บ่วงรักฝังแค้น
เมื่อความรักกลายเป็นความอาฆาตแค้น และตามจองเวรเขาและเธอไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่ว่าภพชาติไหนจะขอตามจองล้างจองผลาญไม่ให้เหลือสิ้น ความรักและความแค้น
จากอดีตชาติติดตามเป็นเงาตามตัว เขาและเธอจะทำเช่นไรเพื่อหยุดความแค้นนี้ลงได้
ไม่ว่าภพชาติไหนจะขอตามจองล้างจองผลาญไม่ให้เหลือสิ้น ความรักและความแค้น
จากอดีตชาติติดตามเป็นเงาตามตัว เขาและเธอจะทำเช่นไรเพื่อหยุดความแค้นนี้ลงได้
Tags: บ่วง,รัก,ฝัง,แค้น
ตอน: ตอนที่ 1 บ่วง
ตอนที่ 1 บ่วง
เมื่อความรักจากภพชาติอดีต ก่อกำเนิดความอาฆาตแค้นอันน่าสะพรึงกลัว รักที่ไม่สมหวัง รักที่เทิดทูนไว้จนเหนือเกล้า กลับถูกปฏิเสธเพียงเพราะชายที่ตนรักมอบความรักนั้นให้กับหญิงอื่น ทั้งดวงจิตและดวงวิญญาณจึงเฝ้าผูกพันจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่าภพชาติไหนจะต้องติดตามและไขว่คว้าให้เป็นของตนให้ได้ เพราะชายคนนั้นเปรียบเสมือน “ของรักของข้า!”
วังจันทรา ในปีพุทธศักราช 2369
ปีพุทธศักราช 2369 ขึ้น 10 ค่ำ เดือนแปด ปีจอ อัฐศก จุลศักราช 1188 คริสต์ศักราช 1826 มหาศักราช 1748 รัตนโกสินทร์ศก 45 สุริยคติเป็นปกติสุรทิน จันทรคติเป็นปกติมาส อธิกวาร
ร่างหญิงสาวบอบบางนอนหายใจรวยริน ท่ามกลางข้าทาสรับใช้ที่ติดสอยห้อยตามมาจากพระนครจนถึงวังจันทรา ซึ่งตั้งอยู่นครเชียงใหม่ หัวเมืองเอกทางเหนือ หญิงสาวผู้โชคร้ายถึงคราวเคราะห์ตกเลือดเพราะเธอได้ทำแท้งในขณะที่อายุครรภ์เข้าสู่เดือนที่หก เพื่อกำจัดทารกในครรภ์ไม่ให้ได้เกิดมาลืมตาดูโลกและสร้างความอับอายให้ เนื่องจากเด็กจะต้องเกิดมาโดยไม่มีบิดา สาเหตุเพราะบิดาผู้ให้กำเนิดนอกจากไม่รับว่าเป็นผู้กระทำให้หญิงสาวจนตั้งครรภ์และบังเกิดลูกน้อยในครรภ์ขึ้นมาแล้วไซร้ แต่กลับลาโลกไปอย่างไม่มีวันห้วนกลับคืนมาได้อีก
หม่อมราชวงศ์อุบลวรรณ เทพรัตน์ ราชนิกูลผู้สูงศักดิ์จากวังเทพรัตน์ กำลังอยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิต ใบหน้าซีดขาว ไร้สิ้นสีเลือดเจือจาง ริมฝีปากซีดซ้ำแห้งผาก กำลังเหม่อมองเพดานห้องเบื้องบน หญิงสาวพยายามยื้อยุดลมหายใจของตนเอาไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ท่ามกลางเสียงร่ำไห้ของข้าทาสบริวารทั้งสามที่คอยรับใช้ปรนนิบัติเจ้านายของพวกตน ติดสอยห้อยตามตั้งแต่พระนครจนถึงนครเชียงใหม่ในเพลานี้
“ทูนหัวของนม อย่าได้เป็นห่วงกังวลอีกเลยเจ้าค่ะ นึกถึงพระอรหันต์ไว้นะเจ้าค่ะ”หญิงสูงวัยนามแม่นมตลับ เอ่ยกับเจ้านายผู้สูงศักดิ์ของตน เสียงสะอื้นไห้ดังออกมาเป็นระยะด้วยความสงสารในชะตากรรมของผู้เป็นนาย
“ข้าจะต้องไม่ตาย ข้าจะไม่ไปไหนทั้ง...นั้น!”เสียงแหบแห้งเอ่ยบอกบริวาร
“โธ่!ทูนหัวของบ่าว...อย่ายึดติดเลยเจ้าค่ะ หาไม่แล้วคุณหญิงจะจากไปอย่างไม่เป็นสุขนะเจ้าค่ะ”แม่นมตลับเอ่ยบอกเสียงสะอื้น
ทันทีที่ราชชินิกูลสาวได้ยินคำกล่าวพร้อมเสียงสะอื้นไห้เอ่ยออกมาเช่นนั้น ดวงตาเหม่อลอยเมื่อเพียงครู่กลับลุกโพลงโดยพลัน ดวงตาดุดันพร้อมหันกลับมาจ้องมองเหล่าบริวารตรงหน้าอย่างน่าสะพรึงกลัว
“หุบปากของพวกเอ็งเอาไว้ซะ! อย่ามาสั่งสอนข้า!ถึงแม้นว่าข้าต้องตาย ข้าก็จะไม่ไปไหนทั้งสิ้น พวกเอ็งก็เช่นกัน อย่าเอาร่างของข้าออกจากวังจันทรานี้เด็ดขาด ห้ามทำพิธี ห้ามเผาร่าง ห้ามทำอะไรกับร่างของข้าเด็ดขาด! จำคำที่ข้าบอกเอาไว้ให้มั่น”
คำกล่าวของคุณหญิงบัวสร้างความตกตะลึงให้กับบ่าวไพร่ไปจนถ้วนทั่ว หากปฏิบัติดั่งคำสั่งเช่นนั้นก็เท่ากับว่าดวงวิญญาณก็มิอาจสามารถไปผุดไปเกิดได้
“เหตุใดคุณหญิงจึงสั่งความเช่นนั้น หากทำเช่นนั้นแล้วดวงวิญญาณจะไม่สามารถไปไหนได้นะเจ้าค่ะทูนหัวของนม อย่าสั่งความเช่นนั้นเลย”นมตลับเอ่ยเกลี่ยกล่อม ทว่ากลับยิ่งเพิ่มความเดือดดาลให้กับผู้เป็นนายของตนมากล้นพ้นทวียิ่งขึ้นไปอีก
“อย่ามาแส่เรื่องของกู!กูสั่งเช่นไรให้ทำเยี่ยงนั้น พวกมึงเป็นบ่าวของกูมีหน้าที่ทำตามที่กูสั่ง กูไม่มีวันนอนตายตาหลับอย่างเป็นสุข ตราบใดที่พวกอิศราและสุริยารังษียังไม่ได้รับกรรมที่มันทำไว้กับกู! เพราะพวกมันกูจึงต้องมีสภาพเช่นนี้!”คุณหญิงบัวกล่าวอย่างเคียดแค้น
ฉับพลันร่าบางหยุดชะงักงันเมื่อลมหายใจเริ่มขาดห้วง ทว่ามีหรือจะยอมจากไปง่ายๆ ดั่งคำกล่าว หญิงสาวผู้สูงศักดิ์พยายามสูดลมหายใจสุดท้ายของชีวิต พร้อมกล่าวในสิ่งที่ทุกคนอยู่ในบริเวณนั้นต่างพากันตกตะลึงไปตามๆ กัน
“ในเมื่อกูไม่สมหวัง อย่าหวังเลยว่าไอ้อีหน้าไหนจะสมหวังดั่งใจได้ กูจะตามจองเวรมัน สิ่งที่พวกมันมีต้องตกเป็นของกู สิ่งที่พวกมันได้กูต้องแย่งจากมันให้หมด แม้แต่ลูกหลานของพวกมันต้องไม่เหลือสิ้นสมบัติ หรือแม้กระทั่งชีวิต!กูจะคอยเฝ้าดูความฉิบหายของพวกมัน!กูจะสาปแช่งพวกมันทุกภพทุกชาติไป!” สิ้นคำกล่าวสาปแช่งร่างคุณหญิงบัวเกิดอาการกระตุก คล้ายพยายามยื้อยุดลมหายใจสุดท้ายของชีวิตแต่ก็ไม่วายกล่าวคำอาฆาตขึ้นมาอีกคำรบ
“ก...กู...จะจองเวร...พ...พวกมัน...ทุกๆ ชาติไป!”สิ้นคำกล่าวร่างบางกระตุกติดๆ กัน ก่อนจะค่อยๆ เบาลงจนกระทั่งเงียบไปในที่สุด ทว่าดวงตากลับยังคงเหลือกค้างจ้องเขม็งอยู่เช่นนั้น
“คุณหญิง!คุณหญิง!”
