถูกพาติดสอยห้อยท้ายมาด้วยกำลังแลกกันจุ่มปาท่องโก๋ในแก้วโอวัลติน

ผมยิ้ม และรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้สิ ผมคงพบเจอแต่ความเร่งรีบและการแข่งขันมาตลอด แต่พอได้มาสัมผัสชุมชนแห่งนี้ ผมคิดว่าจริงๆแล้วความสุขของคนเราไม่ใช่สิ่งที่ต้องดิ้นรนขวนขวายเลย

“จะสั่งอะไรเพิ่มไหมครับ” เด็กหนุ่มหน้าตี๋สะอาดสะอ้าน ร่างกำยำ เดินเข้ามาถามผมพร้อมๆส่งยิ้มแนบบริการให้

ผมคนแก้วกาแฟ “ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ”

เขาก้มศีรษะรับทราบแล้วจะเดินจากไป

“เดี๋ยวน้อง พี่ถามอะไรหน่อย ร้ายโกทองนี่ขายกาแฟมากี่ปีแล้ว”

เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ยืดตัวขึ้นตรง ท่าทางภาคภูมิใจ “เกือบหกสิบปีแล้วครับ”

“หืม นานมากนะเนี่ย เป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวของที่นี่เลยหรือเปล่า” ผมถามต่อ

เขาดูภาคภูมิใจมากขึ้นไปอีก “ใช่เลยครับ พี่คงไม่ใช่คนแถวนี้ใช่ไหมฮะ แต่พี่มาถูกที่แล้วครับ ร้านโกทอง เก่าแก่และชงกาแฟอร่อยที่สุดในอำเภอและจังหวัดนี้ ขนาดท่านผู้ว่ายังแวะมาบ่อยๆเลย อ้อ แล้วก็ยังพวก….”

เด็กหนุ่มยังคงสาธยายอีกยืดยาวว่าใครมาร้านกาแฟของเขาอีก ตั้งแต่ผู้ว่าจนถึงเถ้าแก่รับเหมา หรือเถ้าแก่ร้านทองก็ตาม

“น้องเป็นลูกหรือหลานโกทองล่ะครับนี่” ผมถามตรงประเด็น เพราะดูเขาจะภาคภูมิใจเหลือเกิน

เด็กหนุ่มเสยผม ราวกับจะเสริมรัศมีลูกเถ้าแก่ให้ดูเด่น “โอยพี่ โกทองตายไปตั้งหกสิบปีแล้ว ส่วนผมเป็นลูกจ้างครับ”

ผมเลยยิ้มเก้อ มองเขาอีกครั้ง เพราะดูทีท่าก็เหมือนลูกคนจีนมีเงิน “ยังเด็กอยู่เนี่ยนะ แล้วน้องไม่เรียนหนังสือเหรอ”

ที่ผมถามไม่ใช่ว่าจะดูถูก แต่ผมเห็นมาเยอะแล้วที่เด็กหนุ่มขนาดนี้ขาดโอกาสเรียนแล้วอนาคตต่อไปมันมืด มัวเพียงใด อนาคตของชาติก็เสียไปอีกหนึ่งคน

หนุ่มหน้าตี๋ยิ้มเจื่อนๆ “ไม่เด็กหรอกพี่ 19 จะ 20 แล้ว ไม่มีเงินเรียนน่ะ ผมไปล้างแก้วก่อนนะพี่” แล้วเขาก็เดินเข้าหลังร้านไป

อืม…นั่นสินะ เรื่องเงินก็สำคัญ แต่สมัยนี้เขามีกองทุนให้กู้เยอะแยะไม่ใช่หรือ

แล้วจู่ๆก็มีเสียงดังโวยวายขึ้น ทั่วทั้งร้านเลยเงียบสนิท มีเพียงเสียงโหวกเหวกมาจากหลังร้าน

“ถ้าเตี่ยรู้ว่าเอ็งยุ่งกับไอ้ก๊วยมันอีกนะนังหมวย เตี่ยจะตีให้ขาลายเลย ไปวิทยาลัยได้แล้วไป๊! เดิ๊ยะเหอะ! ยังเรียนไม่จบริอาจมีผัวซะแล้ว”

