เมียบำเรอเจ้าพ่อ
ไม่มีสักครั้งที่ ‘คังเจียลี่’ เจ้าพ่อวงการธุรกิจก่อสร้างแห่งเกาะฮ่องกง
จะยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับบรรดาคู่ขาให้ขึ้นมาอยู่ในฐานะคนรัก
หากเมื่อได้พบกับ ‘พิมพ์ชนก’ น้องสาวภรรยาของเพื่อนสนิท คนที่เขาเคยหมายตาไว้เข้าอีกครั้ง
เจ้าพ่อหนุ่มก็ไม่รีรอที่จะกระชากเอาตัวหญิงสาวสุดเฮี้ยวมาไว้ใกล้ๆในฐานะเลขานุการส่วนตัว
แล้วเอ่ยปากขอแกมบังคับให้เธอยอมรับตำแหน่งคนรักเจ้าพ่อโดยไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง
แต่ถึงจะรู้ทั้งรู้ว่าผู้ชายอย่างคังเจียลี่คือแบดบอยตัวร้ายที่ผู้หญิงทุกคนไม่ควรอยู่ใกล้ชิด...
มิหนำซ้ำรอบตัวเขายังมีแต่ปมปริศนาฆาตกรรมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและอันตราย
หากพิมพ์ชนกก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเขาเป็นผู้ชายที่น่าหวั่นไหวที่สุดในโลก
และการได้อยู่ใกล้ชิดกับชายหนุ่มก็ทำให้หัวใจของสาวน้อยสั่นสะเทือน ไร้แรงต้านทาน
ทว่าความลับสุดยอดที่พิมพ์ชนกได้ล่วงรู้เป็นสาเหตุให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เกิดความคลางแคลง
และเมื่อมีเหตุการณ์ชวนให้หัวหมุนเข้ามาแทรก ‘เมียบำเรอเจ้าพ่อ’ อย่างเธอจึงเลือกที่จะหนีไปให้ไกล
และการจะหนีจากเจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพลอย่างเขาให้รอดพ้นได้นั้น
ก็ต้องไปในยามที่เขาบาดเจ็บดังเช่นตอนนี้ และต้องไปเดี๋ยวนี้!
จะยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับบรรดาคู่ขาให้ขึ้นมาอยู่ในฐานะคนรัก
หากเมื่อได้พบกับ ‘พิมพ์ชนก’ น้องสาวภรรยาของเพื่อนสนิท คนที่เขาเคยหมายตาไว้เข้าอีกครั้ง
เจ้าพ่อหนุ่มก็ไม่รีรอที่จะกระชากเอาตัวหญิงสาวสุดเฮี้ยวมาไว้ใกล้ๆในฐานะเลขานุการส่วนตัว
แล้วเอ่ยปากขอแกมบังคับให้เธอยอมรับตำแหน่งคนรักเจ้าพ่อโดยไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง
แต่ถึงจะรู้ทั้งรู้ว่าผู้ชายอย่างคังเจียลี่คือแบดบอยตัวร้ายที่ผู้หญิงทุกคนไม่ควรอยู่ใกล้ชิด...
มิหนำซ้ำรอบตัวเขายังมีแต่ปมปริศนาฆาตกรรมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและอันตราย
หากพิมพ์ชนกก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเขาเป็นผู้ชายที่น่าหวั่นไหวที่สุดในโลก
และการได้อยู่ใกล้ชิดกับชายหนุ่มก็ทำให้หัวใจของสาวน้อยสั่นสะเทือน ไร้แรงต้านทาน
ทว่าความลับสุดยอดที่พิมพ์ชนกได้ล่วงรู้เป็นสาเหตุให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เกิดความคลางแคลง
และเมื่อมีเหตุการณ์ชวนให้หัวหมุนเข้ามาแทรก ‘เมียบำเรอเจ้าพ่อ’ อย่างเธอจึงเลือกที่จะหนีไปให้ไกล
และการจะหนีจากเจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพลอย่างเขาให้รอดพ้นได้นั้น
ก็ต้องไปในยามที่เขาบาดเจ็บดังเช่นตอนนี้ และต้องไปเดี๋ยวนี้!
Tags: คังเจียลี่ - พิมพ์ชนก
ตอน: ตอนที่ 8 100%
เจฟกำลังรับคำสั่งเจ้านายหลังจากเมื่อสองวันที่แล้วเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นหลายอย่าง แต่ด้วยเส้นสายใหญ่โตของสกุลคังและเงินชดเชยก้อนโตให้กับผู้เดือดร้อนที่ได้รับผลกระทบเรื่องจึงเงียบลงในชั่วพริบตา
“คุณเดร็กครับ คนของเราที่ส่งไปหาเบาะแสของคนสวนส่งข่าวกลับมาแล้วนะครับว่าอาเล่ออาศัยอยู่กับหลานชายที่ไต้หวันจริงๆ เขาเปลี่ยนชื่อแซ่ด้วยครับ แต่โชคดีว่ารูปของอาเล่อที่เราเอาไปถามกับคนละแวกนั้นยืนยัน เราจึงหาที่อยู่ของเขาเจอแต่มีเรื่องน่าสงสัยคือระหว่างที่สอบถามชาวบ้านไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าชาวบ้านบอกว่าเคยมีคนมาถามถึงเขาเมื่อสองวันก่อนนี้เองนะครับ” เจฟรายงานต่ออีกครั้งหนึ่ง
“สั่งออกไปว่าต้องเป็นเราเท่านั้นที่ต้องได้ตัวคนสวนคนนั้นก่อน ไม่อย่างนั้นเราจะไปต่อไม่ได้เลย” คังเจียลี่บอกพร้อมทั้งขมวดคิ้วเขาไม่รู้ว่าเป็นพวกไหนกันแน่ที่ควานหาตัวคนๆ เดียวกับเขาอยู่
“สั่งไปแล้วครับ พวกเขามั่นใจว่าเราจะได้ตัวเขาก่อนแน่นอนครับ”
“แล้วส่งคนไปเพิ่มอีกให้สืบย้อนรอยของพวกที่ไปหาคนสวนคนนี้ว่าเป็นพวกไหนกันแน่”
เจฟรับคำแล้วจดบันทึกรวดเร็วแบบที่ไม่มองสมุดแต่กลับสบตากับเจ้านายตลอดเวลา “อ้อ... อีกเรื่องนะเจฟ สั่งให้หัวหน้าคนงานเช็คดูว่าในไซด์งานที่หว่านไจ๋มีคนงานมาจากเค แลนด์แอนด์เฮาส์กี่คน? แล้วค่อยๆ กระจายคนพวกนี้ออกไปตามไซด์งานอื่นๆ ค่อยๆ ส่งไปทีละน้อยนะ อย่าลืม!”
“ครับท่าน” เจฟรับคำแล้วเดินออกจากห้องไปทันที
คังเจียลี่หันกลับมามองแฟนสาวน้อยที่ตอนนี้นั่งอยู่หน้าจอแต่มือของเธอหยุดทำงานเพราะกำลังมองหน้าเขาอย่างสงสัยอยู่ “ว่างไงจ๊ะ คนสวย?! อยากรู้อะไรอีกล่ะคราวนี้?”
“มีเงินนี่ดีนะคะ เหมือนกับจะเนรมิตทุกอย่างได้เลย แพมล่ะเหลือเชื่อเลยที่คุณจ่ายเงินมากมายให้กับคนเหล่านั้นในคราวเดียวกัน เจฟก็ทำงานราวกับว่าได้เงินเดือนเป็นล้าน แล้วคุณเคยนับบ้างไหมค่ะว่าตัวเองจ้างบอดี้การ์ดกี่คนแล้ว??”
“เหมือนว่าแพมกำลังประชดผมว่าใช้เงินฟาดหัวคนอื่นอยู่!?” คังเจียลี่ไม่ตอบแต่ถามกลับบ้าง
หึ! ก็ใช่น่ะสิ!! หญิงสาวคิดในใจ “ไม่นี่คะ เพราะเจตนาเพื่อจะบรรเทาความเดือดร้อนให้พวกเขานี่” ปากกลับตอบไปอีกอย่างแต่ยังอดแขวะไม่ได้อยู่ดี
คังเจียลี่เบ้ปากพร้อมโคลงศีรษะตัวเองอย่างยั่วเย้ากวนประสาทแฟนสาว “เขาเรียกว่าคนใช้เงินเป็นต่างหาก ตอนนี้เงินเป็นปัจจัยหลักอย่างแรกในการดำรงชีวิตไปแล้ว หรือแพมจะเถียงว่าไม่จริง”
“ก็ไม่ผิดหรอกค่ะ แพมไม่คิดว่าคนอื่นจะผิดหากเขาคิดไม่เหมือนเรา”
คังเจียลี่เงยหน้าขึ้นหัวเราะ ลุกขึ้นสาวท้าวเร็วๆ เข้ามาถึงตัวเธอในชั่วพริบตา “บังเอิญว่าผมไม่ใช่คนอื่นที่ไหน แต่เป็นแฟนแพมต่างหาก วันนี้เป็นอะไรรึเปล่า ดูเหมือนแพมหมั่นไส้ผมยังไงไม่รู้” ถามจบก็เกี่ยวเอาเอวคอดกิ่วเข้ามาแนบร่างของตนเองในทันที “หืม???”
พิมพ์ชนกส่ายหน้า “เปล่านี่คะ”
“เปล่าที่ไหน แพมแขวะผมจนจะพรุนทั้งตัวแล้ว!” คังเจียลี่นั่งบนขอบโต๊ะทำงานอย่างหมิ่นเหม่กางขาแกร่งออกเล็กน้อยเพื่อใช้กักแฟนสาวร่างสมส่วนไว้ จรดหน้าผากกว้างของตนเองเข้ากับหน้าผากเนียนได้รูปของเธอ “ไม่เป็นไรแน่นะ”
“อื้อ!” พิมพ์ชนกพยักหน้ารับ ความจริงก็ไม่ได้เป็นอะไรหรอกแต่หงุดหงิดตามประสาวันนั้นของเดือนแบบผู้หญิงจะมาเยือน ทั้งตอนนี้ยังรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหลังอีกด้วย
“ตัวรุมๆ นะ แพมไม่สบายนี่ที่รัก” คังเจียลี่รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิในร่างกายของเธอสูงกว่าปกติ แล้วจึงเลื่อนมือใหญ่ทั้งสองข้างมาลูบคลำใบหน้าทั้งลำคอระหงไปจนทั่ว “ไปนอนพักก่อนนะ เดี๋ยวผมเคลียร์งานแป๊บเดียวแล้วจะพาไปหาหมอ”
“อุ๊ย!!” พิมพ์ชนกอุทานน้อยๆ เมื่อจู่ๆ ร่างของตัวเองลอยหวือขึ้นพร้อมกับร่างสูงออกเดินมาหลังห้องทำงานที่แบ่งเป็นห้องพักผ่อน ซึ่งความจริงแล้วมันเหมือนจะเป็นห้องนอนขนาดใหญ่เลยก็ว่าได้เพราะเตียงนอนขนาดคิงส์ไซส์และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องที่วางอยู่นี้ “ไม่เป็นไรค่ะ ทานยาแก้ปวดก็ดีขึ้นแล้ว”
“ได้ไง! เผื่อเป็นไข้หวัดใหญ่แล้วแย่เลย” คังเจียลี่บอกพร้อมผ่อนร่างบางลงบนเตียงสปริงชั้นดี ลากผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงหน้าท้องแบนราบ “เชื่อผม แพมอย่าดื้อนักเลยน่า...”
“จริงๆ เชื่อแพมเถอะ เอ่อ... แพมจะเป็นแบบนี้ทุกเดือนค่ะ” พิมพ์ชนกชักหมดความอดทนเมื่อเขายังส่ายหน้าไม่เห็นด้วยกับเธอ จะพาไปหาหมอท่าเดียวหญิงสาวจึงแทบจะแยกเขี้ยวบอก “พีเอ็มเอสยังไงเล่าตาบ้านี่!!”
คังเจียลี่เงียบ สมองประมวลคำพูดอายๆ ของเธอทันที อ๋อ... Pre-Menstrual Syndrome อาการอารมณ์แปรปวนของผู้หญิงก่อนมีประจำเดือน!! แล้วก็ไม่บอก “ถึงว่าแพมดูหงุดหงิด ไม่เห็นต้องอายเลยเรื่องธรรมชาติ แล้วมีรึยัง?”
โอ๊ยตายแล้ว! ยังจะมีหน้ามาถามฉันอีก “ไม่ได้หน้าหนาเหมือนคุณนี่ ไปเลยแพมจะนอน”
คังเจียลี่ยกมือขึ้นเชิงว่ายอมแล้ว ใจเย็นน่าสาวน้อย “โอเคๆ เดี๋ยวผมจะให้แมรี่เอายาเข้ามาให้ แพมนอนนะจ๊ะ” ยัยเด็กแสบจอมเฮี้ยวกลายร่างเป็นแม่เสือสาวขี้วีนแล้ว!! ชายหนุ่มออกไปสั่งเลขาหน้าห้องให้เอายามาให้แฟนสาว แล้วได้รับรายงานว่าเธอหลับสนิทไปแล้วจึงวางยาไว้บนโต๊ะข้างเตียงแทน เจ้าพ่อหนุ่มรีบสะสางงานตรงหน้าให้จบเพราะตั้งใจว่าจะพาแฟนสาวไปกินข้าวเย็นที่บ้านด้วยกัน
คังเจียลี่เงยหน้าขึ้นจากเอกสารและวางปากกาในมือลง เขาขยับลำคอหนายืดเส้นยืดสายขับไล่ความเมื่อยล้า นาฬิกาบอกเวลาห้าโมงเย็นแล้ว เธอนอนไปเกือบสามชั่วโมงแล้วน่าจะดีขึ้นบ้างนะ เจ้าพ่อหนุ่มนึกถึงแฟนสาวที่นอนอยู่บนเตียงด้านหลังนี่
ภาพหญิงสาวที่นั่งชันตัวพิงหัวเตียง ผมเผ้ายุ่งนิดๆ ไม่เป็นทรง ปลดกระดุมเสื้อลงมาถึงสามเม็ดทำให้เห็นเนินอกอิ่มรำไร ปากอิ่มแดงเผยอน้อยๆ ตาสีน้ำตาลสดใสที่ดึงดูดใจเขาได้ตั้งแต่แรกเห็นยิ่งปรือเยิ้ม คงดีเป็นบ้าถ้าหากว่าตื่นเช้าขึ้นมาแล้วเห็นภาพนี้ทุกวัน!!
“งานเสร็จแล้วเหรอคะ?” เสียงใสที่ดังขึ้นทำให้เขาตื่นจากภวังค์และเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ เธอ
“จ๊ะ แล้วแพมเป็นไงบ้าง? รู้สึกดีขึ้นไหม? อารมณ์ดีขึ้นรึยัง?”