“ทูนหัวของบ่าว!”
เสียงร่ำร้องเรียกนายของตนและเสียงร่ำไห้ของข้าทาสบริวารทั้งสามดังออกมาจากห้องนอนของเรือนไทยปีกซ้ายดังระงม เสียงสะอื้นไห้ดังกล่าวทำให้เหล่าบรรดาทาสที่อยู่ด้านล่างคอยฟังข่าวอาการป่วยของราชชินิกูลผู้สูงศักดิ์ ต่างพากันมองหน้าไปตามๆ กัน
“เสียงร้องไห้ดังเอ็ดอึงมาถึงนี้เลย คุณหญิงท่านเป็นเยี่ยงไรหนอ”ทาสชายเอ่ยกับพรรคพวกซึ่งนั่งออกันอยู่ด้านหน้าเรือนทั้งหญิงและชาย ก่อนจะต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงเอ่ยขึ้นตรงหน้า
“เหตุใดพวกเอ็งมาออกันอยู่ตรงนี้ ไม่ไปหลับนอนเอาแรงกันหรืออย่างไร”เสียงหญิงสาวเอ่ยขึ้นตรงหน้าบรรดาทาสที่คอยฟังข่าว
ทาสชายหญิงนับสิบชีวิตต่างพากันตกใจกันถ้วนหน้า ที่เห็นร่างบอบบางของราชชินิกูลผู้สูงศักดิ์ซึ่งเพิ่งจะเอ่ยถึงเมื่อครู่ ยืนอยู่ตรงหน้าทั้งๆ ที่เมื่อครู่ที่ผ่านมาไม่มีแม้นเพียงเงาพาดผ่านเบื้องหน้านี้แต่อย่างใด พร้อมเสียงทาสชายเอ่ยถามพลางพนมมือขึ้นกลางอก
“คะ...คุณหญิง...หายป่วยแล้วกระนั้นหรือขอรับ เกล้ากระผมแลข้าทาสทั้งหลายคอยฟังอาการว่าจะทุเลาไปมากน้อยเพียงใด”
ร่างของหญิงสาวบอบบางหรือแท้ที่จริงคือหม่อมราชวงศ์อุบลวรรณ เทพรัตน์ หรือคุณหญิงบัว ยืนมองทาสชายหญิงนับสิบชีวิต ที่มาคอยฟังข่าวอาการเจ็บป่วยแต่หารู้ไม่ว่า ร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าในเวลานี้หาใช่คนแต่อย่างใด แต่กลับเป็นดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวที่เพิ่งออกจากร่างมาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า ทันทีที่สิ้นลม
“ขอบใจพวกเอ็งทั้งหมดที่มาคอยฟังอาการเจ็บไข้ของข้า นับแต่นี้ต่อไปข้าหาได้ไข้ได้เจ็บอีกต่อไปไม่ ไม่ต้องทนทุกข์เวทนาอีกต่อไปและข้าจะอยู่ที่นี่ตลอดไปตราบนานเท่านาน ฮิฮิฮิฮิ”สิ้นเสียงกล่าวร่างของคุณหญิงบัวเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ร่างค่อยๆ เลือนหายไปโดยพลันต่อหน้าทาสชายหญิงนับสิบชีวิต
ท่ามกลางอาการตกตะลึงของบรรดาทาสที่อยู่ด้านหน้าเรือน ที่เห็นร่างของคุณหญิงบัวหายลับไปต่อหน้าต่อตา แต่ยังมิทันจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใดเสียงของนางแย้มและนางนวลบ่าวรับใช้ของคุณหญิงบัวเดินร่ำไห้ลงมาจากเรือนทันที
“พวกเอ็งใครก็ได้แจ้งข่าวกลับไปที่วังเทพรัตน์และเสด็จในกรมวังอิศรา ว่าคุณหญิงบัวสิ้นบุญแล้ว เมื่อเพลาที่ผ่านมานี่เอง และพวกเอ็งทั้งหมดไปช่วยข้าและแม่นวลจัดเตรียมพิธีศพให้กับคุณหญิงเสร็จแล้วจะได้เผาท่านให้เรียบร้อย ”
ขาดคำของนางแย้ม เสียงของบรรดาทาสทั้งหลายต่างเอ่ยออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“หา!”สิ้นเสียงคำอุทาน เหล่าบรรดาทาสทั้งหลายต่างขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆกัน เมื่อเห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังเกิดขึ้นตรงหน้า
“กูสั่งมึงแล้วใช่ไหมอีแย้ม อีนวล ว่าห้ามทำพิธีหรือแม้แต่จะเผาร่างของกูเด็ดขาด เหตุใดพวกมึงจึงขัดคำสั่งของกูเยี่ยงนี้!”เสียงเย็นยะเยือกแผดเสียงกึกก้องขึ้นท่ามกลางค่ำคืนเดือนมืด พร้อมร่างโปร่งแสงของคุณหญิงบัวปรากฏกายยืนอยู่ด้านหลังของบ่าวทั้งสองขึ้นมาทันที
“แม่แย้ม! แม่นวล!...คะ...คุณ...”บรรดาทาสต่างยกมือขึ้นชี้ไปทางด้านหลังของบ่าวทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงหน้าตน จนทำให้ทั้งสองคนต้องหันกลับไปมองด้านหลังด้วยความแปลกใจ
“พวกเอ็งเห็นอะไรกันวะ! ทำราวกับว่ากำลังเห็นผีไปได้”นางแย้มเอ่ยขึ้น ก่อนที่นางแย้มและนางนวลจะหันกลับไปมองอย่างพร้อมเพรียงกับ
“คุณหญิง!”บ่าวรับใช้คนสนิททั้งสองต่างตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อเห็นดวงวิญญาณของเจ้านายผู้สูงศักดิ์ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา
“เออ...กูเองมึงยังจำกูได้อยู่หรอกหรืออีแย้ม! อีนวล!”
“พรืดดดด!”ดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวเอื้อมมือกระชากผมของนางแย้ม และนางนวลจนหน้าหงายมองขึ้นฟ้าเบื้องบนพร้อมกันทันที ดวงตาลุกเพลิงและค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงดั่งเช่นสีเลือด
“ผ...ผะ..ผีหลอก!ผีหลอก!”บรรดาทาสทั้งหลายต่างตะโกนร้องเสียงหลงกันระงมไปหมด ด้วยความแตกตื่นตกใจกลัวกันถ้วนหน้า ก่อนจะต่างคนต่างลุกวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง
“เสียงเอะอะอะไร! นางแย้ม นางนวล ข้าบอกให้เอ็งทำอะไร ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องพากันเสียงดังเอะอะโวยวายเช่นนี้เล่า กระไรกันนี้พวก....”นมตลับกล่าวยังมิทันจบ ก็ต้องหยุดชะงักลงโดยพลันเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าตนเล่นเอาเข่าอ่อนทรุดกายลงนั่งบนเรือน
“ค...คะ...คุณหญิงบัว!”นมตลับเอ่ยเรียกชื่อราชชินิกูลผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าซึ่งเพิ่งวายชนม์เมื่อครู่ที่ผ่านมา ก่อนจะได้ยินเสียงตะโกนก้องอย่างน่าสะพรึงกลัว
“กูสั่งพวกมึงแล้วใช่ไหม!ห้ามทำอะไรกับร่างของกู!เหตุใดพวกมึงจึงขัดคำสั่งของกูหาได้ปฏิบัติตามดั่งเช่นคำที่กูสั่งความหาได้ไม่ พวกมึงวอนให้กูคร่าชีวิตพวกมึงให้ตายกลายเป็นผีอยู่เคียงข้างกู!”คุณหญิงบัวตวาดข้าทาสบริวารพร้อมกวาดสายตาที่เต็มไปด้วยสีเลือดแดงฉาน จ้องมองบ่าวไพร่ที่คอยตามรับใช้จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
“ตุบ!ตุบ!”ร่างของนางแย้มและนางนวล ยังมิทันกล่าวสิ่งใดต่างพากันเป็นลมล้มลงไปนอนกองกับพื้นทันที ด้วยความตกใจสุดขีด พร้อมเสียงของนมตลับดังขึ้น
“นมกลัวแล้วเจ้าค่ะ ! นมจะไม่ขัดคำสั่งคุณหญิงอีกแล้ว!ไม่แล้วเจ้าค่ะ!”นมตลับยกมือขึ้นไหว้ ตัวสั่นงันงกด้วยความกลัวสุดขีดกับสิ่งที่ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าในขณะนี้
“อย่ามายุ่งร่างของกู! หาไม่แล้วพวกมึงจะไม่ได้ตายดี!”สิ้นเสียงตวาดอันน่าสะพรึงกลัว ดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวหายลับไปกับตา ล่องลอยหายเข้าไปในห้องนอนอันมีร่างไร้วิญญาณนอนสงบแน่นิ่งอยู่ภายในนั้นพร้อมเสียงดังเอ็ดอึงติดตามมา
“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!”เสียงประตูและหน้าต่าง ปิดตัวลงอย่างรุนแรง เรือนไทยปีกซ้ายของวังจันทราปิดตัวลงอย่างพร้อมเพรียงกัน
“พรึ่บ!พรึ่บ!พรึ่บ!พรึ่บ!”แสงไฟจากตะเกียงที่จุดให้ความสวางไสวไปทั่วบริเวณเรือนไทยปีกซ้าย ต่างดับลงพร้อมกัน พร้อมเสียงตะโกนก้องจากดวงวิญญาณสุดเฮี้ยน
“อย่ามายุ่งร่างของกูอีก! ไอ้อีผู้ใดกล้าขัดคำสั่งกู!กูจะไม่ให้มันได้ตายดีสักคน!”สิ้นเสียงตวาดก้อง ข้าทาสบริวารที่อยู่ในบริเวณนั้น ตลอดจนถึงอยู่ภายในบริเวณวังส่วนอื่นๆ ต่างพากันวิ่งหนีเอาตัวรอดทางใคร ทางมัน วิ่งหนีเตลิด ขวัญหนีดีฝ่อ ออกมาจากวังจันทราด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีด ท่ามกลางเสียงหัวเราะหวีดหวิวของดวงวิญญาณสุดเฮี้ยน!
“กูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น กูจะอยู่ที่นี่! กูจะอยู่ตรงนี้! ฮิฮิฮิฮิฮิ!” เสียงหัวเราะหวีดหวิวดังก้องไปทั่วบริเวณวังจันทรา ที่บัดนี้ทั่วอาณาบริเวณเต็มไปด้วยความมืดมิดที่แผ่เข้ามาปกคลุมโดยรอบ เสียงหัวเราะยิ่งฟังยิ่งขนหัวลุกเกรียวไปทั่วเรือนกาย จนไม่มีใครกล้าย่างกรายหรือแม้แต่เดินเฉียดเข้าใกล้แม้แต่น้อย
6 เดือนผ่านไป
ภายในบริเวณวังจันทรา
เรือนไทยหลังงามขนาดมหึมา เต็มไปด้วยความวิจิตรและอลังการด้วยฝีมือช่างโบราณ ซึ่งปลูกสร้างวังจันทราเพื่อสรรสร้างให้เป็นเรือนหอที่พำนักภายหลังเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกสมรส ทว่าคู่ขวัญเจ้าของวังจันทรา กลับสิ้นพระชนม์ชีพในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ซ้ำร้ายเมื่อคุณหญิงบัว เจ้านายผู้สูงศักดิ์จากวังเทพรัตน์ มาอาศัยพักพิงกลับมาตกเลือดจนวายชนม์ เพราะทำแท้งทารกในครรภ์มิให้ได้เกิดมาลืมดูโลก จนกลายมาเป็นดวงวิญญาณสุดเฮี้ยนเป็นที่หวาดกลัวแก่ผู้คนไปทั่วย่านนั้น
ดวงวิญญาณของคุณหญิงบัว เต็มไปด้วยแรงอาฆาตและพยาบาทรุนแรงยิ่งนัก วินาทีแรกที่สิ้นใจดวงวิญญาณก็เที่ยวหลอกหลอนและปรากฏกายให้ผู้คนในวังจันทราได้เห็น จนข้าทาสบริวารต่างหนีเตลิดไปคนละทิศละทาง แรงเฮี้ยนของดวงวิญญาณยังตามไปหลอกหลอนผู้คนในวังอิศรา ซึ่งเป็นวังของชายที่ตนรัก และวังสุริยารังษีวังของหญิงที่ตนเกลียดยิ่งกว่าชีวิต แรงอาฆาต แรงพยาบาท นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งวังอิศรา ซึ่งเป็นวังที่ดวงวิญญาณร้ายถือกำเนิดขึ้นมาลืมตาดูโลกเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังถูกดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวหลอกหลอนจนหวาดกลัวไปทั่วทั้งวัง
บัดนี้วังจันทราที่เคยสวยงาม เต็มไปด้วยพืชพรรณ ไม้เลื้อย ชอนไชปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ ฝุ่นละอองปกคลุมจนพื้นไม้กระดานที่เคยมันวาวจนขึ้นเงาขาวโพลนไปทั่ว ข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้น ยังอยู่ที่เดิม จัดเรียงไว้อย่างไรก็ยังคงอยู่เช่นนั้น วังจันทราที่เคยขึ้นชื่อว่ายิ่งใหญ่ อลังการและสวยงามอย่างยิ่งยวด กลับกลายเป็นวังร้างไปอย่างน่าเสียดาย เพราะความเฮี้ยนของดวงวิญญาณคุณหญิงบัวจนทำให้วังจันทรา กลายเป็นวังที่ถูกกล่าวขานกันไปทั่วถึงความน่าสะพรึงกลัวและดวงวิญญาณที่ดุร้ายจนเป็นที่น่าหวั่นเกรง
“เรือนหลังนี้นะหรือที่โจษขานกันไปทั่วว่ามีผีดุร้ายเหลือคณา”เสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจเอ่ยถามคนใกล้ตัวที่ยืนอยู่ด้านหลังตน หวังเกาะเป็นที่พึ่งด้วยความหวาดกลัววิญญาณที่สิงสู่อยู่ที่เรือนไทยหลังงามนี้เป็นยิ่งนัก
“ใช่แล้วขอรับ! เกล้ากระผมเจอมากับตัว หากมิใช่คำสั่งของเสด็จในกรมฯ เกล้ากระผมและบ่าวไพร่ที่ติดตามมาด้วยในวันนี้จะไม่เข้ามาในวังนี้เป็นเด็ดขาด”ชายสูงอายุท่าทางสูงศักดิ์เอ่ยบอกพลางเหลือบสายตามองไปทั่วบริเวณ ด้วยความหวาดกลัว
“แล้วเหตุใดจึงตามอาตมามากันเล่า โยมไม่กลัวหรอกรึ”เสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจและบารมีเอ่ยถามออกไป พร้อมกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณวัง
“หากแม้นมิใช่สมเด็จพระอาจารย์ เกล้ากระผมก็มิขอเข้ามาย่างกรายเด็ดขาดขอรับ แต่พระเดชพระคุณธุดงค์มาทางหัวเมืองเหนือ เกล้าฯ ได้ยินข่าวจึงรีบตามมาขอกราบเชิญ หากเสด็จในกรมไม่ติดข้อราชการด่วน เสด็จในกรมฯ ก็จะเสด็จมาด้วยพระองค์เองของรับ”ชายผู้สูงศักดิ์เอ่ยพร้อม เดินนำหน้าไปข้างหน้าก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าเรือนไทยปีกซ้ายหลังงาม
“สมเด็จพระอาจารย์จะทำพิธีบนเรือนหรือด้านล่างดีขอรับ เกล้ากระผมจะให้บ่าวไพร่แลข้าทาสทั้งหลายจัดเตรียมการพิธีให้ขอรับ หากมืดค่ำจะพากันแย่ไปตามๆ กัน”
“เอาเถิดโยมอาตมามาที่นี่มิได้หมายความว่าจะมาเพื่อ กำจัดดวงวิญญาณที่โยมต่างพากันหวาดกลัวให้ไปเสียจากวังนี้ได้แต่อย่างใด หากแต่ทำได้เพียงให้เขาอยู่ในที่ที่เขาควรอยู่ ณ สถานที่ที่เขาผูกพันเท่านั้น อาตมาหาใช่หมอผี และมิอาจขับไล่เขาไปได้ดอก เพราะดวงวิญญาณนี้มีกรรมหนักยิ่งนัก เขาจักต้องได้รับผลกรรมตามที่เขาได้กระทำเอาไว้”สมเด็จพระอาจารย์เอ่ยพร้อมหลับตาลงทันใด ตั้งจิตเข้าญาณสมาธิทันทีในขณะที่ยืน ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ขอเชิญสีกาสนทนาความกับอาตามาสักเพียงคำเถิด”สิ้นเสียงของพระเดชพระคุณเจ้าผู้ทรงญาณบารมี ร่างโปร่งแสงของคุณหญิงบัวพลันปรากฏกายขึ้น นั่งพับเพียบเรียบร้อยต่อหน้าพระคุณเจ้าผู้ทรงด้วยบารมี
“หญิง...หญิง...หญิงบัว!”ชายสูงศักดิ์อุทานเรียกชื่อดวงวิญญาณตรงหน้าด้วยอาการตื่นตระหนก
“เสด็จพ่อ!”คุณหญิงบัวเอ่ยเรียกชื่อพระบิดา ด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ดวงตาจ้องมองพระบิดาผู้ให้กำเนิดและบรรดาข้าทาสบริวารที่ยืนอยู่ด้านหลังพระเดชพระคุณเจ้า ที่กำลังค่อยๆ ทรุดกายลงนั่งกับพื้นดิน ต่างคนต่างพากันขวัญหนีดีฝ่อไปกันหมด ที่ได้เห็นดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวกลางวันเสกๆ ดวงตาลุกแดงเพลิงจ้องมองด้วยอาการที่ไม่เป็นมิตร
“โยมทั้งหลายจงถอยออกไปให้ห่าง อาตมาจะสนทนากับสีกาบัว หากแม้นพบเห็นสิ่งใด จงอย่าได้เอ็ดอึง ขอจงอยู่ในสติเอาไว้ถ้วนทั่วทุกคน”เสียงของสมเด็จพระอาจารย์เอ่ยสั่งความ พร้อมค่อยๆ ทรุดลงนั่งขัดสมาธิตรงข้ามกับดวงวิญญาณของคุณหญิงบัว
พร้อมกับร่างของทุกคนๆ ซึ่งอยู่ในบริเวณแห่งนั้น ต่างพากันถอยหนีออกไปตามคำสั่งของสมเด็จพระอาจารย์อย่างรวดเร็ว สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่สมเด็จพระอาจารย์ซึ่งกำลังอยู่ในสมาธิ พร้อมบริกรรมคาถากำกับควบคู่ไปด้วย ดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวนั่งพับเพียบฟังสมเด็จพระอาจารย์ด้วยความสงบเป็นอยู่เช่นนั้นนิ่งนานจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจท่ามกลางความเงียบที่เข้ามาปกคลุมโดยรอบ
ทันใดนั้นเอง!
