สัญญารักจอมโหดแดนเถื่อน
"พี่สตรองไม่มีวันลืมน้องฟาง วันใดน้องฟางเดือดร้อนพี่สตรองจะมาหา" มันคือคำสัญญาก่อนจากลา
ของปรินทร์ที่มีให้ลษิดาเด็กสาวกำพร้าก่อนจากลาเมื่อสิบห้าปีก่อน
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 9

ตอนที่ 9
ภายในห้องของนายใหญ่แห่งผาตะวันซึ่งตบแต่งได้อย่างสวยงามทว่าเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างล้วนทำจาก
ธรรมชาติและเป็นไม้เสียส่วนใหญ่ ยกเว้นอุปกรณ์สื่อสารกับคอมพิวเตอร์แต่นี่กลับไม่ได้ทำให้หญิงสาวที่เพิ่งมา
เยือนเป็นครั้งแรกเกิดอารมณ์อยากชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นกระถางดอกไม้สีสวยที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง ต้นไม้ใหญ่กลาง
ห้องสูงเกือบติดเพดานซึ่งสูงผิดปกติและล้อมรอบด้วยเคาเตอร์ไม้บรรจุขนมกินเล่นกับเครื่องดื่มไว้ตามช่องๆสี
เหลี่ยมเล็กๆที่เจาะเป็นชั้นๆรอบๆลำต้นให้เจ้าของห้องหยิบกินดื่มได้ตามใจชอบ หรืออาหารมากมายบนโต๊ะกลม
ที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่างดูน่ารับประทานมาก เพราะกำลังไม่พอใจเจ้าของห้องอยู่ที่กล่าวหาเธอว่าบังอาจกล้าขัดคำสั่ง
นายใหญ่แห่งผาตะวันซึ่งแม้แต่เจ้าตัวยังคิดไม่ออกเลยว่าคำสั่งอะไร

“น้องฟางครับ งอนมากเดี๋ยวไม่สวยไม่น่ารักนา” ปรินทร์เห็นคนสวยคนน่ารักเอาแต่ทำหน้านิ่งเฉยไม่ยินดี
ยินร้ายก็อดแหย่ไม่ได้

“ช่างเรื่องของน้องฟาง ไม่ได้อยากสวยอยากน่ารัก” น้ำเสียงสะบัดบอกชัดเลยว่าไม่พอใจอย่างหนักจน
ร่างสูงใหญ่ทำหน้ามึนไม่เข้าใจอยู่ดีๆก็ถูกสาวสวยน่ารักเหวี่ยงใส่

“ไม่อยากสวยน่ารักก็ตามใจ แต่จะขี้เหร่หรือสาวยก็ต้องทานข้าว เกือบบ่ายแล้วยังไม่ทานเลย ไปทานข้าว
กันดีกว่า พี่รอน้องฟางกินข้าวด้วยกัน” มือใหญ่จับจูงคนอารมณ์เหวี่ยงเดินไปยังโต๊ะกลมข้างหน้าต่างแล้วจับให้
นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ปูเบาะผ้านุ่มนิ่มลายสวยส่วนตัวเองก็ไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วจ้องมองคนหน้างอนิ่ง

“บอกพี่มา ไม่พอใจอะไร หน้าถึงได้งอหงิกเหมือนตะขอ” ปรินทร์เปรียบได้เห็นภาพจนคนหน้างอ
อยากเป็นเบ็ตจะได้แทงปากคนปากร้าย

“ไม่ได้งอน แต่โกรธเลย น้องฟางไปขัดคำสั่งผู้ยิ่งใหญ่แห่งผาตะวันตั้งแต่เมื่อไหร่มิทราบ แล้วจะทำโทษ
แบบไหนก็รีบๆบอกมา ทางที่ดีฆ่าให้ตายเลยก็ดีจะได้หมดเวรหมดกรรมเสียที เกิดมาทำไมก็ไม่รู้มีแต่คนจ้องจะทำ
ร้ายรังแกอยู่เรื่อย” คนหน้าหงิกจัดชุดใหญ่ระบายความอัดอั้นตันใจใส่ไม่มียั้งเพราะคนตรงหน้าคือคนที่ลษิดาสนิท
ที่สุดในเวลานี้นับจากสิ้นมารดาจึงออกฤทธิ์ออกเดชได้เต็มที่

ผู้ยิ่งใหญ่แห่งผาตะวันอยากขำก็ขำไม่ออกเพราะแม้ลษิดาจะประชดเขาแต่ส่วนหนึ่งก็มาจากอาการเก็บ
กดความน้อยเนื้อต่ำใจในโชควาสนา ในชีวิตเธอมีเพียงชาดามารดาบุญธรรมที่เฝ้าถนอมเลี้ยงดูทารกกำพร้ามา
จนเติบโตเป็นสาวสวยน่ารักน่าถนอมด้วยความรักทั้งหมดจากหัวใจยิ่งกว่ามารดาผู้ให้กำเนิดบุตรบางคนเสียอีก
ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมชาดาถึงได้รักและคอยปกป้องลษิดามากมายและดูยิ่งกว่าลูกแท้ๆของตัวเองเสียอีกแต่
ก็ใช่ว่าจะโชคดีเพราะคนในบ้านชาดาต่างเกลียดชังบุตรสาวบุญธรรมของชาดาทั้งนั้น เผลอเป็นถูกรังแกและลษิดา
ก็ไม่เคยบอกกล่าวให้ชาดารู้สักครั้ง มีเพียงเขาที่รู้แต่ไม่เคยบอกเล่าให้ชาดารู้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความรู้สึก
ของลษิดาดีจึงยอมให้เธอแสดงฤทธิ์กับเขาได้เต็ม

