เงามาร (กำลังรีไรท์ค่ะ)
'วาลาดา' ตื่นขึ้นมาพร้อมกับการรับรู้ว่าตัวเองมีสามีมีลูกแล้ว
ที่สำคัญ สามีของเธอคือเพื่อนในวัยเยาว์ที่ห่างเหินกันไป
หลายปีแล้ว เธอไม่ได้มีใจให้เขา เขาเองก็เกลียดเธอ
เหนือสิ่งอื่นใด เขาคือสามีของเพื่อนรักของเธอ
คำว่า "แย่งสามีเพื่อน"
กู่ก้องอยู่ในหัวและทำให้หัวใจของหญิงสาวแหลกสลาย...
เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปมีอะไรกับเขาตอนไหนจนมีลูก
กับเขาได้...แต่ลูกที่มีหน้าตาผสมผสานระหว่างเธอกับเขา
อย่างลงตัวทำให้เธอดื้นไม่หลุดกับหลักฐานการกระทำ
ของตัวเอง...
ความจริงดังกล่าว...ส่งให้ดาวดวงใหม่ที่ควรจรัสแสงแรงกล้า
อยู่บนฟากฟ้ากลับถูกกระชากลงมาให้แปดเปื้อนกลิ่นคาวคละคลุ้ง
ด้วยน้ำมือของใครบางคนที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังเงาดำนั้น
หญิงสาวก็สุดจะคาดเดาได้...
หญิงสาวที่ควรมีความสุขไปบนหนทางอันดีงาม เส้นทางของดาว
กลับถูกดึงรั้งเข้ามาสู่เส้นทางของมาร...เมื่อถูกความมืดมน
ดุจเมฆดำเข้าครอบงำฝังจิตใจ...เปลี่ยนผู้หญิงที่เคยแสนดี
กลายเป็นผู้หญิงร้ายกาจ...นั่นคือเธอที่กำลังถูกใครๆ
กล่าวขานอย่างไม่มีจบสิ้น...
ทางเดียวที่จะรอดพ้นไปได้ นั่นก็คือ เธอต้องต่อสู้กับมันให้ชนะ ต่อสู้กับเงามารที่คอยตามรังควานชีวิตเธอทั้งชีวิตให้ย่อยยับ
โดยไม่รู้เลยสักนิดว่า...เงามารที่เธอเห็นนั้นมีใครซ่อนอยู่
หลังเงานั่น...รอ...รอวัน...เพื่ออะไรบางอย่าง...
รอคอยและเฝ้าดูอยู่ข้างหลังอย่างอดทน...
ชักใยซึ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างพิถึพิถัน...และล้ำลึก...
วางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน รอบคอบและรัดกุม
ช่างเป็นการรอคอยอันแสนยาวนาน รอให้เธอมีความสุขที่สุด
ประสบความสำเร็จที่สุด พอได้จังหวะเหมาะจึงเข้าโจมตี...
จนวาลาดาคาดไม่ถึงว่าจะมีใครอดทนรอคอยเพื่อจองเวรเธอ
ได้นานถึงเพียงนี้...ช่างเป็นการทุ่มเทที่น่ากลัวเหลือเกิน...
เธอรู้...รู้ว่าสิ่งที่สำคัญ...คือเธอจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือ
หลังจากโดนโจมตีจนย่อยยับอับปางนี้ต่อไปอย่างไร...
นั่นคือ...สิ่งที่เธอตั้งใจอย่างแน่วแน่...
และอีกอย่างที่เธอจะต้องทำคือ...หาคนที่ซ่อนอยู่หลังเงานั้น
ให้เจอ! และถามให้รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของมันคืออะไร
และ...
หวังเพียงว่า...เธอจะไม่ถูกมันครอบงำได้อีกครั้ง...
หวังเพียงว่า...เธอจะได้พบกับแสงสว่างในชีวิตอีกครั้ง...
หวังเพียงว่า...ผู้ที่เธอได้ทำร้ายเอาไว้โดยไม่รู้ตัวจะให้อภัย
หวังเพียงว่า...เขาจะเข้าใจ เชื่อใจ อภัย และรักเธอ
หวังเพียงว่า...ยอดดวงใจซึ่งคือลูกน้อยจะปลอดภัย ไร้มลทิน
...ขอเพียงได้อยู่ดูแลคุ้มภายคุ้มใจคนที่รักตลอดไป...
...ขอเพียงคนที่เธอรักปลอดภัย เข้าใจ ให้อภัย
และรักเธอเท่านั้น....
ที่สำคัญ สามีของเธอคือเพื่อนในวัยเยาว์ที่ห่างเหินกันไป
หลายปีแล้ว เธอไม่ได้มีใจให้เขา เขาเองก็เกลียดเธอ
เหนือสิ่งอื่นใด เขาคือสามีของเพื่อนรักของเธอ
คำว่า "แย่งสามีเพื่อน"
กู่ก้องอยู่ในหัวและทำให้หัวใจของหญิงสาวแหลกสลาย...
เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปมีอะไรกับเขาตอนไหนจนมีลูก
กับเขาได้...แต่ลูกที่มีหน้าตาผสมผสานระหว่างเธอกับเขา
อย่างลงตัวทำให้เธอดื้นไม่หลุดกับหลักฐานการกระทำ
ของตัวเอง...
ความจริงดังกล่าว...ส่งให้ดาวดวงใหม่ที่ควรจรัสแสงแรงกล้า
อยู่บนฟากฟ้ากลับถูกกระชากลงมาให้แปดเปื้อนกลิ่นคาวคละคลุ้ง
ด้วยน้ำมือของใครบางคนที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังเงาดำนั้น
หญิงสาวก็สุดจะคาดเดาได้...
หญิงสาวที่ควรมีความสุขไปบนหนทางอันดีงาม เส้นทางของดาว
กลับถูกดึงรั้งเข้ามาสู่เส้นทางของมาร...เมื่อถูกความมืดมน
ดุจเมฆดำเข้าครอบงำฝังจิตใจ...เปลี่ยนผู้หญิงที่เคยแสนดี
กลายเป็นผู้หญิงร้ายกาจ...นั่นคือเธอที่กำลังถูกใครๆ
กล่าวขานอย่างไม่มีจบสิ้น...
ทางเดียวที่จะรอดพ้นไปได้ นั่นก็คือ เธอต้องต่อสู้กับมันให้ชนะ ต่อสู้กับเงามารที่คอยตามรังควานชีวิตเธอทั้งชีวิตให้ย่อยยับ
โดยไม่รู้เลยสักนิดว่า...เงามารที่เธอเห็นนั้นมีใครซ่อนอยู่
หลังเงานั่น...รอ...รอวัน...เพื่ออะไรบางอย่าง...
รอคอยและเฝ้าดูอยู่ข้างหลังอย่างอดทน...
ชักใยซึ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างพิถึพิถัน...และล้ำลึก...
วางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน รอบคอบและรัดกุม
ช่างเป็นการรอคอยอันแสนยาวนาน รอให้เธอมีความสุขที่สุด
ประสบความสำเร็จที่สุด พอได้จังหวะเหมาะจึงเข้าโจมตี...
จนวาลาดาคาดไม่ถึงว่าจะมีใครอดทนรอคอยเพื่อจองเวรเธอ
ได้นานถึงเพียงนี้...ช่างเป็นการทุ่มเทที่น่ากลัวเหลือเกิน...
เธอรู้...รู้ว่าสิ่งที่สำคัญ...คือเธอจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือ
หลังจากโดนโจมตีจนย่อยยับอับปางนี้ต่อไปอย่างไร...
นั่นคือ...สิ่งที่เธอตั้งใจอย่างแน่วแน่...
และอีกอย่างที่เธอจะต้องทำคือ...หาคนที่ซ่อนอยู่หลังเงานั้น
ให้เจอ! และถามให้รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของมันคืออะไร
และ...
หวังเพียงว่า...เธอจะไม่ถูกมันครอบงำได้อีกครั้ง...
หวังเพียงว่า...เธอจะได้พบกับแสงสว่างในชีวิตอีกครั้ง...
หวังเพียงว่า...ผู้ที่เธอได้ทำร้ายเอาไว้โดยไม่รู้ตัวจะให้อภัย
หวังเพียงว่า...เขาจะเข้าใจ เชื่อใจ อภัย และรักเธอ
หวังเพียงว่า...ยอดดวงใจซึ่งคือลูกน้อยจะปลอดภัย ไร้มลทิน
...ขอเพียงได้อยู่ดูแลคุ้มภายคุ้มใจคนที่รักตลอดไป...
...ขอเพียงคนที่เธอรักปลอดภัย เข้าใจ ให้อภัย
และรักเธอเท่านั้น....
Tags: ดราม่า ซุลก๊อตไนท์ วาลาดา นาดีม มาร มารร้าย ไสยศาสตร์ ญิน นุฮา อะสุเซน่า วารินทร์ อานิต้า
ตอน: บทพิเศษ Chapter 2
เอาบทพิเศษที่เหลือมาให้จ้าาาาาา...พยายามปีนต้นตาลเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
กลัวว่านักอ่านที่อ่านเรื่องนี้จะกลายเป็นคน "อ่อนหวาน" เพราะสาวมาม่า
กันแทบจะทั้งเรื่อง...เลยขอมอบความหวานเป็นของขวัญส่งท้าย...
ไม่แน่ใจว่าจะหวานถูกปากถูกคอกันรึเปล่า...แต่เต่าจัดให้หวานได้เท่านี้จริงๆ ^^
...ลองชิมน้ำตาลเมืองเต่าดูค่ะ...อิอิ
__________________________________________________________
ณ เกาะหลีเป๊ะ
นุฮาลงจากเรือเล็ก และเมื่อเท้าแตะพื้นทรายละเอียดเขาก็ไม่ลืมที่จะหันไปทาง
ภรรยาคู่ชีวิตก่อนจะจับมือประคองเธอให้ลงมาจากเรือ
อะสุเซน่าค่อนข้างเขินอายคนอื่นๆกับการเอาใจนั้นของเขาอยู่ไม่น้อย
และออกจะประหลาดใจอยู่เช่นกันที่เขาดูจะหวานกับเธอขึ้นเรื่อยๆ
จริงๆแล้วการลงจากเรือมันง่ายมากสำหรับตำรวจหญิงผู้ผาดโผนอย่างเธอ
หากส่วนลึกในหัวใจรู้สึกเหมือนมีอะไรมาตีปีกผับๆอย่างนิ่มนวลอยู่ในนั้น
เมื่อได้รับการปฏิบัติเล็กๆน้อยเช่นนั้นจากเขา
เมื่อลงมาจากเรือนุฮาก็พบว่า สามสาวที่เขาเคยเจอเดินทางมาพร้อมกับเขาอีกแล้ว
แม้จะเป็นความบังเอิญ หากเขาก็อดกังวลไม่ได้ เหตุการณ์เมื่อครั้งแรก
ที่เขามาเหยียบท่ีนี่มันยังไม่เลือนแม้เดือนจะเคลื่อนคล้อย
ชายหนุ่มเลยคว้าข้อมือของอะสุเซน่า จับมือเธอจูงแล้วก้าวเดินไปยัง
บ้านของหญิงสาวด้วยกัน เป็นการบอกเป็นนัยๆว่าเขามีเจ้าของแล้ว
และไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับสามสาวที่ยังคงส่งสายตาเป็นประกาย
สื่อความนัยอย่างเปิดเผยมาให้
“สามสาวนั้นเหมือนอยากจะกลืนกินคุณทั้งตัวเลยนะ…” ไม่วายแขวะเขา
ทั้งๆที่พยายามข่มใจเพราะไม่อยากพูดถึงคนอื่นลับหลังในทางไม่ดีแล้ว
แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ
“แต่สามสาวนั้นไม่ใช่คนที่ผมอยากให้กลืนกินนี่…คนนี้ต่างหากที่ผมรอ
ว่าเมื่อไหร่จะใจอ่อน…ยอมไต่ถังกับผมเสียที…”
อะสุเซน่าหน้าแดงจนต้องก้มหน้ามองเม็ดทรายราวกับจะมองหาตัวอะไรสักอย่าง
ที่มุดอยู่ในนั้น…เพื่อไม่ให้เขาได้เห็นความหวั่นไหวในแววตาเธอ…
การคบหาเป็นภรรยากับเขา ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกอะไรเลย
นับวันเขาก็ยิ่งมีอิทธิพลต่อเธอขึ้นเรื่อยๆ…เธอก็ไม่อยากปฏิเสธเขาหรอก…
แต่ให้ยังไงเธอก็ยังกังวลกับมันอยู่ดี…
เมื่อเดินมาถึงห้องส่วนตัวหลังจากทักทายกับมารดาและน้องชายเรียบร้อยแล้ว
หญิงสาวนำเสื้อผ้าในส่วนของเขาและของตัวเองไปเก็บ
นุฮาเดินเข้าห้องน้ำ เพื่ออาบน้ำชำระคราบเหงื่อไคลจากการเดินทาง…
กลับออกมาเห็นหญิงสาวกำลังยืนอยู่ตรงริมหน้าต่างห้อง
มองไปยังท้องทะเลสีครามในยามบ่ายคล้อย…
ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วสวมกอดหญิงสาวจากทางด้านหลัง ทำเอาเจ้าของเอวบาง
ที่โดนลำแขนรวบเอาไว้หลวมๆถึงกับสะดุ้ง…แล้วยิ่งรู้สึกหัวใจกระตุกเมื่อเขาเอาคาง
มาเกยไว้บนบ่าของเธอ…กลิ่นหอมอ่อนๆและสะอาดของเขาพาให้หัวจิตหัวใจของเธอกระเจิง
…ที่ผ่านมาเขาปล่อยให้เธอมีอิสระทุกอย่าง ไม่เข้ามาคลอเคลียแบบนี้
บางคืนเขาจะอยู่สะสางงานในห้องทำงาน ให้เธอได้นอนหลับบนเตียงอย่างสบายใจ
ไร้กังวล…คอยดูแลเอาใจใส่เรื่องอาหารการกิน เรื่องสุขภาพ ไม่เว้นแม้กระทั่ง
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปถึงมารดาและน้องชายสุดที่รักของเธอ…
เขามักจะนึกถึงคนอื่นๆเสมอเวลาพาเธอไปเดินซื้อของหรือท่องเที่ยวยังที่ใด
จะหาซื้อข้าวของไปฝากคนโน้นคนนี้ ผิดกับเธอที่แทบจะไม่ค่อยมีนิสัยแบบนั้นนัก…
ความละเอียดอ่อนแบบนี้เธอมีน้อยกว่าเขาจริงๆ…หากมันกลับเติมเต็มชีวิต
ที่ขาดๆเกินๆของเธอได้พอดีอย่างไม่น่าเชื่อ…
ความอ่อนโยนและความเฉียบขาดที่ไม่น่าจะมาอยู่กับผู้ชายได้อย่างลงตัวแบบนี้
กลับเป็นคุณลักษณะเด่นของเขา เขาเป็นผู้นำที่เข้มแข็งแต่มีความละมุนละไม…
เป็นผู้ชายที่อารมณ์ดีในขณะที่มีภาระหนักต้องแบก เธอแทบไม่เคยได้ยินเสียงบ่น
เกี่ยวกับเรื่องงานให้ได้ยินจากปากของเขาเลย เขาจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้า
ที่ไม่เคยปราศจากรอยยิ้ม…ขี้เล่นขี่แหย่ในเรื่องส่วนตัวหากกลับจริงจังกับเรื่องงาน
การคบกันระหว่างเขากับเธอเป็นการค่อยๆคบค่อยๆกระชับความสัมพันธ์ทีละเล็กละน้อย
ไม่หวือหวา ทว่าลึกซึ้งกินใจเธอ
จนบัดนี้ทุกพื้นที่ในหัวใจของเธอมีแต่เขาเต็มไปหมด…และยิ่งรู้สึกสั่นสะท้านในหัวอก
เมื่อเขากระซิบบอกเธอเบาๆว่า
“คืนนี้นะบัว…” หญิงสาวรู้สึกวูบๆวาบๆ ผิวแก้มรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา
แล้วเขาก็เอียงหน้าฝังจมูกและปากลงบนพวงแก้มของเธอ…
มันเหมือนเป็นการบอกให้เธอเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้…และเมื่อเขาผละไป
อะสุเซน่าก็แทบทรุดเข่าที่อ่อนยวบลงกับพื้น…
แค่กอดกับหอมแก้มเธอยังเป็นเอามากขนาดนี้…และถ้ามากกว่านี้ล่ะ…
หนึ่งปีกว่าๆที่ได้คบหากับเขาในฐานะภรรยาของเขา…มันน่าประทับใจมาก…
มากจนเธอมั่นใจในตัวเขา…เขาทำให้เธอเลิกกลัวความรัก อยากลิ้มลองกับมัน
เขายืนยันเธอด้วยการกระทำว่าเขารักเธอและจริงใจต่อเธอแค่ไหน…
จนเธอไม่กล้าปฏิเสธเขาได้อีกต่อไป…
เธอเป็นภรรยาของเขาแล้ว และเขาก็มีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น
ที่สำคัญ…ลึกลงไปแล้ว…เธอก็ต้องการเขา…หากความกังวลดูจะ
ทำให้วันทั้งวันที่เหลือนั้นทำให้อะสุเซน่าพูดน้อยหรือแทบจะไม่พูดเลย
ทำเอาผู้เป็นมารดาแปลกใจ ทว่า นุฮากลับเข้าใจเธอเป็นอย่างดี…
เขามั่นใจว่าเขาสามารถพาเธอก้าวผ่านความกลัวชนิดนี้ไปได้อย่างแน่นอน…
มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องขยับมารักกันให้มากขึ้น…แนบแน่นขึ้นกว่าที่เป็นอยู่…
บรรยากาศดีๆแบบนี้จึงเหมาะยิ่งนัก เขาอยากให้รางวัลทั้งเองและกับเธอ
จึงชวนเธอมาพักผ่อนที่นี่ ที่ที่มีคนที่สำคัญของสองคนในชีวิตของเธอ...
“เป็นไรพี่บัว…เห็นนั่งเงียบเชียว…ไม่สบายรึเปล่า…”
พูดพลางใช้หลังมืออังหน้าผากพี่สาว
“ตัวก็ไม่ได้ร้อนนี่นา…แล้วทำไมหน้าซีดขนาดนี้ล่ะ” ซีดยิ่งกว่าไก่ต้มอีก
นี่มันผีจีนในหนังที่เพิ่งผุดมาจากโลงชัดๆ
ส่วนคนที่พยายามทำตัวเฉยเมยเพื่อซ่อนงำความกลัวบางอย่างเอาไว้…
พยายามทำตัวแข็งแรงแกล้งทำว่าไม่หวั่นไหวมาตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันกับนุฮา…
ทั้งๆที่ข้างในนั้นช่างหวั่นไหวและสั่นสะท้าน…ใจนั้นปรารถนา...ทว่ายังกลัว…
“แม่ก็ว่าอยู่ จะถามแล้วว่าท้องรึเปล่า…” อะสุเซน่าหันไปมองมารดา
ที่กำลังนั่งปักครอสติชซึ่งเป็นงานฝีมือที่ท่านรักยิ่งชีพแล้วหันไปทางนุฮา
ที่กำลังนั่งอมยิ้มอยู่…
“เอ่อ…จะท้องได้ไงล่ะคะ…บัวยัง...” อะสุเซน่านึกขึ้นมาได้ว่าถ้าพูดต่อจนจบ
ว่าเธอยังไม่ได้มีอะไรกับเขาเลยก็เกรงว่าจะโดนแม่ตำหนิว่าเธอ
เป็นภรรยาที่บกพร่องต่อหน้าที่ขึ้นมา
“ก็แม่เห็นแต่งงานกันมาตั้งเป็นปีแล้ว จะท้องก็ใช่เรื่องแปลกอะไร…”
คนเป็นลูกถึงกับก้มหน้าเพื่อซ่อนความกระดากอาย…เรื่องอื่นให้หยอก
ให้ล้อแรงๆแค่ไหนเธอรับหน้าได้หมด ยกเว้นเรื่องนี้แหล่ะ
เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย มันคือจุดอ่อนไหวของเธอ…
ทั้งๆที่ตำรวจไม่ควรมีจุดอ่อนตรงนี้เลย…คนอื่นคงไม่มี แต่นี่คือเธอ
และไม่เคยมีใครรู้ว่านี่คือจุดอ่อน…เพราะเธอเลือกที่จะซ่อนเอาไว้อย่างดีมาตลอด
ภายใต้หน้ากากหญิงเหล็ก…
“กินสิพี่บัว…ผมลองทำขนมตาลเอาไว้เพื่อต้อนรับแขกที่มาพัก…
อยากได้ความเห็นจากลิ้นที่กินง่ายอย่างพี่ดู…”
คนเป็นน้องชายคะยั้นคะยอให้พี่สาวชิมขนมไทยๆของตนที่เพิ่งหัดทำ…
“หน้าตาผ่านแล้ว…” อะสุเซน่าบอก ก่อนจะหยิบมาชิมดูหนึ่งชิ้น
แต่ไม่ทันไรก็ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำเพราะรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา…
“ว่าแล้วมั้ยล่ะ…แบบนี้ท้องชัวร์…แม่ฟันธง!” คนเป็นแม่มองตามหลังลูกสาวลอดแว่นตา
แล้วได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุขที่จะได้อุ้มหลาน
นุฮาลอบยิ้มให้กับคำวิจารณ์นั่นก่อนจะวิ่งตามไปดูคนที่วิ่งเข้าห้องน้ำไปเมื่อครู่
“แม่ว่าพี่บัวท้องหรือ…”
“จะเป็นอย่างอื่นไปได้รึ…หน้าซีด ไม่มีไข้ คลื่นไส้อาเจียนแบบนั้นน่ะ”
คนมีประสบการณ์วินิจฉัยอาการของลูกสาวอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ผมจะมีหลานแล้วหรือครับนี่…”
“ถ้าให้ชัวร์จริงๆต้องไปตรวจฉี่…” จามาลยิ้มกว้าง นึกอยากมีหลานขึ้นมาเหมือนกัน…
ส่วนนุฮาที่เหมือนจะรู้เหตุที่มาแทรกกายเข้าไปในห้องน้ำ
เข้าไปยืนซ้อนอยู่ตรงด้านหลังของคนที่ยืนกวักน้ำบ้วนปากล้างหน้าตรงอ่างล้างหน้า
ก่อนจะยกมือลูบหลังหญิงสาวเบาๆทำเอาคนที่ก้มหน้าก้มตาวักน้ำถึงกับสะดุ้ง
เงยหน้าก็พบว่าเขายืนอยู่ตรงด้านหลังผ่านกระจก…
นุฮาจับบ่าของหญิงสาวแล้วหมุนให้เธอหันมาเผชิญหน้ากับเขา…
มือหนายกมือปัดปอยผมที่เคล้าเคลียออกไปจากดวงหน้าซีดเซียวนั้นให้อย่างอ่อนโยน…
ก่อนจะจูบหน้าผากนั้นอย่างอ่อนโยนนุ่มนวล…
“ทำใจให้สบายสิบัว…เรียกความเป็นตัวเองกลับมาสิ…”
บอกแล้วก็ดึงร่างบางเข้ามาสวมกอดเอาไว้…
“เครียดจนลงกระเพาะแบบนี้ไม่ดีรู้มั้ย…” น้ำเสียงของเขาดูห่วงใย
ซ้ำยังลูบผมเธอไปด้วยเป็นการปลอบ…ทำให้หญิงสาวรู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้น
หลังจากที่เกร็งมาหลายชั่วโมง…
“ฉันเป็นผู้ชายที่รักเธอนะ…และเธอเองก็รักฉัน…อย่ากลัวฉันเลย…
ฉันแค่อยากให้เธอมีความสุข…” พูดจบเขาก็จูงมือเธอพาขึ้นห้อง
แล้วจัดแจงให้นอนลงบนเตียงก่อนจะห่มผ้าให้อย่างดี…
ก่อนผละไปเขามองหน้าเธอด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก แล้วลูบผมเธอเบาๆ
อย่างอ่อนโยน…
“พักผ่อนซะ วันนี้เดินทางมาเหนื่อยๆ เธอคงจะเพลียด้วย…ส่วนเรื่องนั้น
ถ้าเธอยังไม่พร้อม…ฉันก็จะไม่เร่งรัดเธอ…ฉันรอได้…”
เขาบอกก่อนจะเดินไปหยุดยืนตรงหน้าต่างห้อง ทอดสายตาไปยังท้องทะเล…
อะสุเซน่าลอบถอนใจก่อนจะหลับตาลง…เธอคงจะเพลียจากการเดินทางอย่างเขาว่าจริงๆ…
ทั้งๆที่เมื่อก่อนเธอเป็นนักเดินทาง เป็นนักล่าฆาตกร
ตกกลางดึกสงัดคืนนั้น…เธอตื่นมาพบว่าเขากำลังละหมาดอยู่…
อะสุเซน่าลุกขึ้นนั่ง…หลังจากตะวันตกดินและละหมาดมัฆริบแล้ว
เธอก็กลับมานอนจนกระทั่งตอนนี้ถึงรู้สึกตัว…หญิงสาวจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำ
หลังจากนั้นก็มาหยุดตรงด้านหลังเขาเพื่อทำละหมาดอิชาแล้วตามด้วยละหมาดตะฮัจยุด
จนกระทั่งเขาที่นั่งรอเธออย่างสงบด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮฺ อะสุเซน่่าก็ขึ้นไปนั่งข้างๆเขา ยกมือเพื่อขอสัมผัสกับมือทั้งสองของเขาก่อนจะนำมือทั้งสองของตนมาลูบใบหน้า
นุฮายิ้มให้เธอแล้วลุกขึ้นเปลี่ยนชุด หญิงสาวจึงทำตาม…
เสร็จจากการละหมาดอันยาวนาน…อะสุเซน่าก็กลับมานั่งอยู่บนเตียงอีกฟาก
ส่วนนุฮาก็นั่งอยู่อีกฟาก…หัวใจหญิงสาวเต้นแรงแทบจะระเบิด
เมื่อเขาลุกขึ้นเดินมาหา…นุฮากล่าวแก่ภรรยาของตนว่า
“ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน โอ้ประตูแห่งผู้ปรานียิ่ง…”
อะสุเซน่าเข้าใจได้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร เธอจึงตอบเขากลับไปว่า
“ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่านเช่นกัน โอ้นายผู้ที่ได้รับความไว้วางใจ”
หลังจากน้ันเขาก็จับมือขวาของเธอ ก่อนจะจับมืออีกข้างของเธอมากุมไว้ด้วยกัน
พร้อมกับกล่าวช้าๆว่า
“ฉันขอยินยอมว่า อัลลอฮฺคือพระผู้อภิบาลของฉัน…”
แล้วเขาก็เริ่มแกะกระดุมชุดนอนของภรรยาสาว อะสุเซน่าหน้าตื่น
ได้แต่มองใบหน้าของเขาเพราะไม่กล้ามองมือของเขา
ก่อนจะรู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วสรรพากายเมื่อเขาใช้มือท้ั้งสองข้างของเขาลูบไล้
บนเรือนกายของเธอไปมาอย่างช้าๆ และนิ่มนวล อ่อนโยน…
พร้อมกับการกล่าวซอลาวาต(สรรเสริญ) ให้แก่นบี 3 ครั้งว่า
