กว่าหัวใจจะเจอรัก
คำโปรย กว่าหัวใจจะเจอรัก

หนึ่งคน...ยโสเอาแต่ใจ เคยชินต่อการที่ใครต่อใครยอมศิโรราบ จนไม่ยอมแม้แต่จะฟังเสียงหัวใจของตัวเอง
หนึ่งคน...อวดดื้อถือดี พยายามต่อต้านทุกวิถีทางทั้งที่หัวใจร่ำร้องว่าไม่ต้องการ
หนึ่งคน...ภายนอกสุภาพอ่อนโยน แต่ข้างในซุกซ่อนความเอาแต่ใจกระทั่งยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ
หนึ่งคน...หัวอ่อนว่าง่าย หากในใจกลับเข้มแข็งและไม่ยอมแพ้ ถึงแม้หัวใจจะถูกใครบางคนฉกฉวยยึดเอาไปแล้วก็ตาม

...ในเมื่อไม่ยอมฟังเสียงหัวใจ ไม่ยอมทำในสิ่งที่หัวใจร่ำร้อง แล้วอย่างนี้เมื่อไรหัวใจทุกดวงจึงจะค้นพบรักแท้ที่จริง ๆ แล้วอยู่ใกล้แค่มือเอื้อม...

Tags: พี่จิน พี่ธันว์ น้องส้ม น้องแก้ม ปากแข็ง ทิฐิ

ตอน: ตอนที่ 1 - 5

บทที่ 1


ณ ลานกว้าง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในสนามเด็กเล่นของหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง กลุ่มเด็ก3 คนที่กำลังรุมดูอะไรบางอย่างดึงดูดให้เด็กหนุ่มอีกคนที่เพิ่งเดินมาถึงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“มุงอะไรกัน”

เสียงถามนั้นทำให้กลุ่มเด็กซึ่งประกอบด้วยเด็กหนุ่ม 1 คนและเด็กหญิงอีก 2 คนที่นั่งตั้งวงล้อมต่างพากันมองไปยังผู้มาใหม่ที่ยืนกอดอกมองมาไม่ห่าง ก่อนที่เด็กหนุ่มในกลุ่มจะกวักมือพร้อมส่งเสียงเรียก

“มาดูนี่สิจิน ลูกหมาของใครก็ไม่รู้”

จินตเมธ เด็กหนุ่มวัย 15 ปี เดินเข้าไปหาตามเสียงร้องเรียกแจ๋ว ๆ นั้น ดวงตาคมเข้มที่ฉายประกายเฉลียวฉลาดตวัดมอง เริ่มจากคนที่ร้องเรียกเขาซึ่งนั่งคุกเช่าอยู่บนพื้น จากนั้นก็มองต่อไปยังเด็กผู้หญิงตัวเล็กผมยาวที่นั่งยอง ๆ ดูลูกสุนัขตัวสีน้ำตาลที่นอนหมอบอยู่ตรงหน้า กระทั่งมาจบที่เด็กหญิงผมซอยสั้นซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นซึ่งปกคลุมด้วยหญ้าสีเขียวขจี

“นั่งลงไปได้ยังไง สกปรกจะตาย”

คำพูดคนละประเด็นกับความสนใจของพวกตน ทำให้คนทั้งสามหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนที่หนึ่งในนั้นซึ่งเป็นเด็กหญิงผมสั้นจะเป็นฝ่ายโต้กลับด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง

“ถ้ากลัวสกปรก ก็ไปที่อื่นสิ”

คนถูกไล่เม้มปากแน่นด้วยความไม่พอใจ ขณะมองตอบดวงตาวาววับอย่างไม่ยอมแพ้ของคู่ปรับตัวฉกาจ ซึ่งเป็นเด็กหญิงวัย 12 ขวบ ยังไม่ทันขยับปากจะตอบโต้อย่างที่ใจคิด เสียงใส ๆ ของเด็กหญิงวัย 7 ขวบก็แทรกขึ้น

“พี่จินมานั่งตรงนี้สิคะ น้องแก้มเอาผ้าเช็ดหน้าปูให้ ไม่สกปรกแล้วค่ะ”

‘พิ่จิน’ มองพื้นหญ้าข้างตัวน้องแก้มที่เวลานี้มีผ้าเช็ดหน้าลายหมีพูร์ผืนเล็กวางทับอยู่ ก่อนเดินเข้าไปหา แล้วก้มตัวลงนั่งยอง ๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าลายหมีพูร์ขึ้นมายื่นส่งให้เด็กหญิง พลางบอกเสียงอ่อน

“ขอบคุณครับน้องแก้ม แต่น้องแก้มเก็บผ้าเช็ดหน้าเถอะ เอามาวางแบบนี้เดี๋ยวพี่หมีพูร์น้อยใจนะครับ”

เด็กหญิงจิตพิสุทธิ์ หรือน้องแก้ม รับผ้าเช็ดหน้าจากพี่จิน ก่อนลูบนิ้วกลมป้อมไปที่รูปหมีพูร์พลางบอก

“น้องแก้มขอโทษนะคะ พี่หมีพูร์อย่าโกรธน้องแก้มนะคะ”

ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของน้องแก้มเรียกรอยยิ้มจากคนทั้งสามที่ต่างจ้องมองการกระทำไร้เดียงสานั้น ก่อนที่จินตเมธจะดึงความสนใจของทุกคนให้กลับเข้าสู่เรื่องเดิม

“เอ๊ะ! หมาตัวนี้มีเลือดออกนี่”

“แหงล่ะ มันบาดเจ็บ ก็ต้องมีเลือดออกสิ”

น้ำเสียงรวน ๆ ของคู่ปรับทำให้จินตเมธต้องหันไปมอง แล้วพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองเขาอยู่ก่อนแล้ว

“พี่ไม่ได้พูดกับน้องส้ม ไม่ต้องตอบ”

น้ำเสียงที่ทั้งเข้มทั้งห้วนจากคู่อริ ส่งผลให้เด็กหญิงณัฐวรา หรือ น้องส้ม ทำหน้าคว่ำอย่างไม่พอใจ ก่อนยกมือขึ้นผลักอกอีกฝ่าย จนเสียหลักหงายหลังก้นจ้ำเบ้าเพราะไม่ทันตั้งตัว

“มันจะมากไปแล้วนะ!”

คนถูกผลัก ลุกขึ้นยืนหลังจากตั้งตัวได้ พร้อมกับแยกเขี้ยวใส่พลางตะคอกด้วยความโมโห หากยังคงยืนกำมือแน่นอยู่กับที่ ในขณะที่น้องส้มก็ผุดลุกขึ้นยืนประจันหน้า

“น้องส้ม ผลักจินทำไม”

ธันวา เห็นท่าไม่ดีจึงรีบลุกขึ้นมายืนขวางพร้อมกับหันไปถามคนก่อเหตุที่กำลังยืนทำตาวาวมองคู่ปรับ

น้องส้มมองพี่ธันว์วูบเดียวก็ก้มหน้าลง ไม่กล้าสบกับแววตาไม่พอใจของคนที่เธอรักไม่ต่างจากพี่ชาย ก่อนบอกเสียงอ่อนอ่อย

“ส้มขอโทษค่ะพี่ธันว์ ส้มไม่ได้ตั้งใจ”

จินฟังคำพูดนั้นด้วยความโมโหที่มากขึ้น

แทนที่จะขอโทษเขา กลับไปขอโทษนายธันว์ซะนี่

ความโมโห ทำให้เด็กหนุ่มนึกพาลจนตวัดตาขุ่นขวางไปทางเพื่อนรัก ซึ่งเป็นจังหวะที่ธันวาหันไปเจอเข้าพอดี เด็กหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนหันไปบอกกับเด็กหญิงณัฐวรา

“น้องส้มต้องขอโทษพี่จินนะครับ ไม่ใช่มาขอโทษพี่ เพราะพี่จินเป็นคนที่ถูกน้องส้มผลัก”

น้องส้มนิ่งไปครู่ใหญ่ทีเดียว ก่อนเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสีหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ ปากเล็ก ๆ เบะออก จากนั้นจึงตะเบ็งเสียง

“น้องส้มไม่ขอโทษ น้องส้มเกลียดพี่จิน!”

พูดจบ ร่างเล็ก ๆ ก็วิ่งออกไป โดยมีเสียงร้องเรียกของธันวาดังตามหลัง

“น้องส้ม! น้องส้ม! กลับมาก่อน”

“ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียกยายเด็กดื้อนั่นหรอก ธันว์”

จินบอกเพื่อน ก่อนหันไปมองน้องแก้ม เมื่อได้ยินคำถามของเด็กหญิง

“พี่ส้มเกลียดพี่จินทำไมค๊า”

คำถามนั้นไม่มีคำตอบ และน้องแก้มก็ดูเหมือนไม่ได้สนใจเช่นกัน เพราะหลังจากมองพี่จินที่เอาแต่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เด็กหญิงก็หันไปสนใจเจ้าลูกสุนัขบาดเจ็บตามเดิม

“เดี๋ยวเราจะไปตามน้องส้มนะ”

ธันวาหันไปบอกเพื่อนพร้อมกับขยับตัวจะเดินออกไป แต่ถูกห้าม

“ไม่ต้อง เดี๋ยวเราไปเอง”

ราวกับกลัวจะถูกค้าน จินตเมธรีบเดินจากไปทันที ทิ้งให้เพื่อนรักอยู่กับน้องแก้มและลูกสุนัขที่บาดเจ็บต่อไปตามเดิม


หลังจากเดินตามหาน้องส้มอยู่พักใหญ่แต่ไม่พบ จินตเมธจึงตัดสินใจไปที่บ้านของเด็กหญิง แต่ทราบจากมารดาของน้องส้มว่าเธอยังไม่กลับ เด็กหนุ่มจึงเดินกลับไปบ้านของตัวเองซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่สุดและตั้งอยู่บริเวณต้น ๆ ของปากทางเข้าหมู่บ้าน

“อ้าว! คุณจิน ไหนว่าจะไปเล่นกับเพื่อนไงคะ ทำไมถึงกลับเร็วนัก”

อนงค์ แม่บ้านวัย 40 และเป็นคนที่มีส่วนช่วยเลี้ยงดูจินตเมธ เพราะคุณจินตนา ผู้เป็นมารดา เป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่แทบไม่มีเวลาให้กับครอบครัว จนปล่อยให้ลูกชายอยู่ในความดูแลของคนรับใช้เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่คุณสุเมธ บิดาของเด็กชาย ความที่เป็นถึงผู้บริหารของบริษัทซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่มีเครือข่ายสาขาอยู่แทบทุกจังหวัดของประเทศ ด้วยตนเองเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งกิจการ ดังนั้นเขาจึงทุ่มเทเวลาให้กับธุรกิจจนแทบไม่ได้ให้เวลากับภรรยาและลูกชาย

“เบื่อครับ”

คำตอบสั้น ๆ จากนายน้อยของบ้าน เรียกแววตากังขาจากแม่บ้านใหญ่และอดีตพี่เลี้ยงของคุณจินตนา ก่อนเจ้าตัวจะพาร่างค่อนข้างท้วมของตนเดินตามเด็กหนุ่มเข้าไปภายในห้องรับแขก จากนั้นจึงทรุดตัวลงนั่งพับเพียบบนพื้นพรมสีแดงเลือดหมู แล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นแตะบนหัวเข่าของนายน้อยที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาว

“โถ! เบื่ออะไรคะ บอกป้าได้ไหม”

“เบื่อไปหมดนั่นล่ะ โดยเฉพาะ...ยายเด็กปัญญาอ่อน”

“คะ”

ป้าอนงค์ร้องถามอย่างงุนงงกับคำบอกตอนท้ายของนายน้อย หากเมื่อเห็นสีหน้าแววตาติดบึ้งและท่าทางเหมือนจะไม่ยอมพูดอะไรอีกของเด็กที่เธอเลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก หญิงสูงวัยก็ยิ้มนิด ๆ ก่อนบอก

“ถ้าอย่างนั้น ป้าจะไปคั้นน้ำส้มเย็น ๆ มาให้นะคะ ทานแล้วจะได้หายเบื่อ”

คล้อยหลังร่างค่อนข้างท้วมของอีกฝ่าย จินตเมธก็คว้ารีโมตมากดโทรทัศน์ หากครู่เดียวหลังจากกดหารายการที่ถูกใจไม่ได้ เด็กหนุ่มจึงกดรีโมตปิดโทรทัศน์ แต่หลังจากนั่งนิ่ง ๆ ครู่หนึ่ง ภาพของน้องส้มที่ตะเบ็งเสียงเข้าใส่ก็ผุดขึ้นมา

“น้องส้มไม่ขอโทษ น้องส้มเกลียดพี่จิน!”

ยายบ้า! จู่ ๆมาเกลียดเขาทำไม ไม่เคยไปทำอะไรให้สักหน่อย

คิดไปคิดมา จินตเมธก็ชักไม่สบอารมณ์ ความที่แต่ไหนแต่ไรมีแต่คนคอยเอาอกเอาใจ ไม่เคยสักครั้งที่จะมีใครกล้าขัดใจ นายน้อยของบ้านจึงเริ่มหงุดหงิดขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็หยิบหมอนอิงขึ้นมาแล้วปาลงไปบนพื้นพรมเพื่อระบายอารมณ์


ทางด้านน้องส้ม ต้นเหตุอารมณ์หงุดหงิดของพี่จิน หลังจากวิ่งหนีไปจากสนามเด็กเล่น เด็กสาวก็หลบเข้าไปนั่งจับเจ่ากอดเข่าบนสนามหญ้าในสวนสาธารณะของหมู่บ้าน

เกลียด! เกลียดพี่จินที่สุดเลย!

น้องส้มบอกกับตัวเองอย่างขัดใจ ยิ่งนึกถึงสีหน้าไม่พอใจของพี่ธันว์ตอนหันมาบอกให้เธอขอโทษพี่จิน เด็กหญิงก็อยากร้องไห้

พี่ธันว์คงเกลียดเธอแล้วแน่ ๆ

เด็กหญิงณัฐวรานึกพร้อมกับก้อนสะอื้นที่แล่นขึ้นมาก่อนตามด้วยเม็ดน้ำตาดวงโตที่หยดแหมะลงมาตามสองข้างแก้ม พร้อมกันนั้นภาพจากอดีตวันวานก็ผุดขึ้นมาเป็นฉาก ๆ

นับจากวันที่เธอและแม่ย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว และได้รู้จักกับพี่ธันว์ พี่ชายที่แสนใจดี และสารพัดจะเอาอกเอาใจ เธอก็ยึดธันวาเป็นเสมือนพี่ชายที่ไม่เคยมี เธอคอยติดสอยห้อยตามไปทุก ๆ ที่เขาไป และพยายามมีส่วนร่วมกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาสนใจ โดยพี่ธันว์ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะทำท่ารำคาญหรือเบื่อหน่าย ตรงกันข้ามกับใครอีกคนอย่างสิ้นเชิง

เมื่อนึกถึงใครอีกคน ภาพเด็กหนุ่มผิวขาว ดวงตาคมเข้มสีดำสนิทที่หลายต่อหลายครั้ง เจ้าของดวงตาคู่นั้นมักตวัดมองเธอด้วยความรำคาญและเอือมระอา ทุกครั้งที่เห็นเธอติดสอยห้อยตามพี่ธันว์ไปไหนต่อไหน เขาเป็นต้องออกปากไล่เธอให้ไปห่าง ๆ ไม่นับรวมกับบางหนที่เขาดึงพี่ธันว์ไปเล่นกับเขาโดยทิ้งเธอให้ยืนบื้ออยู่ตามลำพัง

ซึ่งคนคนนั้นก็คือ...พี่จิน

น้องส้มทำหน้าบึ้งเมื่อนึกถึงคนที่เธอไม่ชอบหน้า ก่อนบอกกับตัวเองอีกครั้ง

แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เธอเกลียดพี่จินได้ยังไง ในเมื่อพี่จินใจร้ายกับเธอตลอด


“อ้าว! ส้ม ไปไหนมาลูก เมื่อกี้พี่จินมาหาแน่ะ”

เพียงแค่เห็นหน้าลูกสาว คุณณัชชาก็บอกออกไปทันที ก่อนยิ้มรับสีหน้าบิดเบ้ของเด็กหญิงที่หันกลับมามองหลังจากปิดประตูบ้าน

“ไปไหนมาจ๊ะลูกสาวแม่ ตัวมอมแมมมาเชียว”

คนเป็นแม่ทักต่อหลังจากมองสภาพของลูกสาว ซึ่งเวลานี้เสื้อและกางเกงเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบดินและฝุ่น

“ส้มไปนั่งเล่นในสวนสาธารณะมาค่ะ”

ฟังคำตอบแล้ว ผู้เป็นแม่ก็ส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนบอก

“ถ้าอย่างนั้นส้มไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้านะจ๊ะ แล้วลงมาทานข้าว แม่ทำกับข้าวเสร็จพอดี”

น้องส้มรับคำมารดา ก่อนวิ่งปรู๊ดขึ้นบันไดเพื่อไปห้องนอนที่อยู่ชั้นบน


เย็นวันนั้น ขณะน้องส้มกำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ในชิงช้าสนามที่ตั้งอยู่ใกล้ต้นมะม่วง เด็กหญิงก็แทบจะร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ เมื่อเห็นแม่ของเธอเดินนำพี่ธันว์และน้องแก้มเข้ามา

“น้องส้มจ๊ะ พี่ธันว์กับน้องแก้มมาหาแน่ะ”

คุณณัชชาบอกลูกสาวเมื่อพาเพื่อน ๆ ของลูกเดินเข้ามาใกล้ ก่อนหันไปยิ้มให้เด็กหนุ่มที่กำลังชักชวนลูกสาวของเธอ

“น้องส้ม ไปกินไอติมที่ร้านป้าสุกันไหม พี่เลี้ยงเอง”

“ไปค่ะ”

ไม่ต้องหยุดคิด น้องส้มก็รีบออกปากขานรับเสียงใส ท่ามกลางรอยยิ้มของพี่ธันว์และน้องแก้ม ในขณะที่แม่ของเด็กหญิงส่ายหน้าน้อย ๆ ราวกับระอา หากใบหน้ามีรอยยิ้มแต่งแต้ม ก่อนเอ่ยด้วยสุ้มเสียงกลั้วหัวเราะ

“ไหนเมื่อกี้ตอนกินข้าว ส้มบอกแม่ว่าอิ่มแล้วยังไงล่ะ แล้วทำไมตอนนี้ถึงจะกินไอติมเสียแล้ว”

น้องส้มยิ้มอาย ๆ ให้แม่ตัวเอง ก่อนแก้ตัวเสียงอุบอิบ

“ก็เมื่อกี้มันอิ่มจริง ๆ นี่คะ”

คนเป็นแม่ส่ายหน้าอีกครั้ง ก่อนหันไปทางเพื่อน ๆ ของลูกที่กำลังมองมาตาแป๋ว จากนั้นจึงยื่นธนบัตรสีแดงหนึ่งใบให้กับเด็กหนุ่มพลางบอก

“นี่จ๊ะธันว์ ค่าไอติม”

“ไม่ต้องครับน้าณัช ธันว์เอาตังค์มาครับ”