“ไม่!ข้ามิอาจปฏิบัติตามสมเด็จฯ ท่านได้ ข้ายินยอมที่จะอยู่อย่างสงบไม่ไปรบกวนผู้ใดอีก แต่ถ้าหากข้าได้พบกับชายที่ข้ารักยิ่งกว่าชีวิตและหญิงที่ข้าเกลียดยิ่งกว่าสิ่งใดไม่ว่าระยะเวลาจะยาวนานมากเพียงใด จักให้ข้าอยู่เฉยได้เยี่ยงไร ข้าไม่ยอม! ข้าไม่มีวันยอมเด็ดขาด!ข้ามิอาจปฏิบัติตามคำของสมเด็จพระอาจารย์ได้ดอก”คุณหญิงบัวกล่าวตอบโต้ผู้ทรงญาณบารมี พร้อมร่างโปร่งแสงพลันหายลับไปกับตา ท่ามกลางเสียงเกรี้ยวกราดของวิญญาณร้ายที่ตวาดดังกึกก้อง
“ข้าไม่ยอม! อย่างไรเสียข้าก็ไม่ยอม!”
สมเด็จพระอาจารย์เปิดเนตรขึ้นในบัดดล พลางส่ายหน้าไปมาด้วยความอ่อนใจ บ่วงที่ผูกพัน เต็มไปด้วยความรักและแรงพยาบาท อาฆาต ยากนักที่จะทำให้ดวงวิญญาณนี้จักหลุดพ้นกรรมของตนที่ได้ก่อเอาไว้มาหลายภพหลายชาติจนถึงชาตินี้
“วิญญาณดวงนี้กรรมหนักยิ่งนัก กรรมจากอดีตชาติส่งผลแรงจนตัวตายซ้ำร้ายยังก่อกรรมในชาตินี้มากขึ้นยิ่งไปอีก บ่วงกรรมพันธนการวิญญาณดวงนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด”สมเด็จพระอาจารย์รำพึงเบาๆ ด้วยความสังเวชใจ พร้อมหันกลับไปเอ่ยสั่งความบรรดาญาติโยมที่นั่งตัวสั่นงันงกอยู่ในขณะนี้
“ญาติโยมทั้งหลายนั่งรออาตมาอยู่ตรงนี้ จนกว่าอาตมาจะเดินกลับมา ห้ามมิให้ผู้ใดก้าวตามไปเด็ดขาด จะเป็นการไม่ปลอดภัยแก่พวกโยมเอง”
“ขอรับกระผม”เสียงบรรดาญาติโยมขานรับออกมาพร้อมกัน
สมเด็จพระอาจารย์ค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น จนกระทั่งหยุดยืนอยู่ตรงโถงด้านหน้าของเรือนไทย ด้วยทิพย์จักษุญาณของสมเด็จพระอาจารย์ สมเด็จฯ ค่อยๆ เดินตรงไปอย่างช้าๆ เพื่อไปยังเรือนนอนใหญ่ ซึ่งเป็นห้องนอนของคุณหญิงบัวและมีซากศพนอนตายมาแล้วนานกว่า 6 เดือนอยู่ภายในห้องนั้น และทันทีที่มาถึง สมเด็จพระอาจารย์หยุดยืนนิ่งอยู่หน้าห้อง ที่มีซากศพคุณหญิงบัวนอนสงบนิ่งอยู่ภายในห้องนั้น
สมเด็จพระอาจารย์ ล้วงถุงย่ามที่นำติดตัวมาด้วย พร้อมขวดใสบรรจุน้ำสีขาว ภายในนั้นเป็นน้ำมันผ่านพิธีปลุกเสกด้วยอาคมโบราณ นิ้วชี้ผู้ทรงญาณบารมีจุ่มลงในขวดน้ำมันก่อนจะนำมาเขียนลงบนหน้าประตูเป็นการลงยันต์น้ำมันพร้อมร่ายอาคมกำกับ
“มะ อะ อุ ”สิ้นเสียงของสมเด็จพระอาจารย์
พลันบังเกิดแสงสว่างลุกวาบลามเลียไปทั่วอาณาบริเวณปกคลุมห้องนอนซึ่งซากศพของคุณหญิงบัวนอนสงบนิ่งอยู่ภายในนั้น ตราบใดที่ประตูหรือหน้าต่างและแม้แต่ส่วนหนึ่งส่วนใดของห้องดังกล่าวไม่ถูกทำลาย ดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวก็จะอยู่แต่ในห้องนั้นตลอดไป
สมเด็จพระอาจารย์ ยืนมองหน้าประตูห้องด้วยความสงบก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ
“สีกาเอ๋ย อาตมาจำต้องให้ดวงวิญญาณของสีกาอยู่แต่ภายในห้องนี้เท่านั้น เพื่อป้องกันมิให้ออกมารบกวนผู้ใดอีก วันเวลาที่ผ่านไปอาตมาหวังว่าความแค้นและแรงพยาบาทของสีกาจะลดน้อยลง และทำให้สีกาคิดได้ ยอมอโหสิและไปสู่ภพภูมิที่ดีต่อไปเบื้องหน้าด้วยเถิด กรรมของสีกาหนักยิ่งหนัก หากแม้นหลุดพ้นจากบ่วงเวรนี้ได้ ดวงวิญญาณของสีกาจะพบแต่ความสงบสุขยิ่ง ”สมเด็จพระอาจารย์กล่าวทิ้งทายกับดวงวิญญาณของคุณหญิงบัว พร้อมหันหลังกลับค่อยๆ เดินออกจากเรือนไทยปีกซ้ายไปอย่างช้าๆ
“ปล่อยกูออกไป!ปล่อยกู!มาขังกูเอาไว้ทำไม!ปล่อยกู!”เสียงกรีดร้องวิญญาณของคุณหญิงบัว ดังกึกก้องร้องระงมดังตามติดมา
และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เสียงร้องโหยหวนจากดวงวิญญาณของคุณหญิงบัว จะแผดเสียงกึกก้องได้ยินไปทั่วทั้งวัง แม้ดวงวิญญาณจะไม่สามารถออกมาอาละวาดได้อีก แต่เสียงกรีดร้องดังกล่าวจะดังโหยหวนทุกวันขึ้นสิบค่ำ ทุกคราและยังคงดังก้องร้องระงมไปทั่วทั้งวังตั้งแต่วันนั้นตราบเท่าทุกวันนี้ หากแม้นดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวหลุดพ้นออกมาได้ จะเกิดเหตุสิ่งใดขึ้นตามติดมากันเล่า และจะมีสิ่งใดสามารถยับยั้งดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตพยาบาทที่มีอยู่ท่วมท้นนี้ลงได้
เมื่อความรักจากภพชาติอดีต ก่อกำเนิดความอาฆาตแค้นอันน่าสะพรึงกลัว รักที่ไม่สมหวัง รักที่เทิดทูนไว้จนเหนือเกล้า กลับถูกปฏิเสธเพียงเพราะชายที่ตนรักมอบความรักนั้นให้กับหญิงอื่น ทั้งดวงจิตและดวงวิญญาณจึงเฝ้าผูกพันจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่าภพชาติไหนจะต้องติดตามและไขว่คว้าให้เป็นของตนให้ได้ เพราะชายคนนั้นเปรียบเสมือน “ของรักของข้า!”