“โอ้อัลลอฮฺ…ขอได้โปรดประทานซอลาวาตให้แก่นบีมุฮัมหมัด
และเครือญาติของนบีมุฮัมหมัด…” แล้วเขาก็ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของอะสุเซน่า
อย่างนุ่มนวลจนหญิงสาวรู้สึกวาบหวามยากจะพรรณนาออกมาเป็นถ้อยคำใดได้…
และไม่มีสักขณะจิตที่เธอจะลืมพระเจ้าเฉกเช่นเขาในขณะนี้ที่กล่าวนามของพระองค์
นุฮาจึงก้มลงจุมพิตหน้าผากนั่นอีกครั้งพร้อมกับอ่านพระนามของอัลลอฮฺว่า
“โอ้ผู้ทรงอ่อนโยน อัลลอฮฺผู้ทรงประทานรัศมีเหนือรัศมีทั้งมวล
รัศมีนั้นได้ทอแสงเหนือบุคคลที่พระองค์ต้องการ”
อะสุเซน่าผู้ได้รับจุมพิตจากเขาตกอยู่ในภวังค์ราวกับจมดิ่งอยู่ในห้วงมหาสมุทร
แห่งเนียะมัต (สิ่งอำนวยสุข) ที่เธอไม่เคยพบพานมาก่อนหน้านี้เลยตลอดชีวิตทั้งชีวิต
ที่ผ่านมาและเธอพร้อมแล้วที่จะสนองตอบเขาผู้เป็นที่รักยิ่งของเธอด้วยความเต็มใจ…
ความกลัวในหัวใจบินหายไปยังถิ่นใด หญิงสาวหาได้ใส่ใจอีกต่อไป…
เขาได้โน้มเธอลงนอนบนท่ีนอนอันแสนนุ่ม บนหมอนที่หอมกรุ่น…
ก่อนจะตะแคงศีรษะของเธอไปทางซ้ายและทางขวาแล้วอ่านพระนามของอัลลอฮฺ
“ในการฟังของเจ้า อัลลอฮ์ทรงได้ยินยิ่ง…” แล้วเขาก็จุมพิตที่หูข้างขวาของเธอ
แล้วจับหน้าเธอให้ตะแคงไปทางซ้ายก่อนจะอ่านจะอ่านพระนามดังกล่าวอีกครั้ง
พร้อมกับจุมพิตที่หูของเธอ แล้วเป่าลมลงในใบหูของเธอ
เป็นการกระทำที่อะสุเซน่าไม่อาจจะบรรยายออกมาได้ด้วยคำพูดอีกเช่นกัน
รู้แต่เพียงว่า เธอกำลังพบกับบางอย่างที่ไม่เคยพบพาน…
แล้วเขาก็อ่านดุอา (คำอวยพร) ว่า
“โอ้อัลลอฮ์ แท้จริงเราได้เปิดชัยชนะที่ชัดเจนให้แก่สูเจ้าแล้ว…”
แล้วเขาก็จุมพิตที่ตาข้างขวาของเธอ แล้วอ่านดุอาข้างต้นอีกครั้งแล้วจุมพิตที่ตาข้างซ้าย
แล้วเขาก็อ่านพระนามของอัลลอฮฺว่า
“โอ้ผู้ทรงการุณ โอ้ผู้ทรงเมตตา โอ้ผู้ทรงปรานี โอ้อัลลอฮฺ”
แล้วเขาก็จูบแก้มขวาของอะสุเซน่าแล้วย้อนกลับไปอ่านพระนามดังกล่าวอีกครั้ง
แล้วจูบที่แก้มซ้ายของเธอ หลังจากนั้นเขาจึงอ่านอายะฮฺ (บท) ที่ว่า
“แน่นอน เขาก็จะมีความสุข มีโชค และได้รับสวรรค์อันบรมสุข”
จากนั้นเขาก็จุมพิตจมูกของภรรยาที่รัก เป็นจุมพิตที่สามารถผูกจิตวิญญาณ
ระหว่างสามีภรรยาอันจะทำให้ภรรยารู้สึกถึงความรักที่แท้จริงจนไม่อาจลืม
ผู้เป็นสามีและจะผูกพันธ์แน่นแฟ้นกับสามีไปตลอดตราบเท่าที่สามีของเธอยังมีชีวิตอยู่
จากนั้นนุฮาก็อ่านพระนามของอัลลอฮฺว่า
“โอ้ผู้ทรงกรุณาในโลกดุนยา (โลกนี้) โอ้ผู้ทรงปรานีในโลกอาคิเราะห์(โลกหน้า) “
แล้วเขาก็จุมพิตที่คางของภรรยาสาวพร้อมกับอ่านพระนามของอัลลอฮฺว่า
“อัลลอฮฺนั้นคือ (ผู้ประทาน) รัศมีแก่ฟากฟ้าและแผ่นดิน”
แล้วเขาก็ได้ไล่ลงไปจุมพิตที่คอ แล้วอ่านพระนามของอัลลอฮฺนี้อีกครั้งแล้วจุมพิต
ที่ลำคอของเธอ หลังจากนั้นจึงอ่านโองการต่อมาว่า
“อันจิต (ของมุฮัมหมัด) ย่อมไม่มุสาในสิ่งที่ได้มองเห็น”
แล้วก็จับฝ่ามือข้างขวาของอะสุเซน่าแล้วจุมพิตลงบนฝ่ามือนั้น
ก่อนจะจุมพิตที่ฝ่ามือข้างซ้าย หลังจากนั้นนุฮาได้อ่านพระนามของอัลลอฮฺว่า
“และข้าได้ให้ความรักจากข้าแด่เจ้า” แล้วเขาก็ก้มลงจุมพิต
ที่ยอดปทุมอันบริสุทธิ์ทั้งสองข้างแล้วอ่านดุอาว่า
“โอ้อัลลอฮฺ ผู้ทรงมีชีวิตอยู่ โอ้ผู้ทรงดำรงอยู่ด้วยพระองค์เอง…"
แล้วนุฮาก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับภรรยาสาวที่เขาได้ทำการหยอกล้อหรือเล้าโลม
ก่อนมีความสัมพันธ์กันตามขั้นตอนที่ผู้ศรัทธาควรปฏิบัติซ่ึงเป็นสุนัตที่หากทำจะได้ผลบุญ
หากไม่ทำก็ไม่ได้ผิดบาปแต่ประการใด
เพราะเขาต้องการให้ครั้งแรกระหว่างเขากับเธอได้รับความเป็นศิริมงคลจากพระเจ้า
ซึ่งสิ่งดังกล่าวเป็นดั่งกุญแจนำไปสู่ครอบครัวที่ผาสุก
มือใหญ่สัมผัสใบหน้าหวานตรงหน้า ลูบไล้ด้วยความเสน่หาก่อนจะก้มลง
มอบจุมพิตไปบนริมฝีปากสวยนั่นแล้วค่อยๆก้าวเข้าไปควานหาความหวานล้ำยังภายใน
ดื่มกินจนอิ่มเอมจึงผละมาในขณะที่มือก็ยังคงโลมลูบไปทั่วเรือนกายส่วนบน…
แล้วพยายามสำรวจตรวจตราเพื่อค้นหาว่าตรงไหนของเรือนกายเธอ
ที่จะเป็นจุดปลุกเร้าอารมณ์และความปรารถนาเพื่อมอบความสุขสำราญให้กับเธอ
แล้วลูบไล้อย่างอ่อนโยนตรงจุดนั้นจนความปรารถนาของเธอและของเขาถูกจุดขึ้น…
อะสุเซน่ากัดปากตัวเองเพื่อไม่ให้หลุดเสียงออกไปให้ต้องอายเขา…
ก่อนจะค่อยๆสลัดความอายเพื่อตอบรับสัมผัสจากเขาอย่างคนที่ไร้ซึ่งประสบการณ์
ทั้งทางทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ทุกอย่างเป็นไปโดยธรรมชาติด้วยการโน้มนำจากเขา
เขาจะพาเธอไปทางไหนเธอก็จะขอตามติดไปด้วยทางนั้น…
“มองผมบัว…มองหน้าผม อย่าปิดตาสิครับคนดี…”
นุฮาใช้ปลายนิ้วแตะลงบนปลายคางของเธอเบาๆแล้วเชยคางนั้นขึ้น
พร้อมกับก้มลงมอบจุมพิตให้เธอเพื่อปลอบขวัญกับการที่เขาทำให้เธอเจ็บปวด
หากเมื่อผ่านช่วงที่ยากที่สุดไปได้ อะสุเซน่าก็ค้นพบว่าหลังความเจ็บปวดอันแสนทรมาน
มันคือความหฤหรรษ์อย่างที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบพานกับสิ่งดังกล่าว…
หญิงสาวกอดเขาเอาไว้แน่นเมื่อเขากำลังพาเธอไปพบกับแดนสุขาวดี…
นุฮาอ่านดุอาในใจขณะได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกับอะสุเซน่า
แล้วได้ทำการปลดปล่อยกระแสน้ำอุ่นอันเช่ี่ยวกรากเข้าสู่ไร่นาของอะสุเซน่า
ขณะได้หว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปด้วยว่า
‘ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ข้าแต่อัลลอฮฺ โปรดทรงให้ชัยฏอน (มารร้าย)
ห่างไกลจากเรา และโปรดให้ชัยฏอนห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ให้เป็นริสกี (ปัจจัย)
แก่เราด้วยเถิด…’
หลังจากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นเกลี่ยไรผมของหญิงสาวแล้วซับเม็ดเหงื่อให้อย่างอ่อนโยน
ยิ้มให้เธอพร้อมกับเอ่ยเสียงหวานว่า
“ขอบคุณครับสำหรับของขวัญล้ำค่า…” อะสุเซน่ายิ้มอย่างเอียงอาย
ที่เขาคือชายคนแรกในชีวิตที่ใกล้ชิดเธอยิ่งกว่าใคร...และได้เห็นในสิ่งที่
เธอไม่เคยเปิดเผยให้ใครได้เห็น...เขาคือคนแรกของเธอ...
นุฮาเลยก้มลงจุมพิตที่หน้าผากนั้นแล้วค่อยๆไล่ลงไปยังเปลือกตาทั้งสอง
ก่อนจะหอมแก้มนวลทั้งของข้าง จุมพิตที่ปลายคางจนไปจบลงที่ริมฝีปาก…อย่างเนิ่นนาน
เป็นการสัมผัสอย่างอ่อนโยนหลังมีสัมพันธ์กัน สร้างความอบอุ่นในหัวใจ
ให้หญิงสาวจนสุขล้น
หลังจากนั้นเขาก็ยกร่างเธอขึ้นอุ้ม พาไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาด
ด้วยกันทั้งสองคน…เสร็จแล้วก็ส่งผ้าเช็ดตัวมาให้เธอหนึ่งผืน
ก่อนจะหันไปเช็ดตัวเองให้แห้งสะอาด แล้วหันมาช่วยเช็ดเส้นผมให้เธอ
เป่าผมให้…ช่วยหวีผมให้…แม้กระทั่งช่วยแต่งตัวให้เธอ…
สุดท้ายก็อุ้มเธอไปยังที่นอนที่เขาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ใหม่…
โดยเก็บผืนก่อนหน้านี้ที่มีหลักฐานของการสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตของลูกผู้หญิงของเธอ
เพื่อนำไปพับเก็บเอาไว้อย่างดี…
“ฝันดีนะครับ…” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากที่ก้มลงจุมพิตหน้าผากเธอแล้วทรุดกาย
ลงนอนข้างๆเธอ ก่อนจะรวบเธอเข้าไปกอดเอาไว้อย่างหวงแหนรักใคร่…
อะสุเซน่ารู้สึกว่าตัวเองได้ตกหลุมรักเขาลึกยิ่งขึ้น…เขาน่ารักขึ้นทุกที…
อะไรหนอที่ทำให้เธอหวาดกลัวผู้ชายที่แสนอ่อนโยนอ่อนหวานและนิ่มนวลทุกการกระทำ
ในยามที่มอบทุกๆสัมผัสให้กับเธอ เขาไม่ได้เห็นแก่ตัว ไม่เลย…
เขาใจดี เขาโอบอ้อมอารี เขาเอื้ออาทร…และเป็นผู้นำที่แข็งแรงในทุกๆก้าว...
หญิงสาวจึงกอดตอบสามีสุดที่รักเอาไว้แน่น สบตากับเขานิ่งในท่านอนตะแคง
หันหน้าเข้าหากัน…ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวานอย่างที่นุฮาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
จากอะสุเซน่า...เขายอมรับอย่างเต็มหัวใจว่า หญิงสาวที่ดูแข็งๆผู้นี้หาได้แข็งกระด้างไม่
เธออ่อนหวานและมีความเป็นผู้หญิงเต็มเปี่ยม ซ้ำยังน่าเอ็นดูในยามที่เธอคอย
ติดตามเขา คอยตอบสนองเขาอย่างไม่ประสีประสา เขาเองก็ไม่เคยมีสัมพันธ์
กับหญิงใด เธอคือคนแรก หากเพียงแต่เขานั้นได้ร่ำเรียนด้านวิชาการและศึกษา
เรื่องนี้อย่างที่ควรจะทำการศึกษาไว้เพื่อจะได้มอบความสุขให้กับภรรยาเมื่อเวลานั้นมาถึง
และเมื่อเห็นเธอมีความสุข เขาก็ยิ่งมีความสุข...ยิ่งถ้อยคำของเธอนั้น
ช่างเป็นคำตอบได้ดีถึงค่ำคืนแรกของเธอและเขาว่าเธอรู้สึกมีความสุขแค่ไหน
และมันงดงามเพียงใด
“ขอบคุณค่ะที่ทำให้บัวก้าวผ่านความกลัวที่เป็นจุดอ่อนของบัวมาตลอดได้สำเร็จเสียที…”
นุฮายิ้มกว้าง ก่อนจะจุมพิตเบาๆที่ปลายจมูกนั่นอย่างมันเขี้ยว
“ผมเข้าใจ…และผม…รักคุณนะบัว…รักเหลือเกิน…”
“บัวก็รักคุณค่ะ…” ทั้งสองมองกันและกันด้วยความรักที่เต็มเปี่ยมจากใจ
ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปในเวลาไล่เลี่ยกัน…ในค่ำคืนแรกอันงดงามในความรู้สึกของทั้งสอง…
ที่จะเป็นประตูสู่ครอบครัวอันผาสุกและปิติยินดี…
ครอบครัวอันจะประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก…
คลื่นรักสงบลงพร้อมสองร่างที่ต่างซุกซบเพื่อมอบความอบอุ่นให้กันและกัน...
หากเสียงคลื่นยังคงครางครวญ ทะเลไม่เคยหลับใหล ท้องฟ้าไม่เคยขาดสีสัน...
หาดทรายยังคงอาทรต่อเกลียวคลื่นยามม้วนตัวเข้าหา...ทิวสนยังคงยืนท้าทายลมแรง
อย่างไม่เคยท้อแท้...เพราะสายลมคือมิตรแท้ผู้ไม่เคยลาจาก...
ลมทะเลพัดหอบความเย็นเข้ามาเคล้าเคลีย โลมไล้ให้กับทั้งสองร่างที่กำลังหลับใหล
ราวกับมิตรสหายที่หมายจะเข้ามาทักทายให้หายคิดถึง...
____________________________________________________
ณ กรุงเทพมหานคร...
“เฮ้อ…วานะอยากให้ดีมกับน้าเล็กลงเอยกัน…”
วาลาดาเอ่ยขึ้นขณะนั่งอยู่ตรงระเบียงที่ยื่นออกไปยังสวยสวยณ คฤหาสน์วรรัศมิ์สกุล
เนื่องจากมารดาของซุลก๊อตไนท์ไม่ยอมให้ซุลก๊อตไนท์สร้างบ้านหลังใหม่
และย้ายไปอยู่ที่อื่น ท่านขอร้องให้อยู่ด้วยกันเสียที่นี่
คฤหาสน์หลังนี้จะได้ไม่เหงา…ไม่เป็นที่อยู่ของเหล่าญินและบรรดาชัยฏอน
เพราะห้องว่างๆเหล่านั้นพวกญินและชัยฏอนจะเข้าจับจองเป็นเจ้าของ
ถ้าเราไม่เข้าไปอยู่อาศัย
ทำให้สองสามีภรรยาและลูกทั้งสองตกลงปลงใจจะอยู่ร่วมกันทั้งหมด ณ ที่แห่งนี้…
ครอบครัวจะได้อบอุ่น ครีื้นเครง และจะได้เป็นการปฏิสัมพันธ์กัน
ในหมู่เครือญาติซึ่งศาสนาสนับสนุนให้กระทำ…ไม่ให้มีการทิ้งบ้านเรือนให้รกร้างว่างเปล่า…
“กลัวเขาจะมาแย่งฉันไปจากเธอล่ะสิ…”
ซุลก๊อตไนท์แกล้งแหย่วาลาดาที่กำลังนั่งให้นมลูกสาวที่กำลังกินกำลังโต…
ส่วนคนเป็นพี่ชายที่ดูจะโตขึ้นตั้งแต่มีน้องซึ่งขณะนี้โดนใช้งานจากผู้เป็นย่า
ให้ช่วยเพาะพันธุ์ต้นไม้ดอกอยู่ตรงสวนด้านล่างซึ่งสามารถมองเห็น
จากตรงจุดที่เขากับวาลาดานั่งอยู่…
“ใครว่า…ก่อนหน้านี้วาคิดว่าจะให้ก๊อตแต่งกับดีมมาเป็นภรรยาก๊อตอีกคนซะด้วยซ้ำ…”
คนฟังถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะดีใจจนนั่งไม่ติด…
และที่อยู่ๆหน้าแดงหูแดงก็ไม่ใช่เพราะเขิน
“นี่ดีใจจนหูแดงเลยรึก๊อต…” วาลาดาหันมายิ้มให้คนหูแดง…
“บอกไว้ก่อนนะ…หญิงอื่นวาไม่รับรองเหมือนดีมนะ…ถ้าอยากเพิ่มเมีย
คนๆนั้นเป็นดีมได้แค่คนเดียวนะ…คนอื่นนั้น ต้องผ่านเซ็นเซอร์ก่อน
ว่าเราพอจะร่วมบ้านกันได้ไหม…เฮ้อ…” วาลาดาถอนใจเสียงดังทีเดียว
“แต่เอาเถอะ…ถ้าก๊อตอยากเพิ่มเมีย จะเป็นใครคนไหนก็ตามแต่เถอะ…
ขอแค่ก๊อตพอใจและมีความสุข…วาก็โอเช…”
คนขี้แกล้งที่หูแดงๆตอนนี้เริ่มตาลุกวาวราวกับตาของแมงมุมลายตัวนั้น
ที่ซมซานเพราะโดนน้ำฝนจนต้องไถลลงจากบนหลังคา
“เมื่อก่อนฉันขอเพิ่มเมียเธอหน้าบึ้งตึงหึงแล้วตบ…ตอนนี้มาแปลก
หรือว่าเธอทำใจได้ถ้าฉันไปมีใครเธอไม่หึงแล้วรึ…”
วาลาดามองคนที่ส่งน้ำเสียงสะบัดๆมาให้แล้วให้งงๆ
“อ้าว…ไม่หึงและไม่ทำหน้าบึ้งตึงมันไม่ดีหรือก๊อต…”
“จำไว้…รักฉันต้องหึง…และไม่ควรยกฉันให้ใครที่ไหนอีกเข้าใจมั้ย…
ฉันมีเจ้าของแล้ว…คือเธอ…จำใส่ใจเอาไว้ซะ…” เขาย้ำอย่างเคืองๆ
“หึงไม่ได้แปลว่ารัก…” วาลาดาค้านหัวชนฝา
“แต่คนที่รักกันมักจะหึง…” เขาสวนกลับทันควัน
“เรารึอุตส่าห์ให้เกียรติ…ไม่หึงเพราะไว้วางใจ คนอะไรไม่เข้าใจอะไรบ้างเลย…
เอาใจยากจริงๆ…ตอนมาขอเพิ่มเมียเราไม่พอใจก็หาว่าเราไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อใจ…
พอตอนนี้เราใจดีอยากให้มีเมียเพิ่ม กลับว่าเราไม่รัก…
เกิดเป็นวาลาดา…อะไรๆก็ผิด…ผิดเสมอ…”
วาลาดาเปรยเบาๆพร้อมส่ายหน้าไปมาด้วยแววตายิ้มแย้มเป็นประกาย
ทำเอาซุลก๊อตไนท์เริ่มรู้ตัวว่าโดนวาลาดาย้อนศรเอาคืน…
“สงสัยฉันคงต้องกระชับความสัมพันธ์เพิ่ม…อีกข้ัน…ก้าวขึ้นไปอีกระดับ”
ซุลก๊อตไนท์เหมือนจะสื่อบางอย่างที่วาลาดานั้นรู้ดีว่าคืออะไร
“อยากได้เพิ่มอีกกี่คนฮึวา…สงสัยที่นอนกินนมอยู่ในตักและที่กำลังปลูกต้นไม้อยู่ในสวน
จะน้อยไปล่ะมั้ง…” วาลาดากระตุกยิ้มที่มุมปากกับท่่าทางกร่างๆ
ของคนที่กำลังโกรธเนื่องจากเหตุผลที่เธอไม่หึงเขา…ช่างน่าเป็นห่วงจริงๆสามีเรา…
“อย่ามัวแต่ข่มขู่กันอยู่เลยก๊อต…เพราะวาไม่เคยกลัวคำขู่…
กลัวก็แต่ก๊อตจะทำไม่ได้อย่างที่พูดมากกว่า” เหมือนโดนท้าทาย
วาลาดากำลังท้าทายศักยภาพของเขา…แถมยังยิ้มยั่วอีก…ให้ตายสิ…ยัยปิงปอง!
อีกไม่ช้า เธอได้กลายเป็น 'ยัยปิ้งป่อง' แน่
“อยากคลอดลูกแบบหัวปีท้ายปีเลยใช่มั้ย…”
“ถ้าก๊อตทำได้วาให้ล้านนึง…” วาลาดาท้ากลับ…ซุลก๊อตไนท์จ้องตายัยแม่ลูกสองนิ่ง…
เขากับวาลาดาไม่เคยคุมกำเนิด…และถ้าท้ามาอย่างนี้
อย่าคิดว่าเขาจะยอมให้เธอได้แตะต้องตัวช่วยพวกนั้น…ไม่ว่าจะกิน ฉีด
หรือว่านับหน้าเจ็ดหลังเจ็ดก็อย่าหวัง
“ล้านนึง…” เสียงใสๆดังขึ้นขณะโผล่หน้าออกมาจากผ้าคลุมของมารดา
ทำเอาสองสามีภรรยาหันมามองและหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน
“หัวปี ล้านนึง…” เจ้าตัวเล็กที่นอนเงี่ยหูฟังพ่อแม่คุยกันอยู่นานขณะดูดนมมารดาอยู่
อย่างสำราญเอ่ยขึ้นแบบจับต้นจนปลายไม่ถูก ที่พูดได้คือ จำอะไรท่อนไหน
ก็พูดท่อนนั้นออกมา…ส่วนคนที่มีหน้าที่ปะติดปะต่อเรื่องราวดูจะเป็น
คนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ตอนนี้ยิ้มไม่ยอมหุบ
“อยากได้น้องมั้ยคะลิดาคนสวยของพ่อ…” เด็กสาววัยขวบเศษกะพริบตาปริบๆ
มองพ่อทีมองแม่ทีอย่างไม่เข้าใจว่า 'น้อง' คืออะไร
“หม่ำๆ…หม่ำๆ…” ซุลก๊อตไนท์หัวเราะร่วนทีเดียวเมื่อรู้ว่านั่นคือคำตอบรับของลูกน้อย
เพราะหากพอใจหรืออยากได้จะพูดคำนี้ออกมา
“สงสัยจะคิดว่าน้องคือของกินแหงๆ…ลูกก๊อตแต่ละคนตะกละเหมือนก๊อตหมดเลย…
หวังว่าถ้าจะมีมาอีกก็ขอให้เหมือนวาบ้าง…”
“คนต่อไปอยากได้หญิงหรือชายขอให้บอก…”
“อย่างกับว่ารีเควสไปแล้วจะได้ตามคำขอ…” วาลาดาสบประมาทเข้าให้
“เธอจะรู้อะไร…ของแบบนี้ผู้ชายเขารู้ว่าจะต้อง...ท่าไหน…ยังไง…”
“อย่ามาพูดติดเรทใส่หูลูกสาวนะ…”
“รู้เรื่องที่ไหนกัน…ดูตาสิ แป๋วแหววเชียว…มานี่มา…มาหาพ่อมา…
มาให้พ่อหอมแก้มหน่อยสิคะ…” ว่าพลางกางแขนรอรับร่างของลูกสาว
ที่กำลังโผเข้ามาหา ก่อนจะรวบร่างน้อยมากอดแล้วหอมแก้มไปหลายฟอด
“แก้มหอมเหมือนแม่ตอนสาวๆจริงๆเล้ย...ลูกสาวพ่อ…”
“แล้วตอนนี้ไม่สาวที่ตรงไหน…”
“ตอนนี้ก็สาว แต่สาวน้อยกว่าตอนนั้นนิดนึง…” วาลาดาเลยฟาดไปตรงลำแขนข
องซุลก๊อตไนท์อย่างเคืองๆ…
“แต่ก็หอมไปอีกแบบ…แบบใหม่ที่ไม่เหมือนแก้มเด็ก…”
แววตาคนพูดวิบวับ กรุ้มกริ่ม ทำเอาวาลาดาหน้าแดงเห่อ…
ฟาดหน้าเขาด้วยสายตากลับไป…ซุลก๊อตไนท์จึงยิ้มกริ่มตาเป็นประกายตอบ…
“งั้น…ถามอะไรก๊อตหน่อยได้มั้ย…ตอนนั้น…ตอนแรกน่ะก๊อตรู้สึกยังไงกับวากันแน่…
ขอของจริงเนื้อเรื่องจริงๆนะ…ห้ามพูดเพื่อถนอมน้ำใจกัน…”
วาลาดาอยากรู้ความจริงสุดๆ มันคาใจเธอมาตลอด
เขาบอกเธอแค่อ้อมๆแอ้มๆเหมือนไม่อยากจะพูดถึงฉากรักฉากนั้น
“ตอนนั้นอารมณ์ใคร่ล้วนๆ…เพราะโดนปลุกด้วยยา…ต่อให้คลำไปไม่มีหาง
ฉันก็คงฟาดเรียบ…เธอก็เลยโดนฉันฟาดไปเต็มคราบ”
เขายอมรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
“มันคือการปลดปล่อย การระบาย ไร้อารยธรรม…เธอคงเดาได้
แต่ถ้าอยากฟังรายละเอียดทุกช็อต…ฉันจะบรรยายให้ดู…คืนนี้!”
วาลาดาเสียวสันหลังวาบๆ…หวังว่าเขาจะไม่สาธิตให้ดูหรอกนะ…
ไอ้แบบไร้อารยธรรมนั้น เธอไม่พิศวาสอยากจะลองนักหรอก...
ว่าแต่ไร้อารยธรรมกับเถื่อนเนี่ย มันเหมือนกันรึเปล่า ???
เขาใช้ศัพท์สูงจนบางครั้งก็จินตนาการไม่ค่อยจะถูกเหมือนกันนะเนี่ย...
“แต่ครั้งท่ีสอง…ฉันโดนเธอปลุก…และคงไม่ต้องบรรยายในเชิงลึก
เพราะครั้งนั้น…เธอมีสติครบถ้วนสมบูรณ์…ไม่น่าจะลืมได้ลง…
แต่ถ้าอยากได้แบบฝึกหัดทบทวน...ฉันก็ยินดีติวให้ฟรีไม่คิดตังค์...
แต่ถ้าพลาดพลั้ง เธอต้องแบกท้องเอาเองนะ...ฉันมีหน้าที่แค่ประคอง
ร้องเจ็บแทนเธอตอนคลอดไม่ได้หรอก...”
วาลาดาหน้าแดงเห่อ แม้จะมีอะไรกับเขาจนมองเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติสามัญไปแล้ว
แต่ก็อดหน้าแดงไม่ได้ทุกที…และคนมองเองก็เหมือนจะชอบที่ได้ทำให้เธอหน้าแดง
เสียเหลือเกิน…
“ระหว่างสองครั้งนั้น…ฉันไม่ยุ่ง ไม่แตะต้องเธอเลย…เพราะฉันรังเกียจ
และที่สำคัญ…ฉันรู้สึกเหม็นเธอ…บอกไม่ได้ว่าเหม็นยังไง…แต่มันเหม็น
จนฉันขนลุกทุกครั้งที่เข้าใกล้เธอ…มีแค่ครั้งที่สองที่แม่เธอขอให้ฉันกับเธอนิกะฮ์กันอีกรอบ…
หลังจากที่เธอคลอดลูกแล้ว…เพราะแม่เธอเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจในศาสนา
ที่ก่อนหน้านั้นฉันนิกะฮ์กับเธอในขณะที่เธอกำลังตั้งครรภ์ เพราะทำเธอท้องก่อนแต่ง
ท่านอยากให้ฉันทำให้มันถูกต้องและดีงามอีกสักครั้งด้วยการนิกะฮ์กับเธอ
หลังจากที่เธอคลอดลูกแล้ว…ซึ่งฉันเห็นด้วยก็เลยยินยอมนิกะฮ์กับเธออีกรอบ…
เธอเหมือนเธอที่เป็นอยู่…แถมยังเพี้ยนไม่คิดจะรับคำนิกะฮ์ของฉันอีก…
ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเป็นคนวางแผนทุกอย่างเพื่อให้ได้ฉันเป็นสามี