ธันวาแย้ง

“ถ้าอย่างนั้น ธันว์ก็เก็บตังค์ของธันว์เอาไว้ซื้อของที่อยากได้ ส่วนค่าไอติมนี่ ขอน้าณัชเป็นคนเลี้ยงก็แล้วกันนะจ๊ะ”

เด็กหนุ่มนิ่งไปอย่างใช้ความคิดครู่หนึ่ง ก่อนยื่นมือไปรับธนบัตรมาถือไว้ จากนั้นจึงยกมือไหว้พลางบอก

“ขอบคุณครับ”

คุณณัชชาเพียงแต่ยิ้มรับ ก่อนหันไปบีบพวงแก้มยุ้ย ๆ ของน้องแก้มเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู จากนั้นจึงเอ่ย

“ถ้าจะไปก็ไปกันได้แล้วจ๊ะเด็ก ๆ แล้วอย่าไปเถลไถลที่ไหนต่อล่ะ นี่ก็ใกล้จะมืดค่ำแล้ว”

แม่ของน้องส้มสำทับทิ้งท้าย ก่อนมองตามกลุ่มเด็กที่พากันเดินตามกันต้อย ๆ ตรงไปที่ประตูรั้วหน้าบ้าน โดยมีจุดหมายคือ ร้านขายไอศกรีมที่อยู่บริเวณปากซอยของหมู่บ้าน


ดีใจจัง พี่ธันว์ไม่โกรธเธอแล้ว

ขณะตักไอศกรีมเข้าปาก น้องส้มก็คิดไปด้วยความดีใจ พลอยส่งให้ใบหน้ารูปไข่สว่างสดใสด้วยรอยยิ้ม จนทำให้ถูกน้องแก้มตั้งคำถามเอาด้วยความสงสัย

“พี่ส้มยิ้มอะไรค๊า”

คำถามของน้องแก้มดึงความสนใจของพี่ธันว์มาจากไอศกรีมที่กำลังละเลียดอยู่ เด็กหนุ่มเอียงคอมองน้องส้ม ก่อนสรุปเอาง่าย ๆ

“สงสัยไอติมคงจะอร่อยมากแน่ ๆ”

พูดจบ พี่ธันว์ก็ยื่นช้อนตัวเองไปตักไอศกรีมในถ้วยของน้องส้มเข้าปากหนึ่งคำ จากนั้นจึงออกปากชม

“อร่อยจริง ๆ ด้วย”

น้องแก้มทำตาปริบ ๆ มองพี่ธันว์ ก่อนย้ายไปมองพี่ส้มพลางทำหน้าตาอ้อนสุดฤทธิ์

“ขอน้องแก้มชิมบ้างได้ไหมค๊า”

คำออดของน้องแก้มเรียกรอยยิ้มจากพี่ส้ม ก่อนออกปากอนุญาตพร้อมกับดันถ้วยไอศกรีมไปตรงหน้าน้องน้อย

“ได้สิ”

น้องแก้มยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มสองข้างแก้ม จากนั้นจึงยกช้อนตัวเองขึ้นตักไอศกรีมในถ้วยของพี่ส้ม

“อร่อยจริง ๆ ด้วยค่ะ ไอติมของพี่ส้มอร่อยที่สุดในโลกเลย”

คำบอกของน้องแก้มซึ่งมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างจนตาหยี เรียกเสียงหัวเราะอย่างขบขันปนเอ็นดูจากพี่ธันว์และน้องส้ม ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเอื้อมมือไปยีศีรษะทุย ๆ ที่ปกคลุมด้วยเส้นผมหยักศกสีน้ำตาลอมแดงของน้องแก้มด้วยความเอ็นดูปนหมั่นไส้

. “ช่างพูดนักนะเรา”

น้องแก้มอมยิ้มแก้มตุ่ยกับคำสัพยอกของพี่ธันว์ โดยไม่ปัดมือที่กำลังยีหัวเธอแม้แต่น้อย จนกระทั่งเด็กหนุ่มละมือออกไปเอง หากวินาทีถัดมาทุกคนก็ต้องหันไปมองหน้าประตูร้านเมื่อได้ยินเสียงร้องทัก

“อ้าว! ธันว์ จะมากินไอติม ทำไมไม่ไปชวนกันบ้างเลย”

น้องส้มเมินหน้าทันทีที่เห็นว่าเป็นใคร ในขณะที่ธันว์ทักตอบโดยไม่ทันสังเกต

“เราไปแล้ว แต่ป้านงค์บอกว่าจินหลับอยู่”

จินชะงักนิดหนึ่งเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นว่านอกจากธันว์และน้องแก้มแล้ว ยังมีใครอีกคน หากครู่เดียวเด็กหนุ่มก็ก้าวไปหาเพื่อนแล้วบอก

“นั่งด้วยสิ”

คำบอกนั้นทำให้ธันว์ต้องมองไปที่โต๊ะอื่นเพื่อจะหาเก้าอี้ว่าง เพราะโต๊ะที่เขานั่งไม่มีเก้าอี้เหลือแล้ว หากยังไม่ทันขยับตัว น้องส้มก็ชิงพูด

“ส้มไปก่อนนะคะพี่ธันว์”

พูดจบ น้องส้มก็หันไปบอกกับน้องแก้มต่อ

“พี่ไปก่อนนะน้องแก้ม”

ในขณะที่พี่ธันว์มัวแต่งง น้องส้มก็เดินออกไปจากร้านแล้ว โดยมีพี่จินมองตามด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“ดูสิธันว์ ยายนั่นไม่ยอมทักเราเลย”

จินตเมธหันไปบ่นกับเพื่อนรัก ก่อนหันไปมองน้องแก้มเมื่อได้ยินเสียงแจ๋ว ๆ

“นั่งสิค๊าพี่จิน เก้าอี้ว่างแล้วค๊า”

พี่จินมองน้องแก้มที่กำลังตบแปะ ๆ ลงบนเก้าอี้ว่างข้างตัวพร้อมกับส่งยิ้มกว้างจนตาหยีมาให้ อารมณ์ขุ่นมัวก็ค่อยดีขึ้นมาบ้าง แต่กระนั้นเสี้ยวหนึ่งของความคิด เด็กหนุ่มก็อดนึกถึงเด็กหญิงอีกคนไม่ได้

ถ้ายายบ้านั่นน่ารักได้สักครึ่งของน้องแก้มก็ดีสิ

จินตเมธส่ายหัวกับตัวเอง ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ตามเสียงร้องเรียกของเด็กหญิงตัวน้อย



บทที่ 2


เพราะวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก เช้านี้น้องแก้มจึงตื่นได้เองโดยไม่ต้องให้ใครปลุกด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ไปโรงเรียน หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยเด็กหญิงก็วิ่งไปกระโดดโลดเต้นอยู่แถวหน้าประตูรั้วเพื่อรอรถโรงเรียนมารับ โดยมี นารี พี่เลี้ยงสาววัย 21 ปีคอยยืนดูแลอยู่ไม่ห่าง

ภาพเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังกระโดดเหย็ง ๆ อยู่หน้าประตูรั้วเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคุณณัชชาที่กำลังเดินจูงมือลูกสาวผ่านมา จนทำให้อดทักไม่ได้

“ไงจ๊ะน้องแก้ม รอรถโรงเรียนมารับเหรอลูก”

“หวัดดีค๊าคุณน้าณัช”

น้องแก้มยกมือป้อม ๆ ขึ้นไหว้คุณณัชชาพร้อมกับยิ้มแป้น ก่อนเผื่อแผ่รอยยิ้มไปให้พี่ส้มอีกคนพร้อมกับตั้งคำถาม

“พี่ส้มจะไปโรงเรียนแล้วเหรอค๊า”

พี่ส้มส่งยิ้มกลับไปให้ก่อนตอบเสียงใส

“จ๊า”

“งั้นไปกะน้องแก้มสิค๊า เดี๋ยวรถก็มาแล้วค่า”

คำบอกซื่อ ๆ นั้นเรียกเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูจากคุณณัชชา ก่อนเจ้าตัวจะบอกด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ

“พี่ส้มไปกับน้องแก้มไม่ได้หรอกค่ะ เพราะพี่ส้มไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกับน้องแก้มนี่คะ”

น้องแก้มทำตาปริบ ๆ ก่อนหันไปทางพี่เลี้ยงเมื่ออีกฝ่ายขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วบอก

“โน่น...รถมารับแล้วค่ะน้องแก้ม”

เมื่อน้องแก้มหันไปมองตามที่พี่เลี้ยงชี้บอก เด็กหญิงก็เห็นรถตู้ของโรงเรียนกำลังแล่นเข้ามาพอดี

“บ๋าย บายค่ะคุณน้าณัช บ๋าย บายค่ะพี่ส้ม”

น้องแก้มโบกมือป้อม ๆ ให้สองแม่ลูก ก่อนก้าวขึ้นไปบนรถตู้ที่มาจอดรับ โดยมีน้องส้มโบกมือตอบ ก่อนรถตู้จะแล่นจากไป

“นารี แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ของน้องแก้มล่ะ ออกไปทำงานกันแล้วเหรอ”

คล้องหลังรถตู้ที่แล่นจากไป คุณณัชชาก็หันไปถามพี่เลี้ยงของน้องแก้ม

“ค่ะ พวกคุณ ๆ ออกไปตั้งแต่น้องแก้มยังแต่งตัวไม่เสร็จเลยค่ะ”

คำบอกนั้น ส่งผลให้คุณณัชชาอึ้งไปนิดหนึ่งด้วยนึกเวทนาน้องแก้ม เพราะพอรู้มาบ้างว่า ทั้งบิดาและมารดาของเด็กหญิงซึ่งก็คือ คุณจิตติและคุณเพ็ญพิสุทธิ์ ต่างไม่ค่อยมีเวลาให้กับลูกสาวตัวน้อยมากนัก ด้วยทั้งคู่อยู่ในช่วงสร้างครอบครัว ทำให้ต่างก็เอาเวลาไปทุ่มเทให้กับภารกิจหน้าที่ของตนเองเป็นหลัก

ในขณะที่คุณเพ็ญพิสุทธิ์ มารดาของเด็กหญิง เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายขายมือทองของบริษัทประกันชีวิตระดับชั้นแนวหน้าของประเทศ คุณจิตติ บิดาของเด็กหญิงจิตพิสุทธิ์ ก็ทุ่มเทเวลาแทบทั้งหมดไปกับการทำงานในบริษัทที่ปรึกษาด้านการเงิน ซึ่งตัวเองเป็นหนึ่งในทีมงานที่ก่อตั้งขึ้นมา โดยยกหน้าที่ดูแลลูกสาวตัวน้อยให้ตกอยู่ในมือของพี่เลี้ยงที่จ้างมา ซึ่งนับเป็นโชคดีของทั้งคู่ที่เด็กหญิงจิตพิสุทธิ์ เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ไม่เคยโยเย หรือออกอาการเรียกร้องใด ๆ ทั้งสิ้น

“แล้วเย็นนี้ พวกคุณ ๆ ของนารีจะกลับมาทานข้าวเย็นกับน้องแก้มหรือเปล่า”

“คงกลับมาไม่ทันอีกตามเคยค่ะ เดี๋ยวนี้กว่าพวกคุณ ๆ จะกลับมา น้องแก้มก็เข้านอนเรียบร้อยแล้วค่ะ”

คำตอบที่ได้จากพี่เลี้ยงของน้องแก้ม สร้างความสะท้อนสะท้านในหัวอกของคุณณัชชา ยิ่งเมื่อมองลูกสาวตนเอง ความเป็นแม่คนทำให้อดนึกเวทนาน้องแก้มไม่ได้ เมื่อนึกเปรียบเทียบลูกสาวของตนที่ถึงแม้จะกำพร้าพ่อ หากก็ได้รับทั้งเวลาและความเอาใจใส่จากเธอไม่เคยขาด เพราะอาชีพนักเขียนและนักแปลอิสระทำให้เธอสามารถทำงานอยู่กับบ้านได้ และยังสามารถทำหน้าที่ของแม่ได้อย่างไม่บกพร่อง ในขณะที่น้องแก้ม ถึงแม้มีบิดามารดาอยู่กันอย่างพร้อมหน้า หากสิ่งที่ได้รับแทบไม่ต่างจากการไม่มี

ด้วยความเอ็นดูต่อเด็กหญิงตัวน้อย ซึ่งถือเป็นเพื่อนเล่นคนสำคัญของลูกสาว ทำให้คุณณัชชาตัดสินใจ

“ส้ม ลูกจะว่าอะไรไหม ถ้าแม่จะให้น้องแก้มมาทานข้าวเย็นที่บ้านของเรา”

น้องส้มแทบไม่ต้องหยุดคิดด้วยซ้ำ ยามให้คำตอบผู้เป็นแม่ด้วยสีหน้าแววตาสดใส

“ไม่ว่าค่ะ ดีออก ส้มจะได้มีน้องแก้มมาทานข้าวเป็นเพื่อน”

คุณณัชชายิ้มอย่างพอใจกับคำตอบของลูกสาว ก่อนหันไปบอกพี่เลี้ยงของน้องแก้ม

“ถ้าอย่างนั้น หากน้องแก้มกลับมาจากโรงเรียนแล้ว นารีก็พาน้องแก้มไปที่บ้านของพี่นะ”

“จะดีเหรอคะคุณณัช”

นารีออกปากถาม เพราะถึงพอจะคุ้นเคยและสนิทสนมกับอีกฝ่าย แต่ก็ยังอดเกรงใจไม่ได้

“ดีสิ น้องแก้มจะได้ไม่เหงา น้องส้มก็จะได้มีเพื่อนทานข้าว นารีเองก็จะได้ไม่ต้องมานั่งจับเจ่าอยู่แต่ในบ้าน”

ฟังแล้ว นารีก็เริ่มคล้อยตาม ดังนั้นหญิงสาวจึงให้คำตอบที่ทำให้คุณณัชชายิ้มออกมาอย่างยินดี


เย็นของวันนั้น น้องแก้มจึงเข้ามานั่งทานอาหารในบ้านของคุณณัชชา ท่ามกลางสีหน้าแววตาสดใสของเด็กหญิงทั้งสอง ซึ่งก็คือน้องแก้มและน้องส้ม

“กับข้าวฝีมือน้าณัชเป็นยังไงบ้างจ๊ะน้องแก้ม”

“อร่อยค่ะ คุณน้าณัชทำกับข้าวอร๊อย...อร่อย”

คำตอบของเด็กหญิง เรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากคุณณัชชา ในขณะที่นารี ซึ่งได้รับอนุญาตให้ร่วมโต๊ะด้วย เพียงแต่ยิ้ม ๆ กับความช่างพูดของน้องแก้ม

“ช่างพูดนักนะเรา...” คุณณัชชาสัพยอกอย่างเอ็นดู ก่อนคะยั้นคะยอ “ถ้าอร่อย...น้องแก้มก็ทานเยอะ ๆ นะจ๊ะ”

“ค๊า”

น้องแก้มขานรับอย่างว่าง่าย ก่อนหันไปทำตาโตกับคำบอกของพี่ส้ม

“เดี๋ยวทานข้าวเสร็จแล้ว เราไปชวนพี่ธันว์กินไอติมกันดีไหม”

“ดีค๊า”

คำขานรับที่มาพร้อมอาการพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่ายของน้องแก้ม เรียกเสียงหัวเราะอย่างพอใจปนเอ็นดูจากพี่ส้ม ก่อนเจ้าตัวจะหันไปขออนุญาตมารดา

“ส้มขอไปทานไอติมกับพี่ธันว์และน้องส้มนะคะ”

“ได้สิจ๊ะ แต่รออีกสักพักเถอะ เผื่อพี่ธันว์ยังไม่กลับมาจากโรงเรียน”

“ค่ะ”

น้องส้มตอบรับ หลังจากจบมื้ออาหารนั้น เด็กสาวก็ช่วยมารดาลำเลียงจานอาหารที่ทานเสร็จไปไว้ในห้องครัว โดยมีนารีและน้องแก้มช่วยเป็นลูกมือ


เมื่อน้องส้มพาน้องแก้มไปบ้านของพี่ธันว์ เพื่อจะชวนเด็กหนุ่มออกไปทานไอศกรีมอย่างที่ตั้งใจ เด็กหญิงก็ต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อคนในบ้านของธันวาบอกว่าเขายังไม่กลับมาจากโรงเรียน

ในขณะที่ยังคงยืนรีรอบริเวณหน้าประตูรั้วบ้านธันวา น้องส้มและน้องแก้มก็ได้เจอกับพี่จิน ซึ่งอีกฝ่ายก็ตั้งใจมาหาเพื่อนเช่นกัน

“มาทำอะไรที่นี่”

เมื่อเห็นพี่ส้มไม่ยอมตอบ น้องแก้มจึงตอบแทน

“น้องแก้มกับพี่ส้มจะมาชวนพี่ธันว์ไปทานไอติมค่ะ แต่พี่ธันว์ยังอยู่โรงเรียน”

พี่จินยิ้มกับคำตอบของน้องแก้ม แล้วจึงออกปากชวน

“ถ้าอย่างนั้นน้องแก้มไปทานไอติมกับพี่จินแทน ดีไหมครับ”

“ดีค๊า”

น้องแก้มตอบเสียงใส ก่อนหันไปดึงมือพี่ส้มแล้วชักชวน

“เราไปทานไอติมกับพี่จินกันนะคะพี่ส้ม”

น้องส้มเม้มปากพลางปรายตามองพี่จินที่เพียงแต่ยืนมองมาเฉย ๆ โดยไม่พูดอะไร อารมณ์น้อยใจที่ไม่ได้ยินคำออกปากชวน ทำให้น้องส้มปฏิเสธ

“ไม่ล่ะ พี่จะกลับบ้าน”

น้องแก้มหน้าเสียเมื่อพี่ส้มแกะมือตัวเองออกแล้วทำท่าจะเดินจากไป เจ้าตัวเบะหน้าก่อนปล่อยโฮ

“ฮือ ๆๆๆๆ”

ทั้งพี่จินและน้องส้มต่างชะงักเมื่อจู่ ๆ น้องแก้มก็ร้องไห้ หากเพียงครู่เดียวน้องส้มก็รีบปราดไปคุกเข่าตรงหน้าน้องแก้ม แล้วคว้าร่างเล็ก ๆ มาสวมกอดพลางปลอบประโลม

“โอ๋ ๆๆๆๆ ร้องไห้ทำไมคะคนเก่ง”

“นะ...น้องแก้มเสียใจ นะ...น้อง กะ...แก้มอยากให้พี่ส้มไปด้วย”

คำบอกติดสะอื้นของน้องตัวเล็กส่งผลให้พี่ส้มอึ้ง เจ้าตัวเบือนหน้าไปมองพี่จินแล้วก็ต้องเม้มปากอย่างขัดใจ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองตอบกลับมาด้วยสีหน้าแววตาเรียบเฉย

ไม่คิดจะชวนเธอสักคำเลยเหรอ

น้องส้มได้แต่คิดอย่างน้อยใจ หากเมื่อหันกลับมาเจอดวงตาแป๋วแหววที่ยังคงมีคราบน้ำเกาะติดบนแพขนตาของน้องแก้ม น้องส้มก็ไม่อาจทนแข็งใจ

