เมียบำเรอเจ้าพ่อ
ไม่มีสักครั้งที่ ‘คังเจียลี่’ เจ้าพ่อวงการธุรกิจก่อสร้างแห่งเกาะฮ่องกง

จะยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับบรรดาคู่ขาให้ขึ้นมาอยู่ในฐานะคนรัก 

หากเมื่อได้พบกับ ‘พิมพ์ชนก’ น้องสาวภรรยาของเพื่อนสนิท คนที่เขาเคยหมายตาไว้เข้าอีกครั้ง 

เจ้าพ่อหนุ่มก็ไม่รีรอที่จะกระชากเอาตัวหญิงสาวสุดเฮี้ยวมาไว้ใกล้ๆในฐานะเลขานุการส่วนตัว

แล้วเอ่ยปากขอแกมบังคับให้เธอยอมรับตำแหน่งคนรักเจ้าพ่อโดยไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง

แต่ถึงจะรู้ทั้งรู้ว่าผู้ชายอย่างคังเจียลี่คือแบดบอยตัวร้ายที่ผู้หญิงทุกคนไม่ควรอยู่ใกล้ชิด... 

มิหนำซ้ำรอบตัวเขายังมีแต่ปมปริศนาฆาตกรรมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและอันตราย

หากพิมพ์ชนกก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเขาเป็นผู้ชายที่น่าหวั่นไหวที่สุดในโลก 

และการได้อยู่ใกล้ชิดกับชายหนุ่มก็ทำให้หัวใจของสาวน้อยสั่นสะเทือน ไร้แรงต้านทาน 

ทว่าความลับสุดยอดที่พิมพ์ชนกได้ล่วงรู้เป็นสาเหตุให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เกิดความคลางแคลง 

และเมื่อมีเหตุการณ์ชวนให้หัวหมุนเข้ามาแทรก ‘เมียบำเรอเจ้าพ่อ’ อย่างเธอจึงเลือกที่จะหนีไปให้ไกล

และการจะหนีจากเจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพลอย่างเขาให้รอดพ้นได้นั้น 

ก็ต้องไปในยามที่เขาบาดเจ็บดังเช่นตอนนี้ และต้องไปเดี๋ยวนี้!
Tags: คังเจียลี่ - พิมพ์ชนก

ตอน: ตอนที่ 7 100%

หลี่กังเดินเข้ามาในห้องทำงานของหวังเหม่ยฉีในบ่ายจัดของวันหยุด โดยไม่รู้ตัวว่าเจสสิก้าที่บังเอิญเดินลงมาเจอได้แอบฟังอยู่หน้าประตู

“เรื่องชาวบ้านร้องเรียนเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง พอเรื่องเกิดขึ้นมันก็ให้คนออกไปจัดการจ่ายเงินชดเชยให้เล็กๆ น้อยๆ เรื่องก็เงียบไป เราคงต้องเดินหน้าแผนการแล้วนะ อากัง!!” หวังเหม่ยฉีบอกกับชู้รักเสียงเครียด

“อย่างน้อยก็ทำให้มันเสียเงินได้นี่ เราต้องค่อยเป็นค่อยไปพรุ่งนี้ผมจะจัดการขั้นต่อไปเพราะคิดว่าพรุ่งนี้ไอ้เดร็กมันคงต้องเข้าไปตรวจไซด์งานตามปกติ คุณลองคิดดูนะ! ว่าถ้าระบบรักษาความปลอดภัยห่วยแตกจนทำให้ประธานคังเจียลี่เลือดตกยางออกเสียเอง มันจะเป็นข่าวดังแค่ไหน?” หลี่กังบอกเพราะได้เตรียมการวางแผนมาแล้วเป็นอย่างดี

หวังเหม่ยฉีเริ่มยิ้มออกพร้อมอยากรู้ขึ้นมาทันทีว่าหลี่กังจะจัดการกับไอ้คังเจียลี่อย่างไร?? “จะทำยังไง?!”

“ลิฟต์ก่อสร้างมันเก่าไม่ได้มาตราฐาน ลวดสลิงที่ดึงไว้มันก็ต้องขาดออกเป็นธรรมดา ประธานคังเจียลี่ก็เลยต้องฟกช้ำดำเขียวนิดหน่อยเพราะอาจจะต้องตกลงมา” หลี่กังบอกแผนการชั่ว

“ไม่แรงไปเหรอ ลิฟต์ตกลงมาอาจถึงตายได้นะ! คนอื่นจะไม่สงสัยหรือไง!?”

“ไม่หรอกน่า เพราะผมให้คนไปเลื่อยเอาไว้วันละเล็กละน้อย แล้วมันก็ใช้งานอยู่ทุกวันจนเหลือแค่หมิ่นๆ ดึงขึ้นไปแค่ไม่กี่ชั้นก็ตกลงมาแล้ว”

“แล้วคนที่เธอบอกไว้ใจได้แค่ไหน? พอเกิดเรื่องมันจะไม่ปากโป้งพูดเรื่องนี้นะ” หวังเหม่ยฉีถามอย่างไม่ไว้ใจ

“คุณก็รู้ว่าในเค ไพรเวทฯ มีคนงานที่มาจากเค แลนด์แอนด์เฮาส์และก็ยังจงรักภักดีต่อเราอยู่ ไม่พอใจที่สกุลหวังต้องมาตกอยู่ภายใต้อำนาจของสกุลคังอีกหลายร้อยชีวิต เราก็ต้องหลอกใช้พวกมันเป็นเครื่องมือแบบนี้แหละ!” หลี่กังพูดถึงข้าเก่าเต่าเลี้ยงที่สำนึกในบุญคุณของเจ้านายเดิมอย่างสกุลหวังที่เคยชุปเลี้ยงมา และเป็นวัฒนธรรมอันดีของชาวจีนมาทุกยุคทุกสมัยที่จะยึดถือผู้มีพระคุณไว้เหนือสิ่งอื่นใด แต่หลี่กังกลับใช้ความศรัทธาของคนเหล่านี้ คอยเป่าหูให้เกิดความเคียดแค้น ความแตกแยกแล้วใช้พวกเขาเป็นแรงขับเคลื่อนที่จะทำให้แผนการชั่วร้ายของตนเองบรรลุเป้าหมาย

หวังเหม่ยฉียิ้มพอใจกับแผนการฉลาดล้ำของชู้รัก จริงสินะ! คนพวกนั้นไม่มีวันที่จะหักหลังคนตระกูลหวังและเธอแน่ๆ เพราะบุญคุณของสกุลหวังที่ชุบเลี้ยงมาท่วมหัวพวกมันอยู่

“อ้อ! ผมรู้มาว่าแดนนี่ให้เงินตากับหลานคู่หนึ่ง ที่หลานป่วยเป็นโรคหอบหืดอยู่แล้วแต่ให้หลอกทุกคนว่าอาการกำเริบเพราะฝุ่นจากไซด์งานก่อสร้างเลยทำให้อาการหนักจนต้องเข้าห้องไอซียู” หลี่กังรายงานเรื่องที่บังเอิญไปเห็นตอนที่แดนนี่หวังจ่ายเงินปึกใหญ่ให้ชายแก่คนนั้นในโรงพยาบาล