จนในที่สุด แม่เธอเข้าไปพูดบางอย่างแล้วเธอก็ยอมรับคำนิกะฮ์…
ครั้งนั้นเธอทั้งสวยและหอมหวานไปทั้งเนื้อทั้งตัวจนฉันแทบยั้งใจเอาไว้ไม่อยู่…
กะจะจับเธอกินแล้วล่ะ แต่ยังไม่ทันไร…เธอก็กลับมาเหม็นเหมือนเดิม…
จนฉันรับประทานเธอไม่ลงจริงๆ…ฉันเองก็เพิ่งรู้ว่าคนโดนมารร้ายสิงจะเหม็น
ได้ขนาดนั้น...แต่ก็ไม่เห็นว่าคนอื่นๆจะเหม็นเหมือนฉัน...ประหลาดดีแท้...
ท่ีสำคัญ...ตอนนั้น...ฉันพยายามรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับนาดีมด้วยว่า
จะไม่แตะต้องเธอ...ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากในตอนแรก เพราะฉันเหม็นเธอ
แต่มายากในตอนหลัง เพราะว่าเธอทำให้ฉันยั้งใจไว้ไม่อยู่...กลิ่นมันผิดกัน
พอผิดกลิ่น ฉันก็เลยกินเธอซะเต็มคราบ ทำผิดสัญญากับนาดีมอย่างไม่อาจ
ทำอะไรได้ดีไปกว่า...ยอมฉีกสัญญาปากเปล่าทิ้งไป...”
วาลาดากะพริบตาปริบๆอย่างงงๆ เพราะเรื่องที่ว่านี้เธอไม่เคยได้ยิน
เขาหรือใครไม่เคยเล่าให้เธอฟัง อาจเพราะเธอไม่ได้ถามหรือเปล่านะ
“ทำไมวาไม่เห็นรู้เรื่องเลย…ว่าเราเคยนิกะฮ์รอบสองมาแล้ว
สรุปว่ารอบล่าสุดนี่รอบที่สามงั้นสิ...ก็แล้วทำไมก๊อตไม่เล่าให้ฟังบ้าง”
“โหยวา…ถ้าให้ฉันเล่าวีรกรรมตอนเธอบ้าๆบอๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายตอนนั้นน่ะ
ฉันเล่าไม่ไหวหรอก…อีกอย่าง ฉันไม่อยากเอามันมาใส่ไว้ในสมองของเธอ…
จะจำไปทำไม เรื่องบางเรื่องไม่ได้จะน่าจดจำ ไม่รู้ดีกว่ารู้…
ฉันเองไม่ชอบรื้อฟื้นด้วย…อีกอย่างตอนนั้นฉันแค่นิกะฮ์เฉยๆ
ไม่ได้จัดงานวะลีมะฮ์ (งานเลี้ยงหลังสมรส) เพราะพ่อเธอขอเอาไว้…
ท่านไม่อยากให้ยุ่งยากเป็นขี้ปากชาวบ้านหลายรอบ…”
เพราะรอบแรกก็แทบเอาปึ๊บคลุมกันอย่างถ้วนหน้า...วาลาดาจึงพยักหน้า
อย่างเข้าใจไปกับเหตุผลของเขาและของบิดามารดา…
“ในวันนิกะฮ์มีแต่คนเรียกเธอว่า 'วาลาดาแอ๊บแบ๊ว'…
เพราะเธอกลับมาเป็นวาลาดาที่แสนดี ทำตัวน่ารักกับคนโน้นคนนี้…
จนฉันมาเข้าใจและปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทั้งหมดในภายหลังอีกรอบ
เมื่อได้ฟังจากปากของพี่นุบวกกับปากของน้าเล็ก…”
“ยังไงหรือก๊อต…”
“พี่นุบอกว่า…แม่เธอพยายามทำทุกอย่างให้มารร้ายที่สิงร่างเธออยู่ออกไป…
ด้วยการขอให้อาจารย์การีมช่วยไล่มันให้…แต่เธอไม่เคยให้ความร่วมมือในการไปหาท่าน…
แม่เธอเลยขอให้อาจารย์การีมซึ่งเมื่อก่อนท่านเลี้ยงญินไว้ 2 ตน
แต่หลังๆมาท่านบอกว่าไม่ได้เลี้ยงแล้วแต่คบเป็นเพื่อนกันเฉยๆ…
แม่เธอเลยขอร้องให้ท่านช่วยขอให้เพื่อนที่เป็นญินของท่านช่วยไล่ญินร้าย
ที่มาสิงร่างเธอให้หน่อย…ท่านตอบว่า…ญินที่เป็นเพื่อนของท่านมี 2 ตน
แต่ญินมารร้ายที่สิงเธอมี 7 ตน ญินของท่านสู้มันไม่ไหว…
เห็นว่าแม่เธอพยายามทำอยู่หลายวิธีที่ไม่ขัดกับหลักการอิสลาม…แต่ก็ไม่สำเร็จ
จนครั้งนั้น แม่เธอน่าจะทำสำเร็จนะ วันที่ฉันนิกะฮ์กับเธอครั้งที่สอง
เพราะแม่เธอกระซิบบอกฉันว่า…เจ้าสาวของฉันในวันนั้นคือลูกสาวของท่านจริงๆ…
ฉันเองตอนนั้นยังงงๆ ไม่เข้าใจอะไรนักหรอก…และไม่ได้สนใจอะไรมากด้วย…”
วาลาดานิ่งฟังอย่างตั้งใจ
“และอีกครั้งที่ฉันก็เพิ่งรู้จากปากพี่นุว่า…วันที่เธอฟื้นนั้น…เป็นวันที่ญิน 2 ตน
ของอาจารย์การีมไล่ญิน 7 ตนนั้นสำเร็จด้วยการร่วมแรงของฉัน
โดยที่ฉันเองก็ไม่ได้รู้หรอกว่าฉันมีส่วนเต็มๆ เพราะฉันกับเธอเกือบฆ่ากันตายด้วยซ้ำ…
เธอจะฆ่าฉันด้วยการกดหัวฉันลงไปในอ่างน้ำหลังจากที่ฉันจับเธอลงไปในอ่างน้ำ
หวังให้เธอหายบ้า แต่เรี่ยวแรงของเธอเยอะจนฉันในตอนแรกสู้ไม่ไหว
แต่ด้วยแรงฮึด ฉันเลยได้เป็นฝ่ายจับหัวเธอกดน้ำบ้าง…
เธอบ้าเพราะโดนมารครอบงำ ส่วนฉันตอนนั้นก็โกรธจนขาดสติ…
เกือบทำเธอตายไปแล้ว โชคดีที่เธอแค่หมดสติไป…
และน่าจะเป็นช่วงนั้นแหล่ะที่เธอหลุดพ้นจากการครอบงำของญินมารร้าย
แล้วญินของอาจารย์การีมเข้าช่วยเธอจากการครอบงำได้อีกครั้ง…"
ซุลก๊อตไนท์หยุดเพื่อหายใจก่อนจะพูดต่อไปว่า
"ไม่แปลกที่แม่เธอจะให้เธอรีบไปหาอาจารย์การีมเป็นการเร่งด่วน
เพราะน้าเล็กได้เล่าให้ฉันฟังว่า…แม่ของนาดีมเขาเป็นคนใช้ญินมารร้ายพวกนั้น
ที่เขาเลี้ยงไว้ไปครอบงำเธอ ก็คือสิงร่างเธอนั่นแหล่ะ
มีหลายครั้งที่มันไม่สามารถครอบงำเธอต่อได้ เธอก็เลยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
จนชาวบ้านเขาสับสน…ซึ่งนาดีมจะเป็นคนพาเธอไปพบแพทย์
และแพทย์ที่ว่านัั้นก็เป็นเพื่อนของน้าเล็ก…เลยสะดวกและสามารถปกปิดความลับได้…”
“ไปพบแพทย์ทำไมหรือก๊อต…”
“เพื่อสะกดจิต…”
“สะกดจิต?” วาลาดาตกใจทีเดียวกับสิ่งที่ได้รับรู้
“มีด้วยหรือ…”
“อืม…เขาเรีกว่าสะกดจิตเพื่อลบเลือนความทรงจำ…ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว
ไม่มีใครสามารถสะกดจิตให้สูญเสียความทรงจำได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว
การสะกดจิตเพื่อลบเลือนความทรงจำนั้นทำได้…โดยการให้รู้จักยอมรับ
เมื่อจิตใต้สำนึกยอมรับ ก็จะพัฒนาไปสู่ ‘การวางเฉย’ ซึ่งการวางเฉยนี้
จะทำให้เหตุการณ์หรือบุคคลในความทรงจำนั้นค่อยๆถูกลดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ
จนนำไปสู่การลืมเลือน ไม่มีความใส่ใจต่อความทรงจำเหล่านั้นในที่สุด…
ยิ่งได้ตัวยาที่ฉันเคยเล่าให้เธอฟังเข้าร่วมด้วยก็ยิ่งไม่ต้องคิด…”
“น้าเล็กรู้เรื่องน้ีหรือ…”
“รู้…แต่เขาพูดไม่ได้หรอก…ลูกสมุนของแม่นาดีมไม่ธรรมดานักหรอกนะ…
ช่วงหลังๆที่ฉันพอจับเคล็ดลับได้เลยขอให้น้าเล็กเข้าร่วมภารกิจลับนั่นแหล่ะ…
ฉันถึงรู้เรื่องพวกนี้จากปากของน้าเล็กที่สารภาพผิดจนหมดเปลือก…
ว่าเขาก็มีส่วนร่วมในการทำร้ายเธออยู่ไม่น้อย…และเรื่องที่เธอฟื้นเพราะมารที่สิงเธอนั้น
มันสู้ญินของอาจารย์การีมไม่ได้นั้น นาดีมไม่รู้หรอก…เพราะแม่เขาอายที่จะ
สารภาพกับลูกสาวว่าทำพลาด…ไร้ศักยภาพ..แต่น้าเล็กเขารู้…ที่รู้เพราะว่า
แม่ของนาดีมเขามักไปปรับทุกข์ไประบายให้ฟัง…สรุปว่า...จบข่าวนะวา…
และต่อไปห้ามชวนฉันคุยเรื่องพวกนี้อีก...เธอไม่ควรจะนำมาใส่ใจด้วยซ้ำ
มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะนะวา...ปิดฉากเลยแล้วกัน...ฉันขอร้อง!”
“ถึงว่าสิ…ก่อนเสีย…แม่พูดกับวาแปลกๆ…ที่แท้แม่ก็คอยช่วยเหลือวามาตลอดนี่เอง…”
พูดแล้วก็ให้คิดถึงมารดาขึ้นมา วาลาดามองไปยังลูกสาวที่นั่งฟังพ่อแม่คุุยกัน
อย่างสนใจบนตักของซุลก๊อตไนท์แล้วให้ยิ้มออกมา
…แม่เธอคงรักเธออย่างที่เธอรักลูกของเธอนี่แหล่ะ…รักที่ยอมตายแทนได้…แลกชีวิตด้วยได้…
“พี่นุบอกก๊อตเรื่องแม่ตอนไหน…” วาลาดาเริ่มสงสัยขึ้นมา จะให้ปิดฉากเธอยังทำ
ณ ขณะน้ีไม่ได้ แต่ต่อไป เธอไม่รื้อฟื้นมันอีก...
“หลังจากที่ฉันกลับมาจากเกาะรังรัก…เพราะฉันเองก็ติดใจสงสัยเรื่องที่เธอ
ฟื้นขึ้นมาเหมือนกัน มันมีอะไรหลายๆอย่างที่เหมือนยังขาดชิ้นส่วนสำคัญไป…
ฉันเลยลองเสี่ยงถามพี่นุดู…พี่นุเลยเล่าให้ฟัง และที่พี่เขาไม่เล่าให้เธอฟัง
ก็คงคิดไม่ต่างจากฉันคือ…การไม่รู้ย่อมดีกว่า…สบายใจกว่า…
ขนาดแม่เธอยังไม่ยอมบอกอะไรเธอ…นั่นก็แสดงว่าท่านไม่อยากให้เธอ
แบกการรู้ในสิ่งนี้ไว้…ท่านอยากเห็นเธอมีความสุขกับปัจจุบัน…
เหมือนฉันเหมือนพี่นุที่ก็หวังอยากเห็นเธอมีความสุขกับปัจจุบันเช่นกัน…”
วาลาดามองคนตรงหน้าอย่างขอบคุณ และคงต้องขอบคุณพี่ชายที่แสนดีอย่างพี่นุด้วย
ที่คอยเป็นสายลมใต้ปีก คอยช่วยเหลือเธอมาตลอดทั้งที่เธอรับรู้และโดยไม่เคยได้รับรู้…
การทำเพื่อคนอื่นไม่จำเป็นต้องประกาศต่อเขาว่าเราทำเพื่อเขาเลย…
เธอเข้าใจแล้วว่าความบริสุทธิ์ใจมีคุณค่าและมีความหมายแค่ไหน…
เหมือนแม่ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อลูกโดยไม่ได้หวังสิ่งใดจากลูก…
ไม่โอ้อวดความดีที่ตนทำต่อลูก...
อยู่ๆเธอนึกถึงประโยคนึงที่ตราตรึงใจขึ้นมา
‘แม่ของท่านมอบหัวใจให้แก่ท่านเมื่อตอนที่ท่านยังเล็ก…
แต่ไฉน…ท่านกลับมอบหัวใจให้นาง…เมื่อโตขึ้น…’
กับอีกประโยคกินใจนึง ซึ่งเมื่อก่อนเธอไม่ได้ใส่ใจนัก หากวันนี้มันทำให้เธอน้ำตาคลอ
‘ลูกจะไม่มีวันได้พบกับหัวใจที่อ่อนโยนกับลูกมากกว่าแม่อีกแล้ว…’
ใช่แล้วล่ะ…ไม่มีอีกแล้ว หัวใจดวงใดที่จะอ่อนโยนกับเธอได้เทียบเท่า ‘หัวใจของแม่’
แม่ไม่ใช่แค่พยายามคอยปัดยุงไรออกไปจากเธอเท่านั้น
แต่แม่เฝ้าพยายามปัดป้องความเลวร้ายออกจากชีวิตเธอด้วย…
ทำให้โดยที่เธอไม่ต้องร้องขอ…ทำให้โดยที่ไม่จำเป็นต้องให้เธอรับรู้…
และคงมีอีกมากมายหลายเรื่องราวที่แม่ทำเพื่อเธอโดยที่เธอไม่เคยได้รู้เลย…
“ขอบใจนะก๊อตที่คอยดูแลเอาใจใส่ และคอยปัดเป่าความเลวร้ายไปจากวาและลูกๆ…
คงมีหลายอย่างที่ก๊อตทำให้วาแต่วาไม่รู้…แต่วาอยากบอกว่า…
ขอบคุณ…สำหรับความเอื้ออาทรท่ีมีให้วาและคนที่วารัก…”
พูดจบก็โผเข้ากอดซุลก๊อตไนท์แน่น รวบร่างลูกสาวเข้าไปกอดด้วย…
ทำเอาเจ้าลูกชายที่กำลังเดินขึ้นบันไดมายังระเบียงบ้านรีบวิ่งฉิวเข้ามาเป็นอีกส่วนหนึ่ง
ด้วยทันทีทันใด ก่อนจะเข้าไปกอดน้องสาวเอาไว้ จนได้อ้อมกอดของพ่อแม่
เข้าไปเต็มๆ
เมื่อทั้งสี่ผละออกจากกัน…เจ้าซุลฟาที่ถือดอกชบาสีแดงดอกใหญ่ในมือมาด้วยสองดอก
ก็หันไปยิ้มให้น้องสาว เจ้าน้องสาวที่มีนามเหมือนมารดาว่า ‘วาลิดา’ หรือ ‘น้องลิดา'
ยิ้มแฉ่งโชว์ฟันกระต่ายน่ารักๆให้กับพี่ชายที่มาพร้อมดอกไม้ในมือ…
“พี่ฟาเอามาฝาก…” บอกพร้อมยื่นดอกไม้งามสีสันสดใสให้น้องสาว
แต่เมื่อเห็นผมที่ผูกเป็นแกละทั้งสองข้างของน้องสาวจึงนึกอะไรขึ้นได้
มือป้อมๆของคนเป็นพี่ชายจึงเสียบก้านดอกชบาไปตรงที่มัดเป็นแกละ
ให้น้องสาวทั้งสองดอกก่อนจะหัวเราะลั่นเมื่อเห็นดอกชบาสีแดงดอกโตสองดอกของตน
ไปบานอยู่บนศีรษะของน้องสาวที่ผมยาวสวยสีดำมันวาวนุ่มมือทีเดียว…
ทำเอาซุลก๊อตไนท์กับวาลาดาหัวเราะตามไปด้วย
เจ้าน้องสาวตัวน้อยก็พลอยฟ้าพลอยฝนหัวเราะตามไปติดๆ…
“ไปกับพี่ฟามั้ย…พี่ฟาจะพาไปเก็บดอกไม้ในสวน…”
คนเป็นพี่ชวนน้องสาวที่อยู่ในชุดลูกหมีสีฟ้าตัดกับดอกชบาสีแดงบนหัวทันที
คนเป็นน้องเลยกางแขนอ้ารอรับพี่ชายเป็นการตอบรับคำชวนทันทีทันใด
และไม่ลืมหันไปมองพ่อทีแม่ทีเพื่อเป็นการปรึกษา ทั้งสองเลยพยักหน้า
เท่านั้นแหล่ะ เจ้าตัวเล็กกระโดดขี่หลังพี่ชายและกอดคอพี่เอาไว้แน่น
วาลาดากับซุลก๊อตไนท์มองดูลูกสาวขี่คอลูกชายแล้วยิ้มทั้งปากทั้งตา
ให้กับความรักความผูกพันธ์ระหว่างสายเลือดที่ย่อมข้นกว่าสายน้ำ
ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับคว้ามือวาลาดามากุมไว้แล้วจูงให้เดินตามสองพี่น้อง
ที่ตอนนี้…เปลี่ยนมาจูงมือ คนพี่เดินนำ ส่วนคนน้องก็เดินตามพี่ชายต้อยๆๆ
เสียงเจื้อยแจ้วสลับเสียงหัวเราะสดใสของสองพี่น้องดังมาไม่ขาดสาย…
เห็นภาพคนเป็นพี่ชายเอื้อมมือคว้าดอกชบาที่อยู่สูงเกินที่น้องสาวจะเอื้อมถึงมัน
หากติดอยู่แค่ปลายเอื้อมเท่านั้นเอง และสุดจะคว้าได้
ไม่นานต่อจากนั้น…คนเป็นพ่ีชายก็นั่งลงให้น้องขี่หลังแล้วยืดตัวให้น้องสาว
เป็นคนเอื้อมมือไปคว้าดอกไม้มา…เสียงหัวเราะชอบใจดังตามมาเมื่อคนเป็นน้อง
สามารถคว้าดอกชบาดอกงามมาไว้ในมือได้สำเร็จ…
คนเป็นพี่เลยพาน้องสาวที่ขี่หลังวิ่งไปมาในสวน…
ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาที่เฝ้ามองดูอยู่พลอยมีความสุขไปด้วย
“ฉันตัดสินใจแล้วว่า…เราจะต้องเดินหน้าต่อ…กระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ล้านนึงไม่เคยพอ…ถ้าเธอคลอดได้…ฉันให้สองล้าน…”
คนที่บอกว่าจะ ‘ทำ’ เอ่ยกับคนที่มีหน้าที่ ‘คลอด’ ด้วยเสียงหนักแน่น…
ทำเอาวาลาดายิ้มออกมาก่อนจะชวนเขานั่งลงตรงผืนหญ้าใต้ร่มไม้ใหญ่
ซุลก๊อตไนท์เลยฉวยโอกาสทิ้งตัวลงนอนลงบนผืนหญ้าวางศีรษะลงบนหน้าตักของวาลาดา
นึกถึงภาพวันวานที่เคยหวานกัน…
แม้สถานที่เปลี่ยน แต่ความหวานไม่เคยน้อยลง…ความขมอาจมีบ้าง
แต่ไม่ว่าจะขมหรือหวาน เขาไม่ใส่ใจ ขอแค่มีวาลาดาเป็นแม่ของลูกๆไปอย่างนี้…
เขาก็พอใจแล้ว…
“ฉันจะไม่เพิ่มเมียหรอกนะ…แต่อยากเพิ่มลูก…เธอคงต้อง…เหนื่อยหน่อยนะวา…”
พูดขณะช้อนตาขึ้นสบตาวาลาดาที่ก้มลงมามองเขาพอดีพอดี
“เหนื่อยแต่มีความสุข…วาทนได้…” พูดจบก็ก้มลงประทับจุมพิตตรงกลางหน้าผาก
ของซุลก๊อตไนท์...
และเพียงไม่นาน...สองพี่น้องก็บุกเข้าใส่ทั้งสองที่กำลังจู๋จี๋กันอยู่พอดี…
ร่างของคนเป็นลูกสาวบุกเข้านั่งคร่อมลงบนแผ่นอกของบิดาแล้วก้มหน้าลง
คลุกใบหน้าของตนกับใบหน้าบิดาอย่างมันเขี้ยว…
ส่วนเจ้าลูกชายก็เดินไปเกาะหลังของคนเป็นแม่แล้วก้มลงเอี้ยวคอหอมแก้มมารดา
ไปทั้งแก้มซ้ายแก้มขวาไม่ให้บิดาเห็น…เดี๋ยวจะโดนโวย…
เลยใช้ทีเผลอขโมยหอมแก้มแม่ไปสองฟอด
ทำเอาวาลาดาหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขแล้วตอบแทน
ด้วยการหอมแก้มเจ้าลูกชายที่ยื่นแก้มมาให้อย่างเต็มอกเต็มใจไปสองฟอด
อย่างเท่าเทียมกัน…
“ตาวิเศษเห็นนะ…” ซุลก๊อตไนท์เอ่ยออกมา ทำเอาเจ้าลูกชายหัวเราะแหะๆ
หากก็ยังไม่ยอมหยุดที่จะก้มลงหอมแก้มแม่แล้วกอดคอแม่จากทางด้านหลังเอาไว้
อย่างหลวมๆ กลัวแม่จะหายใจไม่ออก…
ทำเอาลุงหมานและอัยรีนที่กำลังช่วยกันเอาพันธุ์กล้าลงดินในสวนแห่งนั้นหันมามองภาพนั้น
ด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้า และไม่วายหันไปลุ้นอีกฟากฝั่งของสวนแห่งนี้
ซึ่งกำลังเจรจาว่าความเพื่อจะหามนาดีมลงจากคานให้ได้
“ให้อภัยน้าได้ไหมดีม…” ใบหน้านิ่งๆ ไร้ปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ
ทำให้คนที่เฝ้าอธิบายความประสงค์ของตนเองมานาน
จากที่ก่อนหน้านี้มีมารดาของซุลก๊อตไนท์นั่งอยู่ด้วย…จนบัดนี้ไม่เหลือใคร
นอกจากเขากับนาดีมที่กำลังนั่งอยู่ในสวน ซึ่งเป็นสถานที่เปิด…
พยายามทิ้งระยะห่างต่อกันไว้ไม่ให้ใกล้ชิดกันจนเกินไป...
หากหญิงสาวยังคงนิ่งเช่นเคย…เขารู้ว่าเธอได้ยินในสิ่งที่เขาพูดทั้งหมด…
และกำลังฟันมันทุกคำ…
แม้นาดีมในวันนี้จะไม่ได้สวยใสอย่างวันวาน หากเขาก็ยังรู้สึกรักเธอไม่ได้น้อยลง
ลึกลงไปมันเอาไว้ซึ่งความสงสาร ความเห็นอกเห็นใจ…
และไม่ใช่แค่เปลือกที่เปลี่ยนไป เนื้อในของเธอก็ดูจะไม่เหมือนเดิม…เขารับรู้ได้…
เพราะที่เขาเห็นคือเปลือกที่เก็บความตั้งใจดีเอาไว้ข้างใน
…เธอดูสงวนท่าทีได้อย่างเป็นธรรมชาติ…กลายเป็นเสน่ห์ที่เขาไม่เคยพบจากนาดีม
มาก่อน...และถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาก็คงไม่พึงปรารถนาหญิงในลักษณะนี้
และคงมิได้มองว่าสิ่งดังกล่าวคือเสน่ห์...
เพราะไฟราคะที่ลุกโชนมักจะโน้มนำเขาให้เห็นความเร่าร้อนเป็นความสวยงาม
เย้ายวนน่าลิ้มลอง...ประดุจแมงเม่าบินเข้ากองไฟ...
“น้ารู้ว่าน้าเหมือนคนที่ใจร้ายกว่าใครทุกคนที่ไม่ได้อยู่ด้วย
ในวันที่ดีมกำลังตกที่นั่งลำบาก…”
นาดีมไม่มีหนทางใดที่จะสื่อสารกับเขาได้ว่า...ที่ผ่านมาเธอเข้าใจเขา
เพียงแต่เธอเสียใจ น้อยใจที่เขาไม่ยอมมาเยี่ยมเยือนเธอในขณะที่เธอกำลังเจ็บปวด
ทั้งกายและใจ…เธอรู้ว่าเขายังอยู่ไม่ได้จากเธอไปไหนอย่างที่พ่อกับแม่ทำกับเธอ…
แต่เขาก็ไม่มาหา…เหมือนเธอไม่ได้มีค่ามีความหมายในสายตาเขาเลย
ทั้งๆที่เธอคิดมาตลอดว่าเขารักเธอ…แต่สุดท้ายคนที่อยู่ข้างกายเธอกลับไม่ใช่เขา
กลับเป็นวาลาดากับซุลก๊อตไนท์…และคนที่เธอเคยคิดเอาชีวิตมาก่อนแทบทั้งหมด…
คนที่เธอไว้ใจหักหลังไม่ทำให้เธอเจ็บช้ำเท่ากับการที่เขาทำหมางเมิน…
ห่างหายและห่างเหินไป…เขาทำเหมือนที่คนในสังคมรอบกายทำกับเธอ…
เพราะเห็นว่าเธอมันเลว มันชั่วช้าจนไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้ ไม่มีประโยชน์อันใด
ให้พวกเขาได้เก็บเกี่ยวจากเธออีกต่อไป พวกเขาก็เลยปล่อยทิ้งร้างเธอเอาไว้ไม่ใส่ใจ...
เธอน่ะไม่ได้เพิ่งจะมาเป็นคนเลว...แต่เธอทำเลวทำชั่วมาทั้งชีวิต
หากก็มีมวลมิตรมากมายห้อมล้อมเอาอกเอาใจและคอยมอบรักมอบความปรารถนาดี
มาให้โดยตลอดไม่เคยขาด...แต่พอชีวิตเธอร่วงต่ำ พายุกระหน่ำซ้ำเติม
พวกเขาก็หลบหนี พอเธอละทิ้งความชั่วช้าเลวทรามที่เคยกระทำมา
ด้วยการกลับเนื้อกลับตัวหันมาทำความดี หมู่มิตรมากมายเหล่านั้นกลับบินหาย...
เมื่อเป็นทุกข์...ไม่มีใครให้เธอได้ปรับทุกข์ ไม่มีใครข้างกาย ไม่มีใครคอยเช็ดน้ำตา
นอกจากเพื่อนเก่าและมิตรภาพในวันวาน...ที่ไม่ว่าเธอเคยทำเลวร้ายไว้สักเพียงไหน
ก็พร้อมให้อภัยในความผิดพลั้งไปของเธอ...ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครต้องการ
และไม่มีใครรักเธอได้เท่ากับวาลาดาอีกแล้ว...
ยิ่งวาลาดาดีกับเธอเท่าไหร่...เธอก็ยิ่งเจ็บปวดและผิดหวังเหลือเกิน
กับมิตรภาพจอมปลอมที่เธอเคยลุ่มหลงมานานปี...
พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้จริงใจกับเธอเลยสักคน...จำนวนมวลมิตรที่มากมาย
พอได้ความวิบัติเข้ามาคัดสรร ผลลัพธ์ออกมาคือเธอไม่เหลือมิตรในหมู่ผู้คนเหล่านั้น
ที่จริงใจกับเธอ หวังดีต่อเธอจากใจแม้สักคนเดียว...
แท้จริงแล้ว...พวกเขาเหล่านั้นต้องการสิ่งใดจากเธอกันแน่...
แล้วคนตรงหน้าเล่า...ต้องการสิ่งใดจากเธอกันเล่า ถึงได้กลับมาหาเธอ
ในวันที่เธอยืนหยัดได้แล้ว...
“น้าอยากให้ดีมเข้าใจน้า…และก้าวไปด้วยกันกับน้า…นะดีม…
น้าตั้งใจจะดูแลดีมไปตลอดจนสิ้นลมหายใจ…เราจะอยู่ด้วยกันอย่างถูกต้อง…
จะพยายามใช้ชีวิตที่เหลืออย่างถูกต้อง…บนหนทางที่เที่ยงตรง…ด้วยกัน…”
คนฟังท่ียังสับสนกับเหตุผลที่เขากลับมารู้สึกอุ่นวาบในหัวใจทันทีที่ได้ยินประโยคดังกล่าว
…ความหนาวเหน็บที่แฝงเร้นถูกไอร้อนแผ่ปกคลุมก่อเป็นหมอกสีขาวกลางใจ…
มิใช่ควันพิษอย่างที่ผ่านมา
เธอเองก็อยากจะเปลี่ยนเป็นคนที่ดี…อยากลบความเลวร้ายในวันวานออกไปจาก
ความทรงจำให้หมด…ลบเลือนด้วยความดี…มิใช่วิธีลบเลือนความจำแบบที่เธอ
เคยทำไว้กับวาลาดา…เพราะตั้งแต่ชีวิตร่วงต่ำเธอก็พบว่าสิ่งใดคือสัจธรรม…
“ดีม…” หนุ่มใหญ่เรียกชื่อหญิงสาวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
จนเจ้าของชื่อถึงกับสั่นไหว ส่วนลึกอยากเข้าไปกอดเขา อยากอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆของเขา…
