พันธะรักจอมเถื่อน
ความทรงจำที่หายไปหลังจากประสบอุบัติเหตุพลัดตกจากเรือ

ทำให้ ‘อรอาภา’ นักออกแบบเครื่องประดับสาวที่กำลังประสบความสำเร็จอย่างสูง

ลืมเลือนไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่เรื่องที่ว่าตน ‘แต่งงาน’ และมี ‘สามี’ แล้ว

มิหนำซ้ำ ผู้ชายคนนั้นยังรักใคร่และดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี

จนกระทั่งหญิงสาวตายใจ ยอม ‘ทำหน้าที่เมีย’ ให้แก่เขาอย่างเต็มที่ ทุกวันและทุกคืน

แม้จะแปลกใจที่ ‘ร่างกายเธอ’...

ดูจะไม่คุ้นเคยกับการกอดรัดฟัดเหวี่ยงอันเร่าร้อนของเขาแม้แต่น้อย

หากไม่นานความจริงก็เริ่มปรากฏ...

ว่าคนที่เธอได้ ‘ทำความรู้จัก’ กันมาแล้วอย่างลึกซึ้งและถึงพริกถึงขิง 

แท้ที่จริงเป็นซาตานจอมขี้โกง เชื่อใจไม่ได้ ที่หวังล่อลวง 

และใช้ความโชคร้ายของเธอเป็นเครื่องมือบำเรอความสุขเพียงเท่านั้น!

ไม่มีใครล่วงรู้ว่าทำไม... ผู้ชายระดับ ‘ฟาเบียโน่ ลูอิส โดส ซานโตส โอลีเวย์ร่า’ 

นักธุรกิจมหาเศรษฐี เจ้าของเหมืองเพชรและทองแหล่งใหญ่ของประเทศบราซิล

จึงไม่รีรอที่จะสอนจังหวะร่างกายอันกระแทกกระทั้นเร้าใจอย่างหนุ่มละตินให้แก่เธอ

ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้...  ถ้าคิดจะให้เขาชายตามองผู้หญิงแพศยา

ให้กินเศษเดนความสาวที่ผ่านมือชายมาเป็นร้อยน่ะหรือ... อย่าฝันไปเลย!

แต่เพราะอะไร ‘ความลับนั้น’ คงมีแต่เขาคนเดียวที่รู้...

และฟาเบียโน่ก็จะเก็บมันเอาไว้ ‘อย่างมิดชิด’ ให้เป็นปริศนา 

เช่นเดียวกับที่เขาตั้งใจจะหน่วงเหนี่ยวเธอเอาไว้เป็นทาสบำเรอบนเตียงตลอดกาล

“ตายจริงเฟลิกซ์!! คุณได้แผลกลับมาด้วย ขอฉันดูหน่อยสิคะ”

อรอาภาตกใจพลางดึงใบหน้าที่ซบลงตรงหว่างอกของตัวเองออกมาอย่างยากลำบาก

หากแต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าตัวแม้แต่น้อย

ปากและจมูกของฟาเบียโน่ระดมจูบไปทั่วอกอวบทั้งสองข้าง

สูดกลิ่นหอมยวนใจที่ฝันหามาแสนนานเข้าเต็มปอด

“อื้อ... ดะ...เดี๋ยว เฟลิกซ์! ฉันอยากดูแผลให้คุณก่อน อื้อ...”

“แผลแค่นี้ไม่ทำให้ผมตายหรอกเมียจ๋า... 

ถ้าจะตายก็คงตายเพราะไม่ได้รักคุณมากกว่า”

ฟาเบียโน่พูดอู้อี้กับอกอิ่มพร้อมออกแรงรัดเอวคอด

ลอยขึ้นด้วยแขนทรงพลังเพียงข้างเดียว
Tags: ฟาเบียโน่ - อรอาภา

ตอน: ตอนที่ 6 100%

อรอาภาออกจากโรงพยาบาลได้ในอีกสองวันถัดมา หญิงสาวมองวิวชายหาดอีปาเนมาที่รถกำลังเคลื่อนตัวผ่านไปจนมาถึงเขตหาดส่วนตัวอันเงียบสงบ รถคันหรูกำลังชะลอความเร็วเพื่อที่จะเลี้ยวเข้าไปในรั้วสีขาว บ้านพักสไตล์โมเดิร์นคลาสสิกสีขาวสะอากตาตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าจัดตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า

“ถึงบ้านแล้ว” เสียงทุ้มของสามีตัวโตที่นั่งอยู่ข้างๆบอกเบาๆพร้อมกับดันให้เธอก้าวลงจากรถก่อนตัวเอง

หญิงสาวมองบ้านสุกหรูนี้กับสามีสลับกันไปมาอยู่หลายครั้ง เหลือเชื่อ! บ้านสวยๆหลังนี้คือบ้านของเธอเองเหรอ??! “นี่บ้านของเราเหรอคะ?”

ฟาเบียโน่เพียงแค่พยักหน้ารับ ใช้ฝ่ามือหนาของตัวเองลุนแผ่นหลังบางให้เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนในบ้านมากกว่าสิบคนที่ออกมายืนเรียงแถวต้อนรับเธอ

“สวัสดีค่ะเซญอร่า” นอสซาที่เป็นหัวหน้าแม่บ้านอยู่วิวล่าหรูในบูซิโอสถูกเรียกตัวเข้ามาในรีโอเป็นการด่วนเพื่อดูแลคุณผู้หญิงของบ้าน เมื่อวานเด็กรับใช้ทุกคนในบ้านถูกเรียกให้มารวมตัวกันเพื่อทำความรู้จักกับข้อมูลของเจ้านายสาว ทุกคนต่างก็เพิ่งจะรู้ว่าเธอคือภรรยาของเซญอร์ฟาเบียโน่ ข้อมูลและประวัติคร่าวๆของอรอาภาที่เด็กรับใช้ควรจะรู้ถูกป้อนเรื่องราวทั้งหมดโดยอิบันคนสนิทอีกคนของฟาเบียโน่

อรอาภายิ้มตอบหญิงร่างท้วมที่ยืนรออยู่หน้าประตูใหญ่พร้อมกับหญิงชายอีกราวสิบกว่าคน ในความทรงจำของหญิงสาวนั้นเธอจำใครไม่ได้เลยสักคน แต่จากรอยยิ้มเป็นมิตรที่ทุกคนส่งให้นั้นก็จึงเดาเอาว่าก่อนนี้เธอคงรู้จักกับพวกเขาเป็นอย่างดี “สวัสดีค่ะ เอ่อ...”

อรอาภาจะเอ่ยถามว่าแต่ละคนชื่ออะไร เธอก็กลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาทจึงเงยหน้าขึ้นไปหาฟาเบียโน่แล้วปั้นหน้ายาก ลำบากใจ ฟาเบียโน่ก็ดูเหมือนจะเดาความคิดของเธอได้ ชายหนุ่มจึงบอกให้ทุกคนแนะนำตัวทีละคน หลังจากที่อรอาภาได้รู้จักชื่อของแต่ละคนแล้ว ฟาเบียโน่ยังออกคำสั่งให้ดูแลเธออย่างดีอีกด้วย

“ตอนนี้เซญอร่าจิงเจอร์กำลังไม่สบาย อยู่ในระยะพักฟื้น ขอให้ทุกคนดูเธออย่างใกล้ชิดและดีที่สุด เอาล่ะ... แยกย้ายกันไปทำงานได้ กระเป๋าของเซญอร่าก็เอาไปไว้ในห้องของฉัน” ฟาเบียโน่บอกน้ำเสียงราบเรียบและทุกคนก็แยกย้ายกันทำตามทันที
อรอาภาแหนหน้ามองคนที่ก้มลงมาบอกเธอ “คุณก็เหมือนกัน มีอะไรก็เรียกใช้นอสซา อยากรู้อะไรก็ถามนอสซาได้เลย”

“ถามได้ทุกเรื่องเลยเหรอคะ?” อรอาภาถามแล้วก้าวท้าวตามแรงที่ฝ่ามือใหญ่ดันบั้นเอวให้เดินขึ้นบันไดไปชั้นบน

“อื้ม... ก็ถามได้ทุกเรื่องแหละ แต่นอสซาคงตอบคุณเฉพาะเรื่องที่รู้เท่านั้น” ฟาเบียโน่มองตาหวานคมที่มองค้อนเขาได้อย่างน่ารัก “ยังปวดหัวอยู่รึเปล่า??”

“ไม่ค่ะ” อรอาภาเดินขึ้นมาถึงชั้นบนแล้วเธอยังรู้สึกว่าไม่คุ้นตากับสภาพแวดล้อมตรงหน้าเอาเสียเลย “เฟลิกซ์คะ เราอยู่ด้วยกันที่นี่นานรึยังคะ? คือฉันหมายความว่าทำไมฉันถึงไม่รู้สึกว่าเคยอยู่ที่นี่มาก่อนเลย!”

“ก็ใช่น่ะสิ ไม่อย่างนั้นหมอจะบอกว่าคุณความจำเสื่อมหรือไงกัน” ฟาเบียโน่เปิดประตูบานใหญ่ที่เปิดออกได้ทั้งสองบาน เตียงนอนกว้างและสูงเกือบถึงเอวของอรอาภาก็ตั้งอยู่กลางห้องก็ปรากฏแก่สายตา ถัดไปเป็นเก้าอี้นวดไฟฟ้าตัวใหญ่วางอยู่บนพรมสีแดงเลือดนกใกล้ๆกับกระจกใสที่มองออกไปเห็นวิวชายหาดกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

อรอาภาเดินไปหยุดอยู่ตรงระเบียงนั้นราวต้องมนต์สะกด ความงามของท้องทะเลเบื้องหน้าทำให้ความสงสัยทุกอย่างหายไปในทันที

“สวยจังเลยค่ะ ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วได้เห็นภาพนี้ทุกวันคงจะทำให้อารมณ์ดีไปทั้งวันแน่ๆ” อรอาภาบอกพร้อมหลับตา สูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้ามาเก็บไว้เต็มปอด

“วันนี้ผมมีงานสำคัญต้องเข้าบริษัท คุณอยู่ได้ไหม?”

“ค่ะ อยู่ได้ค่ะ ถ้ามีงานด่วนก็รีบไปเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันยังมีนอสซาอยู่ด้วย” อรอาภาหันมาบอกพร้อมกลับเข้ามาในห้องแล้วเดินตามหลังของฟาเบียโน่ลงมาชั้นล่างอีกครั้ง “เดี๋ยวค่ะเฟลิกซ์ คุณจะออกไปนานไหมคะ??”

ฟาเบียโน่ตอบน้ำเสียงเฉยชาเช่นเดิม “ไม่แน่ใจ มีอะไรรึเปล่า?”

อรอาภาขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจว่าทำไมสามีของตนเองจึงเฉยเมย เย็นชาขนาดนี้ เขาถามเพียงเท่านั้นเมื่อไม่ได้คำตอบจากเธอก็เดินออกจากห้องไปในทันที

กิจวัตรประจำวันอันน่าเบื่อหน่ายดำเนินไปเรื่อยๆ เธอตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของทุกวัน บางวันก็พบสามีตัวโตที่ห้องอาหาร บางวันเขาก็ออกจากบ้านก่อนที่เธอจะลงมาด้วยซ้ำ ทุกชั่วโมงผ่านไปอย่างเชื่องช้า เวลายิ่งเดินช้ามากขึ้นเมื่อภายในบ้านไม่มีสิ่งของหรือรูปถ่ายซักแผ่นที่จะมาย้ำเตือนความทรงจำของเธอ คำถามมากมายที่อยากรู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน? ครอบครัวเดิมอยู่ที่ไหน? รักและแต่งงานกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่? ทุกคำถามที่เต็มตื้อในสมองไม่มีใครให้คำตอบได้ นอสซาแม่บ้านร่างท้วมที่คอยดูแลเธออยู่ไม่ห่างกายก็ตอบแค่เพียงว่า ความจริงแล้วเธอเป็นแม่บ้านประจำอยู่ที่วิลล่าบนเกาะส่วนตัวของตระกูลโอลีเวย์ร่า ถูกเรียกตัวให้มาดูแลเธอในตอนที่เธอพักฟื้นเท่านั้น

ส่วนคนที่ตอบคำถามของเธอได้กลับมีเวลาเจอหน้ากันเพียงแค่วันละไม่กี่นาที พอเขากลับมาถึงบ้านก็ขลุกอยู่แต่ในห้องทำงาน ทิ้งให้เธอนอนรออยู่ในห้องคนเดียวจนผล็อยหลับไปมาเป็นวันที่สามแล้วนับตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล

ช่วงบ่ายของทุกวันก็เป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดเพราะต้องตอบคำถามอันน่าเบื่อของคุณหมอ แบบทดสอบสมองมากมายที่ต้องทำ คำถามไม่เข้าท่าหลายอย่างที่ต้องตอบมันทำให้หงุดหงิด อยากตะโกนออกมาดังๆให้หมอรู้ว่าเธอไม่ใช่คนบ้าแค่คนความจำเสื่อมเท่านั้น

ดูเหมือนคุณหมอจะดูออกอย่างง่ายดายว่าคนไข้สาวมีเรื่องไม่สบายใจ คำพูดของคนที่มีจิตวิทยาสูงค่อยๆซักถามไปเรื่อยๆจน อรอาภาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองได้เผยความกังวลในใจออกมาให้คุณหมอรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่

‘ฉันคิดว่าสามีของฉันไม่ได้รักฉัน เขาเฉยชา หลายวันที่ฉันกลับมาอยู่ที่นี่เราคุยกันแทบจะนับคำได้ ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาคือสามีของฉัน ดูเหมือนเขาไม่ได้เป็นห่วงฉันเท่าที่ควร’ คำถามที่เหมือนตัดพ้อของอรอาภาทำให้คุณหมอวัยกลางคนยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ

‘มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไงกันครับ ถึงแม้เซญอร์ฟาเบียโน่จะเพิ่งเปิดเผยกับคนทั่วไปว่าเซญอร่าจิงเจอร์คือภรรยาของท่านแต่นั่นก็เพราะท่านเป็นคนเงียบขรึม ไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องส่วนตัวนัก แต่ที่ผมและคนในโรงพยาบาลรู้ได้ก็คือความรักความห่วงใยที่ท่านมีให้กับคุณ ทุกๆวันท่านจะยืนเฝ้ามองคุณนิ่งนานอยู่วันละหลายครั้ง ครั้งละหลายชั่วโมง ถ้าอีกสักวันหรือสองวันคุณยังไม่ฟื้นล่ะก็ท่านจะให้คนบินไปรับหมอที่อเมริกามาดูอาการเชียวนะครับ สาวๆในโรงพยาบาลงี้อิจฉากันใหญ่เลย’ คุณหมอเล่าเรื่องจริงที่ได้เห็นกับตาตัวเองให้คนไข้ฟัง

‘แล้วทำไมเขาถึงได้หลบหน้าฉัน ทำเหมือนไม่อยากเห็นหน้ากันแบบนี้?’ อรอาภาใจชื้นขึ้นมาเกินครึ่งเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้มาถึงสองครั้งสองคราแล้วหากแต่ที่ถามออกไปก็เป็นเพราะยังไม่มั่นใจในปฏิกิริยาของเขาที่แสดงออกมาต่างหาก

‘อาจจะเป็นเพราะไม่อยากกวนใจเซญอร่าจิงเจอร์ตอนนี้ อยากให้พักผ่อนให้เต็มที่ ความจริงถ้าหากว่าเซญอร์ฟาเบียโน่เย็นชา เราก็เป็นฝ่ายละลายน้ำแข็งนั่นเองก็ได้นี่ครับ ที่ท่านต้องกันตัวเองให้ห่างออกมาอาจเป็นเพราะเหตุผลในเรื่องความสัมพันธ์ทางกายของสามีภรรยาก็ได้ ท่านคงทราบว่าคุณยังไม่พร้อมเลยต้องหักห้ามใจให้อยู่ห่างๆเอาไว้ แต่คุณก็สามารถเป็นฝ่ายเริ่มก่อนก็ได้นี่ครับ’

อรอาภาทำตาโตเมื่อได้ยินคำแนะนำตรงๆของคุณหมอ ‘ไม่ดีมั้งคะ จะให้ฉันเป็นฝ่ายเริ่มก่อนน่ะ!!’
คุณหมออดขำไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางตื่นๆของคนไข้สาว ‘ไม่ได้หมายความแบบนั้นครับ หมายถึงว่าเป็นฝ่ายเริ่มความสัมพันธ์อันดี เช่นนอนกกกอดกันบนเตียง ถามไถ่เรื่องราวที่ผ่านมา เช่นว่า เจอกันได้ยังไง ที่ไหน รักกันเมื่อไหร่ อะไรทำนองนี้น่ะครับ สัมผัสอ่อนหวานทางกายเป็นแรงดึงดูดที่สำคัญที่สุดในการที่จะประคับประคองให้ชีวิตคู่ดำเนินไปอย่างราบรื่นนะครับ เชื่อผม ลองทำดูก็ไม่เสียหายนี่ครับ ถึงตอนนี้จะยังจำท่านไม่ได้แต่ความจริงแล้วพวกคุณคือสามีภรรยากัน’


รุ่งเช้าอรอาภาตื่นเช้ากว่าทุกวันที่ผ่านมาเพราะตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เธอไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างสามวันที่ผ่านมาได้อีกแล้ว มันคงไม่เป็นการดีนักหากเธอต้องใช้ชีวิตอยู่กับคำถามมากมายแต่ไม่มีคำตอบใดๆไขข้อข้องใจเหล่านั้นเลย หญิงสาวใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีในการอาบน้ำแต่งตัวแล้วเดินลงมาชั้นล่าง หวังว่าวันนี้เธอต้องได้คุยกับสามีก่อนที่เขาจะออกไปทำงานแน่

“เฟลิกซ์คะ เดี๋ยวค่ะ รอฉันก่อน!!” อรอาภาร้องเรียกเมื่อมองเห็นแผ่นหลังกว้างกำลังเดินผ่านประตูใหญ่ สองเท้าบางวิ่งเข้าไปดักหน้าเขาพร้อมกางแขนห้ามไม่ให้เขาก้าวขึ้นรถทันที

ฟาเบียโน่กรอกตาขึ้นฟ้าอย่างระอาใจ สามวันที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเขาหนีปัญหาโดยการหลบหน้าเธอ ออกจากบ้านแต่เช้า กลับบ้านในตอนเย็นและขลุกอยู่ในห้องทำงาน แต่วันนี้เธอกลับตื่นเช้ากว่าปกติอีก หากแต่คนหน้านิ่งก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกใดๆเช่นเคย “มีอะไรรึเปล่า?”

“วันนี้กลับบ้านเร็วๆนะคะ ฉันจะได้ทำกับข้าวรอ” อรอาภาบอกพร้อมกับแหนหน้าขึ้นมองใบหน้าคร้ามคมที่ยังเฉยเมยเหมือนเดิม
“ไม่ต้องหรอก คุณยังไม่แข็งแรง อีกอย่างผมไม่รู้ด้วยว่าจะกลับกี่โมง”

คำตอบทื่อๆไร้ความรู้สึก ทำให้อรอาภาตัดสินใจก้าวประชิดร่างสูงใหญ่ใช้สองมือของตนเองโน้มต้นคอแกร่งลงมาพร้อมกับเขย่งเท้าของตัวเองขึ้นจูบเร็วๆ ที่คางครึ้มของฟาเบียโน่หนึ่งครั้ง แล้วเอียงแก้มตนเองให้ชายหนุ่ม เมื่อเขายังนิ่งอยู่เช่นเดิมหญิงสาวจึงดันแก้มของตัวเองให้ชนจมูกโด่งของเขาเสียเอง “ยังไงฉันก็จะรอทานข้าวนะคะ คราวนี้ก็ไปทำงานได้แล้วค่ะ” อรอาภาบอกพร้อมถอยหลังออกมาเล็กน้อย มองร่างที่ก้าวขึ้นรถอย่างงงๆ โดยมีดีเกาปิดประตูให้

ดีเกาสอดตัวเข้าไปนั่งคู่กับอิบันที่ทำหน้าที่ขับรถ มองหญิงสาวที่ตนเองเป็นคนโอนเงินค่าใช้จ่ายให้ทุกเดือนไม่เคยขาดอย่างขำๆ แต่ก็ต้องกลั้นยิ้มเอาไว้อย่างสุดชีวิต ยิ่งเห็นหน้าของเจ้านายตัวเองแล้วก็ยิ่งไม่รู้ว่าจะสงสารหรืออย่างไรดี? เขาเคยบอกให้เจ้านายบอกความจริงกับเธอไป แต่เจ้านายเขากลับเลือกที่จะทำให้เรื่องมันยุ่งยากเข้าไปใหญ่ ทำให้เธอกลายมาเป็นเซญอร่าจิงเจอร์แทนมันผิดวิสัยของฟาเบียโน่ผู้ที่ไม่เคยปล่อยให้เรื่องรอบตัวคลุมเครือเลยสักเรื่องเดียว

แต่ตอนนี้... ดีเกากลับเห็นปัญหาที่ส่อเค้าว่าจะบานปลายออกไปใหญ่โตจนหาจุดลงเอยไม่เจอแล้ว!!