“เป็นคนที่อาศัยอยู่ในตึกเหรอ?” หวังเหม่ยฉีถาม

“ใช่ ตาแก่คนนี้เลี้ยงหลานตามลำพังมีอาชีพเป็นคนแยกปลาที่ตลาด ตาแก่นี่เล่าให้ผมฟังว่าแดนนี่บอกให้เขาไปร้องเรียนที่หน่วยราชการว่าหลานของเขาเป็นโรคหอบหืดประจำตัวอยู่แล้ว ทั้งยังได้รับฝุ่นละอองจากไซด์งานก่อสร้างที่คลุ้งกระจายไม่มีการป้องกัน เลยทำให้อาการทรุดหนักจนต้องเข้าไอซียู ทั้งที่ความจริงแล้วเด็กคนนี้อาการกำเริบเพราะโดนละอองฝน แดนนี่ให้ค่าตอบแทนเป็นเงินก้อนโตที่ทำให้ตาแก่คนนี้ไม่มีทางปฏิเสธได้”

“ถ้ากับเธอแล้วมันยังยอมพูดออกมาง่ายๆ แล้วกับคนอื่นจะไม่มีปัญหาหรอกเหรอ??” หวังเหม่ยฉีถามเสียงเครียด

“ไม่หรอก ที่ตาแก่นี่ยอมเล่าให้ผมฟังเพราะรู้ว่าผมเป็นคนสนิทของคุณ ตอนหลังผมก็เลยสวมรอยเข้าไปอีกว่าเอาเงินมาเพิ่มให้เป็นค่ายา แค่นี้!! ตาแก่นั่นก็ยิ้มกว้างรีบคว้าเอาเงินแทบไม่ทันแล้ว” หลี่กังบอก

“ก็นับว่าเขายังเชื่อที่ฉันเตือนอยู่บ้าง” หวังเหม่ยฉีนึกถึงแดนนี่ลูกชายอารมณ์ร้อนของตนเอง

“ผมบอกแล้วว่าเขาฉลาดไม่ใช่เล่นแค่ยังใจร้อนตามประสาคนหนุ่มเท่านั้นเอง” หลี่กังพูดพร้อมเดินเข้ามาวางมือใหญ่ของตัวเองคลึงบนไหล่ของหวังเหม่ยฉีอย่างมีความหมาย
“นี่!! อย่าเริ่มน่า! วันนี้เจสซี่อยู่บ้านนะ” สาวใหญ่ทรงเสน่ห์บอกเสียงเขียวแต่หลี่กังก็ได้หาใส่ใจไม่ เพราะเขาหลงใหลหล่อนจนไม่มีตาจะเหลียวมองใครทั้งนั้น!

“ผมรู้! เราออกไปหาความสุขกันนอกบ้านเถอะนะที่รัก ผมคลั่งคุณแทบจะลงแดงตายแล้ว!”

หวังเหม่ยฉียิ้มพอใจกับเสน่ห์ของตนที่สามารถผูกมัดให้ชายคนหนึ่งทำตามคำสั่งของตัวเองอย่างไม่คิดชีวิต และยังมีความสุขกับตัณหาราคะที่มีต่อกันมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี “ไปรอที่เดิม แล้วฉันจะตามไปทีหลังคนอื่นจะได้ไม่สงสัย”

หลี่กังยิ้มกริ่มเมื่อได้ยินชู้รักของตนเองนัดแนะที่โรงแรมประจำ เขารีบเดินออกจากห้องทำงานทันทีเมื่อได้เห็นสายตาเร่าร้อนพอกันของหวังเหม่ยฉี!!!


เจสสิก้าที่แอบฟังทั้งคู่คุยกันอยู่รีบวิ่งหลบทันที เมื่อได้ยินแม่ของตนเองนัดแนะกับชู้รัก หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อแม่ของเธอไม่ได้ยุติความสัมพันธ์อันน่าอายกับคนสนิทของตัวเองอย่างที่เคยได้รับปากกับเธอไว้เลย หญิงสาวรู้สึกเบื่อหน่ายที่จะอยู่ในบ้านที่ไร้ความรักและปัญหามากมาย จึงยกโทรศัพท์ขึ้นมากดหาแฟนหนุ่ม นัดแนะให้ออกไปพบกันที่อเวนิว ออฟ สตาร์2


นอร์แมนเฉิน สารวัตรหนุ่มรูปงามยิ้มให้แฟนสาวที่เห็นเธอเดินมาแต่ไกล เขาแปลกใจมากเมื่อเธอโทรนัดให้ออกมารอในที่ๆ คนพลุกพล่านแบบนี้ และยิ่งแปลกใจมากขึ้นเมื่อสีหน้าของเธอไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

“มานานรึยังคะ?” เจสสิก้าทักแฟนหนุ่มของตนเองเมื่อเดินมาถึง

“เพิ่งมาจ๊ะ เป็นอะไรรึเปล่าหน้าตาดูไม่ค่อยดีเลย?” นอร์แมนถามแฟนสาว เพราะสังเกตุได้ว่าเธอทักเขาแล้วก็เอาแต่มองทะเลข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายเหมือนมีเรื่องทุกข์ใจ

“ฉันแค่เบื่อๆ ไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว ตอนนี้บ้านแทบจะไม่เป็นบ้านแล้ว มันมีแต่เรื่องวุ่นวายเต็มไปหมด” เจสสิก้าเหมือนเปรยออกมา หญิงสาวตกใจมากเมื่อรู้ว่าแม่ของตัวเองกับคนสนิทแอบทำเรื่องเลวร้าย และแดนนี่น้องชายเจ้าปัญหาของเธอก็ยังสมรู้ร่วมคิดด้วยอีก

“เล่าให้ผมฟังก็ได้นะ เผื่อว่ามันจะทำให้คุณสบายใจขึ้นมาได้บ้าง เจสซี่” นอร์แมนเฉินนายตำรวจหนุ่มผลงานดีเยี่ยมถามแฟนสาวไฮโซ ที่เมื่อก่อนแทบจะทะเลาะกันทุกเวลาที่พบหน้าเพราะความเป็นลูกคุณหนูตระกูลดังของเธอ แต่วันหนึ่งเขาพบว่าเธอเมามายด้วยความทุกข์ใจเพราะน้องชายแอบขโมยหุ้นของตัวเองไปขาย ความเมาและน้ำตาของเธอในวันนั้นจึงทำให้ทั้งคู่เริ่มคุยกัน สนิทกันมากขึ้นจนตกลงที่จะคบหากันในฐานะคนรัก