แต่มันผิด ตอนนี้มันผิดที่จะทำแบบนั้น และเธอตั้งปฏิญาณกับตนเองแล้วว่า
จะไม่กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆอีก...ไม่อีกแล้ว…ไม่เอาอีกแล้วชีวิตแบบนั้น
ซึ่งหนุ่มใหญ่เองก็อยากดึงร่างอรชรอ้อนแอ้นตรงหน้าเข้ามาสวมกอด เข้ามาปลอบ…
หากก็ต้องข่มใจไว้ พยายามเตือนตัวเองว่าเขาควรให้เกียรติเธอ
และละอายใจต่อพระเจ้า
ที่ผ่านมาเคยทำเลวแค่ไหนนั่นคืออดีตไปแล้ว เขาตั้งใจจะตั้งต้นเอาใหม่
จึงเอ่ยออกไปตามตรงกับนาดีมอย่างเปิดหัวใจออกมาให้หญิงสาวดูว่า
“เป้าหมายของการนิกะฮ์ (สมรส) คือ การรักษาตนให้พ้นจากการละเมิดประเวณี…
และสำหรับน้ามันไม่ใช่แค่นั้น…น้าอยากดูแลคนที่น้ารัก อยากให้เกียรติเธอ
อยากปกป้องเธอ…อยากสร้างครอบครัวเล็กๆ ที่มีพ่อ แม่ ลูก…ด้วยกันกับเธอ…”
คนฟังน้ำตาเอ่อคลอเพราะคำว่า ‘ครอบครัวเล็กๆ’ นั่น มันคือ
ภาพความฝันของเธอมาตลอด… เธออยากมีครอบครัวที่น่ารัก…ครอบครัวที่อบอุ่น…
...มีบ้านที่พ่อแม่ลูกอยู่กันพร้อมหน้า...
น้ำตาที่ไหลหยดลงมาจึงเป็นน้ำตาแห่งความเปรมปรี เขาคงไม่ได้หลอกให้เธอฝัน
ลมๆแล้งๆหรอกใช่ไหม...ใจที่บอบช้ำมันยังไม่พร้อมจะผิดหวังอีกรอบ...
“เราจะสร้างบ้าน สร้างครอบครัวของเราด้วยกันนะดีม…
ทั้งน้าทั้งดีม...เราต่างก็รู้ว่าเราขาดสิ่งใดในชีวิตไป...แต่เราจะร่วมกันสร้าง
ช่วยกันเติมเต็มมันให้กันและกันนะดีม...”
เหมือนแสงแห่งความหวังอีกหนึ่งลำแสงทอดผ่านเข้าสู่หัวใจอันสับสนกับจุดประสงค์
ของเขาก่อนหน้านี้...บัดนี้...แม้จะมองไม่เห็นด้วยตา...แต่เธอเห็นแสงที่ว่านั้น
ด้วยกับบางอย่าง...ที่มันไม่ได้ด้านชา...หรือแข็งกระด้างอย่างท่ีคิด...
กลีบปากที่ปิดสนิทปลิแย้มประดุจดอกไม้ที่กำลังเปิดเผยความงามข้างในออกมาสู่ภายนอก…
หนุ่มใหญ่มองรอยยิ้มของคนตรงหน้าแล้วยิ้มตอบ…
ตอนนี้กอดไม่ได้ สัมผัสไม่ได้ แต่เขามั่นใจว่า…อีกไม่นาน…เธอและเขาจะหลุดพ้น
จากความทุกข์ทรมานนี้…
หลานชายของเขาพูดถูก…ปัญหามีไว้ให้แก้ไข ไม่ใช่ให้วิ่งหนี
ส่วนบาดแผลมีไว้ให้รักษาไม่ใช่ปกปิด…
“วันนี้น้าอาจตอบดีมได้ไม่เต็มปากว่ารักของน้าแท้หรือเทียม…
แต่จากวินาทีนี้ น้าจะพิสูจน์ให้ดีมรู้ว่า…มันเป็นยังไง…นิกะฮ์กับน้านะดีม…”
หญิงสาวพยักหน้ารับทันที…ไม่มีเหตุผลใดท่ีเธอจะปฏิเสธเขาได้อีกต่อไป…
แม้จะยังไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นว่าเธอกับเขาจะใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันได้อย่างไร
เพราะเธอในตอนนี้คงจะกลายเป็นภาระหนักสำหรับเขาอยู่ไม่น้อย
แต่เธอจะพยายามปรับตัวปรับใจและพยายามพอใจ และซาบซึ้งกับสิ่งที่อยู่รอบตัวและสิ่งที่มี
จะหยุดเพื่อแสวงหาความร่ำรวย เพราะเธอรู้แล้วว่า เธอมีทุกอย่างที่เธอต้องการแล้ว…
“ไม่เอาพยักหน้าอย่างเดียว…ไหนยิ้มสวยๆให้น้าดูด้วย…”
นาดีมยิ้มออกมาทั้งน้ำตาอาบแก้ม คนตรงหน้าเลยยื่นผ้าเช็ดหน้าไปวางไว้บนมือของเธอ…
วันนี้เธอคงต้องซับน้ำตาตัวเองไปก่อน…แต่หลังจากนี้...เขาจะอยู่ซับน้ำตาให้เธอเอง…
และจะทำให้น้ำตาของเธอ เป็นน้ำตาแห่งความสุข ความยินดี…น้ำตาแห่งความซาบซึ้ง
และแม้นว่าเขาจะไม่ได้ยินน้ำเสียงอันไพเราะและหวานละมุนจากริมฝีปากของเธอ
ที่เคยเอื้อนเอ่ยถ้อยคำมากมายอย่างแต่ก่อน หากเขากลับสัมผัสได้ถึงเสียงของหัวใจ
ที่อ่อนโยนของเธอ…ที่เมื่อก่อนเขาแทบสัมผัสมันไม่เจอ…
นาดีมอยากบอกเขาเหลือเกินว่า…
ขอบคุณ…ขอบคุณที่ให้เกียรติและความมั่นคงกับเธอด้วยการขอเธอแต่งงาน
ขอบคุณที่จะมาเป็นผู้นำในการสร้างครอบครัวเล็กๆด้วยกันกับเธอ…
ขอบคุณที่ไม่ทิ้งให้ผู้หญิงอย่างเธอต้องนอนอ้างว้างไร้คู่เรียงเคียงหมอน
ขอบคุณที่ให้อภัย เข้าใจและให้โอกาสเธอ…
เธอจะรักษาโอกาสนี้แล้วทำมันให้ดีที่สุด…และไม่ปล่อยให้สิ่งมีค่าหลุดมือไปอีก
อย่างเช่นวันวานที่ผ่านมา…
“น้าจะจัดการให้เร็วที่สุด…ถ้าดีมพร้อม…มะรืนนี้น้าจะพาดีมไปนิกะฮ์
แล้วไปอยู่ด้วยกันกับน้า…ไปอยู่บ้านของเรา…ดีมจะว่าอย่างไร…”
ไม่มีทางเหลือให้เธอปฏิเสธอีกแล้ว นาดีมจึงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้า…
หนุ่มใหญ่ยิ้มกว้างอย่างโล่งใจและมีความสุข…
บ้านของเขาที่ร้างว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวา บ้านที่แทบเรียกว่า ‘บ้าน’ได้ไม่เต็มปากนัก
แต่เขาจะปัดกวาดมัน และช่วยกันสร้างบรรยากาศแห่ง ‘บ้านที่เป็นบ้าน’
กับหญิงสาวตรงหน้า…บ้านหลังนั้นจะมีเขาและเธอ...และจะมีพยานตัวน้อยๆ
มาคอยสร้างสีสันให้บ้าน...เขาจะพยายาม...
หัวใจที่เคยรุมร้อนค่อยๆสงบลง เพียงแค่คิดถึง ‘บ้าน’ ที่มีเธอเป็นแม่ของบ้าน…
บ้านที่จะทำให้ 'หัวใจเร่ร่อน' ได้มีที่พักพิงเสียที...
สิ้นสุดเสียทีกับการไล่คว้าภาพมายา...
“ขอบใจนะดีมที่ให้โอกาสน้า…เราจะช่วยกันสร้างตำนานรักของเราด้วยกัน…
ทำให้ศาสนาในตัวเราสมบูรณ์ไปด้วยกัน…”
นาดีมทำได้แค่เพียงพยักหน้าพร้อมกับดวงตาที่พร่างพราย…
ดวงดาวส่องประกายระยิบระยับในดวงตาคู่นั้น…
เธอจะทดแทนให้เขายิ่งกว่าถ้อยคำหวานซึ้ง…ทุกอย่างที่ทำได้ เธอจะชดเชยให้กับเขา…
'เงามาร' ที่บดบังหัวใจเธอเหมือนจะบินหนีไปพร้อมกับตัวตนของมัน…
เมื่ออารมณ์ใฝ่ต่ำที่ชักนำมันมายอมจำนนท์และสิโรราบ…
ทำให้สุลต่านแห่งจิตวิญญาณเป็นเจ้าเหนือร่างกาย…
.................จบบริบูรณ์จริงจริงแล้วจ่ะ.................
ปิดม่านลงแล้วค่ะ...สำหรับ "เงามาร" ใจหายๆๆๆ ^^
ข้องใจอะไรตรงไหน...เขียนแปะไว้ได้นะคะ...จะเข้ามาส่องเรื่อยๆค่ะ...
เสร็จจากเรื่องนี้...คงจะไปเขียนต่อเรื่อง
"บ้านต้นรักษ์" (เรื่องใหม่)
กับ
"เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์" (ที่ดองค้างมาปีแล้วปีเล่า)
ยังไงถ้าว่างๆก็เข้าไปทักทาย ติดตามและติชมกันบ้างนะคะ... ^^
และแล้ว...ในที่สุดเต่าโยก็ได้ตัดสินใจกลับบ้านเกิดเสียที
หลังจากพเนจรร่อนเร่มาหลายปีเหลือเกิน...
เริ่มจากเป็นนักเรียนต่างด้าว จบมาก็เป็นมนุษย์เงินเดือน งานประจำ งานไม่ประจำ
ฟรีแลนซ์ พ่วงงานอดิเรกร้อยแปดพันเก้า...คราวนี้จะได้ทำของตัวเองซะที...
เจ๊งหรือเจ๋งค่อยว่ากัน เหอๆ...ชีวิตมันต้องลองถึงจะรู้ว่าชีวิตมันเป็นยังไง...อิอิ
ท่ีสำคัญ...บรรยากาศบ้านเกิดเหมาะเหม็งมากสำหรับการเขียนนิยายเรื่อง
"บ้านต้นรักษ์"
ทะเล ท้องทุ่ง ภูเขา น้ำตก ต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า
และ บรรยากาศของทะเลทราย...ต้นอินทผาลัม...Oasis
ใครว่างๆแวะไปทักทายกันได้ในเรื่องดังกล่าวนะคะ...^o^
กลับบ้านเรา...รักรออยู่...สู่อ้อมใจ...ของบ้านเก่า...สู่ลำเนา...ของบ้านเกิด...
หากมีอะไรผิดพลาดไปบ้าง เต่าโยขอน้อมรับความผิดพลาดเหล่านั้นเอาไว้ทั้งหมด
และต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องนี้มากๆค่ะ...
ขอบคุณทุกๆไลค์ที่กดให้กันมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้...
ขอบคุณความเห็นทั้งหมดที่พิมพ์มาพูดคุยกันตั้งแต่บทแรกจนบัดนี้ค่ะ...
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับชีวิตค่ะ ^o^
..............ตอบเมนท์จ่ะ..........................
1.คุณsaralun...ดีใจค่ะที่ชอบ...หวังว่าส่วนที่เหลือที่นำมาให้นี้
จะไม่ทำให้ผิดหวังนะคะ เฮะๆ ขอบคุณค่ะที่เข้ามาส่งกำลังใจกัน
ขอบคุณหลายๆ...^^
2.คุณPampam...เต่าก็ใจหายค่ะ อยู่กับเรื่องนี้มา 3 เดือนกว่าๆ
ล่าสุดนี้เอาพี่นุ ก๊อต น้าเล็ก และคู่ของทั้งสามมาให้ยลกันอีกรอบ
พร้อมกับเด็กน้อยๆ 2 หน่อ...อิอิ หวังว่าจะไม่ผิดหวังนะคะ
ขอบคุณอีกครั้งอย่างมากมายค่ะ
3.คุณร้อยวจี...ดีใจค่ะที่ท้ายที่สุดก็ทำให้นักอ่านมีความสุขได้...
อย่าลืมแวะไปเยี่ยมเยียนติชมเรื่องอื่นๆกันบ้างนะคะ...ขอบคุณหลายๆๆๆค่ะ
4.คุณkonhin...โยเอาเรื่องปมที่ว่ามาคลายให้หายข้องใจแล้วน้าาาา
จริงๆแล้วโยไม่ค่อยอยากจะลงรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการทำไสยศาสตร์
หรือล้างไสยศาสตร์นัก เกรงว่าจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอก ก็เลยมาแบบวับๆแวมๆ
มีกั๊กๆเอาไว้น่ะค่ะ...^^ แล้วส่วนใหญ่คนที่รักและหวังดีต่อเราจะไม่ค่อย
อยากให้เราได้รับรู้อะไรๆที่มันไม่ดี ทำให้จิตใจหดหู่นัก ปิดได้ปิด...
ก๊อตก็ยังคงกั๊กๆกับวาต่อไปด้วยประการละฉะนี้แล...อิอิ
บางอย่างที่ควรพูดควรเคลียร์ก็เคลียร์กันไป บางอย่างที่พูดไปแล้วไม่เกิดประโยชน์
อันใด สู้เก็บไว้กับเรามันย่อมดีกว่าน่ะค่ะ...^^ นี่คือ พระเอกเต่า...
ในเรื่องนี้สามหนุ่ม กับ อีกหนุ่มใหญ่นั้น ถ้าวัดกันที่นิสัย พี่นุดีที่สุดแล้ว
รองมาก็วารินทร์และก๊อต สุดท้ายก็...น้าเล็ก...
ซึ่งก๊อตมีหลายเหตุผลที่ทำให้โยเลือกให้เป็นพระเอก...เพราะว่ามีอะไรให้เขียนเยอะดี...
ฮ่าาาาาาา ก๊อตคือหนุ่มที่เจอมรสุมหนักสุดๆในเรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องร้ายๆ
และสร้างความเสียหายทั้งนั้น แต่ก็สามารถแก้ปัญหาพร้อมกับก้าวผ่านมันมาได้...
นี่คือ พระเอกน่ะค่ะ...แบบว่า สู้ชีวิต! มันจะได้ดูเป็นพระเอกแนวดราม่าหน่อยนึง อิอิ
แต่ถ้าเป็นแนวรักหวานซึ้ง พระเอกก็ต้องแบบพี่นุไรงี้...ถ้าห่ามๆหน่อยพระเอก
ก็ต้องแบบวารินทร์เนอะ...ส่วนพระเอกเลวๆที่กลับตัวได้ในภายหลัง
ก็ต้องให้น้าเล็กไป...อิอิ ขอบคุณส่งท้ายอีกครั้งจ่ะ...
5.คุณตุ๊งแช่...งานนี้เจ๊บัวก็เปลี่ยนไปน้าาาา...อิอิ...เปลี่ยนไปเลย...เหอๆ
น้ำตาลเมืองเพชรรึจะสู้น้ำตาลเมืองเต่า...อิอิ...ที่จะผสมบอระเพ็ดลงไปด้วยเสมอๆ
เหอๆๆๆ ของเมืองเพชรเขาหวานบริสุทธิ์นี่นา...ฮ่าาาาาา
ส่วนของเมืองเต่า ก็หวานอย่างที่เห็น...อิอิ
ทัพหลวงของคุณตุ๊งแช่คงมีหลายตัวและคงจะมีเสื้อเกราะอย่างดีชิมิ
เลยทำให้ศัตรูพ่าย...อิอิ
เต่าว่าหญิงแจ้บ้านอื่นคงถึงชะตาขาดอ่ะนะ เลยโดนคาบไปแบบนั้น...อิอิ
ว่าแต่มานคาบไปกินหรือว่าคาบไปทิ้งอ่ะ...เคยเจอแบบหมาหยอกไก่ด้วยนะ
หนูกีสคงต้องรอให้เต่าปั่นจนจบก่อนอ่ะ ไม่มีฤกษ์ตายตัว เผลอๆปีหน้า วะฮ่าๆๆๆ
เก๊าะปีนี้มันจะสิ้นปีแล้วหนาาาาาา...แล้วเต่าก็กำลังฟัดกับพี่ก้ออยู่ด้วย...
เลยทิ้งพี่ไนค์ให้อ้างว้างไปก่อน...คิดถึงพี่ไนค์ตอนไหนก็ปั่นตอนนั้นเลย...อิอิ
ส่วนท่านมุส เต่าก็แอบคิดถึงอยู่บ่อยๆ แต่ก็ต้องปล่อยให้นอนอยู่ในไหไปก่อน...อิอิ
ขอบคุณอีกครั้งและอีกครั้งและอีกครั้ง...ขอบคุณหลายๆ
6.คุณลิลลี่...เอานาดีมกับน้าเล็กมาปิดม่านเงามารค่ะ...อิอิ
ขอบคุณค่ะที่ยังคงติดตามอ่านเรื่องนี้อยู่และยังคงอยู่เป็นกำลังใจให้กัน...^^
7.คุณcoonX3...เรื่องต่อไปกำลังฟัดกันอยู่กัน...แบบว่าพันตูกันทีเดียว อิอิ
แวะไปทักทายเป็นกำลังใจให้กันในเรื่องใหม่บ้างนะคะ ขอขอบคุณอีกสักรอบค่ะ
8.คุณแว่นใส...เอามาให้อิจฉาอีกสามคู่ เย้ย ต้องบอกว่า 4 เพราะมีคู่พี่น้อง
แถมพ่วงมาด้วย...อิอิ ขอบคุณอีกครั้งน้าาาาาาาา...^^
9.คุณnapt...นี่แหล่ะค่ะหวานของเต่า...หวานของเต่าประมาณนี้เลย...เหอๆ
พ่อเงาะของเต่าเขาถอดรูปนานแล้วหนา ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะตาดีเห็น อิอิ
เขาว่าตาดีได้ ตาร้ายเสีย งานนี้อานิต้าลาภปากอานิต้าไป ได้กินเงาะตลอดชีพ อิอิ
ส่วนที่เหลือที่เอามานั้น...ไม่ต้องมีคำบรรยายใต้ภาพ...จิ้นกันเอาเองน้าาาาา
เต่าขอไปมุดหัวในกระดองก่อน...อิอิ ขอบคุณอีกครั้งและอีกครั้งน้าาาาา
10.คุณyapapaya...แม่ขนุน กับ พ่อขนุน นี่ชื่อไทยๆ น่ารักดีอ่ะ
พอเพื่อนๆเรียกสั้นๆว่า 'หนุน' มันก็ได้อารมณ์ 'หนุนนอน'
เป็นหมอนหรือไม่ก็ตักซะงั้นอ่ะ...ฮ่าาาาาาาาา สุดแท้แต่จิ้นเอา...เหอๆ
เอามาเสริฟให้แบบหวานปนอะไรสักอย่าง บอกไม่ถูก รู้แค่ว่ามันไม่ได้หวาน
แบบน้ำตาลเมืองเพชรแน่ๆ เพราะนี่คือน้ำตาลเมืองเต่า...อิอิอิ
ขอบคุณอีกครั้งและอีกครั้งค่ะ
.......ขอให้นักอ่านทุกท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรงกันถ้วนหน้านะคะ........
ด้วยความจริงใจ
"เต่าโย"
กลัวว่านักอ่านที่อ่านเรื่องนี้จะกลายเป็นคน "อ่อนหวาน" เพราะสาวมาม่า
กันแทบจะทั้งเรื่อง...เลยขอมอบความหวานเป็นของขวัญส่งท้าย...
ไม่แน่ใจว่าจะหวานถูกปากถูกคอกันรึเปล่า...แต่เต่าจัดให้หวานได้เท่านี้จริงๆ ^^
...ลองชิมน้ำตาลเมืองเต่าดูค่ะ...อิอิ
__________________________________________________________
ณ เกาะหลีเป๊ะ
นุฮาลงจากเรือเล็ก และเมื่อเท้าแตะพื้นทรายละเอียดเขาก็ไม่ลืมที่จะหันไปทาง
ภรรยาคู่ชีวิตก่อนจะจับมือประคองเธอให้ลงมาจากเรือ
อะสุเซน่าค่อนข้างเขินอายคนอื่นๆกับการเอาใจนั้นของเขาอยู่ไม่น้อย
และออกจะประหลาดใจอยู่เช่นกันที่เขาดูจะหวานกับเธอขึ้นเรื่อยๆ
จริงๆแล้วการลงจากเรือมันง่ายมากสำหรับตำรวจหญิงผู้ผาดโผนอย่างเธอ
หากส่วนลึกในหัวใจรู้สึกเหมือนมีอะไรมาตีปีกผับๆอย่างนิ่มนวลอยู่ในนั้น
เมื่อได้รับการปฏิบัติเล็กๆน้อยเช่นนั้นจากเขา
เมื่อลงมาจากเรือนุฮาก็พบว่า สามสาวที่เขาเคยเจอเดินทางมาพร้อมกับเขาอีกแล้ว
แม้จะเป็นความบังเอิญ หากเขาก็อดกังวลไม่ได้ เหตุการณ์เมื่อครั้งแรก
ที่เขามาเหยียบท่ีนี่มันยังไม่เลือนแม้เดือนจะเคลื่อนคล้อย
ชายหนุ่มเลยคว้าข้อมือของอะสุเซน่า จับมือเธอจูงแล้วก้าวเดินไปยัง
บ้านของหญิงสาวด้วยกัน เป็นการบอกเป็นนัยๆว่าเขามีเจ้าของแล้ว
และไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับสามสาวที่ยังคงส่งสายตาเป็นประกาย
สื่อความนัยอย่างเปิดเผยมาให้
“สามสาวนั้นเหมือนอยากจะกลืนกินคุณทั้งตัวเลยนะ…” ไม่วายแขวะเขา
ทั้งๆที่พยายามข่มใจเพราะไม่อยากพูดถึงคนอื่นลับหลังในทางไม่ดีแล้ว
แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ
“แต่สามสาวนั้นไม่ใช่คนที่ผมอยากให้กลืนกินนี่…คนนี้ต่างหากที่ผมรอ
ว่าเมื่อไหร่จะใจอ่อน…ยอมไต่ถังกับผมเสียที…”
อะสุเซน่าหน้าแดงจนต้องก้มหน้ามองเม็ดทรายราวกับจะมองหาตัวอะไรสักอย่าง
ที่มุดอยู่ในนั้น…เพื่อไม่ให้เขาได้เห็นความหวั่นไหวในแววตาเธอ…
การคบหาเป็นภรรยากับเขา ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกอะไรเลย
นับวันเขาก็ยิ่งมีอิทธิพลต่อเธอขึ้นเรื่อยๆ…เธอก็ไม่อยากปฏิเสธเขาหรอก…
แต่ให้ยังไงเธอก็ยังกังวลกับมันอยู่ดี…
เมื่อเดินมาถึงห้องส่วนตัวหลังจากทักทายกับมารดาและน้องชายเรียบร้อยแล้ว
หญิงสาวนำเสื้อผ้าในส่วนของเขาและของตัวเองไปเก็บ
นุฮาเดินเข้าห้องน้ำ เพื่ออาบน้ำชำระคราบเหงื่อไคลจากการเดินทาง…
กลับออกมาเห็นหญิงสาวกำลังยืนอยู่ตรงริมหน้าต่างห้อง
มองไปยังท้องทะเลสีครามในยามบ่ายคล้อย…
ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วสวมกอดหญิงสาวจากทางด้านหลัง ทำเอาเจ้าของเอวบาง
ที่โดนลำแขนรวบเอาไว้หลวมๆถึงกับสะดุ้ง…แล้วยิ่งรู้สึกหัวใจกระตุกเมื่อเขาเอาคาง
มาเกยไว้บนบ่าของเธอ…กลิ่นหอมอ่อนๆและสะอาดของเขาพาให้หัวจิตหัวใจของเธอกระเจิง
…ที่ผ่านมาเขาปล่อยให้เธอมีอิสระทุกอย่าง ไม่เข้ามาคลอเคลียแบบนี้
บางคืนเขาจะอยู่สะสางงานในห้องทำงาน ให้เธอได้นอนหลับบนเตียงอย่างสบายใจ
ไร้กังวล…คอยดูแลเอาใจใส่เรื่องอาหารการกิน เรื่องสุขภาพ ไม่เว้นแม้กระทั่ง
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปถึงมารดาและน้องชายสุดที่รักของเธอ…
เขามักจะนึกถึงคนอื่นๆเสมอเวลาพาเธอไปเดินซื้อของหรือท่องเที่ยวยังที่ใด
จะหาซื้อข้าวของไปฝากคนโน้นคนนี้ ผิดกับเธอที่แทบจะไม่ค่อยมีนิสัยแบบนั้นนัก…
ความละเอียดอ่อนแบบนี้เธอมีน้อยกว่าเขาจริงๆ…หากมันกลับเติมเต็มชีวิต
ที่ขาดๆเกินๆของเธอได้พอดีอย่างไม่น่าเชื่อ…
ความอ่อนโยนและความเฉียบขาดที่ไม่น่าจะมาอยู่กับผู้ชายได้อย่างลงตัวแบบนี้
กลับเป็นคุณลักษณะเด่นของเขา เขาเป็นผู้นำที่เข้มแข็งแต่มีความละมุนละไม…
เป็นผู้ชายที่อารมณ์ดีในขณะที่มีภาระหนักต้องแบก เธอแทบไม่เคยได้ยินเสียงบ่น
เกี่ยวกับเรื่องงานให้ได้ยินจากปากของเขาเลย เขาจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้า
ที่ไม่เคยปราศจากรอยยิ้ม…ขี้เล่นขี่แหย่ในเรื่องส่วนตัวหากกลับจริงจังกับเรื่องงาน
การคบกันระหว่างเขากับเธอเป็นการค่อยๆคบค่อยๆกระชับความสัมพันธ์ทีละเล็กละน้อย
ไม่หวือหวา ทว่าลึกซึ้งกินใจเธอ
จนบัดนี้ทุกพื้นที่ในหัวใจของเธอมีแต่เขาเต็มไปหมด…และยิ่งรู้สึกสั่นสะท้านในหัวอก
เมื่อเขากระซิบบอกเธอเบาๆว่า
“คืนนี้นะบัว…” หญิงสาวรู้สึกวูบๆวาบๆ ผิวแก้มรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา
แล้วเขาก็เอียงหน้าฝังจมูกและปากลงบนพวงแก้มของเธอ…
มันเหมือนเป็นการบอกให้เธอเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้…และเมื่อเขาผละไป
อะสุเซน่าก็แทบทรุดเข่าที่อ่อนยวบลงกับพื้น…
แค่กอดกับหอมแก้มเธอยังเป็นเอามากขนาดนี้…และถ้ามากกว่านี้ล่ะ…
หนึ่งปีกว่าๆที่ได้คบหากับเขาในฐานะภรรยาของเขา…มันน่าประทับใจมาก…
มากจนเธอมั่นใจในตัวเขา…เขาทำให้เธอเลิกกลัวความรัก อยากลิ้มลองกับมัน
เขายืนยันเธอด้วยการกระทำว่าเขารักเธอและจริงใจต่อเธอแค่ไหน…
จนเธอไม่กล้าปฏิเสธเขาได้อีกต่อไป…
เธอเป็นภรรยาของเขาแล้ว และเขาก็มีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น
ที่สำคัญ…ลึกลงไปแล้ว…เธอก็ต้องการเขา…หากความกังวลดูจะ
ทำให้วันทั้งวันที่เหลือนั้นทำให้อะสุเซน่าพูดน้อยหรือแทบจะไม่พูดเลย
ทำเอาผู้เป็นมารดาแปลกใจ ทว่า นุฮากลับเข้าใจเธอเป็นอย่างดี…
เขามั่นใจว่าเขาสามารถพาเธอก้าวผ่านความกลัวชนิดนี้ไปได้อย่างแน่นอน…
มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องขยับมารักกันให้มากขึ้น…แนบแน่นขึ้นกว่าที่เป็นอยู่…
บรรยากาศดีๆแบบนี้จึงเหมาะยิ่งนัก เขาอยากให้รางวัลทั้งเองและกับเธอ
จึงชวนเธอมาพักผ่อนที่นี่ ที่ที่มีคนที่สำคัญของสองคนในชีวิตของเธอ...
“เป็นไรพี่บัว…เห็นนั่งเงียบเชียว…ไม่สบายรึเปล่า…”
พูดพลางใช้หลังมืออังหน้าผากพี่สาว