“ก็น้องฟางเกิดมาเพื่อถูกรักยังไงเลยถูกพวกมีใจริษารังแกทำร้ายบ่อยๆไง” ปรินทร์เฉลยให้รู้พลางขยับ
ตัวลากเก้าอี้ไปนั่งชิดคนน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาแล้วอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มเนียนใสอย่างรักใคร่และอึ้งไป
เลยกับคำกล่าวหาของเจ้าของแก้มที่ดังตามมา

“งั้นพี่สตรองก็ริษยาน้องฟางด้วยถึงชอบรังแกน้องฟางบ่อยๆ”

“เป็นงั้นไป คนแสดงความรักเอ็นดูก็หาว่ารังแก น้องฟางโตแล้วคิดมากจริงๆ คิดมากยากนานนะ เลิกคิด
อะไรไม่ได้เรื่องแล้ว ทานข้าวกันดีกว่า พี่ป้อนนะ” เขาเอาใจด้วยการตักข้าวป้อนให้คนคิดมากถึงปากแต่มือบาง
กลับผลักออกแทน

“ไม่ต้องมาเอาใจเลย ไหนบอกว่าจะพามาลงโทษ ไหนล่ะโทษที่ขัดคำสั่ง” คนคิดมากอารมณ์เหวี่ยงไม่น้อย

“พี่ไม่ใจร้ายกับคนที่พี่รักหลอก กับคนของผาตะวันถ้ากล้าขัดคำสั่งพี่ โทษสถานเบาแค่ให้อดข้าวอดน้ำ
สองวันสถานหนักส่งเข้าบ้านอเวจี แต่น้องฟางไม่ใช่คนของที่นี่ พี่เลยยอมให้ขัดคำสั่ง” เขาบอกโดยไม่สนใจอารมณ์
เหวี่ยงของเธอแถมพูดถึงบทลงโทษอันไร้กฎหมายกำกับหน้าตาเฉย

“แล้วทำไมบอกคุณน้าว่าจะพาน้องฟางมาทำโทษ” ลษิดาไม่ได้สะดุดใจคำว่าคนที่พี่รักเพราะมัวแต่สนใจ
คำอ้างของเขาก่อนพาเธอมายังรีสอร์ต

“อ้างไปอย่างนั้นเอง ไม่อย่างนั้นแม่ไม่ให้พี่พาน้องฟางมาแน่ ได้คำตอบแล้วกินข้าวได้หรือยัง” เขาตอบได้
กวนดีแท้เลยได้รับผลเป็นนัยน์ตาขุ่นขวางจากน้องฟางส่งให้แทน

“อย่างกับเขาอยากมาด้วยนักนี่” เสียงหวานสวนกลับเบาๆแต่เขายังหูดีได้ยินจึงยิ้มแล้วพูดเสียงดังฟังชัด

“แต่พี่อยากให้มาด้วย อยากพาไปเที่ยว น้องฟางจะได้อารมณ์ดี อยากไปไหมล่ะ”

“อยาก” คราวนี้ลษิดาตอบโดยไม่เสียเวลาคิดจนเขาแปลกใจ

‘ทำไมอารมณ์เปลี่ยนง่ายนักล่ะ แต่ก็ดีที่น้องฟางไม่ดื้อ’ ปรินทร์นึกดีใจแล้วจิ้มปลาราดซอสตัดชิ้นพองาม
ป้อนให้ถึงปากพลางบอกว่า “อยากไปก็กินข้าวให้อิ่มท้องก่อน กองทัพเดินด้วยท้อง” ลษิดาก็ทานด้วยโดยดี เธอยอม
เป็นคนว่านอนสอนง่ายก็เพราะไม่อยากอยู่กับเขาตามลำพังนานเกินจำเป็น อย่างน้อยการออกจากห้องนี้ให้เร็วที่
สุดก็ปลอดภัยกับตัวเองกลัวต้องเปลืองแก้มให้พี่สตรองแสดงความรักเอ็นดูอีก แม้แต่ป้อนข้าวจมูกโด่งสวยได้รูป
ยังคอยเฉียดเข้ามาใกล้แก้มเธอเลยและพยายามขยับใบหน้าออกห่างระยะอันตราย

“ว๊าย พี่สตรองทำอะไร” เสียงร้อยตกใจดังขึ้นเมื่อจู่ร่างบางอรชรก็ถูกมือแข็งแรงดึงมานั่งตักกว้างแทนการ
ป้อนข้าวและมือหนึ่งกอดเอวบางไว้ไม่ให้ดิ้น