เจสสิก้ากำลังจะขยับปากพูดออกไปแต่ก็ไม่สามารถจะทำได้เพราะเรื่องในครอบครัวของตนเองมันเริ่มร้ายแรงขึ้นทุกวันและยังผิดกฎหมายอีกด้วย ความที่แฟนหนุ่มของเธอเองก็เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎ์ประวัติดี ถ้าเขารู้เรื่องเข้าคงไม่ปล่อยให้ครอบครัวของเธอได้ทำเรื่องเหล่านั้นต่อไปอีกแน่

“ฉันแอบรู้มาว่าแม่ของฉันแอบมีสัมพันธ์กับผู้ชายคนหนึ่ง มันทำให้ฉันไม่สบายใจเอามากๆ” เจสสิก้าบอกแค่ผิวเผินเท่านั้น
นอร์แมนหัวเราะน้อยๆ พร้อมกับลูบแผ่นหลังแฟนสาว “เจสซี่ มันเป็นเรื่องธรรมดาจะตายไป แม่คุณท่านยังดูสาวอยู่ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีใครมาติดพันบ้าง เรื่องแค่นี้ไม่น่าต้องซีเรียสนี่จ๊ะ”

“แต่แม่ไม่เปิดเผย แอบลักกินขโมยกิน!” เจสสิก้ามีออกมาอย่างโกรธเคือง

“ผมเข้าใจท่านนะ เพราะว่าท่านอยู่ในฐานะที่สูงจนคนในสังคมมองด้วยความคาดหวัง ท่านเองก็ครองตัวเป็นโสดมาตั้งแต่คุณพ่อของคุณเสียแล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องแบบนี้ท่านไม่กล้าที่จะเปิดเผยออกมาหรอก คุณเองก็ควรเข้าใจท่านในจุดนี้นะ”

เจสสิก้าถอนใจออกมาหนักๆ เมื่อสิ่งที่แฟนหนุ่มพูดออกมามันก็จริงอยู่หรอก แต่นั่นเป็นเพราะเขายังไม่รู้เรื่องทั้งหมดต่างหากว่าแม่ของเธอคบชู้กับคนรับใช้คนสนิทของตัวเองและยังร่วมมือกันทำชั่วอีกด้วย เรื่องที่คิดจะจัดการกับคังเจียลี่นั้น เธอเองก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งด้วยอยู่แล้ว เพราะคิดว่าเป็นการชิงไหวชิงพริบกันในเชิงธุรกิจทั่วไป ไม่ใช่ถึงกับเลือดตกยางออกถึงชีวิตแบบนี้ “ช่างเถอะค่ะ ที่คุณพูดก็ถูกเหมือนกัน” หญิงสาวตัดปัญหาและเงียบลง เมื่อด้านหน้าของสายตากำลังเปิดการแสดงซิมโฟนี่ ออฟ ไลท์อยู่

...เป็นการแสดงแสงสีเสียงที่ชาวฮ่องกงที่อาศัยอยู่ริมทะเลทั้งสองฝั่งทั้งฝั่งเกาลูนและฝั่งฮ่องกงร่วมกันประดับประดาไฟตามตึกอาคารของตนเอง เพื่อจะเปิดแสดงให้นักท่องเที่ยวที่มาฮ่องกงได้ดูฟรีทุกวันในตอนสองทุ่ม

“สิบห้านาทีนี้ผมเดาว่าคงเป็นเวลาที่ชาวฮ่องกงเราใช้ไฟฟ้ามากที่สุด” นอร์แมนบอกกับแฟนสาวเมื่อการแสดงซิมโฟนี่ ออฟ ไลท์จบลงภายในเวลาสิบห้านาทีไม่ขาดไม่เกิน “กินข้าวรึยัง?”

“ไปสิคะ หิวแล้วเหมือนกัน” เจสสิก้าหันมาบอกพร้อมกับเดินเคียงคู่กันไป “แล้วทำไมวันนี้เลิกงานเร็วจัง??”

“ตั้งแต่ผมปิดคดียาเสพติดของเหวินเฉียงได้ก็เลิกงานเร็วประจำนั่นแหละ แต่วันนี้ญาติผู้พี่ของคุณเล่นเอาผมมึนอยู่เหมือนกัน” นอร์แมนบอกและยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเจ้าพ่อหนุ่มอยู่ดี

“คุณเดร็กน่ะเหรอคะ? ทำไมเหรอ??”

“ตอนแรกเขามาปรึกษากับผมเรื่องคดีของคุณคังกับคุณนายคังที่เสียไปตั้งแต่สิบแปดปีที่แล้ว เพราะมีเบาะแสชิ้นใหม่ซึ่งผมก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร เพราะเขาบอกว่าขอตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อนถึงจะมาขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นมา วันนี้ผมนึกขึ้นได้ก็เลยโทรกลับไปถามเขาว่าเรื่องคืบหน้าถึงไหนแล้ว?? แต่เขากลับบอกผมเสียงนิ่งมาก ว่าไม่อยากจะขุดคุ้ยเรื่องที่จบไปแล้วขึ้นมาอีก คุณว่ามันเป็นไปได้เหรอ??” นอร์แมนก้มมองแฟนสาวเหมือนขอความคิดเห็น

“การตายของคุณน้าเหม่ยเฟิ่งกับน้าเขยน่ะเหรอคะ?” เจสสิก้าครางออกมาเบาๆ พร้อมกับความรู้สึกใจหายขึ้นมาทันที ลางสังหรณ์เหมือนกำลังจะเตือนให้รู้ว่าแม่ของตังเองและชู้รักเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้!? “อะ...เอ่อ คุณเดร็กคงงานยุ่งมั้ง เลยไม่อยากเก็บเรื่องไม่สบายใจมาคิด”

“แต่ผมว่าไม่นะ ถ้าเขาจะปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปคงปล่อยไปนานแล้ว ถ้าคิดมาจนถึงตอนนี้ก็ไม่น่าจะล้มเลิกไปง่ายๆ แบบนี้ มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่!!” นอร์แมนสันนิษฐาน แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะถ้าการตายของทั้งคู่เกิดจากการฆาตกรรมแล้ว ไม่นานเขาก็ต้องรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน เพราะยังไงซะคังเจียลี่ก็ต้องมาขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่อยู่แล้ว

รุ่งเช้าหลังจากที่คังเจียลี่แวะรับแฟนสาวที่คฤหาสน์สกุลโจวแล้วทั้งคู่ก็เดินทางมาที่ตรวจไซด์งานทุกเช้าวันจันทร์ตามปกติ ตอนแรกคังเจียลี่กะว่าจะไปส่งพิมพ์ชนกที่บริษัทก่อนแล้วค่อยไปที่ไซด์งานก่อสร้าง แต่แฟนสาวบอกว่าอยากไปดูด้วยและเหตุผลอีกร้อยแปดที่เธอว่ามา ส่วนเขานึกในใจว่ามีเหตุผลเดียวก็คือเขาอยากอยู่กับเธอตลอดเวลาเท่านั้นเอง!! รถจึงมุ่งหน้าไปที่ไซด์งานก่อสร้างโดยไม่ต้องเสียเวลาแวะที่ไหนก่อน