“ตัวก็ไม่ได้ร้อนนี่นา…แล้วทำไมหน้าซีดขนาดนี้ล่ะ” ซีดยิ่งกว่าไก่ต้มอีก
นี่มันผีจีนในหนังที่เพิ่งผุดมาจากโลงชัดๆ
ส่วนคนที่พยายามทำตัวเฉยเมยเพื่อซ่อนงำความกลัวบางอย่างเอาไว้…
พยายามทำตัวแข็งแรงแกล้งทำว่าไม่หวั่นไหวมาตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันกับนุฮา…
ทั้งๆที่ข้างในนั้นช่างหวั่นไหวและสั่นสะท้าน…ใจนั้นปรารถนา...ทว่ายังกลัว…
“แม่ก็ว่าอยู่ จะถามแล้วว่าท้องรึเปล่า…” อะสุเซน่าหันไปมองมารดา
ที่กำลังนั่งปักครอสติชซึ่งเป็นงานฝีมือที่ท่านรักยิ่งชีพแล้วหันไปทางนุฮา
ที่กำลังนั่งอมยิ้มอยู่…
“เอ่อ…จะท้องได้ไงล่ะคะ…บัวยัง...” อะสุเซน่านึกขึ้นมาได้ว่าถ้าพูดต่อจนจบ
ว่าเธอยังไม่ได้มีอะไรกับเขาเลยก็เกรงว่าจะโดนแม่ตำหนิว่าเธอ
เป็นภรรยาที่บกพร่องต่อหน้าที่ขึ้นมา
“ก็แม่เห็นแต่งงานกันมาตั้งเป็นปีแล้ว จะท้องก็ใช่เรื่องแปลกอะไร…”
คนเป็นลูกถึงกับก้มหน้าเพื่อซ่อนความกระดากอาย…เรื่องอื่นให้หยอก
ให้ล้อแรงๆแค่ไหนเธอรับหน้าได้หมด ยกเว้นเรื่องนี้แหล่ะ
เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย มันคือจุดอ่อนไหวของเธอ…
ทั้งๆที่ตำรวจไม่ควรมีจุดอ่อนตรงนี้เลย…คนอื่นคงไม่มี แต่นี่คือเธอ
และไม่เคยมีใครรู้ว่านี่คือจุดอ่อน…เพราะเธอเลือกที่จะซ่อนเอาไว้อย่างดีมาตลอด
ภายใต้หน้ากากหญิงเหล็ก…
“กินสิพี่บัว…ผมลองทำขนมตาลเอาไว้เพื่อต้อนรับแขกที่มาพัก…
อยากได้ความเห็นจากลิ้นที่กินง่ายอย่างพี่ดู…”
คนเป็นน้องชายคะยั้นคะยอให้พี่สาวชิมขนมไทยๆของตนที่เพิ่งหัดทำ…
“หน้าตาผ่านแล้ว…” อะสุเซน่าบอก ก่อนจะหยิบมาชิมดูหนึ่งชิ้น
แต่ไม่ทันไรก็ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำเพราะรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา…
“ว่าแล้วมั้ยล่ะ…แบบนี้ท้องชัวร์…แม่ฟันธง!” คนเป็นแม่มองตามหลังลูกสาวลอดแว่นตา
แล้วได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุขที่จะได้อุ้มหลาน
นุฮาลอบยิ้มให้กับคำวิจารณ์นั่นก่อนจะวิ่งตามไปดูคนที่วิ่งเข้าห้องน้ำไปเมื่อครู่
“แม่ว่าพี่บัวท้องหรือ…”
“จะเป็นอย่างอื่นไปได้รึ…หน้าซีด ไม่มีไข้ คลื่นไส้อาเจียนแบบนั้นน่ะ”
คนมีประสบการณ์วินิจฉัยอาการของลูกสาวอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ผมจะมีหลานแล้วหรือครับนี่…”
“ถ้าให้ชัวร์จริงๆต้องไปตรวจฉี่…” จามาลยิ้มกว้าง นึกอยากมีหลานขึ้นมาเหมือนกัน…
ส่วนนุฮาที่เหมือนจะรู้เหตุที่มาแทรกกายเข้าไปในห้องน้ำ
เข้าไปยืนซ้อนอยู่ตรงด้านหลังของคนที่ยืนกวักน้ำบ้วนปากล้างหน้าตรงอ่างล้างหน้า
ก่อนจะยกมือลูบหลังหญิงสาวเบาๆทำเอาคนที่ก้มหน้าก้มตาวักน้ำถึงกับสะดุ้ง
เงยหน้าก็พบว่าเขายืนอยู่ตรงด้านหลังผ่านกระจก…
นุฮาจับบ่าของหญิงสาวแล้วหมุนให้เธอหันมาเผชิญหน้ากับเขา…
มือหนายกมือปัดปอยผมที่เคล้าเคลียออกไปจากดวงหน้าซีดเซียวนั้นให้อย่างอ่อนโยน…
ก่อนจะจูบหน้าผากนั้นอย่างอ่อนโยนนุ่มนวล…
“ทำใจให้สบายสิบัว…เรียกความเป็นตัวเองกลับมาสิ…”
บอกแล้วก็ดึงร่างบางเข้ามาสวมกอดเอาไว้…
“เครียดจนลงกระเพาะแบบนี้ไม่ดีรู้มั้ย…” น้ำเสียงของเขาดูห่วงใย
ซ้ำยังลูบผมเธอไปด้วยเป็นการปลอบ…ทำให้หญิงสาวรู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้น
หลังจากที่เกร็งมาหลายชั่วโมง…
“ฉันเป็นผู้ชายที่รักเธอนะ…และเธอเองก็รักฉัน…อย่ากลัวฉันเลย…
ฉันแค่อยากให้เธอมีความสุข…” พูดจบเขาก็จูงมือเธอพาขึ้นห้อง
แล้วจัดแจงให้นอนลงบนเตียงก่อนจะห่มผ้าให้อย่างดี…
ก่อนผละไปเขามองหน้าเธอด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก แล้วลูบผมเธอเบาๆ
อย่างอ่อนโยน…
“พักผ่อนซะ วันนี้เดินทางมาเหนื่อยๆ เธอคงจะเพลียด้วย…ส่วนเรื่องนั้น
ถ้าเธอยังไม่พร้อม…ฉันก็จะไม่เร่งรัดเธอ…ฉันรอได้…”
เขาบอกก่อนจะเดินไปหยุดยืนตรงหน้าต่างห้อง ทอดสายตาไปยังท้องทะเล…
อะสุเซน่าลอบถอนใจก่อนจะหลับตาลง…เธอคงจะเพลียจากการเดินทางอย่างเขาว่าจริงๆ…
ทั้งๆที่เมื่อก่อนเธอเป็นนักเดินทาง เป็นนักล่าฆาตกร
ตกกลางดึกสงัดคืนนั้น…เธอตื่นมาพบว่าเขากำลังละหมาดอยู่…
อะสุเซน่าลุกขึ้นนั่ง…หลังจากตะวันตกดินและละหมาดมัฆริบแล้ว
เธอก็กลับมานอนจนกระทั่งตอนนี้ถึงรู้สึกตัว…หญิงสาวจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำ
หลังจากนั้นก็มาหยุดตรงด้านหลังเขาเพื่อทำละหมาดอิชาแล้วตามด้วยละหมาดตะฮัจยุด
จนกระทั่งเขาที่นั่งรอเธออย่างสงบด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮฺ อะสุเซน่่าก็ขึ้นไปนั่งข้างๆเขา ยกมือเพื่อขอสัมผัสกับมือทั้งสองของเขาก่อนจะนำมือทั้งสองของตนมาลูบใบหน้า
นุฮายิ้มให้เธอแล้วลุกขึ้นเปลี่ยนชุด หญิงสาวจึงทำตาม…
เสร็จจากการละหมาดอันยาวนาน…อะสุเซน่าก็กลับมานั่งอยู่บนเตียงอีกฟาก
ส่วนนุฮาก็นั่งอยู่อีกฟาก…หัวใจหญิงสาวเต้นแรงแทบจะระเบิด
เมื่อเขาลุกขึ้นเดินมาหา…นุฮากล่าวแก่ภรรยาของตนว่า
“ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน โอ้ประตูแห่งผู้ปรานียิ่ง…”
อะสุเซน่าเข้าใจได้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร เธอจึงตอบเขากลับไปว่า
“ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่านเช่นกัน โอ้นายผู้ที่ได้รับความไว้วางใจ”
หลังจากน้ันเขาก็จับมือขวาของเธอ ก่อนจะจับมืออีกข้างของเธอมากุมไว้ด้วยกัน
พร้อมกับกล่าวช้าๆว่า
“ฉันขอยินยอมว่า อัลลอฮฺคือพระผู้อภิบาลของฉัน…”
แล้วเขาก็เริ่มแกะกระดุมชุดนอนของภรรยาสาว อะสุเซน่าหน้าตื่น
ได้แต่มองใบหน้าของเขาเพราะไม่กล้ามองมือของเขา
ก่อนจะรู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วสรรพากายเมื่อเขาใช้มือท้ั้งสองข้างของเขาลูบไล้
บนเรือนกายของเธอไปมาอย่างช้าๆ และนิ่มนวล อ่อนโยน…
พร้อมกับการกล่าวซอลาวาต(สรรเสริญ) ให้แก่นบี 3 ครั้งว่า
“โอ้อัลลอฮฺ…ขอได้โปรดประทานซอลาวาตให้แก่นบีมุฮัมหมัด
และเครือญาติของนบีมุฮัมหมัด…” แล้วเขาก็ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของอะสุเซน่า
อย่างนุ่มนวลจนหญิงสาวรู้สึกวาบหวามยากจะพรรณนาออกมาเป็นถ้อยคำใดได้…
และไม่มีสักขณะจิตที่เธอจะลืมพระเจ้าเฉกเช่นเขาในขณะนี้ที่กล่าวนามของพระองค์
นุฮาจึงก้มลงจุมพิตหน้าผากนั่นอีกครั้งพร้อมกับอ่านพระนามของอัลลอฮฺว่า
“โอ้ผู้ทรงอ่อนโยน อัลลอฮฺผู้ทรงประทานรัศมีเหนือรัศมีทั้งมวล
รัศมีนั้นได้ทอแสงเหนือบุคคลที่พระองค์ต้องการ”
อะสุเซน่าผู้ได้รับจุมพิตจากเขาตกอยู่ในภวังค์ราวกับจมดิ่งอยู่ในห้วงมหาสมุทร
แห่งเนียะมัต (สิ่งอำนวยสุข) ที่เธอไม่เคยพบพานมาก่อนหน้านี้เลยตลอดชีวิตทั้งชีวิต
ที่ผ่านมาและเธอพร้อมแล้วที่จะสนองตอบเขาผู้เป็นที่รักยิ่งของเธอด้วยความเต็มใจ…
ความกลัวในหัวใจบินหายไปยังถิ่นใด หญิงสาวหาได้ใส่ใจอีกต่อไป…
เขาได้โน้มเธอลงนอนบนท่ีนอนอันแสนนุ่ม บนหมอนที่หอมกรุ่น…
ก่อนจะตะแคงศีรษะของเธอไปทางซ้ายและทางขวาแล้วอ่านพระนามของอัลลอฮฺ
“ในการฟังของเจ้า อัลลอฮ์ทรงได้ยินยิ่ง…” แล้วเขาก็จุมพิตที่หูข้างขวาของเธอ
แล้วจับหน้าเธอให้ตะแคงไปทางซ้ายก่อนจะอ่านจะอ่านพระนามดังกล่าวอีกครั้ง
พร้อมกับจุมพิตที่หูของเธอ แล้วเป่าลมลงในใบหูของเธอ
เป็นการกระทำที่อะสุเซน่าไม่อาจจะบรรยายออกมาได้ด้วยคำพูดอีกเช่นกัน
รู้แต่เพียงว่า เธอกำลังพบกับบางอย่างที่ไม่เคยพบพาน…
แล้วเขาก็อ่านดุอา (คำอวยพร) ว่า
“โอ้อัลลอฮ์ แท้จริงเราได้เปิดชัยชนะที่ชัดเจนให้แก่สูเจ้าแล้ว…”
แล้วเขาก็จุมพิตที่ตาข้างขวาของเธอ แล้วอ่านดุอาข้างต้นอีกครั้งแล้วจุมพิตที่ตาข้างซ้าย
แล้วเขาก็อ่านพระนามของอัลลอฮฺว่า
“โอ้ผู้ทรงการุณ โอ้ผู้ทรงเมตตา โอ้ผู้ทรงปรานี โอ้อัลลอฮฺ”
แล้วเขาก็จูบแก้มขวาของอะสุเซน่าแล้วย้อนกลับไปอ่านพระนามดังกล่าวอีกครั้ง
แล้วจูบที่แก้มซ้ายของเธอ หลังจากนั้นเขาจึงอ่านอายะฮฺ (บท) ที่ว่า
“แน่นอน เขาก็จะมีความสุข มีโชค และได้รับสวรรค์อันบรมสุข”
จากนั้นเขาก็จุมพิตจมูกของภรรยาที่รัก เป็นจุมพิตที่สามารถผูกจิตวิญญาณ
ระหว่างสามีภรรยาอันจะทำให้ภรรยารู้สึกถึงความรักที่แท้จริงจนไม่อาจลืม
ผู้เป็นสามีและจะผูกพันธ์แน่นแฟ้นกับสามีไปตลอดตราบเท่าที่สามีของเธอยังมีชีวิตอยู่
จากนั้นนุฮาก็อ่านพระนามของอัลลอฮฺว่า
“โอ้ผู้ทรงกรุณาในโลกดุนยา (โลกนี้) โอ้ผู้ทรงปรานีในโลกอาคิเราะห์(โลกหน้า) “
แล้วเขาก็จุมพิตที่คางของภรรยาสาวพร้อมกับอ่านพระนามของอัลลอฮฺว่า
“อัลลอฮฺนั้นคือ (ผู้ประทาน) รัศมีแก่ฟากฟ้าและแผ่นดิน”
แล้วเขาก็ได้ไล่ลงไปจุมพิตที่คอ แล้วอ่านพระนามของอัลลอฮฺนี้อีกครั้งแล้วจุมพิต
ที่ลำคอของเธอ หลังจากนั้นจึงอ่านโองการต่อมาว่า
“อันจิต (ของมุฮัมหมัด) ย่อมไม่มุสาในสิ่งที่ได้มองเห็น”
แล้วก็จับฝ่ามือข้างขวาของอะสุเซน่าแล้วจุมพิตลงบนฝ่ามือนั้น
ก่อนจะจุมพิตที่ฝ่ามือข้างซ้าย หลังจากนั้นนุฮาได้อ่านพระนามของอัลลอฮฺว่า
“และข้าได้ให้ความรักจากข้าแด่เจ้า” แล้วเขาก็ก้มลงจุมพิต
ที่ยอดปทุมอันบริสุทธิ์ทั้งสองข้างแล้วอ่านดุอาว่า
“โอ้อัลลอฮฺ ผู้ทรงมีชีวิตอยู่ โอ้ผู้ทรงดำรงอยู่ด้วยพระองค์เอง…"
แล้วนุฮาก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับภรรยาสาวที่เขาได้ทำการหยอกล้อหรือเล้าโลม
ก่อนมีความสัมพันธ์กันตามขั้นตอนที่ผู้ศรัทธาควรปฏิบัติซ่ึงเป็นสุนัตที่หากทำจะได้ผลบุญ
หากไม่ทำก็ไม่ได้ผิดบาปแต่ประการใด
เพราะเขาต้องการให้ครั้งแรกระหว่างเขากับเธอได้รับความเป็นศิริมงคลจากพระเจ้า
ซึ่งสิ่งดังกล่าวเป็นดั่งกุญแจนำไปสู่ครอบครัวที่ผาสุก
มือใหญ่สัมผัสใบหน้าหวานตรงหน้า ลูบไล้ด้วยความเสน่หาก่อนจะก้มลง
มอบจุมพิตไปบนริมฝีปากสวยนั่นแล้วค่อยๆก้าวเข้าไปควานหาความหวานล้ำยังภายใน
ดื่มกินจนอิ่มเอมจึงผละมาในขณะที่มือก็ยังคงโลมลูบไปทั่วเรือนกายส่วนบน…
แล้วพยายามสำรวจตรวจตราเพื่อค้นหาว่าตรงไหนของเรือนกายเธอ
ที่จะเป็นจุดปลุกเร้าอารมณ์และความปรารถนาเพื่อมอบความสุขสำราญให้กับเธอ
แล้วลูบไล้อย่างอ่อนโยนตรงจุดนั้นจนความปรารถนาของเธอและของเขาถูกจุดขึ้น…
อะสุเซน่ากัดปากตัวเองเพื่อไม่ให้หลุดเสียงออกไปให้ต้องอายเขา…
ก่อนจะค่อยๆสลัดความอายเพื่อตอบรับสัมผัสจากเขาอย่างคนที่ไร้ซึ่งประสบการณ์
ทั้งทางทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ทุกอย่างเป็นไปโดยธรรมชาติด้วยการโน้มนำจากเขา
เขาจะพาเธอไปทางไหนเธอก็จะขอตามติดไปด้วยทางนั้น…
“มองผมบัว…มองหน้าผม อย่าปิดตาสิครับคนดี…”
นุฮาใช้ปลายนิ้วแตะลงบนปลายคางของเธอเบาๆแล้วเชยคางนั้นขึ้น
พร้อมกับก้มลงมอบจุมพิตให้เธอเพื่อปลอบขวัญกับการที่เขาทำให้เธอเจ็บปวด
หากเมื่อผ่านช่วงที่ยากที่สุดไปได้ อะสุเซน่าก็ค้นพบว่าหลังความเจ็บปวดอันแสนทรมาน
มันคือความหฤหรรษ์อย่างที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบพานกับสิ่งดังกล่าว…
หญิงสาวกอดเขาเอาไว้แน่นเมื่อเขากำลังพาเธอไปพบกับแดนสุขาวดี…
นุฮาอ่านดุอาในใจขณะได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกับอะสุเซน่า
แล้วได้ทำการปลดปล่อยกระแสน้ำอุ่นอันเช่ี่ยวกรากเข้าสู่ไร่นาของอะสุเซน่า
ขณะได้หว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปด้วยว่า
‘ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ข้าแต่อัลลอฮฺ โปรดทรงให้ชัยฏอน (มารร้าย)
ห่างไกลจากเรา และโปรดให้ชัยฏอนห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ให้เป็นริสกี (ปัจจัย)
แก่เราด้วยเถิด…’
หลังจากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นเกลี่ยไรผมของหญิงสาวแล้วซับเม็ดเหงื่อให้อย่างอ่อนโยน
ยิ้มให้เธอพร้อมกับเอ่ยเสียงหวานว่า
“ขอบคุณครับสำหรับของขวัญล้ำค่า…” อะสุเซน่ายิ้มอย่างเอียงอาย
ที่เขาคือชายคนแรกในชีวิตที่ใกล้ชิดเธอยิ่งกว่าใคร...และได้เห็นในสิ่งที่
เธอไม่เคยเปิดเผยให้ใครได้เห็น...เขาคือคนแรกของเธอ...
นุฮาเลยก้มลงจุมพิตที่หน้าผากนั้นแล้วค่อยๆไล่ลงไปยังเปลือกตาทั้งสอง
ก่อนจะหอมแก้มนวลทั้งของข้าง จุมพิตที่ปลายคางจนไปจบลงที่ริมฝีปาก…อย่างเนิ่นนาน
เป็นการสัมผัสอย่างอ่อนโยนหลังมีสัมพันธ์กัน สร้างความอบอุ่นในหัวใจ
ให้หญิงสาวจนสุขล้น
หลังจากนั้นเขาก็ยกร่างเธอขึ้นอุ้ม พาไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาด
ด้วยกันทั้งสองคน…เสร็จแล้วก็ส่งผ้าเช็ดตัวมาให้เธอหนึ่งผืน
ก่อนจะหันไปเช็ดตัวเองให้แห้งสะอาด แล้วหันมาช่วยเช็ดเส้นผมให้เธอ
เป่าผมให้…ช่วยหวีผมให้…แม้กระทั่งช่วยแต่งตัวให้เธอ…
สุดท้ายก็อุ้มเธอไปยังที่นอนที่เขาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ใหม่…
โดยเก็บผืนก่อนหน้านี้ที่มีหลักฐานของการสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตของลูกผู้หญิงของเธอ
เพื่อนำไปพับเก็บเอาไว้อย่างดี…
“ฝันดีนะครับ…” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากที่ก้มลงจุมพิตหน้าผากเธอแล้วทรุดกาย
ลงนอนข้างๆเธอ ก่อนจะรวบเธอเข้าไปกอดเอาไว้อย่างหวงแหนรักใคร่…
อะสุเซน่ารู้สึกว่าตัวเองได้ตกหลุมรักเขาลึกยิ่งขึ้น…เขาน่ารักขึ้นทุกที…
อะไรหนอที่ทำให้เธอหวาดกลัวผู้ชายที่แสนอ่อนโยนอ่อนหวานและนิ่มนวลทุกการกระทำ
ในยามที่มอบทุกๆสัมผัสให้กับเธอ เขาไม่ได้เห็นแก่ตัว ไม่เลย…
เขาใจดี เขาโอบอ้อมอารี เขาเอื้ออาทร…และเป็นผู้นำที่แข็งแรงในทุกๆก้าว...
หญิงสาวจึงกอดตอบสามีสุดที่รักเอาไว้แน่น สบตากับเขานิ่งในท่านอนตะแคง
หันหน้าเข้าหากัน…ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวานอย่างที่นุฮาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
จากอะสุเซน่า...เขายอมรับอย่างเต็มหัวใจว่า หญิงสาวที่ดูแข็งๆผู้นี้หาได้แข็งกระด้างไม่
เธออ่อนหวานและมีความเป็นผู้หญิงเต็มเปี่ยม ซ้ำยังน่าเอ็นดูในยามที่เธอคอย
ติดตามเขา คอยตอบสนองเขาอย่างไม่ประสีประสา เขาเองก็ไม่เคยมีสัมพันธ์
กับหญิงใด เธอคือคนแรก หากเพียงแต่เขานั้นได้ร่ำเรียนด้านวิชาการและศึกษา
เรื่องนี้อย่างที่ควรจะทำการศึกษาไว้เพื่อจะได้มอบความสุขให้กับภรรยาเมื่อเวลานั้นมาถึง
และเมื่อเห็นเธอมีความสุข เขาก็ยิ่งมีความสุข...ยิ่งถ้อยคำของเธอนั้น
ช่างเป็นคำตอบได้ดีถึงค่ำคืนแรกของเธอและเขาว่าเธอรู้สึกมีความสุขแค่ไหน
และมันงดงามเพียงใด
“ขอบคุณค่ะที่ทำให้บัวก้าวผ่านความกลัวที่เป็นจุดอ่อนของบัวมาตลอดได้สำเร็จเสียที…”
นุฮายิ้มกว้าง ก่อนจะจุมพิตเบาๆที่ปลายจมูกนั่นอย่างมันเขี้ยว
“ผมเข้าใจ…และผม…รักคุณนะบัว…รักเหลือเกิน…”
“บัวก็รักคุณค่ะ…” ทั้งสองมองกันและกันด้วยความรักที่เต็มเปี่ยมจากใจ
ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปในเวลาไล่เลี่ยกัน…ในค่ำคืนแรกอันงดงามในความรู้สึกของทั้งสอง…
ที่จะเป็นประตูสู่ครอบครัวอันผาสุกและปิติยินดี…
ครอบครัวอันจะประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก…
คลื่นรักสงบลงพร้อมสองร่างที่ต่างซุกซบเพื่อมอบความอบอุ่นให้กันและกัน...
หากเสียงคลื่นยังคงครางครวญ ทะเลไม่เคยหลับใหล ท้องฟ้าไม่เคยขาดสีสัน...
หาดทรายยังคงอาทรต่อเกลียวคลื่นยามม้วนตัวเข้าหา...ทิวสนยังคงยืนท้าทายลมแรง
อย่างไม่เคยท้อแท้...เพราะสายลมคือมิตรแท้ผู้ไม่เคยลาจาก...
ลมทะเลพัดหอบความเย็นเข้ามาเคล้าเคลีย โลมไล้ให้กับทั้งสองร่างที่กำลังหลับใหล
ราวกับมิตรสหายที่หมายจะเข้ามาทักทายให้หายคิดถึง...
____________________________________________________
ณ กรุงเทพมหานคร...
“เฮ้อ…วานะอยากให้ดีมกับน้าเล็กลงเอยกัน…”
วาลาดาเอ่ยขึ้นขณะนั่งอยู่ตรงระเบียงที่ยื่นออกไปยังสวยสวยณ คฤหาสน์วรรัศมิ์สกุล
เนื่องจากมารดาของซุลก๊อตไนท์ไม่ยอมให้ซุลก๊อตไนท์สร้างบ้านหลังใหม่
และย้ายไปอยู่ที่อื่น ท่านขอร้องให้อยู่ด้วยกันเสียที่นี่
คฤหาสน์หลังนี้จะได้ไม่เหงา…ไม่เป็นที่อยู่ของเหล่าญินและบรรดาชัยฏอน
เพราะห้องว่างๆเหล่านั้นพวกญินและชัยฏอนจะเข้าจับจองเป็นเจ้าของ
ถ้าเราไม่เข้าไปอยู่อาศัย
ทำให้สองสามีภรรยาและลูกทั้งสองตกลงปลงใจจะอยู่ร่วมกันทั้งหมด ณ ที่แห่งนี้…
ครอบครัวจะได้อบอุ่น ครีื้นเครง และจะได้เป็นการปฏิสัมพันธ์กัน
ในหมู่เครือญาติซึ่งศาสนาสนับสนุนให้กระทำ…ไม่ให้มีการทิ้งบ้านเรือนให้รกร้างว่างเปล่า…
“กลัวเขาจะมาแย่งฉันไปจากเธอล่ะสิ…”
ซุลก๊อตไนท์แกล้งแหย่วาลาดาที่กำลังนั่งให้นมลูกสาวที่กำลังกินกำลังโต…
ส่วนคนเป็นพี่ชายที่ดูจะโตขึ้นตั้งแต่มีน้องซึ่งขณะนี้โดนใช้งานจากผู้เป็นย่า
ให้ช่วยเพาะพันธุ์ต้นไม้ดอกอยู่ตรงสวนด้านล่างซึ่งสามารถมองเห็น
จากตรงจุดที่เขากับวาลาดานั่งอยู่…
“ใครว่า…ก่อนหน้านี้วาคิดว่าจะให้ก๊อตแต่งกับดีมมาเป็นภรรยาก๊อตอีกคนซะด้วยซ้ำ…”
คนฟังถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะดีใจจนนั่งไม่ติด…
และที่อยู่ๆหน้าแดงหูแดงก็ไม่ใช่เพราะเขิน
“นี่ดีใจจนหูแดงเลยรึก๊อต…” วาลาดาหันมายิ้มให้คนหูแดง…
“บอกไว้ก่อนนะ…หญิงอื่นวาไม่รับรองเหมือนดีมนะ…ถ้าอยากเพิ่มเมีย
คนๆนั้นเป็นดีมได้แค่คนเดียวนะ…คนอื่นนั้น ต้องผ่านเซ็นเซอร์ก่อน
ว่าเราพอจะร่วมบ้านกันได้ไหม…เฮ้อ…” วาลาดาถอนใจเสียงดังทีเดียว
“แต่เอาเถอะ…ถ้าก๊อตอยากเพิ่มเมีย จะเป็นใครคนไหนก็ตามแต่เถอะ…
ขอแค่ก๊อตพอใจและมีความสุข…วาก็โอเช…”
คนขี้แกล้งที่หูแดงๆตอนนี้เริ่มตาลุกวาวราวกับตาของแมงมุมลายตัวนั้น
ที่ซมซานเพราะโดนน้ำฝนจนต้องไถลลงจากบนหลังคา
“เมื่อก่อนฉันขอเพิ่มเมียเธอหน้าบึ้งตึงหึงแล้วตบ…ตอนนี้มาแปลก
หรือว่าเธอทำใจได้ถ้าฉันไปมีใครเธอไม่หึงแล้วรึ…”
วาลาดามองคนที่ส่งน้ำเสียงสะบัดๆมาให้แล้วให้งงๆ
“อ้าว…ไม่หึงและไม่ทำหน้าบึ้งตึงมันไม่ดีหรือก๊อต…”
“จำไว้…รักฉันต้องหึง…และไม่ควรยกฉันให้ใครที่ไหนอีกเข้าใจมั้ย…
ฉันมีเจ้าของแล้ว…คือเธอ…จำใส่ใจเอาไว้ซะ…” เขาย้ำอย่างเคืองๆ