เสียงนุ่มบ่งบอกความเอาใจใส่เอื้ออาทรทำให้พิมพ์ชนกรู้ตัวว่าเมื่อหลายชั่วโมงที่ผ่านมาเธอแสดงนิสัยแย่ๆ กับเขาไปแล้ว “ขอโทษนะคะ ที่แพมแสดงนิสัยไม่ดีกับคุณ”
คังเจียลี่ยิ้มกว้าง นิ้วแข็งแรงเกี่ยวเอาปรอยผมขึ้นทัดหูอย่างอ่อนโยน เธอน่ารักจริง ไม่อิดออดกล่าวคำขอโทษเมื่อทำผิด ไม่แสแสร้งเล่นตัวท่ามากเมื่อเขาบอกรัก “ขอโทษนี่ แล้วถ้าผมให้โทษแพมจะเต็มใจรับเอาไว้ไหม สวีตฮาร์ท”
ดวงตาสีน้ำตาลมองเขาเหมือนผู้ใหญ่มองเด็กที่ได้คืบจะเอาศอก “คิดจะเอาเปรียบแพมอีกล่ะสิ?”
“ถ้างั้นผมจะอยู่นิ่งๆ ให้แพมจูบผมเองแพมจะได้เอาเปรียบผมบ้าง ได้ไหม? ถือว่าเป็นคำขอโทษก็ได้” คังเจียลี่อดทนเว้าวอนอย่างใจเย็น ผู้ชายอย่างเขาไม่เคยต้องอดทนกับเรื่องแบบนี้ แต่ตั้งแต่ที่ตัดสินใจคบกับเธอแล้ว กับผู้หญิงอื่นแค่คิดเขายังไม่เคยเลยสักครั้ง เหมือนมันตายด้านไปแล้ว แต่กับเธอเพียงแค่เธอปลายตาเขาก็แทบอยากจะกระโจนเข้าใส่แล้ว!!
“นะ... สวีตฮาร์ท ผมควรได้รับรางวัลจากความซื่อสัตย์บ้าง” ไม่พูดเปล่าแต่ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาจนห่างกับแฟนสาวแค่คืบ
พิมพ์ชนกมองใบหน้าหมดจดที่เคลื่อนเข้ามาใกล้จนตาพร่า หลุบตามองริมฝีปากบึกบึนที่เผยอรออยู่ราวกับต้องมนต์สะกด หญิงสาวหลับตาแล้วแตะริมฝีปากตนเองลงกับปากที่เผยออยู่อย่างแผ่วเบาเหมือนไม่รู้ว่าต่อจากนี้ควรทำอย่างไร
คังเจียลี่ดูดดึงริมฝีปากล่าง ขบเม้มหยอกเย้าราวกับมีเวลาสอนเธอทั้งชีวิต ทั้งที่ในใจมันเต้นโครมครามราวกับจะทะลุออกมานอกอก จูบแผ่วๆ ของสาวไม่ประสามันทำให้เขาคึกจนแทบจะลงแดงตายไปตอนนี้ ไม่นานก็เป็นฝ่ายสอดลิ้นเข้าไปหาลิ้นนุ่มเสียเอง เกี่ยวกระหวัดนำทางจนลิ้นเล็กๆ ไล่ตามอย่างน่ารักน่าใคร่ ริมฝีปากทั้งคู่พบกันอยู่เนิ่นนานจนมือที่เคยคิดว่าจะอยู่นิ่งๆ ตอนนี้กลับเหนี่ยวรั้งเอวคอดให้ขึ้นมานั่งคร่อมตักของตนเองเสียแล้ว
พิมพ์ชนกสอดมือเข้าไปในผมสั้น เมื่อเขาถอนริมฝีปากแล้วไล่เลื้อยมาจนถึงลอคำระหง ทั้งจูบทั้งสูดกลิ่นตัวของเธอเข้าไปอย่างเร่งเร้าเรียกร้อง
“เจียลี่! พอ... แล้วค่ะ!” หญิงสาวหอบหายใจห้าม ไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนตักเขาด้วยท่าที่หวาดเสียวอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!!
คังเจียลี่ฟังเสียงหอบที่ละล่ำละลักห้ามเขาอย่างตัดใจ บดจูบหนักๆ ลงที่ซอกคอผ่องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะซบหน้าลงที่ไหล่บอบบางของเธอทั้งที่นั่งแนบชิดกันอยู่อย่างเดิม รอให้ไฟปราถนาที่โหมกระพือขึ้นค่อยๆ มอดลง จึงออกแรงรัดแม่สาวที่นั่งคร่อมบนตักตัวเองจนกระโปรงของเธอล่นขี้นสูงไปถึงไหนต่อไหนเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงห้องน้ำ แล้วจึงวางเธอลง
“ล้างหน้าล้างตาสักหน่อยนะ วันนี้เราไปกินข้าวที่บ้านผมกัน”
พิมพ์ชนกมองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ในห้องน้ำ เมื่อประตูห้องน้ำปิดลงผู้หญิงที่เห็นในกระจก ยังกับยัยสาวร้อนรักปากแดงจนดูเหมือนเจ่อออกมา ตาฉ่ำเยิ้มเหมือนยังอยู่ในห้วงพิศวาส ลำคอเป็นปื้นสีแดงหลายจุด กระดุมหลุดลงมาหลายเม็ด โอ๊ย!! ทำไมถึงได้หลวมตัวไปกับเขาง่ายแบบนี้นะ นี่ถ้าเขาตั้งใจว่าจะจัดการต่อให้จบไปเธอก็คงจะอำนวยความสะดวกให้เขาแบบไม่เกี่ยงงอนสินะ อ๊าย... หน้าไม่อายจริงยัยพิมพ์ชนก!? ไม่มีเวลาคิดนานแล้วล่ะเพราะคนที่ทำให้เธอเคลิ้มไปนั่นเคาะประตูเรียกยิกๆ แล้ว หญิงสาวจึงรีบล้างหน้าล้างตาแล้วออกไปข้างนอกอีกครั้ง
ชั่วโมงถัดมาสองหนุ่มสาวกำลังลงมือกินข้าวมื้อเย็นที่คฤหาสน์สกุลคัง คริสตัลเดินเข้ามาชะงักอยู่หน้าประตูห้องอาหารเมื่อเห็นทั้งคู่กำลังหยอกล้อกันอย่างมีความสุข หญิงสาวหลับตาลงข่มความเจ็บปวดในใจที่เกิดขึ้น ความจริงผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนั้นต้องเป็นเธอต่างหาก หากย้อนเวลากลับไปได้เธอจะลดนิสัยเอาแต่ใจตัวเองของเธอลง เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น นั่นคงทำให้ผูกมัดใจของคังเจียลี่ไว้กับตัวเองได้
“อ้าว! คริสตัลมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?” คังเจียลี่ถามแปลกใจเมื่อเห็นคริสตัลยืนอยู่ที่ประตู
คริสตัลยิ้มหวานให้กับทั้งคู่ที่หันมามองตัวเอง พลางเดินเข้าไปด้านใน “เมื่อสักครู่นี่เองล่ะค่ะ คุยอะไรกันอยู่ น่าสนุกเชียว?” แกล้งถามไปอย่างนั้นทั้งที่ในใจได้ยินคำพูดหวานหูของคังเจียลี่ที่ตัวเองไม่เคยได้รับ
“ไม่มีอะไรหรอกคะ คุณคริสตัลทานข้าวด้วยกันนะคะ” พิมพ์ชนกชวนพร้อมลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณค่ะ คุณแพมไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ถือซะว่าเราเป็นเพื่อนกัน อีกอย่างบ้านนี้เมื่อก่อนคริสตัลก็มาบ่อยๆ” คริสตัลบอกพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งตรงกันข้ามกับพิมพ์ชนกเพราะคังเจียลี่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะอาหาร “เดร็กคะ ทานข้าวสร็จฉันขอคุยด้วยหน่อยนะคะ มีเรื่องงานหลายอย่างที่ยังไม่เข้าใจอยากขอคำปรึกษาคุณหน่อย”
“คุณแพมไม่ว่านะคะถ้าจะขอยืมตัวเดร็ก?” คริสตัลหันมาถามพิมพ์ชนก
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะคะ ดิฉันเสียอีกที่ต้องบอกคุณคริสตัลว่าถ้ามีอะไรพอที่ดิฉันจะช่วยได้ก็ให้บอกเลยนะคะ” พิมพ์ชนกอาสา
“น่ารักจังคะ” คริสตัลชมตรงๆ แต่ในใจกลับคิดว่าฉันอยากให้เธอช่วยเดินออกไปจากชีวิตของเขาเธอจำทำได้ไหม?
“ทานเถอะครับ เดี๋ยวจะอิ่มคำชมกันเสียก่อน” คังเจียลี่บอก แล้วหันมาตักอาหารใส่จานของแฟนสาวเหมือนเคยที่ทำอยู่เป็นประจำ
คริสตัลมองการเอาใจใส่ของทั้งคู่ที่แสดงออกมาแล้วชักไม่แน่ใจว่าเธอจะได้คังเจียลี่กลับคืนมาดังเดินรึเปล่า? เขาดูสบายใจเหลือเกินที่เมื่อมองผู้หญิงคนนี้ แววตาขี้เล่นที่เขามองพิมพ์ชนกมันต่างจากที่เขาเคยมองผู้หญิงที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด!! ขอเถอะค่ะเดร็ก!! คุณรู้ไหมว่าฉันต้องการคุณมากแค่ไหน ชีวิตฉันจะดำเนินต่อไปยังไงในเมื่อชีวิตของฉันไม่เหลือใครแล้ว คริสตัลร่ำร้องในใจ ไม่นานอาหารมื้อเย็นที่ฝืดคอที่สุดของคริสตัลก็สิ้นสุดลง หญิงสาวจึงขอตัวเข้าไปรอในห้องทำงานของคังเจียลี่แต่ก็ต้องหยุดชะงักอยู่หลังประตูบานใหญ่เมื่อได้ยินทั้งคุยกัน
“แพมจ๋า ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ารอผมข้างบนนะ เดี๋ยวพอผมคุยกับคริสตัลจบแล้วจะขับรถไปส่งแพมเอง นี่กุญแจห้อง” คังเจียลี่ส่งลูกกุญแจห้องนอนของตนเองให้แฟนสาว เมื่อหลายวันก่อนเขาสั่งให้คนจัดเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวสำหรับเธอเตรียมไว้ให้เต็มตู้เลยทีเดียว จนแม่บ้านและเด็กรับใช้แอบยิ้มเพราะความจริงแฟนสาวของเจ้านายไม่เคยค้างที่นี่เลยด้วยซ้ำ!!
พิมพ์ชนกส่ายหน้า “ให้ใครเอารถออกไปส่งแพมก็ได้นี่คะ คุณจะได้ไม่ต้องรีบ อีกอย่างถ้ารอจนกว่าคุณเสร็จธุระแพมกลัวว่าจะดึกไปกันใหญ่น่ะสิคะ”
“ก็แพมไม่ค่อยสบายผมก็อยากไปส่งด้วยตัวเอง แพมทำตามที่ผมบอกน่ะดีแล้ว เชื่อฟังผมหน่อยสิที่รัก”
ไม่รู้เป็นอะไรเมื่อได้ยินประโยคคำสั่งจากคนตัวโตนี่ทีไร แรงขัดขืนมันก็เริ่มเลือนหายไปทุกวัน พิมพ์ชนกลุกขึ้นเดินตามแรงลุนหลังของคังเจียลี่ออกจากห้องอาหารอย่างเสียไม่ได้
“น่า... รอไม่เกินชั่วโมงหรอก หรือถ้าแพมเพลียก็หลับไปเลยก็ได้ รับรองว่าผมจะส่งแพมถึงเตียงในห้องนอนแพมเลย” บอกพร้อมดันร่างสมส่วนที่ยืนตัวแข็งทื่อให้เคลื่อนออกไปเหมือนลากของสักอย่าง
คริสตัลจึงรีบเดินออกจากบริเวณนั้นทันที!
“ไปก็ได้ แต่ต้องไปส่งแพมจริงๆ นะ แพมไม่ค้างที่นี่แน่” พิมพ์ชนกก้าวขาออกเดินเองเมื่อถึงหน้าประตูห้องอาหาร
“จ้า... ผมจะรอวันที่แพมมาค้างโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้นนั่นล่ะ ไปก่อนนะเดี๋ยวคริสตัลรอนาน” คังเจียลี่ฉวยโอกาสจุ๊บแก้มนุ่มแรงๆ หมั่นเขี้ยวเธอนัก รีบเดินหนีพลางหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินเสียงบ่นไล่ตามหลังมา
“คุณดูดีขึ้นมากแล้วนี่” คังเจียลี่บอกกับคริสตัลที่นั่งรออยู่ในห้องทำงาน
“ค่ะ ก็พยายามทำใจให้ได้อยู่ แต่ฉันเริ่มไม่มีสมาธิเพราะเรื่องงานที่มันเหมือนจะวิ่งมาชนฉันท่าเดียว จนทำอะไรไม่ถูกแล้ว” คริสตัลบอกเมื่อจับต้นชนปลายงานด้านบริหารธนาคารที่บิดาทิ้งไว้ให้สืบต่อ
“ค่อยๆ ทำไปสิ ไหนวันนี้มีอะไรให้ผมช่วย?” คังเจียลี่ถามเข้าเรื่องมองแฟ้มเอกสารสองสามแฟ้มที่วางอยู่ตรงหน้าหญิงสาว
“คุณเปลี่ยนไปจากเดิมเยอะมากเลยนะคะเดร็ก” คริสตัลเงยหน้าขึ้นมองหน้าหล่อเหลาพร้อมทั้งบอกตรงๆ
“เหรอ! แต่ผมว่าผมก็เหมือนเดิมนะ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น เหมือนผู้ชายเจ้าเสน่ห์
“เธอย้ายเข้ามาอยู่กับคุณแล้วเหรอคะ?” คริสตัลมองสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นไม่พอใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “ขอโทษค่ะ ฉันแค่บังเอิญได้ยิน”
ปากบึกบึนยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก “ความจริงอยากทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เธอเป็นเด็กที่หลอกได้ยากมาก”
“จะจบลงที่เด็กคนนี้จริงๆ น่ะเหรอคะ??” คริสตัลถามด้วยน้ำเสียงเหมือนท้อปนอยากรู้
“เราเพิ่งตกลงคบกันได้เดือนกว่าๆ เอง” คังเจียลี่จับกระแสเสียงแห่งความน้อยใจได้ แต่รู้ว่าเธอเสียใจจึงไม่อยากจะทำร้ายจิตใจเธอขึ้นไปอีก “มาคุยเรื่องของเราดีกว่า”
คริสตัลจำต้องเปิดแฟ้มเอกสารขึ้นมาเมื่อรู้ว่าผู้ชายตรงหน้าเริ่มไม่พอใจที่เธอเข้าไปวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของเขาแล้ว นี่ล่ะคังเจียลี่คนเดิมที่เธอเคยรู้จัก!! เขาจะแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมีใครเข้าไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของเขา และทำให้เข้าใจได้ง่ายว่าเขายังเหมือนเดิมอย่างที่เจ้าตัวยืนยันจริงๆ เพียงแต่เขาแสดงความรู้สึกในด้านที่ไม่เคยมีใครได้เห็นกับผู้หญิงที่เขาพอใจเท่านั้นเอง
พิมพ์ชนกมองบันไดโค้งยาวสูงขึ้นไปชั้นบนของบ้าน หลังจากที่คังเจียลี่เข้าไปในห้องทำงานแล้ว พลางคิดว่าคนรวยนี่ก็รวยไม่รู้เรื่องจริงๆ ดูอย่างราวบันไดบ้านหลังนี้หน่อยเป็นไร ยังใช้ทองเหลืองมาหล่อเป็นลูกกรงเลย! ความยาวและแต่ละขั้นของบันไดรู้สึกได้ว่าถูกออกแบบมาอย่างดีเพราะรู้สึกได้ถึงการก้าวเดินขึ้นไปอย่างสะดวกสบาย หญิงสาวกระพริบตาถี่ๆ เมื่อถึงขั้นพักของบันไดแล้วมองเห็นคังหย่งเหอกำลังปิดประตูห้องของคังเจียลี่อย่างเบามือ หญิงสาวก้มตัวลงมองลอดซี่ของลูกกรงทองเหลืองขึ้นไปก็เห็นเขากำลังเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนกลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า พร้อมกับถือถุงพลาสติกใสๆ ไว้ในมือ พิมพ์ชนกนั่งคู้ตัวลงเมื่อคังหย่งเหอเดินเข้ามาใกล้บันไดแต่หญิงสาวยังสามารถมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจน และเห็นด้วยว่าของที่อยู่ในถุงพลาสติกใบนั้นคือแปรงสีฟัน!??