วังจันทรา ในปีพุทธศักราช 2369
ปีพุทธศักราช 2369 ขึ้น 10 ค่ำ เดือนแปด ปีจอ อัฐศก จุลศักราช 1188 คริสต์ศักราช 1826 มหาศักราช 1748 รัตนโกสินทร์ศก 45 สุริยคติเป็นปกติสุรทิน จันทรคติเป็นปกติมาส อธิกวาร
ร่างหญิงสาวบอบบางนอนหายใจรวยริน ท่ามกลางข้าทาสรับใช้ที่ติดสอยห้อยตามมาจากพระนครจนถึงวังจันทรา ซึ่งตั้งอยู่นครเชียงใหม่ หัวเมืองเอกทางเหนือ หญิงสาวผู้โชคร้ายถึงคราวเคราะห์ตกเลือดเพราะเธอได้ทำแท้งในขณะที่อายุครรภ์เข้าสู่เดือนที่หก เพื่อกำจัดทารกในครรภ์ไม่ให้ได้เกิดมาลืมตาดูโลกและสร้างความอับอายให้ เนื่องจากเด็กจะต้องเกิดมาโดยไม่มีบิดา สาเหตุเพราะบิดาผู้ให้กำเนิดนอกจากไม่รับว่าเป็นผู้กระทำให้หญิงสาวจนตั้งครรภ์และบังเกิดลูกน้อยในครรภ์ขึ้นมาแล้วไซร้ แต่กลับลาโลกไปอย่างไม่มีวันห้วนกลับคืนมาได้อีก
หม่อมราชวงศ์อุบลวรรณ เทพรัตน์ ราชนิกูลผู้สูงศักดิ์จากวังเทพรัตน์ กำลังอยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิต ใบหน้าซีดขาว ไร้สิ้นสีเลือดเจือจาง ริมฝีปากซีดซ้ำแห้งผาก กำลังเหม่อมองเพดานห้องเบื้องบน หญิงสาวพยายามยื้อยุดลมหายใจของตนเอาไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ท่ามกลางเสียงร่ำไห้ของข้าทาสบริวารทั้งสามที่คอยรับใช้ปรนนิบัติเจ้านายของพวกตน ติดสอยห้อยตามตั้งแต่พระนครจนถึงนครเชียงใหม่ในเพลานี้
“ทูนหัวของนม อย่าได้เป็นห่วงกังวลอีกเลยเจ้าค่ะ นึกถึงพระอรหันต์ไว้นะเจ้าค่ะ”หญิงสูงวัยนามแม่นมตลับ เอ่ยกับเจ้านายผู้สูงศักดิ์ของตน เสียงสะอื้นไห้ดังออกมาเป็นระยะด้วยความสงสารในชะตากรรมของผู้เป็นนาย
“ข้าจะต้องไม่ตาย ข้าจะไม่ไปไหนทั้ง...นั้น!”เสียงแหบแห้งเอ่ยบอกบริวาร
“โธ่!ทูนหัวของบ่าว...อย่ายึดติดเลยเจ้าค่ะ หาไม่แล้วคุณหญิงจะจากไปอย่างไม่เป็นสุขนะเจ้าค่ะ”แม่นมตลับเอ่ยบอกเสียงสะอื้น
ทันทีที่ราชชินิกูลสาวได้ยินคำกล่าวพร้อมเสียงสะอื้นไห้เอ่ยออกมาเช่นนั้น ดวงตาเหม่อลอยเมื่อเพียงครู่กลับลุกโพลงโดยพลัน ดวงตาดุดันพร้อมหันกลับมาจ้องมองเหล่าบริวารตรงหน้าอย่างน่าสะพรึงกลัว
“หุบปากของพวกเอ็งเอาไว้ซะ! อย่ามาสั่งสอนข้า!ถึงแม้นว่าข้าต้องตาย ข้าก็จะไม่ไปไหนทั้งสิ้น พวกเอ็งก็เช่นกัน อย่าเอาร่างของข้าออกจากวังจันทรานี้เด็ดขาด ห้ามทำพิธี ห้ามเผาร่าง ห้ามทำอะไรกับร่างของข้าเด็ดขาด! จำคำที่ข้าบอกเอาไว้ให้มั่น”
คำกล่าวของคุณหญิงบัวสร้างความตกตะลึงให้กับบ่าวไพร่ไปจนถ้วนทั่ว หากปฏิบัติดั่งคำสั่งเช่นนั้นก็เท่ากับว่าดวงวิญญาณก็มิอาจสามารถไปผุดไปเกิดได้
“เหตุใดคุณหญิงจึงสั่งความเช่นนั้น หากทำเช่นนั้นแล้วดวงวิญญาณจะไม่สามารถไปไหนได้นะเจ้าค่ะทูนหัวของนม อย่าสั่งความเช่นนั้นเลย”นมตลับเอ่ยเกลี่ยกล่อม ทว่ากลับยิ่งเพิ่มความเดือดดาลให้กับผู้เป็นนายของตนมากล้นพ้นทวียิ่งขึ้นไปอีก
“อย่ามาแส่เรื่องของกู!กูสั่งเช่นไรให้ทำเยี่ยงนั้น พวกมึงเป็นบ่าวของกูมีหน้าที่ทำตามที่กูสั่ง กูไม่มีวันนอนตายตาหลับอย่างเป็นสุข ตราบใดที่พวกอิศราและสุริยารังษียังไม่ได้รับกรรมที่มันทำไว้กับกู! เพราะพวกมันกูจึงต้องมีสภาพเช่นนี้!”คุณหญิงบัวกล่าวอย่างเคียดแค้น
ฉับพลันร่าบางหยุดชะงักงันเมื่อลมหายใจเริ่มขาดห้วง ทว่ามีหรือจะยอมจากไปง่ายๆ ดั่งคำกล่าว หญิงสาวผู้สูงศักดิ์พยายามสูดลมหายใจสุดท้ายของชีวิต พร้อมกล่าวในสิ่งที่ทุกคนอยู่ในบริเวณนั้นต่างพากันตกตะลึงไปตามๆ กัน
“ในเมื่อกูไม่สมหวัง อย่าหวังเลยว่าไอ้อีหน้าไหนจะสมหวังดั่งใจได้ กูจะตามจองเวรมัน สิ่งที่พวกมันมีต้องตกเป็นของกู สิ่งที่พวกมันได้กูต้องแย่งจากมันให้หมด แม้แต่ลูกหลานของพวกมันต้องไม่เหลือสิ้นสมบัติ หรือแม้กระทั่งชีวิต!กูจะคอยเฝ้าดูความฉิบหายของพวกมัน!กูจะสาปแช่งพวกมันทุกภพทุกชาติไป!” สิ้นคำกล่าวสาปแช่งร่างคุณหญิงบัวเกิดอาการกระตุก คล้ายพยายามยื้อยุดลมหายใจสุดท้ายของชีวิตแต่ก็ไม่วายกล่าวคำอาฆาตขึ้นมาอีกคำรบ
“ก...กู...จะจองเวร...พ...พวกมัน...ทุกๆ ชาติไป!”สิ้นคำกล่าวร่างบางกระตุกติดๆ กัน ก่อนจะค่อยๆ เบาลงจนกระทั่งเงียบไปในที่สุด ทว่าดวงตากลับยังคงเหลือกค้างจ้องเขม็งอยู่เช่นนั้น
“คุณหญิง!คุณหญิง!”
“ทูนหัวของบ่าว!”