คิงส์ ออฟ เจมส์

ฟาเบียโน่ทรุดตัวลงเก้าอี้ตัวใหญ่ในห้องทำงานของตนเอง นิ้วแข็งแรงเลื่อนขึ้นมาคลึงขมับทั้งสองข้างราวกับว่าเจอเรื่องปวดสมองมาอย่างหนักหน่วง คำตอบจริงบ้างโกหกบ้างที่ตอบกับอรอาภาไปทำให้เขาถึงกับมึนไปไม่น้อย ตั้งแต่วันที่เธอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมานั้น ตอนที่ยังอยู่ในโรงพยาบาลเขาสามารถเลี่ยงคำถามหลายอย่างที่เธอถามได้ แต่เมื่อเธอกลับมาอยู่บ้านเดียวกัน ห้องนอนเดียวกันกับเขาแล้ว เขายังรู้สึกหวั่นๆ ไม่รู้ว่าเธอจะสงสัยอะไรขึ้นมาอีก นั่นเป็นอาการของคนความจำเสื่อมที่คุณหมอได้อธิบายให้เขาฟังแล้ว แต่เขาจะไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมจะตอบทุกข้อสงสัยของเธอรึยัง

ก๊อก... ก๊อก...

ดีเกาและอิบันสองพี่น้องที่เปรียบเสมือนมือขวาและมือซ้ายของฟาเบียโน่ก้าวเข้ามาในห้องเมื่อได้ยินเสียงอนุญาตของเจ้านาย อิบันวางแฟ้มเอกสารสีเข้มลงบนโต๊ะทำงานพร้อมถอยหลังไปยืนข้างๆ ดีเกา

“บริษัท แอลอินเวสเมนต์ จำกัด ขอซื้อทองคำแท่งจากเราสองพันล้านดอลล่ายูเอสครับ” อิบันรายงานพร้อมสบตาของเจ้านายที่เริ่มส่อเค้าไม่ไว้ใจขึ้นมาทันที

“ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน เป็นบริษัทลงทุนเกิดใหม่เหรอ? แกสืบประวัติมารึยัง?” ฟาเบียโน่ถามพร้อมกับกวาดสายตามองใบสั่งซื้อทองคำจากบริษัทดังกล่าวตรงหน้า

“สืบได้แค่รายละเอียดเบื้องต้นครับ เป็นบริษัทในอาร์เจนติน่าที่เข้ามาเปิดแคมเปญใหญ่ในเซาเปาโล เปิดขายโกลด์ฟิวเจอร์4ครับ แต่เท่าที่ผมรู้มาบริษัทนี้เน้นเปิดตลาดกับนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนมือสมัครเล่น เน้นกลุ่มเป้าหมายไปยังข้าราชการปลดเกษียณ ขายทองคำแท่งให้กลุ่มคนพวกนี้เพราะคนกลุ่มนี้จะซื้อทองคำไว้เกรงกำไรในระยะยาวครับ เมื่อสองเดือนที่แล้ว เอเอฟแบงค์ ยังปล่อยสินเชื่อก้อนโตให้ แอลอินเวสเมนต์ จำนวนห้าพันล้านดอลล่ายูเอสด้วยครับ กลุ่มเป้าหมายอย่างพวกข้าราชการระดับสูงในอาร์เจนติน่าและในเซาเปาโลต่างก็ให้ความเชื่อถือกับ แอลอินเวสเมนต์มาก ประธานบริษัทคือมิสเตอร์ดีเอโก้ เปไรย์ร่า เป็นชาวอาร์เจนไตย์วัยห้าสิบปีครับ”

“งั้นก็ไปสืบประวัติของดีเอโก้ เปไรย์ร่า คนนี้มาให้ละเอียด การที่เอเอฟแบงค์ ปล่อยกู้ให้เขาด้วยเงินจำนวนมหาศาลก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นบุคคลน่าเชื่อถือหรือไม่ได้มีส่วนข้องเกี่ยวกับธุรกิจมืด ถ้าเป็นไปได้ก็สืบมาด้วยว่าดีเอโก้ คนนี้เอาอะไรเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันกับ เอเอฟแบงค์”

“ครับท่าน” อิบันรับคำพร้อมถอยหลังออกไปจากห้องเพื่อทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย แต่ได้ยินเสียงเรียกของเจ้านายเสียก่อน

“อ้อ... สืบย้อนหลังมาด้วยว่ามีแบงค์ไหนเคยปล่อยกู้ให้เขามาบ้าง” ฟาเบียโน่สั่งเสียงราบเรียบ ในใจคิดว่าดีเอโก้คนนี้มีชั้นเชิงทางธุรกิจที่ไม่เป็นรองใครแน่ เขาชักอยากเห็นหน้าของดีเอโก้แล้ว

“เซญอร์ว่ามีปัญหาเหรอครับ??” ดีเกาที่ยังคงยืนอยู่มองสีหน้าเรียบเฉยของเจ้านายนั้นออกว่าต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล!

“แค่ความรู้สึกมันเอามาใช้ตัดสินปัญหาไม่ได้หรอก แต่ยังสงสัยอยู่ว่าแค่บริษัทลงทุนข้ามชาติทำไม เอเอฟแบงค์ ถึงเชื่อถือและก็ปล่อยเงินกู้ให้มากขนาดนั้น”

“อาจจะเป็นได้ว่าใช้หลักทรัพย์สำคัญค้ำประกันมั้งครับ” ดีเกาสันนิษฐาน

“อะไรล่ะ? ที่ดินตรงไหน ผืนใหญ่แค่ไหนในอาร์เจนติน่าที่มีค่าถึงห้าพันล้านเหรียญยูเอส??!” คำถามของฟาเบียโน่ทำให้ดีเกาพูดไม่ออก “แต่เดี๋ยวคงได้รู้กัน”

ฟาเบียโน่พ่อค้าเพชร ค้าทองคำชื่อดังที่ไม่ได้ตาโตลุกวาว เมื่อเห็นยอดสั่งซื้อมหาศาลจากลูกค้าคนใดทั้งสิ้น การทำธุรกิจของเขาเต็มไปด้วยความรอบคอบมั่นคง อาจจะเป็นเพราะเขามีทรัพย์สินมหาศาลจนไม่ได้ตื่นเต้นกับตัวเลขตรงหน้าเลย แต่สิ่งที่ฟาเบียโน่ทำคือการปกป้องตัวเองและทรัพย์สินมหาศาลจากธุรกิจอันมืดดำ ที่พวกนักธรุกิจนอกกฏหมายทั้งหลายมักใช้การซื้อของเหล่านี้เป็นการฟอกเงิน ซึ่งเขาเองไม่อยากจะตกเป็นเครื่องมือดังกล่าวอย่างเช่นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้ว!!

“เซญอร์มีนัดทานอาหารกลางวันกับลูกค้าจากฝรั่งเศสนะครับ หลังจากนั้นตอนบ่ายมีประชุมผู้ถือหุ้นประจำเดือนครับ ตอนเย็นว่างครับ” ดีเการายงานภาระกิจประจำวันให้เจ้านายหนุ่มได้รู้ “เมื่อสักครู่เซญอร่าจิงเจอร์โทรมาครับ ผมจะให้เธอคุยกับท่าน แต่เธอบอกว่าไม่ต้องแค่ให้เรียนท่านว่าเย็นนี้เธอจะทำอาหารเย็นรอท่านอยู่ที่บ้านครับ”

“เฮ้อ! สักวันฉันต้องบ้าตายก่อนคนความจำเสื่อมแน่!” ฟาเบียโน่บ่นกระปอดกระแปดจนทำให้ดีเกาต้องกลั้นยิ้ม

“ผมยังไม่เข้าใจว่าทำไมเซญอร์ไม่บอกความจริงไปว่าเธอเป็นใคร แล้วต้องอยู่ที่นี่เพราะอะไร??”

“คนความจำเสื่อมน่ะก็น่าสงสารมากพออยู่แล้ว แกจะให้ฉันบอกเธอว่าเธอเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่อายุสิบห้า แล้วยัยนงนุชนั่นเสนอให้ฉันรับเธอไว้เป็นนางบำเรอเพราะอยากกำจัดเธออกจากชีวิตของลูกชายตัวเอง ที่หัวแตกตกลงไปในทะเลนี่ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอุบัติเหตุรึเปล่า?? ฟื้นขึ้นมายังกลายเป็นคนความจำเสื่อมอีก ตอนนี้เธอคิดว่าฉันเป็นสามีแต่ถ้ารู้ว่าไม่ใช่จริงๆแล้วฉันเป็น...”

ฟาเบียโน่มองหน้าดีเกา มือขวาและบอดี้การ์ดคนสนิทไม่อยากจะพูดต่อว่าแท้จริงแล้วตัวเองคือใคร? “หรือแกคิดว่าถ้าจิงเจอร์รู้ว่าฉันเป็นใครแล้วเธอจะทำใจได้?? แกคิดว่าความจริงบ้าบอพวกนั้นมันจะช่วยให้เธอดีขึ้นในเร็ววันหรือไงกันวะดีเกา!!?”

จริงสินะ! ความจริงอันโหดร้ายพวกนั้นมันคงไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา เขาเองก็ไม่ทันได้คิดถึงเรื่องที่เจ้านายคิดอยู่เลย ดีเกาก้มหน้ายอมรับ “ขอโทษครับท่านผมไม่ทันได้คิดในเรื่องที่ท่านว่ามาเลย”

“ช่างเถอะ ฉันเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะสงสารเธอหรือสงสารตัวเองดี” ฟาเบียโน่บอกพร้อมกับลุกขึ้นเต็มความสูงเมื่อใกล้ถึงเวลาที่ต้องออกไปทำงานตามที่ดีเกาได้รายงานไว้ตั้งแต่ตอนแรกแล้ว



ตลอดทั้งวันที่ผ่านมาหญิงสาวเพิ่งนึกได้ว่ากิริยาท่าทางที่เฉยเมยที่แววตาห่วงใยสุดๆ ถามคำตอบคำแต่โทรศัพท์มาถามทุกความเคลื่อนไหวของเธอกับนอสซา หลบหน้าหลบตาแต่ลอบมองทุกครั้งที่ได้สบตากัน อาการที่ว่ามาเหล่านี้มันจะเป็นอะไรอื่นไปได้อีกนอกจากเขาจะรู้สึกโกรธ โกรธที่แม้แต่เขาผู้ที่เป็นสามีเธอยังจำไม่ได้ สามวันที่ผ่านมาเธอมัวแต่หาคำตอบให้กับคำถามในสมองของตัวเอง จนลืมคิดไปว่าหากเธอยังจำเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้อยู่อย่างนี้ ปล่อยให้สามีหลบหน้าหลบตาต่อไปแบบนี้มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ความสัมพันธ์ของสามีภรรยาคงต้องค่อยๆเลือนหายไปเหมือนกับความทรงจำของเธอเป็นแน่