“พี่รู้สึกว่าป้อนน้องฟางไม่ถนัดเลยต้องป้อนใกล้ๆหน่อย” ช่างเป็นข้ออ้างที่น่าตีให้ตายนักแต่ร่างหอมนุ่มนิ่ม
บนตักไม่กล้าตีเจ้าของตักกว้างกลัวถูกรังแกหนักกว่าเดิมและรู้ว่าการต่อต้านปรินทร์คงไม่ได้ผลนอกจากใช้ไม้อ่อน
หรือลูกอ้อน ลษิดารู้ดีทีเดียวล่ะ สมัยเด็กเวลาเธอขัดใจพี่สตรองก็จะถูกแกล้งอย่างหนัก ก็พี่สตรองเผด็จการที่หนึ่ง
แต่น้องฟางก็ยอมให้ทุกครั้งและยอมลงทุนอ้อนเพราะรู้ว่าคนตัวใหญ่กว่าเธอนั้นหวังดีกับเธอและคอยปกป้องเธอ
ยามถูกคนอื่นรังแก เธอได้ยินกับหูตอนปรินทร์มีเรื่องกับเพื่อนของทานุที่แกล้งเธอซึ่งตอนนั้นเธอเด็กคิดว่าแกล้ง
แต่พอโตถึงรู้ว่าคนใจชั่วพวกนั้นลวนลามแก้มเธอและมีแต่ปรินทร์ที่คอยปกป้องและคำพูดที่เขามักจะพูดใส่
หน้าคนพวกนั้นคือ

‘จำไว้ห้ามรังแกน้องฟางอีกเป็นอันขาด ถ้าไม่อยากเจ็บตัว น้องฟางอยู่ภายใต้การคุ้มครองของฉัน ฉันหวง
ถ้าใครอยากเจ็บตัวก็ลองดู’ และเพื่อนๆของทานุต่างได้รอยแผลฝากไว้เป็นที่ระลึกตลอดดังนั้นระหว่างที่เขาพักอยู่
กับชาดาจึงไม่มีใครกล้ารังแกเธออีก เรื่องทั้งหมดทานุรู้แต่ไม่เคยปรามเพื่อน ส่วนปรินทร์ก็ขอร้องเธอไม่ให้เล่าให้
มารดาฟังเพราะไม่อยากให้ชาดาไม่สบายใจและเธอก็ทำตามเพราะรักมารดานั่นเอง

“ป้อนแต่น้องฟาง พี่สตรองไม่หิวเหรอคะ” ปรินทร์แทบไม่เชื่อหูจะได้ยินเสียงหวานๆถามอย่างห่วงใยจาก
คนอารมณ์เหวี่ยง ‘น้องฟางมาอารมณ์ไหนเนี่ย’ แต่เขาก็ชอบ ให้คนสวยน่ารักอ้อนดีกว่าทำหน้าหงิกงอไปไหนๆ

“นั่นสิ พอน้องฟางทักท้องพี่ก็ร้องเลย ป้อนพี่ได้ไหมครับ” เมื่อเธอแสดงความห่วงใยเขาก็ต้องอ้อนเสีย
หน่อยอยากรู้จะใจดียอมป้อนไหม

' ลษิดาไม่พูดแต่หยิบช้อนตักข้าวป้อนให้ถึงปาก “อ้าปากสิคะน้องฟางจะได้ป้อน กลัวพี่สตรองหิวตายแล้ว
น้องฟางจะกลายเป็นฆาตกร ถูกคนที่จับไปบูชายันต์ข้อหาสังหารนายใหญ่แห่งผาตะวัน” ไม่รู้ว่ามันคือเหตุผล
หรือจงใจประชดเขาอย่างหวานน่ารักน่าชังกันแต่คงจะน่ารักน่าชังมากกว่าเขาถึงได้ยื่นหน้าไปหอมแก้มเนียนใส
ฟอดใหญ่

“รางวัลความน่ารัก” ปรินทร์บอกเหตุผลของการที่แก้มเนียนใสถูกเอาเปรียบทีเผลอ

“ต้องให้น้องฟางขอบคุณงามๆกับอกผู้ใหญ่ไหมคะ” เมื่อทำอะไรผู้ใหญ่ไม่ได้ก็สู้เอาใจผู้ใหญ่ไปเลย
อยากรู้ผู้ใหญ่จะรู้ตัวไหม

“อึ่มดีเหมือนกัน อยากรู้ว่าน้องฟางจะไหว้สวยเหมือนตอนเด็กหรือเปล่า” ผู้ใหญ่กลับเห็นดีด้วยไม่รู้ว่า
กำลังถูกเด็กประชด

พลั่ก! เด็กกราบแรงๆตรงท้องผู้ใหญ่แต่กลับเป็นฝ่ายร้อง “โอ๊ย” พร้อมสะบัดมือน้อยๆด้วยความเจ็บ จะไม่
ให้เจ็บได้อย่างไร ก็ท้องผู้ใหญ่แข็งแกร่งราวหินผา

“หึหึ เป็นไง เจ็บมากมั้ย น้องฟาง พี่ลืมบอกไปท้องพี่แข็ง” ปรินทร์ยังมีแก่ใจห่วงใยทั้งที่ถูกทำร้าย

“พี่สตรองบ้า ร้ายที่สุดหลอกน้องฟาง” ลษิดาใบหน้าหงิกง้ำที่เสียรู้คนเจ้าเล่ห์และมีอาการงอน

“โอ้ๆ พี่ไม่แกล้งน้องฟางแล้ว เลิกงอนนะ” จบคำพูดเอาใจคนแสนงอนด้วยการหอมแก้มป่องงอง้ำอย่างประ
จบอีกแต่มันกลับทำให้ผู้ที่ถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ได้เคาะเห็นเข้าโดยไม่ตั้งใจทว่ากลับทำหน้าเฉยไร้ความ
รู้สึกผิดกับหญิงสาวอีกคนที่เดินตามมาด้วยเกิดอาการตาขวางวาววับมีสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดและบังเอิญ
ร่างหนาสูงใหญ่ที่เปิดประตูห้องเข้ามาหันมาเห็นเข้าแล้วทำเป็นไม่สนใจแต่ไปสนใจนายใหญ่แห่งผาตะวันกับ
หญิงสาวในอ้อมกอดที่มีใบหน้าบึ้งตึงแต่แดงจัดจ้องมองผู้ยิ่งใหญ่แห่งผาตะวันอย่างเอาเรื่องโดยไม่กลัวเกรง
ขณะที่คนถูกจ้องกลับยิ้มขำแทน