“หึงไม่ได้แปลว่ารัก…” วาลาดาค้านหัวชนฝา
“แต่คนที่รักกันมักจะหึง…” เขาสวนกลับทันควัน
“เรารึอุตส่าห์ให้เกียรติ…ไม่หึงเพราะไว้วางใจ คนอะไรไม่เข้าใจอะไรบ้างเลย…
เอาใจยากจริงๆ…ตอนมาขอเพิ่มเมียเราไม่พอใจก็หาว่าเราไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อใจ…
พอตอนนี้เราใจดีอยากให้มีเมียเพิ่ม กลับว่าเราไม่รัก…
เกิดเป็นวาลาดา…อะไรๆก็ผิด…ผิดเสมอ…”
วาลาดาเปรยเบาๆพร้อมส่ายหน้าไปมาด้วยแววตายิ้มแย้มเป็นประกาย
ทำเอาซุลก๊อตไนท์เริ่มรู้ตัวว่าโดนวาลาดาย้อนศรเอาคืน…
“สงสัยฉันคงต้องกระชับความสัมพันธ์เพิ่ม…อีกข้ัน…ก้าวขึ้นไปอีกระดับ”
ซุลก๊อตไนท์เหมือนจะสื่อบางอย่างที่วาลาดานั้นรู้ดีว่าคืออะไร
“อยากได้เพิ่มอีกกี่คนฮึวา…สงสัยที่นอนกินนมอยู่ในตักและที่กำลังปลูกต้นไม้อยู่ในสวน
จะน้อยไปล่ะมั้ง…” วาลาดากระตุกยิ้มที่มุมปากกับท่่าทางกร่างๆ
ของคนที่กำลังโกรธเนื่องจากเหตุผลที่เธอไม่หึงเขา…ช่างน่าเป็นห่วงจริงๆสามีเรา…
“อย่ามัวแต่ข่มขู่กันอยู่เลยก๊อต…เพราะวาไม่เคยกลัวคำขู่…
กลัวก็แต่ก๊อตจะทำไม่ได้อย่างที่พูดมากกว่า” เหมือนโดนท้าทาย
วาลาดากำลังท้าทายศักยภาพของเขา…แถมยังยิ้มยั่วอีก…ให้ตายสิ…ยัยปิงปอง!
อีกไม่ช้า เธอได้กลายเป็น 'ยัยปิ้งป่อง' แน่
“อยากคลอดลูกแบบหัวปีท้ายปีเลยใช่มั้ย…”
“ถ้าก๊อตทำได้วาให้ล้านนึง…” วาลาดาท้ากลับ…ซุลก๊อตไนท์จ้องตายัยแม่ลูกสองนิ่ง…
เขากับวาลาดาไม่เคยคุมกำเนิด…และถ้าท้ามาอย่างนี้
อย่าคิดว่าเขาจะยอมให้เธอได้แตะต้องตัวช่วยพวกนั้น…ไม่ว่าจะกิน ฉีด
หรือว่านับหน้าเจ็ดหลังเจ็ดก็อย่าหวัง
“ล้านนึง…” เสียงใสๆดังขึ้นขณะโผล่หน้าออกมาจากผ้าคลุมของมารดา
ทำเอาสองสามีภรรยาหันมามองและหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน
“หัวปี ล้านนึง…” เจ้าตัวเล็กที่นอนเงี่ยหูฟังพ่อแม่คุยกันอยู่นานขณะดูดนมมารดาอยู่
อย่างสำราญเอ่ยขึ้นแบบจับต้นจนปลายไม่ถูก ที่พูดได้คือ จำอะไรท่อนไหน
ก็พูดท่อนนั้นออกมา…ส่วนคนที่มีหน้าที่ปะติดปะต่อเรื่องราวดูจะเป็น
คนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ตอนนี้ยิ้มไม่ยอมหุบ
“อยากได้น้องมั้ยคะลิดาคนสวยของพ่อ…” เด็กสาววัยขวบเศษกะพริบตาปริบๆ
มองพ่อทีมองแม่ทีอย่างไม่เข้าใจว่า 'น้อง' คืออะไร
“หม่ำๆ…หม่ำๆ…” ซุลก๊อตไนท์หัวเราะร่วนทีเดียวเมื่อรู้ว่านั่นคือคำตอบรับของลูกน้อย
เพราะหากพอใจหรืออยากได้จะพูดคำนี้ออกมา
“สงสัยจะคิดว่าน้องคือของกินแหงๆ…ลูกก๊อตแต่ละคนตะกละเหมือนก๊อตหมดเลย…
หวังว่าถ้าจะมีมาอีกก็ขอให้เหมือนวาบ้าง…”
“คนต่อไปอยากได้หญิงหรือชายขอให้บอก…”
“อย่างกับว่ารีเควสไปแล้วจะได้ตามคำขอ…” วาลาดาสบประมาทเข้าให้
“เธอจะรู้อะไร…ของแบบนี้ผู้ชายเขารู้ว่าจะต้อง...ท่าไหน…ยังไง…”
“อย่ามาพูดติดเรทใส่หูลูกสาวนะ…”
“รู้เรื่องที่ไหนกัน…ดูตาสิ แป๋วแหววเชียว…มานี่มา…มาหาพ่อมา…
มาให้พ่อหอมแก้มหน่อยสิคะ…” ว่าพลางกางแขนรอรับร่างของลูกสาว
ที่กำลังโผเข้ามาหา ก่อนจะรวบร่างน้อยมากอดแล้วหอมแก้มไปหลายฟอด
“แก้มหอมเหมือนแม่ตอนสาวๆจริงๆเล้ย...ลูกสาวพ่อ…”
“แล้วตอนนี้ไม่สาวที่ตรงไหน…”
“ตอนนี้ก็สาว แต่สาวน้อยกว่าตอนนั้นนิดนึง…” วาลาดาเลยฟาดไปตรงลำแขนข
องซุลก๊อตไนท์อย่างเคืองๆ…
“แต่ก็หอมไปอีกแบบ…แบบใหม่ที่ไม่เหมือนแก้มเด็ก…”
แววตาคนพูดวิบวับ กรุ้มกริ่ม ทำเอาวาลาดาหน้าแดงเห่อ…
ฟาดหน้าเขาด้วยสายตากลับไป…ซุลก๊อตไนท์จึงยิ้มกริ่มตาเป็นประกายตอบ…
“งั้น…ถามอะไรก๊อตหน่อยได้มั้ย…ตอนนั้น…ตอนแรกน่ะก๊อตรู้สึกยังไงกับวากันแน่…
ขอของจริงเนื้อเรื่องจริงๆนะ…ห้ามพูดเพื่อถนอมน้ำใจกัน…”
วาลาดาอยากรู้ความจริงสุดๆ มันคาใจเธอมาตลอด
เขาบอกเธอแค่อ้อมๆแอ้มๆเหมือนไม่อยากจะพูดถึงฉากรักฉากนั้น
“ตอนนั้นอารมณ์ใคร่ล้วนๆ…เพราะโดนปลุกด้วยยา…ต่อให้คลำไปไม่มีหาง
ฉันก็คงฟาดเรียบ…เธอก็เลยโดนฉันฟาดไปเต็มคราบ”
เขายอมรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
“มันคือการปลดปล่อย การระบาย ไร้อารยธรรม…เธอคงเดาได้
แต่ถ้าอยากฟังรายละเอียดทุกช็อต…ฉันจะบรรยายให้ดู…คืนนี้!”
วาลาดาเสียวสันหลังวาบๆ…หวังว่าเขาจะไม่สาธิตให้ดูหรอกนะ…
ไอ้แบบไร้อารยธรรมนั้น เธอไม่พิศวาสอยากจะลองนักหรอก...
ว่าแต่ไร้อารยธรรมกับเถื่อนเนี่ย มันเหมือนกันรึเปล่า ???
เขาใช้ศัพท์สูงจนบางครั้งก็จินตนาการไม่ค่อยจะถูกเหมือนกันนะเนี่ย...
“แต่ครั้งท่ีสอง…ฉันโดนเธอปลุก…และคงไม่ต้องบรรยายในเชิงลึก
เพราะครั้งนั้น…เธอมีสติครบถ้วนสมบูรณ์…ไม่น่าจะลืมได้ลง…
แต่ถ้าอยากได้แบบฝึกหัดทบทวน...ฉันก็ยินดีติวให้ฟรีไม่คิดตังค์...
แต่ถ้าพลาดพลั้ง เธอต้องแบกท้องเอาเองนะ...ฉันมีหน้าที่แค่ประคอง
ร้องเจ็บแทนเธอตอนคลอดไม่ได้หรอก...”
วาลาดาหน้าแดงเห่อ แม้จะมีอะไรกับเขาจนมองเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติสามัญไปแล้ว
แต่ก็อดหน้าแดงไม่ได้ทุกที…และคนมองเองก็เหมือนจะชอบที่ได้ทำให้เธอหน้าแดง
เสียเหลือเกิน…
“ระหว่างสองครั้งนั้น…ฉันไม่ยุ่ง ไม่แตะต้องเธอเลย…เพราะฉันรังเกียจ
และที่สำคัญ…ฉันรู้สึกเหม็นเธอ…บอกไม่ได้ว่าเหม็นยังไง…แต่มันเหม็น
จนฉันขนลุกทุกครั้งที่เข้าใกล้เธอ…มีแค่ครั้งที่สองที่แม่เธอขอให้ฉันกับเธอนิกะฮ์กันอีกรอบ…
หลังจากที่เธอคลอดลูกแล้ว…เพราะแม่เธอเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจในศาสนา
ที่ก่อนหน้านั้นฉันนิกะฮ์กับเธอในขณะที่เธอกำลังตั้งครรภ์ เพราะทำเธอท้องก่อนแต่ง
ท่านอยากให้ฉันทำให้มันถูกต้องและดีงามอีกสักครั้งด้วยการนิกะฮ์กับเธอ
หลังจากที่เธอคลอดลูกแล้ว…ซึ่งฉันเห็นด้วยก็เลยยินยอมนิกะฮ์กับเธออีกรอบ…
เธอเหมือนเธอที่เป็นอยู่…แถมยังเพี้ยนไม่คิดจะรับคำนิกะฮ์ของฉันอีก…
ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเป็นคนวางแผนทุกอย่างเพื่อให้ได้ฉันเป็นสามี
จนในที่สุด แม่เธอเข้าไปพูดบางอย่างแล้วเธอก็ยอมรับคำนิกะฮ์…
ครั้งนั้นเธอทั้งสวยและหอมหวานไปทั้งเนื้อทั้งตัวจนฉันแทบยั้งใจเอาไว้ไม่อยู่…
กะจะจับเธอกินแล้วล่ะ แต่ยังไม่ทันไร…เธอก็กลับมาเหม็นเหมือนเดิม…
จนฉันรับประทานเธอไม่ลงจริงๆ…ฉันเองก็เพิ่งรู้ว่าคนโดนมารร้ายสิงจะเหม็น
ได้ขนาดนั้น...แต่ก็ไม่เห็นว่าคนอื่นๆจะเหม็นเหมือนฉัน...ประหลาดดีแท้...
ท่ีสำคัญ...ตอนนั้น...ฉันพยายามรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับนาดีมด้วยว่า
จะไม่แตะต้องเธอ...ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากในตอนแรก เพราะฉันเหม็นเธอ
แต่มายากในตอนหลัง เพราะว่าเธอทำให้ฉันยั้งใจไว้ไม่อยู่...กลิ่นมันผิดกัน
พอผิดกลิ่น ฉันก็เลยกินเธอซะเต็มคราบ ทำผิดสัญญากับนาดีมอย่างไม่อาจ
ทำอะไรได้ดีไปกว่า...ยอมฉีกสัญญาปากเปล่าทิ้งไป...”
วาลาดากะพริบตาปริบๆอย่างงงๆ เพราะเรื่องที่ว่านี้เธอไม่เคยได้ยิน
เขาหรือใครไม่เคยเล่าให้เธอฟัง อาจเพราะเธอไม่ได้ถามหรือเปล่านะ
“ทำไมวาไม่เห็นรู้เรื่องเลย…ว่าเราเคยนิกะฮ์รอบสองมาแล้ว
สรุปว่ารอบล่าสุดนี่รอบที่สามงั้นสิ...ก็แล้วทำไมก๊อตไม่เล่าให้ฟังบ้าง”
“โหยวา…ถ้าให้ฉันเล่าวีรกรรมตอนเธอบ้าๆบอๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายตอนนั้นน่ะ
ฉันเล่าไม่ไหวหรอก…อีกอย่าง ฉันไม่อยากเอามันมาใส่ไว้ในสมองของเธอ…
จะจำไปทำไม เรื่องบางเรื่องไม่ได้จะน่าจดจำ ไม่รู้ดีกว่ารู้…
ฉันเองไม่ชอบรื้อฟื้นด้วย…อีกอย่างตอนนั้นฉันแค่นิกะฮ์เฉยๆ
ไม่ได้จัดงานวะลีมะฮ์ (งานเลี้ยงหลังสมรส) เพราะพ่อเธอขอเอาไว้…
ท่านไม่อยากให้ยุ่งยากเป็นขี้ปากชาวบ้านหลายรอบ…”
เพราะรอบแรกก็แทบเอาปึ๊บคลุมกันอย่างถ้วนหน้า...วาลาดาจึงพยักหน้า
อย่างเข้าใจไปกับเหตุผลของเขาและของบิดามารดา…
“ในวันนิกะฮ์มีแต่คนเรียกเธอว่า 'วาลาดาแอ๊บแบ๊ว'…
เพราะเธอกลับมาเป็นวาลาดาที่แสนดี ทำตัวน่ารักกับคนโน้นคนนี้…
จนฉันมาเข้าใจและปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทั้งหมดในภายหลังอีกรอบ
เมื่อได้ฟังจากปากของพี่นุบวกกับปากของน้าเล็ก…”
“ยังไงหรือก๊อต…”
“พี่นุบอกว่า…แม่เธอพยายามทำทุกอย่างให้มารร้ายที่สิงร่างเธออยู่ออกไป…
ด้วยการขอให้อาจารย์การีมช่วยไล่มันให้…แต่เธอไม่เคยให้ความร่วมมือในการไปหาท่าน…
แม่เธอเลยขอให้อาจารย์การีมซึ่งเมื่อก่อนท่านเลี้ยงญินไว้ 2 ตน
แต่หลังๆมาท่านบอกว่าไม่ได้เลี้ยงแล้วแต่คบเป็นเพื่อนกันเฉยๆ…
แม่เธอเลยขอร้องให้ท่านช่วยขอให้เพื่อนที่เป็นญินของท่านช่วยไล่ญินร้าย
ที่มาสิงร่างเธอให้หน่อย…ท่านตอบว่า…ญินที่เป็นเพื่อนของท่านมี 2 ตน
แต่ญินมารร้ายที่สิงเธอมี 7 ตน ญินของท่านสู้มันไม่ไหว…
เห็นว่าแม่เธอพยายามทำอยู่หลายวิธีที่ไม่ขัดกับหลักการอิสลาม…แต่ก็ไม่สำเร็จ
จนครั้งนั้น แม่เธอน่าจะทำสำเร็จนะ วันที่ฉันนิกะฮ์กับเธอครั้งที่สอง
เพราะแม่เธอกระซิบบอกฉันว่า…เจ้าสาวของฉันในวันนั้นคือลูกสาวของท่านจริงๆ…
ฉันเองตอนนั้นยังงงๆ ไม่เข้าใจอะไรนักหรอก…และไม่ได้สนใจอะไรมากด้วย…”
วาลาดานิ่งฟังอย่างตั้งใจ
“และอีกครั้งที่ฉันก็เพิ่งรู้จากปากพี่นุว่า…วันที่เธอฟื้นนั้น…เป็นวันที่ญิน 2 ตน
ของอาจารย์การีมไล่ญิน 7 ตนนั้นสำเร็จด้วยการร่วมแรงของฉัน
โดยที่ฉันเองก็ไม่ได้รู้หรอกว่าฉันมีส่วนเต็มๆ เพราะฉันกับเธอเกือบฆ่ากันตายด้วยซ้ำ…
เธอจะฆ่าฉันด้วยการกดหัวฉันลงไปในอ่างน้ำหลังจากที่ฉันจับเธอลงไปในอ่างน้ำ
หวังให้เธอหายบ้า แต่เรี่ยวแรงของเธอเยอะจนฉันในตอนแรกสู้ไม่ไหว
แต่ด้วยแรงฮึด ฉันเลยได้เป็นฝ่ายจับหัวเธอกดน้ำบ้าง…
เธอบ้าเพราะโดนมารครอบงำ ส่วนฉันตอนนั้นก็โกรธจนขาดสติ…
เกือบทำเธอตายไปแล้ว โชคดีที่เธอแค่หมดสติไป…
และน่าจะเป็นช่วงนั้นแหล่ะที่เธอหลุดพ้นจากการครอบงำของญินมารร้าย
แล้วญินของอาจารย์การีมเข้าช่วยเธอจากการครอบงำได้อีกครั้ง…"
ซุลก๊อตไนท์หยุดเพื่อหายใจก่อนจะพูดต่อไปว่า
"ไม่แปลกที่แม่เธอจะให้เธอรีบไปหาอาจารย์การีมเป็นการเร่งด่วน
เพราะน้าเล็กได้เล่าให้ฉันฟังว่า…แม่ของนาดีมเขาเป็นคนใช้ญินมารร้ายพวกนั้น
ที่เขาเลี้ยงไว้ไปครอบงำเธอ ก็คือสิงร่างเธอนั่นแหล่ะ
มีหลายครั้งที่มันไม่สามารถครอบงำเธอต่อได้ เธอก็เลยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
จนชาวบ้านเขาสับสน…ซึ่งนาดีมจะเป็นคนพาเธอไปพบแพทย์
และแพทย์ที่ว่านัั้นก็เป็นเพื่อนของน้าเล็ก…เลยสะดวกและสามารถปกปิดความลับได้…”
“ไปพบแพทย์ทำไมหรือก๊อต…”
“เพื่อสะกดจิต…”
“สะกดจิต?” วาลาดาตกใจทีเดียวกับสิ่งที่ได้รับรู้
“มีด้วยหรือ…”
“อืม…เขาเรีกว่าสะกดจิตเพื่อลบเลือนความทรงจำ…ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว
ไม่มีใครสามารถสะกดจิตให้สูญเสียความทรงจำได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว
การสะกดจิตเพื่อลบเลือนความทรงจำนั้นทำได้…โดยการให้รู้จักยอมรับ
เมื่อจิตใต้สำนึกยอมรับ ก็จะพัฒนาไปสู่ ‘การวางเฉย’ ซึ่งการวางเฉยนี้
จะทำให้เหตุการณ์หรือบุคคลในความทรงจำนั้นค่อยๆถูกลดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ
จนนำไปสู่การลืมเลือน ไม่มีความใส่ใจต่อความทรงจำเหล่านั้นในที่สุด…
ยิ่งได้ตัวยาที่ฉันเคยเล่าให้เธอฟังเข้าร่วมด้วยก็ยิ่งไม่ต้องคิด…”
“น้าเล็กรู้เรื่องน้ีหรือ…”
“รู้…แต่เขาพูดไม่ได้หรอก…ลูกสมุนของแม่นาดีมไม่ธรรมดานักหรอกนะ…
ช่วงหลังๆที่ฉันพอจับเคล็ดลับได้เลยขอให้น้าเล็กเข้าร่วมภารกิจลับนั่นแหล่ะ…
ฉันถึงรู้เรื่องพวกนี้จากปากของน้าเล็กที่สารภาพผิดจนหมดเปลือก…
ว่าเขาก็มีส่วนร่วมในการทำร้ายเธออยู่ไม่น้อย…และเรื่องที่เธอฟื้นเพราะมารที่สิงเธอนั้น
มันสู้ญินของอาจารย์การีมไม่ได้นั้น นาดีมไม่รู้หรอก…เพราะแม่เขาอายที่จะ
สารภาพกับลูกสาวว่าทำพลาด…ไร้ศักยภาพ..แต่น้าเล็กเขารู้…ที่รู้เพราะว่า
แม่ของนาดีมเขามักไปปรับทุกข์ไประบายให้ฟัง…สรุปว่า...จบข่าวนะวา…
และต่อไปห้ามชวนฉันคุยเรื่องพวกนี้อีก...เธอไม่ควรจะนำมาใส่ใจด้วยซ้ำ
มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะนะวา...ปิดฉากเลยแล้วกัน...ฉันขอร้อง!”
“ถึงว่าสิ…ก่อนเสีย…แม่พูดกับวาแปลกๆ…ที่แท้แม่ก็คอยช่วยเหลือวามาตลอดนี่เอง…”
พูดแล้วก็ให้คิดถึงมารดาขึ้นมา วาลาดามองไปยังลูกสาวที่นั่งฟังพ่อแม่คุุยกัน
อย่างสนใจบนตักของซุลก๊อตไนท์แล้วให้ยิ้มออกมา
…แม่เธอคงรักเธออย่างที่เธอรักลูกของเธอนี่แหล่ะ…รักที่ยอมตายแทนได้…แลกชีวิตด้วยได้…
“พี่นุบอกก๊อตเรื่องแม่ตอนไหน…” วาลาดาเริ่มสงสัยขึ้นมา จะให้ปิดฉากเธอยังทำ
ณ ขณะน้ีไม่ได้ แต่ต่อไป เธอไม่รื้อฟื้นมันอีก...
“หลังจากที่ฉันกลับมาจากเกาะรังรัก…เพราะฉันเองก็ติดใจสงสัยเรื่องที่เธอ
ฟื้นขึ้นมาเหมือนกัน มันมีอะไรหลายๆอย่างที่เหมือนยังขาดชิ้นส่วนสำคัญไป…
ฉันเลยลองเสี่ยงถามพี่นุดู…พี่นุเลยเล่าให้ฟัง และที่พี่เขาไม่เล่าให้เธอฟัง
ก็คงคิดไม่ต่างจากฉันคือ…การไม่รู้ย่อมดีกว่า…สบายใจกว่า…
ขนาดแม่เธอยังไม่ยอมบอกอะไรเธอ…นั่นก็แสดงว่าท่านไม่อยากให้เธอ
แบกการรู้ในสิ่งนี้ไว้…ท่านอยากเห็นเธอมีความสุขกับปัจจุบัน…
เหมือนฉันเหมือนพี่นุที่ก็หวังอยากเห็นเธอมีความสุขกับปัจจุบันเช่นกัน…”
วาลาดามองคนตรงหน้าอย่างขอบคุณ และคงต้องขอบคุณพี่ชายที่แสนดีอย่างพี่นุด้วย
ที่คอยเป็นสายลมใต้ปีก คอยช่วยเหลือเธอมาตลอดทั้งที่เธอรับรู้และโดยไม่เคยได้รับรู้…
การทำเพื่อคนอื่นไม่จำเป็นต้องประกาศต่อเขาว่าเราทำเพื่อเขาเลย…
เธอเข้าใจแล้วว่าความบริสุทธิ์ใจมีคุณค่าและมีความหมายแค่ไหน…
เหมือนแม่ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อลูกโดยไม่ได้หวังสิ่งใดจากลูก…
ไม่โอ้อวดความดีที่ตนทำต่อลูก...
อยู่ๆเธอนึกถึงประโยคนึงที่ตราตรึงใจขึ้นมา
‘แม่ของท่านมอบหัวใจให้แก่ท่านเมื่อตอนที่ท่านยังเล็ก…
แต่ไฉน…ท่านกลับมอบหัวใจให้นาง…เมื่อโตขึ้น…’
กับอีกประโยคกินใจนึง ซึ่งเมื่อก่อนเธอไม่ได้ใส่ใจนัก หากวันนี้มันทำให้เธอน้ำตาคลอ
‘ลูกจะไม่มีวันได้พบกับหัวใจที่อ่อนโยนกับลูกมากกว่าแม่อีกแล้ว…’
ใช่แล้วล่ะ…ไม่มีอีกแล้ว หัวใจดวงใดที่จะอ่อนโยนกับเธอได้เทียบเท่า ‘หัวใจของแม่’
แม่ไม่ใช่แค่พยายามคอยปัดยุงไรออกไปจากเธอเท่านั้น
แต่แม่เฝ้าพยายามปัดป้องความเลวร้ายออกจากชีวิตเธอด้วย…
ทำให้โดยที่เธอไม่ต้องร้องขอ…ทำให้โดยที่ไม่จำเป็นต้องให้เธอรับรู้…
และคงมีอีกมากมายหลายเรื่องราวที่แม่ทำเพื่อเธอโดยที่เธอไม่เคยได้รู้เลย…
“ขอบใจนะก๊อตที่คอยดูแลเอาใจใส่ และคอยปัดเป่าความเลวร้ายไปจากวาและลูกๆ…
คงมีหลายอย่างที่ก๊อตทำให้วาแต่วาไม่รู้…แต่วาอยากบอกว่า…
ขอบคุณ…สำหรับความเอื้ออาทรท่ีมีให้วาและคนที่วารัก…”
พูดจบก็โผเข้ากอดซุลก๊อตไนท์แน่น รวบร่างลูกสาวเข้าไปกอดด้วย…
ทำเอาเจ้าลูกชายที่กำลังเดินขึ้นบันไดมายังระเบียงบ้านรีบวิ่งฉิวเข้ามาเป็นอีกส่วนหนึ่ง
ด้วยทันทีทันใด ก่อนจะเข้าไปกอดน้องสาวเอาไว้ จนได้อ้อมกอดของพ่อแม่
เข้าไปเต็มๆ
เมื่อทั้งสี่ผละออกจากกัน…เจ้าซุลฟาที่ถือดอกชบาสีแดงดอกใหญ่ในมือมาด้วยสองดอก
ก็หันไปยิ้มให้น้องสาว เจ้าน้องสาวที่มีนามเหมือนมารดาว่า ‘วาลิดา’ หรือ ‘น้องลิดา'
ยิ้มแฉ่งโชว์ฟันกระต่ายน่ารักๆให้กับพี่ชายที่มาพร้อมดอกไม้ในมือ…
“พี่ฟาเอามาฝาก…” บอกพร้อมยื่นดอกไม้งามสีสันสดใสให้น้องสาว
แต่เมื่อเห็นผมที่ผูกเป็นแกละทั้งสองข้างของน้องสาวจึงนึกอะไรขึ้นได้
มือป้อมๆของคนเป็นพี่ชายจึงเสียบก้านดอกชบาไปตรงที่มัดเป็นแกละ
ให้น้องสาวทั้งสองดอกก่อนจะหัวเราะลั่นเมื่อเห็นดอกชบาสีแดงดอกโตสองดอกของตน
ไปบานอยู่บนศีรษะของน้องสาวที่ผมยาวสวยสีดำมันวาวนุ่มมือทีเดียว…
ทำเอาซุลก๊อตไนท์กับวาลาดาหัวเราะตามไปด้วย
เจ้าน้องสาวตัวน้อยก็พลอยฟ้าพลอยฝนหัวเราะตามไปติดๆ…
“ไปกับพี่ฟามั้ย…พี่ฟาจะพาไปเก็บดอกไม้ในสวน…”
คนเป็นพี่ชวนน้องสาวที่อยู่ในชุดลูกหมีสีฟ้าตัดกับดอกชบาสีแดงบนหัวทันที
คนเป็นน้องเลยกางแขนอ้ารอรับพี่ชายเป็นการตอบรับคำชวนทันทีทันใด
และไม่ลืมหันไปมองพ่อทีแม่ทีเพื่อเป็นการปรึกษา ทั้งสองเลยพยักหน้า
เท่านั้นแหล่ะ เจ้าตัวเล็กกระโดดขี่หลังพี่ชายและกอดคอพี่เอาไว้แน่น
วาลาดากับซุลก๊อตไนท์มองดูลูกสาวขี่คอลูกชายแล้วยิ้มทั้งปากทั้งตา
ให้กับความรักความผูกพันธ์ระหว่างสายเลือดที่ย่อมข้นกว่าสายน้ำ
ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับคว้ามือวาลาดามากุมไว้แล้วจูงให้เดินตามสองพี่น้อง
ที่ตอนนี้…เปลี่ยนมาจูงมือ คนพี่เดินนำ ส่วนคนน้องก็เดินตามพี่ชายต้อยๆๆ
เสียงเจื้อยแจ้วสลับเสียงหัวเราะสดใสของสองพี่น้องดังมาไม่ขาดสาย…
เห็นภาพคนเป็นพี่ชายเอื้อมมือคว้าดอกชบาที่อยู่สูงเกินที่น้องสาวจะเอื้อมถึงมัน
หากติดอยู่แค่ปลายเอื้อมเท่านั้นเอง และสุดจะคว้าได้
ไม่นานต่อจากนั้น…คนเป็นพ่ีชายก็นั่งลงให้น้องขี่หลังแล้วยืดตัวให้น้องสาว
เป็นคนเอื้อมมือไปคว้าดอกไม้มา…เสียงหัวเราะชอบใจดังตามมาเมื่อคนเป็นน้อง
สามารถคว้าดอกชบาดอกงามมาไว้ในมือได้สำเร็จ…
คนเป็นพี่เลยพาน้องสาวที่ขี่หลังวิ่งไปมาในสวน…
ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาที่เฝ้ามองดูอยู่พลอยมีความสุขไปด้วย
“ฉันตัดสินใจแล้วว่า…เราจะต้องเดินหน้าต่อ…กระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ล้านนึงไม่เคยพอ…ถ้าเธอคลอดได้…ฉันให้สองล้าน…”
คนที่บอกว่าจะ ‘ทำ’ เอ่ยกับคนที่มีหน้าที่ ‘คลอด’ ด้วยเสียงหนักแน่น…
ทำเอาวาลาดายิ้มออกมาก่อนจะชวนเขานั่งลงตรงผืนหญ้าใต้ร่มไม้ใหญ่
ซุลก๊อตไนท์เลยฉวยโอกาสทิ้งตัวลงนอนลงบนผืนหญ้าวางศีรษะลงบนหน้าตักของวาลาดา
นึกถึงภาพวันวานที่เคยหวานกัน…
แม้สถานที่เปลี่ยน แต่ความหวานไม่เคยน้อยลง…ความขมอาจมีบ้าง
แต่ไม่ว่าจะขมหรือหวาน เขาไม่ใส่ใจ ขอแค่มีวาลาดาเป็นแม่ของลูกๆไปอย่างนี้…
เขาก็พอใจแล้ว…
“ฉันจะไม่เพิ่มเมียหรอกนะ…แต่อยากเพิ่มลูก…เธอคงต้อง…เหนื่อยหน่อยนะวา…”