จากนั้นทั้งเตี่ยและลูกสาวก็เดินออกมาจากหลังร้าน อาหมวยที่ว่าเถียงเตี่ยเสียงอ่อนเสียงหวาน “ไม่ใช่อย่างนั้นนะเตี่ย เตี่ยเข้าใจผิด”

แล้วพ่อกับลูกก็ทะเลาะกันต่อโดยไม่ได้ใส่ใจสายตาคนทั้งร้าน แต่ผมว่าก็น่าแปลก คนทั้งร้านดูเหมือนจะสนใจช่วงแรกๆ แต่สักพักเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากไปกว่าตั้งวงคุยกันอีกครั้ง

พออาหมวยขับมอเตอร์ไซค์ไปวิทยาลัยแล้ว อาเตี่ยก็เดินเข้ามาบ่นกับกลุ่มคนรุ่นใหญ่ที่ตั้งสภากาแฟอยู่ “อั๊วะนะอยากไล่ไอ้ก๊วยมันออกจะแย่ เพราะดูท่ามันจะรักกัน แต่ไอ้ก๊วยมันขยันขันแข็งดี แถมตอนนี้จ้างคนยากซะด้วย คนหนุ่มสมัยนี้มันขี้เกียจ”

แล้วเหล่าชายรุ่นใหญ่ก็ตบไหล่อาเตี่ยซึ่งคาดว่าจะเป็นผู้สืบทอดร้านโกทองรุ่นปัจจุบัน พร้อมให้คำแนะนำอย่างเห็นอกเห็นใจ

ผมประเมินสถานการณ์นี้อย่างคนภายนอก สงสัยว่าก๊วย หรือ หนุ่มหน้าตี๋นั่น คงจะหลงรักลูกสาวเจ้าของร้าน แต่ทว่าจนเลยหมดสิทธิ์

โลกเราก็มีเท่านี้

ผมวางแก้วกาแฟที่ซดจนเกลี้ยงแล้วเดินไปจ่ายเงินที่เค้าเตอร์ ระหว่างทางก็ยังคงได้ยินกลุ่มสาวแก่แม่หม้ายนินทาเรื่องเมื่อกี้อย่างออกรส

“เฮียปิงไม่ได้รังเกียจอะไรไอ้ก๊วยมากร้อก เพราะมันขยันหากิน แต่ติดที่ว่ามันไม่มีการศึกษาน่ะซี่”

ผมวางเงินแล้วตรงดิ่งไปที่รถตัวเอง ผ่านเหล่าแม่ค้าที่ตะโกนขายของและพูดเชิญชวนคนที่เดินผ่าน ผ่านลูกค้าที่พยายามต่อรองราคาจนถูกติดดิน อีกทั้งยังได้กลิ่นเขียวๆของผักสด กลิ่นเหม็นคาวปลา และยังต้องยกขาหลบคนเข็นเข่งส่งของ

เมื่อถึงรถ ผมเปิดประตู แล้วหย่อนตัวนั่งลง มองภาพความสับสนวุ่นวายของตลาดตรงหน้า




“เอ็งสองคนประกอบไอ้เขียวเหมือนเดิม ส่วนข้ากับคุณผาจะฝ่าด่านเลี้ยงบอลไปเรื่อยๆ เข้าใจแล้วก็สู้โว้ย!”

สิ้นเสียงลุงแต้มสั่งการ พวกเราลูกทีมก็วิ่งอย่างมุ่งมั่นลงสนามพร้อมท้าชิงกับทีมฝ่ายลุงจ่า ซึ่งวันนี้นัดกันแต่งสีดำทุกคน

พวกเรายืนพร้อมอยู่ประจำตำแหน่งต่างๆ มีทั้งผม หมึก เด็กรุ่นหนุ่ม ศักดิ์ชัย วินมอเตอร์ไซค์ และคนอื่นๆที่ผมยังไม่คุ้นเคยมากนักตั้งท่าเตรียมเปิดเกมอย่างตั้งอกตั้งใจ ส่วนผมกลับรู้สึกหนาวๆร้อนๆอย่างไรก็ไม่รู้ เนื่องจากว่าพี่เขียวส่งสายตาโหดเหี้ยมมาที่ผมอีกแล้ว ทั้งๆที่วันนี้น้องจิ๊บและน้องใจสองสาวขายน้ำไม่ได้มาเชียร์ผมสักหน่อย แต่อาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อกลางวันที่ผ่านมา ผมเข้าไปคุยกับพวกหล่อนนานเกินไปก็เป็นได้