เมื่อรถคันยาวของคังเจียลี่เข้ามาจอดอยู่หน้าไซด์งานก่อสร้างแล้วชายหนุ่มรับหมวกนิรภัยสวมให้ตนเอง แล้วหยิบอีกใบมาสวมให้แฟนสาว “แพมเดินอยู่แถวๆ นี้นะจ๊ะ ผมจะขึ้นไปดูข้างบนสักหน่อย” คังเจียลี่บอกกับพิมพ์ชนกและหันมาสั่งให้บอดี้การ์ดอีกคนให้อยู่เป็นเพื่อนเธอด้วย

วิศวกรรีบเดินเข้ามาหาเมื่อมองเห็นท่านประธานหนุ่มเดินขึ้นมาตลอดความคืบหน้าของการทลายตึกหลังเก่า พร้อมกับเสียงเรียก คุณเดร็กบ้าง ท่านครับบ้างของพนักงานหลายคนตามแต่ที่ตนเองถนัด

ประธานหนุ่มก้าวเข้าไปในลิตฟ์พร้อมด้วยเจฟ วิศวกรและหัวหน้าคนงานรวมทั้งหมดสี่คน และลิฟต์หยุดที่ชั้นสี่โดยไม่มีเหตุขัดข้องอันใดเกิดขึ้น

“เร็วดีเหมือนกันนี่” คังเจียลี่พูดขึ้นเมื่อเห็นตึกที่เคยสูงหลายชั้นพังลงมาจนเหลือแค่สี่ชั้นแล้ว และไม่รู้ตัวว่ากำลังเป็นที่จับตามองของใครบางคนอยู่!

“ครับท่าน ถ้าไม่เกิดเรื่องร้องเรียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราคงจะทลายตึกนี่จบลงแล้วครับ ผมเลยให้บริษัทรับซื้อเศษปูนเก่าเข้ามาขนย้ายตอนกลางคืน ทำให้เราชดเชยเวลาที่ช้าลงจากการทุบตึกได้มากอยู่เหมือนกันครับท่าน” วิศวกรรายงาน “และคาดว่าจะเคลียร์อีกสี่ชั้นที่เหลือให้จบภายในหนึ่งอาทิตย์ครับท่าน”

“อืม” คังเจียลี่พยักหน้ารับ “ความจริงแล้วถ้าเราเคลียร์ให้จบได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นผลดีเท่านั้น เพราะการก่อสร้างก็จะได้เริ่มได้สักที ชาวบ้านก็จะได้ไม่ต้องเปลืองค่าเช่าบ้านไปเปล่าๆ แต่ตอนเหมือนมีคนกำลังจ้องหาเรื่องเราอยู่ เราก็เลยต้องทำทุกอย่างอย่างรอบคอบและมั่นใจว่าต้องปลอดภัยกับทุกคนมากที่สุด พวกเราก็เลยต้องพลอยเหนื่อยกันไปทุกคน”

“ท่านครับ พวกเราอยู่กับท่านมานานนัก ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา เรื่องแค่นี้ท่านไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราหรอกครับ คนพวกนั้นสักวันต้องแพ้ความดี ความจริงใจของท่านเป็นแน่ครับ” หัวหน้าคนงานที่ทำงานอยู่กับเขามาช้านานพูดอย่างเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเจ้านายของตนเอง

คังเจียลี่ตบมือที่ไหล่บึกบึนของหัวหน้าคนงานพร้อมยิ้มอย่างขอบใจ แล้วเดินลงไปชั้นล่างด้วยบันไดเพราะเขาอยากจะตรวจตราความเรียบร้อยทั่วไปด้วย


“คุณครับ! ผิดแผนแล้ว ตอนขึ้นมาชั้นบนเขาใช้ลิฟต์แต่ไม่เป็นไปตามแผนที่เราวางเอาไว้ ขากลับลงไปชั้นล่างเขาเดินลงบันไดไป แล้วจะเอายังไงต่อ” หนึ่งในคนงานก่อสร้างที่มาจากเค แลนด์แอนด์เฮาส์ส่งข่าวให้หลี่กังได้รู้ผ่านทางสายโทรศัพท์อย่างเร่งรีบ

“บัดซบเอ๊ย!! แกทำงานยังไงวะ!” หลี่กังสบถออกมา แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาระเบิดอารมณ์ เขาต้องฉวยโอกาสนี้ทำอะไรให้มันได้รับบทเรียนบ้าง!! “แกทำยังไงก็ได้ วิธีไหนก็ได้ที่ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นคนบงการ เข้าใจไหม!” หลี่กังสั่งอย่างเดือดดาลแล้ววางสายไปทันที


“ระวัง!!! ไม่... กรี๊ดดด!!!”

คังเจียลี่ตัวชาวาบเมื่อเสียงกรีดร้องที่ดังลั่นขึ้นเป็นเสียงของแฟนสาวของตัวเอง ขาแข็งแรงรีบวิ่งลงบันไดออกไปหาหญิงสาวโดยเร็ว และต้องถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นเธอยืนอยู่อย่างปลอดภัยแต่ตัวสั่นงันงก “แพม! แพมเป็นอะไรไปที่รัก!?” ชายหนุ่มปรี่เข้าไปเขย่าร่างสมส่วนที่ยังยืนนิ่งอยู่ พลางหันไปตามเสียงเอะอะโวยวายที่เกิดขึ้นด้านหลัง

“คุณเดร็กครับ ก้อนอิฐของซากตึกตกลงมาจากชั้นบนโดนคนงานของเราได้รับบาดเจ็บนอนจมกองเลือดเลยครับ” เจฟที่วิ่งเข้าไปดูเหตุการณ์แล้วกลับมารายงานเจ้านาย

“เจียลี่! แพมเห็นผู้ชายคนนั้นที่อยู่ข้างบนเป็นคนทำก้อนอิฐตกลงมา เขาใส่เสื้อสีกรมท่า” พิมพ์ชนกบอกพร้อมชี้นิ้วขึ้นไปที่ชั้นบนและบอดี้การ์ดที่อยู่เป็นเพื่อนเธอก็วิ่งเร็วราวจรวดขึ้นไปชั้นบนทันที

คังเจียลี่กอดพิมพ์ชนกไว้แน่น “เรียกรถพยาบาลรึยังเจฟ จัดการเอาคนเจ็บส่งโรงพยาบาลเร็วเข้า” สั่งการอย่างรีบร้อน

“แพมไม่เป็นไรค่ะ ไปดูคนเจ็บก่อนดีกว่า” พิมพ์ชนกบอกพร้อมกำลังจะเดินเข้าไปดูผู้หญิงคนที่เธอร้องบอกเขาไม่ทัน แต่โดนล็อกเอวเอาไว้เสียก่อน พร้อมกับหันมามองคนที่รั้งเธอไว้ส่ายหน้าให้

“มันน่ากลัวเกินไปสำหรับแพมเอาไว้เราจะตามไปดูเขาที่โรงพยาบาล เชื่อผม”