“มีอะไรน่าขำนักพี่สตรอง รังแกแกล้งน้องฟางยังไม่พออีกเหรอไง” เสียงแว้ดดังขึ้นอย่างฉุนจัดเพราะยังไม่
รู้ว่ามีคนอื่นเข้ามาอยู่ในห้องด้วย

“ก็น้องฟางน่ารัก เลยอดใจไม่ไหว” พร้อมกับหอมแก้มเนียนนุ่มฟอดใหญ่อีกครั้งเป็นการยืนยันคำพูด
แต่เจ้าของแก้มกลับเงื้อมือทำท่าจะทำร้ายเจ้าของตักแต่กลับต้องหันหน้าไปมองที่หน้าประตูแล้วซุกหน้ากับอกแกร่ง
ของเจ้าของตักเพื่อซ่อนอาย

“ว๊าย..ตายแล้ว” เดือนประดับร้องอุทานดังๆแล้วเอามือปิดปากทำตาโตอย่างตกใจกับสิ่งที่เห็นเพื่อปก
ปิดอารมณ์โกรธเกรี้ยวของตัวเองที่เห็นนายสตรองหยอกล้อลษิดาทั้งที่ไม่เคยแลสาวอื่นต่อให้ทอดสะพานให้
มากแค่ไหนก็ตามแต่กลับทำเหมือนไม่เห็นเสมอ

“ตกใจอะไรนักหนาเดือน เรื่องธรรมดา นายสตรองหยอกคนรักไม่เห็นแปลก” ฟาลดุสาวสวยข้างกาย
ราบเรียบพลางเดินตรงไปยังผู้เป็นนายอย่างไม่กลัวถูกตำหนิ
============================
ปรินทร์จ้องมองผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยใบหน้าเรียบเฉยหากแววตานั้นบ่งบอกอาการไม่พอใจอย่างเห็นได้
ชัดยามจ้องมองลูกน้องคนสนิทกับเดือนประดับ

“ฟาลมีอะไร บอกมาถ้าไม่มีก็ออกไปเสีย ไม่อย่างนั้นกฏของผาตะวันที่ใครๆต้องทำตามก็จะใช้กับนายด้วย”
นายใหญ่แห่งผาตะวันพูดนิ่มแต่ความหมายช่างน่ากลัวนักในความคิดของเดือนประดับเลยอดหันไปมองใบหน้า
เย็นชาโหดๆของฟาลแล้วกลับแปลกใจเมื่อมันไม่ได้แสดงอาการผิดปกติแต่อย่างไร

‘ก็แน่ละสิ ไอ้ยักษ์โหดนี่มันไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไรกับใครอยู่แล้วนี่’ เดือนประดับค่อนขอดในใจและไม่เข้าใจ
ว่าทำไมนายใหญ่แห่งผาตะวันถึงยกเว้นให้ฟาลทำอะไรได้ตามใจชอบเสมอ และก็แปลกที่ฟาลไม่เคยทำอะไรตาม
ใจชอบนอกจากทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาเท่านั้น แต่กลับเป็นการดีต่อเธอในเวลานี้เพราะใช้ฟาลเป็นตัว
ช่วยให้เข้ามาแยกปรินทร์กับลษิดาออกจากกัน เพียงแค่เธอแสร้งทำเป็นเข้าไปขอความช่วยเหลือจากฟาลเพราะผู้
จัดการรีสอร์ตช่วยไม่ได้ทันทีที่เห็นร่างหนาสูงใหญ่ราวกับยักษ์เดินเข้า

‘พี่ฟาล มาพอดี ช่วยเดือนหน่อยได้ไหมคะ คุณวัฒนไม่กล้ากลัวขัดคำสั่งนายสตรองแล้วจะถูกทำโทษ’
เธอเอ่ยแค่นั้นแล้วมองใบหน้าเย็นชาของฟาลด้วยสายตาวิงวอนอย่างชั่งใจ

‘เรื่องอะไร’ ฟาลถามเสียงห้วนพลางมองหน้าเดือนประดับอย่างจ้องจับผิดก็ว่าได้

‘คุณป้านายให้มาตามคุณฟางกลับบ้านด่วน มีเรื่องสำคัญจะคุยกับเธอ หลังนายสตรองพาตัวมาที่นี่แล้ว
สั่งไม่ให้ใครรบกวนถ้าไม่มีคำสั่ง เดือนไม่รู้จะทำอย่างไรดี กลัวนายสตรองทำโทษ แต่ถ้าพาคุณฟางกลับไปไม่ได้
คุณป้านายก็จะทำโทษเดือนแทน’ เดือนประดับมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัดทว่าฟาลกลับมองแล้วทำหน้าเฉยก่อน
เดินตรงไปที่ห้องปรินทร์ เธอจึงรีบเดินตามไปและแผนเธอสำเร็จเมื่อฟาลถือวิสาสาะเปิดประตูห้องทำงานของนาย
สตรองเข้ามาแต่เธอกลับได้เห็นภาพบาดตาบาดใจแทนจนใจกรุ่นๆไปด้วยไฟริษยาทว่านาทีนี้กลับอยากรู้ว่าไอ้ยักษ์
เย็นชาที่เธอแอบให้ฉายาฟาลจะตอบนายสตรองอย่างไร