ทีมลุงแต้มสิงสนาม และลุงจ่าเสือสนาม กำลังจะเริ่มปะทะกันอยู่แล้ว แต่พอดีกลับมีชายร่างสูง ดูเก้งก้าง ใส่แว่นและคงแก่เรียน วิ่งผมตั้งร้องเรียกขัดจังหวะเสียก่อน

ผมจำได้ทันทีว่าเป็นหมอบดินทร์

“ลุงจ่าครับ ผมเล่นด้วย” เขาตะโกนเสียงดังในชุดสีดำที่คงจะเพิ่งเปลี่ยนมา

หมอบดินทร์วิ่งลงมากลางสนามและทักทายทุกคน พอเจอผมเขากลับงงเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มให้ ก่อนจะวิ่งไปประจำที่กองหน้า

“หมอบดินทร์น่ะคุณผา ไม่ต้องกลัว ฝีเท้าไม่เท่าไร” ศักดิ์ชัยหันมากระซิบใส่ผม

พอเห็นหมอบดินทร์ก็ทำเอาผมนึกถึงเรื่องเมื่อสองสามวันที่แล้ว วันที่ผม และหมอดา ไปทานข้าวกับอาเขย ผมสะกิดใจนิดๆว่า คุณดาดูแปลกไปเมื่อเขาเข้ามาในร้านกับผู้หญิงคนหนึ่ง จู่ๆเธอไม่พูดอะไร แถมอามณก็รีบกลับบ้านเสียดื้อๆ

แต่ว่า…ที่สำคัญกว่านั้น…คุณดา…คืนนั้นผมเห็น…โว้ย!...รู้สึกผิดชะมัดยาด

“เฮ้ยคุณผา” ลุงแต้มตะโกนเรียกผมเสียงดังเพื่อจะส่งต่อบอลให้ ผมเลยต้องดึงสติกลับมาแล้วเริ่มเร่งฝีเท้าตัวเอง

แข้งทองของผมรับลูกมาอย่างชำนาญก่อนจะพยายามเลี้ยงขึ้นหน้าขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับคอยหลบแข้งคนฝั่งตรงข้าม โดยเฉพาะพี่เขียวซึ่งตอนนี้ถูกหมึก และศักดิ์ชัย ขึ้นประกบ

ให้ตายสิ ถ้าไม่มีน่องเท่าโต๊ะบิลเลียดของพี่เขียวล่ะก็ ผมทำแต้มได้สบาย

“เฮ้ย!” ผมร้องลั่น เมื่อน่องยาวของหมอบดินทร์แย่งบอลไป ทำเอาทีมลุงแต้มต้องร่นทัพกลับ

ศักดิ์ชัยผละจากพี่เขียววิ่งขึ้นไปหาหมอบดินทร์ทันที พยายามแย่งลูกกลับมา แต่ดูท่าจะไม่สำเร็จ เพราะถึงหมอจะเก้งก้าง แต่ว่องไวน่าดู

เราเกือบแก้เกมไม่ทันเมื่อหมอบดินทร์หลบลูกเก่งขึ้นเรื่อยๆ และกองหลังของเราท่าจะคุมเกมไม่ไหว

แต่แล้วในจังหวะที่หมอบดินทร์ตั้งท่าจะยิงเข้าประตู ศักดิ์ชัยกลับสามารถวิ่งเข้าไปแย่งซัดลูกเตะออกแนวประตูได้ทัน

หมอบดินทร์มองบอลกระเด็นออกไปอย่างเสียดาย ขณะที่ทีมลุงจ่าโห่ร้องเสียใจ ตรงกันข้ามกับฝ่ายลุงแต้มที่หัวเราะราวกับผู้มีชัยแล้ววิ่งเข้าไปโอบกอด ศักดิ์ชัย