เธอต้องทำอะไรสักอย่างที่ทำให้เขากลับมาปฏิบัติตัวกับเธอเหมือนเดิมเช่นที่ผ่านมา แม้จะไม่รู้ว่าที่ผ่านมามันเป็นยังไง ถ้าทำอะไรสักอย่างที่สามารถทำให้ริมฝีปากบางเฉียบของเขาพูดมันออกมาได้ เธอก็พร้อมที่จะปฏิบัติตัวกับเขาอย่างที่ผ่านมาเช่นกัน
เสียงรถที่แล่นเข้ามาจอดเทียบอยู่ที่ประตูใหญ่ ทำให้อรอาภารู้สึกตัวว่าการรอคอยของตนนั้นสิ้นสุดลงแล้ว หญิงสาววิ่งพร้อมส่งยิ้มดีใจออกมารับเขาถึงหน้าประตู

“คุณกลับมาแล้ว!!” อรอาภาโผเข้าหากอดของฟาเบียโน่เสียเองทำให้หนุ่มใหญ่ถึงกับอึ้ง!! กางเขนออกรับร่างที่วิ่งเข้ามาหาแทบไม่ทัน จนขาแกร่งต้องถอยหลังไปครึ่งก้าวเพื่อทรงตัว

ดีเกาและอิบันที่เดินตามหลังเจ้านายมาติดๆได้แต่หันหน้ามามองตากันปริบๆ เพราะไม่คิดว่าเจ้านายสาวจะเปิดเกมส์รุกโดยไม่ให้เจ้านายหนุ่มได้ตั้งตัว ตลอดหลายวันที่ผ่านมาบอดี้การ์ดทั้งคู้รู้ดีว่าเจ้านายกำลังขบคิดเรื่องของเซญอร่าอรอาภา

“นึกว่าคุณจะไม่กลับมาทานข้าวที่บ้านเสียแล้ว” อรอาภาดึงตัวออกพลางสอดแขนเรียวของตนเองเข้าไปในแขนแกร่ง ดึงร่างสูงใหญ่ให้เดินเข้ามาด้านในตัวบ้านด้วยกัน

“คือ... ผมติดประชุมก็เลยกลับดึก” ฟาเบียโน่ตอบพร้อมเดินตามคนตัวเล็กที่ยังคลอเคลียอยู่ข้างๆ

“ช่างเถอะค่ะ คุณมาเหนื่อยๆ จะอาบน้ำก่อนหรือว่าทานข้าวเลยคะ วันนี้ฉันกับนอสซาช่วยกันทำของโปรดคุณตั้งหลายอย่าง” อรอาภาถามพลางหันมายิ้มและทำตัวราวกับภรรยาแสนดีที่รักกันมาหวานชื่นเป็นแรมปี

“กินข้าวเลยก็ได้ ดึกแล้วนี่ คราวหลังถ้าผมกลับดึกก็ไม่ต้องรอนะ กินข้าวก่อนได้เลย” ฟาเบียโน่นั่งลงตามแรงกดน้อยๆของอรอาภาตรงเก้าอี้ที่อยู่ตรงหัวโต๊ะ แล้วตนเองจึงทรุดตัวลงเก้าอี้ตัวถัดมาขวามือของเขา

“ฉันทานข้าวคนเดียวมาหลายวันแล้วนี่คะ วันนี้ถ้าคุณไม่กลับมาทานด้วย ก็คิดว่าจะอดข้าวประท้วงเหมือนกัน”

“ประท้วงเรื่องอะไร??” ฟาเบียโน่ถามราวกับละเมอเพราะรอยยิ้มแสนงอนทั้งออดอ้อนของเธอทำให้เขาหน้ามืด! ดวงตาพร่ามัวไปในทันที หากแต่ไม่ได้รับคำตอบใดเพราะเธอกำลังตักอาหารใส่จานของเขาด้วยท่าทางเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ จนทำให้ฟาเบียโน่แปลกใจไม่สามารถรู้ได้ว่าเธอจะมาไม้ไหนกับเขาอีก!!

ฟาเบียโน่รับประทานอาหารตำรับบาเยียซึ่งคิดว่านอสซาน่าจะเป็นคนสอนให้เธอทำ เพราะอาหารตำรับบาเยียเป็นอาหารของชนพื้นเมืองแอฟริกันผสมบราซิลที่ไม่เหมือนใคร มีรสชาติจัดจ้านถึงใจ พร้อมทั้งสังเกตว่าเธอนั้นจะรับประทานเข้าไปได้หรือไม่
หญิงสาวตักโมแคคาเป็นอาการทะเลที่มีทั้งมะพร้าว กระเทียมเครื่องเทศหลายอย่างรวมทั้งมะเขือเทศมาผัดกับน้ำมันและกินกับข้าวหุงน้ำกะทิ พร้อมทั้งชิมวาตาปาที่หน้าตาคล้ายกุ้งหลน รสชาติจัดจ้านเข้าปากได้อย่างไม่สะทกสะท้าน

“คุณทานเผ็ดได้ด้วยเหรอ??” ฟาเบียโน่อดถามไม่ได้เมื่อเห็นเธอทานอาหารตรงหน้าด้วยท่าทางสุขใจเหลือเกิน

“เป็นอย่างนึงที่ฉันค้นพบค่ะว่าตัวเองทานอาหารรสจัดได้ ตอนที่ชิมวาตาปาเนี่ยรู้สึกว่าชอบมาก” อรอาภาทำหน้าแปลกใจเมื่อได้ยินคำถามดังนั้น “ทำไมเหรอคะ แต่ก่อนนี้ฉันทานเผ็ดไม่ได้หรือไง?”

นั่นไงเธอเริ่มตั้งคำถามที่จะทำให้เขาเป็นประสาทตายอยู่แล้ว “ปะ...เปล่า เพียงแค่ไม่คิดว่าคุณจะชอบขนาดนี้ นึกว่าจะชอบพวกอาหารไทย”

“ฉันคิดว่าอาหารไทยก็คงรสจัดแบบนี้ล่ะค่ะ อ้อ! จริงสิฉันแค่ความจำเสื่อมเท่านั้นนะคะที่รัก ทำไมคุณต้องให้ฉันใช้เวลาคุยกับจิตแพทย์วันละตั้งสามสี่ชั่วโมง!!?” อรอาภาทำหน้าบึ้งได้อย่างน่ารักนัก

“มันจะทำให้อาการของคุณดีเร็วขึ้น ไม่อยากจำอะไรๆ ได้เร็วๆ หรือไง?” ฟาเบียโน่ตอบเสียงขรึมพร้อมทั้งรับประทานอาหารไปด้วย

เมื่อได้ยินคำตอบและน้ำเสียงที่ติดจะรำคาญนิดๆ จึงทำให้อรอาภาเงียบไปในทันที ‘เขารำคาญเรารึเปล่านะ หรือว่ายังโกรธอยู่ ขนาดว่าเอาใจทุกอย่างแล้วก็ยังปั้นหน้าตึงอยู่เหมือนเดิม แล้วอยากให้เธอเป็นยังไงทำไมไม่พูดมาตรงๆ รู้ไหมว่ามันอึดอัดนะ เป็นสามีภรรยากันแต่ตอนนี้มันเหมือนคนแปลกหน้าที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังเดียวกันซะมากกว่า’ อรอาภาคิดในใจ

จากนั้นทั้งคู่ก็เงียบไปและต่างก็จัดการกับอาหารตรงหน้าของตนเองจนเรียบร้อย นอสซาจึงเสิร์ฟของหวานให้อย่างต่อเนื่อง ฟาเบียโน่นั้นหยิบขนมสีเหลืองมันวาวที่ทำจากไข่แดงผสมน้ำตาลและมะพร้าวที่เรียกว่าคินชิงได้ไม่กี่คำก็ลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นชั้นบนทันที ปล่อยให้อรอาภามองตามด้วยความคิดไปเองต่างๆนาๆ เธอเองก็ไม่ได้อยากที่จะจำใครไม่ได้ ทำไมเขาถึงไม่พยายามบอกว่าอยากให้เธอทำอย่างไรถึงจะได้เลิกปั้นหน้าตึงอย่างนี้เสียที หรือไม่ทำไมไม่เคยพูดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาให้เธอได้รับรู้บ้างมันเป็นอีกวิธีที่คุณหมอยืนยันว่าได้ผลอยู่ไม่น้อยทีเดียว

หลังอาหารอรอาภาคุยกับนอสซาได้สักพักจึงเดินออกมานอกบ้านรับลมทะเลและย่อยอาหารไปในตัว ท้องฟ้ามืดสนิทจนแยกผืนน้ำและผืนฟ้าออกจากกันไม่ได้ มันสับสนปนเปกันไปหมดราวกับในใจของหญิงสาวที่ตอนนี้อยากจะจำเรื่องราวทั้งหมดในอดีตให้ได้ในตอนนี้ มันคงทำให้สามีสุดหล่อของเธอไม่เย็นชาอย่างที่เป็นอยู่ มันคงทำให้การดำเนินชีวิตอันน่าเบื่อของเธอได้จบสิ้นลงเสียที ความสัมพันธ์ของเธอกับสามีก็คงกลับมาเหมือนเดิม แม้จะจำไม่ได้ว่าเมื่อก่อนนี้เธอและเขาหวานชื่นกันเพียงไร แต่ก็มั่นใจว่าเธอคงไม่มีทางเลือกผู้ชายเย็นชา หน้าตายแบบนี้มาเป็นคู่ชีวิตเป็นแน่!!