เมื่อได้ยินเสียงปิดประตูห้องดังขึ้น หญิงสาวจึงลุกขึ้นและเดินขึ้นบันไดไปจนเดินไปหยุดที่หน้าประตูห้องของแฟนหนุ่มตัวเอง มือบางเสียบลูกกุญแจที่ได้มาแล้วบิด เสียงปลดล็อกประตูก็ดังขึ้นเหมือนปกติถ้าเธอไม่บังเอิญมาเห็นเข้าเสียก่อน หญิงสาวสอดตัวเข้ามาในห้องนอนกว้างที่เคยเข้ามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พร้อมสอดส่ายสายตาหาความผิดปกติจากเดิม แต่ห้องทั้งห้องยังอยู่ในสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ใช่สิ!! แปรงสีฟัน! คิดได้ดังนั้นจึงรีบสาวเท้าเข้ามาในห้องน้ำทันที เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าขนาดใหญ่ที่วางอ่างสีทองไว้สองใบ ฝั่งหนึ่งเป็นของใช้ส่วนตัวของคังเจียลี่ อีกฝั่งหนึ่งเจ้าของห้องบอกว่าเตรียมไว้สำหรับเธอเอง หญิงสาวหยิบแปรงสีฟันขึ้นมาพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วน แปรงสีฟันที่เธอเพิ่งจะเคยใช้เพียงครั้งเดียวก็มีร่องรอยของการใช้อย่างเห็นได้ชัด ส่วนแปรงสีฟันของคังเจียลี่ยังเป็นแปรงใหม่ที่ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน! คังหย่งเหอต้องเปลี่ยนแปรงสีฟันแน่ๆ หญิงสาวคิดในใจ
“แล้วอาหย่งเหอจะเอาแปรงสีฟันของเจียลี่ไปทำไม? แล้วทำไมไม่ขอดีๆ? ทำไมต้องทำลับๆ ล่อๆ แอบย่องเข้ามา? ก็เขาบอกว่าล็อกประตูห้องทุกครั้งนี่นา แสดงว่าอาหย่งเหอต้องใช้กุญแจสำรองไขประตูเข้ามาแน่” พิมพ์ชนกวางแปรงสีฟันไว้ที่เดิมแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมความสงสัยเต็มที่พลางทรุดนั่งลงบนเตียงกว้าง
ครั้นว่าจะเดินออกไปถามก็ไม่กลัวว่าจะมีเรื่องเป็นราวขึ้นมา ก็แฟนของเธอบอกว่าไม่ได้ไว้ใจเขาเต็มร้อยนี่นา มันก็แค่แปรงสีฟันเดี๋ยวจะผิดใจกันเปล่าๆ นั่นสิ! มันแค่แปรงสีฟันแล้วจะเอาไปทำไมล่ะเนี่ย!!?? หญิงสาวเดินกลับเข้าห้องน้ำอีกครั้งเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า อดอมยิ้มภูมิใจไม่ได้ที่เปิดตู้เสื้อผ้าออกมาแล้วมีของใช้ส่วนตัวสำหรับตัวเองเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบอยู่เต็มตู้ จากนั้นจึงเดินออกมานั่งที่เก้าอี้นวดตัวใหญ่มือบางกดรีโมตเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆ สักพักแฟนหนุ่มของเธอก็เดินเข้ามาในห้องและขับรถไปส่งเธอที่คฤหาสน์สกุลโจวในเวลาต่อมา
รุ่งเช้าคังเจียลี่และพิมพ์ชนกสั่งให้คนขับรถแวะเยี่ยมภรรยาของฟู่หลงก่อนเข้าบริษัทเพราะเจฟรายงานว่าเธอรู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว
“เจียลี่คะ คุณเคยลืมล็อกห้องนอนของตัวเองบ้างรึเปล่า?” พิมพ์ชนกถามขึ้นเมื่อเดินเข้ามาในโรงพยาบาล
“ไม่เคยจ๊ะ” คังเจียลี่ขมวดคิ้วแต่ก็ตอบคำถามแต่โดยดี
“แล้วกุญแจนี่คุณมีสำรองกี่ดอก เก็บไว้ที่ไหนบ้าง??”
“มีสองดอก อยู่กับผมดอกนึง อยู่ในห้องทำงานดอกนึงแต่ห้องทำงานก็ล็อกนะ แพมถามทำไม??” ชายหนุ่มชักสงสัย
“เปล่าค่ะ แค่ถามเฉยๆ” พิมพ์ชนกตอบแบบกำปั้นทุบดินส่งผลให้ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ ของคนที่จับมือตัวเองอยู่
“ไอ้คำว่าเฉยๆ ของแพมนี่ สมองของผมมันแปลความหมายว่าไม่เฉยๆ นะ”
“สมองหาเรื่องน่ะสิ ถามไม่ได้หรือไง? ก็คนมันอยากรู้” พิมพ์ชนกว่าพาลๆ เมื่อกลัวว่าเขาจะซักเพิ่ม หญิงสาวกระตุกมือเมื่อถึงห้องที่ภรรยาของฟู่หมิงนอนพักฟื้นอยู่
ไอ้เรื่องเฉไฉนี่เก่งนักล่ะ คังเจียลี่ส่ายหน้าให้กับความเป็นคนขี้สงสัยของแฟนสาว “ไม่เป็นไร นอนลงเถอะ” คังเจียลี่รีบเอ่ยปากบอกคนป่วยที่ทำท่าจะชันตัวลุกขึ้นเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาในห้อง
“เป็นยังไงบ้างคะ? ยังเจ็บตรงไหนอยู่รึเปล่า ขอโทษด้วยที่วันนั้นดิฉันตะโกนบอกคุณไม่ทัน” พิมพ์ชนกบอกกับคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียง
“คุณอย่าพูดอย่างนั้นเลยค่ะ ความจริงแล้วเป็นความผิดของดิฉันเองที่ประมาทไม่ใส่หมวกนิรภัยเลยทำให้ต้องเป็นแบบนี้”
“แล้วหมอว่ายังไงบ้างคะ ได้ตรวจอาการซ้ำอีกรอบรึยัง?” พิมพ์ชนกถามต่อ
“ตรวจแล้วค่ะ หมอบอกว่าโชคดีที่ลิ่มเลือดคั่งในสมองไม่มาก แต่เสียเลือดมาเพราะหัวแตกกับแผลที่ขาเป็นทางยาว ดิฉันขอบคุณท่านประธานมากนะคะที่อุตส่าห์บริจาคเลือดให้ดิฉัน ไม่รู้จะขอบคุณยังไงดีแล้วค่ะท่าน” คนป่วยละล่ำละลักบอก
“รักษาตัวให้หายดีก็พอ ส่วนเรื่องผู้ชายคนนั้นฉันให้คนสอบสวนได้ความมาบ้างแล้วแต่ขอเวลาอีกสักหน่อยฉันถึงจะจัดการอะไรๆ ได้ ตอนนี้ก็ให้เรื่องเงียบไปก่อน คงเข้าใจนะ” คังเจียลี่บอก คนของเขาสอบสวนพบพิรุธหลายอย่างจากชายคนนี้แต่เขายังปากแข็งไม่ยอมพูดความจริงออกมา เขาจึงให้ปล่อยตัวไปและให้คนตามดูผู้ชายคนนี้ทุกฝีก้าว
“เราสองคนแล้วแต่ท่านประธานครับ ท่านให้ทำยังไงผมก็จะทำอย่างไม่ขัดข้องครับท่าน” ฟู่หลงที่ยืนอยู่ปลาบเตียงตอบ
“แพมขอไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ” พิมพ์ชนกบอกเมื่อเห็นว่าคังเจียลี่ยังมีเรื่องคุยกับสองสามีภรรยาอยู่ หญิงสาวเดินออกมาด้านนอกตามทางเดินยาวๆ ที่มีป้ายไฟบอกทางไปห้องน้ำเป็นระยะ หญิงสาวชะงักกึก! เมื่อทางแยกข้างหน้าเห็นคังหย่งเหอเดินผ่านหน้าไปอย่างรีบร้อน ในมือของเขายังถือซองสีน้ำตาลไว้อีกด้วย!! หญิงสาวรีบวิ่งตามหลังคังหย่งเหอไปห่างๆ เขาเดินขึ้นบันไดไปบนชั้นสองของโรงพยาบาลแล้วเลี้ยวขวา
พิมพ์ชนกมองป้ายที่เขียนไว้ว่าForensic Medicine แผนกนิติเวชศาสตร์เหรอ!? เขามาทำอะไรที่นี่กัน? หญิงสาวมองร่างของคังหย่งเหอที่คุยบางอย่างกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ พร้อมยื่นซองสีน้ำตาลให้ เจ้าหน้าที่เปิดซองออกดู พิมพ์ชนกเบิกตากว้างเมื่อเห็นถุงพลาสติกใสที่มีแปรงสีฟันอยู่ด้านใน มันเป็นถุงเดียวกันกับเมื่อคืนนี้!! แต่เจ้าหน้าที่ดึงออกมาสองถุงและเป็นแปรงสีฟันทั้งคู่ คังหย่งเหอเซ็นเอกสารบางอย่างและทำท่าว่าจะเดินกลับออกมา หญิงสาวจึงวิ่งเข้าไปหลบในห้องๆ หนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ
สักพักเมื่อเห็นว่าคังหย่งเหอเดินออกไปแล้วหญิงสาวจึงรีบเข้าไปด้านในบ้าง “ขอโทษนะคะ อยากทราบว่าที่นี่รับตรวจดีเอ็นเอใช่ไหมคะ?” พิมพ์ชนกถามเข้าเรื่องทันที เธอมั่นใจว่าการถือแปรงสีฟันเข้ามาที่นี่ก็คงต้องตรวจดีเอ็นเอทั้งนั้น
“ใช่ค่ะ” เจ้าหน้าที่ตอบยิ้มแย้ม
“แปรงสีฟันของคนที่ต้องการตรวจก็ใช้ตรวจได้เหมือนกันใช่ไหมคะ?”
“ใช้ได้ค่ะ ปกติจะใช้การตรวจเลือดหรือเซลล์ข้างกระพุ้งแก้ม แต่ถ้าไม่สะดวกก็ใช้แปรงสีฟันได้เหมือนกันค่ะ”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” พิมพ์ชนกยิ้มให้เจ้าหน้าที่แล้วก็ต้องโพล่งถามออกไปอีกครั้งหนึ่ง “แล้วกี่วันถึงจะรู้ผลคะ?”
“ไม่เกินสามวันคะ” เจ้าหน้าที่ตอบ
พิมพ์ชนกหันกลับมาถึงกับสะดุ้งเพราะคังหย่งเหอยืนนิ่งงันอยู่ตรงประตูกระจกที่ใช้กั้นเพื่อความเป็นสัดส่วนของแต่ละแผนก
“เอ่อ!! หนูแพมมาทำอะไรที่นี่!??” คังหย่งเหอเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน
“แพมมาถามเกี่ยวกับการตรวจดีเอ็นเอน่ะคะ ว่าใช้แปรงสีฟันได้รึเปล่า” หญิงสาวตอบออกไปพร้อมทั้งสังเกตุสีหน้าตกใจของคังหย่งเหอ “แล้วคุณอาหย่งเหอมาตรวจดีเอ็นเอเหมือนกันเหรอคะ??”
“อะ... เอ่อ หนูแพมนี่ตลกนะ อาจะมาตรวจดีเอ็นเอทำไมกัน” คังหย่งเหอตอบตะกุกตะกัก หันหลังกลับเดินออกจากห้อง ตอนแรกเขาจะกลับเข้ามาบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าจะมารับผลตรวจเองไม่ต้องส่งตามไปที่บ้าน แต่กลับพบพิมพ์ชนกยืนซักถามเจ้าหน้าที่อยู่
หญิงสาวเดินตามช้าๆ “ความจริงแล้วแพมมาเยี่ยมคนงานที่นอนอยู่ข้างล่างกับเจียลี่น่ะค่ะ ตอนนี้เขาก็รอแพมอยู่” คำพูดของเธอไม่ได้ทำให้คังหย่งเหอหันกลับมา หญิงสาวจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อเดินไปขวางหน้าคังหย่งเหอ “คุณอาเอาแปรงสีฟันของเจียลี่กับของใครมาตรวจคะ??”
คังหย่งเหอตกใจเมื่อสาวน้อยตรงหน้าถามเขาอย่างตรงไปตรงมา สายตามุ่งมั่นจริงจัง “หนูแพมพูดอะไร อาไม่รู้เรื่อง อาจะเอา...”