“ก็ได้ พี่ส้มไปด้วยก็ได้”

สิ้นสุดคำบอกนั้น น้องแก้มก็ส่งเสียงร้องเย้ออกมาอย่างดีอกดีใจ พลางทำท่ากระโดดโลดเต้นอย่างน่าขันจนน้องส้มต้องยิ้มขำอย่างอดไม่อยู่ ก่อนรอยยิ้มจะจางลงกับคำพูดที่ได้ยิน

“ไปครับน้องแก้ม เราไปทานไอติมกันดีกว่า”

ในขณะที่พี่จินยื่นมือออกมากุมมือน้องแก้มพลางดึงให้เดินตาม มืออีกข้างของน้องแก้มก็เกาะเกี่ยวพี่ส้มเอาไว้ ดังนั้นเมื่อน้องแก้มเดินตามแรงดึงของพี่จิน ก็เท่ากับดึงเอาน้องส้มให้ก้าวตามไปด้วย หากขณะก้าวตามกันไปเรื่อย ๆ โดยมีจุดหมายคือร้านไอศกรีมที่อยู่หน้าปากซอยของหมู่บ้าน ความน้อยอกน้อยใจก็ยังตามติดเป็นเงาของน้องส้ม


“น้องแก้มจะทานอะไรครับ”

เมื่อพากันเข้ามานั่งในร้านไอศกรีม พี่จินก็ตั้งคำถามกับน้องแก้ม ซึ่งก็ได้รับการสนองตอบอย่างรวดเร็วจากเด็กหญิงตัวน้อย

“น้องแก้มขอสตอร์วเบอรี่ซันเดย์ค๊า”

พี่จินยิ้มรับพลางพยักหน้า ก่อนตีหน้าเฉยเมื่อหันไปตั้งคำถามกับเด็กหญิงอีกคน

“น้องส้มล่ะ”

“ส้มไม่ทาน”

ในขณะที่พี่จินชะงักเมื่อเจอกับคำตอบห้วน ๆ น้องแก้มก็แทรกขึ้นด้วยการตั้งคำถาม

“ทำไมพี่ส้มไม่ทานล่ะค๊า”

น้องส้มเริ่มรู้สึกอึดอัดเมื่อถูกน้องแก้มตั้งคำถามเอาพร้อมกับจ้องมองด้วยดวงตาแป๋วแหวว ยิ่งเมื่อพี่จินยังคงจับจ้องมานิ่ง ๆ เด็กสาวก็เริ่มทำตัวไม่ถูก จนตัดสินใจหลบตามองโต๊ะพลางอุบอิบบอก

“พี่ยังไม่หิว”

คำบอกที่น่าจะเอ่ยกับเด็กหญิงอีกคนมากกว่า ส่งผลให้จินทำหน้าบึ้ง

“ไอติมไม่ใช่ข้าว ไม่จำเป็นจะต้องทานเวลาหิว”

น้องส้มทำหน้าคว่ำเมื่อพี่จินสวนกลับเสียงขุ่น เจ้าตัวเม้มปากทำตาวาวอยู่เป็นครู่ ก่อนผุดลุกขึ้นขึ้นยืนพร้อมกับประกาศเสียงแข็ง

“ส้มจะกลับ!”

“เชิญ!”

พี่จินก็สวนกลับเสียงแข็งไม่แพ้กัน ขณะจ้องตอบน้องส้มอย่างไม่ยอมแพ้ หากทั้งคู่ก็ต้องหันไปมองน้องแก้มเมื่อได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของเด็กหญิง

“พะ...พี่จินกับพี่สะ...ส้ม ทะเลาะกันทำไมค๊า”

น้องส้มหน้าเสีย ยังไม่ทันขยับปาก พี่จินก็ชิงตัดหน้า

“พี่กับพี่ส้มไม่ได้ทะเลาะกันครับ”

“ถ้างั้น พี่ส้มจะกลับทำไมล่ะค๊า ทำไมถึงไม่ทานไอติมกับน้องแก้ม”

คำถามซื่อ ๆ ของน้องตัวเล็ก ส่งผลให้น้องส้มยืนอึ้งตอบไม่ถูก จนพี่จินต้องชิงตอบเสียเองหลังลอบปรายตามอง ‘คนเจ้าปัญหา’ ในความคิดของเขา

“ไม่ใช่นะครับ พี่ส้มไม่ได้จะกลับ พี่ส้มเขาแค่จะไปห้องน้ำตรงนี้เท่านั้นเอง”

คนที่ถูกระบุว่าจะไปห้องน้ำนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ หากต้องรีบเปลี่ยนสายตามามองน้องแก้มแทนเมื่อได้ยินคำถาม

“พี่ส้มจะไปห้องน้ำจริง ๆ นะค๊า ไม่ได้จะกลับบ้านนะค๊า”

เจอกับแววตาไร้เดียงสาของน้องแก้มที่มองมาอย่างมีความหวัง น้องส้มก็ใจอ่อนยวบ ไม่กล้าทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย จนต้องเออออห่อหมก

“ค่ะ พี่แค่จะไปห้องน้ำ”

“งั้นแก้มไปด้วย”

พูดจบร่างป้อมก็ทิ้งตัวผลุงจากเก้าอี้เข้ามาฉวยมือของพี่สาวตัวโต แล้วยึดเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนี

“ไปค่า...เราไปห้องน้ำกัน แล้วเดี๋ยวค่อยมาทานไอติม”

เจอกับการรบเร้าเสียงแจ๋วของน้องแก้ม น้องส้มก็ทั้งอ่อนใจและใจอ่อนจนต้องเดินตามแรงดึงของเด็กหญิงตรงไปทางที่มุ่งสู่ห้องน้ำภายในร้านอย่างว่าง่าย ท่ามกลางสายตาที่ทอดมองตามของพี่จิน

ราวสิบห้านาที เมื่อเด็กหญิงทั้งสองออกมาจากห้องน้ำแล้วเดินกลับมาที่โต๊ะ ทั้งคู่ก็เห็นว่าไม่ได้มีแค่พี่จินเท่านั้น แต่ยังมีพี่ธันว์ นั่งอยู่ด้วยอีกคน

“พี่ธันว์กลับจากโรงเรียนแล้วเหรอคะ แล้วมาตั้งแต่เมื่อไร”

น้องส้มทักทายอย่างเริงร่าเมื่อเดินเข้ามานั่งประจำที่ โดยไม่เห็นถึงอาการนิ่วหน้าของใครอีกคน

“พี่เพิ่งมาถึงเมื่อกี้เอง กลับถึงบ้านปุ๊บก็มีคนบอกว่าน้องส้มไปหาพี่ที่บ้าน มีอะไรจะให้พี่ช่วยหรือเปล่า หรือว่ามีการบ้านที่อยากให้ช่วยทำ”

ธันวาคาดคะเนตามประสาคนที่ถูกขอให้ช่วยเรื่องการบ้านและเรื่องอื่น ๆ จากน้องส้มเป็นประจำ

“เปล่าค่ะ วันนี้ส้มไม่มีการบ้าน แต่ที่ไปก็เพราะจะชวนพี่ธันว์มาทานไอติมด้วยกัน”

พี่ธันว์เพียงแต่ยิ้มกับคำบอกนั้น ก่อนเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างอย่างเอ็นดูเมื่อหันไปเจอน้องแก้มที่กำลังตั้งอกตั้งใจกับการตักไอศกรีมเข้าปาก

“โอ้โห! ไอติมของน้องแก้มน่าทานจัง แบ่งให้พี่ธันว์บ้างได้ไหมครับ”

น้องแก้มยิ้มจนตาหยี ก่อนใช้ช้อนตักไอศกรีมของตัวเองขึ้นมา แล้วนำไปยื่นให้ตรงหน้าพี่ธันว์พลางบอกเสียงใส

“ได้สิค๊า”

ทั้งพี่จิน พี่ธันว์และน้องส้มต่างยิ้มกว้างให้กับท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของน้องแก้ม ก่อนที่ธันวาจะอ้าปากรับช้อนไอศกรีมในมือของเด็กน้อย

“อร่อยไหมค๊า”

“อร่อยครับ อร่อยมาก ๆ”

พี่ธันว์ตอบรับเมื่อถูกน้องแก้มตั้งคำถามทันทีที่ป้อนไอศกรีมใส่ปาก เด็กหนุ่มหันไปมองน้องส้มเมื่อได้ยินคำถาม

“พี่ธันว์สั่งไอติมหรือยังคะ”

“ยังเลย กะว่าวันนี้จะลองเปลี่ยนเมนูสักหน่อย”

“ถ้าอย่างนั้น สั่งให้ส้มด้วยสิคะ”

“อ้าว! ส้มก็ยังไม่ได้สั่งไอติมเหรอ”

“ค่ะ”

พี่จินเริ่มรู้สึกไม่ชอบใจเมื่อเห็นน้องส้มผูกขาดการสนทนากับเพื่อนรัก ความหงุดหงิดรำไรนับแต่เห็นน้องส้มทำหน้าตาสดใสทันทีที่เห็นธันวา ค่อย ๆ ทวีขึ้นจนเกือบยิ้มไม่ออกเมื่อน้องแก้มละความสนใจจากไอศกรีมในถ้วยของตนเอง แล้วหันมาตั้งคำถามกับเขา

“แล้วไอติมของพี่จินล่ะค๊า”

“เอ่อ...พี่ยังไม่ได้สั่งครับ”

“แล้วทำไมไม่สั่งล่ะค๊า”

คำถามของคนช่างสงสัยที่เอียงคอไปข้างหนึ่งพร้อมกับทำหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ทำให้อารมณ์ของพี่จินดีขึ้นเล็กน้อยจนสามารถยิ้มออก

“น้องแก้มช่วยสั่งไอติมให้พี่จินได้ไหมครับ”

“ได้ค่า”

น้องแก้มขานรับอย่างว่าง่าย ก่อนหันไปถามพี่ส้มและพี่ธันว์

“พี่ส้มค๊า พี่ธันว์ค๊า ให้น้องแก้มสั่งไอติมให้ไหมค๊า”

ฝ่ายถูกถามต่างหันมามองหน้ากันพลางอมยิ้มอย่างนึกขันกับความน่ารักของเด็กน้อย

“ได้ครับ”

พี่ธันว์ตอบรับยิ้ม ๆ โดยมีน้องส้มขานรับตาม

“สั่งให้พี่ส้มด้วยนะ”

ไม่มีใครทันเห็นอาการชะงักไปนิดของพี่จินหลังจากน้องส้มพูดจบ เพราะหลังจากนั้นน้องส้มก็หันไปตั้งหน้าตั้งตาชวนพี่ธันว์คุย ในขณะที่น้องแก้มก็เอาแต่ทานไอศกรีมของตัวเองอย่างเอร็ดอร่อยหลังจากเปิดเมนูแล้วสั่งไอศกรีมกับพนักงานของร้านไปแล้ว

เฮ๊อะ! พอเห็นหน้านายธันว์ก็นึกอยากกินไอติมขึ้นมาเชียวนะ

นั่นคือเสียงเยาะเย้ยที่ดังขึ้นในใจของจินตเมธ ขณะลอบมองน้องส้มที่กำลังพูดคุยกับธันวาด้วยสีหน้าแววตาสดใส ซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับเวลาที่อยู่กับเขา

และ...ยังคงเป็นเช่นนั้นตลอดมา



บทที่ 3


เวลาที่ล่วงผ่าน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เผลอเดี๋ยวเดี๋ยวเวลาก็ผ่านไป 5 ปี เด็กหญิงณัฐวรา หรือน้องส้มในวันนี้ กลายเป็นสาวน้อยวัย 17 และกำลังจะเป็นนิสิตปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยชื่อดัง

วันนี้น้องส้มกลับมาถึงบ้านเมื่อนาฬิกาบอกเวลา 16.20 น. เพราะวันนี้สาวน้อยขออนุญาตมารดาไปเลี้ยงฉลองกับบรรดาเพื่อน ๆ ที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายมาด้วยกัน หากเมื่อเปิดประตูด้านในบ้านเข้าไป สาวน้อยก็พบว่าในห้องโถงของตัวบ้าน นอกจากคุณณัชชา ผู้เป็นมารดาแล้ว ยังมีใครอีกคนนั่งรอเธออยู่ด้วย

“พี่ธันว์เขาจะมาพาเราไปเลี้ยงฉลองน่ะ”

คำบอกของมารดา หลังจากเธอยกมือไหว้ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำทุกครั้งก่อนออกจากบ้านและกลับเข้ามาในบ้าน ส่งผลให้ดวงตาคู่สวยของน้องส้มเป็นประกายอย่างยินดี ก่อนหันไปมองคนที่มานั่งรอเธอด้วยสีหน้าแววตาสดใส

“พี่จะมาเลี้ยงฉลองให้ตามสัญญาครับ”

คำบอกของพี่ธันว์ ซึ่งในวันนี้เติบโตเป็นชายหนุ่มวัย 20 และใกล้จะเรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ส่งผลให้น้องส้มน้ำตารื้นด้วยความซาบซึ้งใจที่เขายังไม่ลืมสัญญาที่เคยรับปากว่าจะพาเธอไปเลี้ยงฉลองถ้าเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้

จากวันที่สัญญา กระทั่งมาถึงวันนี้ แม้เวลาจะผ่านไปเป็นปี แต่พี่ธันว์ของเธอก็ยังไม่ลืมสัญญา

“แล้วพี่ธันว์จะเลี้ยงอะไรส้มคะ”

เด็กสาวตั้งคำถามขณะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟายาวตัวเดียวกับมารดา ซึ่งอีกฝั่งหนึ่งก็คือโซฟาตัวเดี่ยวที่มีธันวาครอบครองอยู่

“งกจริง ๆ นะเรา” ธันวาสัพยอกกลับอย่างเอ็นดูปนด้วยความหมั่นไส้ ก่อนเฉลย “พี่ตั้งใจว่าจะพาเราไปหาอะไรอร่อย ๆ กิน แล้วก็ไปดูหนังด้วยกันสักเรื่อง”

“ว๊า...แค่นี้เองเหรอคะ”

น้ำเสียงและสีหน้า ที่เหมือนผิดหวังเต็มประดา ทำให้ธันวาอดใจไม่ได้จนต้องเอื้อมมือไปเคาะหน้าผากเด็กสาวทีหนึ่งเหมือนอย่างที่เคยทำเวลารู้สึกเข่นเขี้ยว

“อย่างกให้มากนักเลย วันนี้พี่พาเราไปได้แค่นี้ล่ะ เพราะจำได้ว่าเคยให้สัญญาเอาไว้ แต่ถ้าเราอยากจะได้มากกว่านี้ คงต้องรอไว้ทีหลัง เพราะช่วงนี้พี่กำลังยุ่งเรื่องเรียน”

“ถ้าอย่างนั้นเอาไว้วันหลังก็ได้ค่ะ”

คำบอกของสาวน้อยหน้าใส เรียกรอยยิ้มจากธันวาได้นิดหนึ่ง ก่อนเจ้าตัวจะบอกกลับด้วยน้ำเสียงทอดอ่อน

“ไม่เป็นไร พี่ให้สัญญากับเราเอาไว้ พี่ก็ต้องทำตามสัญญาสิ”

“แต่...”

“อะไร...มาทำเกรงใจกันแบบนี้ ไม่เหมือนน้องส้มคนเดิมเลยนะนี่”

คำสัพยอกยิ้ม ๆ นั้น เรียกรอยยิ้มจากน้องส้ม ก่อนที่เด็กสาวจะหันไปเอ่ยกับมารดา

“ขอส้มไปกับพี่ธันว์นะคะแม่”

“จ๊ะ แล้วอย่าพากันกลับดึกนักล่ะ”

คุณณัชชาออกปากยิ้ม ๆ ไม่นึกกังวลแม้แต่น้อยกับการจะพากันไปไหนตามลำพังของลูกสาวกับชายหนุ่มที่เธอเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย ด้วยความเชื่อมั่นและเชื่อใจว่าทั้งคู่จะไม่ก่อเรื่องที่ทำให้เธอต้องผิดหวัง

“ครับ ออกจากโรงหนังแล้ว ผมจะรีบพาน้องกลับมาส่งบ้าน ไม่ไปเถลไถลที่ไหนต่อแน่นอนครับ”

คำรับรองอย่างแข็งขันนั้นเรียกรอยยิ้มได้จากสองแม่ลูก

“ถ้าอย่างนั้น ส้มขอเวลาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊ปนึงนะคะ แล้วจะรีบลงมา”

โดยไม่รอให้ใครพูดอะไร สาวน้อยวัย 17 ก็ลุกจากที่นั่งแล้วเดินกึ่งวิ่งตรงไปยังบันไดที่ทอดสู่ชั้นบน ท่ามกลางสายตาสองคู่ที่ทอดมองตาม


“เอ๊ะ! นั่นนายจินนี่นา”

คำบอกของธันวา ซึ่งกำลังทำหน้าที่ขับรถโดยมีเธอนั่งอยู่เคียงข้าง ดึงให้สาวน้อยเผลอมองตามทิศทางที่เขาทอดมอง ซึ่งเป็นอีกฝั่งหนึ่งของถนน จึงเห็นว่ามีชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งกำลังเดินทอดน่องไปเรื่อย ๆ ตามเส้นทางที่ทอดสู่ปากทางออกของหมู่บ้าน

“เฮ้! จิน!”

จินตเมธชะงักฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกอันคุ้นเคย เขาหันไปมองตามทิศทางของเสียง แล้วจึงได้เห็นว่าธันวากำลังยืนอยู่ข้าง ๆ รถยนต์พลางโบกไม้โบกมือเรียก ชายหนุ่มยิ้มนิด ๆ ก่อนเดินข้ามฝั่งไปหา

“ไปด้วยกันไหม เราจะพาน้องส้มไปเลี้ยงฉลองที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้”

คำบอกของเพื่อนขณะที่เขาเดินมาถึง ส่งผลให้จินตเมธชะงักไปนิด ก่อนมองปราดเข้าไปในรถยนต์ตรงที่นั่งข้างคนขับ แล้วจึงเห็นว่ามีใครอีกคนนั่งคอแข็งอยู่

อารมณ์หมั่นไส้กับท่าทางของคู่ปรับ ทำให้อดไม่ได้ต้องเอ่ยเยาะ ๆ ออกไป

“แค่สอบเข้าได้ ก็ต้องพาไปฉลองด้วยเหรอ”

แน่นอนว่าเสียงที่เปล่งออกไปไม่ใช่เบา เพราะเขาจงใจให้เป็นเช่นนั้น ซึ่งมันก็ทำให้ได้ผลตามที่ต้องการ เพราะคนที่นั่งหน้าบึ้งคอแข็งหันขวับมามองเขาทันที แม้เห็นสีหน้าไม่ชัด หากจินตเมธเชื่อว่าอีกฝ่ายคงกำลังมองเขาด้วยสีหน้าแววตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อแน่นอน

“พี่ธันว์ ส้มอยากไปกับพี่ธันว์แค่สองคน ไม่อยากให้มีคนนอกมาวุ่นวาย”

คำโต้กลับของสาวน้อยที่ลอยผ่านหน้าต่างรถมาเข้าหู ทำให้จินตเมธต้องกำหมัดแน่นเพื่อระงับความโมโห อารมณ์อยากตีรวนและเอาชนะทำให้โพล่งคำพูดออกไป

“เราจะไปด้วย”

ธันวาซ่อนความหนักใจเอาไว้ขณะมองหน้าเพื่อนรักสลับกับคนที่ยังคงนั่งคอแข็งอยู่ภายในรถ ก่อนตัดสินใจ

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปขึ้นรถ”

น้องส้มยิ่งตีหน้าบึ้ง เมื่อรู้ว่าคนที่เธอไม่ชอบหน้าจะร่วมคณะไปด้วย อารมณ์พาลทำให้หันไปกระเง้ากระงอดคนที่กำลังจะสตาร์ทรถ

“พี่ธันว์ ส้มอยากไปกับพี่ธันว์แค่สองคนนะ”

“น้องส้ม! ทำแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ”

คำเอ็ดของคนที่เธอทั้งรักและนับถือ ส่งผลให้เด็กสาวสะอึกอึ้ง ความน้อยใจส่งผลให้น้ำใสรื้นขึ้นกบตาจนต้องเบือนหน้าหนี เพราะไม่อยากให้ใครเห็น

“ถ้าเขาไม่อยากให้เราไป งั้นเราไม่ไปก็ได้”

คำบอกของคนที่เพิ่งจะขึ้นมานั่งบนเบาะตอนหลัง ทำให้คนที่เป็นสารถีต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนออกปาก

“ไปเถอะ น้องส้มเขาแค่ล้อเล่น ไม่ได้จริงจังหรอก...ใช่ไหมน้องส้ม”
คำถามตอนท้ายที่หันมาเจาะจงเอากับเธอ ทำให้น้องส้มจำต้องพยักหน้ารับอย่างจำใจ เพราะกลัวจะทำให้พี่ธันว์ไม่พอใจเธออีก หากนาทีต่อมาเด็กสาวก็ต้องหันขวับไปมองคนข้างหลังพลางแผดเผาอีกฝ่ายด้วยดวงตาลุกเรืองราวกับมีเปลวไฟสุม หลังจากได้ยินคำพูดบาดใจที่อีกฝ่ายโน้มตัวเข้ามากระซิบกับเธอ

“ยังไม่ทันเป็นสาวเต็มตัว แต่ร้องปาว ๆ ว่าอยากจะไปตามลำพังกับผู้ชาย ไม่รู้จักอายบ้างเหรอเราน่ะ”

เกลียด! เธอเกลียดพี่จินที่สุด!

เด็กสาวกรีดร้องกับตัวเอง ความโกรธเคืองและคับแค้นใจพากันกลั่นตัวออกมาเป็นน้ำอุ่นรอบขอบตา แม้อยากโต้ตอบอย่างเผ็ดร้อน หากสิ่งที่ทำได้มีเพียงการสะบัดหน้ากลับแล้วซ่อนสีหน้าเอาไว้ภายใต้ท่าทีมองทิวทัศน์ข้างทาง

จินตเมธอึ้งไปนิดหนึ่งเมื่อเห็นละอองน้ำใสในดวงตาของคู่ปรับ ความรู้สึกผิดพลันบังเกิดจนเกือบจะเปล่งคำขอโทษ หากเมื่อเด็กสาวสะบัดหน้าหนี ก็ราวกับกระชากอารมณ์อ่อนไหวเมื่อครู่ให้จางหายไปด้วย

ฮึ! ไม่เห็นต้องขอโทษ ก็ยายเด็กบ้าทำตัวน่าเกลียดจริง ๆ นี่ เป็นสาวเป็นนางแต่ชอบทำตัวติดกับผู้ชาย อย่างนี้มันน่าจับมาตีก้นซะให้เข็ด แค่พูดตักเตือนมันยังน้อยไปด้วยซ้ำ!

จินตเมธบอกกับตัวเองอย่างฉุนเฉียว ก่อนยกมือขึ้นมากอดอก แล้วทำเป็นให้ความสนใจกับทิวทัศน์ข้างทาง ไม่ต่างจากเด็กสาวที่นั่งอยู่ทางตอนหน้า


บรรยากาศอึมครึมในร้านอาหาร ที่ตั้งอยู่ชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นชั้นเดียวกันกับโรงภาพยนตร์ ทำให้ธันวาต้องลอบถอนหายใจกับตัวเองด้วยความเซ็งนิด ๆ

เฮ้อ! คิดผิดไปจริง ๆ ที่ชวนนายจินมันมาด้วย

ถึงตอนนี้ ธันวาเริ่มเสียใจกับความมีน้ำใจของตนเอง ยิ่งมองสีหน้างอง้ำของเด็กสาวเพียงคนเดียวในกลุ่ม เขาก็รู้สึกผิด

ไม่รู้ว่าน้องส้มจะน้อยใจหรือเปล่า ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจฉลองให้ แต่เขากลับชวนนายจินมาด้วย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าทั้งสองคนไม่ค่อยถูกกัน
ความรู้สึกผิดในใจ ทำให้ธันวาหันไปถามไถ่กับสาวน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“น้องส้มจะทานอะไรครับ”

“พี่ธันว์สั่งเถอะค่ะ ส้มทานได้ทั้งนั้น”

คำตอบอย่างเรียบร้อยติดเจียมตัวของเด็กสาว ทำให้ธันวายิ่งไม่สบายใจเพราะรู้ดีว่าท่าทีแบบนี้เป็นเพราะ...น้องกำลังงอน
จินตเมธเอง จากที่รู้สึกเฉย ๆ ก็เริ่มจะหมั่นไส้ขึ้นมาอีก เพราะคิดไปว่าสาวน้อยกำลังทำตัวเรียกร้องความสนใจจากเพื่อนของเขา ชายหนุ่มหยิบเมนูอาหารอีกเล่มที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเปิดพลางบอก

“ถ้าอย่างนั้น ฉันสั่งอาหารเองละกัน”

ในขณะที่ผู้ร่วมโต๊ะอาหารอีกสองคนนั่งอึ้ง จินตเมธก็ทำสัญญาณเรียกพนักงานเข้ามา แล้วจัดการสั่งอาหารโดยไม่คิดจะไถ่ถามใคร

คล้อยหลังบริกรหนุ่ม พี่ธันว์ก็หันไปมองน้องส้มด้วยความสงสาร เพราะรู้ดีว่าสาวน้อยเป็นคนทานอาหารรสเผ็ดไม่ค่อยได้ แต่อาหารที่จินตเมธสั่ง ทุกรายการล้วนแต่รสเผ็ด รสจัดทั้งนั้น

“ข้าวผัดปูของร้านนี้อร่อยดีนะ พี่เคยมาทานกับเพื่อน น้องส้มสนใจจะลองทานไหม”

อีกครั้งที่ความพยายามเอาใจสาวน้อยของธันวา ถูกขัดจากใครอีกคน

“จะสั่งอะไรอีก ที่สั่งไปเมื่อกี้ก็เต็มโต๊ะแล้ว อย่าเรื่องมากนักเลย”

ถึงไม่ระบุชื่อ ณัฐวราก็รู้ว่าคำพูดประโยคหลังของจินตเมธหมายถึงเธอ เด็กสาวเม้มปากแน่นก่อนโต้กลับผ่านทางธันวา

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ธันว์ ส้มทานได้ ไม่อยากเป็นคนเรื่องมากให้คนมากเรื่องคอยหาเรื่องไม่เลิก”

จินตเมธหน้าตึงเมื่อถูกพูดกระทบกลับ หากครู่เดียวเจ้าตัวก็ยิ้มหยันพลางแค่นเสียงบอก

“รู้ตัวก็ดี”

ธันวาอยากยกมือขึ้นกุมขมับ เมื่อเริ่มปวดหัวขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ ชายหนุ่มมองเพื่อนและน้องสาวร่วมโลกที่ต่างฝ่ายต่างหันหน้าหนีไปคนละทาง แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าพลางบอกกับตัวเองอย่างอ่อนใจ

สงสัย อาหารมื้อนี้คงจะอร่อยดีพิลึก

หากเมื่ออาหารถูกทยอยนำมาขึ้นโต๊ะ แล้วต่างคนต่างลงมือทานอาหารไปได้ไม่นาน ธันวาก็นึกสงสารสาวน้อยจับใจ เมื่อเห็นว่าใบหน้าอ่อนเยาว์กลายเป็นสีแดงก่ำจากรสชาติของอาหาร

“อย่าฝืนเลยน้องส้ม สั่งอย่างอื่นมาทานเถอะ”

เมื่ออดรนทนไม่ไหว ธันวาก็ออกปากปรามพลางทำท่าจะเรียกบริกรเข้ามา แต่ถูกน้องส้มยึดมือไว้

“ไม่ต้องค่ะพี่ธันว์ ส้มทานได้”

พูดจบ สาวน้อยก็ปล่อยมือจากธันวา แล้วหันไปยกแก้วน้ำตัวเองขึ้นมาดื่มเพื่อดับความเผ็ดร้อนของต้มยำกุ้งรสจัดตามที่จินตเมธระบุตอนที่สั่ง ปากเล็กบางของสาวน้อยตอนนี้เป็นสีแดงจัดจนคนมองนึกสงสารจับใจ

ความหงุดหงิดปนขุ่นเคืองทำให้ธันวาตวัดสายตามองเพื่อนรักอย่างไม่พอใจ หากต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาขึ้งขุ่นของเพื่อน ที่มองมาราวกับกำลังโกรธ ชายหนุ่มนิ่วหน้าพลางนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายโมโหอะไร

คนที่ธันวานึกสงสัยก็บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกัน ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงโมโหนักตอนที่เห็นเด็กสาวจับมือเพื่อนรัก

ฮึ่ม! มันน่านัก เป็นสาวเป็นนาง กลับจับมือถือแขนผู้ชายได้หน้าตาเฉย

ท้ายสุด จินตเมธก็ฮึ่มฮั่มกับตัวเองอย่างขัดใจ ในขณะที่สายตาก็แทบไม่คลาดไปจากสาวน้อยที่เป็นตัวต้นเหตุ โดยไม่ได้รู้เลยว่าตนเองก็กำลังตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนรักเช่นเดียวกัน


เมื่อถึงเวลาฉายภาพยนตร์ ธันวาก็จัดแจงให้น้องส้มนั่งกลางโดยมีเขาและจินตเมธนั่งขนาบกันคนละข้าง ซึ่งจินตเมธไม่มีปัญหา แต่คนมีปัญหาคือคนที่จะต้องนั่งอยู่ตรงกลาง

“ส้มนั่งติดกับพี่ธันว์ก็ได้ค่ะ”

คำบอกของสาวน้อยส่งผลให้อีกหนึ่งหนุ่มชะงักกึก เท้าที่กำลังขยับจะเดินไปที่นั่งพลันตรึงอยู่กับที่ ก่อนตามด้วยการหันขวับไปมอง พร้อมกับเสียงคำรามต่ำ ๆ

“ปัญหาเยอะจริงนะ”

พูดจบ มือใหญ่ก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือเล็กแล้วดึงจะให้ก้าวตามด้วยความหมั่นไส้ตงิด ๆ พลางนึกในใจว่าในเมื่อมีปัญหามากนัก ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะจัดให้นั่งติดกันกับเขาซะเลย หากสาวน้อยก็ไวพอเมื่อดึงมือของธันวาเอาไว้ราวกับจะขอความช่วยเหลือ

“ไม่เอาน่าจิน”

ธันวาจับสัญญาณของสาวน้อยได้ จึงเอาตัวเข้ามากั้นกางพลางดึงมือจินตเมธออกจากน้องส้มอย่างไม่นำพาต่อสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่าย จากนั้นจึงดันแขนเพื่อนเบา ๆ เป็นสัญญาณให้เดินนำเข้าไปก่อน เรียกอาการฮึดฮัดเล็กน้อยจากจินตเมธ หากชายหนุ่มก็ยอมเดินนำไปยังที่นั่งแต่โดยดี

แม้อุ่นใจว่าที่นั่งข้างขวาของเธอคือพี่ธันว์ที่แสนใจดีและอ่อนโยน หากการที่ตระหนักว่าที่นั่งทางด้านซ้ายมือของเธอคือจินตเมธ ทำให้น้องส้มดูหนังอย่างไม่ค่อยมีความสุขนัก ยิ่งภาพยนตร์ที่เข้ามาชมไม่ใช่แนวรักโรแมนติคอย่างที่เธอชอบ แต่เป็นแนวที่ค่อนไปทางมีฉากต่อสู้ ยิงกันดุเดือดเลือดพล่านเสียมากกว่า อันมาจากการเลือกอย่างเอาแต่ใจตนเองโดยไม่ถามความเห็นใครของจินตเมธ ทำให้น้องส้มค่อนข้างเบื่อหน่าย ในที่สุดความเบื่อหน่ายก็ค่อย ๆ แปรสภาพเป็นความเหนื่อยล้าและง่วงงุนในเวลาต่อมา

เมื่อรู้สึกถึงความนุ่มนิ่มที่ซบลงมาบนบ่าข้างขวา จินตเมธก็ตวัดหางตามองหากก็ต้องหันไปเพ่งมองพลางกระพริบตาปริบ เมื่อพบว่าอะไรที่นุ่ม ๆ นั้นคือศีรษะกลม ๆ ที่ปกคลุมด้วยเส้นผมซอยสั้นของเด็กสาว

ชายหนุ่มทั้งขำทั้งฉุนที่พบว่าสาวน้อยข้างตัวเลือกใช้เขาเป็นหมอนอิงศีรษะไปเสียแล้ว หากดวงหน้าอ่อนเยาว์ที่กำลังหลับตาพริ้มราวกับคนกำลังฝันดี ทำให้เขาใจไม่แข็งพอจะปลุกหรือสะบัดตัวออก

แวบหนึ่งชายหนุ่มเหลือบตามองเพื่อนรักที่นั่งอยู่อีกด้าน ครั้นเห็นอีกฝ่ายให้ความสนใจกับภาพยนตร์ที่กำลังชม เขาจึงใช้มืออีกข้างค่อย ๆ จับศีรษะของเด็กสาวเข้ามาอิงซบเต็มที่บนบ่าของตน แล้วจึงขยับตัวเองเป็นหลักอิงให้อีกชั้น จากนั้นก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยการจับตามองภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่ตรงหน้า

ความเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศบวกกับการได้หมอนอิงมนุษย์ชั้นดี ทำให้น้องส้มจมดิ่งอยู่ในห้วงนิทราพักใหญ่ มารู้สึกตัวตอนได้ยินเสียงร้องเรียกพร้อมกับแรงเขย่าเบา ๆ บนหัวไหล่

“น้องส้ม...น้องส้ม ตี่นเถอะ”

วินาทีที่เปิดเปลือกตาขึ้นมอง ใบหน้าของพี่ธันว์ก็ลอยอยู่ไม่ไกล น้องส้มมองตอบอย่างงุนงงในช่วงแรกก่อนจะค่อย ๆ นึกออกพร้อมกับสัมผัสรับรู้ว่าเวลานี้ตนเองกำลังอิงศีรษะซบไหล่ของใครคนหนึ่งอยู่

เพียงแค่นึกออกว่าใครคือคนคนนั้น น้องส้มก็รีบยกศีรษะพลางผงะตัวออกห่างอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงหันไปมองคนที่อุทิศไหล่ให้เธอนอนซบอยู่เป็นนาน แล้วจึงพบว่าใครคนนั้นกำลังมองเธออยู่ก่อนแล้ว

แววประหลาดที่ฉายให้เห็นแวบหนึ่งในดวงตาคมเข้ม ส่งผลให้หัวใจของเด็กสาวเต้นแรงอย่างไม่มีสาเหตุ พร้อมกันนั้นใบหน้าก็ร้อนวาบขึ้น หากเวลาต่อมาก็เปลี่ยนเป็นความรู้สึกชา

“หนักชะมัดเลย ตั้งใจจะดูหนังให้สนุกเสียหน่อย ดันมีตัวเกะกะมานอนทับไหล่ซะได้”

พูดจบ จินตเมธก็ลุกจากที่นั่งแล้วเดินตรงไปยังทางออก ด้วยท่าทางที่บอกชัดถึงความไม่แยแสต่อความคิดหรือความรู้สึกของใคร ทิ้งให้ ตัวเกะกะ นั่งอึ้งงันอยู่กับที่

“กลับบ้านกันเถอะน้องส้ม”

แม้เห็นว่าน้องส้มเงียบซึมไป หากธันวาก็จนคำพูดใดจะมาเอ่ย อีกทั้งเพราะคิดว่าเด็กสาวคงง่วงนอน ดังนั้นเขาจึงเพียงแต่ก้าวตามสาวน้อยไปเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร


“ขอบใจนะ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”

เมื่อรถยนต์ของเพื่อนรักแล่นมาจอดที่หน้าประตูรั้วบ้าน จินตเมธก็ออกปากบอก พลางขยับตัวเตรียมจะลงไปจากรถ หากราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ ชายหนุ่มชะงักไปนิดหนึ่งก่อนโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วบอกกับคนที่นั่งเงียบมาตลอดทาง

“ดีใจด้วยนะที่สอบติด เอาไว้จบมหาวิทยาลัยเมื่อไร จะเลี้ยงฉลองให้”

คำบอกไม่คาดฝันของคนที่นั่งเงียบมาตลอดทาง ส่งผลให้น้องส้มหันขวับไปมองทางด้านหลังทันที แต่ทันเห็นเพียงแผ่นหลังของคนที่กำลังจะก้าวลงไปจากรถ เด็กสาวไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เพราะทันทีที่ลงไปจากรถ จินตเมธก็เดินดุ่ม ๆ เข้าไปในตัวบ้านหลังจากไขกุญแจเปิดประตูรั้วเข้าไป ทิ้งให้น้องส้มได้แต่มองตามอีกฝ่ายไปด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ในใจ



บทที่ 4


หลังจากวันที่ธันวาพาเธอไปเลี้ยงฉลองให้โดยมีจินตเมธตามไปด้วย นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านไปหกเดือนแล้ว แต่เป็นหกเดือนที่แปลกในความรู้สึกของเธอ เพราะนับจากวันนั้นเธอก็ไม่ได้เห็นหน้าจินตเมธอีกเลย ทั้ง ๆ ที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันแท้ ๆ

น้องส้มคิดเอาเองว่าคงเป็นเพราะเขายุ่งอยู่กับการเรียน เพราะเทียบจากธันวา ซึ่งนับจากวันนั้น เธอเองก็แทบไม่ค่อยได้พบกับเขาบ่อยนัก ไม่เหมือนน้องแก้มน้องสาวตัวน้อยที่เธอยังคงได้เจอแทบทุกวัน เหมือนอย่างเช่นวันนี้

“วันนี้ น้องแก้มมีการบ้านเยอะเลย พี่ส้มช่วยสอนน้องแก้มหน่อยนะคะ น้องแก้มไม่ค่อยเข้าใจ”

พี่ส้มยิ้มให้อย่างเอ็นดู ก่อนตอบรับอย่างเต็มใจเพราะรู้ว่าน้องสาวคนนี้ ไม่ค่อยเก่งเรื่องเรียนนัก แต่ไหนแต่ไรเธอต้องเป็นพี่เลี้ยงพิเศษให้แก่เด็กหญิงจิตพิสุทธิ์เสมอ

“ได้สิ เดี๋ยวทานข้าวเย็นเสร็จแล้ว พี่จะสอนให้”

น้องแก้มออกอาการเริงร่าเหมือนทุกครั้งที่พี่ส้มรับปาก ก่อนเดินตัวปลิวเข้าไปในบ้านเพื่อไปสำรวจและถามมารดาของเธอว่าอาหารมื้อเย็นมีอะไรบ้าง เหมือนเช่นทุกครั้งที่กลับมาจากโรงเรียนและเข้ามาในบ้านหลังนี้

นับจากวันที่มารดาของเธอรับน้องแก้มมาทานอาหารเย็นที่บ้านทุกวันหลังจากเลิกเรียน จวบจนถึงวันนี้ เวลาก็ล่วงผ่านมา 5 ปีกว่า และเป็นเวลากว่า 5 ปีที่เธอไม่คิดอะไรอื่น ถึงแม้วันเสาร์และอาทิตย์ น้องแก้มจะชอบมาป้วนเปี้ยน ขลุกอยู่ในบ้านของเธอทั้งวัน ราวกับเป็นบ้านของตัวเองก็ไม่ปาน ทั้งนี้เป็นเพราะเธอเห็นน้องแก้มเป็นเหมือนน้องแท้ ๆ คนหนึ่ง และเธอเชื่อว่าคุณณัชชา มารดาของเธอก็คงคิดว่าน้องแก้มเป็นเสมือนลูกคนหนึ่งของท่านด้วยเช่นกัน สังเกตได้จากความรักและความเอาใจใส่ที่แม่ของเธอมีต่อน้องแก้ม กระนั้นเธอก็ไม่เคยแม้แต่จะนึกน้อยใจ ด้วยความที่เธอเองก็รักน้องแก้มมากเช่นกัน

เด็กสาวยังคงนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่บนม้านั่งหินอ่อนที่ตั้งอยู่หน้าบ้าน จนกระทั่งได้ยินเสียงคนร้องเรียก

“น้องส้ม...น้องส้ม เปิดประตูให้พี่หน่อย”

หลังจากเขม้นมองร่างสูงคุ้นตาที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูรั้วบ้านครู่หนึ่ง รอยยิ้มสดใสก็ปรากฏบนใบหน้าอ่อนเยาว์ ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกพรวดจากที่นั่งพร้อมคำเรียกขาน

“พี่ธันว์!”