ก่อนจะเริ่มเล่นต่ออีกครั้ง และไม่นานนักก็พักครึ่ง เมื่อยังคงเสมอกัน 0-0

ผมนั่งลงข้างขอบสนามคุยกับหมึกถึงการวางเกมของเรา

“พี่ รู้ไหมว่าพี่ชัยน่ะ เขาอยากเอาชนะหมอบดินทร์ เขาไม่ค่อยชอบเท่าไร เขาว่าเป็นมารหัวใจ” หมึกพูดยิ้มใส่ผม

ผมเหนื่อยหอบ เหงื่อท่วมตัว มองไปที่ศักดิ์ชัย ซึ่งเห็นว่ากำลังคุยกับลุงแต้ม

“อะไรนะ” ผมถามงงๆ

หมึกหัวเราะลั่น แล้วตั้งท่าซุบซิบเหมือนนินทาชาวบ้าน “หมอดาไงพี่ พี่ชัยชอบหมอ แล้วเขากลัวว่าหมอดาจะชอบหมอดิน เนี่ยเล่นบอลกันทีไร พี่ชัยต้องเข้าไปแย่งบอลทู้กที”

ผมฟังแล้วขำๆ แต่เริ่มประติดประต่อบางอย่างถูก ก่อนจะหันไปมองหมอบดินทร์ที่ริมสนามซึ่งตอนนี้กำลังคุยกับพยาบาลคนหนึ่งอยู่ และผมคุ้นๆว่าเธอคือผู้หญิงที่ไปทานข้าวกับเขาวันนั้น

“คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง บอกชัยให้สบายใจเถอะ” ผมพูดแล้วบุ้ยใบ้ให้หมึกดูหมอดินกับพยาบาลกำลังคุยกัน

หมึกอุทาน เฮ้ย เสียงดัง ก่อนจะทำตาโต

“นั่นมันเดือนดารา พยาบาลที่มาใหม่นี่นา เห็นพวกผู้ชายแถวนี้พูดถึงบ่อยๆ ไม่ได้การละ” ว่าแล้ว หมึกก็วิ่งไปสมทบกลุ่มชายรุ่นหนุ่มที่กำลังจับกลุ่มคุยกันข้างสนาม

ผมไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะวันนี้อยากทำได้สักแต้ม ดังนั้นเมื่อเกมในครึ่งหลังเริ่มขึ้น ผมก็บุกและรุกเต็มที่ ก่อนจะพลาดท่าเสียทีให้หมอบดินทร์บ้าง (ผมว่าฝีเท้าเข้าใช้ได้ทีเดียว) พลาดให้พี่เขียวบ้าง

แต่ในที่สุด ผมก็รุกอีกหลายครั้งจนยิงเข้าประตูให้กับทีมได้

ผมโห่ร้องดีใจและมองลูกเข้าประตูอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะวันนี้เป็นเกมที่นานกว่าทุกที และทำแต้มได้ยากเหลือเกิน แต่ในที่สุดฝ่ายลุงแต้มก็ชนะไป 1-0 ทั้งนี้คงต้องยกความดีให้สักดิ์ชัยด้วย เพราะเขาประกบหมอดินไม่ห่าง

ดวงอาทิตย์เริ่มจางแสง คนทั้งทีมเข้ามาแสดงความยินดีกับผม จนผมหายใจไม่ออก และก่อนที่นักฟุตบอลทั้งสนามจะโบกมือลากลับบ้านกันไป หมอบดินทร์ก็เดินมาหาผมและทักทาย

“คุณภูผาหลานอาถกลใช่ไหมครับ ผมดิน เป็นแพทย์ใช้ทุนฮะ”

ผมยิ้มให้และจับมือเขา “ครับ หมอเล่นบอลเก่งมากนะฮะ”

ท่าทางเขาดูเป็นมิตรและเราน่าจะได้คุยอะไรกันต่อ แต่แล้ว หมึกก็ตะโกนโหวกเหวก

“เฮ้ยพี่ชัย!!! หมอดาวิ่งมาแล้ว”