ไม่นานบอดี้การ์ดที่วิ่งไปก็จับตัวผู้ชายร่างสูงใส่เสื้อสีกรมท่าตามที่พิมพ์ชนกบอกเดินลงมาต่อหน้าคังเจียลี่ และอีกด้านก็เป็นความโกลาหลที่เอาร่างผู้ได้รับบาดเจ็บขึ้นรถพยาบาล

“จับตัวได้แล้วครับคุณเดร็ก”

“ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับท่าน มันเป็นอุบัติเหตุครับ ผมกำลังจะเจาะผนังเพื่อทุบมันลงมาแต่บังเอิญว่าก้อนเศษซากตึกที่เก็บไม่หมดมันขวางทางอยู่ ผมก็เลยเอาใส่กะบะกะว่าจะเข็นไปกองรวมกันไว้ แต่ไม่ทันมองล้อกะบะไปสะดุดกับหินก้อนใหญ่เลยทำให้ผมลื่นล้ม เศษซากตึกที่อยู่ในกะบะก็เลยร่วงกระจายตกลงมาชั้นล่างที่เห็นนี่ล่ะครับ” ชายร่างสันทัดละล่ำละลักบอกอย่างกล้าๆ กลัวๆ
คังเจียลี่จ้องตาของคนงานที่นั่งคุกเข่าตรงหน้าเขม็ง ทันใดนั้นก็ปรี่เข้ามากอดขาแกร่งของตนเองทันที

“ท่านครับ ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ ท่านอย่าแจ้งความเลยนะครับ ผมยังมีลูกมีเมียต้องดูแลอีกครับ ผมยอมรับผิดทุกอย่างครับท่าน ฮือๆๆ” ทั้งพูดทั้งร่ำไห้ออกมา

“ฉันยังตอบไม่ได้นะว่าจะเชื่อที่นายพูดรึเปล่า ส่วนเรื่องแจ้งความก็คงต้องถามกับญาติคนเจ็บดู” คังเจียลี่บอกแล้วหันไปสั่งกับหัวหน้าคนงานที่ยืนอยู่อีกครั้งหนึ่ง “ส่งตัวเขาให้คนของเราสอบสวน ฉันต้องตามไปดูคนเจ็บที่โรงพยาบาลก่อน”

พิมพ์ชนกหันไปมองชายที่นั่งคุกเข่าอยู่ถูกพาไปขึ้รถเพื่อส่งตัวให้ฝ่านสอบสวนของบริษัทตรวจสอบประวัติและเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะถูกรั้งให้เดินขึ้นรถมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา


ชั่วโมงต่อมาคังเจียลี่และพิมพ์ชนกนั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงในที่เกิดเหตุ หญิงสาวมองชายจีนร่างกำยำคนหนึ่งที่นั่งหน้าทุกข์ใจอยู่ไม่ไกลตนเองนักเพราะภรรยาของเขาคือผู้โชคร้ายที่โดนอิฐหล่นลงมาทับจนหมอในห้องฉุกเฉินต้องส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดด่วน!!

“คุณหมอ เมียผมเป็นยังไงบ้างครับ!!??” ชายชาวจีนที่นั่งอยู่ปรี่เข้าไปถามทันที เมื่อประตูห้องผ่าตัดเปิดออก

“ใจเย็นๆ นะคะ ตอนนี้คุณหมอกำลังผ่าตัดสมองเพื่อเอาเลือดที่คั่งในสมองออกมาอยู่ คุณเป็นญาติรึเปล่าคะ?” พยาบาลอยู่ในชุดสีชมพูอ่อนทั้งตัวคลุมผม ปิดปากมิดชิดถาม

“ผมเป็นสามีของเธอครับ”

พยาบาลพยักหน้ารับ “ตอนนี้ผู้ป่วยเสียเลือดมากนะคะ เราต้องการเลือดกรุ๊ปเอบีด่วนที่สุด ถ้าคุณหรือญาติคนไหนมีก็ช่วยบริจาคให้เธอด้วยนะคะ”

“ผมเลือดกรุ๊ปโอได้ไหมครับ?” สามีคนป่วยถาม

“ผมเอง ผมมีเลือดกรุ๊ปเอบี ผมจะบริจาคเลือดให้เธอเอง” คังเจียลี่พูดโพล่งขึ้นและทุกคนหันมามองหน้าของเขา

“ดีเลยค่ะ งั้นเชิญคุณที่ชั้นสองห้องรับบริจาคโลหิตเลยนะคะ” พยาบาลบอกแล้วเดินจากไปด้วยความรีบร้อน

“ผมขอบคุณครับท่าน” ชายชาวจีนหันมาบอกกับประธานของบริษัทที่ตนเป็นลูกจ้างอยู่

“ไม่ป็นไร เลือดกรุ๊ปเอบีนี่หาได้ยากน้อยคนนักถึงจะมีเขาเรียกว่ากรุ๊ปเลือดขี้เหนียว” คังเจียลี่พูดเพื่อให้สถานะการณ์คลายความเครียดลงบ้าง “ไม่ต้องเป็นห่วงนะเรื่องค่าใข้จ่ายทั้งหมด ฉันจะเป็นคนออกให้เอง แล้วนายชื่ออะไร?”

“ผมชื่อฟู่หลงครับท่าน”

คังเจียลี่พยักหน้ารับรู้และบอกให้เจฟอยู่ตรงนี้เขาจะรีบขึ้นไปบริจาคเลือดที่ชั้นบน โดยจับมือพิมพ์ชนกเดินไปด้วยกัน


พิมพ์ชนกนั่งอมยิ้มมองแฟนหนุ่มของตัวเองอย่างชื่นชมในใจ เขากำลังให้เลือดอยู่ มือใหญ่ข้างขวาบีบลูกบอลเล็กๆ ที่พยาบาลเอามายัดใส่มือให้เพื่อทำให้เลือดไหลเวียนดี อีกมือก็กุมมือของเธอไว้ไม่ยอมปล่อย

“แพมเลือดกรุ๊ปอะไรจ๊ะ?” คนนอนให้เลือดอยู่ถามเสียงนุ่มเหมือนเคย

“กรุ๊ปบีค่ะ ทำไมเหรอคะ?” พิมพ์ชนกถามพร้อมมองหน้าที่เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

“พ่อเอบี แม่บี ลูกของเราก็มีโอกาสเป็นได้ทุกกรุ๊ปยกเว้นกรุ๊ปโอ จริงไหมแพม!?”