ร่างเพรียวบางเดินเร็ว ๆ ไปเปิดประตูรั้วให้พี่ชายร่วมหมู่บ้านก้าวเข้ามา ก่อนยิงคำถามหลังจากมองข้าวของที่บรรจุอยู่ในถุงซึ่งมีทั้งถุงพลาสติกและถุงกระดาษในมือของอีกฝ่าย

“พี่ธันว์ไปไหนมาคะ แล้วจะหอบหิ้วข้าวของพวกนี้ไปไหน”

ธันวามองถุงข้าวของที่เต็มสองมือของเขาแวบหนึ่ง แล้วจึงตอบสาวน้อยตรงหน้าด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“พี่ก็จะเอามาที่นี่นั่นล่ะ”

“คะ”

“เมื่อวานนี้คุณพ่อกับคุณแม่ของพี่ท่านเพิ่งกลับจากไปเที่ยวต่างประเทศ แล้วพวกท่านก็ซื้อของมาฝากคุณน้ากับน้องส้มด้วย พอดีวันนี้พี่เลิกเรียนเร็วก็เลยอาสาเอามาให้”

ฟังแล้ว น้องส้มก็หวนนึกถึงคุณลุงคณิต และคุณป้าสุกันยา ซึ่งเป็นบิดามารดาของธันวา ด้วยคุณคณิต เพิ่งเกษียณจากงานราชการ ในขณะที่คุณสุกันยายังคงทำงานในบริษัทชื่อดังที่นำเข้าเครื่องสำอางจากต่างประเทศ ในตำแหน่งประธานบริษัทที่ตัวเองมีส่วนร่วมในการก่อตั้ง ฐานะครอบครัวของธันวาจัดว่าดี หากยังเทียบไม่ได้กับฐานะทางบ้านของจินตเมธ

นึกมาถึงตรงนี้ น้องส้มก็สะดุดกึกในความรู้สึก ที่จู่ ๆ หวนนึกถึงพี่จิน คนที่เธอบอกกับตัวเองเสมอว่าเกลียด เด็กสาวสลัดศีรษะราวกับจะขับไล่ความรู้สึกแปลก ๆ นั่นจึงเป็นเหตุให้ธันวาตั้งคำถาม

“เป็นอะไรน้องส้ม สั่นหัวทำไม”

“เอ่อ...เปล่าค่ะ ส้มแค่...แค่รู้สึกเกรงใจคุณลุงกับคุณป้าน่ะค่ะ”

“เด็กบ้า! คิดมากทำไม ทำอย่างกับเป็นคนอื่นคนไกลกันไปได้”

ธันวาเอ็ดเสียงดุ หากในแววตาทอประกายเอ็นดู จนคนถูกดุเองรู้สึกได้จึงกล้าอ้อน

“ถ้าอย่างนั้น ขอส้มดูหน่อยได้ไหมคะว่าคุณลุงกับคุณป้าซื้ออะไรมาฝากส้มบ้าง”

ธันวาหัวเราะร่าพลางเบี่ยงตัวหลบพร้อมกับถุงข้าวของในมือ เมื่อน้องส้มโผเข้ามาจะคว้าถุงกระดาษใบหนึ่ง

“ไม่เอา เอาไว้เปิดดูพร้อมกับน้าณัชสิ”

ชายหนุ่มบอก ก่อนเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในตัวบ้าน ทำให้น้องส้มพลอยวิ่งไล่ตาม เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังลอดไปเข้าหูคนมาใหม่ที่เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูรั้ว

จินตเมธกำมือทั้งสองแน่นเข้า เมื่อเสียงหัวเราะของคนคุ้นเคยดังแว่วมาให้ได้ยิน อารมณ์แปลก ๆ ที่คล้ายความโหยหาซึ่งนำพาเขาให้เดินมาถึงที่นี่ พลันหายวับแล้วถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกเสียดแทงจนไม่อาจทนอยู่ ณ ที่ตรงนั้นได้ ร่างสูงเดินจากไปด้วยฝีเท้าที่ก้าวเร็ว ราวกับกำลังจะหนีบางอย่างที่เขามองไม่เห็นและ...ไม่เข้าใจ

“อ้าว! น้องแก้มก็อยู่ด้วยเหรอ”

ธันวาร้องทักเสียงดังเมื่อเดินผ่านห้องโถงเข้ามาเห็นน้องแก้มซึ่งเพิ่งเดินออกมาจากห้องครัว ชายหนุ่มยิ้มกว้างตอบรับรอยยิ้มสดใสของสาวน้อยวัย 13 ที่ในวันนี้ไม่ใช่เด็กหญิงตัวป้อม หากเป็นสาวน้อยที่มีรูปร่างผอมบางไม่ต่างจากน้องส้ม แต่ต่างกันตรงที่น้องแก้มเป็นสาวน้อยตัวเล็กน่ารัก ในขณะที่น้องส้มเป็นสาวน้อยวัยใสที่มีรูปร่างสูงเพรียว

ชายหนุ่มพิจารณาดวงหน้าของสาวน้อยวัย 13 ที่ประกอบด้วยดวงตารูปยาวรีทอประกายสดใสชวนมอง ลักยิ้มบุ๋มสองข้างแก้มชวนให้ดวงหน้าเล็ก ๆ น่าเอ็นดู ยิ่งเมื่อรวมกับใบหน้ากลม ๆ ที่ล้อมกรอบด้วยเส้นผมหยักศกสีน้ำตาล ซึ่งเป็นสีเดียวกับดวงตา และความสูงที่อยู่ราว 140 เซนติเมตร สาวน้อยในสายตาของเขาก็แลดูไม่ต่างจากตุ๊กตา

เมื่อนึกเปรียบเทียบน้องแก้มในวัยเด็กกับในตอนนี้ ธันวาก็อมยิ้มกับตัวเองอย่างนึกขัน พลางคิดว่าอีกหน่อยเด็กน้อยที่เขาเห็นมาแต่เล็กก็จะเติบโตเป็นสาว และในไม่ช้าก็คงจะมีใครสักคนก้าวเข้ามาดูแล คิดไปคิดมา ชายหนุ่มก็มองต่อไปยังเด็กสาวอีกคนที่วิ่งกวดไล่หลังเขาเข้ามา

ธันวายอมรับว่าสาวน้อยณัฐวราในวันนี้ เป็นสาวน้อยวัยใสที่สวยและน่ารักสมวัย ใบหน้ารูปไข่ประกอบด้วยดวงตากลมโต ประกายสดใสจากลูกนัยน์ตาสีดำขลับแลดูโดดเด่นและชวนมอง เรียวปากอิ่มสีชมพูระเรื่อบ่งบอกถึงสุขภาพที่ดี เส้นผมสีเดียวกับดวงตาถูกซอยสั้นให้รับกับใบหน้า ทำให้แลดูออกจะเป็นสาวห้าวนิด ๆ ถึงแม้สีผิวจะค่อนไปทางคล้ำหากก็เนียนละเอียด
ถ้าจะให้บอกว่าระหว่างสองสาวใครสวยกว่ากัน ธันวาไม่สามารถตอบได้ เพราะในสายตาของเขาสาวน้อยทั้งสองต่างก็สวยและมีเสน่ห์กันคนละแบบ

“พี่ธันว์ยิ้มอะไรคะ”

น้องส้มถามอย่างข้องใจ เมื่อเห็นพี่ธันว์เอาแต่ยิ้มหลังจากมองเธอและน้องแก้ม

“ไม่มีอะไร พี่แค่กำลังคิดว่าน้องสาวทั้งสองคนของพี่ เดี๋ยวนี้โตเป็นสาวแล้ว อีกหน่อยก็คงจะมีหนุ่ม ๆ มารุมขายขนมจีบแข่งกันเพียบ”

คำบอกนั้นเรียกเสียงหัวเราะอย่างขันกึ่งเขินจากน้องแก้ม ในขณะที่น้องส้มส่ายหน้าหวือ ก่อนบอกเสียงจริงจัง

“ไม่ล่ะค่ะ ส้มไม่สนใจหรอก พวกผู้ชายเจ้าชู้แบบนั้น”

“อ้าว!”

เห็นธันวาทำหน้าเหวอ น้องส้มก็นึกขึ้นมาได้ เด็กสาวรีบยิ้มประจบก่อนซบศีรษะลงบนแขนของอีกฝ่ายอย่างที่ชอบทำในวัยเด็ก

“ส้มไม่ได้หมายถึงพี่ธันว์นะคะ เพราะพี่ธันว์ของส้มไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้พวกนั้น พี่ธันว์ของส้มออกจะดี๊...ดี น่ารัก”

ธันวาทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ก่อนหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ ในขณะที่น้องแก้มหัวเราะร่าอย่างชอบอกชอบใจ

“หัวเราะอะไรนักหนา ยายแก้มป่อง”

ยายแก้มป่อง หยุดหัวเราะทันควันก่อนทำหน้ากระเง้ากระงอด พลางบ่นกระปอดกระแปด

“พี่ธันว์น่ะ ทำไมชอบเรียกแก้มแบบนี้นะ”

ธันวายิ้มขำกับท่าทางกระบึงกระบอนของน้องแก้ม หากเมื่อพินิจแก้มของเด็กสาวที่บางใสจนเห็นเส้นเลือด ซึ่งค่อนข้างจะยุ้ยนิด ๆ แล้วก็อดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมาก่อนตอกย้ำด้วยสุ้มเสียงกลั้วหัวเราะ

“ก็เราแก้มป่องจริง ๆ นี่นา”

“พี่ธันว์!”

น้องแก้มตวัดเสียงเรียกค่อนข้างดังเพราะงอนหนัก ก่อนเดินตุปัดตุป่องไปนั่งบนโซฟาด้วยความน้อยอกน้อยใจ แม้ยอมรับว่าสิ่งที่ธันวาพูดเป็นความจริง หากทุกครั้งที่ได้ยินพี่ธันว์เรียกเธอเช่นนี้ เด็กสาวก็พบว่ามันทำให้เธอทั้งน้อยใจและเสียใจอย่างบอกไม่ถูก

“แหม! พี่ธันว์นะ รู้ทั้งรู้ว่าน้องแก้มไม่ชอบให้เรียกแบบนั้น ยังจะขืนเรียกให้น้องงอนทุกทีสิน่า”

น้องส้มบ่น ก่อนผลักร่างสูงเพรียวของอีกฝ่ายให้ออกเดิน

“ไปเลยค่ะ ไปง้อน้องแก้มซะดี ๆ เดี๋ยวส้มขอไปดูแม่ในครัวก่อน”

ธันวาหัวเราะเบา ๆ หลังจากมองตามน้องส้มที่เดินแยกไปทางห้องครัว ชายหนุ่มจึงเดินดุ่มไปวางถุงข้าวของลงข้างโซฟาด้านตรงกันข้ามกับน้องแก้ม แล้วทรุดตัวลงนั่งจ้องหน้าเด็กสาวเงียบ ๆ

เมื่อถูกธันวาจ้องหน้านิ่ง ๆ เด็กสาวก็เริ่มเกิดอาการประหม่า มือไม้เหมือนจะเกะกะจนต้องเปิดปากพูด ด้วยหวังทำลายบรรยากาศอึดอัด

“มะ...มีอะไรคะ”

น้ำเสียงตะกุกตะกักและท่าทางที่เหมือนทำอะไรไม่ถูกของสาวน้อย ทำให้ธันวานึกเอ็นดูจับใจ ชายหนุ่มยังคงจับตามองนิ่ง ๆ อีกครู่ กระทั่งรู้สึกว่าผิวแก้มบางใสของเด็กสาวตรงหน้าชวนให้นึกอยากแตะต้องจนไม่อาจหักห้ามใจ

“ไม่มีอะไรครับ พี่แค่อยากจะขอโทษที่พูดไม่ดี จนทำให้น้องแก้มไม่พอใจ”

น้องแก้มผงะเมื่อจู่ ๆ พี่ชายร่วมโลกก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มเธอ ความร้อนผ่าวแล่นขึ้นสู่ผิวหน้า ยิ่งเมื่อเจอกับการจับจ้องตรง ๆ จากเจ้าของดวงตาคมเข้ม น้องแก้มก็ยิ่งรู้สึกเงอะงะอย่างบอกไม่ถูก เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวไม่กล้ามองหน้าพี่ธันว์ตรง ๆ เหมือนอย่างเคย จนต้องก้มหน้างุด

“เอ...น้องแก้มโกรธพี่ธันว์จริง ๆ เหรอครับ”

เสียงหัวใจที่เหมือนจะดังแว่วออกมาให้ได้ยิน ทำให้น้องแก้มตื่นตกใจอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกแปลก ๆ ผลักดันจนลืมตัวยกมือขึ้นปัดมือใหญ่ของอีกฝ่ายที่กำลังยื่นเข้ามาใกล้ หากเมื่อเห็นสีหน้าแววตาตื่นตะลึงของธันวา น้องแก้มก็รู้สึกว่าสุดจะทนนั่งอยู่ต่อไปได้อีก

ร่างเล็กลุกพรวดจากโซฟาแล้วออกเดินกึ่งวิ่งตรงไปยังประตูบ้าน ก่อนพาตัวเองหายวับไปจากสายตาของธันวา โดยไม่มีแม้แต่คำล่ำลา

“อ้าว! พี่ธันว์ แล้วน้องแก้มล่ะ”

คำถามของน้องส้มที่เดินเข้ามาหาพร้อมกับคุณณัชชา ผู้เป็นมารดา ดึงธันวาออกมาจากความงงงันและสับสนจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ชายหนุ่มหันไปทำความเคารพฝ่ายสูงวัยกว่า พลางออกปากทักทายโดยอัตโนมัติ

“สวัสดีครับคุณน้าณัช”

คุณณัชชารับไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หากยังไม่ทันเอื้อนเอ่ย ธันวาก็ชิงเอ่ยต่อ

“พอดีว่าผมมีธุระ ต้องขอตัวก่อนนะครับ”

พูดจบ ร่างสูงเพรียวของเด็กหนุ่มก็ก้าวปราดตรงไปยังประตูบ้าน ท่ามกลางความงงงันของสองแม่ลูกที่ได้แต่หันมามองหน้ากันด้วยความแปลกใจ


ทันทีที่ก้าวออกมาจากประตูรั้วบ้านของน้องส้ม ธันวาก็เหลียวซ้ายแลขวาด้วยหวังว่าจะทันเห็นคนที่เพิ่งเดินหนีจากเขาเมื่อครู่ หากเด็กหนุ่มก็ต้องผิดหวังเมื่อพบเพียงความว่างเปล่า

หลังจากนิ่งไปครู่ ชายหนุ่มก็เปลี่ยนจุดหมายดิ่งตรงไปบ้านของน้องแก้มด้วยคิดว่าอาจพบเด็กสาวที่นั่น หากคำตอบที่ได้จากนารี ก็ทำให้เขาผิดหวังอีกครั้ง

“น้องแก้มออกไปข้างนอก ยังไม่กลับเลยค่ะ”

หลังจากบอกขอบคุณแล้วพาตัวเองเดินจากมา ธันวาก็ครุ่นคิดไปด้วยว่าเขาจะไปตามหาเด็กสาวได้ที่ไหน โดยไม่รู้ตัวเท้าทั้งสองก็พาเดินไปเรื่อย ๆ กระทั่งมาถึงสวนสาธารณะของหมู่บ้าน ที่ลานน้ำพุนั่นเอง เขาก็พบคนที่กำลังตามหา

ร่างเล็ก ๆ นั่งอยู่บนขอบปูน พลางจับตามองแอ่งน้ำพุตรงหน้าด้วยแววตาเหม่อลอย เพราะสมองและความคิดไม่ได้จดจ่ออยู่กับภาพที่เห็นแม้แต่น้อย ด้วยว่าความคิดกำลังล่องลอยและสับสนไปกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

ไม่เข้าใจเลยว่าเธอเป็นอะไร ทำไมหัวใจถึงได้เต้นแรงไม่หยุดในตอนที่ถูกพี่ธันว์หอมแก้ม ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนเธอก็ใช่ว่าจะไม่เคยถูกหอมแก้มมาก่อน

เพราะมัวแต่จมอยู่กับห้วงความคิด เด็กสาวจึงสะดุ้งเมื่อจู่ ๆ ได้ยินเสียงร้องเรียก

“น้องแก้ม”

ครั้นหันหน้าไปมอง แล้วพบว่าคนเรียกเธอก็คือคนที่ทำให้หัวใจเธอเต้นแรง น้องแก้มก็ผวาลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินหนีอย่างที่คิดในแวบแรก

“เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป พี่มีอะไรจะพูดด้วย”

คำบอกที่มาพร้อมกับมือใหญ่ที่ฉวยมายึดข้อมือของเธอเอาไว้ ส่งผลให้น้องแก้มตัวแข็งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ และธันวาเองก็รู้สึกได้ ชายหนุ่มนิ่วหน้าก่อนยอมคลายมือ

“น้องแก้มโกรธพี่ธันว์เหรอครับ”

คำถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่เธอคุ้นเคยมาตลอด ทำให้น้องแก้มไม่อาจแข็งใจทำเฉย

“เปล่าค่ะ แก้มไม่ได้โกรธพี่ธันว์”

ฟังแล้ว ธันวาค่อยยิ้มออกอย่างโล่งอก ความไม่สบายใจก่อนหน้านี้พลันมลายหาย หากรอยยิ้มที่มีก็ค่อย ๆ เจื่อนจางเมื่อเห็นว่าเด็กสาวขยับตัวทำท่าจะเดินจากไป ความรู้สึกไม่พอใจเริ่มแล่นขึ้นมาเป็นริ้ว

“จะไปไหนครับ”

น้องแก้มชะงักเมื่อถูกรั้งไว้ด้วยน้ำเสียงเข้มจัดไม่ชินหู ยิ่งมองสีหน้าตึง ๆ ของพี่ธันว์ซึ่งไม่คุ้นตาเลยเช่นกัน เด็กสาวก็เริ่มทำตัวไม่ถูก

“เอ่อ...แก้ม...แก้มจะกลับบ้านค่ะ”

“พอเจอพี่ก็จะรีบกลับบ้านขึ้นมาเชียว ทำไม! รังเกียจอะไรพี่นัก”

เด็กสาวอ้าปากค้างเมื่อถูกโจมตีอย่างไม่คาดฝัน สีหน้าดุดันของธันวากลายเป็นสิ่งแปลกตาและน่ากลัวในความรู้สึก

“กะ...แก้ม ไม่ได้...”