คนทั้งสนามเลยช่วยชัยด้วยการโห่เรียกหมอดา ผมยืนอยู่ข้างหมอบดินทร์และเห็นคุณดาแต่งตัวออกกำลังกายอย่างเคย กำลังวิ่งมาแต่ไกล แต่เมื่อเธอวิ่งเฉียดสนามบอลไป กลับไม่ได้สนใจคนในสนามอย่างเคย

เธอไม่ได้โบกมือและยิ้มให้อย่างคราวที่แล้ว แต่เธอเพียงหันมามองแว่บหนึ่งแล้ววิ่งจากไป

คนในสนามรู้สึกผิดหวังและพูดกันเสียงดังว่าวันนี้หมอคงอารมณ์ไม่ดี เพราะไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ไม่โบกมือให้

“โกรธที่กูเก็บเงินแต่งงานไม่ทันเปล่าวะ” ศักดิ์ชัยบ่นกับหมึก

แต่ผมกำลังคิดว่าอาจจะมีเหตุผลสองประการที่เธอเฉยชา นั่นอาจจะเป็นเพราะตัวผม หรือหมอบดินทร์

นั่นสิ…ตั้งแต่วันนั้นที่ไปทานข้าวด้วยกัน ผมยังไม่ได้เจอเธออีกเลย ไม่มีโอกาสได้ขอโทษด้วยซ้ำ

คืนนั้นผมพยายามจะไปขอโทษเธอที่บ้าน แต่ก็คิดอยู่ว่ามันจะเป็นการดีหรือที่อยู่ดีดีผมจะตรงดิ่งไปพูดเรื่องที่ว่า ผมเห็นอะไร…หรือไม่เห็นอะไร

ผมเลยได้แต่นั่งดูทีวีกับอาหญิง เพราะอาถกลเข้าเวร ดึกเข้าผมก็ขอตัวขึ้นไปนอน และคราวนี้ได้เห็นอย่างแจ่มแจ้งเลยว่า เธอซื้อผ้าม่านสีเข้มมาติดหน้าต่างฝั่งที่ติดห้องนอนผม

หมอดาปิดไฟนอนแล้ว ส่วนผมได้แต่ยืนอยู่ริมหน้าต่างเหม่อมองแสงจันทร์บนฟ้า คิดว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี และนั่นก็ทำให้ผมพาลคิดถึงเรื่องราวในอดีต

นิชาเคยโกรธ ไม่พูดกับผมร่วมเดือน เนื่องจากว่าเธอเห็นผมถือร่มกางให้เพื่อนผู้หญิงในคณะเดียวกัน ขณะเดินฝ่าสายฝนยามเรียนข้ามตึกในมหา’ลัย

เธอหาว่าผมนอกใจ ทั้งๆที่ ผมมีร่มและเพื่อนผมไม่มี ผมจะปล่อยเพื่อนตากฝนได้หรือ

ผมกำลังคิดว่าผมง้อเธออย่างไร แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ผมจำไม่ได้เกี่ยวกับเธอ นั่นเพราะผมว่ามันไร้สาระมากและเธอไม่ยอมฟัเงหตุผลเลย

แต่ที่แน่ๆคือ ยิ่งเธองอนผมเท่าไร ผมก็ยิ่งรักเธอเท่านั้น ตอนนั้นผมคงใช้ลูกตื๊ออย่างเดียว…

เฮ้ย! ไอ้ผา แต่นี่มันไม่เหมือนกัน คิดสิวะ คิดๆๆๆ แต่ตอนนี้คงง่วงเกินกว่าจะทำอะไรได้ ผมมองนาฬิกาเก่าที่ผนังห้อง เกือบตีหนึ่งแล้วและผมสมควรเข้านอน





หลังจากนั้นมาอีกหลายวัน ผมก็ยังคงไม่ได้พบคุณดาอีกเช่นเคย เธอไม่ได้ทำอาหารมาเผื่อบ้านอาหญิง พอผมเดินไปรอที่ร้านขายน้ำตอนกลางวัน เธอก็ไม่ได้มา สองสาวนั่นบอกว่า หมอสั่งให้เอาน้ำเข้าไปส่งในห้อง