พิมพ์ชนกชิงพูดตัดหน้าขึ้นมาทันที “เมื่อคืนหนูเห็นคุณอาแอบออกมาจากห้องนอนของเจียลี่พร้อมกับถุงใส่แปรงสีฟันที่คุณอายื่นให้เจ้าหน้าที่ก่อนหน้านี้” พิมพ์ชนกดักหน้าเขาไว้ทุกๆ ทางอย่างที่ดิ้นไม่หลุด
เป็นนานแต่หญิงสาวก็ยังไม่ได้คำตอบจากคนตรงหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคุณอาไม่ยอมเล่าให้หนูฟัง ก็ให้เจียลี่มาถามกับคุณอาเองก็แล้วกัน!” พูดจบก็หันหลังกลับก้าวเดินออกมาทันที
“เดี๋ยวก่อน! หนูแพม!!” คังหย่งเหอหมดหนทางจำต้องเรียกหญิงสาวให้หันกลับมาหาเขาอีกครั้ง
กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง... เจฟเข้าไปยื่นโทรศัพท์เครื่องบางให้เจ้านายที่นั่งรอแฟนสาวอยู่ตรงเก้าอี้ที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้
“คุณเดร็กครับ คุณแพมจะคุยด้วยครับ”
“แพมทำอะไรอยู่ นานจัง??” คังเจียลี่กรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ทันที เธอบอกว่าจะมาเข้าห้องน้ำ แต่จนเขาคุยกับฟู่หลงจบแล้วเธอยังไม่มาเลย
“เจียลี่คะ วันนี้แพมขอลางานหนึ่งวันนะคะ พอดีเพื่อนแพมมาฮ่องกงแล้วเพิ่งจะบอก แพมต้องรีบไปรับเขาที่สนามบินตอนนี้แพมออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว พรุ่งนี้เจอกันนะคะ” พิมพ์ชนกบอกพร้อมตัดสายไปอย่างรวดเร็วเพราะตอนนี้เธอนั่งอยู่บนรถกับคังหย่งเหอแล้ว
“ฮัลโหลๆ แพมเดี๋ยวสิ!! แพม!!!” เขารู้ดีทีเดียวว่าเธอโกหก! แต่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมไม่บอกเขาดีๆ หายไปแบบนี้ไม่รู้หรือไงว่าเป็นห่วง โทรกลับไปก็ปิดเครื่องซะแล้ว คังเจียลี่ส่งโทรศัพท์คืนเจฟพร้อมกับเดินหัวเสียออกจากโรงพยาบาล
“เจฟให้ใครไปคอยดูคุณแพมอยู่หน้าบ้านสกุลโจวด้วยนะว่าเธอกลับเข้าบ้านมาเมื่อไหร่”
“ครับท่าน” เจฟรับคำแต่ต้องหลบตาเพราะเจ้านายไม่ได้แสดงสายตาขุ่นมัวเหมือนพายุกำลังจะพัดเข้าถล่มฮ่องกงนานแล้ว แต่คุณพิมพ์ชนกสามารถทำให้เจ้านายเขาอารมณ์เสียสุดๆ และอารมณ์ดีสุดๆ ได้ไม่ยากเลย
รถคันหรูของคังหย่งเหอเลี้ยวเข้ามาจอดในสุสานของสกุลคัง พิมพ์ชนกเดินตามหลังคังหย่งเหอมาหยุดอยู่ที่หน้าหลุมฝังศพที่มีรูปพ่อและแม่ของแฟนหนุ่มเธอติดอยู่ หญิงสาวคำนับแสดงความเคารพทั้งคู่พร้อมๆ กับคังหย่งเหอ เสียงถอนหายใจหนักเหมือนคนคิดหนักก็ดังขึ้นในความเงียบ
“อาตรวจดีเอ็นเอของตัวเองกับเจียลี่” จู่ๆ คังหย่งเหอก็พูดขึ้นพร้อมหมุนตัวเดินไปทรุดนั่งลงที่ม้าหินอ่อนที่วางไว้ตรงทางเดินแคบๆ
พิมพ์ชนกเดินตามและนั่งลงบนม้าหินอ่อนตัวที่วางอยู่ห่างกันเล็กน้อย “หนูไม่เข้าใจว่าคุณอาทำอย่างนั้นทำไม?”
“เจียลี่มีหมู่เลือดที่ไม่ตรงกับพ่อแม่ อาสงสัยเลยต้องแอบเข้าไปเอาแปรงสีฟันเขาไปตรวจดีเอ็นเอ” คังหย่งเหอหันมามองหน้าพิมพ์ชนกแล้วก้มลงยิ้มเศร้ากับตัวเอง “เมื่อก่อนอากับแม่ของเจียลี่เคยรักกัน แต่ผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูลเห็นพ้องต้องกันว่าอยากให้พี่ใหญ่กับเหม่ยเฟิ่งได้ครองคู่กัน เหม่ยเฟิ่งไม่กล้าขัดใจพ่อของเธอเพราะท่านป่วยหนักและอยากฝากฝังลูกสาวคนเล็กให้กับคุณชายใหญ่ของตระกูลคังซึ่งเป็นคนขยันเอาการเอางาน พี่ใหญ่เองก็รักเหม่ยเฟิ่งได้ไม่ยากเพราะเธอหน้าตาสะสวย อ่อนหวาน ช่างเอาใจแล้วยังกตัญญูรู้คุณจึงทำให้เธอไม่กล้าบอกกับพ่อของตัวเองว่าคบกับอาอยู่”
“แล้วคุณลุงหย่งหนานไม่ทราบเรื่องเลยเหรอคะ??” พิมพ์ชนกถามอย่างสงสัย
คังหย่งเหอส่ายหน้า “ไม่หรอก เวลาผ่านไปได้ไม่นานนักพ่อของเหม่ยเฟิ่งก็อาการทรุดหนัก!! ผู้ใหญ่จึงลงความเห็นว่าต้องจัดงานมงคลขึ้นก่อนที่พ่อของเหม่ยเฟิ่งจะจากไปและก็เป็นการแก้เคล็ดเอาเรื่องดีๆ เข้าบ้านตามความเชื่อของชาวจีนโบราณ เย็นวันนั้นเหม่ยเฟิ่งออกมาบอกเรื่องนี้กับอาและบอกให้เราตัดขาดความรู้สึกที่มีต่อกันเพราะพี่ใหญ่เป็นสุภาพบุรุษกับเธอมาก หลังจากเธอแต่งงานเธอจะรักเพียงแค่พี่ใหญ่เท่านั้น แต่อาเองก็ยืนยันว่ารักเธอไม่น้อยไปกว่าพี่ใหญ่เหมือนกัน และที่สำคัญคือเราทั้งสองคนรักกัน เหม่ยเฟิ่งพูดไม่ออกได้แต่ยิ้มเศร้าๆ คืนนั้นเหม่ยเฟิ่งตัดสินใจมอบตัวเองให้อาและขอให้เราตัดสัมพันธ์กันอย่างเด็ดขาด”
“ตายจริง!! แล้วคุณอาทำยังไงต่อคะ??” พิมพ์ชนกถามและพอจะเดาเรื่องได้ลางๆ ว่าทำไมคังหย่งเหอถึงต้องแอบไปตรวจดีเอ็นเอ
“อาเองก็ไม่สามารถที่จะปล่อยมือจากเธอได้เช่นกัน อาเป็นผู้ชายคนแรกของเหม่ยเฟิ่ง อาจะไปพูดและขอร้องพี่ใหญ่ให้ปล่อยเหม่ยเฟิ่งให้กับอา แต่เหม่ยเฟิ่งขู่ว่าถ้าอาทำอย่างนั้นจะไม่มีใครได้เห็นเธออีกเลยตลอดชีวิต!! ด้วยเหตุผลอีกหลายอย่างเหม่ยเฟิ่งบอกอาว่าขอให้เราจากกันด้วยดีเธอไม่อยากเป็นลูกอกตัญญูที่ทำให้ความหวังของพ่อและอีกหลายคนทั้งพังทลาย อาเองก็น้ำท่วมปากพูดไม่ออก เมื่อทำอะไรไม่ได้และก็ไม่อาจมองคนที่ตัวเองรักต้องเข้าพิธีแต่งงานได้อีกเหมือนกัน อาเลยตัดสินใจไปใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษ”
“คุณอากำลังสงสัยว่าเจียลี่เป็นลูกชายของคุณอากับคุณป้าเหม่ยเฟิ่งเหรอคะ??”
คังหย่งเหอหันมาสบตากลมโตสีน้ำตาลพร้อมพยักหน้าช้าๆ “พี่ใหญ่มีเลือดกรุ๊ปโอ เหม่ยเฟิ่งกรุ๊ปบี มันเป็นไปไม่ได้ที่เจียลี่มีเลือดกรุ๊ปเอบี แต่อามีเลือดกรุ๊ปเอ อาคิดอยู่หลายวันว่าควรจะตรวจดีเอ็นเอรึเปล่า? ถ้ารู้ว่าเขาเป็นลูกแล้วผลดีผลเสียที่เกิดขึ้นจะเป็นยังไง หรือถ้ารู้แล้วเจียลี่จะรู้สึกยังไง? อาตอบได้ว่าเขาคงรู้สึกแย่มากๆ และอารู้สึกว่ามันโหดร้ายกับเจียลี่มากเกินไปเพราะชีวิตวัยเด็กของเขาไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่เท่าที่ควร อาเองก็ไม่ได้อยู่ที่ฮ่องกง รู้เพียงแต่ว่าพี่ใหญ่และเหม่ยเฟิ่งทำงานหนักจนต้องส่งลูกเข้าโรงเรียนประจำ แล้วโตอีกสักหน่อยก็ส่งไปเรียนต่อที่อเมริกา”
“แล้วคุณอามั่นใจรึเปล่าคะว่าเจียลี่เป็นลูกชายของคุณอา” พิมพ์ชนกรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจ สับสน เสียใจปะปนกันหลายอย่างอย่างเห็นได้ชัด
“ตอนแรกก็ยังไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ในคืนเดียวมันจะก่อให้เกิดผลพวงของสิ่งมีชีวิตตามมาได้ แต่มาถึงตอนนี้ คิดทบทวนเรื่องทุกอย่างถี่ถ้วนแล้ว คงต้องตอบว่าแน่ใจมากที่สุด เหลือแค่อยากจะให้มีหลักฐานอ้างอิงที่เชื่อถือได้เท่านั้นเอง”
“แล้วคุณอาตัดใจจากคุณป้าเหม่ยเฟิ่งได้จริงๆ น่ะเหรอคะ??”
“ไม่เคยเลย ไม่เคยแม้เวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม จนพี่ใหญ่เรียกตัวอากลับมาให้มาช่วยบริหารงาน เพราะตอนนั้นเหม่ยฉีกับเหม่ยเฟิ่งมีปากเสียงกันรุนแรง พี่ใหญ่จึงตัดสินใจออกมาเปิดเค คอนสตรักชั่นเองเพื่อตัดปัญหาของทั้งคู่ อาเลยได้กลับมาฮ่องกงคราวนั้นเพราะพี่ใหญ่ขอร้องให้มาช่วยทำงาน แต่ทุกครั้งที่เห็นเหม่ยเฟิ่งปฏิบัติกับพี่ใหญ่ตามประสาสามีภรรยา อาแทบจะคุกเข่าลงและขอร้องให้พี่ใหญ่คืนคนรักให้อา จนมีอยู่ครั้งหนึ่งพี่ใหญ่กับเหม่ยเฟิ่งมีปากเสียงกัน พี่ใหญ่พลั้งมือตบหน้าเหม่ยเฟิ่งเข้า อาเห็นและทนไม่ได้จึงเข้าไปบอกเรื่องทั้งหมดกับพี่ใหญ่ให้ได้รู้ ขอร้องว่าถ้าไม่รักเธอแล้วให้ปล่อยเธอไป พี่ใหญ่โกรธมากถึงขั้นตัดขาดพี่น้องกับอา”
“เจียลี่ไม่รู้เรื่องเหรอคะ??” พิมพ์ชนกถาม
“วันที่อาทะเลาะกับพี่ใหญ่เจียลี่ก็อยู่นะ เขากลับฮ่องกงทุกปีแต่เจียลี่ไม่ค่อยได้อยู่บ้านคงจะไม่ได้สนใจอะไรมาก ตอนนั้นเขาเป็นหนุ่มสิบแปดปีได้มั้ง แล้วอากับพี่ใหญ่ก็คุยกันในห้องทำงานสองคน อาเห็นแก่ตัวตัดสินใจบอกให้เหม่ยเฟิ่งทิ้งพี่ใหญ่แล้วหนีไปกับอา ตอนนั้นอาไม่ได้คิดถึงเจียลี่เลย แต่เหม่ยเฟิ่งไม่ยอมท่าเดียว รุ่งเช้าอากำลังจะขึ้นเครื่องบินคิดว่าจะไม่กลับมาฮ่องกงอีกตลอดชีวิต แต่เด็กที่บ้านก็โทรมาบอกว่าพี่ใหญ่กับเหม่ยเฟิ่งเกิดอุบัติเหตุรถพุ่งตกเขาแล้วระเบิด อาก็เลยต้องอยู่ทำงานรอจนกว่าเจียลี่จะเรียนจบ”
ถึงว่าล่ะ! เจียลี่ถึงได้บอกว่าแม่ของเขาเอาแต่กอดเขาแล้วร้องไห้อย่างเดียว เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง “เดาว่าคุณอาคงรู้ว่าเจียลี่มีเลือดกรุ๊ปเอบีจากที่เขาบริจาคเลือดให้คนงานก่อสร้างใช่ไหมคะ”
“ใช่จ๊ะ แต่อาก็ภาวนาให้ผลที่ตรวจออกมาเจียลี่กับอาเป็นแค่อากับหลานเหมือนเดิมก็คงจะดีกับเจียลี่มากกว่า” คังหย่งเหอหันมาบอกหญิงสาวที่รู้ดีว่าเธอเป็นคนพิเศษ จึงยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะคะ เจียลี่อาจจะดีใจก็ได้ที่เขายังเหลือพ่ออยู่ข้างๆ อีกคน ไม่ได้โดดเดี่ยวเหมือนที่เป็นมา อีกอย่างแพมว่าเจียลี่น่าจะมองอีกมุมที่ทั้งหมดเป็นแบบนี้มันก็ทำให้เขาเติบโตอย่างแข็งแรง รู้จักว่าต้องแสดงความเป็นมิตรกับคนรอบข้างเพื่อจะได้มองคนอื่นอย่างทะลุปรุโปร่งว่าคนเหล่านั้นคิดกับเขายังไง เหมือนที่เขาทำอยู่จนติดเป็นนิสัยแล้วนะคะ”
คังหย่งเหอยิ้มกับความเป็นคนรู้จักคิดของเธอ เธออายุยังน้อยนักหากเทียบกับคนที่กำลังคบหาอยู่แต่ก็สามารถอ่านนิสัยใจคอของผู้ชายที่ผ่านโลกมามากอย่างคังเจียลี่ได้ราวกับอ่านหนังสือ “กลับกันเถอะเราอยู่นี่นานมากแล้ว อารู้สึกโล่งใจขึ้นมากเลยที่ได้ระบายเรื่องที่มันอัดแน่นอยู่ในอกให้หนูแพมฟัง แต่อยากให้หนูแพมเก็บเป็นความลับระหว่างเราไว้ก่อน ถ้ามันเป็นความจริงอาอยากให้เราค่อยๆ ดูปฏิกิริยาของเจียลี่ไปก่อนแล้วค่อยบอกเขา หนูแพมจะรับปากอาได้ไหม???”