พูดขณะช้อนตาขึ้นสบตาวาลาดาที่ก้มลงมามองเขาพอดีพอดี
“เหนื่อยแต่มีความสุข…วาทนได้…” พูดจบก็ก้มลงประทับจุมพิตตรงกลางหน้าผาก
ของซุลก๊อตไนท์...
และเพียงไม่นาน...สองพี่น้องก็บุกเข้าใส่ทั้งสองที่กำลังจู๋จี๋กันอยู่พอดี…
ร่างของคนเป็นลูกสาวบุกเข้านั่งคร่อมลงบนแผ่นอกของบิดาแล้วก้มหน้าลง
คลุกใบหน้าของตนกับใบหน้าบิดาอย่างมันเขี้ยว…
ส่วนเจ้าลูกชายก็เดินไปเกาะหลังของคนเป็นแม่แล้วก้มลงเอี้ยวคอหอมแก้มมารดา
ไปทั้งแก้มซ้ายแก้มขวาไม่ให้บิดาเห็น…เดี๋ยวจะโดนโวย…
เลยใช้ทีเผลอขโมยหอมแก้มแม่ไปสองฟอด
ทำเอาวาลาดาหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขแล้วตอบแทน
ด้วยการหอมแก้มเจ้าลูกชายที่ยื่นแก้มมาให้อย่างเต็มอกเต็มใจไปสองฟอด
อย่างเท่าเทียมกัน…
“ตาวิเศษเห็นนะ…” ซุลก๊อตไนท์เอ่ยออกมา ทำเอาเจ้าลูกชายหัวเราะแหะๆ
หากก็ยังไม่ยอมหยุดที่จะก้มลงหอมแก้มแม่แล้วกอดคอแม่จากทางด้านหลังเอาไว้
อย่างหลวมๆ กลัวแม่จะหายใจไม่ออก…
ทำเอาลุงหมานและอัยรีนที่กำลังช่วยกันเอาพันธุ์กล้าลงดินในสวนแห่งนั้นหันมามองภาพนั้น
ด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้า และไม่วายหันไปลุ้นอีกฟากฝั่งของสวนแห่งนี้
ซึ่งกำลังเจรจาว่าความเพื่อจะหามนาดีมลงจากคานให้ได้
“ให้อภัยน้าได้ไหมดีม…” ใบหน้านิ่งๆ ไร้ปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ
ทำให้คนที่เฝ้าอธิบายความประสงค์ของตนเองมานาน
จากที่ก่อนหน้านี้มีมารดาของซุลก๊อตไนท์นั่งอยู่ด้วย…จนบัดนี้ไม่เหลือใคร
นอกจากเขากับนาดีมที่กำลังนั่งอยู่ในสวน ซึ่งเป็นสถานที่เปิด…
พยายามทิ้งระยะห่างต่อกันไว้ไม่ให้ใกล้ชิดกันจนเกินไป...
หากหญิงสาวยังคงนิ่งเช่นเคย…เขารู้ว่าเธอได้ยินในสิ่งที่เขาพูดทั้งหมด…
และกำลังฟันมันทุกคำ…
แม้นาดีมในวันนี้จะไม่ได้สวยใสอย่างวันวาน หากเขาก็ยังรู้สึกรักเธอไม่ได้น้อยลง
ลึกลงไปมันเอาไว้ซึ่งความสงสาร ความเห็นอกเห็นใจ…
และไม่ใช่แค่เปลือกที่เปลี่ยนไป เนื้อในของเธอก็ดูจะไม่เหมือนเดิม…เขารับรู้ได้…
เพราะที่เขาเห็นคือเปลือกที่เก็บความตั้งใจดีเอาไว้ข้างใน
…เธอดูสงวนท่าทีได้อย่างเป็นธรรมชาติ…กลายเป็นเสน่ห์ที่เขาไม่เคยพบจากนาดีม
มาก่อน...และถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาก็คงไม่พึงปรารถนาหญิงในลักษณะนี้
และคงมิได้มองว่าสิ่งดังกล่าวคือเสน่ห์...
เพราะไฟราคะที่ลุกโชนมักจะโน้มนำเขาให้เห็นความเร่าร้อนเป็นความสวยงาม
เย้ายวนน่าลิ้มลอง...ประดุจแมงเม่าบินเข้ากองไฟ...
“น้ารู้ว่าน้าเหมือนคนที่ใจร้ายกว่าใครทุกคนที่ไม่ได้อยู่ด้วย
ในวันที่ดีมกำลังตกที่นั่งลำบาก…”
นาดีมไม่มีหนทางใดที่จะสื่อสารกับเขาได้ว่า...ที่ผ่านมาเธอเข้าใจเขา
เพียงแต่เธอเสียใจ น้อยใจที่เขาไม่ยอมมาเยี่ยมเยือนเธอในขณะที่เธอกำลังเจ็บปวด
ทั้งกายและใจ…เธอรู้ว่าเขายังอยู่ไม่ได้จากเธอไปไหนอย่างที่พ่อกับแม่ทำกับเธอ…
แต่เขาก็ไม่มาหา…เหมือนเธอไม่ได้มีค่ามีความหมายในสายตาเขาเลย
ทั้งๆที่เธอคิดมาตลอดว่าเขารักเธอ…แต่สุดท้ายคนที่อยู่ข้างกายเธอกลับไม่ใช่เขา
กลับเป็นวาลาดากับซุลก๊อตไนท์…และคนที่เธอเคยคิดเอาชีวิตมาก่อนแทบทั้งหมด…
คนที่เธอไว้ใจหักหลังไม่ทำให้เธอเจ็บช้ำเท่ากับการที่เขาทำหมางเมิน…
ห่างหายและห่างเหินไป…เขาทำเหมือนที่คนในสังคมรอบกายทำกับเธอ…
เพราะเห็นว่าเธอมันเลว มันชั่วช้าจนไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้ ไม่มีประโยชน์อันใด
ให้พวกเขาได้เก็บเกี่ยวจากเธออีกต่อไป พวกเขาก็เลยปล่อยทิ้งร้างเธอเอาไว้ไม่ใส่ใจ...
เธอน่ะไม่ได้เพิ่งจะมาเป็นคนเลว...แต่เธอทำเลวทำชั่วมาทั้งชีวิต
หากก็มีมวลมิตรมากมายห้อมล้อมเอาอกเอาใจและคอยมอบรักมอบความปรารถนาดี
มาให้โดยตลอดไม่เคยขาด...แต่พอชีวิตเธอร่วงต่ำ พายุกระหน่ำซ้ำเติม
พวกเขาก็หลบหนี พอเธอละทิ้งความชั่วช้าเลวทรามที่เคยกระทำมา
ด้วยการกลับเนื้อกลับตัวหันมาทำความดี หมู่มิตรมากมายเหล่านั้นกลับบินหาย...
เมื่อเป็นทุกข์...ไม่มีใครให้เธอได้ปรับทุกข์ ไม่มีใครข้างกาย ไม่มีใครคอยเช็ดน้ำตา
นอกจากเพื่อนเก่าและมิตรภาพในวันวาน...ที่ไม่ว่าเธอเคยทำเลวร้ายไว้สักเพียงไหน
ก็พร้อมให้อภัยในความผิดพลั้งไปของเธอ...ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครต้องการ
และไม่มีใครรักเธอได้เท่ากับวาลาดาอีกแล้ว...
ยิ่งวาลาดาดีกับเธอเท่าไหร่...เธอก็ยิ่งเจ็บปวดและผิดหวังเหลือเกิน
กับมิตรภาพจอมปลอมที่เธอเคยลุ่มหลงมานานปี...
พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้จริงใจกับเธอเลยสักคน...จำนวนมวลมิตรที่มากมาย
พอได้ความวิบัติเข้ามาคัดสรร ผลลัพธ์ออกมาคือเธอไม่เหลือมิตรในหมู่ผู้คนเหล่านั้น
ที่จริงใจกับเธอ หวังดีต่อเธอจากใจแม้สักคนเดียว...
แท้จริงแล้ว...พวกเขาเหล่านั้นต้องการสิ่งใดจากเธอกันแน่...
แล้วคนตรงหน้าเล่า...ต้องการสิ่งใดจากเธอกันเล่า ถึงได้กลับมาหาเธอ
ในวันที่เธอยืนหยัดได้แล้ว...
“น้าอยากให้ดีมเข้าใจน้า…และก้าวไปด้วยกันกับน้า…นะดีม…
น้าตั้งใจจะดูแลดีมไปตลอดจนสิ้นลมหายใจ…เราจะอยู่ด้วยกันอย่างถูกต้อง…
จะพยายามใช้ชีวิตที่เหลืออย่างถูกต้อง…บนหนทางที่เที่ยงตรง…ด้วยกัน…”
คนฟังท่ียังสับสนกับเหตุผลที่เขากลับมารู้สึกอุ่นวาบในหัวใจทันทีที่ได้ยินประโยคดังกล่าว
…ความหนาวเหน็บที่แฝงเร้นถูกไอร้อนแผ่ปกคลุมก่อเป็นหมอกสีขาวกลางใจ…
มิใช่ควันพิษอย่างที่ผ่านมา
เธอเองก็อยากจะเปลี่ยนเป็นคนที่ดี…อยากลบความเลวร้ายในวันวานออกไปจาก
ความทรงจำให้หมด…ลบเลือนด้วยความดี…มิใช่วิธีลบเลือนความจำแบบที่เธอ
เคยทำไว้กับวาลาดา…เพราะตั้งแต่ชีวิตร่วงต่ำเธอก็พบว่าสิ่งใดคือสัจธรรม…
“ดีม…” หนุ่มใหญ่เรียกชื่อหญิงสาวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
จนเจ้าของชื่อถึงกับสั่นไหว ส่วนลึกอยากเข้าไปกอดเขา อยากอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆของเขา…
แต่มันผิด ตอนนี้มันผิดที่จะทำแบบนั้น และเธอตั้งปฏิญาณกับตนเองแล้วว่า
จะไม่กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆอีก...ไม่อีกแล้ว…ไม่เอาอีกแล้วชีวิตแบบนั้น
ซึ่งหนุ่มใหญ่เองก็อยากดึงร่างอรชรอ้อนแอ้นตรงหน้าเข้ามาสวมกอด เข้ามาปลอบ…
หากก็ต้องข่มใจไว้ พยายามเตือนตัวเองว่าเขาควรให้เกียรติเธอ
และละอายใจต่อพระเจ้า
ที่ผ่านมาเคยทำเลวแค่ไหนนั่นคืออดีตไปแล้ว เขาตั้งใจจะตั้งต้นเอาใหม่
จึงเอ่ยออกไปตามตรงกับนาดีมอย่างเปิดหัวใจออกมาให้หญิงสาวดูว่า
“เป้าหมายของการนิกะฮ์ (สมรส) คือ การรักษาตนให้พ้นจากการละเมิดประเวณี…
และสำหรับน้ามันไม่ใช่แค่นั้น…น้าอยากดูแลคนที่น้ารัก อยากให้เกียรติเธอ
อยากปกป้องเธอ…อยากสร้างครอบครัวเล็กๆ ที่มีพ่อ แม่ ลูก…ด้วยกันกับเธอ…”
คนฟังน้ำตาเอ่อคลอเพราะคำว่า ‘ครอบครัวเล็กๆ’ นั่น มันคือ
ภาพความฝันของเธอมาตลอด… เธออยากมีครอบครัวที่น่ารัก…ครอบครัวที่อบอุ่น…
...มีบ้านที่พ่อแม่ลูกอยู่กันพร้อมหน้า...
น้ำตาที่ไหลหยดลงมาจึงเป็นน้ำตาแห่งความเปรมปรี เขาคงไม่ได้หลอกให้เธอฝัน
ลมๆแล้งๆหรอกใช่ไหม...ใจที่บอบช้ำมันยังไม่พร้อมจะผิดหวังอีกรอบ...
“เราจะสร้างบ้าน สร้างครอบครัวของเราด้วยกันนะดีม…
ทั้งน้าทั้งดีม...เราต่างก็รู้ว่าเราขาดสิ่งใดในชีวิตไป...แต่เราจะร่วมกันสร้าง
ช่วยกันเติมเต็มมันให้กันและกันนะดีม...”
เหมือนแสงแห่งความหวังอีกหนึ่งลำแสงทอดผ่านเข้าสู่หัวใจอันสับสนกับจุดประสงค์
ของเขาก่อนหน้านี้...บัดนี้...แม้จะมองไม่เห็นด้วยตา...แต่เธอเห็นแสงที่ว่านั้น
ด้วยกับบางอย่าง...ที่มันไม่ได้ด้านชา...หรือแข็งกระด้างอย่างท่ีคิด...
กลีบปากที่ปิดสนิทปลิแย้มประดุจดอกไม้ที่กำลังเปิดเผยความงามข้างในออกมาสู่ภายนอก…
หนุ่มใหญ่มองรอยยิ้มของคนตรงหน้าแล้วยิ้มตอบ…
ตอนนี้กอดไม่ได้ สัมผัสไม่ได้ แต่เขามั่นใจว่า…อีกไม่นาน…เธอและเขาจะหลุดพ้น
จากความทุกข์ทรมานนี้…
หลานชายของเขาพูดถูก…ปัญหามีไว้ให้แก้ไข ไม่ใช่ให้วิ่งหนี
ส่วนบาดแผลมีไว้ให้รักษาไม่ใช่ปกปิด…
“วันนี้น้าอาจตอบดีมได้ไม่เต็มปากว่ารักของน้าแท้หรือเทียม…
แต่จากวินาทีนี้ น้าจะพิสูจน์ให้ดีมรู้ว่า…มันเป็นยังไง…นิกะฮ์กับน้านะดีม…”
หญิงสาวพยักหน้ารับทันที…ไม่มีเหตุผลใดท่ีเธอจะปฏิเสธเขาได้อีกต่อไป…
แม้จะยังไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นว่าเธอกับเขาจะใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันได้อย่างไร
เพราะเธอในตอนนี้คงจะกลายเป็นภาระหนักสำหรับเขาอยู่ไม่น้อย
แต่เธอจะพยายามปรับตัวปรับใจและพยายามพอใจ และซาบซึ้งกับสิ่งที่อยู่รอบตัวและสิ่งที่มี
จะหยุดเพื่อแสวงหาความร่ำรวย เพราะเธอรู้แล้วว่า เธอมีทุกอย่างที่เธอต้องการแล้ว…
“ไม่เอาพยักหน้าอย่างเดียว…ไหนยิ้มสวยๆให้น้าดูด้วย…”
นาดีมยิ้มออกมาทั้งน้ำตาอาบแก้ม คนตรงหน้าเลยยื่นผ้าเช็ดหน้าไปวางไว้บนมือของเธอ…
วันนี้เธอคงต้องซับน้ำตาตัวเองไปก่อน…แต่หลังจากนี้...เขาจะอยู่ซับน้ำตาให้เธอเอง…
และจะทำให้น้ำตาของเธอ เป็นน้ำตาแห่งความสุข ความยินดี…น้ำตาแห่งความซาบซึ้ง
และแม้นว่าเขาจะไม่ได้ยินน้ำเสียงอันไพเราะและหวานละมุนจากริมฝีปากของเธอ
ที่เคยเอื้อนเอ่ยถ้อยคำมากมายอย่างแต่ก่อน หากเขากลับสัมผัสได้ถึงเสียงของหัวใจ
ที่อ่อนโยนของเธอ…ที่เมื่อก่อนเขาแทบสัมผัสมันไม่เจอ…
นาดีมอยากบอกเขาเหลือเกินว่า…
ขอบคุณ…ขอบคุณที่ให้เกียรติและความมั่นคงกับเธอด้วยการขอเธอแต่งงาน
ขอบคุณที่จะมาเป็นผู้นำในการสร้างครอบครัวเล็กๆด้วยกันกับเธอ…
ขอบคุณที่ไม่ทิ้งให้ผู้หญิงอย่างเธอต้องนอนอ้างว้างไร้คู่เรียงเคียงหมอน
ขอบคุณที่ให้อภัย เข้าใจและให้โอกาสเธอ…
เธอจะรักษาโอกาสนี้แล้วทำมันให้ดีที่สุด…และไม่ปล่อยให้สิ่งมีค่าหลุดมือไปอีก
อย่างเช่นวันวานที่ผ่านมา…
“น้าจะจัดการให้เร็วที่สุด…ถ้าดีมพร้อม…มะรืนนี้น้าจะพาดีมไปนิกะฮ์
แล้วไปอยู่ด้วยกันกับน้า…ไปอยู่บ้านของเรา…ดีมจะว่าอย่างไร…”
ไม่มีทางเหลือให้เธอปฏิเสธอีกแล้ว นาดีมจึงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้า…
หนุ่มใหญ่ยิ้มกว้างอย่างโล่งใจและมีความสุข…
บ้านของเขาที่ร้างว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวา บ้านที่แทบเรียกว่า ‘บ้าน’ได้ไม่เต็มปากนัก
แต่เขาจะปัดกวาดมัน และช่วยกันสร้างบรรยากาศแห่ง ‘บ้านที่เป็นบ้าน’
กับหญิงสาวตรงหน้า…บ้านหลังนั้นจะมีเขาและเธอ...และจะมีพยานตัวน้อยๆ
มาคอยสร้างสีสันให้บ้าน...เขาจะพยายาม...
หัวใจที่เคยรุมร้อนค่อยๆสงบลง เพียงแค่คิดถึง ‘บ้าน’ ที่มีเธอเป็นแม่ของบ้าน…
บ้านที่จะทำให้ 'หัวใจเร่ร่อน' ได้มีที่พักพิงเสียที...
สิ้นสุดเสียทีกับการไล่คว้าภาพมายา...
“ขอบใจนะดีมที่ให้โอกาสน้า…เราจะช่วยกันสร้างตำนานรักของเราด้วยกัน…
ทำให้ศาสนาในตัวเราสมบูรณ์ไปด้วยกัน…”
นาดีมทำได้แค่เพียงพยักหน้าพร้อมกับดวงตาที่พร่างพราย…
ดวงดาวส่องประกายระยิบระยับในดวงตาคู่นั้น…
เธอจะทดแทนให้เขายิ่งกว่าถ้อยคำหวานซึ้ง…ทุกอย่างที่ทำได้ เธอจะชดเชยให้กับเขา…
'เงามาร' ที่บดบังหัวใจเธอเหมือนจะบินหนีไปพร้อมกับตัวตนของมัน…
เมื่ออารมณ์ใฝ่ต่ำที่ชักนำมันมายอมจำนนท์และสิโรราบ…
ทำให้สุลต่านแห่งจิตวิญญาณเป็นเจ้าเหนือร่างกาย…
.................จบบริบูรณ์จริงจริงแล้วจ่ะ.................
ปิดม่านลงแล้วค่ะ...สำหรับ "เงามาร" ใจหายๆๆๆ ^^
ข้องใจอะไรตรงไหน...เขียนแปะไว้ได้นะคะ...จะเข้ามาส่องเรื่อยๆค่ะ...
เสร็จจากเรื่องนี้...คงจะไปเขียนต่อเรื่อง
"บ้านต้นรักษ์" (เรื่องใหม่)
กับ
"เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์" (ที่ดองค้างมาปีแล้วปีเล่า)
ยังไงถ้าว่างๆก็เข้าไปทักทาย ติดตามและติชมกันบ้างนะคะ... ^^
และแล้ว...ในที่สุดเต่าโยก็ได้ตัดสินใจกลับบ้านเกิดเสียที
หลังจากพเนจรร่อนเร่มาหลายปีเหลือเกิน...
เริ่มจากเป็นนักเรียนต่างด้าว จบมาก็เป็นมนุษย์เงินเดือน งานประจำ งานไม่ประจำ
ฟรีแลนซ์ พ่วงงานอดิเรกร้อยแปดพันเก้า...คราวนี้จะได้ทำของตัวเองซะที...
เจ๊งหรือเจ๋งค่อยว่ากัน เหอๆ...ชีวิตมันต้องลองถึงจะรู้ว่าชีวิตมันเป็นยังไง...อิอิ
ท่ีสำคัญ...บรรยากาศบ้านเกิดเหมาะเหม็งมากสำหรับการเขียนนิยายเรื่อง
"บ้านต้นรักษ์"
ทะเล ท้องทุ่ง ภูเขา น้ำตก ต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า
และ บรรยากาศของทะเลทราย...ต้นอินทผาลัม...Oasis
ใครว่างๆแวะไปทักทายกันได้ในเรื่องดังกล่าวนะคะ...^o^
กลับบ้านเรา...รักรออยู่...สู่อ้อมใจ...ของบ้านเก่า...สู่ลำเนา...ของบ้านเกิด...
หากมีอะไรผิดพลาดไปบ้าง เต่าโยขอน้อมรับความผิดพลาดเหล่านั้นเอาไว้ทั้งหมด
และต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องนี้มากๆค่ะ...
ขอบคุณทุกๆไลค์ที่กดให้กันมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้...
ขอบคุณความเห็นทั้งหมดที่พิมพ์มาพูดคุยกันตั้งแต่บทแรกจนบัดนี้ค่ะ...
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับชีวิตค่ะ ^o^
..............ตอบเมนท์จ่ะ..........................
1.คุณsaralun...ดีใจค่ะที่ชอบ...หวังว่าส่วนที่เหลือที่นำมาให้นี้
จะไม่ทำให้ผิดหวังนะคะ เฮะๆ ขอบคุณค่ะที่เข้ามาส่งกำลังใจกัน
ขอบคุณหลายๆ...^^
2.คุณPampam...เต่าก็ใจหายค่ะ อยู่กับเรื่องนี้มา 3 เดือนกว่าๆ
ล่าสุดนี้เอาพี่นุ ก๊อต น้าเล็ก และคู่ของทั้งสามมาให้ยลกันอีกรอบ
พร้อมกับเด็กน้อยๆ 2 หน่อ...อิอิ หวังว่าจะไม่ผิดหวังนะคะ
ขอบคุณอีกครั้งอย่างมากมายค่ะ
3.คุณร้อยวจี...ดีใจค่ะที่ท้ายที่สุดก็ทำให้นักอ่านมีความสุขได้...
อย่าลืมแวะไปเยี่ยมเยียนติชมเรื่องอื่นๆกันบ้างนะคะ...ขอบคุณหลายๆๆๆค่ะ
4.คุณkonhin...โยเอาเรื่องปมที่ว่ามาคลายให้หายข้องใจแล้วน้าาาา
จริงๆแล้วโยไม่ค่อยอยากจะลงรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการทำไสยศาสตร์
หรือล้างไสยศาสตร์นัก เกรงว่าจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอก ก็เลยมาแบบวับๆแวมๆ
มีกั๊กๆเอาไว้น่ะค่ะ...^^ แล้วส่วนใหญ่คนที่รักและหวังดีต่อเราจะไม่ค่อย
อยากให้เราได้รับรู้อะไรๆที่มันไม่ดี ทำให้จิตใจหดหู่นัก ปิดได้ปิด...
ก๊อตก็ยังคงกั๊กๆกับวาต่อไปด้วยประการละฉะนี้แล...อิอิ
บางอย่างที่ควรพูดควรเคลียร์ก็เคลียร์กันไป บางอย่างที่พูดไปแล้วไม่เกิดประโยชน์
อันใด สู้เก็บไว้กับเรามันย่อมดีกว่าน่ะค่ะ...^^ นี่คือ พระเอกเต่า...
ในเรื่องนี้สามหนุ่ม กับ อีกหนุ่มใหญ่นั้น ถ้าวัดกันที่นิสัย พี่นุดีที่สุดแล้ว
รองมาก็วารินทร์และก๊อต สุดท้ายก็...น้าเล็ก...
ซึ่งก๊อตมีหลายเหตุผลที่ทำให้โยเลือกให้เป็นพระเอก...เพราะว่ามีอะไรให้เขียนเยอะดี...
ฮ่าาาาาาา ก๊อตคือหนุ่มที่เจอมรสุมหนักสุดๆในเรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องร้ายๆ
และสร้างความเสียหายทั้งนั้น แต่ก็สามารถแก้ปัญหาพร้อมกับก้าวผ่านมันมาได้...
นี่คือ พระเอกน่ะค่ะ...แบบว่า สู้ชีวิต! มันจะได้ดูเป็นพระเอกแนวดราม่าหน่อยนึง อิอิ
แต่ถ้าเป็นแนวรักหวานซึ้ง พระเอกก็ต้องแบบพี่นุไรงี้...ถ้าห่ามๆหน่อยพระเอก
ก็ต้องแบบวารินทร์เนอะ...ส่วนพระเอกเลวๆที่กลับตัวได้ในภายหลัง
ก็ต้องให้น้าเล็กไป...อิอิ ขอบคุณส่งท้ายอีกครั้งจ่ะ...
5.คุณตุ๊งแช่...งานนี้เจ๊บัวก็เปลี่ยนไปน้าาาา...อิอิ...เปลี่ยนไปเลย...เหอๆ
น้ำตาลเมืองเพชรรึจะสู้น้ำตาลเมืองเต่า...อิอิ...ที่จะผสมบอระเพ็ดลงไปด้วยเสมอๆ
เหอๆๆๆ ของเมืองเพชรเขาหวานบริสุทธิ์นี่นา...ฮ่าาาาาา
ส่วนของเมืองเต่า ก็หวานอย่างที่เห็น...อิอิ
ทัพหลวงของคุณตุ๊งแช่คงมีหลายตัวและคงจะมีเสื้อเกราะอย่างดีชิมิ
เลยทำให้ศัตรูพ่าย...อิอิ
เต่าว่าหญิงแจ้บ้านอื่นคงถึงชะตาขาดอ่ะนะ เลยโดนคาบไปแบบนั้น...อิอิ
ว่าแต่มานคาบไปกินหรือว่าคาบไปทิ้งอ่ะ...เคยเจอแบบหมาหยอกไก่ด้วยนะ
หนูกีสคงต้องรอให้เต่าปั่นจนจบก่อนอ่ะ ไม่มีฤกษ์ตายตัว เผลอๆปีหน้า วะฮ่าๆๆๆ
เก๊าะปีนี้มันจะสิ้นปีแล้วหนาาาาาา...แล้วเต่าก็กำลังฟัดกับพี่ก้ออยู่ด้วย...
เลยทิ้งพี่ไนค์ให้อ้างว้างไปก่อน...คิดถึงพี่ไนค์ตอนไหนก็ปั่นตอนนั้นเลย...อิอิ
ส่วนท่านมุส เต่าก็แอบคิดถึงอยู่บ่อยๆ แต่ก็ต้องปล่อยให้นอนอยู่ในไหไปก่อน...อิอิ
ขอบคุณอีกครั้งและอีกครั้งและอีกครั้ง...ขอบคุณหลายๆ
6.คุณลิลลี่...เอานาดีมกับน้าเล็กมาปิดม่านเงามารค่ะ...อิอิ
ขอบคุณค่ะที่ยังคงติดตามอ่านเรื่องนี้อยู่และยังคงอยู่เป็นกำลังใจให้กัน...^^
7.คุณcoonX3...เรื่องต่อไปกำลังฟัดกันอยู่กัน...แบบว่าพันตูกันทีเดียว อิอิ
แวะไปทักทายเป็นกำลังใจให้กันในเรื่องใหม่บ้างนะคะ ขอขอบคุณอีกสักรอบค่ะ
8.คุณแว่นใส...เอามาให้อิจฉาอีกสามคู่ เย้ย ต้องบอกว่า 4 เพราะมีคู่พี่น้อง
แถมพ่วงมาด้วย...อิอิ ขอบคุณอีกครั้งน้าาาาาาาา...^^
9.คุณnapt...นี่แหล่ะค่ะหวานของเต่า...หวานของเต่าประมาณนี้เลย...เหอๆ
พ่อเงาะของเต่าเขาถอดรูปนานแล้วหนา ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะตาดีเห็น อิอิ
เขาว่าตาดีได้ ตาร้ายเสีย งานนี้อานิต้าลาภปากอานิต้าไป ได้กินเงาะตลอดชีพ อิอิ
ส่วนที่เหลือที่เอามานั้น...ไม่ต้องมีคำบรรยายใต้ภาพ...จิ้นกันเอาเองน้าาาาา
เต่าขอไปมุดหัวในกระดองก่อน...อิอิ ขอบคุณอีกครั้งและอีกครั้งน้าาาาา
10.คุณyapapaya...แม่ขนุน กับ พ่อขนุน นี่ชื่อไทยๆ น่ารักดีอ่ะ
พอเพื่อนๆเรียกสั้นๆว่า 'หนุน' มันก็ได้อารมณ์ 'หนุนนอน'
เป็นหมอนหรือไม่ก็ตักซะงั้นอ่ะ...ฮ่าาาาาาาาา สุดแท้แต่จิ้นเอา...เหอๆ
เอามาเสริฟให้แบบหวานปนอะไรสักอย่าง บอกไม่ถูก รู้แค่ว่ามันไม่ได้หวาน
แบบน้ำตาลเมืองเพชรแน่ๆ เพราะนี่คือน้ำตาลเมืองเต่า...อิอิอิ
ขอบคุณอีกครั้งและอีกครั้งค่ะ
.......ขอให้นักอ่านทุกท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรงกันถ้วนหน้านะคะ........
ด้วยความจริงใจ
"เต่าโย"