“อ้าว! หนูแก้ม มาทำอะไรตรงนี้จ๊ะ”

เสียงร้องทักเป็นดั่งระฆังพักยกในความรู้สึกของน้องแก้ม เด็กสาวหันไปมองหญิงวัย 40 เศษซึ่งเป็นเจ้าของร้านไอศกรีมที่รู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ก่อนยิ้มปากสั่นด้วยความโล่งอก

“แก้มมาเดินเล่นค่ะป้าสุ”

ป้าสุดายิ้มรับเด็กสาวที่เห็นมาแต่เล็กแต่น้อย ก่อนทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นหน้าคนข้างตัวอีกฝ่าย

“อ้าว! นึกว่าใคร ที่แท้ก็ตาธันว์นี่เอง เป็นยังไง ช่วงหลังเรียนหนักเลยล่ะสิ ถึงไม่ค่อยไปร้านป้าเลย”

เพราะอารมณ์หงุดหงิดที่ยังคงตกค้าง ธันวาจึงฝืนยิ้มกลับไปพลางตอบรับสั้น ๆ

“ครับ”

หญิงสูงวัยยิ้มรับอย่างเข้าใจ หากเมื่อขยับตัวจะเดินจากไปก็ต้องชะงักกับเสียงร้องเรียกของเด็กสาว

“เดี๋ยวค่ะป้าสุ แก้มไปด้วย”

ร่างเล็ก ๆ ที่แทบจะวิ่งปราดผ่านหน้าเขาไปหาหญิงสูงวัย ทำให้ธันวาต้องกำมือแน่นเพื่อระงับอารมณ์ไม่ให้ก้าวไปสกัดหน้าและรั้งตัวเด็กสาวเอาไว้ ชายหนุ่มได้แต่ยืนสะกดกั้นอารมณ์ขึ้งขุ่นของตนเองครู่หนึ่ง ก่อนหมุนตัวเดินไปตามเส้นทางที่มุ่งสู่บ้านของตน ด้วยสีหน้าแววตาเรียบเฉยที่ขัดกับความรู้สึกในใจอย่างสิ้นเชิง



บทที่ 5

นับจากวันที่ปะทะกับท่าทางแข็งกระด้างซึ่งไม่คุ้นเคยของพี่ธันว์แล้ว น้องแก้มก็พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายมาโดยตลอด ถึงแม้ทั้งคู่จะอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน แล้วก็ราวกับโชคช่วย เพราะหลังจากวันนั้น เธอก็ไม่เคยได้เจอกับธันวาอีกเลย กระนั้นความรู้สึกแปลก ๆ ก็ยังติดค้างอยู่ในซอกลึกสุดของหัวใจ แม้ว่าวันเวลาจะหมุนเวียนผ่านไปได้สามเดือนแล้ว

เช้าวันนี้ซึ่งตรงกับวันเสาร์ และเป็นวันที่เด็กหญิงจิตพิสุทธิ์มีอายุครบ 13 ปีบริบูรณ์ ทว่า ก็ยังคงเป็นวันคล้ายวันเกิดที่เงียบเหงา เพราะในขณะที่มารดาของน้องแก้มเดินทางไปสัมมนาที่ต่างจังหวัดเมื่อสองวันก่อน บิดาของเธอก็มีงานติดพันจนต้องค้างคืนที่บริษัทตั้งแต่เมื่อคืน ทั้งบ้านจึงเหลือเพียงเด็กสาวกับนารี ผู้เป็นทั้งพี่เลี้ยงและคนดูแลงานทุกอย่างภายในบ้าน หากเด็กสาวก็ยังได้ทำบุญใส่บาตรที่บริเวณหน้าปากทางของหมู่บ้าน อันเนื่องมาจากการตระเตรียมของพี่เลี้ยง

ขณะเดินเคียงกันมาบนฟุตบาทจากปากทางเพื่อกลับบ้าน รถยนต์คันหนึ่งก็แล่นสวนมาตามทาง หากเพียงขับเลยไปเล็กน้อย รถยนต์คันนั้นก็จอดเข้าชิดเลนส์ทางซ้ายมือสุด ก่อนที่คนขับจะก้าวลงมา

“น้องแก้ม”

เมื่อได้ยินเสียงเรียกขานอันคุ้นเคย น้องแก้มก็ตัวแข็งขึ้นมานิดหนึ่ง ก่อนหันกลับไปเผชิญหน้า

“พี่ธันว์”

เด็กสาวหลุดปากขานเรียกอีกฝ่ายออกมาโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกยามนั้นสับสนวุ่นวายไปหมด ใจหนึ่งอยากเดินหนี หากอีกใจก็ยินดีที่ได้เห็นหน้า ร่างเล็กได้แต่ยืนนิ่งขณะที่ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้

“ออกไปไหนกันแต่เช้า”

คำถามที่ไม่ได้เจาะจงคนตอบ ทำให้นารีจำต้องเปิดปากตอบเอง หลังจากเห็นเจ้านายของตนเอาแต่ยืนเงียบ ไม่พูดไม่จา

“ไปใส่บาตรมาค่ะ วันนี้เป็นวันเกิดของน้องแก้ม”

ธันวาเพียงแต่พยักหน้ารับรู้โดยไม่พูดอะไร ขณะที่สายตาก็ไม่คลาดไปจากดวงหน้าเล็ก ๆ ตรงหน้า

ทั้ง ๆ ที่ผ่านมา ภาพการพบปะกันครั้งสุดท้ายคอยแต่วนเวียนอยู่ในความนึกคิดของเขาตลอดมา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หลายครั้งที่คำถามคอยแต่จะผุดขึ้นมารบกวนความนึกคิดจนทำให้เขามุ่งมั่นว่าหากเจอหน้าเด็กสาวอีกครั้งเมื่อไร เขาจะตั้งคำถามนั้นกับเธอ

โกรธพี่มากเชียวเหรอ

ทว่า ในตอนนี้ เมื่อได้เจอหน้า เขากลับพูดไม่ออก ทำได้แค่มองหน้าเธอ

“เอ่อ...แก้มหิวแล้ว ขอไปทานข้าวก่อนนะคะ”

ธันวานิ่งไปกับคำบอกอึกอักของน้องแก้ม ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ร่างเล็ก ๆ ก็หมุนตัวแล้วเดินผละไปอย่างรวดเร็ว โดยมีนารีก้าวตามไปไม่ห่าง

นับเป็นครั้งแรกที่ธันวารู้สึกได้ ระหว่างเขากับน้องแก้มเริ่มมีอะไรบางอย่างมากั้นกาง และบางอย่างที่ว่านั้นก็กำลังจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่...ไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิม


เพราะเอาแต่เดินก้มหน้าด้วยความนึกคิดที่สับสน น้องแก้มจึงไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินสวนทางมา กระทั่งร่างเล็กชนเข้ากับร่างสูงของอีกฝ่าย

“เขาะ...ขอโทษค่ะ อ้าว! พี่จิน”

คำขอโทษหลุดปากทันที ก่อนตามด้วยคำอุทานพลางขานเรียกชื่ออีกฝ่ายเมื่อรู้ว่าใครคือคนที่ถูกเธอเดินชนเข้าอย่างจัง

“กำลังเดินใจลอยคิดถึงใครอยู่”

จินตเมธกระเซ้าสาวน้อยตัวเล็กที่เขารู้สึกเอ็นดูไม่ต่างจากน้องสาว ก่อนนิ่วหน้ากับสีหน้าหม่นหมองไม่สดใสเหมือนอย่างเคยของอีกฝ่าย

“มีอะไรหรือเปล่าน้องแก้ม ทำไมหน้าตาไม่สดใสเลย”

น้องแก้มฝืนยิ้มเมื่อถูกทักตรง ๆ จากชายหนุ่มรุ่นพี่ที่เธอสนิทสนมและคุ้นเคย ก่อนกลบเกลื่อนด้วยการบอก

“ไม่มีอะไรค่ะพี่จิน น้องแก้ม...แค่หิวข้าวน่ะค่ะ”

แม้ไม่เชื่อแม้แต่น้อยกับคำบอกของสาวน้อยตรงหน้า หากจินตเมธก็ไม่เซ้าซี้ หลังจากปรายตามองแวบหนึ่งไปยังตะกร้าใส่ของในมือนารี พี่เลี้ยงของเด็กสาว ชายหนุ่มก็ตั้งคำถามใหม่

“ออกไปไหนกันแต่เช้าครับ”

เด็กสาวฟังแล้วอดไม่ได้ต้องนึกถึงใครอีกคนที่ตั้งคำถามคล้ายกันก่อนหน้านี้ หากครั้งนั้นเธอปล่อยให้พี่เลี้ยงสาวเป็นฝ่ายตอบคำถามแทน ไม่เหมือนกับครั้งนี้ที่เธอเป็นฝ่ายตอบเอง

“น้องแก้มไปใส่บาตรมาค่ะ วันนี้เป็นวันเกิดของน้องแก้ม”

“ถ้าอย่างนั้น...แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะครับ”

คราวนี้ น้องแก้มสามารถยิ้มออกได้อย่างสดใสโดยไม่ต้องฝืน

“ขอบคุณค่ะพี่จิน”

“ในเมื่อวันนี้เป็นวันเกิดของน้องแก้ม ถ้าอย่างนั้นพี่ขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงฉลองให้ก็แล้วกัน”

“อย่าเลยค่ะ น้องแก้มเกรงใจ”

คำบอกของสาวน้อย ส่งผลให้จินตเมธหุบยิ้มพลางเอ่ยเสียงดุ

“ทำไมต้องเกรงใจ หรือมีใครห้ามไม่ให้พี่ชายเลี้ยงฉลองวันเกิดให้น้องสาว”

“พี่จิน...”

น้องแก้มน้ำตาเอ่อด้วยความซาบซึ้งใจ ความตีบตันแล่นขึ้นจุกลำคอจนแทบเปล่งเสียงไม่ได้

“เอาล่ะ พี่ให้เวลาหนึ่งชั่วโมง แล้วเดี๋ยวจะไปรับที่บ้าน”

“เอ่อ...ถ้าน้องแก้มขอพาใครไปด้วยอีกคนได้ไหมคะ”

“ไม่มีปัญหา”

จินตเมธอนุญาตอย่างใจป้ำ ด้วยเข้าใจว่าคนที่น้องแก้มขอพาไปด้วย อาจเป็นนารี หรือไม่ก็เพื่อนคนใดคนหนึ่งของเธอ
หากเมื่อขับรถมาจอดหน้าบริเวณบ้านของเด็กสาว หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงพอดี จินตเมธจึงรู้ว่าเขาเข้าใจผิด

น้องส้มอึ้งไป เมื่อรู้ว่าไม่ได้มีเพียงเธอที่จะไปร่วมฉลองวันคล้ายวันเกิดกับน้องแก้ม แต่ยังมีใครอีกคน หากมาถึงตอนนี้ จะให้ถอนตัวก็ไม่ทันเสียแล้ว

ในขณะที่คนอาสาเป็นเจ้ามือก็งันไปเป็นครู่เช่นกันเมื่อได้เผชิญหน้ากับเด็กสาวอีกคน หลังจากแทบไม่ได้เจอกันมานานเหลือเกินในความรู้สึกของเขา

“ตกลงว่าพี่จินจะพาน้องแก้มกับพี่ส้มไปไหนคะ”

คำถามของน้องแก้มเรียกรอยยิ้มนิด ๆ ตรงมุมปากของจินตเมธ ยามหันไปมองสบกับแววตาสดใสของอีกฝ่ายก่อนถามกลับเสียงทุ้มอ่อน

“แล้วน้องแก้มอยากให้พี่จินพาไปไหนล่ะครับ”

แทนที่จะตอบ น้องแก้มกลับหันไปเขย่ามือพี่ส้ม พลางถามเสียงใส

“เอายังไงดีคะพี่ส้ม เราจะไปที่ไหนกันดี”

น้องส้มอึกอัก เมื่อจู่ ๆ ตกเป็นจุดสนใจไปโดยปริยาย เด็กสาวตวัดตามองคนที่กอดอกมองมานิ่ง ๆ แวบหนึ่ง ก่อนโยนกลับไปให้สาวน้อยข้างตัว

“แล้วแต่น้องแก้มเถอะ ก็วันนี้เป็นวันเกิดของน้องแก้มนี่”

น้องแก้มทำปากยื่นนิด ๆ ขณะคิดใคร่ครวญ หากไม่นานเจ้าตัวก็ยิ้มแหย

“ถ้าอย่างนั้น แล้วแต่พี่จินเถอะค่ะ แก้มนึกไม่ออกว่าจะไปไหนดี”

พี่จินยิ้มรับน้องแก้มอย่างนึกขัน หากเมื่อสบเข้ากับดวงตาของเด็กสาวอีกคน รอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันเลือนหาย

สาวน้อยณัฐวราพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เมื่อเจอเข้ากับท่าทีของจินตเมธ ความรู้สึกน้อยใจตีตื้นขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ เมื่อเห็นกับตาว่าเขาหุบยิ้มทันทีที่มองหน้าเธอ

ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าเขาเกลียดเธอ แล้วจะน้อยใจ เสียใจ ทำไมกันเล่า

เด็กสาวดุตัวเอง ก่อนแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาด้วยการไม่มองไปทางชายหนุ่มอีก กระนั้นก็ไม่อาจห้ามเสียงของอีกฝ่ายที่ดังมาเข้าหู

“งั้น...ถ้าพี่เอาน้องแก้มไปขาย ก็ห้ามมาร้องไห้โยเยนะ”

ถ้อยคำหยอกเย้าก่อนตามด้วยเสียงหัวเราะสอดประสานกัน ทำให้แวบหนึ่งน้องส้มอดรู้สึกไม่ได้ว่าตนเองเป็นส่วนเกิน เท้าทั้งสองจึงพากันก้าวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว

“พี่ส้มจะไปไหนคะ”

คำถามของน้องแก้มทำให้เด็กสาวค่อยกลับมามีสติ แวบหนึ่งดวงตากลมโตตวัดมองร่างสูงที่ยืนใกล้กับน้องแก้ม หัวใจพลันกระตุกเมื่อพบว่าอีกฝ่ายกำลังมองเธออยู่ก่อนแล้ว แต่เป็นการมองที่เธอไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้เลย

“เอ่อ...พี่...พี่แค่จะเดินไปรอที่รถน่ะ”

น้องส้มอุบอิบบอกเมื่อคิดหาคำอ้างได้ ก่อนปลีกตัวเดินตรงไปยังประตูรั้วหน้าบ้าน โดยมีพี่จินและน้องแก้มเดินตามไปติด ๆ

“พี่ส้มนั่งข้างหน้ากับพี่จินนะคะ”

เมื่อเดินมาถึงรถยนต์ของจินตเมธ น้องแก้มก็หันมาบอกยิ้ม ๆ พลางเอื้อมมือจะไปเปิดประตูทางตอนหลัง

“แก้มนั่งข้างหน้าเถอะ พี่จะนั่งข้างหลังเอง”

คำบอกของน้องส้ม เข้าหูคนที่กำลังจะเข้าประจำที่นั่งด้านคนขับ ดวงตาคู่คมหรี่ลงเพื่อซ่อนความไม่พอใจ ยามเปล่งเสียงบอก

“น้องแก้มมานั่งข้างหน้ากับพี่เถอะ”

วูบหนึ่ง น้องส้มรู้สึกถึงหัวใจที่วูบโหวง อีกครั้งที่เผลอตวัดตามองร่างสูง หากครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ได้มองเธอเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว เพราะเพียงแค่พูดจบเขาก็ก้าวเข้าไปนั่งประจำที่บนรถยนต์ทันที เด็กสาวจึงเปิดประตูทางตอนหลังแล้วพาตัวเองเข้าไปนั่งเงียบ ๆ โดยไม่รู้เลยว่าทุกอากัปกริยาของตนตกอยู่ในสายตาของคนที่นั่งประจำที่ด้านคนขับ ซึ่งแอบมองผ่านกระจกส่องทางด้านหน้า

“สรุปว่าเราจะไปไหนกันคะ”

คำถามของน้องแก้มหลังจากขึ้นมานั่งบนเบาะด้านข้างคนขับพลางคาดเข็มขัดนิรภัยไปด้วย ดึงจินตเมธออกมาจากการลอบมองคนที่นั่งทางด้านหลัง ชายหนุ่มหันไปส่งยิ้มอ่อน ๆ ก่อนตอบ

“ก็จะพาน้องแก้มไปขายยังไงล่ะครับ”

น้องแก้มหัวเราะร่า จากนั้นจึงหันไปเอ่ยกับคนที่นั่งเงียบทางด้านหลังด้วยน้ำเสียงที่ยังคงกลั้วหัวเราะ

“ทำยังไงดีคะพี่ส้ม พี่จินจะพาเราสองคนไปขายแล้ว”

พี่ส้มของน้องแก้มเพียงแต่ยิ้ม ๆ ไม่พูดอะไร จากนั้นก็เบนสายตามองออกไปทางนอกหน้าต่างรถ ราวกับสนใจทิวทัศน์ข้างทางเต็มประดา เด็กสาวนั่งเงียบ ในขณะที่สองคนข้างหน้าสนทนากันเป็นระยะ กระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง ซึ่งก็คือห้างสรรพสินค้าชั้นนำแห่งหนึ่ง

“พี่จินมาที่นี่ทำไมคะ”