เฮ้อ... อรอาภาถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมานับร้อยรอบในวันนี้ สรุปว่าคงต้องเปิดอกคุยกับสามีให้เข้าใจก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้ายไปกว่านี้ คิดได้ดังนั้นอรอาภาจึงกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง ตามร่างสูงใหญ่ที่หายขึ้นชั้นบนก่อนหน้านี้เกือบชั่วโมงแล้ว
ห้องนอนใหญ่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นเฉียบไว้แล้วแต่กลับเงียบกริบ ไร้ร่างของคนตัวโตที่หญิงสาวคิดว่าน่าจะอยู่ในนี้ เท้าบางก้าวเดินไปเรื่อยๆ กำแพงใหญ่ที่กั้นหัวเตียงเอาไว้เพียงครึ่งหนึ่งของความกว้างห้องนอน อีกด้านเป็นตู้เสื้อผ้าที่ฝังเข้าไปในผนังห้อง เสื้อผ้าของเขาและเธอที่อยู่คนละฝั่งจัดแยกไว้อย่างเป็นระเบียบ เรื่อยไปจนถึงห้องน้ำที่กว้างเท่าๆ กับบริเวณของห้องนอน ห้องน้ำที่ปูด้วยหินอ่อนสีดำติดกระจกเงาไว้รอบๆ ด้าน ถัดจากนั้นจึงเป็นอ่างล้างหน้าที่แยกอ่างคริสตัลไว้สองอย่างเช่นกัน แล้วจึงเป็นส่วนของห้องน้ำจริงๆ ที่มีทั้งอ่างจากกุชซี่ ห้องอาบน้ำเปียกและสุขภัณฑ์ชั้นเยี่ยมที่เป็นสีขาวกระจ่างตา ตัดด้วยก๊อกน้ำสีทองคำทั้งชุด

อรอาภาอาบน้ำแต่งตัว หยิบชุดนอนผ้าไหมเนื้อนิ่มที่ห้อยอยู่ในตู้เสื้อผ้ามาสวมลงกับร่างของตนเองจากนั้นจึงเดินออกมาปีนขึ้นเตียงสูงพลางสอดส่ายสายตาหาร่างสูงใหญ่ของคนที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่นานนักประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงของฟาเบียโน่ที่ก้าวเข้ามา เขายังอยู่ในชุดทำงานเหมือนเดิมเพียงแค่พันแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้าง ปลดกระดุมเสื้อลงหลายเม็ดจนเหลือแค่สองเม็ดสุดท้าย เดินไม่พูดไม่จา มองเธอผ่านเลยไปราวกับไร้ตัวตนหายเข้าไปในห้องน้ำเงียบๆ

อรอาภายิ้มเก้อเมื่อเขาไม่มองแม้แต่หน้าเธอด้วยซ้ำ หญิงสาวก้มหน้าลงอดน้อยใจขึ้นมาบ้าง จะต้องให้ทำอย่างไรเขาถึงจะเลิกทำตัวเป็นหุ่นยนต์แบบนี้นะ!?? คำแนะนำของคุณหมอเมื่อวานนี้ก็โพล่งขึ้นมาในหัว ‘ไม่ได้หมายความแบบนั้นครับ หมายถึงว่าเป็นฝ่ายเริ่มความสัมพันธ์อันดี เช่นนอนกกกอดกันบนเตียง ถามไถ่เรื่องราวที่ผ่านมา เช่นว่า เจอกันได้ยังไง ที่ไหน รักกันเมื่อไหร่ อะไรทำนองนี้น่ะครับ สัมผัสอ่อนหวานทางกายเป็นแรงดึงดูดที่สำคัญที่สุดในการที่จะประคับประคองให้ชีวิตคู่ดำเนินไปอย่างราบรื่นนะครับ เชื่อผม ลองทำดูก็ไม่เสียหายนี่ครับ ถึงตอนนี้จะยังจำท่านไม่ได้แต่ความจริงแล้วพวกคุณคือสามีภรรยากัน’

นั่นสิ! ลองทำดูไม่เสียหายอะไรนี่ มันดีกว่าที่จะทำให้สถานการณ์อึมครึมอย่างนี้ต่อไป ชีวิตการแต่งงานของเขาและเธอครั้งนี้ต้องพังครืนลงอย่างไม่เป็นท่า! และสุดท้ายคือการแยกจากกันซึ่งไม่มีผู้หญิงคนไหนต้องการให้ชีวิตสมรสของตนเป็นแบบนั้นแน่

ไวเท่าความคิดสองเท้าบางกระโดดโหยงลงจากเตียงวิ่งไม่กี่ก้าวก็ถึงหน้าตู้เสื้อผ้า หญิงสาวตัดสินใจถอดชุดชั้นในทั้งชิ้นบนและชิ้นล่างออกจากตัวเองและสวมเพียงแค่ชุดนอนเนื้อนิ่มเท่านั้น!!

“เอาน่า ยังไงเขาก็คือสามีใช่ว่าจะไม่เคยเห็นสักหน่อย เผื่อว่าจะคุยกันง่ายขึ้น” เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะลองทำตามคำแนะนำของคุณหมอ ร่างอ้อนแอ้นที่ตอนนี้ชุดนอนไม่ได้ปกปิดความเต่งตึงของวัยสาวได้สักเท่าไหร่ก็ก้าวขึ้นมานั่งเอนตัวอยู่บนเตียง รอ... รอเขาออกมาเท่านั้น


ไม่นานเกินรอร่างสูงใหญ่ของฟาเบียโน่ก็เดินออกมา เขาอยู่ในชุดคลุมผ้าลื่นๆ สีน้ำเงินเข้ม ใช้สายมัดเอวผูกเป็นปมไว้เพียงหลวมๆที่สะโพกสอบ มือหนาใหญ่ข้างหนึ่งใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมสั้นของตัวเองลวกๆ แต่ต้องมองคนที่นั่งเอนตัวเป็นนางยั่วรออยู่บนเตียงด้วยอาการตาค้าง ตะลึงงัน!!

ทรวงอกอิ่มที่ใหญ่เกินตัวของเธอผุดดันผ้าเนื้อบางออกมาตั้งยอดชูชันทักทายเขาอย่างท้าทาย! แล้วยังรอยยิ้มที่เหมือนกับเรียกเขาให้ไปหาเธอนั่นอีกล่ะ!! มันทำให้ความร้อนในกายเขาของที่ดับลงด้วยน้ำเย็นๆ เมื่อครู่คุโชนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย!!? เขาอุตส่าห์เลี่ยงด้วยการไม่ค่อยพูดกับเธอแล้ว เธอยังจะมีหน้ามาใช้ร่างกายสวยๆ ของเธอยั่วเย้าเขาอีกอย่างนั้นหรือ สมองเสื่อมนี่มันทำให้คนเราใจกล้าด้วยสินะ!

อรอาภาได้เห็นใบหน้าคร้ามคมที่กำลังบดกรามของตัวเองแน่น เปลี่ยนสีเป็นแดงก่ำขึ้นราวกับระงับอารมณ์ของตัวเองไว้อย่างยิ่งยวด ปฏิกิริยานั้นทำให้อรอาภากระหยิ่มยิ้มย่องกับตัวเองในใจและคิดว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว แต่ร่างสูงที่นิ่งงันนั้นกลับหันหลังให้เธอทันที!! เจ้าของร่างอ้อนแอ้นที่คิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถือไพ่แต้มเหนือกว่าถึงกับผุดลุกขึ้นยืนและวิ่งมาดักหน้าคนที่คิดจะล้มโต๊ะพนันโดยการเดินหนีจากไปซึ่งๆหน้า!!

“หยุดนะ!!” อรอาภากางแขนเรียวของตนเองออก มันยิ่งทำให้ฟาเบียโน่มองเห็นร่างได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเพราะแสงไฟสว่างในห้องได้ลอดผ่านผ้าเนื้อบาง และหญิงสาวก็ไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้เลย “คุณจะไปไหนคะเฟลิกซ์?”

“ผะ...ผมจะไปทำงาน คุณไปนอนก่อนเถอะ”

อรอาภายิ้มอย่างยั่วเย้าเมื่อสามีที่บอกว่าจะไปทำงานกลับไม่มองหน้าของเธอ แต่กลับจ้องไปทั่งร่างของเธอซึ่งต่ำกว่าลำคอด้วยสายตาร้อนแรงจนขนอ่อนในกายหญิงสาวลุกชันไปทั่วร่าง แต่ด้วยความที่อยากจะขจัดความน้อยเนื้อต่ำใจ ความเย็นชาที่สามีมีให้ หญิงสาวจึงยืดหน้าอกของตัวเองขึ้นพร้อมกับเดินเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ที่ถอยหลังหนีเธอไปช้าๆ เหมือนกัน!

“ฉันรู้ว่าคุณต้องทำงานหนักถึงได้รวยมากแบบนี้ แต่ที่รักคะ ถึงคุณจะไม่ได้ร่ำรวยอย่างทุกวันนี้ ฉันก็ไม่สนใจหรอกนะคะ ฉันไม่เชื่อว่าคุณจะเย็นชากับฉันที่เป็นภรรยาถึงเพียงนี้ ถ้าคุณอยากให้ฉันทำตัวยังไงหรือเมื่อก่อนฉันทำตัวน่ารักกับคุณแบบไหน? คุณก็เพียงแค่บอกฉันเท่านั้นนะคะที่รัก ฉันไม่ได้อยากมีสามีที่รวยล้นฟ้าแต่เมื่อกลับเข้ามาอยู่ในบ้านไม่ได้มีความสุขกันเลย และฉันแค่อยากได้สามีคนเดิมของฉันคืนมาเท่านั้น!”

ฟาเบียโน่ถอยหลังมาจนขาแกร่งชิดกับขอบเตียงและฟังความต้องการยืดยาวของเมียที่เขาอุปโลกน์ขึ้น แบบที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้ตัวเองจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ หากเป็นผู้หญิงอื่นเขาคงไม่ต้องเสียเวลาที่จะหักห้ามใจตัวเอง กดเธอลงบนเตียงข้างหลังนี่แล้วก็ปลดปล่อยความต้องการอันรวดร้าวที่เกิดขึ้นให้หมดสิ้นออกไปจากตัวเอง แล้วเธอรู้หรืออย่างไรว่าเมื่อก่อนเขาเป็นสามีแบบไหน สามีคนเดิมคนไหนที่เธอต้องการ!? ตัวเขาเองหรือแฟนเก่าที่เห็นแก่ตัวคนนั้น!?

เมื่อเห็นท่าทางที่เธอแสดงออกมาแบบนี้ ฟาเบียโน่ยิ่งคิดไปว่าเธอคงร้อนแรงมากเมื่ออยู่บนเตียง ถึงแม้จะความจำเสื่อมแต่จิตใต้สำนึกมักจะแสดงสิ่งที่ตัวเองเป็นออกมาโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกหวงแหนร่างอ้อนแอ้นนี้เกิดขึ้นมาอย่างรุนแรง แม้จะยังไม่เคยได้ลองลิ้มรสพิศวาสของเธอแม้แต่ครั้งเดียว!!