ทั้งคู่เดินมาขึ้นรถที่จอดรออยู่นานนับชั่วโมง “เมื่อกี้คุณอาระบายกับรูปปั้นที่เหมือนแพมนี่คะ รูปปั้นน่ะพูดไม่ได้หรอกค่ะ ฟังได้อย่างเดียว คุณอาสบายใจได้นะคะ”
พิมพ์ชนกกลับถึงบ้านสกุลโจวในชั่วโมงต่อมาโดยรถของคังหย่งเหอ หญิงสาวเปลี่ยนเสื้อผ้าและนอนคิดเรื่องที่ได้รู้มาจนเผลอหลับไป รู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกครั้งเพราะรู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างกำลังคลอเคลียอยู่ใบหน้า ตากลมโตค่อยๆ เปิดขึ้นก็แฟนหนุ่มของตัวเองกำลังมองอยู่ด้วยสายตาคาดโทษ เป็นอันว่ากว่าจะหาข้อแก้ตัวได้ก็เล่นเอาต้องทำเป็นงอนกลบเกลื่อนเหมือนกัน!!
หลังจากที่ได้รับรายงานว่าพิมพ์ชนกกลับถึงบ้านสกุลโจวแล้ว สะสางงานเสร็จเขาก็รีบบึ่งมาหาเธอทันทีเพราะความเป็นห่วง แต่แม่ตัวดีกลับนอนหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่อง!? จนต้องปลุกขึ้นมาซักกันอย่างละเอียด เธอบอกว่าไปเข้าห้องน้ำแล้วพบว่าเป็นวันนั้นของเดือน ออกมาเจออาหย่งเหอเลยอาสามาส่งเธอที่บ้าน แต่ที่ต้องโกหกว่าเพื่อนมาเพราะกลัวว่าเขาจะเกงานตามเธอมาให้เสียการเสียงานอีก!! ผมควรจะเชื่อคุณดีไหมนี่ แม่ตัวแสบ!?? คังเจียลี่ถามตัวเอง?!
หึๆ เชื่อหรือไม่เชื่อไม่รู้ รู้แต่ตอนนี้ต้องง้อกันยกใหญ่เพราะแม่ตัวแสบ งอน!!!
“คุณเดร็กครับ คนของเราที่ส่งไปหาเบาะแสของคนสวนส่งข่าวกลับมาแล้วนะครับว่าอาเล่ออาศัยอยู่กับหลานชายที่ไต้หวันจริงๆ เขาเปลี่ยนชื่อแซ่ด้วยครับ แต่โชคดีว่ารูปของอาเล่อที่เราเอาไปถามกับคนละแวกนั้นยืนยัน เราจึงหาที่อยู่ของเขาเจอแต่มีเรื่องน่าสงสัยคือระหว่างที่สอบถามชาวบ้านไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าชาวบ้านบอกว่าเคยมีคนมาถามถึงเขาเมื่อสองวันก่อนนี้เองนะครับ” เจฟรายงานต่ออีกครั้งหนึ่ง
“สั่งออกไปว่าต้องเป็นเราเท่านั้นที่ต้องได้ตัวคนสวนคนนั้นก่อน ไม่อย่างนั้นเราจะไปต่อไม่ได้เลย” คังเจียลี่บอกพร้อมทั้งขมวดคิ้วเขาไม่รู้ว่าเป็นพวกไหนกันแน่ที่ควานหาตัวคนๆ เดียวกับเขาอยู่
“สั่งไปแล้วครับ พวกเขามั่นใจว่าเราจะได้ตัวเขาก่อนแน่นอนครับ”
“แล้วส่งคนไปเพิ่มอีกให้สืบย้อนรอยของพวกที่ไปหาคนสวนคนนี้ว่าเป็นพวกไหนกันแน่”
เจฟรับคำแล้วจดบันทึกรวดเร็วแบบที่ไม่มองสมุดแต่กลับสบตากับเจ้านายตลอดเวลา “อ้อ... อีกเรื่องนะเจฟ สั่งให้หัวหน้าคนงานเช็คดูว่าในไซด์งานที่หว่านไจ๋มีคนงานมาจากเค แลนด์แอนด์เฮาส์กี่คน? แล้วค่อยๆ กระจายคนพวกนี้ออกไปตามไซด์งานอื่นๆ ค่อยๆ ส่งไปทีละน้อยนะ อย่าลืม!”
“ครับท่าน” เจฟรับคำแล้วเดินออกจากห้องไปทันที
คังเจียลี่หันกลับมามองแฟนสาวน้อยที่ตอนนี้นั่งอยู่หน้าจอแต่มือของเธอหยุดทำงานเพราะกำลังมองหน้าเขาอย่างสงสัยอยู่ “ว่างไงจ๊ะ คนสวย?! อยากรู้อะไรอีกล่ะคราวนี้?”
“มีเงินนี่ดีนะคะ เหมือนกับจะเนรมิตทุกอย่างได้เลย แพมล่ะเหลือเชื่อเลยที่คุณจ่ายเงินมากมายให้กับคนเหล่านั้นในคราวเดียวกัน เจฟก็ทำงานราวกับว่าได้เงินเดือนเป็นล้าน แล้วคุณเคยนับบ้างไหมค่ะว่าตัวเองจ้างบอดี้การ์ดกี่คนแล้ว??”
“เหมือนว่าแพมกำลังประชดผมว่าใช้เงินฟาดหัวคนอื่นอยู่!?” คังเจียลี่ไม่ตอบแต่ถามกลับบ้าง
หึ! ก็ใช่น่ะสิ!! หญิงสาวคิดในใจ “ไม่นี่คะ เพราะเจตนาเพื่อจะบรรเทาความเดือดร้อนให้พวกเขานี่” ปากกลับตอบไปอีกอย่างแต่ยังอดแขวะไม่ได้อยู่ดี
คังเจียลี่เบ้ปากพร้อมโคลงศีรษะตัวเองอย่างยั่วเย้ากวนประสาทแฟนสาว “เขาเรียกว่าคนใช้เงินเป็นต่างหาก ตอนนี้เงินเป็นปัจจัยหลักอย่างแรกในการดำรงชีวิตไปแล้ว หรือแพมจะเถียงว่าไม่จริง”
“ก็ไม่ผิดหรอกค่ะ แพมไม่คิดว่าคนอื่นจะผิดหากเขาคิดไม่เหมือนเรา”
คังเจียลี่เงยหน้าขึ้นหัวเราะ ลุกขึ้นสาวท้าวเร็วๆ เข้ามาถึงตัวเธอในชั่วพริบตา “บังเอิญว่าผมไม่ใช่คนอื่นที่ไหน แต่เป็นแฟนแพมต่างหาก วันนี้เป็นอะไรรึเปล่า ดูเหมือนแพมหมั่นไส้ผมยังไงไม่รู้” ถามจบก็เกี่ยวเอาเอวคอดกิ่วเข้ามาแนบร่างของตนเองในทันที “หืม???”
พิมพ์ชนกส่ายหน้า “เปล่านี่คะ”
“เปล่าที่ไหน แพมแขวะผมจนจะพรุนทั้งตัวแล้ว!” คังเจียลี่นั่งบนขอบโต๊ะทำงานอย่างหมิ่นเหม่กางขาแกร่งออกเล็กน้อยเพื่อใช้กักแฟนสาวร่างสมส่วนไว้ จรดหน้าผากกว้างของตนเองเข้ากับหน้าผากเนียนได้รูปของเธอ “ไม่เป็นไรแน่นะ”
“อื้อ!” พิมพ์ชนกพยักหน้ารับ ความจริงก็ไม่ได้เป็นอะไรหรอกแต่หงุดหงิดตามประสาวันนั้นของเดือนแบบผู้หญิงจะมาเยือน ทั้งตอนนี้ยังรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหลังอีกด้วย
“ตัวรุมๆ นะ แพมไม่สบายนี่ที่รัก” คังเจียลี่รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิในร่างกายของเธอสูงกว่าปกติ แล้วจึงเลื่อนมือใหญ่ทั้งสองข้างมาลูบคลำใบหน้าทั้งลำคอระหงไปจนทั่ว “ไปนอนพักก่อนนะ เดี๋ยวผมเคลียร์งานแป๊บเดียวแล้วจะพาไปหาหมอ”
“อุ๊ย!!” พิมพ์ชนกอุทานน้อยๆ เมื่อจู่ๆ ร่างของตัวเองลอยหวือขึ้นพร้อมกับร่างสูงออกเดินมาหลังห้องทำงานที่แบ่งเป็นห้องพักผ่อน ซึ่งความจริงแล้วมันเหมือนจะเป็นห้องนอนขนาดใหญ่เลยก็ว่าได้เพราะเตียงนอนขนาดคิงส์ไซส์และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องที่วางอยู่นี้ “ไม่เป็นไรค่ะ ทานยาแก้ปวดก็ดีขึ้นแล้ว”
“ได้ไง! เผื่อเป็นไข้หวัดใหญ่แล้วแย่เลย” คังเจียลี่บอกพร้อมผ่อนร่างบางลงบนเตียงสปริงชั้นดี ลากผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงหน้าท้องแบนราบ “เชื่อผม แพมอย่าดื้อนักเลยน่า...”
“จริงๆ เชื่อแพมเถอะ เอ่อ... แพมจะเป็นแบบนี้ทุกเดือนค่ะ” พิมพ์ชนกชักหมดความอดทนเมื่อเขายังส่ายหน้าไม่เห็นด้วยกับเธอ จะพาไปหาหมอท่าเดียวหญิงสาวจึงแทบจะแยกเขี้ยวบอก “พีเอ็มเอสยังไงเล่าตาบ้านี่!!”
คังเจียลี่เงียบ สมองประมวลคำพูดอายๆ ของเธอทันที อ๋อ... Pre-Menstrual Syndrome อาการอารมณ์แปรปวนของผู้หญิงก่อนมีประจำเดือน!! แล้วก็ไม่บอก “ถึงว่าแพมดูหงุดหงิด ไม่เห็นต้องอายเลยเรื่องธรรมชาติ แล้วมีรึยัง?”
โอ๊ยตายแล้ว! ยังจะมีหน้ามาถามฉันอีก “ไม่ได้หน้าหนาเหมือนคุณนี่ ไปเลยแพมจะนอน”
คังเจียลี่ยกมือขึ้นเชิงว่ายอมแล้ว ใจเย็นน่าสาวน้อย “โอเคๆ เดี๋ยวผมจะให้แมรี่เอายาเข้ามาให้ แพมนอนนะจ๊ะ” ยัยเด็กแสบจอมเฮี้ยวกลายร่างเป็นแม่เสือสาวขี้วีนแล้ว!! ชายหนุ่มออกไปสั่งเลขาหน้าห้องให้เอายามาให้แฟนสาว แล้วได้รับรายงานว่าเธอหลับสนิทไปแล้วจึงวางยาไว้บนโต๊ะข้างเตียงแทน เจ้าพ่อหนุ่มรีบสะสางงานตรงหน้าให้จบเพราะตั้งใจว่าจะพาแฟนสาวไปกินข้าวเย็นที่บ้านด้วยกัน
คังเจียลี่เงยหน้าขึ้นจากเอกสารและวางปากกาในมือลง เขาขยับลำคอหนายืดเส้นยืดสายขับไล่ความเมื่อยล้า นาฬิกาบอกเวลาห้าโมงเย็นแล้ว เธอนอนไปเกือบสามชั่วโมงแล้วน่าจะดีขึ้นบ้างนะ เจ้าพ่อหนุ่มนึกถึงแฟนสาวที่นอนอยู่บนเตียงด้านหลังนี่
ภาพหญิงสาวที่นั่งชันตัวพิงหัวเตียง ผมเผ้ายุ่งนิดๆ ไม่เป็นทรง ปลดกระดุมเสื้อลงมาถึงสามเม็ดทำให้เห็นเนินอกอิ่มรำไร ปากอิ่มแดงเผยอน้อยๆ ตาสีน้ำตาลสดใสที่ดึงดูดใจเขาได้ตั้งแต่แรกเห็นยิ่งปรือเยิ้ม คงดีเป็นบ้าถ้าหากว่าตื่นเช้าขึ้นมาแล้วเห็นภาพนี้ทุกวัน!!
“งานเสร็จแล้วเหรอคะ?” เสียงใสที่ดังขึ้นทำให้เขาตื่นจากภวังค์และเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ เธอ
“จ๊ะ แล้วแพมเป็นไงบ้าง? รู้สึกดีขึ้นไหม? อารมณ์ดีขึ้นรึยัง?”
เสียงนุ่มบ่งบอกความเอาใจใส่เอื้ออาทรทำให้พิมพ์ชนกรู้ตัวว่าเมื่อหลายชั่วโมงที่ผ่านมาเธอแสดงนิสัยแย่ๆ กับเขาไปแล้ว “ขอโทษนะคะ ที่แพมแสดงนิสัยไม่ดีกับคุณ”
คังเจียลี่ยิ้มกว้าง นิ้วแข็งแรงเกี่ยวเอาปรอยผมขึ้นทัดหูอย่างอ่อนโยน เธอน่ารักจริง ไม่อิดออดกล่าวคำขอโทษเมื่อทำผิด ไม่แสแสร้งเล่นตัวท่ามากเมื่อเขาบอกรัก “ขอโทษนี่ แล้วถ้าผมให้โทษแพมจะเต็มใจรับเอาไว้ไหม สวีตฮาร์ท”
ดวงตาสีน้ำตาลมองเขาเหมือนผู้ใหญ่มองเด็กที่ได้คืบจะเอาศอก “คิดจะเอาเปรียบแพมอีกล่ะสิ?”
“ถ้างั้นผมจะอยู่นิ่งๆ ให้แพมจูบผมเองแพมจะได้เอาเปรียบผมบ้าง ได้ไหม? ถือว่าเป็นคำขอโทษก็ได้” คังเจียลี่อดทนเว้าวอนอย่างใจเย็น ผู้ชายอย่างเขาไม่เคยต้องอดทนกับเรื่องแบบนี้ แต่ตั้งแต่ที่ตัดสินใจคบกับเธอแล้ว กับผู้หญิงอื่นแค่คิดเขายังไม่เคยเลยสักครั้ง เหมือนมันตายด้านไปแล้ว แต่กับเธอเพียงแค่เธอปลายตาเขาก็แทบอยากจะกระโจนเข้าใส่แล้ว!!