พิมพ์ชนกหน้าร้อนซู่ คนบ้าอะไรอย่างนี้! ไม่ทันไรก็ไปคิดถึงเรื่องลูกเลย มันก็จริงหรอกแต่มันกลายเป็นติดอ่างไปซะแล้วเพราะไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี เมื่อไม่ได้คำตอบคนบ้ายังหันหน้าไปถามพยาบาลที่ยืนจัดแจงของอยู่ข้างๆ ซะเลย

“ที่ผมพูดถูกรึเปล่าครับคุณพยาบาล”

พยาบาลหันมายิ้มให้กับความน่ารักของหนุ่มสาวทั้งคู่ เพราะได้เห็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ของเจ้าพ่อคอนสตรักชั่นหนุ่มเนื้อหอมและแฟนสาวชาวไทยอยู่บ่อยๆ “ค่ะ ถ้าพ่อเลือดกรุ๊ปเอบี แม่มีเลือดกรุ๊ปบี ลูกจะมีโอกาสมีกรุ๊ปเลือดได้อยู่สามหมู่คือเอ บี และเอบีค่ะ” ตอบจบแล้วก็เดินจากไปเพราะดูออกว่าแฟนสาวที่นั่งอยู่ข้างเตียงหน้าแดงเป็นลูกตำลึงแล้ว

คังเจียลี่หันมาหัวเราะร่วนถูกใจมากที่เห็นแฟนสาวอายอีกแล้ว

“พอเถอะค่ะ คุณน่ะทำเป็นเล่นไปทุกอย่าง แพมยิ่งสงสารฟู่หลงอยู่ด้วยไม่รู้ว่าภรรยาเขาจะเป็นยังไงบ้าง มีลูกรึเปล่าก็ไม่รู้”
คังเจียลี่แนบฝ่ามือของตนเองเข้ากับแก้มนุ่มของพิมพ์ชนกที่ทำหน้าวิตกอยู่ เธอมีจิตใจดีเป็นห่วงเป็นใยคนรอบข้าง “แพมจ๋า อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดนะ เราแค่ต้องตั้งสติรับมือกับสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเราให้ดีเท่านั้นเอง ถึงผมจะอยากช่วยเขาแค่ไหนมันก็ต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเขาด้วย”

“แล้วคุณคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุรึเปล่าคะ?”

มือใหญ่เลื่อนขึ้นไปคลึงหัวคิ้วได้รูปให้คลายออกจากกัน “อย่าคิดมาก เดี๋ยวเราคงได้รู้กันหลังจากที่หมอนั่นถูกสอบอย่างหนัก” คังเจียลี่เองก็อยากรู้พอๆ กับเธอเขาสังเกตุเห็นพิรุธจากแววตาของชายคนนั้นจึงให้ส่งตัวเขากับทีมบอร์ดี้การ์ดที่ฝึกฝนมาอย่างดีเกี่ยวกับการซักถาม สอบสวนและจับเท็จ!!

“ก็มันอดคิดไม่ได้ แพมกำลังสงสัยว่าทำไมเขาไม่ลากกะบะเข้าไปด้านใน เหมือนเขาตั้งใจเทมันลงมาข้างล่าง แต่ถ้าเขาตั้งใจทำมันจริงก็นับว่าใจเด็ดมากทีเดียวที่ไม่หนี” พิมพ์ชนกหยุดพูดลงเมื่อพยาบาลเดินเข้ามาบอกว่าปริมาณเลือดที่ได้เต็มถุงแล้วและจัดการถอดเข็มออกจากแขนแกร่ง ความสงสัยทั้งหมดจึงต้องเก็บไว้เสียก่อน

คังเจียลี่และพิมพ์ชนกเดินกลับลงมาชั้นล่างหน้าห้องผ่าตัดอีกครั้ง ไม่นานหมอก็เข้ามาบอกว่าสามารถเอาเลือดที่คั่งอยู่ในสมองออกมาได้แล้ว แต่ร่างกายยังอ่อนแอเนื่องจากเสียเลือดมากแม้ว่าร่างกายของผู้ป่วยจะพ้นจากขีดอันตรายแล้ว ยังต้องรอให้ผู้ป่วยฟื้นขึ้นมาและตรวจเกี่ยวกับระบบสมองและความทรงจำอีกครั้งหนึ่ง เจ้าพ่อหนุ่มจึงสั่งการให้เจฟดูแลเรื่องการรักษาเป็นอย่างดี ส่วนพิมพ์ชนกก็หันไปคุยกับฟู่หลงบอกว่าพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมใหม่อีกครั้งก่อนที่ทั้งคู่จะกลับออกมาจากโรงพยาบาล


บ่ายวันเดียวกันคังหย่งเหอเดินเข้ามาในโรงพยาบาลหลังจากที่ได้รับรายงานเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในไซด์งานก่อสร้าง เขาเดินทางถึงข้างเตียงผู้ป่วยและพบว่ามีคนงานจากไซด์งานก่อสร้างยืนรอบเตียงอยู่ราวสามสี่คน ทุกคนหันมาก้มหัวให้ท่านรองประธานคังหย่งเหออย่างนอนน้อม

“หมอว่ายังไงบ้าง?” คังหย่งเหอเอ่ยปากถามชายคนที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงคาดว่าจะเป็นสามีของเธอ

ฟู่หลงยืนขึ้นแล้วตอบอย่างนอบน้อม “หมอบอกว่าเอาเลือดที่คั่งในสมองออกมาแล้วครับ และก็พ้นขีดอันตรายแล้ว เหลือแค่รอให้ฟื้นเธออ่อนแอเพราะเสียเลือดมาก ที่ยังนับเป็นความกรุณาของท่านประธานนะครับที่อุตส่าห์บริจาคเลือดให้ ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าจะรอดมารึเปล่า เห็นหมอบอกว่าเป็นกรุ๊ปเลือดที่หายากน่ะครับ ท่านยังเป็นคนออกค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมดอีกครับ”

คังหย่งเหอพยักหน้ารับ “อืม ขาดเหลืออะไรก็บอกกับหัวหน้าของนายแล้วกัน ส่วนคนที่ทำอิฐตกลงมานายจะแจ้งความเอาเรื่องไหม?”

“เอ่อ... ผมแล้วแต่หัวหน้าครับ” ฟู่หลงบอกเพราะหัวหน้างานยืนอยู่ข้างๆ ด้วย

“ท่านประธานบอกว่าให้คนของท่านสอบสวนก่อน ถ้าเป็นอุบัติเหตุก็จะพิจารณาถึงโทษที่เขาประมาทครับ แต่ถ้าเป็นการจงใจหรือมีคนบงการอยู่เบื้องหลังท่านจะแจ้งความครับ” หัวหน้างานของฟู่หลงรายงานท่านรองประธานคังหย่งเหอ

คังหย่งเหอตบมือลงที่บ่าฟู่หลงเชิงให้กำลังใจแล้วกำลังจะหมุนตัวกลับออกไปจากห้องแต่ก็หันกลับมาถามฟู่หลงอีกครั้ง “เมียนายมีเลือดกรุ๊ปอะไร?”