“หลวงพ่ออยากพบครับ ให้ผมมาตามเพราะคนอื่นไม่กล้า” ฟาลไม่บอกอะไรมากกว่านั้นพลางชำเลือง
มองเดือนประดับเล็กน้อยก่อนมองคนในอ้อมกอดผู้เป็นนายแล้วทำเป็นไม่สนใจ

“แล้วเดือนล่ะ ตามมาทำไม” ปรินทร์รับทราบแต่กลับให้ความสนใจเดือนประดับแทน

“คือ..เอ่อ..คุณป้านายให้เดือนมาตามคุณฟางกลับค่ะ” เดือนประดับเกิดอาการอึกอัดเล็กน้อยก่อนบอก
เหตุผลที่มาตามลษิดา

“น้องฟางดีขึ้นหรือยัง ถ้าดีขึ้นแล้วไปกับเดือน ระหว่างทางถ้าอยากเที่ยวผ่อนคลายก่อนก็ให้เดือนพาไป”
ปรินทร์บอกคนบนตักอย่างอ่อนโยนและดันตัวลษิดาออกก่อนขยับตัวลุกขึ้นและอุ้มเธอวางลงกับพื้น ทำราวกับ
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ดีขึ้นแล้วค่ะ หายปวดหัวแล้ว ขอบคุณค่ะพี่สตรองที่ช่วยประคองน้องฟางไว้” ไม่อยากเชื่อลษิดาจะหัว
ไวและตีบทแตกได้อย่างไม่น่าเชื่อ จะไม่ให้เธอไปตามน้ำได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นอายเขาแย่ อยู่ดีๆให้ผู้ชายกอดเล่น

“คุณฟางไม่สบายเหรอคะ ถ้างั้นต้องรีบกลับไปพักแล้วค่ะ” เดือนประดับเกิดเป็นห่วงเธอขึ้นมากระทันหัน
ใจจริงนั้นต้องการรีบพาลษิดาไปให้พ้นเร็วๆ

“ใช่ไม่สบายมากและเดื้อมากเลยต้องเดือดร้อนคนอื่น เดือนรีบพากลับก็ดี แล้วอย่าให้ไปอ้อนคุณแม่ได้ล่ะ
ไม่อย่างนั้นฉันเดือดร้อน” ปรินทร์ตอบแทนเลยได้รับรางวัลเป็นสายตาขุ่นเขียวจากคนดื้อแทน ถ้าไม่เป็นเพราะเขา
เธอก็ไม่ต้องเป็นเด็กเลี้ยงแกะหรอก คนอะไรร้ายนัก ทำเธอให้อายยังทำเนียนโยนผิดให้เธออีก

“ไปกันเถอะค่ะ คุณเดือน ฟางอยากพัก” ลษิดาว่าแล้วก็เดินนำเดือนประดับไปหน้าตาเฉย

“เดือนไปก่อนนะคะนายสตรอง ขอบคุณค่ะพี่ฟาล” เดือนประดับไม่วายรักษามารยาทก่อนตามลษิดาไป

“เอาล่ะ ทุกคนไปหมดแล้ว บอกมามีเรื่องอะไรกันแน่ถึงอ้างหลวงพ่อ” ปรินทร์ถามคนสนิททันทีที่สองสาว
ไปแล้ว เป็นรหัสลับที่รู้กันระหว่างเขากับคนสนิทยามเอ่ยถึงบ้านอเวจีจะบอกว่า หลวงพ่อ ซึ่งคนในผาตะวันจะคิดถึง
หลวงพ่อที่วัดซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวผาตะวัน

“นักโทษบ้านอเวจีพากันป่วยหนักคล้ายโดนยาพิษแต่โชคดีหลวงพ่อท่านให้ยามาทานแก้พิษ ไม่อย่างนั้น
อาจเสียชีวิต ผมอยากให้นายสตรองไปดูหน่อย อีกเรื่องคนของเราได้กลิ่นไม่ค่อยดีเกี่ยวกับพวกปรสิตละลอกใหม่
ที่กำลังจะแฝงตัวเข้ามาในผาตะวันโดยประสานกับคนในนี้”

“ปล่อยพวกปรสิตไปก่อน ค่อยๆสืบไม่ช้าก็รู้ แม้แต่ชาวบ้านก็อย่าไว้ใจ ไม่ช้าคงรู้”

“รวมถึงเดือนประดับด้วยหรือเปล่านายสตรอง” คราวนี้ผู้เป็นนายถึงกับจ้องหน้าดุเหี้ยมของคนสนิทนิ่ง
ก่อนย้อนถามกลับ

“แล้วนายคิดว่าอย่างไรล่ะ”

“ไม่มีความเห็นครับ แต่ไม่น่าให้คุณฟางไปกับเดือนประดับเลย” ฟาลพูดเหมือนไม่ไว้ใจเดือนประดับ