“นะ... สวีตฮาร์ท ผมควรได้รับรางวัลจากความซื่อสัตย์บ้าง” ไม่พูดเปล่าแต่ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาจนห่างกับแฟนสาวแค่คืบ
พิมพ์ชนกมองใบหน้าหมดจดที่เคลื่อนเข้ามาใกล้จนตาพร่า หลุบตามองริมฝีปากบึกบึนที่เผยอรออยู่ราวกับต้องมนต์สะกด หญิงสาวหลับตาแล้วแตะริมฝีปากตนเองลงกับปากที่เผยออยู่อย่างแผ่วเบาเหมือนไม่รู้ว่าต่อจากนี้ควรทำอย่างไร
คังเจียลี่ดูดดึงริมฝีปากล่าง ขบเม้มหยอกเย้าราวกับมีเวลาสอนเธอทั้งชีวิต ทั้งที่ในใจมันเต้นโครมครามราวกับจะทะลุออกมานอกอก จูบแผ่วๆ ของสาวไม่ประสามันทำให้เขาคึกจนแทบจะลงแดงตายไปตอนนี้ ไม่นานก็เป็นฝ่ายสอดลิ้นเข้าไปหาลิ้นนุ่มเสียเอง เกี่ยวกระหวัดนำทางจนลิ้นเล็กๆ ไล่ตามอย่างน่ารักน่าใคร่ ริมฝีปากทั้งคู่พบกันอยู่เนิ่นนานจนมือที่เคยคิดว่าจะอยู่นิ่งๆ ตอนนี้กลับเหนี่ยวรั้งเอวคอดให้ขึ้นมานั่งคร่อมตักของตนเองเสียแล้ว
พิมพ์ชนกสอดมือเข้าไปในผมสั้น เมื่อเขาถอนริมฝีปากแล้วไล่เลื้อยมาจนถึงลอคำระหง ทั้งจูบทั้งสูดกลิ่นตัวของเธอเข้าไปอย่างเร่งเร้าเรียกร้อง
“เจียลี่! พอ... แล้วค่ะ!” หญิงสาวหอบหายใจห้าม ไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนตักเขาด้วยท่าที่หวาดเสียวอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!!
คังเจียลี่ฟังเสียงหอบที่ละล่ำละลักห้ามเขาอย่างตัดใจ บดจูบหนักๆ ลงที่ซอกคอผ่องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะซบหน้าลงที่ไหล่บอบบางของเธอทั้งที่นั่งแนบชิดกันอยู่อย่างเดิม รอให้ไฟปราถนาที่โหมกระพือขึ้นค่อยๆ มอดลง จึงออกแรงรัดแม่สาวที่นั่งคร่อมบนตักตัวเองจนกระโปรงของเธอล่นขี้นสูงไปถึงไหนต่อไหนเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงห้องน้ำ แล้วจึงวางเธอลง
“ล้างหน้าล้างตาสักหน่อยนะ วันนี้เราไปกินข้าวที่บ้านผมกัน”
พิมพ์ชนกมองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ในห้องน้ำ เมื่อประตูห้องน้ำปิดลงผู้หญิงที่เห็นในกระจก ยังกับยัยสาวร้อนรักปากแดงจนดูเหมือนเจ่อออกมา ตาฉ่ำเยิ้มเหมือนยังอยู่ในห้วงพิศวาส ลำคอเป็นปื้นสีแดงหลายจุด กระดุมหลุดลงมาหลายเม็ด โอ๊ย!! ทำไมถึงได้หลวมตัวไปกับเขาง่ายแบบนี้นะ นี่ถ้าเขาตั้งใจว่าจะจัดการต่อให้จบไปเธอก็คงจะอำนวยความสะดวกให้เขาแบบไม่เกี่ยงงอนสินะ อ๊าย... หน้าไม่อายจริงยัยพิมพ์ชนก!? ไม่มีเวลาคิดนานแล้วล่ะเพราะคนที่ทำให้เธอเคลิ้มไปนั่นเคาะประตูเรียกยิกๆ แล้ว หญิงสาวจึงรีบล้างหน้าล้างตาแล้วออกไปข้างนอกอีกครั้ง
ชั่วโมงถัดมาสองหนุ่มสาวกำลังลงมือกินข้าวมื้อเย็นที่คฤหาสน์สกุลคัง คริสตัลเดินเข้ามาชะงักอยู่หน้าประตูห้องอาหารเมื่อเห็นทั้งคู่กำลังหยอกล้อกันอย่างมีความสุข หญิงสาวหลับตาลงข่มความเจ็บปวดในใจที่เกิดขึ้น ความจริงผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนั้นต้องเป็นเธอต่างหาก หากย้อนเวลากลับไปได้เธอจะลดนิสัยเอาแต่ใจตัวเองของเธอลง เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น นั่นคงทำให้ผูกมัดใจของคังเจียลี่ไว้กับตัวเองได้
“อ้าว! คริสตัลมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?” คังเจียลี่ถามแปลกใจเมื่อเห็นคริสตัลยืนอยู่ที่ประตู
คริสตัลยิ้มหวานให้กับทั้งคู่ที่หันมามองตัวเอง พลางเดินเข้าไปด้านใน “เมื่อสักครู่นี่เองล่ะค่ะ คุยอะไรกันอยู่ น่าสนุกเชียว?” แกล้งถามไปอย่างนั้นทั้งที่ในใจได้ยินคำพูดหวานหูของคังเจียลี่ที่ตัวเองไม่เคยได้รับ
“ไม่มีอะไรหรอกคะ คุณคริสตัลทานข้าวด้วยกันนะคะ” พิมพ์ชนกชวนพร้อมลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณค่ะ คุณแพมไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ถือซะว่าเราเป็นเพื่อนกัน อีกอย่างบ้านนี้เมื่อก่อนคริสตัลก็มาบ่อยๆ” คริสตัลบอกพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งตรงกันข้ามกับพิมพ์ชนกเพราะคังเจียลี่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะอาหาร “เดร็กคะ ทานข้าวสร็จฉันขอคุยด้วยหน่อยนะคะ มีเรื่องงานหลายอย่างที่ยังไม่เข้าใจอยากขอคำปรึกษาคุณหน่อย”
“คุณแพมไม่ว่านะคะถ้าจะขอยืมตัวเดร็ก?” คริสตัลหันมาถามพิมพ์ชนก
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะคะ ดิฉันเสียอีกที่ต้องบอกคุณคริสตัลว่าถ้ามีอะไรพอที่ดิฉันจะช่วยได้ก็ให้บอกเลยนะคะ” พิมพ์ชนกอาสา
“น่ารักจังคะ” คริสตัลชมตรงๆ แต่ในใจกลับคิดว่าฉันอยากให้เธอช่วยเดินออกไปจากชีวิตของเขาเธอจำทำได้ไหม?
“ทานเถอะครับ เดี๋ยวจะอิ่มคำชมกันเสียก่อน” คังเจียลี่บอก แล้วหันมาตักอาหารใส่จานของแฟนสาวเหมือนเคยที่ทำอยู่เป็นประจำ
คริสตัลมองการเอาใจใส่ของทั้งคู่ที่แสดงออกมาแล้วชักไม่แน่ใจว่าเธอจะได้คังเจียลี่กลับคืนมาดังเดินรึเปล่า? เขาดูสบายใจเหลือเกินที่เมื่อมองผู้หญิงคนนี้ แววตาขี้เล่นที่เขามองพิมพ์ชนกมันต่างจากที่เขาเคยมองผู้หญิงที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด!! ขอเถอะค่ะเดร็ก!! คุณรู้ไหมว่าฉันต้องการคุณมากแค่ไหน ชีวิตฉันจะดำเนินต่อไปยังไงในเมื่อชีวิตของฉันไม่เหลือใครแล้ว คริสตัลร่ำร้องในใจ ไม่นานอาหารมื้อเย็นที่ฝืดคอที่สุดของคริสตัลก็สิ้นสุดลง หญิงสาวจึงขอตัวเข้าไปรอในห้องทำงานของคังเจียลี่แต่ก็ต้องหยุดชะงักอยู่หลังประตูบานใหญ่เมื่อได้ยินทั้งคุยกัน
“แพมจ๋า ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ารอผมข้างบนนะ เดี๋ยวพอผมคุยกับคริสตัลจบแล้วจะขับรถไปส่งแพมเอง นี่กุญแจห้อง” คังเจียลี่ส่งลูกกุญแจห้องนอนของตนเองให้แฟนสาว เมื่อหลายวันก่อนเขาสั่งให้คนจัดเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวสำหรับเธอเตรียมไว้ให้เต็มตู้เลยทีเดียว จนแม่บ้านและเด็กรับใช้แอบยิ้มเพราะความจริงแฟนสาวของเจ้านายไม่เคยค้างที่นี่เลยด้วยซ้ำ!!
พิมพ์ชนกส่ายหน้า “ให้ใครเอารถออกไปส่งแพมก็ได้นี่คะ คุณจะได้ไม่ต้องรีบ อีกอย่างถ้ารอจนกว่าคุณเสร็จธุระแพมกลัวว่าจะดึกไปกันใหญ่น่ะสิคะ”
“ก็แพมไม่ค่อยสบายผมก็อยากไปส่งด้วยตัวเอง แพมทำตามที่ผมบอกน่ะดีแล้ว เชื่อฟังผมหน่อยสิที่รัก”
ไม่รู้เป็นอะไรเมื่อได้ยินประโยคคำสั่งจากคนตัวโตนี่ทีไร แรงขัดขืนมันก็เริ่มเลือนหายไปทุกวัน พิมพ์ชนกลุกขึ้นเดินตามแรงลุนหลังของคังเจียลี่ออกจากห้องอาหารอย่างเสียไม่ได้
“น่า... รอไม่เกินชั่วโมงหรอก หรือถ้าแพมเพลียก็หลับไปเลยก็ได้ รับรองว่าผมจะส่งแพมถึงเตียงในห้องนอนแพมเลย” บอกพร้อมดันร่างสมส่วนที่ยืนตัวแข็งทื่อให้เคลื่อนออกไปเหมือนลากของสักอย่าง
คริสตัลจึงรีบเดินออกจากบริเวณนั้นทันที!
“ไปก็ได้ แต่ต้องไปส่งแพมจริงๆ นะ แพมไม่ค้างที่นี่แน่” พิมพ์ชนกก้าวขาออกเดินเองเมื่อถึงหน้าประตูห้องอาหาร
“จ้า... ผมจะรอวันที่แพมมาค้างโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้นนั่นล่ะ ไปก่อนนะเดี๋ยวคริสตัลรอนาน” คังเจียลี่ฉวยโอกาสจุ๊บแก้มนุ่มแรงๆ หมั่นเขี้ยวเธอนัก รีบเดินหนีพลางหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินเสียงบ่นไล่ตามหลังมา
“คุณดูดีขึ้นมากแล้วนี่” คังเจียลี่บอกกับคริสตัลที่นั่งรออยู่ในห้องทำงาน
“ค่ะ ก็พยายามทำใจให้ได้อยู่ แต่ฉันเริ่มไม่มีสมาธิเพราะเรื่องงานที่มันเหมือนจะวิ่งมาชนฉันท่าเดียว จนทำอะไรไม่ถูกแล้ว” คริสตัลบอกเมื่อจับต้นชนปลายงานด้านบริหารธนาคารที่บิดาทิ้งไว้ให้สืบต่อ
“ค่อยๆ ทำไปสิ ไหนวันนี้มีอะไรให้ผมช่วย?” คังเจียลี่ถามเข้าเรื่องมองแฟ้มเอกสารสองสามแฟ้มที่วางอยู่ตรงหน้าหญิงสาว
“คุณเปลี่ยนไปจากเดิมเยอะมากเลยนะคะเดร็ก” คริสตัลเงยหน้าขึ้นมองหน้าหล่อเหลาพร้อมทั้งบอกตรงๆ
“เหรอ! แต่ผมว่าผมก็เหมือนเดิมนะ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น เหมือนผู้ชายเจ้าเสน่ห์
“เธอย้ายเข้ามาอยู่กับคุณแล้วเหรอคะ?” คริสตัลมองสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นไม่พอใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “ขอโทษค่ะ ฉันแค่บังเอิญได้ยิน”
ปากบึกบึนยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก “ความจริงอยากทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เธอเป็นเด็กที่หลอกได้ยากมาก”
“จะจบลงที่เด็กคนนี้จริงๆ น่ะเหรอคะ??” คริสตัลถามด้วยน้ำเสียงเหมือนท้อปนอยากรู้
“เราเพิ่งตกลงคบกันได้เดือนกว่าๆ เอง” คังเจียลี่จับกระแสเสียงแห่งความน้อยใจได้ แต่รู้ว่าเธอเสียใจจึงไม่อยากจะทำร้ายจิตใจเธอขึ้นไปอีก “มาคุยเรื่องของเราดีกว่า”
คริสตัลจำต้องเปิดแฟ้มเอกสารขึ้นมาเมื่อรู้ว่าผู้ชายตรงหน้าเริ่มไม่พอใจที่เธอเข้าไปวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของเขาแล้ว นี่ล่ะคังเจียลี่คนเดิมที่เธอเคยรู้จัก!! เขาจะแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมีใครเข้าไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของเขา และทำให้เข้าใจได้ง่ายว่าเขายังเหมือนเดิมอย่างที่เจ้าตัวยืนยันจริงๆ เพียงแต่เขาแสดงความรู้สึกในด้านที่ไม่เคยมีใครได้เห็นกับผู้หญิงที่เขาพอใจเท่านั้นเอง
พิมพ์ชนกมองบันไดโค้งยาวสูงขึ้นไปชั้นบนของบ้าน หลังจากที่คังเจียลี่เข้าไปในห้องทำงานแล้ว พลางคิดว่าคนรวยนี่ก็รวยไม่รู้เรื่องจริงๆ ดูอย่างราวบันไดบ้านหลังนี้หน่อยเป็นไร ยังใช้ทองเหลืองมาหล่อเป็นลูกกรงเลย! ความยาวและแต่ละขั้นของบันไดรู้สึกได้ว่าถูกออกแบบมาอย่างดีเพราะรู้สึกได้ถึงการก้าวเดินขึ้นไปอย่างสะดวกสบาย หญิงสาวกระพริบตาถี่ๆ เมื่อถึงขั้นพักของบันไดแล้วมองเห็นคังหย่งเหอกำลังปิดประตูห้องของคังเจียลี่อย่างเบามือ หญิงสาวก้มตัวลงมองลอดซี่ของลูกกรงทองเหลืองขึ้นไปก็เห็นเขากำลังเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนกลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า พร้อมกับถือถุงพลาสติกใสๆ ไว้ในมือ พิมพ์ชนกนั่งคู้ตัวลงเมื่อคังหย่งเหอเดินเข้ามาใกล้บันไดแต่หญิงสาวยังสามารถมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจน และเห็นด้วยว่าของที่อยู่ในถุงพลาสติกใบนั้นคือแปรงสีฟัน!??