ผมพยายามเดินเฉียดที่ห้องพักแพทย์ แต่เธอก็ไม่เคยอยู่ เคยเจอแต่หมอบดินทร์ และเขาบอกว่า คุณดากำลังตรวจ ทั้งๆที่ เกือบจะบ่ายโมงและเธอยังไม่ได้ทานข้าวกลางวัน

ผมเลยไปชะเง้อแถวห้องตรวจ ซึ่งเธอไม่ยอมโผล่หน้ามา มีแต่คนไข้ต่อคิวยาวเป็นหางว่าว

และที่หน้าแปลกคือ ผมไม่เห็นเธอมาวิ่งตอนเย็นเกือบอาทิตย์แล้ว ศักดิ์ชัยบ่นใหญ่ว่าไม่ค่อยเจอหมอ และหมอดินบอกว่า ช่วงนี้เธอดูยุ่งเป็นพิเศษ

นี่คุณดา เกลียดผม ไม่อยากเจอผมขนาดนี้เลยหรือนี่ ผมอยากจะทำอะไรให้มันดีกว่านี้นะ เพราะผมคิดว่าเธอเป็นมิตรที่น่าคบ ให้ตายสิ! เธอทำตัวอย่างกับเด็กหนีปัญหา

แต่ลองคิดอีกที ถ้าผมเป็นเธอ…ผมก็อาจจะทำแบบนี้ หรือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปเลย

ผมรู้สึกหมดหนทาง และหยุดคิดเรื่องนี้ชั่วคราว ก่อนจะเพ่งความสนใจไปที่เรื่องของการแข่งขันฟุตบอลระดับจังหวัดที่อาถกลพูดขึ้น

“ทางผู้ว่าฯ อยากให้โรงพยาบาลประจำอำเภอจัดแข่งขันฟุตบอลคัดทีมในแต่ละอำเภอก่อน เพื่อส่งเสริมด้านสุขภาพ และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์อะไรนี่แหละ เชิญคนในชุมชนมาตั้งทีมแข่งกันเยอะๆ พอคัดทีมที่ชนะได้แล้ว ก็เอาไปแข่งระดับจังหวัดน่ะ พ่อผาสนไหมล่ะ”

ผมนั่งกอดอกฟัง และจินตนาการว่า ถ้าทีมที่ว่านั่นเป็นพวกลุงแต้ม หมึก ศักดิ์ชัย พี่เขียว ลุงจ่า แม้กระทั่งหมอบดินทร์ คงเป็นทีมเวิร์คที่ดีน่าดู

“เป็นโครงการที่ดีนะครับอา ผมเอาด้วยครับ เดี๋ยวไปบอกพวกลุงแต้มด้วย”

อาถกลทำท่าดีใจ เมื่อผมมีปฏิกิริยาสนับสนุน

“จริงเหรอ อาพึ่งได้รับคำสั่งมาวันนี้เองล่ะ เดี่ยวพรุ่งนี้จะติดประกาศทั่วอำเภอ รางวัลก็น่าสนใจด้วยนะ ถ้าชนะได้ตั้งทีมละสองแสน เขาทุ่มงบน่าดู แถมวันแข่งระดับจังหวัดน่ะ เป็นวันเดียวกับวันออกหน่วยเคลื่อนที่ของโครงการผู้ว่าพบประชาชน”

อาถกลหัวเราะ หึหึ ขณะหยิบทอดมันที่อาหญิงทำแล้วตั้งรอไว้ทานหลังหุงข้าวเย็นเสร็จเข้าปาก

“เอาใจชาวบ้านน่าดูผู้ว่าคนนี้”

สองแสนเลยเหรอ นี่ถ้าชนะก็ได้เกือบคนละสองหมื่น…แต่สำหรับผมเงินสองหมื่นนี่ไม่มากเท่าที่ ควร เพราะงานสถาปนิกของผม รับออกแบบที งานเล็กอย่างน้อยก็ห้าหมื่น งานใหญ่ก็แสนขึ้น