“ทำไม” ปรินทร์กลับถามเหมือนไม่ใส่ใจนัก

“ผู้หญิงอยู่ด้วยกันมักอันตราย” ฟาลออกความเห็นสั้นๆแต่กินความลึก

“สนใจเรื่องผู้หญิงตั้งแต่เมื่อไหร่ฟาล” ปรินทร์มองหน้าคนหน้าเหี้ยมดุนิ่ง

“ตั้งแต่นายสตรองพาคุณฟางมาผาตะวัน” ฟาลตอบผู้เป็นนายอย่างไม่กลัวเกรง

“เอาเวลาไปสนใจอย่างอื่นดีกว่ามาสนใจเรื่องของฉันกับคุณฟาง” แม้จะเป็นคำเตือนแต่ฟาลเข้าใจ นั่นคือ
คำสั่งห้ามเด็ดขาดแต่เขายังปากดีกล้าแย้งผู้ออกคำสั่งอีก

“ครับ ผมจะพยายามถ้านายสตรองไม่หวานให้เห็นโดยไม่เกรงใจใคร”

“ไปบ้านอเวจีได้แล้ว ฉันไม่อยากเสียเวลากับเรื่องไร้สาระของนาย” ปรินทร์เดินออกจากห้องโดยไม่สนใจ
คนสนิทที่ชักจะว่างมากเกินไปถึงมีเวลามาสนใจเรื่องของเจ้านาย เห็นทีต้องหาอะไรให้ทำเพิ่มขึ้นแล้วมั้ง
===================================
“คุณฟางหายปวดหัวหรือยังค่ะ ถ้ายังแวะหาหมอก่อนก็ได้นะคะ” เดือนประดับแกล้งถามลษิดาหลังออก
จากรีสอร์ตและมีผลทำให้ใบหน้าสวยใสน่ารักออกอาการแดงเรื่อเล็กน้อย

“ไม่ต้องหรอกค่ะ หายแล้ว ไม่เป็นอะไร” ลษิดานึกฉุนคนที่ทำให้เธอต้องมุสาและอายอีก โชคดีที่เดือนประ
ดับไม่สงสัยและสักแถมยังดูมีน้ำใจกับเธอไม่น้อย

“ดีเลยค่ะเดือนกำลังคิดจะพาคุณฟางไปดูที่สวยๆ ที่หนึ่ง จุดไฮไลท์ของผาตะวัน อยากไปดูมั้ยคะ”
เดือนประดับชวนทันทีที่รู้ว่าเธอไม่เป็นไรแล้ว

“อยากไปเหมือนกันค่ะ แต่เกรงว่าคุณน้าจะคอยนานแล้วคุณเดือนจะเดือดร้อน” ลษิดาหวังดีกลัวเดือน
ประดับเดือดร้อนเพราะหวังดีคิดพาเธอเที่ยว

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณป้านายใจดี ก่อนมาเดือนก็บอกท่านแล้วอาจพาคุณฟางแวะเที่ยวบ้าง ท่านก็ไม่ว่าอะไร”

“ถ้าอย่างนั้นฟางสบายใจ ไปกันเลยค่ะ อยากเห็นแล้วสิ”

“รับรองคุณฟางต้องติดใจจนไม่อยากกลับเลยค่ะ ตามมาเลยค่ะ” เดือนประดับเดินนำลษิดาพาไปอีกทาง
หนึ่งซึ่งแท้จริงแล้วมันคือทางไปนรกสำหรับลษิดาเพราะยิ่งเธอพาเดินไปเรื่อยๆลษิดาเห็นแต่ต้นไม้หนาทึบอยู่สอง
ข้างทางไม่เห็นมีอะไรสวยงามให้เห็นสักนิด

“คุณเดือนคะ ฟางว่าเรากลับกันเถอะค่ะ นี่มันจะเข้าป่าลึกแล้วนะคะ” ลษิดาเริ่มกลัวแต่เดือนประดับกลับ
ยิ้มและบอกว่า “ไม่ต้องกลัวค่ะ นักท่องเที่ยวทุกคนที่มามักจะพูดเหมือนคุณฟางแต่พอไปถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
ต่างยิ้มออก กับธรรมชาติแสนสวย มีทั้งธารน้ำตกแสนสวย พื้นหญ้า ดอกไม้เขียวขจี ที่จริงมีอีกทางหนึ่งซึ่งไม่เปลี่ยว
แต่เสียเวลาเดินทางเป็นวัน คนผาตะวันมักใช้เส้นทางนี้แม้จะดูเปลี่ยวน่ากลัวไปหน่อยแต่ประหยัดเวลาได้เยอะ
จากรีสอร์ตไปถึงจุดหมายแค่สี่สิบนาทีกว่าๆ อีกอย่างที่ต้องบอกคือถ้าตกเย็นๆแล้วก็จะไม่มีใครกล้ามา มีการเล่า
ขานกันถึงตำนานปีศาจยักษ์ที่รอคอยเจ้าสาวมานานนับร้อยๆปี จนสาวๆพากันกลัวที่จะมาเส้นทางนี้เวลาค่ำ
แต่นั่นก็เป็นเพียงตำนานไม่เคยมีใครได้เห็น เดือนโตมากับที่นี่ชินแล้วเลยไม่กลัว คนอื่นเป็นอะไรไม่รู้ทำไมกลัวจัง”
เดือนประดับเล่าไปเรื่อยๆโดยไม่สนใจดูหน้าเพื่อนร่วมทางที่ดูซีดเล็กน้อยหลังฟังตำนานปีศาจรอคอยเจ้าสาวมา
นับร้อยปี