เมื่อได้ยินเสียงปิดประตูห้องดังขึ้น หญิงสาวจึงลุกขึ้นและเดินขึ้นบันไดไปจนเดินไปหยุดที่หน้าประตูห้องของแฟนหนุ่มตัวเอง มือบางเสียบลูกกุญแจที่ได้มาแล้วบิด เสียงปลดล็อกประตูก็ดังขึ้นเหมือนปกติถ้าเธอไม่บังเอิญมาเห็นเข้าเสียก่อน หญิงสาวสอดตัวเข้ามาในห้องนอนกว้างที่เคยเข้ามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พร้อมสอดส่ายสายตาหาความผิดปกติจากเดิม แต่ห้องทั้งห้องยังอยู่ในสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ใช่สิ!! แปรงสีฟัน! คิดได้ดังนั้นจึงรีบสาวเท้าเข้ามาในห้องน้ำทันที เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าขนาดใหญ่ที่วางอ่างสีทองไว้สองใบ ฝั่งหนึ่งเป็นของใช้ส่วนตัวของคังเจียลี่ อีกฝั่งหนึ่งเจ้าของห้องบอกว่าเตรียมไว้สำหรับเธอเอง หญิงสาวหยิบแปรงสีฟันขึ้นมาพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วน แปรงสีฟันที่เธอเพิ่งจะเคยใช้เพียงครั้งเดียวก็มีร่องรอยของการใช้อย่างเห็นได้ชัด ส่วนแปรงสีฟันของคังเจียลี่ยังเป็นแปรงใหม่ที่ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน! คังหย่งเหอต้องเปลี่ยนแปรงสีฟันแน่ๆ หญิงสาวคิดในใจ
“แล้วอาหย่งเหอจะเอาแปรงสีฟันของเจียลี่ไปทำไม? แล้วทำไมไม่ขอดีๆ? ทำไมต้องทำลับๆ ล่อๆ แอบย่องเข้ามา? ก็เขาบอกว่าล็อกประตูห้องทุกครั้งนี่นา แสดงว่าอาหย่งเหอต้องใช้กุญแจสำรองไขประตูเข้ามาแน่” พิมพ์ชนกวางแปรงสีฟันไว้ที่เดิมแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมความสงสัยเต็มที่พลางทรุดนั่งลงบนเตียงกว้าง
ครั้นว่าจะเดินออกไปถามก็ไม่กลัวว่าจะมีเรื่องเป็นราวขึ้นมา ก็แฟนของเธอบอกว่าไม่ได้ไว้ใจเขาเต็มร้อยนี่นา มันก็แค่แปรงสีฟันเดี๋ยวจะผิดใจกันเปล่าๆ นั่นสิ! มันแค่แปรงสีฟันแล้วจะเอาไปทำไมล่ะเนี่ย!!?? หญิงสาวเดินกลับเข้าห้องน้ำอีกครั้งเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า อดอมยิ้มภูมิใจไม่ได้ที่เปิดตู้เสื้อผ้าออกมาแล้วมีของใช้ส่วนตัวสำหรับตัวเองเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบอยู่เต็มตู้ จากนั้นจึงเดินออกมานั่งที่เก้าอี้นวดตัวใหญ่มือบางกดรีโมตเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆ สักพักแฟนหนุ่มของเธอก็เดินเข้ามาในห้องและขับรถไปส่งเธอที่คฤหาสน์สกุลโจวในเวลาต่อมา
รุ่งเช้าคังเจียลี่และพิมพ์ชนกสั่งให้คนขับรถแวะเยี่ยมภรรยาของฟู่หลงก่อนเข้าบริษัทเพราะเจฟรายงานว่าเธอรู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว
“เจียลี่คะ คุณเคยลืมล็อกห้องนอนของตัวเองบ้างรึเปล่า?” พิมพ์ชนกถามขึ้นเมื่อเดินเข้ามาในโรงพยาบาล
“ไม่เคยจ๊ะ” คังเจียลี่ขมวดคิ้วแต่ก็ตอบคำถามแต่โดยดี
“แล้วกุญแจนี่คุณมีสำรองกี่ดอก เก็บไว้ที่ไหนบ้าง??”
“มีสองดอก อยู่กับผมดอกนึง อยู่ในห้องทำงานดอกนึงแต่ห้องทำงานก็ล็อกนะ แพมถามทำไม??” ชายหนุ่มชักสงสัย
“เปล่าค่ะ แค่ถามเฉยๆ” พิมพ์ชนกตอบแบบกำปั้นทุบดินส่งผลให้ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ ของคนที่จับมือตัวเองอยู่
“ไอ้คำว่าเฉยๆ ของแพมนี่ สมองของผมมันแปลความหมายว่าไม่เฉยๆ นะ”
“สมองหาเรื่องน่ะสิ ถามไม่ได้หรือไง? ก็คนมันอยากรู้” พิมพ์ชนกว่าพาลๆ เมื่อกลัวว่าเขาจะซักเพิ่ม หญิงสาวกระตุกมือเมื่อถึงห้องที่ภรรยาของฟู่หมิงนอนพักฟื้นอยู่
ไอ้เรื่องเฉไฉนี่เก่งนักล่ะ คังเจียลี่ส่ายหน้าให้กับความเป็นคนขี้สงสัยของแฟนสาว “ไม่เป็นไร นอนลงเถอะ” คังเจียลี่รีบเอ่ยปากบอกคนป่วยที่ทำท่าจะชันตัวลุกขึ้นเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาในห้อง
“เป็นยังไงบ้างคะ? ยังเจ็บตรงไหนอยู่รึเปล่า ขอโทษด้วยที่วันนั้นดิฉันตะโกนบอกคุณไม่ทัน” พิมพ์ชนกบอกกับคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียง
“คุณอย่าพูดอย่างนั้นเลยค่ะ ความจริงแล้วเป็นความผิดของดิฉันเองที่ประมาทไม่ใส่หมวกนิรภัยเลยทำให้ต้องเป็นแบบนี้”
“แล้วหมอว่ายังไงบ้างคะ ได้ตรวจอาการซ้ำอีกรอบรึยัง?” พิมพ์ชนกถามต่อ
“ตรวจแล้วค่ะ หมอบอกว่าโชคดีที่ลิ่มเลือดคั่งในสมองไม่มาก แต่เสียเลือดมาเพราะหัวแตกกับแผลที่ขาเป็นทางยาว ดิฉันขอบคุณท่านประธานมากนะคะที่อุตส่าห์บริจาคเลือดให้ดิฉัน ไม่รู้จะขอบคุณยังไงดีแล้วค่ะท่าน” คนป่วยละล่ำละลักบอก
“รักษาตัวให้หายดีก็พอ ส่วนเรื่องผู้ชายคนนั้นฉันให้คนสอบสวนได้ความมาบ้างแล้วแต่ขอเวลาอีกสักหน่อยฉันถึงจะจัดการอะไรๆ ได้ ตอนนี้ก็ให้เรื่องเงียบไปก่อน คงเข้าใจนะ” คังเจียลี่บอก คนของเขาสอบสวนพบพิรุธหลายอย่างจากชายคนนี้แต่เขายังปากแข็งไม่ยอมพูดความจริงออกมา เขาจึงให้ปล่อยตัวไปและให้คนตามดูผู้ชายคนนี้ทุกฝีก้าว
“เราสองคนแล้วแต่ท่านประธานครับ ท่านให้ทำยังไงผมก็จะทำอย่างไม่ขัดข้องครับท่าน” ฟู่หลงที่ยืนอยู่ปลาบเตียงตอบ
“แพมขอไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ” พิมพ์ชนกบอกเมื่อเห็นว่าคังเจียลี่ยังมีเรื่องคุยกับสองสามีภรรยาอยู่ หญิงสาวเดินออกมาด้านนอกตามทางเดินยาวๆ ที่มีป้ายไฟบอกทางไปห้องน้ำเป็นระยะ หญิงสาวชะงักกึก! เมื่อทางแยกข้างหน้าเห็นคังหย่งเหอเดินผ่านหน้าไปอย่างรีบร้อน ในมือของเขายังถือซองสีน้ำตาลไว้อีกด้วย!! หญิงสาวรีบวิ่งตามหลังคังหย่งเหอไปห่างๆ เขาเดินขึ้นบันไดไปบนชั้นสองของโรงพยาบาลแล้วเลี้ยวขวา
พิมพ์ชนกมองป้ายที่เขียนไว้ว่าForensic Medicine แผนกนิติเวชศาสตร์เหรอ!? เขามาทำอะไรที่นี่กัน? หญิงสาวมองร่างของคังหย่งเหอที่คุยบางอย่างกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ พร้อมยื่นซองสีน้ำตาลให้ เจ้าหน้าที่เปิดซองออกดู พิมพ์ชนกเบิกตากว้างเมื่อเห็นถุงพลาสติกใสที่มีแปรงสีฟันอยู่ด้านใน มันเป็นถุงเดียวกันกับเมื่อคืนนี้!! แต่เจ้าหน้าที่ดึงออกมาสองถุงและเป็นแปรงสีฟันทั้งคู่ คังหย่งเหอเซ็นเอกสารบางอย่างและทำท่าว่าจะเดินกลับออกมา หญิงสาวจึงวิ่งเข้าไปหลบในห้องๆ หนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ
สักพักเมื่อเห็นว่าคังหย่งเหอเดินออกไปแล้วหญิงสาวจึงรีบเข้าไปด้านในบ้าง “ขอโทษนะคะ อยากทราบว่าที่นี่รับตรวจดีเอ็นเอใช่ไหมคะ?” พิมพ์ชนกถามเข้าเรื่องทันที เธอมั่นใจว่าการถือแปรงสีฟันเข้ามาที่นี่ก็คงต้องตรวจดีเอ็นเอทั้งนั้น
“ใช่ค่ะ” เจ้าหน้าที่ตอบยิ้มแย้ม
“แปรงสีฟันของคนที่ต้องการตรวจก็ใช้ตรวจได้เหมือนกันใช่ไหมคะ?”
“ใช้ได้ค่ะ ปกติจะใช้การตรวจเลือดหรือเซลล์ข้างกระพุ้งแก้ม แต่ถ้าไม่สะดวกก็ใช้แปรงสีฟันได้เหมือนกันค่ะ”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” พิมพ์ชนกยิ้มให้เจ้าหน้าที่แล้วก็ต้องโพล่งถามออกไปอีกครั้งหนึ่ง “แล้วกี่วันถึงจะรู้ผลคะ?”
“ไม่เกินสามวันคะ” เจ้าหน้าที่ตอบ
พิมพ์ชนกหันกลับมาถึงกับสะดุ้งเพราะคังหย่งเหอยืนนิ่งงันอยู่ตรงประตูกระจกที่ใช้กั้นเพื่อความเป็นสัดส่วนของแต่ละแผนก
“เอ่อ!! หนูแพมมาทำอะไรที่นี่!??” คังหย่งเหอเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน
“แพมมาถามเกี่ยวกับการตรวจดีเอ็นเอน่ะคะ ว่าใช้แปรงสีฟันได้รึเปล่า” หญิงสาวตอบออกไปพร้อมทั้งสังเกตุสีหน้าตกใจของคังหย่งเหอ “แล้วคุณอาหย่งเหอมาตรวจดีเอ็นเอเหมือนกันเหรอคะ??”
“อะ... เอ่อ หนูแพมนี่ตลกนะ อาจะมาตรวจดีเอ็นเอทำไมกัน” คังหย่งเหอตอบตะกุกตะกัก หันหลังกลับเดินออกจากห้อง ตอนแรกเขาจะกลับเข้ามาบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าจะมารับผลตรวจเองไม่ต้องส่งตามไปที่บ้าน แต่กลับพบพิมพ์ชนกยืนซักถามเจ้าหน้าที่อยู่
หญิงสาวเดินตามช้าๆ “ความจริงแล้วแพมมาเยี่ยมคนงานที่นอนอยู่ข้างล่างกับเจียลี่น่ะค่ะ ตอนนี้เขาก็รอแพมอยู่” คำพูดของเธอไม่ได้ทำให้คังหย่งเหอหันกลับมา หญิงสาวจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อเดินไปขวางหน้าคังหย่งเหอ “คุณอาเอาแปรงสีฟันของเจียลี่กับของใครมาตรวจคะ??”
คังหย่งเหอตกใจเมื่อสาวน้อยตรงหน้าถามเขาอย่างตรงไปตรงมา สายตามุ่งมั่นจริงจัง “หนูแพมพูดอะไร อาไม่รู้เรื่อง อาจะเอา...”
พิมพ์ชนกชิงพูดตัดหน้าขึ้นมาทันที “เมื่อคืนหนูเห็นคุณอาแอบออกมาจากห้องนอนของเจียลี่พร้อมกับถุงใส่แปรงสีฟันที่คุณอายื่นให้เจ้าหน้าที่ก่อนหน้านี้” พิมพ์ชนกดักหน้าเขาไว้ทุกๆ ทางอย่างที่ดิ้นไม่หลุด
เป็นนานแต่หญิงสาวก็ยังไม่ได้คำตอบจากคนตรงหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคุณอาไม่ยอมเล่าให้หนูฟัง ก็ให้เจียลี่มาถามกับคุณอาเองก็แล้วกัน!” พูดจบก็หันหลังกลับก้าวเดินออกมาทันที
“เดี๋ยวก่อน! หนูแพม!!” คังหย่งเหอหมดหนทางจำต้องเรียกหญิงสาวให้หันกลับมาหาเขาอีกครั้ง
กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง... เจฟเข้าไปยื่นโทรศัพท์เครื่องบางให้เจ้านายที่นั่งรอแฟนสาวอยู่ตรงเก้าอี้ที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้
“คุณเดร็กครับ คุณแพมจะคุยด้วยครับ”
“แพมทำอะไรอยู่ นานจัง??” คังเจียลี่กรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ทันที เธอบอกว่าจะมาเข้าห้องน้ำ แต่จนเขาคุยกับฟู่หลงจบแล้วเธอยังไม่มาเลย
“เจียลี่คะ วันนี้แพมขอลางานหนึ่งวันนะคะ พอดีเพื่อนแพมมาฮ่องกงแล้วเพิ่งจะบอก แพมต้องรีบไปรับเขาที่สนามบินตอนนี้แพมออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว พรุ่งนี้เจอกันนะคะ” พิมพ์ชนกบอกพร้อมตัดสายไปอย่างรวดเร็วเพราะตอนนี้เธอนั่งอยู่บนรถกับคังหย่งเหอแล้ว
“ฮัลโหลๆ แพมเดี๋ยวสิ!! แพม!!!” เขารู้ดีทีเดียวว่าเธอโกหก! แต่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมไม่บอกเขาดีๆ หายไปแบบนี้ไม่รู้หรือไงว่าเป็นห่วง โทรกลับไปก็ปิดเครื่องซะแล้ว คังเจียลี่ส่งโทรศัพท์คืนเจฟพร้อมกับเดินหัวเสียออกจากโรงพยาบาล
“เจฟให้ใครไปคอยดูคุณแพมอยู่หน้าบ้านสกุลโจวด้วยนะว่าเธอกลับเข้าบ้านมาเมื่อไหร่”
“ครับท่าน” เจฟรับคำแต่ต้องหลบตาเพราะเจ้านายไม่ได้แสดงสายตาขุ่นมัวเหมือนพายุกำลังจะพัดเข้าถล่มฮ่องกงนานแล้ว แต่คุณพิมพ์ชนกสามารถทำให้เจ้านายเขาอารมณ์เสียสุดๆ และอารมณ์ดีสุดๆ ได้ไม่ยากเลย
รถคันหรูของคังหย่งเหอเลี้ยวเข้ามาจอดในสุสานของสกุลคัง พิมพ์ชนกเดินตามหลังคังหย่งเหอมาหยุดอยู่ที่หน้าหลุมฝังศพที่มีรูปพ่อและแม่ของแฟนหนุ่มเธอติดอยู่ หญิงสาวคำนับแสดงความเคารพทั้งคู่พร้อมๆ กับคังหย่งเหอ เสียงถอนหายใจหนักเหมือนคนคิดหนักก็ดังขึ้นในความเงียบ
“อาตรวจดีเอ็นเอของตัวเองกับเจียลี่” จู่ๆ คังหย่งเหอก็พูดขึ้นพร้อมหมุนตัวเดินไปทรุดนั่งลงที่ม้าหินอ่อนที่วางไว้ตรงทางเดินแคบๆ
พิมพ์ชนกเดินตามและนั่งลงบนม้าหินอ่อนตัวที่วางอยู่ห่างกันเล็กน้อย “หนูไม่เข้าใจว่าคุณอาทำอย่างนั้นทำไม?”