น้องแก้มเอียงคอถาม เมื่อพี่จินดับเครื่องยนต์หลังจากนำรถเข้ามาในลานจอดที่อยู่บนชั้นสอง

“พี่ก็จะพาน้องแก้มมาเลี้ยงข้าวยังไงล่ะครับ”

“ดีค่ะ ว่าแต่...พี่จินจะเลี้ยงอะไรน้องแก้มคะ”

“แล้วน้องแก้มอยากจะทานอะไรล่ะครับ”

เด็กสาวทำหน้าครุ่นคิด ก่อนหันไปมองคนที่นั่งอยู่ทางตอนหลัง แล้วออกปากถามความเห็น

“พี่ส้มคะ เราจะทานอะไรกันดีคะ”

น้องส้มนิ่งไปนิด เมื่อจู่ ๆ น้องแก้มก็หันมาปรึกษา เด็กสาวตวัดตาไปมองคนขับโดยไม่ตั้งใจ หากเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่สนใจแม้แต่จะหันมามอง เธอจึงบอกกลับไปเสียงเบา

“แล้วแต่น้องแก้มเถอะ”

“ว๊า! ไม่มีใครช่วยน้องแก้มคิดเลย” เด็กสาวบ่นเบา ๆ หลังจากหยุดคิดนิดหนึ่งจึงตัดสินใจ

“ถ้าอย่างนั้น เราไปทานอาหารญี่ปุ่นกันดีไหมคะ น้องแก้มไม่ได้ทานนานแล้ว”

เมื่อไม่มีใครคัดค้าน ทั้งหมดจึงตกลงใจจะทานอาหารญี่ปุ่นในร้านชื่อดังที่ตั้งอยู่ชั้นบนสุดของห้าง และน้องแก้มก็ยังคงรับหน้าที่เป็นคนเลือกเมนูอาหาร เพราะทั้งพี่จินและพี่ส้มต่างพร้อมใจกันยกหน้าที่นั้นให้เธอ

“พี่ยกสิทธิให้ครับ เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของน้องแก้ม”

นั่นคือเหตุผลที่จินตเมธให้กับเธอ ในขณะที่พี่ส้มบอกเพียงแค่

“น้องแก้มสั่งเถอะ พี่ทานได้ทุกอย่าง”

น้องแก้มทำปากยื่นนิดหนึ่งอย่างขัดใจ ก่อนเริ่มลงมือสั่งอาหารกับพนักงาน

ระหว่างรออาหาร จินตเมธชวนน้องแก้มสนทนาโดยไม่ได้สนใจกับเด็กสาวอีกคน ทำให้หลายครั้งน้องแก้มต้องพยายามดึงพี่ส้มเข้าร่วมวงสนทนาด้วย แต่ไม่สำเร็จ เพราะพี่ส้มของเธอแทบไม่ยอมพูดอะไร นอกจากเอาแต่ยิ้มนิด ๆ กระทั่งบริกรนำอาหารที่สั่งไปมาส่งให้ที่โต๊ะ พี่ส้มของเธอก็ยังเอาแต่นั่งทานเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จา ทำราวกับไม่มีตัวตน จวบจนกระทั่งสิ้นสุดอาหารมื้อนั้น

“แล้วเราจะไปไหนกันต่อคะ”

คำถามของน้องแก้ม หลังออกมาจากร้านอาหารญี่ปุ่นเรียกรอยยิ้มจากพี่จิน ก่อนที่ชายหนุ่มจะตอบ

“พี่จะพาน้องแก้มไปเลือกของขวัญยังไงล่ะครับ อยากได้หรือเปล่า”

ประกายสดใสลุกวาบในดวงตาของน้องแก้มทันที เจ้าตัวยิ้มกว้างก่อนตอบกลับอย่างกระตือรือร้น

“อยากได้ค่ะ พี่จินจะให้อะไรน้องแก้มคะ”

คำตอบของพี่จินคือเสียงหัวเราะเบา ๆ ทว่า ในความรู้สึกของน้องส้ม มันช่างบาดใจอย่างบอกไม่ถูก เด็กสาวตัดสินใจยุติความรู้สึกที่เหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน ด้วยการหันไปบอกกับน้องแก้ม

“น้องแก้ม พี่ส้มขอกลับก่อนนะ เพิ่งนึกได้ว่ามีนัดกับเพื่อน”

“อ้าว!”

น้องแก้มอุทานพลางทำหน้าเหลอหลา ซึ่งเหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้กับน้องส้ม เด็กสาวขยับตัวจะเดินจากไปหากต้องชะงักเมื่อข้อมือของตนถูกใครบางคนดึงไว้

“โทร. ไปยกเลิกเพื่อนซะ!”

คำสั่งเสียงเรียบที่ไม่ใส่ใจเลยว่าคนฟังจะรู้สึกเช่นไร ส่งผลให้สาวน้อยหน้าตึงพลางออกแรงสะบัดแขนด้วยหวังจะเป็นอิสระ แต่นอกจากไร้ผลยังทำให้แรงบีบกระชับตรงข้อมือยิ่งมากขึ้น

“ไม่!”

สาวน้อยยืนยันเจตนาพลางประสานตากับดวงตาเข้มดุของอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว

“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ไปไหน”

“พี่จินไม่มีสิทธิมาบังคับส้ม”

ไม่มีคำตอบจากจินตเมธ นอกจากประกายในดวงตาที่บ่งบอกให้รู้ว่าจะไม่มีการอ่อนข้อ

“ก็ได้! ส้มไม่ไปแล้วก็ได้!”

สาวน้อยกระแทกเสียงใส่ หลังจากไม่อาจทนต่อแรงกดดันที่ส่งผ่านสายตาดุ ๆ ของอีกฝ่ายได้ พร้อมกันนั้นแรงจับยึดตรงข้อมือบางก็คลายลงแทบจะทันที

ระหว่างการปะทะของสองรุ่นพี่ น้องแก้มได้แต่ทำตาปริบ ๆ มองคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร กระทั่งเห็นว่าเหตุการณ์เริ่มคลี่คลายลงด้วยดี ถึงแม้พี่ส้มจะยังทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง แต่ก็ทำให้น้องแก้มลอบถอนหายใจได้ด้วยความโล่งอก ก่อนพาตัวเข้าสลายสถานการณ์ด้วยการดึงความสนใจ

“เดี๋ยวพี่ส้มช่วยน้องแก้มเลือกของขวัญด้วยนะคะ”

คำร้องขอด้วยท่าทางออดอ้อนของน้องน้อย มีผลให้พี่ส้มไม่อาจต้านทาน เด็กสาวพยายามไม่หันไปมองใครอีกคน ยามตกปากรับคำ

“จ๊ะ”

น้องแก้มยิ้มออกอย่างดีใจ ก่อนออกปากเมื่อเหลือบไปเห็นร้านหนังสือที่ตั้งเยื้องอยู่ฝั่งตรงกันข้าม

“ขอแก้มเข้าไปดูหนังสือในร้านได้ไหมคะ”

ทั้งพี่จินและพี่ส้มต่างมองตามสายตาของน้องแก้ม ก่อนจะเป็นฝ่ายจินตเมธที่หันกลับมายิ้มพลางอนุญาต

“ได้สิครับ”

เด็กสาวยิ้มกว้างก่อนฉวยมือพี่จินและพี่ส้มเอาไว้คนละข้างแล้วจับจูงให้เดินเข้าไปในร้านหนังสือด้วยกัน หากเมื่อเข้าไปในร้านหนังสือ น้องแก้มก็ปล่อยมือพี่ทั้งสองแล้วเดินเข้าไปในมุมหนังสือที่ตนเองสนใจ

จินตเมธเหลือบตามองสาวน้อยข้างตัวแวบหนึ่ง ซึ่งเป็นจังหวะที่อีกฝ่ายปรายตามามองเขาพอดี หากวินาทีถัดมาร่างเล็กบางก็เดินตรงไปในมุมหนังสือที่มีป้ายติดว่า นิยายไทย ท่ามกลางสายตาที่ยังคงจับจ้องของเขา เพียงครู่ ชายหนุ่มก็ก้าวตามไปหยุดยืนข้างเด็กสาวซึ่งกำลังพลิกหน้าหนังสือที่อยู่ในมือ

“ชอบอ่านแบบนี้เหรอ”

คำถามที่ดังขึ้นชิดริมหูจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ตกลงมากระทบ ส่งผลให้ร่างบางสะดุ้งนิดหนึ่งอย่างตกใจ ครั้นหันขวับไปมองแล้วพบว่าใบหน้าคมสันของอีกฝ่ายอยู่ใกล้จนน่ากลัว เด็กสาวก็ขยับตัวถอยห่างโดยอัตโนมัติ

จินตเมธมองอาการขยับตัวออกห่างของสาวน้อยณัฐวราด้วยความหงุดหงิดนิด ๆ เมื่อแปรท่าทีที่เห็นว่าเป็นเพราะเด็กสาวรังเกียจเขา ใบหน้าคมคายยิ่งบึ้งตึงเมื่อได้ยินคำถาม

“พี่จินมาทำอะไรตรงนี้”

“พี่จะมาหาหนังสืออ่านบ้างไม่ได้เหรอไง”

คำตอบที่เหมือนจะตีรวนเสียมากกว่า ส่งผลให้สาวน้อยณัฐวราหน้าตึงขึ้นมาบ้าง ปากเล็กบางถูกขบเข้าหากันอย่างขัดใจ ความอยากอ่านหนังสือพลันหดหายจนตัดสินใจนำหนังสือกลับไปวางบนชั้นตามเดิมแล้วหมุนตัวจะเดินไปที่อื่น

“พอพี่เดินมา เราก็เดินหนี ทำแบบนี้ไม่คิดว่ามันเกินไปเหรอ”

น้ำเสียงต่ำ ๆ ของคนที่ทำท่าเหมือนพร้อมจะหาเรื่อง อีกทั้งการถือวิสาสะมาดึงข้อมือเธอเอาไว้ ทำให้เด็กสาวเริ่มโมโหขึ้นมาจนสะบัดมือของตนเองอย่างแรง หากต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บเพราะนอกจากไม่ได้อิสระอย่างที่ใจหวัง อีกฝ่ายกลับยิ่งออกแรงบีบตรงข้อมือของเธอมากขึ้น

“พี่จิน! ส้มเจ็บนะ!”

เด็กสาวเค้นเสียงบอก สีหน้าแววตาวาววับฟ้องถึงความโกรธที่เริ่มจะคุกรุ่น หากชายหนุ่มไม่นำพา ยามตวัดเสียงเข้มโต้กลับไป

“ก็สมกับเด็กอวดดีอย่างเราแล้วล่ะ!”

“เอ๊ะ!”

น้องส้มถลึงตาใส่อย่างโกรธ ๆ ในขณะที่พี่จินมองตอบด้วยแววตาดุ ๆ ท่ามกลางการจ้องมองอย่างประเมินในกันและกัน เสียงใส ๆ ของน้องแก้มก็ดังขึ้นมายุติทุกสิ่งทุกอย่าง

“พี่ส้ม พี่จิน น้องแก้มเลือกหนังสือได้แล้วค่ะ”

คนทั้งสองต่างหันไปมองน้องแก้มที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แล้วก็เป็นฝ่ายจินตเมธที่ยอมปล่อยข้อมือในการจองจำของตนออก

“ไหนครับ มาให้พี่จินดูหน่อยซิว่าน้องแก้มได้หนังสืออะไรมา”

วูบหนึ่ง น้องส้มรู้สึกได้ถึงความน้อยใจอย่างบอกไม่ถูกยามจับตามองความเอาใจใส่ที่จินตเมธแสดงออกกับน้องแก้มแล้วนึกถึงเปรียบเทียบกับสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อเธอ

เธอไปทำอะไรให้เขานะ ทำไมเขาถึงได้เกลียดชังเธอนักหนา

สาวน้อยณัฐวราได้แต่เก็บคำถามนั้นไว้กับตัว ยามมองท่าทีสนิทสนมระหว่างพี่จินกับน้องแก้มที่กำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับหนังสือที่น้องแก้มเลือกมา

“พี่จินซื้อให้นะครับ”

“อย่าเลยค่ะพี่จิน น้องแก้มเกรงใจ เมื่อกี้พี่จินก็เลี้ยงข้าวน้องแก้มแล้ว”

“ไม่ต้องเกรงใจครับ นิดหน่อยเท่านั้นไม่ได้มากมายอะไร”

พูดจบ จินตเมธก็ฉวยหนังสือในมือน้องแก้มแล้วเดินผ่านน้องส้มตรงไปยังเคาน์เตอร์ชำระเงิน

“พี่จินใจดีจังเลยเน๊อะพี่ส้ม”

เมื่อเหลือกันเพียงสองคน น้องแก้มก็เอียงหน้าไปพูดเบา ๆ กับพี่ส้ม รอยยิ้มสดใสของอีกฝ่ายทำให้สาวน้อยณัฐวราอดยิ้มตอบไม่ได้ แม้ในใจจะนึกค้าน

ใครว่าพี่จินใจดี ใจร้ายที่สุดในโลกสิไม่ว่า

หลังจากเดินตระเวนทั่วห้าง ในที่สุดน้องแก้มก็เลือกของขวัญให้กับตัวเองได้ ตุ๊กตาสีน้ำตาลตัวใหญ่คือสิ่งที่สาวน้อยเลือก โดยมีพี่จินเป็นคนจ่ายเงินให้ด้วยความเต็มใจ

“ขอบคุณนะคะพี่จิน สำหรับพี่หมีใจดีแล้วก็...หนังสือด้วย”

พี่จินเพียงแต่ยิ้ม ๆ หลังจากยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาแวบหนึ่ง ชายหนุ่มจึงเอ่ย

“น้องแก้มอยากไปไหนต่อหรือเปล่าครับ”

น้องแก้มส่ายหน้าหวือ ก่อนหันไปหาคนข้างตัวอีกคนที่ตลอดทั้งวันแทบจะไม่พูด

“พี่ส้มล่ะคะ อยากจะไปไหนไหม”

คำถามนั้นเรียกความสนใจจากจินตเมธได้เช่นกัน ชายหนุ่มหันไปมองคนที่ถูกตั้งคำถามแล้วก็ทอดตามองนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้นจนคนถูกมองเริ่มอึดอัดใจ

“ไม่จ๊ะ”

จินตเมธนิ่งไปกับคำตอบนั้น ในขณะที่สายตายังคงไม่คลาดไปจากใบหน้าอ่อนเยาว์ พลางหวนนึกถึงท่าทีนิ่งเงียบ แทบไม่พูดไม่จาของอีกฝ่ายในตลอดวันนี้ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเวลาที่เขาเห็นเธออยู่กับธันวา

ความคิดที่แวบขึ้นมาก่อให้เกิดความหงุดหงิดฉับพลันจนส่งผลให้เขาถอนสายตามาจากคนในความคิด แล้วมองไปยังเด็กสาวอีกคนแทน

“ถ้าอย่างนั้น พี่ว่าเรากลับบ้านกันดีกว่า นี่ก็เย็นแล้ว”

เมื่อไม่มีใครคัดค้าน ชายหนุ่มจึงเดินนำสองสาวออกไป โดยมีจุดหมายคือลานจอดรถที่อยู่ชั้นสองของตัวห้างฯ

ระหว่างเส้นทางที่จะกลับบ้าน เสียงดนตรีและบรรยากาศครึกครื้นของงานวัดที่จัดขึ้นข้างทาง ดึงความสนใจจากสาวน้อยข้างตัว จนจินตเมธต้องตั้งคำถาม

“น้องแก้มอยากเที่ยวงานวัดเหรอครับ”

“ค่ะ”

เมื่อเห็นสาวน้อยตอบรับเสียงใสไม่ผิดจากสีหน้าแววตากระตือรือร้น จินตเมธจึงเลี้ยวรถเข้าไปจอดในซอยที่อยู่ถัดไป จากนั้นจึงหันไปบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“พี่ให้เวลาสองชั่วโมงพอไหม”

น้องแก้มขานรับด้วยท่าทางดีอกดีใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนก้าวลงจากรถไปสมทบกับพี่ส้ม จากนั้นก็เกาะแขนอีกฝ่ายแล้วพาเดินตามพี่จินไปด้วยท่าทางมีความสุข

ทันทีที่เข้ามาในงานวัด น้องแก้มก็แสดงท่าทีสนอกสนใจต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าสาวน้อยอยากจะยิงเป้าหรือปาลูกดอกเพื่อชิงของรางวัล ซึ่งก็คือบรรดาตุ๊กตาน่ารักทั้งหลาย พี่จินก็เต็มใจควักเงินจ่ายให้ทุกครั้งโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านที่เกิดจากความเกรงใจของน้องแก้ม ยิ่งเมื่อพี่จินเข้าร่วมเล่นเกมยิงเป้าและปาลูกดอกด้วย น้องแก้มก็เพลินไปกับการเล่นสนุก จนลืมทักท้วงเวลาอีกฝ่ายเป็นคนออกเงิน แต่ถึงจะเพลิดเพลินกับการเล่นเกมสักเพียงใด น้องแก้มก็ไม่ลืมจะชักชวนให้พี่ส้มเข้าร่วมเล่นด้วย ถึงแม้อีกฝ่ายจะปฏิเสธ แต่เด็กสาวก็เพียรออดอ้อนจนทำให้พี่ส้มใจอ่อนไปเสียทุกครั้ง

ผลจากการเสียเงินไปราวสี่ร้อยบาท ในขณะที่จินตเมธได้ตุ๊กตาตัวเล็ก ซึ่งก็คือหมีพูร์กับคิตตี้เป็นรางวัลอย่างละตัว แต่สองสาวกลับไม่ได้ของรางวัลเลยสักอย่าง

ชายหนุ่มยื่นคิตตี้สีชมพูให้กับน้องแก้มที่รับไปด้วยท่าทางดีอกดีใจ ก่อนยื่นหมีพูร์สีเหลืองให้กับน้องส้มที่ยืนมองอยู่เงียบ ๆ

น้องส้มมองตุ๊กตาหมีพูร์ในมือของพี่จินที่กำลังยื่นมาตรงหน้าเธอ ด้วยแววตาบอกถึงความฉงน ก่อนเปิดปากถาม

“ให้ส้มเหรอคะ”

สีหน้าเรียบเฉยของจินตเมธ ทำให้ไม่อาจคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นการกระทำของเขาจึงทำให้เด็กสาวยิ่งไม่เข้าใจ

ไม่มีคำพูด นอกจากการฉวยมือของเธอขึ้นมาแล้ววางตุ๊กตาสีเหลืองลงบนกลางฝ่ามือ ก่อนที่เขาจะหันไปมองน้องแก้มแล้วเอ่ยชักชวน

“น้องแก้มอยากขึ้นชิงช้าสวรรค์ไหมครับ”

น้องแก้มทำหน้าแหย ก่อนหันไปยังทิศทางที่เป็นที่ตั้งของชิงช้าสวรรค์ จากนั้นจึงหันกลับมาบอก

“แก้มกลัวค่ะ” ด้วยเข้าใจว่าพี่จินอยากขึ้นชิงช้าสวรรค์ น้องแก้มจึงเสนอความเห็นอย่างหวังดี “พี่จินขึ้นชิงช้ากับพี่ส้มสิคะ”