เสียงร่ำร้องเรียกนายของตนและเสียงร่ำไห้ของข้าทาสบริวารทั้งสามดังออกมาจากห้องนอนของเรือนไทยปีกซ้ายดังระงม เสียงสะอื้นไห้ดังกล่าวทำให้เหล่าบรรดาทาสที่อยู่ด้านล่างคอยฟังข่าวอาการป่วยของราชชินิกูลผู้สูงศักดิ์ ต่างพากันมองหน้าไปตามๆ กัน
“เสียงร้องไห้ดังเอ็ดอึงมาถึงนี้เลย คุณหญิงท่านเป็นเยี่ยงไรหนอ”ทาสชายเอ่ยกับพรรคพวกซึ่งนั่งออกันอยู่ด้านหน้าเรือนทั้งหญิงและชาย ก่อนจะต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงเอ่ยขึ้นตรงหน้า
“เหตุใดพวกเอ็งมาออกันอยู่ตรงนี้ ไม่ไปหลับนอนเอาแรงกันหรืออย่างไร”เสียงหญิงสาวเอ่ยขึ้นตรงหน้าบรรดาทาสที่คอยฟังข่าว
ทาสชายหญิงนับสิบชีวิตต่างพากันตกใจกันถ้วนหน้า ที่เห็นร่างบอบบางของราชชินิกูลผู้สูงศักดิ์ซึ่งเพิ่งจะเอ่ยถึงเมื่อครู่ ยืนอยู่ตรงหน้าทั้งๆ ที่เมื่อครู่ที่ผ่านมาไม่มีแม้นเพียงเงาพาดผ่านเบื้องหน้านี้แต่อย่างใด พร้อมเสียงทาสชายเอ่ยถามพลางพนมมือขึ้นกลางอก
“คะ...คุณหญิง...หายป่วยแล้วกระนั้นหรือขอรับ เกล้ากระผมแลข้าทาสทั้งหลายคอยฟังอาการว่าจะทุเลาไปมากน้อยเพียงใด”
ร่างของหญิงสาวบอบบางหรือแท้ที่จริงคือหม่อมราชวงศ์อุบลวรรณ เทพรัตน์ หรือคุณหญิงบัว ยืนมองทาสชายหญิงนับสิบชีวิต ที่มาคอยฟังข่าวอาการเจ็บป่วยแต่หารู้ไม่ว่า ร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าในเวลานี้หาใช่คนแต่อย่างใด แต่กลับเป็นดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวที่เพิ่งออกจากร่างมาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า ทันทีที่สิ้นลม
“ขอบใจพวกเอ็งทั้งหมดที่มาคอยฟังอาการเจ็บไข้ของข้า นับแต่นี้ต่อไปข้าหาได้ไข้ได้เจ็บอีกต่อไปไม่ ไม่ต้องทนทุกข์เวทนาอีกต่อไปและข้าจะอยู่ที่นี่ตลอดไปตราบนานเท่านาน ฮิฮิฮิฮิ”สิ้นเสียงกล่าวร่างของคุณหญิงบัวเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ร่างค่อยๆ เลือนหายไปโดยพลันต่อหน้าทาสชายหญิงนับสิบชีวิต
ท่ามกลางอาการตกตะลึงของบรรดาทาสที่อยู่ด้านหน้าเรือน ที่เห็นร่างของคุณหญิงบัวหายลับไปต่อหน้าต่อตา แต่ยังมิทันจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใดเสียงของนางแย้มและนางนวลบ่าวรับใช้ของคุณหญิงบัวเดินร่ำไห้ลงมาจากเรือนทันที
“พวกเอ็งใครก็ได้แจ้งข่าวกลับไปที่วังเทพรัตน์และเสด็จในกรมวังอิศรา ว่าคุณหญิงบัวสิ้นบุญแล้ว เมื่อเพลาที่ผ่านมานี่เอง และพวกเอ็งทั้งหมดไปช่วยข้าและแม่นวลจัดเตรียมพิธีศพให้กับคุณหญิงเสร็จแล้วจะได้เผาท่านให้เรียบร้อย ”
ขาดคำของนางแย้ม เสียงของบรรดาทาสทั้งหลายต่างเอ่ยออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“หา!”สิ้นเสียงคำอุทาน เหล่าบรรดาทาสทั้งหลายต่างขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆกัน เมื่อเห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังเกิดขึ้นตรงหน้า
“กูสั่งมึงแล้วใช่ไหมอีแย้ม อีนวล ว่าห้ามทำพิธีหรือแม้แต่จะเผาร่างของกูเด็ดขาด เหตุใดพวกมึงจึงขัดคำสั่งของกูเยี่ยงนี้!”เสียงเย็นยะเยือกแผดเสียงกึกก้องขึ้นท่ามกลางค่ำคืนเดือนมืด พร้อมร่างโปร่งแสงของคุณหญิงบัวปรากฏกายยืนอยู่ด้านหลังของบ่าวทั้งสองขึ้นมาทันที
“แม่แย้ม! แม่นวล!...คะ...คุณ...”บรรดาทาสต่างยกมือขึ้นชี้ไปทางด้านหลังของบ่าวทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงหน้าตน จนทำให้ทั้งสองคนต้องหันกลับไปมองด้านหลังด้วยความแปลกใจ
“พวกเอ็งเห็นอะไรกันวะ! ทำราวกับว่ากำลังเห็นผีไปได้”นางแย้มเอ่ยขึ้น ก่อนที่นางแย้มและนางนวลจะหันกลับไปมองอย่างพร้อมเพรียงกับ
“คุณหญิง!”บ่าวรับใช้คนสนิททั้งสองต่างตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อเห็นดวงวิญญาณของเจ้านายผู้สูงศักดิ์ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา
“เออ...กูเองมึงยังจำกูได้อยู่หรอกหรืออีแย้ม! อีนวล!”
“พรืดดดด!”ดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวเอื้อมมือกระชากผมของนางแย้ม และนางนวลจนหน้าหงายมองขึ้นฟ้าเบื้องบนพร้อมกันทันที ดวงตาลุกเพลิงและค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงดั่งเช่นสีเลือด
“ผ...ผะ..ผีหลอก!ผีหลอก!”บรรดาทาสทั้งหลายต่างตะโกนร้องเสียงหลงกันระงมไปหมด ด้วยความแตกตื่นตกใจกลัวกันถ้วนหน้า ก่อนจะต่างคนต่างลุกวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง
“เสียงเอะอะอะไร! นางแย้ม นางนวล ข้าบอกให้เอ็งทำอะไร ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องพากันเสียงดังเอะอะโวยวายเช่นนี้เล่า กระไรกันนี้พวก....”นมตลับกล่าวยังมิทันจบ ก็ต้องหยุดชะงักลงโดยพลันเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าตนเล่นเอาเข่าอ่อนทรุดกายลงนั่งบนเรือน
“ค...คะ...คุณหญิงบัว!”นมตลับเอ่ยเรียกชื่อราชชินิกูลผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าซึ่งเพิ่งวายชนม์เมื่อครู่ที่ผ่านมา ก่อนจะได้ยินเสียงตะโกนก้องอย่างน่าสะพรึงกลัว
“กูสั่งพวกมึงแล้วใช่ไหม!ห้ามทำอะไรกับร่างของกู!เหตุใดพวกมึงจึงขัดคำสั่งของกูหาได้ปฏิบัติตามดั่งเช่นคำที่กูสั่งความหาได้ไม่ พวกมึงวอนให้กูคร่าชีวิตพวกมึงให้ตายกลายเป็นผีอยู่เคียงข้างกู!”คุณหญิงบัวตวาดข้าทาสบริวารพร้อมกวาดสายตาที่เต็มไปด้วยสีเลือดแดงฉาน จ้องมองบ่าวไพร่ที่คอยตามรับใช้จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
“ตุบ!ตุบ!”ร่างของนางแย้มและนางนวล ยังมิทันกล่าวสิ่งใดต่างพากันเป็นลมล้มลงไปนอนกองกับพื้นทันที ด้วยความตกใจสุดขีด พร้อมเสียงของนมตลับดังขึ้น
“นมกลัวแล้วเจ้าค่ะ ! นมจะไม่ขัดคำสั่งคุณหญิงอีกแล้ว!ไม่แล้วเจ้าค่ะ!”นมตลับยกมือขึ้นไหว้ ตัวสั่นงันงกด้วยความกลัวสุดขีดกับสิ่งที่ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าในขณะนี้
“อย่ามายุ่งร่างของกู! หาไม่แล้วพวกมึงจะไม่ได้ตายดี!”สิ้นเสียงตวาดอันน่าสะพรึงกลัว ดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวหายลับไปกับตา ล่องลอยหายเข้าไปในห้องนอนอันมีร่างไร้วิญญาณนอนสงบแน่นิ่งอยู่ภายในนั้นพร้อมเสียงดังเอ็ดอึงติดตามมา
“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!”เสียงประตูและหน้าต่าง ปิดตัวลงอย่างรุนแรง เรือนไทยปีกซ้ายของวังจันทราปิดตัวลงอย่างพร้อมเพรียงกัน
“พรึ่บ!พรึ่บ!พรึ่บ!พรึ่บ!”แสงไฟจากตะเกียงที่จุดให้ความสวางไสวไปทั่วบริเวณเรือนไทยปีกซ้าย ต่างดับลงพร้อมกัน พร้อมเสียงตะโกนก้องจากดวงวิญญาณสุดเฮี้ยน
“อย่ามายุ่งร่างของกูอีก! ไอ้อีผู้ใดกล้าขัดคำสั่งกู!กูจะไม่ให้มันได้ตายดีสักคน!”สิ้นเสียงตวาดก้อง ข้าทาสบริวารที่อยู่ในบริเวณนั้น ตลอดจนถึงอยู่ภายในบริเวณวังส่วนอื่นๆ ต่างพากันวิ่งหนีเอาตัวรอดทางใคร ทางมัน วิ่งหนีเตลิด ขวัญหนีดีฝ่อ ออกมาจากวังจันทราด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีด ท่ามกลางเสียงหัวเราะหวีดหวิวของดวงวิญญาณสุดเฮี้ยน!
“กูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น กูจะอยู่ที่นี่! กูจะอยู่ตรงนี้! ฮิฮิฮิฮิฮิ!” เสียงหัวเราะหวีดหวิวดังก้องไปทั่วบริเวณวังจันทรา ที่บัดนี้ทั่วอาณาบริเวณเต็มไปด้วยความมืดมิดที่แผ่เข้ามาปกคลุมโดยรอบ เสียงหัวเราะยิ่งฟังยิ่งขนหัวลุกเกรียวไปทั่วเรือนกาย จนไม่มีใครกล้าย่างกรายหรือแม้แต่เดินเฉียดเข้าใกล้แม้แต่น้อย
6 เดือนผ่านไป
ภายในบริเวณวังจันทรา
เรือนไทยหลังงามขนาดมหึมา เต็มไปด้วยความวิจิตรและอลังการด้วยฝีมือช่างโบราณ ซึ่งปลูกสร้างวังจันทราเพื่อสรรสร้างให้เป็นเรือนหอที่พำนักภายหลังเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกสมรส ทว่าคู่ขวัญเจ้าของวังจันทรา กลับสิ้นพระชนม์ชีพในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ซ้ำร้ายเมื่อคุณหญิงบัว เจ้านายผู้สูงศักดิ์จากวังเทพรัตน์ มาอาศัยพักพิงกลับมาตกเลือดจนวายชนม์ เพราะทำแท้งทารกในครรภ์มิให้ได้เกิดมาลืมดูโลก จนกลายมาเป็นดวงวิญญาณสุดเฮี้ยนเป็นที่หวาดกลัวแก่ผู้คนไปทั่วย่านนั้น
ดวงวิญญาณของคุณหญิงบัว เต็มไปด้วยแรงอาฆาตและพยาบาทรุนแรงยิ่งนัก วินาทีแรกที่สิ้นใจดวงวิญญาณก็เที่ยวหลอกหลอนและปรากฏกายให้ผู้คนในวังจันทราได้เห็น จนข้าทาสบริวารต่างหนีเตลิดไปคนละทิศละทาง แรงเฮี้ยนของดวงวิญญาณยังตามไปหลอกหลอนผู้คนในวังอิศรา ซึ่งเป็นวังของชายที่ตนรัก และวังสุริยารังษีวังของหญิงที่ตนเกลียดยิ่งกว่าชีวิต แรงอาฆาต แรงพยาบาท นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งวังอิศรา ซึ่งเป็นวังที่ดวงวิญญาณร้ายถือกำเนิดขึ้นมาลืมตาดูโลกเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังถูกดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวหลอกหลอนจนหวาดกลัวไปทั่วทั้งวัง
บัดนี้วังจันทราที่เคยสวยงาม เต็มไปด้วยพืชพรรณ ไม้เลื้อย ชอนไชปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ ฝุ่นละอองปกคลุมจนพื้นไม้กระดานที่เคยมันวาวจนขึ้นเงาขาวโพลนไปทั่ว ข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้น ยังอยู่ที่เดิม จัดเรียงไว้อย่างไรก็ยังคงอยู่เช่นนั้น วังจันทราที่เคยขึ้นชื่อว่ายิ่งใหญ่ อลังการและสวยงามอย่างยิ่งยวด กลับกลายเป็นวังร้างไปอย่างน่าเสียดาย เพราะความเฮี้ยนของดวงวิญญาณคุณหญิงบัวจนทำให้วังจันทรา กลายเป็นวังที่ถูกกล่าวขานกันไปทั่วถึงความน่าสะพรึงกลัวและดวงวิญญาณที่ดุร้ายจนเป็นที่น่าหวั่นเกรง
“เรือนหลังนี้นะหรือที่โจษขานกันไปทั่วว่ามีผีดุร้ายเหลือคณา”เสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจเอ่ยถามคนใกล้ตัวที่ยืนอยู่ด้านหลังตน หวังเกาะเป็นที่พึ่งด้วยความหวาดกลัววิญญาณที่สิงสู่อยู่ที่เรือนไทยหลังงามนี้เป็นยิ่งนัก
“ใช่แล้วขอรับ! เกล้ากระผมเจอมากับตัว หากมิใช่คำสั่งของเสด็จในกรมฯ เกล้ากระผมและบ่าวไพร่ที่ติดตามมาด้วยในวันนี้จะไม่เข้ามาในวังนี้เป็นเด็ดขาด”ชายสูงอายุท่าทางสูงศักดิ์เอ่ยบอกพลางเหลือบสายตามองไปทั่วบริเวณ ด้วยความหวาดกลัว
“แล้วเหตุใดจึงตามอาตมามากันเล่า โยมไม่กลัวหรอกรึ”เสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจและบารมีเอ่ยถามออกไป พร้อมกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณวัง
“หากแม้นมิใช่สมเด็จพระอาจารย์ เกล้ากระผมก็มิขอเข้ามาย่างกรายเด็ดขาดขอรับ แต่พระเดชพระคุณธุดงค์มาทางหัวเมืองเหนือ เกล้าฯ ได้ยินข่าวจึงรีบตามมาขอกราบเชิญ หากเสด็จในกรมไม่ติดข้อราชการด่วน เสด็จในกรมฯ ก็จะเสด็จมาด้วยพระองค์เองของรับ”ชายผู้สูงศักดิ์เอ่ยพร้อม เดินนำหน้าไปข้างหน้าก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าเรือนไทยปีกซ้ายหลังงาม
“สมเด็จพระอาจารย์จะทำพิธีบนเรือนหรือด้านล่างดีขอรับ เกล้ากระผมจะให้บ่าวไพร่แลข้าทาสทั้งหลายจัดเตรียมการพิธีให้ขอรับ หากมืดค่ำจะพากันแย่ไปตามๆ กัน”
“เอาเถิดโยมอาตมามาที่นี่มิได้หมายความว่าจะมาเพื่อ กำจัดดวงวิญญาณที่โยมต่างพากันหวาดกลัวให้ไปเสียจากวังนี้ได้แต่อย่างใด หากแต่ทำได้เพียงให้เขาอยู่ในที่ที่เขาควรอยู่ ณ สถานที่ที่เขาผูกพันเท่านั้น อาตมาหาใช่หมอผี และมิอาจขับไล่เขาไปได้ดอก เพราะดวงวิญญาณนี้มีกรรมหนักยิ่งนัก เขาจักต้องได้รับผลกรรมตามที่เขาได้กระทำเอาไว้”สมเด็จพระอาจารย์เอ่ยพร้อมหลับตาลงทันใด ตั้งจิตเข้าญาณสมาธิทันทีในขณะที่ยืน ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ขอเชิญสีกาสนทนาความกับอาตามาสักเพียงคำเถิด”สิ้นเสียงของพระเดชพระคุณเจ้าผู้ทรงญาณบารมี ร่างโปร่งแสงของคุณหญิงบัวพลันปรากฏกายขึ้น นั่งพับเพียบเรียบร้อยต่อหน้าพระคุณเจ้าผู้ทรงด้วยบารมี
“หญิง...หญิง...หญิงบัว!”ชายสูงศักดิ์อุทานเรียกชื่อดวงวิญญาณตรงหน้าด้วยอาการตื่นตระหนก
“เสด็จพ่อ!”คุณหญิงบัวเอ่ยเรียกชื่อพระบิดา ด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ดวงตาจ้องมองพระบิดาผู้ให้กำเนิดและบรรดาข้าทาสบริวารที่ยืนอยู่ด้านหลังพระเดชพระคุณเจ้า ที่กำลังค่อยๆ ทรุดกายลงนั่งกับพื้นดิน ต่างคนต่างพากันขวัญหนีดีฝ่อไปกันหมด ที่ได้เห็นดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวกลางวันเสกๆ ดวงตาลุกแดงเพลิงจ้องมองด้วยอาการที่ไม่เป็นมิตร
“โยมทั้งหลายจงถอยออกไปให้ห่าง อาตมาจะสนทนากับสีกาบัว หากแม้นพบเห็นสิ่งใด จงอย่าได้เอ็ดอึง ขอจงอยู่ในสติเอาไว้ถ้วนทั่วทุกคน”เสียงของสมเด็จพระอาจารย์เอ่ยสั่งความ พร้อมค่อยๆ ทรุดลงนั่งขัดสมาธิตรงข้ามกับดวงวิญญาณของคุณหญิงบัว
พร้อมกับร่างของทุกคนๆ ซึ่งอยู่ในบริเวณแห่งนั้น ต่างพากันถอยหนีออกไปตามคำสั่งของสมเด็จพระอาจารย์อย่างรวดเร็ว สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่สมเด็จพระอาจารย์ซึ่งกำลังอยู่ในสมาธิ พร้อมบริกรรมคาถากำกับควบคู่ไปด้วย ดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวนั่งพับเพียบฟังสมเด็จพระอาจารย์ด้วยความสงบเป็นอยู่เช่นนั้นนิ่งนานจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจท่ามกลางความเงียบที่เข้ามาปกคลุมโดยรอบ
ทันใดนั้นเอง!