แต่ไหนๆ ท่านผู้ว่าฯ ก็อยากช่วยชาวบ้านนัก ผมก็จะร่วมช่วยด้วยอย่างเต็มที่

ผมคุยกับอาเขยต่อ และไม่นานนักอาหญิงก็ตั้งสำรับรอให้ไปทานข้าวเย็น

เรานั่งล้อมวงกันพร้อมหน้าอย่างเคย และอาหญิงก็จ้องทอดมันจานโตพลางบ่น “ปกติหนูดาชอบทานมาก แต่วันนี้ขอตัวไม่มาร่วม เพราะเข้าเวร”

“อีกแล้วเหรอ ติดต่อกันหลายวันแล้วนะ” อาเขยกล่าวต่อด้วยความเป็นห่วง




พักหลังมานี่ ถ้าผมตื่นเช้าได้ ผมก็จะพยายามตื่นมาสูดอากาศบริสุทธิ์อย่างที่อาหญิงแนะนำ และมักอาสาไปซื้อปาท่องโก๋และน้ำเต้าหู้ในตลาดให้ แถมด้วยการแอบแว่บนั่งจิบกาแฟที่ร้าน โกทอง ซึ่งพอมาบ่อยเข้าก็เริ่มสนิทกับ ก๊วยหนุ่มตี๋ลูกจ้างร้านนี้ อีกทั้งยังได้เห็น อาหมวย ดอกฟ้าของก๊วยที่เขาเคยแอบบอกผมด้วย

ซึ่งอาหมวยนั้นมีชื่อว่า หมวย จริงๆ

วันนี้ผมมานั่งดื่มกาแฟเช่นเคย หลังจากคุยกับก๊วยแล้วเขาขอตัวไปล้างแก้วในครัว ผมก็ได้เห็นอาหมวยเดินออกมาจากหลังบ้าน ยกมือไหว้เตี่ยแสนดุของเธอ และขณะที่เธอกำลังเดินผ่านโต๊ะผมเพื่อไปขับมอเตอร์ไซค์มุ่งหน้าสู้วิทยาลัย นั้น ก็พอดีกับที่ผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ เราสบตากันเล็กน้อย แล้วผมก็เห็นว่าเธอขาวสวยตามที่ก๊วยเล่าจริงๆ

ที่สำคัญกว่านั้น ผมตาค้าง และละสายตาจากตำแหน่งเดิมไม่ได้ นั่นก็เพราะ…

หมออารดา หรือ คุณดา ในชุดออกกำลังกาย เดินเข้ามาในร้าน กำลังยืนหันหลังให้ผม ก่อนจะทำธุระที่เค้าเตอร์ชงกาแฟแป๊ปเดียวแล้วถือถุงที่มีพร้อมทั้งปาท่องโก๋ และถุงกาแฟ เดินออกจากร้านไปโดยไม่ได้สังเกตเห็นผมเลย

ผมมองตามเธอตาค้าง เนื่องด้วยว่าไม่ได้เจอเธอมาอาทิตย์กว่าๆ และไม่คิดว่าจะได้เจอเธอในยามเช้าตรู่ที่ร้านกาแฟแห่งนี้

เฮียปิงเดินมาเช็ดโต๊ะข้างๆผม และคงสังเกตเห็นอาการนี้ เลยแซวขึ้นเนื่องจากเริ่มคุ้นเคยกัน “นั่นหมอดาน่ะพ่อหนุ่ม ช่วงนี้เธอวิ่งรอบตลาดตอนเช้าทุกวัน เลยสั่งให้เตรียมชุดปาท่องโก๋ไว้ให้”

แล้วเฮียก็ตบไหล่ผมเหมือนสนับสนุนเต็มที่ “จะจีบก็รีบซะ เดี๋ยวเธอก็กลับ กรุงเทพฯแล้ว”

ผมยิ้มขอบคุณให้เฮียอย่างเจื่อนๆ ก่อนจะรีบปฏิเสธ

นี่คุณดาโกรธผมขนาดเปลี่ยนเวลาออกกำลังกายเลยหรือ



ภาพพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 เม.ย. 2558, 00:49:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 เม.ย. 2558, 00:49:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 989





<< (4)หน้าต่าง   (6) เหตุผลอื่น >>
LOLIN 20 เม.ย. 2558, 06:46:27 น.
เย้ๆมาแล้วขอบคุณคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account