“เลือดกรุ๊ปเอบีครับ ท่านประธานก็มีเลือดกรุ๊ปเอบีท่านเลยบริจาคให้ครับ” ฟู่หลงตอบพร้อมมองท่านรองประธานที่เดินออกไปจากห้อง


คังหย่งเหอเดินช้าลงเรื่อยๆ จนคนสนิทที่เดินตามมาต้องเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายอย่างสงสัย “ไทเกอร์ นายไปรอฉันที่รถนะ ฉันมีธุระนิดหน่อยเดี๋ยวจะตามไป”

ไทเกอร์มองเจ้านายที่เดินจากไปด้วยความรีบร้อนอย่างแปลกใจ ปกติท่านต้องให้เขาตามไปด้วยทุกที่แต่ทำไมวันนี้เป็นอะไรไปนะ บอดี้การ์ดหนุ่มคิดแต่ก็ยอมเดินไปรอที่รถตามคำสั่งของเจ้านาย


“ผมอยากทราบว่าถ้าพ่อมีเลือดกรุ๊ปโอ แล้วแม่มีเลือดกรุ๊ปบี ลูกที่เกิดมาจะมีเลือดกรุ๊ปเอบีรึเปล่าครับ?” คังหย่งเหอถามเข้าเรื่องที่ตนเองเพิ่งได้รู้และเกิดความสงสัยขึ้นมาในทันทีที่นั่งอยู่ในห้องกับหมอตามลำพัง!!

คุณหมอสาวส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้นะคะ ถ้าพ่อมีเลือดกรุ๊ปโอ แม่มีเลือดกรุ๊ปบี ลูกที่เกิดมาต้องมีหมู่เลือดเป็นโอและบีเท่านั้นค่ะ”
“แล้วถ้าแม่กรุ๊ปบี ลูกชายกรุ๊ปเอบี พ่อจะมีเลือดกรุ๊ปอะไรครับ??” คังหย่งเหอถามอย่างร้อนใจ

คุณหมอสาวนั่งเขียนลงในกระดาษเศษ ไม่นานก็เงยหน้าขึ้นมาตอบคำถาม “พ่อมีโอกาสมีหมู่เลือดได้สองหมู่คือหมู่เอและเอบีค่ะ”
คังหย่งเหอตกใจกับคำตอบของคุณหมอสาวและย้ำถามอีกครั้งหนึ่ง “คุณหมอแน่ใจเหรอครับ?”

“ค่ะ แต่ถ้าคุณยังไม่มั่นใจก็สามารถตรวจดีเอ็นเอนะคะ ถ้าคุณอยากรู้ให้แน่ชัดว่าใครมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดยังไงดิฉันแนะนำให้ตรวจดีเอ็นเอค่ะ” คุณหมอสาวแนะนำเพราะเห็นว่าชายตรงหน้ามีสีหน้าตกใจจนซีดขาวผิดปกติ

“แล้วถ้าไม่มีเลือดล่ะครับจะตรวจได้ไหม?”

“ได้ค่ะ เอาเป็นแปรงสีฟันของทั้งคู่ก็ได้ค่ะ สามารถใช้แทนเลือดได้เหมือนกันประมาณสามถึงสี่วันก็จะทราบผลแล้วค่ะ”
“แล้วข้อมูลจะเป็นความลับไหมครับ” คังหย่งเหอถาม

“สบายใจได้ค่ะ ประวัติของคนไข้ทุกอย่างทางโรงพยาบาลจะเก็บเป็นความรับเสมอ เว้นเสียแต่ว่าการเปิดเผยนั้นจะได้รับคำยินยอมจากคนไข้ก่อนค่ะ”

คังหย่งเหอกล่าวขอบคุณและเดินออกจากห้องไป เขาเดินออกมาราวกับถูกสาปให้ไม่รับรู้ทุกสิ่งรอบตัว ยกเว้นความคิดสับสนที่วนเวียนในหัว คังหย่งเหอเดินขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้าโรงพยาบาลแล้วสั่งการยกเลิกนัดทุกอย่างของวันนี้ เขาบอกให้คนขับรถมุ่งหน้าตรงไปยังสุสานสกุลคัง และยืนหลับตาอยู่ต่อหน้าหลุมฝังศพของพี่ชายและพี่สะใภ้อยู่นานเป็นชั่วโมง ก่อนที่จะกลับมาขึ้นรถกลับ


หลี่กังเดินหัวเสียเข้ามาในบ้านสกุลหวังหลังจากที่ได้รับรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าและเมื่อสักครู่เพิ่งจะได้รับสายว่าลิฟต์เพิ่งจะขาดลงมาเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วนี้เอง และไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเนื่องจากเลิกงานกันหมดแล้ว!!

“ไง? มารายงานผลความชั่วที่ร่วมกันทำให้แม่ฟังงั้นสิ” เจสสิก้ากดรีโมตปิดทีวีที่กำลังรายงานข่าวเกี่ยวกับลิฟต์ขนของก่อสร้างของเค ไพรเวทฯ ตกลงมา!!

“คุณหนูเจสซี่!” หลี่กังตกใจเมื่อได้ยินเจสสิก้าพูดเหมือนเธอรู้ว่าเขาเป็นคนวางแผนในครั้งนี้ “เอ่อ... คุณหนูพูดเรื่องอะไรครับ”
เจสสิก้าเดินมาขวางหน้าหลี่กังและจ้องตาถามอย่างรู้ทันความชั่ว “หึ!! แกน่ะเหรอหลี่กัง ไม่รู้ว่าฉันพูดเรื่องอะไร แกรู้อยู่แก่ใจตัวเองว่าทั้งคนงานที่นอนอยู่ในโรงพยาบาลเมื่อเช้า และยังจะลิฟต์ที่เพิ่งตกลงมามันเป็นแผนชั่วของแกที่วางไว้”

คุณนายหวังเหม่ยฉีรีบเร่งฝีเท้าเดินลงมาจากบันไดเมื่อได้ยินเสียงลูกสาวตวาดแว๊ดๆ อยู่ข้างล่าง “อะไรกันเจสซี่ เอะอะเสียงดังลั่นบ้าน”

“เสียงหนูดังลั่นบ้านมันไม่เท่าไหร่หรอกแม่ แต่ความชั่วที่แม่กับไอ้หลี่กังทำนี่อีกหน่อยมันจะดังลั่นทั่วฮ่องกงแล้ว ถึงตอนนั้นคงได้เข้าไปนอนในตารางกันทุกคน” เจสสิก้าหันกลับมาว่าใส่หน้าแม่ของตัวเองที่ยืนตัวสั่นกำมือแน่นอยู่

“ไม่มีอะไรหรอกครับคุณนาย คุณหนูเจสซี่เธออาจจะไปฟังใครพูดจาใส่ร้ายคุณนายมา เข้าไปในห้องทำงานเถอะครับ” หลี่กังบอกเพราะไม่อยากให้เรื่องบานปลาย
“แหมๆๆ คุณนายเหรอ? แกน่าจะเรียกแม่ฉันว่าชู้รักเหมาะกว่านะหลี่กัง ส่วนแกก็เป็นไอ้แมงดาที่ลักกินขโมยกิน แกเป็นเด็กรับใช้ของพ่อฉันแกเดินผ่านหน้ารูปท่านทุกวันแกไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยเหรอ แถมยังร่วมมือกันทำชั่ว สักวันกรรมจะตามสนองแก” สิ้นคำของเจสสิก้าหวังเหม่ยฉีกระสะบักฝ่ามือเข้าที่ใบหน้าของลูกสาวอย่างแรง

เพี๊ยะ!!!