อรอาภามองใบหน้าคร้ามที่เปลี่ยนสีเป็นแดงแข้มและนิ่งเงียบไปพักใหญ่อย่างอดทนรอ

“กลับขึ้นไปนอนบนเตียงซะ เอาไว้ให้คุณจำเรื่องทุกอย่างได้แล้วเราค่อยมาคุยกันอีกที ผมจะไปทำงาน”

“เมื่อไหร่ล่ะคะที่ฉันจะจำได้ ถ้าเป็นเดือนหนึ่งก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้ามันเป็นปีหรือมากกว่านั้นล่ะคะ? ความสัมพันธ์สามีภรรยาของเราไม่ต้องจบลงด้วยท่าทางเย็นชาของคุณแบบนี้หรอกเหรอ!? ทำไมคุณไม่บอกฉันล่ะว่าอยากให้ฉันทำตัวยังไงมันง่ายกว่าที่รอจะอย่างไม่มีจุดหมายไม่ใช่เหรอคะ?” อรอาภาเห็นคนตัวโตที่คิดจะเดินหนีเธอไปอีกจึงโถมทั้งตัวลงบนร่างใหญ่ มันทำให้ฟาเบียโน่ที่ไม่ทันตั้งตัวรับล้มลงไปบนที่นอนหนาโดยมีร่างนุ่มนิ่ม เต่งตึงของเธอทาบทับอยู่ด้านบนตลอดตัว

“รู้ตัวไหมว่ากำลังเล่นกับไฟอยู่อรอาภา!??” ฟาเบียโน่ถามใบหน้างดงามผ่องใสที่ห่างกับตนเองอยู่ไม่ถึงคืบ มือหนาเลื่อนขึ้นมาวางทาบที่เอวคอดกิ่ว ลูบไล้เล่นอย่างสบายมือ

“ฉันรู้แค่ว่าถ้าคุณเป็นไฟแล้วอยากให้ฉันเป็นน้ำมาดับไฟ! หรืออยากให้เป็นน้ำมันมาโหมเชื้อไฟ! ฉันก็พร้อมเสมอขอแค่คุณอย่าทำเหมือนฉันเป็นคนแปลกหน้าแบบนี้ นะคะเฟลิกซ์” ปากอวบอิ่มที่กระซิบบอกถ้อยคำธรรมดาที่แสนจะกระตุ้นเร้าอารมณ์ในความรู้สึกของเขากำลังกดลงมาแนบปากบางเฉียบที่รออยู่ด้านล่าง

เพียงแค่ปากอิ่มสีแดงสดกดลงมา ริมฝีปากบางเฉียบของฟาเบียโน่ก็เป็นฝ่ายลุกไล่ กวาดต้อนลิ้นนุ่มเล็กๆ ของเธอที่เงอะงะราวกับสาวไม่ประสา ลิ้นหนาที่ตวัดไปทั่วโพรงปากหวานฉ่ำทำให้อรอาภาถึงกับลืมตัว ความรู้สึกวาบหวิว โหวงเหวง ในช่องท้องปั่นป่วนขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพราะชายชาญโลกตรงหน้า แต่ในใจกลับคิดว่าสามีของตนเองนั้นเป็นผู้ชายที่มีพลังดึงดูดทางเพศอย่างร้ายกาจ เธอแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลยเพียงแค่ทำตัวอ่อนในอ้อมแขนแกร่งที่รัดแน่นแล้วลูบไล้อย่างวาบหวิวนี้

ฟาเบียโน่ตวัดพลิกร่างอิ่มลงบนเตียงแล้วตนเองก็คร่อมเธอไว้อยู่ด้านบนแทน โดยที่ไม่ได้ละจากริมฝีปากหวานชื่นของเธอแม้เสี้ยววินาที แผงอกแกร่งที่เปลือยเปล่าของตนเองบดเบียดลงกับทรวงอกขนาดใหญ่พิเศษที่ชุดนอนเนื้อบางของเธอแทบจะไม่ได้ช่วยปกปิดอะไรเลย ยอดอกที่แข็งชันของเธอมันเสียดสีกับแผงอกของเขาที่รู้สึกได้เป็นอย่างดีว่า ร่างกายของตนเองนั้นตื่นตัวตอบรับกับสัมผัสไม่ได้เรื่องของเธอมากเพียงไร

จูบกระชากใจที่เรียกร้องทุกสิ่งอย่างจากอรอาภานั้นทำให้หญิงสาวถึงกับครางอู้อี้ สองมือเรียวที่วางอยู่บนบ่าแกร่งออกแรงทุบน้อยๆ เมื่อเขาจูบเอาๆจนเธอเริ่มจะหายใจหายคอไม่ทัน ต้องเบือนหน้าตนเองหนีออกมาหอบหายใจราวกับออกกำลังกายมาหลายชั่วโมง ดวงตาร้อนแรงสองคู่จ้องมองกันอยู่นาน

“นี่มันแค่เพียงเริ่มต้นของความสัมพันธ์ผัวเมียเท่านั้นนะ คุณคิดว่าจะรับมือกับมันได้ทั้งที่ร่างกายยังไม่แข็งแรงดี คุณจะไม่คิดว่าตัวเองนอนกับคนแปลกหน้าหรือยังไงถ้าคุณไม่รอให้จำผัวคนนี้ให้ได้ซะก่อน!!?”

โอ! ที่ผ่านมาเธอคิดผิดผนัด สามีของเธอแท้จริงแล้วมีพลังดูดทางเพศอย่างร้ายกาจ แต่ที่เขาจงใจหลบหน้า เฉยชาเป็นเพราะเธอยังไม่แข็งแรง เขาเป็นห่วงเป็นใยความรู้สึกของเธออย่างประทับใจถึงแม้คำพูดจะตรงๆห่ามๆก็ตามทีเถอะ อรอาภายิ้มอย่างน่ารักให้กับความรอบคอบของสามี เธอเองมัวแต่หมกมุ่นอยากจำเรื่องราวของตัวเองได้ หาคำตอบให้กับคำถามมากมายเกี่ยวกับตัวเอง ส่วนเขาก็เป็นห่วงความรู้สึกของเธอมากกว่าแต่กลับไม่พูดออกมาจนเธอเองเข้าใจผิดกันไปใหญ่ว่าเขาคอยแต่หลบหน้า!

“ขอบคุณคุณนะคะที่รัก คุณคงรักฉันมากเพราะฉันสัมผัสได้ถึงความรัก ความห่วงใยของคุณ แต่คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ห่างฉันแบบนี้ก็ได้ ถึงฉันยังจำคุณไม่ได้แต่เราก็เป็นสามีภรรยากันนะ” อรอาภาบอกพร้อมกับออกแรงรั้งศีรษะใหญ่ได้รูปของสามีให้ซบลงกับทรวงอกของตนเองโดยไม่ทันได้คิดถึงอันตรายที่อาจจะตามมา!! “หมอบอกว่าการที่เราคุยกันในเรื่องอดีตมันจะช่วยทำให้ฉันจำอะไรๆ ได้เร็วขึ้นนะคะ คุณกลับมาจากทำงานเหนื่อย ฉันคิดว่าเราน่าจะนอนกอดกันอยู่บนเตียง คุณเล่าเรื่องของเราว่าเจอกันยังไง? แต่งงานกันเมื่อไหร่? คุณชอบอะไร? หรือฉันชอบอะไร? มันน่าจะดีกว่าหลบลี้หนีหน้าฉันแบบนี้นะคะ”

โอ!! แม่คุณเอ๊ย! ไม่มีผู้ชายคนไหนที่นอนกอดผู้หญิงช่างยั่วอย่างเธอได้โดยที่ไม่เผลอแทรกตัวเข้าไปในร่างสวยๆนี่ได้หรอก! “ก็อยากจะทำอย่างนั้นหรอกนะ แต่ร่างกายของผมนี่มันมีเลือดเนื้อ มีความรู้สึก ผมไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยปูนซีเมนต์นะแม่คุณ!! ถึงจะได้อดทนนอนกอดผู้หญิงเฉยๆได้!!!”

จบคำพูด มือเรียวทั้งสองข้างก็จับใบหน้าคร้ามคมขึ้นมามองด้วยสายตาที่ขอโทษ ซาบซึ้งใจราวกับว่าเขาเป็นสามีที่แสนดีเหลือเกิน

“ขอโทษนะคะที่รัก งั้นเรานอนคุยกันเฉยๆก็คงได้ คุณลุกขึ้นมานอนข้างๆฉันนะคะ ฉันอยากรู้เหลือเกินว่าเราแต่งงานกันตั้งแต่เมื่อไหร่??” อรอาภาบอกพร้อมดันบ่าหนาให้เคลื่อนลงจากตนเอง ขยับไปนอนหงายอยู่บนหมอนที่วางไว้ ส่วนตัวเองก็เปลี่ยนมานอนตะแคงข้างหันหน้าเข้าหาเขาแล้วใช้ท่อนแขนค้ำกับหมอนนุ่ม มือเรียวยันศีรษะของตนเองไว้ให้มองซีกหน้าหล่อเหลาด้านข้างของสามี

“ว่าไงคะ เราแต่งงานกันเมื่อไหร่?” อรอาภาย้ำถามเมื่อเขายังเงียบอยู่

เอาอีกละ เธอเริ่มปัญหายี่สิบคำถามกับเขาอีกแล้ว และคนอย่างฟาเบียโน่ก็เบื่อเหลือเกินที่จะกุเรื่องโกหก!

“ยัง เรายังไม่ได้แต่งงานกัน” ตอบเสียงแข็งพร้อมหันไปมองใบหน้างดงามที่ขมวดคิ้วมุ่น เธอมองมาด้วยสายตาไม่อยากเชื่อปนกับสายตาที่เหมือนจะผิดหวังในตัวเองเล็กน้อย จนทำให้รู้สึกผิดและลดเสียงให้อ่อนลงอีดระดับตอบเธอใหม่อีกครั้ง “ผมหมายถึงเราจดทะเบียนกันแล้ว แต่งยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานกัน เอ่อ... เราไปฉลองกันที่วิลล่าในบูซิโอส วันเกิดเหตุผมมีธุระสำคัญกลับมาที่รีโอฯก่อน ตอนคุณตามกลับมาที่นี่เกิดพลัดตกลงไปในทะเล หัวไปกระแทกกับอะไรไม่รู้เพราะไม่มีใครเห็น อิบันเป็นคนช่วยคุณขึ้นมา คุณหลับไปเกือบอาทิตย์ได้แล้วก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการความจำเสื่อม”

น้ำเสียงที่เล่าเรื่องราวแบบไม่เต็มเสียงนักทำให้อรอาภามองเขาด้วยความไม่ไว้วางใจเท่าไหร่ “คุณไม่ได้หลอกฉันนะคะเฟลิกซ์”
ฟาเบียโน่มองสายตาจับผิดของเธอพลางคิดถึงคำพูดที่หมอเคยพูดกับตนเองไว้จึงพูดออกไปเพื่อให้หญิงสาววางใจ “หมอบอกว่าคุณจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่คนรอบข้างเล่าให้ฟังเท่าไหร่ เพราะคุณกลัวว่าจะเป็นเรื่องโกหก”

คำพูดของหมอที่เคยพูดกับเธอจริงๆ ที่ฟาเบียโน่ยกขึ้นมาพูดทำให้อรอาภารู้สึกตัวว่ากำลังทำให้เขาเสียใจอีกแล้ว หญิงสาวจึงยิ้มแหยๆแล้วเปลี่ยนเรื่องถามแทน “ขอโทษค่ะ แล้วเรามีกำหนดที่จะแต่งงานกันเร็วๆ นี้รึเปล่า?”