“ไม่!ข้ามิอาจปฏิบัติตามสมเด็จฯ ท่านได้ ข้ายินยอมที่จะอยู่อย่างสงบไม่ไปรบกวนผู้ใดอีก แต่ถ้าหากข้าได้พบกับชายที่ข้ารักยิ่งกว่าชีวิตและหญิงที่ข้าเกลียดยิ่งกว่าสิ่งใดไม่ว่าระยะเวลาจะยาวนานมากเพียงใด จักให้ข้าอยู่เฉยได้เยี่ยงไร ข้าไม่ยอม! ข้าไม่มีวันยอมเด็ดขาด!ข้ามิอาจปฏิบัติตามคำของสมเด็จพระอาจารย์ได้ดอก”คุณหญิงบัวกล่าวตอบโต้ผู้ทรงญาณบารมี พร้อมร่างโปร่งแสงพลันหายลับไปกับตา ท่ามกลางเสียงเกรี้ยวกราดของวิญญาณร้ายที่ตวาดดังกึกก้อง
“ข้าไม่ยอม! อย่างไรเสียข้าก็ไม่ยอม!”
สมเด็จพระอาจารย์เปิดเนตรขึ้นในบัดดล พลางส่ายหน้าไปมาด้วยความอ่อนใจ บ่วงที่ผูกพัน เต็มไปด้วยความรักและแรงพยาบาท อาฆาต ยากนักที่จะทำให้ดวงวิญญาณนี้จักหลุดพ้นกรรมของตนที่ได้ก่อเอาไว้มาหลายภพหลายชาติจนถึงชาตินี้
“วิญญาณดวงนี้กรรมหนักยิ่งนัก กรรมจากอดีตชาติส่งผลแรงจนตัวตายซ้ำร้ายยังก่อกรรมในชาตินี้มากขึ้นยิ่งไปอีก บ่วงกรรมพันธนการวิญญาณดวงนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด”สมเด็จพระอาจารย์รำพึงเบาๆ ด้วยความสังเวชใจ พร้อมหันกลับไปเอ่ยสั่งความบรรดาญาติโยมที่นั่งตัวสั่นงันงกอยู่ในขณะนี้
“ญาติโยมทั้งหลายนั่งรออาตมาอยู่ตรงนี้ จนกว่าอาตมาจะเดินกลับมา ห้ามมิให้ผู้ใดก้าวตามไปเด็ดขาด จะเป็นการไม่ปลอดภัยแก่พวกโยมเอง”
“ขอรับกระผม”เสียงบรรดาญาติโยมขานรับออกมาพร้อมกัน
สมเด็จพระอาจารย์ค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น จนกระทั่งหยุดยืนอยู่ตรงโถงด้านหน้าของเรือนไทย ด้วยทิพย์จักษุญาณของสมเด็จพระอาจารย์ สมเด็จฯ ค่อยๆ เดินตรงไปอย่างช้าๆ เพื่อไปยังเรือนนอนใหญ่ ซึ่งเป็นห้องนอนของคุณหญิงบัวและมีซากศพนอนตายมาแล้วนานกว่า 6 เดือนอยู่ภายในห้องนั้น และทันทีที่มาถึง สมเด็จพระอาจารย์หยุดยืนนิ่งอยู่หน้าห้อง ที่มีซากศพคุณหญิงบัวนอนสงบนิ่งอยู่ภายในห้องนั้น
สมเด็จพระอาจารย์ ล้วงถุงย่ามที่นำติดตัวมาด้วย พร้อมขวดใสบรรจุน้ำสีขาว ภายในนั้นเป็นน้ำมันผ่านพิธีปลุกเสกด้วยอาคมโบราณ นิ้วชี้ผู้ทรงญาณบารมีจุ่มลงในขวดน้ำมันก่อนจะนำมาเขียนลงบนหน้าประตูเป็นการลงยันต์น้ำมันพร้อมร่ายอาคมกำกับ
“มะ อะ อุ ”สิ้นเสียงของสมเด็จพระอาจารย์
พลันบังเกิดแสงสว่างลุกวาบลามเลียไปทั่วอาณาบริเวณปกคลุมห้องนอนซึ่งซากศพของคุณหญิงบัวนอนสงบนิ่งอยู่ภายในนั้น ตราบใดที่ประตูหรือหน้าต่างและแม้แต่ส่วนหนึ่งส่วนใดของห้องดังกล่าวไม่ถูกทำลาย ดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวก็จะอยู่แต่ในห้องนั้นตลอดไป
สมเด็จพระอาจารย์ ยืนมองหน้าประตูห้องด้วยความสงบก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ
“สีกาเอ๋ย อาตมาจำต้องให้ดวงวิญญาณของสีกาอยู่แต่ภายในห้องนี้เท่านั้น เพื่อป้องกันมิให้ออกมารบกวนผู้ใดอีก วันเวลาที่ผ่านไปอาตมาหวังว่าความแค้นและแรงพยาบาทของสีกาจะลดน้อยลง และทำให้สีกาคิดได้ ยอมอโหสิและไปสู่ภพภูมิที่ดีต่อไปเบื้องหน้าด้วยเถิด กรรมของสีกาหนักยิ่งหนัก หากแม้นหลุดพ้นจากบ่วงเวรนี้ได้ ดวงวิญญาณของสีกาจะพบแต่ความสงบสุขยิ่ง ”สมเด็จพระอาจารย์กล่าวทิ้งทายกับดวงวิญญาณของคุณหญิงบัว พร้อมหันหลังกลับค่อยๆ เดินออกจากเรือนไทยปีกซ้ายไปอย่างช้าๆ
“ปล่อยกูออกไป!ปล่อยกู!มาขังกูเอาไว้ทำไม!ปล่อยกู!”เสียงกรีดร้องวิญญาณของคุณหญิงบัว ดังกึกก้องร้องระงมดังตามติดมา
และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เสียงร้องโหยหวนจากดวงวิญญาณของคุณหญิงบัว จะแผดเสียงกึกก้องได้ยินไปทั่วทั้งวัง แม้ดวงวิญญาณจะไม่สามารถออกมาอาละวาดได้อีก แต่เสียงกรีดร้องดังกล่าวจะดังโหยหวนทุกวันขึ้นสิบค่ำ ทุกคราและยังคงดังก้องร้องระงมไปทั่วทั้งวังตั้งแต่วันนั้นตราบเท่าทุกวันนี้ หากแม้นดวงวิญญาณของคุณหญิงบัวหลุดพ้นออกมาได้ จะเกิดเหตุสิ่งใดขึ้นตามติดมากันเล่า และจะมีสิ่งใดสามารถยับยั้งดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตพยาบาทที่มีอยู่ท่วมท้นนี้ลงได้

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 พ.ค. 2558, 19:05:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 พ.ค. 2558, 15:02:42 น.
จำนวนการเข้าชม : 1004
ตอนที่ 2 เทพบุตรจากแมนฮัตตัน >> |