“แม่จะตบหนูอีกสักกี่ร้อยครั้งหนูก็ไม่ได้รู้สึกผิดอยู่ดี คนที่รู้สึกผิดต้องเป็นแม่กับไอ้ชู้รักของแม่มากกว่า!!” เจสสิก้าหันกลับมาขึ้นเสียงใส่แม่ของตัวเองอย่างรวดเร็ว

“เจสซี่!!!” หวังเหม่ยฉีเงื้อมือกำลังจะตบหน้าเจสสิก้าอีกครั้งแต่หลี่เข้ามาคว้ามือของเธอไว้เสียก่อน

“ช่างเถอะครับ คุณหนูคงโกรธอยู่ เอาไว้ให้ใจเย็นแล้วค่อยพูดกันดีกว่า” หลี่กังบอกทั้งใช้สายตาของร้องให้หวังเหม่ยฉีสงบอารมณ์ลงบ้าง

“แม่อย่าคิดนะว่าคนอื่นเขาจะไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของแม่ แล้วการตายของน้าเหม่ยเฟิ่งน่ะ คุณเดร็กเขาก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ส่วนหนูเองภาวนาให้มันเป็นอุบัติเหตุ เพราะหนูคงรับไม่ได้ที่จะมีแม่เป็นฆาตกรที่ฆ่าได้แม้กระทั่งน้องของตัวเอง" เจสสิก้าพูดแล้วกำลังจะวิ่งหนีขึ้นห้องของตัวเองแต่หันกลับมาเจอแดนนี่น้องชายของตัวเองเสียก่อน!!

“เป็นอะไรกันอีกล่ะ เสียงดังไปถึงโรงจอดรถโน่น” หนุ่มตี๋มาดคุณชายเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเดินเข้ามาในบ้าน แล้วก็ยิ้มอารมณ์ดีเมื่อเห็นหลี่กังกับแม่ของตัวเองอยู่พร้อมหน้ากันเชียว “หลี่กังแกทำดีมากนะ เสียอย่างเดียวคนที่นอนอยู่โรงพยาบาลนั่นน่าจะเป็นไอ้เดร็ก หรือไม่มันน่าจะอยู่ในลิฟต์จะได้ตายๆ ไปให้มันรู้แล้วรู้รอด!”

เจสสิก้าทั้งอยากจะหัวเราะและร้องไห้ออกมาพร้อมๆ กัน “เฮอะ!! ในบ้านหลังนี้ทำไมมีแต่คนทำความผิดแล้วยังไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอีก เห็นคุกเห็นตารางเป็นเป็นสรวงสวรรค์หรือไงกัน ถึงได้ชื่นชมกันแบบนี้!! แกก็เลวไม่เลิกจริงๆ นะแดนนี่”

“เฮ้ย! เธอไม่มีสิทธิ์จะมาว่าให้ฉันแบบนี้นะเจสซี่! ที่พวกเราทำอยู่นี่ก็เพื่อความอยู่รอดเพื่อที่เราจะยืนในสังคมชั้นสูงได้อย่างไม่อายใคร ไม่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของไอ้เดร็กไปตลอดไม่ดีหรือไง? ยัยโง่เอ๊ย!!” แดนนี่หวังด่าพี่สาว

“หึ นายรู้อะไรไหมแดนนี่ ถ้านายเลิกติดพนันม้าแข่งวันไหน วันนั้นแหละที่ฉันจะอยู่ในสังคมได้อย่างไม่อายใครเขา ขโมยเอาหุ้นฉันไปขายแล้วยังเอาเงินไปถลุงเล่นหุ้น เล่นม้าจนเราทุกคนหมดเนื้อหมดตัวไปเป็นเบี้ยล่างของไอ้เดร็กแบบที่แกว่า นั่นมันก็เพราะความฉลาดของตัวเองสินะ”

“โธ่เว้ย!! จะเอาเรื่องนั้นมาพูดอีกทำไม”

“หยุดทั้งคู่เลย อยากเห็นฉันอกแตกตายหรือไง??” หวังเหม่ยฉีกรีดร้องขึ้น ทำให้สองพี่น้องเงียบแต่กลับยังจ้องกันด้วยความโกรธเคืองอยู่!!

เจสสิก้าเดินขึ้นบันไดเพื่อจะหนีจากคนเหล่านี้และยังหันกลับมาพูดกับแม่ของตนเอง “ถ้าแม่ยังไม่เชื่อที่หนูพูดล่ะก็ หนูจะบอกแดนนี่” หญิงสาวพูดเพียงเท่านั้น แล้วก็วิ่งขึ้นห้องของตัวเองไปไม่หันกลับมา แม้จะได้ยินเสียงเรียกตามของแดนนี่ก็ตาม!!!

“เจสซี่พูดเรื่องอะไรของเขาน่ะแม่? มีเรื่องอะไรที่ผมไม่รู้รึเปล่า??” แดนนี่หวังหันมามองแม่ของตัวเองและหลี่กังสลับกันไปมา

“เอ่อ... คุณหนูเจสซี่เธอบังเอิญมาได้ยินว่าผมกับคุณนายปรึกษากันเรื่องกำจัดไอ้เดร็กน่ะครับ เธอเป็นห่วงกลัวว่าถ้ามีใครรู้แล้วเราจะเสี่ยงคุกเสี่ยงตาราง เธอแค่เป็นห่วงน่ะครับ” หลี่กังตอบออกไป

“ที่แท้ก็เรื่องแค่นี้เอง ทำเป็นโวยวายไปได้ สงสัยคงจะติดนิสัยแปดแหกกลัวคุกมาจากไอ้นอร์แมนเฉิน” พูดจบแดนนี่ก็เดินผิวปากขึ้นห้องของตัวเองไปเหมือนกัน...

“เรื่องคุณเหม่ยเฟิ่ง...” หลี่กังชะงักเมื่อหวังเหม่ยฉียกมือขึ้นห้าม แล้วเดินไปทรุดนั่งลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยใจ

“พอก่อนเถอะอากัง วันนี้ฉันปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว เรื่องอื่นเอาไว้พรุ่งนี้เถอะเธอกลับไปก่อนก็แล้วกัน”

หลี่กังจำต้องเดินออกมาเมื่อเห็นท่าทางเหนื่อยอ่อนของผู้หญิงที่ตนเองตกเป็นทาสมาตลอดชีวิต ใจหนึ่งอยากเข้าไปปลอบประโลม แต่สถานที่ก็ไม่เอื้ออำนวย จึงได้แต่ทำตามในสิ่งที่เธอร้องขอ



ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 พ.ค. 2558, 21:52:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 พ.ค. 2558, 21:52:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1127





   ตอนที่ 8 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account