“เจียลี่มีหมู่เลือดที่ไม่ตรงกับพ่อแม่ อาสงสัยเลยต้องแอบเข้าไปเอาแปรงสีฟันเขาไปตรวจดีเอ็นเอ” คังหย่งเหอหันมามองหน้าพิมพ์ชนกแล้วก้มลงยิ้มเศร้ากับตัวเอง “เมื่อก่อนอากับแม่ของเจียลี่เคยรักกัน แต่ผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูลเห็นพ้องต้องกันว่าอยากให้พี่ใหญ่กับเหม่ยเฟิ่งได้ครองคู่กัน เหม่ยเฟิ่งไม่กล้าขัดใจพ่อของเธอเพราะท่านป่วยหนักและอยากฝากฝังลูกสาวคนเล็กให้กับคุณชายใหญ่ของตระกูลคังซึ่งเป็นคนขยันเอาการเอางาน พี่ใหญ่เองก็รักเหม่ยเฟิ่งได้ไม่ยากเพราะเธอหน้าตาสะสวย อ่อนหวาน ช่างเอาใจแล้วยังกตัญญูรู้คุณจึงทำให้เธอไม่กล้าบอกกับพ่อของตัวเองว่าคบกับอาอยู่”
“แล้วคุณลุงหย่งหนานไม่ทราบเรื่องเลยเหรอคะ??” พิมพ์ชนกถามอย่างสงสัย
คังหย่งเหอส่ายหน้า “ไม่หรอก เวลาผ่านไปได้ไม่นานนักพ่อของเหม่ยเฟิ่งก็อาการทรุดหนัก!! ผู้ใหญ่จึงลงความเห็นว่าต้องจัดงานมงคลขึ้นก่อนที่พ่อของเหม่ยเฟิ่งจะจากไปและก็เป็นการแก้เคล็ดเอาเรื่องดีๆ เข้าบ้านตามความเชื่อของชาวจีนโบราณ เย็นวันนั้นเหม่ยเฟิ่งออกมาบอกเรื่องนี้กับอาและบอกให้เราตัดขาดความรู้สึกที่มีต่อกันเพราะพี่ใหญ่เป็นสุภาพบุรุษกับเธอมาก หลังจากเธอแต่งงานเธอจะรักเพียงแค่พี่ใหญ่เท่านั้น แต่อาเองก็ยืนยันว่ารักเธอไม่น้อยไปกว่าพี่ใหญ่เหมือนกัน และที่สำคัญคือเราทั้งสองคนรักกัน เหม่ยเฟิ่งพูดไม่ออกได้แต่ยิ้มเศร้าๆ คืนนั้นเหม่ยเฟิ่งตัดสินใจมอบตัวเองให้อาและขอให้เราตัดสัมพันธ์กันอย่างเด็ดขาด”
“ตายจริง!! แล้วคุณอาทำยังไงต่อคะ??” พิมพ์ชนกถามและพอจะเดาเรื่องได้ลางๆ ว่าทำไมคังหย่งเหอถึงต้องแอบไปตรวจดีเอ็นเอ
“อาเองก็ไม่สามารถที่จะปล่อยมือจากเธอได้เช่นกัน อาเป็นผู้ชายคนแรกของเหม่ยเฟิ่ง อาจะไปพูดและขอร้องพี่ใหญ่ให้ปล่อยเหม่ยเฟิ่งให้กับอา แต่เหม่ยเฟิ่งขู่ว่าถ้าอาทำอย่างนั้นจะไม่มีใครได้เห็นเธออีกเลยตลอดชีวิต!! ด้วยเหตุผลอีกหลายอย่างเหม่ยเฟิ่งบอกอาว่าขอให้เราจากกันด้วยดีเธอไม่อยากเป็นลูกอกตัญญูที่ทำให้ความหวังของพ่อและอีกหลายคนทั้งพังทลาย อาเองก็น้ำท่วมปากพูดไม่ออก เมื่อทำอะไรไม่ได้และก็ไม่อาจมองคนที่ตัวเองรักต้องเข้าพิธีแต่งงานได้อีกเหมือนกัน อาเลยตัดสินใจไปใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษ”
“คุณอากำลังสงสัยว่าเจียลี่เป็นลูกชายของคุณอากับคุณป้าเหม่ยเฟิ่งเหรอคะ??”
คังหย่งเหอหันมาสบตากลมโตสีน้ำตาลพร้อมพยักหน้าช้าๆ “พี่ใหญ่มีเลือดกรุ๊ปโอ เหม่ยเฟิ่งกรุ๊ปบี มันเป็นไปไม่ได้ที่เจียลี่มีเลือดกรุ๊ปเอบี แต่อามีเลือดกรุ๊ปเอ อาคิดอยู่หลายวันว่าควรจะตรวจดีเอ็นเอรึเปล่า? ถ้ารู้ว่าเขาเป็นลูกแล้วผลดีผลเสียที่เกิดขึ้นจะเป็นยังไง หรือถ้ารู้แล้วเจียลี่จะรู้สึกยังไง? อาตอบได้ว่าเขาคงรู้สึกแย่มากๆ และอารู้สึกว่ามันโหดร้ายกับเจียลี่มากเกินไปเพราะชีวิตวัยเด็กของเขาไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่เท่าที่ควร อาเองก็ไม่ได้อยู่ที่ฮ่องกง รู้เพียงแต่ว่าพี่ใหญ่และเหม่ยเฟิ่งทำงานหนักจนต้องส่งลูกเข้าโรงเรียนประจำ แล้วโตอีกสักหน่อยก็ส่งไปเรียนต่อที่อเมริกา”
“แล้วคุณอามั่นใจรึเปล่าคะว่าเจียลี่เป็นลูกชายของคุณอา” พิมพ์ชนกรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจ สับสน เสียใจปะปนกันหลายอย่างอย่างเห็นได้ชัด
“ตอนแรกก็ยังไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ในคืนเดียวมันจะก่อให้เกิดผลพวงของสิ่งมีชีวิตตามมาได้ แต่มาถึงตอนนี้ คิดทบทวนเรื่องทุกอย่างถี่ถ้วนแล้ว คงต้องตอบว่าแน่ใจมากที่สุด เหลือแค่อยากจะให้มีหลักฐานอ้างอิงที่เชื่อถือได้เท่านั้นเอง”
“แล้วคุณอาตัดใจจากคุณป้าเหม่ยเฟิ่งได้จริงๆ น่ะเหรอคะ??”
“ไม่เคยเลย ไม่เคยแม้เวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม จนพี่ใหญ่เรียกตัวอากลับมาให้มาช่วยบริหารงาน เพราะตอนนั้นเหม่ยฉีกับเหม่ยเฟิ่งมีปากเสียงกันรุนแรง พี่ใหญ่จึงตัดสินใจออกมาเปิดเค คอนสตรักชั่นเองเพื่อตัดปัญหาของทั้งคู่ อาเลยได้กลับมาฮ่องกงคราวนั้นเพราะพี่ใหญ่ขอร้องให้มาช่วยทำงาน แต่ทุกครั้งที่เห็นเหม่ยเฟิ่งปฏิบัติกับพี่ใหญ่ตามประสาสามีภรรยา อาแทบจะคุกเข่าลงและขอร้องให้พี่ใหญ่คืนคนรักให้อา จนมีอยู่ครั้งหนึ่งพี่ใหญ่กับเหม่ยเฟิ่งมีปากเสียงกัน พี่ใหญ่พลั้งมือตบหน้าเหม่ยเฟิ่งเข้า อาเห็นและทนไม่ได้จึงเข้าไปบอกเรื่องทั้งหมดกับพี่ใหญ่ให้ได้รู้ ขอร้องว่าถ้าไม่รักเธอแล้วให้ปล่อยเธอไป พี่ใหญ่โกรธมากถึงขั้นตัดขาดพี่น้องกับอา”
“เจียลี่ไม่รู้เรื่องเหรอคะ??” พิมพ์ชนกถาม
“วันที่อาทะเลาะกับพี่ใหญ่เจียลี่ก็อยู่นะ เขากลับฮ่องกงทุกปีแต่เจียลี่ไม่ค่อยได้อยู่บ้านคงจะไม่ได้สนใจอะไรมาก ตอนนั้นเขาเป็นหนุ่มสิบแปดปีได้มั้ง แล้วอากับพี่ใหญ่ก็คุยกันในห้องทำงานสองคน อาเห็นแก่ตัวตัดสินใจบอกให้เหม่ยเฟิ่งทิ้งพี่ใหญ่แล้วหนีไปกับอา ตอนนั้นอาไม่ได้คิดถึงเจียลี่เลย แต่เหม่ยเฟิ่งไม่ยอมท่าเดียว รุ่งเช้าอากำลังจะขึ้นเครื่องบินคิดว่าจะไม่กลับมาฮ่องกงอีกตลอดชีวิต แต่เด็กที่บ้านก็โทรมาบอกว่าพี่ใหญ่กับเหม่ยเฟิ่งเกิดอุบัติเหตุรถพุ่งตกเขาแล้วระเบิด อาก็เลยต้องอยู่ทำงานรอจนกว่าเจียลี่จะเรียนจบ”
ถึงว่าล่ะ! เจียลี่ถึงได้บอกว่าแม่ของเขาเอาแต่กอดเขาแล้วร้องไห้อย่างเดียว เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง “เดาว่าคุณอาคงรู้ว่าเจียลี่มีเลือดกรุ๊ปเอบีจากที่เขาบริจาคเลือดให้คนงานก่อสร้างใช่ไหมคะ”
“ใช่จ๊ะ แต่อาก็ภาวนาให้ผลที่ตรวจออกมาเจียลี่กับอาเป็นแค่อากับหลานเหมือนเดิมก็คงจะดีกับเจียลี่มากกว่า” คังหย่งเหอหันมาบอกหญิงสาวที่รู้ดีว่าเธอเป็นคนพิเศษ จึงยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะคะ เจียลี่อาจจะดีใจก็ได้ที่เขายังเหลือพ่ออยู่ข้างๆ อีกคน ไม่ได้โดดเดี่ยวเหมือนที่เป็นมา อีกอย่างแพมว่าเจียลี่น่าจะมองอีกมุมที่ทั้งหมดเป็นแบบนี้มันก็ทำให้เขาเติบโตอย่างแข็งแรง รู้จักว่าต้องแสดงความเป็นมิตรกับคนรอบข้างเพื่อจะได้มองคนอื่นอย่างทะลุปรุโปร่งว่าคนเหล่านั้นคิดกับเขายังไง เหมือนที่เขาทำอยู่จนติดเป็นนิสัยแล้วนะคะ”
คังหย่งเหอยิ้มกับความเป็นคนรู้จักคิดของเธอ เธออายุยังน้อยนักหากเทียบกับคนที่กำลังคบหาอยู่แต่ก็สามารถอ่านนิสัยใจคอของผู้ชายที่ผ่านโลกมามากอย่างคังเจียลี่ได้ราวกับอ่านหนังสือ “กลับกันเถอะเราอยู่นี่นานมากแล้ว อารู้สึกโล่งใจขึ้นมากเลยที่ได้ระบายเรื่องที่มันอัดแน่นอยู่ในอกให้หนูแพมฟัง แต่อยากให้หนูแพมเก็บเป็นความลับระหว่างเราไว้ก่อน ถ้ามันเป็นความจริงอาอยากให้เราค่อยๆ ดูปฏิกิริยาของเจียลี่ไปก่อนแล้วค่อยบอกเขา หนูแพมจะรับปากอาได้ไหม???”
ทั้งคู่เดินมาขึ้นรถที่จอดรออยู่นานนับชั่วโมง “เมื่อกี้คุณอาระบายกับรูปปั้นที่เหมือนแพมนี่คะ รูปปั้นน่ะพูดไม่ได้หรอกค่ะ ฟังได้อย่างเดียว คุณอาสบายใจได้นะคะ”
พิมพ์ชนกกลับถึงบ้านสกุลโจวในชั่วโมงต่อมาโดยรถของคังหย่งเหอ หญิงสาวเปลี่ยนเสื้อผ้าและนอนคิดเรื่องที่ได้รู้มาจนเผลอหลับไป รู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกครั้งเพราะรู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างกำลังคลอเคลียอยู่ใบหน้า ตากลมโตค่อยๆ เปิดขึ้นก็แฟนหนุ่มของตัวเองกำลังมองอยู่ด้วยสายตาคาดโทษ เป็นอันว่ากว่าจะหาข้อแก้ตัวได้ก็เล่นเอาต้องทำเป็นงอนกลบเกลื่อนเหมือนกัน!!
หลังจากที่ได้รับรายงานว่าพิมพ์ชนกกลับถึงบ้านสกุลโจวแล้ว สะสางงานเสร็จเขาก็รีบบึ่งมาหาเธอทันทีเพราะความเป็นห่วง แต่แม่ตัวดีกลับนอนหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่อง!? จนต้องปลุกขึ้นมาซักกันอย่างละเอียด เธอบอกว่าไปเข้าห้องน้ำแล้วพบว่าเป็นวันนั้นของเดือน ออกมาเจออาหย่งเหอเลยอาสามาส่งเธอที่บ้าน แต่ที่ต้องโกหกว่าเพื่อนมาเพราะกลัวว่าเขาจะเกงานตามเธอมาให้เสียการเสียงานอีก!! ผมควรจะเชื่อคุณดีไหมนี่ แม่ตัวแสบ!?? คังเจียลี่ถามตัวเอง?!
หึๆ เชื่อหรือไม่เชื่อไม่รู้ รู้แต่ตอนนี้ต้องง้อกันยกใหญ่เพราะแม่ตัวแสบ งอน!!!
ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 พ.ค. 2558, 09:51:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 พ.ค. 2558, 09:51:18 น.
จำนวนการเข้าชม : 1134
<< ตอนที่ 7 100% | ตอนที่ 9 100% >> |