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 พ.ค. 2558, 20:23:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ค. 2566, 15:10:15 น.
จำนวนการเข้าชม : 3505
<< บทที่ 48 หลบหน่อยพระเอกมา! |

konhin 14 พ.ค. 2558, 21:18:05 น.
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด จบแล้ว จบจริงๆ
ถ้าจะเปิดเรื่องเพิ่มขอเป็นเรื่องของตาหนูฟานะคะ ต้องคิดถึงแน่ๆเลย
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด จบแล้ว จบจริงๆ
ถ้าจะเปิดเรื่องเพิ่มขอเป็นเรื่องของตาหนูฟานะคะ ต้องคิดถึงแน่ๆเลย

แว่นใส 14 พ.ค. 2558, 22:21:49 น.
โชคดีจ้า
โชคดีจ้า


Pampam 14 พ.ค. 2558, 23:03:35 น.
จบจริงๆแล้วใจหายเลย ต้องบอกว่าเปิดมาดูทุกวันว่าตอนใหม่มาหรือยังเพราะมันติดแล้ว
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ
จบจริงๆแล้วใจหายเลย ต้องบอกว่าเปิดมาดูทุกวันว่าตอนใหม่มาหรือยังเพราะมันติดแล้ว

ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ


yapapaya 14 พ.ค. 2558, 23:24:30 น.
ขอบคุณนักเขียนที่เขียนเรื่องราวต่างๆมาให้อ่าน เป็นกำลังใจให้ตลอดไป ตอนนี้ก็หนีแสงสีเมืองกรุงมาอยู่บ้านนอกได้สามปีแล้ว มีความสุขไปอีกแบบ ไม่ดิ้นรนมากมาย ผู้คนยิ้มแย้มเข้าหากัน ได้ทำสิ่งที่อยากทำ ได้อยู่กับแม่ในบั้นปลายชีวิตของท่าน สุดท้ายขออวยพรให้คุณโยมีความสุขในการกลับมาอยู่บ้านเหมือนเรานะคะ
ขอบคุณนักเขียนที่เขียนเรื่องราวต่างๆมาให้อ่าน เป็นกำลังใจให้ตลอดไป ตอนนี้ก็หนีแสงสีเมืองกรุงมาอยู่บ้านนอกได้สามปีแล้ว มีความสุขไปอีกแบบ ไม่ดิ้นรนมากมาย ผู้คนยิ้มแย้มเข้าหากัน ได้ทำสิ่งที่อยากทำ ได้อยู่กับแม่ในบั้นปลายชีวิตของท่าน สุดท้ายขออวยพรให้คุณโยมีความสุขในการกลับมาอยู่บ้านเหมือนเรานะคะ



sunflower 14 พ.ค. 2558, 23:45:33 น.
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ นะคะ และ ก็ ขอบคุณสำหรับเฮียนุของซันด้วย ที่คุณโยเอาฮีมาส่งท้ายกับเขา รอติดตามหนูนิลต่อค่ะ
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ นะคะ และ ก็ ขอบคุณสำหรับเฮียนุของซันด้วย ที่คุณโยเอาฮีมาส่งท้ายกับเขา รอติดตามหนูนิลต่อค่ะ



ตุ๊งแช่ 15 พ.ค. 2558, 08:48:08 น.

.....พี่นุ ยังเวอร์จิ้นรึเนี่ย....

ตอนจบ ดีงาม คลายปมหมด...คงเส้นคงวาทั้งเนื้อเรื่อง และตัวละคร...
รอหนูกีสสสสส....
ท่านชีคกอมารุน ยังอ่านได้เรื่อยๆ ยังไม่อิน ...คือ ยังเรื่อยๆ 
เรื่องมันเศร้า เจ้าโต้งชะตาขาดไปเรียบร้อยเมื่อวาน ตอนตีสี่...
ตอนนี้ที่บ้านประกาศกร้าว เราคงอยู่ร่วมโลกกันมิได้...
ไก่ 9 ตัว เหลือลูกเจี๊ยบ 2 ตัว ...ตอนนี้ สว ที่บ้านไม่เป็นอันทำอะไร นั่งเฝ้า 2ตัวนี้... และคงไม่หามาเลี้ยงแล้ว จริงๆเอามาแค่หญิงแจ้ตัวเดียว ไอ้โต้งมาเอง 2ตัว แล้วออกลูกมา...
ตอนนี้ พี่บอก เลี้ยงควายดีมะ เอาไว้ขวิดเลย ถ้าจะเวิร์ค...




ตอนจบ ดีงาม คลายปมหมด...คงเส้นคงวาทั้งเนื้อเรื่อง และตัวละคร...

รอหนูกีสสสสส....


เรื่องมันเศร้า เจ้าโต้งชะตาขาดไปเรียบร้อยเมื่อวาน ตอนตีสี่...

ตอนนี้ที่บ้านประกาศกร้าว เราคงอยู่ร่วมโลกกันมิได้...

ตอนนี้ พี่บอก เลี้ยงควายดีมะ เอาไว้ขวิดเลย ถ้าจะเวิร์ค...


ลิลลี่ 15 พ.ค. 2558, 13:55:14 น.
อยากอ่านต่อแฮะเรื่องของน้าเล็กกับดีม
ตามอ่านมาตั้งแต่แรกจนจบเม้นบ้างลืมเม้นบ้าง อยากบอกว่านิยายเรื่องนี้มันสอนเราได้หลายอย่างจริงๆ
จุดสิ้นสุดไม่ใช่เงิน. แต่คือความสุข ความสุขของการได้อยู่พร้อมหน้าครอบครัว. ได้รัก ได้เอาใจใส่คนที่รักนั่นต่างหากที่มนุษย์ทุกคนพึงต้องการ
อยากอ่านต่อแฮะเรื่องของน้าเล็กกับดีม
ตามอ่านมาตั้งแต่แรกจนจบเม้นบ้างลืมเม้นบ้าง อยากบอกว่านิยายเรื่องนี้มันสอนเราได้หลายอย่างจริงๆ
จุดสิ้นสุดไม่ใช่เงิน. แต่คือความสุข ความสุขของการได้อยู่พร้อมหน้าครอบครัว. ได้รัก ได้เอาใจใส่คนที่รักนั่นต่างหากที่มนุษย์ทุกคนพึงต้องการ

napt 17 พ.ค. 2558, 02:42:19 น.
เคลียร์ทุกข้อคาใจ และหวานได้กำลังอิ่ม
ขอบคุณมากนะคะคุณโย และเป็นกำลังใจให้มีแรงทำงานออกมาเรื่อยๆนะ ขอให้เจ๋งค่ะ สู้ๆ
เคลียร์ทุกข้อคาใจ และหวานได้กำลังอิ่ม
ขอบคุณมากนะคะคุณโย และเป็นกำลังใจให้มีแรงทำงานออกมาเรื่อยๆนะ ขอให้เจ๋งค่ะ สู้ๆ