“คุณเดือนเรากลับกันเถอะค่ะ ฟางรู้สึกไม่ดีเลย” ด้วยความกลัวกับตำนานปีศาจที่เธอต้องผจญเมื่อคืน
เลยทำให้ลษิดาเริ่มไม่สนุกกับการไปเที่ยวแล้ว

“คุณฟางเป็นอะไรไปคะ ไม่ต้องกลัวค่ะ เราใกล้ถึงแล้ว โน่นข้างหน้าโน้นไงคะ” เดือนประดับแสร้งทำเป็น
ไม่เข้าใจและมองไม่เห็นใบหน้าซีดเล็กน้อยของลษิดาแต่ชี้ชวนให้เธอดูธรรมชาติอันงดงามข้างหน้าแทน

“จริงสิ ได้ยินเสียงน้ำไหลแล้วกับทุ่งดอกไม้บนเนินสีเหลือง แดง ม่วงอยู่ไม่ไกล” ลษิดาเลิกคิดเรื่องปีศาจ
และหันไปสนใจสิ่งที่เดือนประดับชี้ชวน แล้วเธอก็ตกตะลึงกับความงามของ ม่านน้ำตกขนาดใหญ่กับแอ่งน้ำสี
เขียวใสมรกตโอบล้อมด้วยทุ่งดอกไม้หลากสีสันบนเนิน ถัดไปเป็นป่าทึบทว่าใบไม้หลากสีสันแทน

“งั้นเรารีบไปกันเลยค่ะ” เดือนประดับยิ้มอย่างพอใจและจูงมือลษิดาให้วิ่งไปยังจุดหมายทันที ทว่ายังไม่
ทันจะได้ไปถึงพลันก็มีเสียงเรียกเย็นๆดังขึ้นอย่างน่ากลัว

“มาแล้วเหรอ เจ้าสาวปีศาจของข้า ข้ารอเจ้าอยู่นานแล้ว”

====== ลษิดาได้ยินเข้ารีบหันไปบอกเดือนประดับว่า “คุณเดือนเรารีบกลับเถอะ ปีศาจมาแล้ว” ทว่าเดือนประ
ดับในตอนนี้กลับมีใบหน้าน่ากลัวดวงตาดั่งมารร้ายจ้องมองเธอแถมตะคอกใส่ “นังแพศยา คิดจะมาเป็นเจ้าสาว
แทนข้ารึ อย่าหวัง ข้าเท่านั้นที่จะเป็นเจ้าสาวของนายท่าน” ว่าแล้วก็เงื้อสะบัดมือให้พ้นและเงื้อมือทำท่าจะทำ
ร้ายลษิดาแทน

“อย่านะคุณเดือน ช่วยด้วย” ลษิดากลัวจับใจพลางพลักเดือนประดับล้มแล้วทำท่าจะวิ่งหนีแต่ต้องรีบหัน
กลับมามองเดือนประดับอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนอย่างตกใจ

“นายท่าน ข้ากลัวแล้ว โอ๊ยข้าเจ็บ” พร้อมกับการกลิ้งไปมาคล้ายหนีอะไรสักอย่างคล้ายเสียงแส้หวดแต่
ลษิดากลับไม่เห็น นาทีนี้เธอกลัวจนจับขั้วหัวใจแต่ก็ไม่ใจร้ายพอที่จะทิ้งเดือนประดับไปได้ สิ่งที่เธอเจอตรงหน้า
แม้ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าเป็นเรื่องวิญญาณหรือปีศาจร้ายเข้าสิงร่างเดือนประดับเหมือนที่เห็นในละคร และสิ่ง
ที่คิดได้อย่างเดียวตอนนี้คือพี่สตรองของเธอ อยากให้เขามาอยู่ตรงนี้แต่คงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงรวบรวมความ
กล้าเข้าไปหาเดือนประดับหมายจะช่วยและแล้วเสียงน่ากลัวโหยหวนพร้อมร่างสูงใหญ่หนาราวกับยักษ์ในชุด
เสื้อคลุมดำตั้งแต่หัวจรดเท้าตามที่ปรินทร์เล่าให้เธอฟังก็มาปรากฏกายให้เห็นต่อหน้าเธอ

“เจ้าสาวของข้า เจ้าช่างมีน้ำใจนัก มากับข้าเสียดี”

“ไม่นะ ฉันไม่ใช่เจ้าสาว ช่วยด้วย พี่สตรองช่วยน้องฟางด้วย” ลษิดาวิ่งหนีพลางร้องตะโกนดังๆ ไม่สนใจ
เดือนประดับอีกต่อไป ตอนนี้สิ่งที่เธอกลัวที่สุดคือการเป็นเจ้าสาวปีศาจ และปีศาจร้ายก็เดินตามเธอมาช้าๆ
กับเสียงเย็นๆไล่หลัง

“จะหนีไปไหน เจ้าสาวของข้า”

“อย่าตามมานะ พี่สตรองช่วยน้องฟางด้วย” ร่างบางอรชรวิ่งหนีไปปีศาจร่างยักษ์ในชุดเสื้อคลุมดำปิดบัง
ใบหน้าที่ไล่ตามอย่างไม่คิดชีวิต ไม่สนใจว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นป่าทึบหรือมีอะไรรออยู่ ขอเพียงหนีให้พ้นปีศาจ
ร้ายก็พอ ใจนั้นได้แต่ร้องเรียกหาผู้ชายคนเดียวในชีวิตที่คอยปกป้องมาตลอดเพื่อทำลายความกลัวจากเสียงเยือก
เย็นน่ากลัวที่ดังไล่หลังมาให้ได้ยิน

“เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก เจ้าสาวคนสวยของข้า ฮ่า! ฮ่า!”