“ผมแล้วแต่คุณนะ ผมพร้อมเสมอแต่คุณบอกว่ายังอยากทำงานก่อน” ผีห่าซาตานตนใดที่มาดลใจให้ฟาเบียโน่ผู้ไม่เคยนึกถึงพิธีวิวาห์พูดกับเด็กในอุปการะแบบนี้ได้ และยังได้รับรอยยิ้มกริ่มราวกับถูกใจเหลือหลายของเธอตามมาอีกจนทำให้ต้องเบนสายตาออกจากใบหน้ารูปหัวใจหวานละมุนของเธอขึ้นมามองฝ้าเพดานแทน!!

นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขาแล้วยังจดทะเบียนสมรสก่อนมีพิธีแต่งงานสินะ ช่างเถอะยังไงก็จดทะเบียนกันไปแล้ว และนี่มันก็ปีสองพันสิบสามแล้วนี่ “แล้วคุณอายุเท่าไหร่แล้วคะ?”

“สามสิบห้า”

“ฉันล่ะ??”

“ยี่สิบสาม”

อรอาภาทำตาโตเมื่อบวกลบแล้วเขาเกิดก่อนเธอตั้งสิบสองปีทีเดียว “แสดงว่าคุณยังดูหนุ่ม ฉันคิดว่าคุณจะประมาณสามสิบเท่านั้นเอง แล้วฉันทำงานอะไรคะ?”

“คุณเรียนจบมัณฑนศิลป์ ด้านออกแบบเครื่องประดับมา เรียกง่ายว่าจีเวลรีดีไซเนอร์” ฟาเบียโน่บอกถึงข้อมูลของตัวเธอจริงๆ

“อ๋อ... รู้ละ คุณตกหลุมรักพนักงานบริษัทของตัวเองใช่ไหมเนี่ย!?” อรอาภาถามด้วยเสียงสดใสเจือความขันอยู่ในที

“อย่าเดามั่วสิ! เดี๋ยวก็ไม่เล่าให้ฟังหรอก” ฟาเบียโน่ดุพร้อมส่งสายตาตามมาปรามแม่ช่างยั่วที่นอนมองเขาอย่างสบายอารมณ์

“คุณมาจากเมืองไทยมาดูเพชรที่บริษัทของผม เกิดถูกตาต้องใจกันมั้งคุณเลยไม่ยอมกลับ อยู่กับผมที่นี่เลย”

“ล้อฉันเล่นรึเปล่า... ฉันเป็นผู้หญิงใจง่ายขนาดนั้นเชียว?? หรือว่าเราเป็นรักแรกพบคะ” อรอาภาทำตาโตส่ายหน้าช้าๆ เมื่อได้ยินเรื่องเหลือเชื่อ!

“ก็อะไรประมาณนั้นล่ะมั้ง แล้วถ้าคุณยังขืนขัดคอผมอีกล่ะก็ผมจะนอนแล้วนะ!!” ฟาเบียโน่ขู่ทำเป็นอารมณ์เสียแต่ความจริงแล้วตัวเองกำลังหาเรื่องโป้ปดมดเท็จให้สมจริงอยู่ต่างหาก

“โอเคๆ ไม่กวนแล้วเล่าต่อสิคะ เอาเรื่องพ่อแม่ครอบครัวของฉันก็ได้ พวกท่านไม่ขัดข้องเหรอคะที่ฉันตัดสินใจมาอยู่กับคุณที่นี่เลยทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน?”

“คุณเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่เด็ก อยู่กับคุณตาจนอายุสิบห้าคุณตาของคุณท่านก็เสียเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ แล้วคุณก็อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า โตและเรียนจบมาด้วยเงินในมูลนิธิที่เมืองไทยจนมาพบกับผม” ฟาเบียโน่มองแววตาที่หม่นหมองและสีหน้าที่สลดลงของหญิงสาวเมื่อได้ฟังเรื่องราวเพียงคร่าวๆของตัวเอง น้ำตาใสที่เริ่มปริ่มออกมาให้เขาได้เห็นนั้นมันยิ่งทำให้หัวใจแกร่งดั่งหินผาของเขาอ่อนยวบลงด้วยความสงสาร “คุณผ่านเรื่องพวกนี้มาได้หลายปีอย่างเข้มแข็งแล้ว อย่าไปเสียใจอีกเลย ผมแค่บอกให้รู้เอาไว้เท่านั้น หรือไม่ก็รู้เอาไว้เพื่อเตือนใจตนเผื่อบางทีคิดอยากทำอะไรที่มันไม่เข้าท่า คุณจะได้รู้ว่าชีวิตคนๆนึงกว่าจะเติบโตมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก”

อรอาภาพยักหน้ารับเห็นด้วยกับเขาทุกคำพูด เรื่องน่าเศร้าที่เกิดในชีวิตของเธอผ่านมาได้แปดปีแล้ว ตอนนั้นเธอคงเสียน้ำตาไปมากมายพอแล้ว

“วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อน นี่ก็ดึกมากแล้ว คุณน่าจะนอนพักผ่อนดีกว่า” ฟาเบียโน่ตัดบททันที

นิ้วชี้เล็กๆ ยกขึ้นมาหนึ่งนิ้วพร้อมกับสีหน้ายิ้มอย่างเอาใจ “ขออีกคำถามเดียวนะคะ ฉันไม่ได้เป็นผู้หญิงใจง่ายใช่ไหม เราต่างก็ตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็นใช่รึเปล่าคะ?”

“อื้ม...” ฟาเบียโน่ครางในลำคอตอบ “นอนได้แล้วน่า อย่าคิดนอกลู่นอกทางไปไกลนักเลย เดี๋ยวก็ปวดหัวขึ้นมาอีก” พูดจบปุ๊บก็หลับตาลงปั๊บ โดยที่อรอาภาเองยังสงสัยว่าเธอจะเกิดความรู้สึกเลิฟ แอท เฟิร์ส ไซท์ กับคนที่แข็งทื่อเป็นก้อนหินแบบนี้ได้อย่างไร? หรือว่าเขาหลอกรึเปล่า?? แต่เขาจะทำอย่างนั้นไปทำไม เขาถึงขนาดว่าเป็นห่วงเป็นใยความรู้สึกของเธอในเรื่องความสัมพันธ์กันโดยเลี่ยงที่จะไม่เข้าใกล้เธอมากนักเพราะกลัวว่าจะห้ามใจไม่ให้รังแกเธอในตอนที่ร่างกายยังไม่เป็นปกตินัก

จริงสิ! เธอคิดมากอีกแล้ว เขาคือครอบครัวของเธอ คือคนที่เธอตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น แล้วเขาจะหลอกลวงเธอไปทำไมกัน หยุดความคิดฟุ้งซ่านของเธอได้แล้วอรอาภา คำแนะนำของคุณหมอได้ผลดีไม่น้อย อย่างน้อยก็ได้รู้เรื่องส่วนตัวของตัวเองบ้างแล้ว แต่ไอ้ท่าทางแข็งราวท่อนไม้แบบนี้มันยังมีให้เห็นอยู่บ้างและหญิงสาวคิดว่ามันคงค่อยๆหมดสิ้นไปในอีกไม่ช้านี้แน่ คิดได้ดังนั้นอรอาภาที่ทิ้งตัวลงกอดร่างสูงใหญ่ของสามีที่นอนหงาย หลับตาสนิทอยู่ทันที มือบางข้างหนึ่งวางไว้ที่กลางแผงอกที่เปี่ยมไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งๆ ขาเรียวก่ายขึ้นตะกายกอดเขาราวกับเป็นหมอนข้าง!!

ฟาเบียโน่ถึงกับเกร็งตัวขึ้นมาทันทีที่เธอนอนกอดเขาในท่าทางที่แนบสนิท อกตูมไซส์พิเศษของเธอมันเสียดสีอยู่ที่สีข้าง แล้วไหนจะขาเรียวที่ก่ายเกยเขาไว้ ซอกขาเรียวที่มีไอร้อนออกมาสัมผัสกับสะโพกด้านข้างของเขาอยู่นี่! ต่อให้กินยานอนหลับทั้งขวดเขาก็คงไม่มีทางหลับลงได้แน่ ถ้าเธอยังยั่วยวนไม่เลิกอยู่อย่างนี้!!

แต่เธอก็ไม่มีท่าทีว่าจะเปลี่ยนท่านอนเลย แม้เวลาจะผ่านมาหลายนาทีแล้วก็ตาม

ฟาเบียโน่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ราวกับเจอเรื่องน่ารำคาญที่สุดในชีวิต “จิงเจอร์เมียที่รัก... ถ้าคุณยังจะดื้อดึงนอนท่านี้อยู่ต่อไป ผมคงต้องจัดการเรื่องที่เราทำค้างไว้เมื่อครู่ให้มันเสร็จสิ้นไป ผมถึงจะหลับตาลงได้!!”

แทนที่เธอจะเอียงอายแล้วรีบถอยตัวออกห่างจากเขา เธอกลับจงใจเบียดร่างเข้ามาอีกนิดแล้วหัวเราะคิกๆ คักๆ อย่างถูกใจอยู่สักพัก จึงหันหลังให้เขาในท่านอนตะแคงข้างไปกอดหมอนข้างแทน ตามมาด้วยเสียงบ่นกระปอดกระแปด “ใจร้ายจริงๆ ถ้าพรุ่งนี้ฉันจำได้ขึ้นมาล่ะก็จะแยกห้องนอนเลยคอยดู!!”