เพราะเห็นแก่ความใจดีของอีกฝ่ายที่มีต่อเธอ เด็กสาวจึงหันไปเอ่ยคะยั้นคะยอพี่ส้ม

“พี่ส้มขึ้นชิงช้าเป็นเพื่อนพี่จินนะคะ พี่จินจะได้ไม่เหงา”

เด็กสาวพูดไม่ออกเมื่อถูกขอร้องแกมออดอ้อนจากน้องแก้ม ครั้นหันไปมองพี่จินแล้วพบว่าเขากำลังมองมาเงียบ ๆ เธอก็ตัดสินใจไม่ถูก

ใจจริงแล้ว จินตเมธไม่ได้อยากขึ้นชิงช้าสวรรค์ ก่อนหน้านั้นที่ออกปากเขาก็เพียงแต่ถามไปอย่างนั้น หากเมื่อเห็นน้องแก้มหันไปรบเร้าน้องส้ม แล้วเด็กสาวแสดงท่าทีอึก ๆ อัก ๆ ชายหนุ่มก็ตัดสินใจ

เมื่อจู่ ๆ ถูกจินตเมธดึงมือให้ก้าวตามเขาไป น้องส้มก็ตกใจนิดหน่อย ก่อนยอมตามอย่างว่าง่ายเมื่อเห็นน้องแก้มเดินตามมาติด ๆ จนกระทั่งไปถึงโต๊ะที่มีคนนั่งขายตั๋ว

“น้องแก้มรอพี่ตรงนี้นะครับ”

หลังจากจ่ายเงินเป็นค่าตั๋วเรียบร้อยแล้วมายืนรอชิงช้าที่จะขึ้น จินตเมธก็หันไปกำชับสาวน้อยตัวเล็ก ก่อนยิ้มนิด ๆ เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับรองอย่างแข็งขัน จากนั้นจึงฉวยมือของน้องส้มแล้วจับจูงให้ตามเขาเข้าไปในชิงช้า

ความเงียบเข้ามาปกคลุมบรรยากาศ เมื่อต่างฝ่ายเอาแต่นั่งเงียบ ๆ บนม้านั่งที่ตั้งประจันหน้ากัน ไม่มีใครมองหน้าใครเพราะต่างคนสมัครใจที่จะมองวิวทิวทัศน์ข้างนอกเสียมากกว่า ยิ่งเวลาผ่านพร้อมกับระดับความสูงที่เพิ่มมากขึ้น น้องส้มก็ยิ่งอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก พลางอดคิดไม่ได้ว่าเธอไม่น่ายอมตามเขาเข้ามาเลย สาวน้อยแอบปรายตามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม แล้วก็ต้องสะดุ้งในใจเมื่อพบว่าเวลานี้เขาไม่ได้กำลังมองทิวทัศน์ข้างนอกอีกแล้ว แต่กำลังจับตามองเธอเงียบ ๆ แทน

บรรยากาศอึมครึมที่รายล้อมทำให้น้องส้มคิดไม่ตก ว่าควรจะหันไปถามเขาตรง ๆ ว่ามองเธอทำไม หรือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วมองวิวทิวทัศน์ต่อไปดี ทว่า หลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง สาวน้อยก็ตัดสินใจทำทีเป็นสนใจทิวทัศน์ด้านนอกชิงช้าเหมือนเดิม

“ไม่มีอะไรจะพูดเลยเหรอ”

คำถามที่ดังขึ้นโดยไม่คาดฝัน ส่งผลให้น้องส้มสะดุ้งเล็กน้อย เจ้าตัวหันไปมองพลางตั้งคำถามอย่างงง ๆ

“อะไรนะคะ”

จินตเมธมองท่าทางงงงันของสาวน้อยตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจตนเอง เพราะอะไร...ทำไมท่าทีของเธอจึงมักทำให้เขาหงุดหงิดใจได้เสมอ ไม่เคยเลยสักครั้งที่เด็กสาวคนนี้จะให้ความสนใจกับเขา ไม่เคยเลยสักหนที่เธอจะพูดคุยกับเขาอย่างสนิทสนมเป็นกันเอง เหมือนเช่นตอนที่อยู่กับน้องแก้ม หรือธันวา

เมื่อนึกถึงธันวา อะไรบางอย่างที่ให้ความรู้สึกยุกยิกอย่างชวนให้หงุดหงิดก็พลันวาบขึ้นในหัวใจ และความรู้สึกนั้นก็ผลักดันให้เขาพูดประชดออกไป

“อยู่กับพี่ มันคงน่าเบื่อ น่าอึดอัด ไม่เหมือนตอนอยู่กับนายธันว์สินะ”

มีเพียงความนิ่งเงียบตอบรับต่อคำพูดนั้น ด้วยเด็กสาวจับต้นชนปลายไม่ติดกับถ้อยคำที่ได้ยิน หากนั่นทำให้อีกฝ่ายยิ่งเข้าใจผิดไปไกล

ดวงตาคมเข้มหม่นแสงลงวูบหนึ่ง เมื่อพลันรู้สึกถึงความยอกแสลงในหัวใจจากการไม่ปฏิเสธของเด็กสาว ชายหนุ่มยกมือขึ้นมากอดอกราวกับต้องการจะปกป้องบางอย่าง จากนั้นจึงเบือนหน้ากลับไปให้ความสนใจกับทิวทัศน์ข้างนอก ท่ามกลางความสงสัยและไม่เข้าใจของคนที่ยังคงเฝ้ามอง

น้องส้มได้แต่มองท่าทางที่เหมือนจะปิดกั้นทุกอย่างของพี่จินด้วยความไม่เข้าใจ ทั้งที่ใจหนึ่งอยากเอ่ยถาม หากต้องเปลี่ยนใจเมื่อเจอเข้ากับท่าทีเย็นชาของอีกฝ่าย ท้ายที่สุดก็จำต้องปล่อยให้ความเงียบเข้ามาทำหน้าที่ของมันเหมือนเช่นเดิม

กว่าจินตเมธจะนำรถมาจอดที่หน้าบ้านน้องแก้มอีกครั้ง เวลาก็ล่วงเข้าเกือบสองทุ่ม บรรดาผู้คนต่างพากันเข้าไปพักผ่อนอยู่ในบ้านของตน บรรยากาศโดยรอบจึงค่อนข้างเงียบสงบ ยังดีที่ได้แสงจากโคมไฟที่ติดบนเสาประตูของบ้านแต่ละหลัง และแสงจากไฟทางเดินที่ติดอยู่รายรอบ ช่วยให้ไม่แลดูมืดครึ้มจนเกินไป

หลังจากพี่จินและสองสาวก้าวลงมาจากรถแล้วมายืนรอตรงหน้าประตูรั้วเพียงไม่นาน นารี พี่เลี้ยงของน้องแก้มก็ก้าวออกมาจากประตูรั้วเพื่อมารับเจ้านายของตน

“คุณแก้มคะ คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงกลับมาแล้วค่ะ”

คำรายงานของพี่เลี้ยง ก่อให้เกิดรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าค่อนข้างกลม เด็กสาวโอบกระชับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ในมือข้างหนึ่ง ในขณะที่มืออีกข้างหิ้วถุงพลาสติกที่ใส่หนังสือกับตุ๊กตาคิตตี้ จากนั้นจึงหันไปทางชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วบอกเสียงระรัวอย่างตื่นเต้น

“คุณพ่อคุณแม่ของน้องแก้มกลับมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นน้องแก้มเข้าบ้านก่อนนะคะพี่จิน”

โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไร เด็กสาวก็หันไปทางพี่ส้มแล้วพูดต่อเสียงรัวดังเดิม

“พี่ส้มขา น้องแก้มเข้าบ้านก่อนนะคะ”

จากนั้น ร่างเล็ก ๆ ก็ก้าวผลุบผ่านประตูรั้วเข้าไปด้วยท่าทางเริงร่า โดยมีพี่เลี้ยงสาวก้าวตามไปติด ๆ

“ขึ้นรถสิ”

หลังจากมองส่งน้องแก้มจนอีกฝ่ายหายเข้าในตัวบ้าน จินตเมธก็หันมาบอกกับน้องส้ม พลางขยับตัวจะก้าวขึ้นไปนั่งประจำที่บนรถยนต์ หากสิ่งที่ได้ยินทำให้ชะงัก

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวส้มเดินกลับเองได้”

จินตเมธรู้สึกถึงอะไรร้อน ๆ พุ่งวาบเข้ามาในหัวใจยามเจอเข้ากับคำปฏิเสธ ยิ่งเห็นร่างเล็ก ๆ หมุนตัวจะเดินจากไป ความยับยั้งชั่งใจก็ขาดผึงจนส่งผลให้กระโจนไปดักหน้าแล้วเค้นเสียงบอก

“อย่ามาอวดดี หรือว่าชอบจะเป็นข่าวหน้าหนึ่งนัก”

น้องส้มกระพริบตาปริบ ความไม่เข้าใจทำให้ตั้งคำถาม

“ข่าวหน้าหนึ่งอะไรคะ”

จินตเมธจุดรอยยิ้มเย็นชาตรงมุมปาก ก่อนให้คำตอบที่ทำให้คนฟังหน้าร้อนวาบด้วยความโกรธ

“ก็...ข่าวเด็กสาวถูกรุมโทรมเพราะอยากอวดดีเดินดุ่ม ๆ อยู่คนเดียวกลางดึกยังไงล่ะ”

ความโกรธที่แผ่ซ่านไปตามเนื้อตัวและหัวใจ ทำให้สาวน้อยณัฐวราไม่หยุดคิดอะไรทั้งสิ้น ยามยกมือขึ้นแล้วตวัดลงไปบนแก้มของคนตรงหน้า

เพี๊ยะ!!!

เสียงที่เกิดขึ้นฟังดูกึกก้องท่ามกลางความเงียบสงบ ขณะเดียวกันทำให้น้องส้มได้สำนึกถึงสิ่งที่ตนเองเพิ่งกระทำ

เธอตบหน้าพี่จิน

เด็กสาวอุทานอื้ออึงอยู่ในอกด้วยความแตกตื่น ยิ่งเห็นรอยแดงเป็นปื้นรูปฝ่ามือจาง ๆ บนซีกแก้มข้างซ้ายของอีกฝ่าย หัวใจของสาวน้อยก็เต้นระรัว

“สะ...ส้ม...”

ความตกใจส่งผลให้น้ำเสียงที่เปล่งออกไปตะกุกตะกักราวกับคนติดอ่าง ในขณะที่ใบหน้าอ่อนเยาว์ก็ซีดเผือดจนแทบไม่มีสีเลือดยามมองตอบดวงตาดำเข้มของคนตรงหน้าที่เวลานี้ทอประกายลุกเรืองจนน่ากลัว

แวบแรกที่โดนตบ จินตเมธรับรู้ถึงความโกรธที่พากันลุกฮือราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกโชน หากเมื่อมองสบกับดวงตาคู่สวยของเด็กสาว ซึ่งเวลานี้คลอคลองไปด้วยหยาดน้ำใส ริมฝีปากบางเล็กที่ยามนี้สั่นระริกจนกระทั่งเปล่งเสียงออกมาเกือบไม่เป็นคำ ความโกรธเกรี้ยวที่มีก็ค่อย ๆ เบาบางลง หากก็ใช่ว่าจะไม่หลงเหลือเสียทีเดียว

“ไป-ขึ้น-รถ”

คำสั่งที่ถูกเน้นออกมาทีละคำ ราวกับเจ้าตัวต้องพยายามเค้นพลังออกมา มีผลให้คนฟังตัวสั่นราวกับเจอแรงลมพายุ หากเพียงแค่ยื่นมือไปแตะประตูตอนหลัง คำสั่งดุ ๆ ก็ตามมากระหน่ำซ้ำ

“ไปนั่งข้างหน้า!”

ถึงตอนนี้ น้องส้มก็แทบถอนสะอื้นออกมาด้วยความหวาดหวั่น ไม่กล้า...แม้กระทั่งจะมองหน้าพี่จินที่เวลานี้ก้าวขึ้นมานั่งประจำที่คนขับ เด็กสาวได้แต่นั่งเบียดประตูและซุกตัวขดแน่นอยู่เช่นนั้น

“ตบหน้าพี่ทำไม”

คำถามที่ฟังจากน้ำเสียงแล้วสุดแสนจะเย็นชาในความรู้สึก ยิ่งทำให้น้องส้มเบียดตัวเองชิดกับประตูมากขึ้น ก่อนเปล่งเสียงกระท่อนกระแท่นบอก

“สะ...ส้มขอโทษ”

อะไรหนัก ๆ ที่ถ่วงอยู่ในความรู้สึกก่อนหน้านี้ เกือบจะสลายหายไปจนแทบไม่เหลือ ยามได้ยินคำขอโทษจากปากคนข้างตัว หากจินตเมธก็ยังไม่ค่อยพอใจนัก

“พี่ถามว่า ตบหน้าพี่ทำไม”

ถึงตอนนี้ น้องส้มไม่อาจทนต่อแรงกดดันได้อีก เด็กสาวหลุดเสียงสะอื้นออกมาก่อนจะตามด้วยเม็ดน้ำตาที่พากันพร่างพรู สิ่งที่เห็นทำให้จินตเมธตกใจในแวบแรก ก่อนตามด้วยแรงบีบรัดในหัวใจในวินาทีถัดมา ความไม่ชอบใจต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นทำให้ชายหนุ่มเริ่มพาลด้วยการขึ้นเสียงใส่

“เด็กบ้า! ตัวเองเป็นคนตบหน้าคนอื่นแท้ ๆ แล้วจะมาร้องไห้ทำไม”

เท่านั้นเอง จากเสียงสะอื้นเล็ก ๆ ก็แปรสภาพเป็นเสียงร้องไห้โฮที่ส่งผลให้ร่างบางสั่นสะท้านไปทั้งตัว สิ่งที่เห็นทำให้จินตเมธสุดที่จะทนไหว

“หยุดร้องเดี๋ยวนี้!”

ราวกับเกรงว่าคำสั่งห้ามของตนจะไม่มีผล ชายหนุ่มจึงยื่นมือออกไปหมายจะกระชากร่างเล็ก ๆ เข้ามาจับเขย่า ทว่า แรงกระชากส่งผลให้ร่างเล็กที่ไร้แรงยึดเหนี่ยวซวนเซมาอิงแผ่นอกกว้าง

ณ ช่วงเวลานั้น ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง ดวงตาสองคู่สบประสานกันอย่างตื่นตะลึง แล้วก็เป็นฝ่ายจินตเมธที่รู้สึกตัวก่อน อารามตกใจทำให้ชายหนุ่มลืมตัวยกมือผลักร่างเล็กออกห่างด้วยแรงที่ไม่เบานัก

โป๊ก!

เสียงนั้นเกิดจากศีรษะของเด็กสาวไปกระแทกเข้ากับกระจกรถด้านข้าง และแรงกระแทกนั้นก็มากพอจะทำให้เกิดน้ำใส ๆ ขึ้นอีกครั้งในดวงตาคู่สวย

“ขอโทษ”

หลุดปากไปแล้ว จินตเมธก็นึกอยากจะหัวเราะทั้งที่ในใจรู้สึกเฝื่อนฝาดเต็มที

ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายถูกตบหน้า แต่กลับเป็นคนต้องออกปากขอโทษ

ชายหนุ่มนึกหยันตัวเอง ก่อนปรายตามองคนข้างตัวที่เวลานี้เอาแต่นั่งก้มหน้าเงียบ ความเป็นห่วงที่แวบเข้ามาทำให้อดไม่ได้ต้องออกปากถาม

“เจ็บมากหรือเปล่า”

คำถามนั้นได้รับเพียงอาการส่ายหน้ากลับมาเป็นคำตอบ หากนั่นไม่ต่างจากการโหมเชื้อไฟในหัวใจของชายหนุ่มให้กลับมาลุกโชนอีกครั้ง

ทำไมเขาจะต้องมาห่วงยายเด็กอวดดีนี่ด้วย ทั้งที่น่าจะโกรธมากกว่าที่กล้ามาตบหน้าเขา

จินตเมธได้แต่นึกอย่างฮึดฮัดขัดใจ ริมฝีปากได้รูปขบเม้มเข้าหากันอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะสตาร์ทรถแล้วขับเคลื่อนออกไปจากบริเวณนั้น ด้วยสีหน้าบึ้งตึง

หลังจากขับรถมาจอดที่หน้าบ้านเด็กสาวได้ครู่หนึ่ง คนข้างตัวที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวลงไปจากรถสักที จินตเมธจึงอดใจไม่ไหวต้องหันไปมองพลางบอก

“ถึงบ้านแล้ว”

หากความเงียบยังคงเป็นสิ่งที่เขาได้รับ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างเริ่มไม่ชอบใจ ริมฝีปากได้รูปเตรียมขยับออกด้วยหมายจะตั้งคำถามถึงสาเหตุของความเงียบงันที่ได้ ทว่า น้ำเสียงติดสะอื้นของคนข้างตัวก็ชิงดังขึ้นเสียก่อน

“จะ...เจ็บไหมคะ”

เมื่อความเงียบคือคำตอบที่ได้รับ น้องส้มจึงอดคิดไม่ได้

เขาคงโกรธมาก แล้วก็คงไม่ยอมให้อภัยเธอ

เด็กสาวเก็บงำความน้อยใจและเสียใจเอาไว้ ก่อนเปิดประตูแล้วก้าวลงไปท่ามกลางความเงียบงันที่ปกคลุม


------------------------------------------------------------------------------------------------------



สวัสดีค่ะ พันวลีเอานิยายเรื่องใหม่มาส่ง แหะ..แหะ แต่จะว่าไปก็ไม่ใหม่ซะทีเดียว เพราะเรื่องนี้อยู่ในไหดองมาปีกว่าแล้วค่ะ แต่เพราะตั้งใจจะปั่นเรื่องนี้ให้จบก็เลยนำมาอัพใหม่อีกครั้งจะได้เป็นการกระตุ้นตัวเอง ^^


หากอ่านแล้วรู้สึกขัดอกขัดใจ หรือมีอะไรอยากแนะนำเพิ่มเติมก็เชิญได้นะคะ คนแต่งยินดีรับฟังค่ะ


ขอบคุณค่ะ


พันวลี











พันวลี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 พ.ค. 2558, 21:34:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 พ.ค. 2558, 21:34:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 2220





   ตอนที่ 9 >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 13 พ.ค. 2558, 22:21:49 น.
อะหืมมมมมมม
อ่านแล้วครบรสเบยยยยย
นี่ละน้าาาา คู่ของตัวก็ดุกันจั๊งงงงงง ทีคนไม่ใช่คู่ก็หวานกันจั๊งงงงง


Zephyr 13 พ.ค. 2558, 23:02:49 น.
เอ เหมือนเคยอ่านแล้วแหะ แต่ไม่จบนี่นะ
คราวนี้จบมั้ยคะ ฮ่าๆๆๆ
จิน-ส้ม ธันว์-แก้ม สินะคะ
ฮ่าๆๆๆๆ โอ้ย เป็นFC ใครดี
ทุกคนเป็นตัวของตัวเองม้ากมาก อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account