“พี่สตรอง อยู่ไหน น้องฟางกลัว ช่วยน้องฟางด้วย..โอ๊ย” พลันร่างบางก็สะดุดกับหินก้อนใหญ่จนล้มลง
กับพื้น มือขูดกับหินก้อนเล็กๆและดินจนผิวหนังถลอกได้เลือดซิบๆแถมหน้าผากก็กระแทกกับหินจนเลือดหยด
เลอะใบหน้างาม ดวงตากลมโตงดงามมองสำรวจไปรอบๆ ไม่มีสิ่งใดปรากฏสู่สายตานอกจากต้นไม้หนาทึบคงเป็น
ป่าทึบซึ่งอาจต้องเจอกับสัตว์ร้าย เช่นเสือ งูพิษ แต่นั่นไม่น่ากลัวเท่าเสียงฝีเท้าหนักๆของปีกศาจร้ายที่เดินใกล้เข้า
มา จึงรวบรวมความกล้าลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในป่าแล้วถึงกับนิ่งอึ้งเมื่อข้างหน้ามีดงไม้หนาทึบอีกชั้นกั้นอยู่นอกนั้น
ก็เห็นเป็นเนินหญ้าโล่งเตียน หากเธอขึ้นไปก็ไม่มีที่หลบภัยแน่ที่สำคัญเสียงฝีเท้าหนักยังตามติดไม่ลดละ

========= นาทีนี้เธอแทบไม่มีทางเลือกนอกจากฝ่าดงไม้หนาทึบเข้าไปทว่าพอเข้าไปใกล้กลับพบว่ากิ่งของมันเต็มไป
ด้วยหนามอันแหลมคมหากก้าวเข้าไปต้องหนามของมันขูดข่วนบาดตามตัวแน่ แต่นี่อาจไม่น่ากลัวเท่ากับให้ปีศาจ
ร้ายจับตัวไปเป็นเจ้าสาว ขอฝ่าดงไม้หนามไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า ดังนั้นเธอจึงรวบรวมความกล้ายอมฝืนทน
ความเจ็บปวดเดินฝ่าเข้าไปในดงไม้หนามให้คมหนามอันแหลมคมขูดข่วนบาดทะลุเสื้อผ้าเข้าไปจนผิวขาวเนียน
ทั้งร่างมีเลือดซึมเลอะเสื้อไปหมดดีที่หนามอันแหลมคมนั้นมีอยู่หนาแน่นตรงโคนต้น สูงขึ้นไปมีอยู่บางตาจนแทบ
ไม่เห็นไม่เช่นนั้นใบหน้างดงามอาจเสียโฉมได้แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้างามก็หนีไม่พ้นโดนหนามขูดข่วนเล็กน้อยแต่
ไม่ถึงกับเลือดซึม หลังผ่านดงไม้หนามมาได้แล้ว ลษิดาก็ไม่อาจฝืนทนความเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งร่างได้อีกต่อ
ไปที่สุดก็ล้มลงไม่ห่างจากกำแพงดินสูงใหญ่ด้านบนมีใบมีดปักอยู่โดยรอบซึ่งสูงตระหง่านอยู่ข้างหน้า
“พี่สตรอง ช่วยน้องฟาง...ด้วย” ก่อนหมดสติไป
=========================
หลังจากที่ปรินทร์มาบ้านอเวจีและสอบผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดตามที่ฟาลบอกแล้วพบว่าตัวมีคนหนึ่งที่ถูก
พิษน้อยที่สุดและมีท่าทีพิรุธเพราะไม่ได้ทานน้ำแกงเหมือนคนอื่น ส่วนพวกที่ป่วยทานน้ำแกงมากกว่าเพื่อน
ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ฟาลจัดการเค้นคอให้บอกความจริง

“ฟาล ภายในสามวันถ้ามันยังไม่บอกว่าเอายาพิษมาจากไหน ให้มันดื่มกินยาพิษทุกวันห้ามให้ใครรักษา
จนกว่ามันจะทรมารจนตาย” ปรินทร์สั่งก่อนรีบร้อนจากไปจนฟาลแปลกใจแต่ไม่คิดจะซักถามเพราะไม่ใช่ธุระ
ของตัวเอง ที่ควรสนใจคือคำสั่งอันเฉียบขาดของนายใหญ่แห่งผาตะวันมากกว่า

ออกจากบ้านอเวจีมาได้ไม่กี่ก้าวร่างสูงใหญ่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างบอบบางอรชรของหญิงสาวคน
หนึ่งนอนฟุบอยู่ตรงหน้า เสื้อผ้าเลอะเทอะเปื้อนเลือดบางแห่ง แขนเรียวสวยเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจนเลือดซิบๆ
ก่อนเสียงอุทานอย่างตกใจจะดังขึ้น

“น้องฟาง”
====================================
====ชชชชชชชช ดีใจยังมีคนจำได้ ไม่ลืมกันจริงๆชชชชชชชชชชชชชชชชชช



เพลงใบไม้
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 พ.ค. 2558, 21:31:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 พ.ค. 2558, 21:31:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1307





<< ตอนที่ 8   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account