ฟาเบียโน่ฟังเสียงที่ขู่กลับอย่างไม่ยอม ไม่นานนักแผ่นหลังบางที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือก็หายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ หากเธอจะขี้สงสัยน้อยกว่านี้สักนิดมันคงทำให้เขารู้สึกสบายใจมากกว่านี้ เมื่อได้เห็นท่าทางยั่วยวนแบบมือสมัครเล่นของเธอแล้ว ตอนนี้เขากลับบอกไม่ได้ว่าอยากให้เธอจำเรื่องราวที่ผ่านมาได้ หรืออยากให้เธอเป็นคนความจำเสื่อม แล้วก็เก็บเธอไว้ข้างกายแบบนี้ฟาเบียโน่คิดและนอนตาค้าง ความร้อนรุ่มที่แม่ปีศาจน้อยที่นอนหลับสบายอยู่ข้างๆ นี้เป็นผู้ร่ายมนต์ขึ้นมันทำให้หนุ่มใหญ่ถึงกับต้องย่องเบาลงจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำ หวังว่าน้ำเย็นจัดจะช่วยดับความปราถนาในกายลงได้บ้าง ครู่ใหญ่จึงกลับมาสอดตัวนอนหลับตาอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันกับเธอ


รุ่งเช้าฟาเบียโน่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในเวลาหกโมงครึ่งเป็นประจำทุกวัน ชายหนุ่มก้าวลงจากเตียงเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่กลับไม่อาจละสายตาจากร่างอ้อนแอ้นที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงกว้างของตัวเองแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว เขายิ้มพอใจโดยที่ไม่รู้ตัว ไม่เคยรู้สึกอยากแบ่งปันเตียงกว้างนี้ให้ผู้หญิงคนไหนนอกจากเธอ แต่สมองอีกส่วนกลับคิดถึงคำถามมากมายที่เธอชอบซักไซร้เขาอยู่เป็นประจำ ฟาเบียโน่สะบัดศรีษะตัวเองแรงๆให้หยุดความคิดฟุ้งซ่าน สาวเท้าออกจากห้องนอนอย่างรวดเร็วเพื่อออกไปวิ่งริมชายหาดซึ่งเป็นกายออกกำลังกายที่เขาทำจนเป็นกิจวัตรประจำวันยู่แล้ว

ครึ่งชั่วโมงต่อมาอรอาภารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองอยู่บนเตียงเพียงลำพังอีกเช่นเคย หญิงสาวรีบอาบน้ำแต่งตัวและทำหน้าที่เล็กๆน้อยๆตามประสาภรรยาที่ดี แล้วจึงเดินลงมาชั้นล่างอย่างอารมณ์ดีกว่าหลายวันที่ตื่นขึ้นมา บ้านช่องยังเงียบเชียบแต่เสียงคุยกันแว่วๆและเสียงกระทบกันของจานกระเบื้องทำให้อรอาภาเดินตามเสียงนั้นมาหยุดที่ห้องครัว นอสซาและเด็กรับใช้อีกสองคนกำลังช่วยกันทำอาหารเช้า ทุกคนเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับเจ้านายสาวของบ้านอย่างแจ่มใส

“นอสซา เห็นเฟลิกซ์รึเปล่าคะ?” อรอาภาถามพร้อมกับยิ้มสดใสตอบกลับไปเช่นกัน

“เซญอร์ออกไปจ๊อกกิ้งที่ชายหาดทุกเช้าค่ะ แต่อีกเดี๋ยวก็คงกลับมาแล้วมั้งคะ เซญอร่าจิงเจอร์อยากได้อะไรรึเปล่าคะ?”

“เปล่าจ้ะ ฉันแค่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอเขา แล้ววันนี้นอสซาทำอะไรทาน?” อรอาภามองร่างท้วมของนอสซากำลังง่วนอยู่กับการปรุงอาหาร

“วันนี้ดิฉันทำอาหารเช้าแบบอเมริกันให้ค่ะ เซญอร่าจิงเจอร์อยากรับข้าวต้มแบบไทยไหมค่ะ ดิฉันพอจะทำได้อยู่บ้าง” นอสซาหันกลับมาถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มตามนิสัยของชาวบราซิลที่เป็นมิตร ยิ้มง่าย ชอบงานรื่นเริง รักความสนุกสนาน

“ไม่ต้องหรอกฉันทานอะไรก็ได้” อรอาภาหันไปตามเสียงกุกกักที่ได้ยินจึงเดินออกมาด้านหน้าก็พบร่างสูงของฟาเบียโน่ที่อยู่ในเสื้อกล้ามสีขาวสะอาดและกางเกงสีดำขาวยาว มีผ้าขนหนู่ผืนเล็กๆ พาดอยู่ตรงบ่าหนา “ขึ้นไปอาบน้ำเถอะค่ะ ฉันเตรียมชุดไว้ให้คุณแล้วนะคะ แขวนไว้ใกล้ๆกับโต๊ะเครื่องแป้งน่ะค่ะ”

ฟาเบียโน่พยักหน้ารับหงึกๆก่อนจะเดินขึ้นชั้นบน โดยหันกลับมาปรายตามองร่างของอรอาภาที่ตอนนี้เธอยังยิ้มให้เขาราวกับขำท่าทางของเขานักหนา

พอกลับลงมาอีกครั้งฟาเบียโน่ก็เดินเข้าห้องอาหาร เขานั่งลงดื่มกาแฟดำพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจอีกหลายฉบับด้วยความรวดเร็วเหลือเชื่อ อีกทั้งไม่ได้แตะต้องไข่ดาว ไส้กรอกที่อยู่ในจานเลยแม้แต่นิด

“ทำไมไม่ทานหน่อยล่ะคะ ไม่เสียดายไข่ดาวกับไส้กรอกที่มันรอคุณอยู่หรือไง?” ถามพร้อมกับเจ้ากี้เจ้าการตัดไส้กรอกในจานของเขาขึ้นไปจ่อปากบางเฉียบทันที

“ปกติผมไม่กินอาหารเช้า คุณกินเถอะ” พูดพร้อมกับใช้มือของตนเองผลักมือบางที่ถือไส้กรอกออกอย่างเบามือ ตาสีฟ้าจัดหรี่มองใบหน้าที่ก้มลงนิดหนึ่งและเงียบไปพักใหญ่ “เป็นอะไรไปอีกล่ะ?”

อรอาภาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่คลอเต็มสองตา และคำพูดตัดพ้ออย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ฉันอยากเอาใจคุณ อยากทำให้คุณยิ้ม ฉันอยากมีสามีที่มีความรู้สึกไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ทำตัวแข็งทื่อไม่มีชีวิตจิตใจ ฉันคิดว่าเราคุยกันเข้าใจตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเสียอีก แต่ช่างเถอะค่ะ! ถ้าคุณรำคาญฉันมาก ต่อไปนี้ฉันก็จะไม่มากวนใจคุณอีก”

ฟาเบียโน่รั้งข้อมือบางและมองหยดน้ำตาใสๆ ที่ไหลตกลงอาบสองแก้มอย่างรู้สึกผิด “จะไปไหน?” เมื่อไม่มีเสียงตอบชายหนุ่มจึงรั้งให้หญิงสาวนั่งลงดังเดิม “อ่ะๆ กินก็ได้ อย่าร้องไห้เลยนะ”

อรอาภายิ้มกริ่มในใจ มารยาหญิงที่งัดออกมาใช้ไม้แรกได้ผลเกินคาด พร้อมมองผู้ชายตรงหน้าที่รับประทานอาหารเข้าไปอย่างไม่มีเกี่ยงงอน พอเขาใช้พยักเพยิดบอกให้เธอกินต่อบ้างหญิงสาวจึงเริ่มลงมือจัดการอาหารที่เหลือในจานของตัวเองจนอิ่มแปล้กับมื้อเช้ากันทั้งคู่

“เฟลิกซ์คะ ฉันว่าจะถามคุณเรื่องทะเบียนสมรสของเราน่ะค่ะ คุณเก็บไว้ที่ไหน ฉันหาในห้องนอนแล้วไม่เจอ แล้วทำไมในบ้านหลังนี้ถึงไม่มีรูปถ่ายของเราสักใบ!”

เอาล่ะสิ! ยอมลงให้หน่อยเป็นไม่ได้เชียว ได้หนึ่งเธอจะเอาสองและมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น โดยลืมคิดไปว่าเขาเองก็ยอมให้เธอโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน

“คุณเป็นคนเก็บมันไว้ที่วิลล่าในบูซิโอสเอง แล้วรูปถ่ายของเราส่วนมากก็อยู่ที่นั่นด้วย” ฟาเบียโน่ตอบพร้อมโมเมโยนเรื่องทั้งหมดให้เธอ

“อ้าวเหรอคะ! แสดงว่าฉันคงชอบที่นั่นมาก ชักอยากเห็นที่นั่นซะแล้วว่าสวยขนาดไหน?”

“เอาไว้ว่างๆ ผมจะพาไปก็แล้วกัน หรือถ้าอยากเห็นทะเบียนสมรสก่อนเดี๋ยวผมจะให้คนไปเอามาให้” ฟาเบียโน่พูดท้าทายเล็กน้อยเพื่อความสมจริง และไม่คิดว่าเธอจะบ้าจี้ตามไปด้วย!

“คุณดีกับฉันจังเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่รัก”

ฉิ_หายแล้วมั้ยล่ะ! แม่คุณเกิดอยากเห็นกระดาษบ้าๆ นั่นขึ้นมาจริงๆ “แต่คงจะต้องเป็นวันหลังนะ ช่วงนี้ผมยุ่งๆ”

“ไม่เป็นไรค่ะฉันรอได้ แล้วก็อีกอย่างนึงค่ะที่รัก” อรอาภายิ้มแหยๆ เมื่อสามีของเธอเริ่มทำหน้าเมื่อยกับความเรื่องเยอะของเธอ

“คือฉันว่าฉันแข็งแรงดีแล้ว ฉันไม่อยากตอบคำถามราวกับว่าตัวเองเป็นคนบ้าของจิตแพทย์ วันนี้ฉันขอเป็นวันสุดท้ายที่จะพบเขาได้ไหมคะ?

“ไม่รู้สิ ผมต้องคุยกับเขาดูก่อน หรือวันนี้คุณก็ลองคุยกับเขาดูถ้าเขาไม่ขัดข้องอะไรก็คงไม่เป็นไร” ฟาเบียโน่มองใบหน้าที่ยิ้มอย่างดีใจของอรอาภา ยิ้มนี้นี่แหละที่มันทำให้เขาเผลอตัวยอมเธอง่ายๆ แทบจะทุกเรื่องแล้ว ความกลัวที่จะมีใครคนหนึ่งเข้ามาครอบคลุมจิตใจเริ่มมีมากขึ้น ฟาเบียโน่ตัดสินใจเดินออกจากสถานการณ์นี้โดยทันที

“ที่รักคะ? คุณลืมลาฉันก่อนไปทำงานอีกแล้วนะคะ” เสียงแม่ปีศาจตัวน้อยดังไล่หลังมา เป็นอันว่าเขาต้องหันหลังกลับไปยิ้มและจูบลาที่แก้มเนียนครั้งหนึ่งแล้วถึงจะขึ้นรถออกจากบ้านมาทำงานได้ โดยมีดีเกาและอิบันยืนอมยิ้มทำเป็นไม่ได้มองฉากหวานๆ ของคู่สามีภรรยาทั้งที่ความจริงเห็นชัดเต็มสองตา และมันก็เริ่มเป็นภาพคุ้นตาเมื่อทุกเช้าก่อนไปทำงานและกลับจากทำงาน เซญอร่าจิงเจอร์จะยืนรอสามีที่บันไดประตูใหญ่เพื่อสร้างฉากหวานทุกเช้าเย็น



ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 พ.ค. 2558, 20:10:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 พ.ค. 2558, 20:10:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1146





<< ตอนที่ 5 100%   ตอนที่ 7 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account