เงามาร (กำลังรีไรท์ค่ะ)
'วาลาดา' ตื่นขึ้นมาพร้อมกับการรับรู้ว่าตัวเองมีสามีมีลูกแล้ว
ที่สำคัญ สามีของเธอคือเพื่อนในวัยเยาว์ที่ห่างเหินกันไป
หลายปีแล้ว เธอไม่ได้มีใจให้เขา เขาเองก็เกลียดเธอ

เหนือสิ่งอื่นใด เขาคือสามีของเพื่อนรักของเธอ


คำว่า "แย่งสามีเพื่อน"
กู่ก้องอยู่ในหัวและทำให้หัวใจของหญิงสาวแหลกสลาย...

เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปมีอะไรกับเขาตอนไหนจนมีลูก
กับเขาได้...แต่ลูกที่มีหน้าตาผสมผสานระหว่างเธอกับเขา
อย่างลงตัวทำให้เธอดื้นไม่หลุดกับหลักฐานการกระทำ
ของตัวเอง...

ความจริงดังกล่าว...ส่งให้ดาวดวงใหม่ที่ควรจรัสแสงแรงกล้า
อยู่บนฟากฟ้ากลับถูกกระชากลงมาให้แปดเปื้อนกลิ่นคาวคละคลุ้ง
ด้วยน้ำมือของใครบางคนที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังเงาดำนั้น
หญิงสาวก็สุดจะคาดเดาได้...

หญิงสาวที่ควรมีความสุขไปบนหนทางอันดีงาม เส้นทางของดาว
กลับถูกดึงรั้งเข้ามาสู่เส้นทางของมาร...เมื่อถูกความมืดมน
ดุจเมฆดำเข้าครอบงำฝังจิตใจ...เปลี่ยนผู้หญิงที่เคยแสนดี
กลายเป็นผู้หญิงร้ายกาจ...นั่นคือเธอที่กำลังถูกใครๆ
กล่าวขานอย่างไม่มีจบสิ้น...


ทางเดียวที่จะรอดพ้นไปได้ นั่นก็คือ เธอต้องต่อสู้กับมันให้ชนะ ต่อสู้กับเงามารที่คอยตามรังควานชีวิตเธอทั้งชีวิตให้ย่อยยับ

โดยไม่รู้เลยสักนิดว่า...เงามารที่เธอเห็นนั้นมีใครซ่อนอยู่
หลังเงานั่น...รอ...รอวัน...เพื่ออะไรบางอย่าง...

รอคอยและเฝ้าดูอยู่ข้างหลังอย่างอดทน...
ชักใยซึ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างพิถึพิถัน...และล้ำลึก...
วางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน รอบคอบและรัดกุม

ช่างเป็นการรอคอยอันแสนยาวนาน รอให้เธอมีความสุขที่สุด
ประสบความสำเร็จที่สุด พอได้จังหวะเหมาะจึงเข้าโจมตี...
จนวาลาดาคาดไม่ถึงว่าจะมีใครอดทนรอคอยเพื่อจองเวรเธอ
ได้นานถึงเพียงนี้...ช่างเป็นการทุ่มเทที่น่ากลัวเหลือเกิน...

เธอรู้...รู้ว่าสิ่งที่สำคัญ...คือเธอจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือ
หลังจากโดนโจมตีจนย่อยยับอับปางนี้ต่อไปอย่างไร...
นั่นคือ...สิ่งที่เธอตั้งใจอย่างแน่วแน่...

และอีกอย่างที่เธอจะต้องทำคือ...หาคนที่ซ่อนอยู่หลังเงานั้น
ให้เจอ! และถามให้รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของมันคืออะไร


และ...

หวังเพียงว่า...เธอจะไม่ถูกมันครอบงำได้อีกครั้ง...
หวังเพียงว่า...เธอจะได้พบกับแสงสว่างในชีวิตอีกครั้ง...
หวังเพียงว่า...ผู้ที่เธอได้ทำร้ายเอาไว้โดยไม่รู้ตัวจะให้อภัย
หวังเพียงว่า...เขาจะเข้าใจ เชื่อใจ อภัย และรักเธอ
หวังเพียงว่า...ยอดดวงใจซึ่งคือลูกน้อยจะปลอดภัย ไร้มลทิน






...ขอเพียงได้อยู่ดูแลคุ้มภายคุ้มใจคนที่รักตลอดไป...


...ขอเพียงคนที่เธอรักปลอดภัย เข้าใจ ให้อภัย
และรักเธอเท่านั้น....



Tags: ดราม่า ซุลก๊อตไนท์ วาลาดา นาดีม มาร มารร้าย ไสยศาสตร์ ญิน นุฮา อะสุเซน่า วารินทร์ อานิต้า

ตอน: บทพิเศษ Chapter 2

เอาบทพิเศษที่เหลือมาให้จ้าาาาาา...พยายามปีนต้นตาลเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
กลัวว่านักอ่านที่อ่านเรื่องนี้จะกลายเป็นคน "อ่อนหวาน" เพราะสาวมาม่า
กันแทบจะทั้งเรื่อง...เลยขอมอบความหวานเป็นของขวัญส่งท้าย...
ไม่แน่ใจว่าจะหวานถูกปากถูกคอกันรึเปล่า...แต่เต่าจัดให้หวานได้เท่านี้จริงๆ ^^

...ลองชิมน้ำตาลเมืองเต่าดูค่ะ...อิอิ



__________________________________________________________





ณ เกาะหลีเป๊ะ

นุฮาลงจากเรือเล็ก และเมื่อเท้าแตะพื้นทรายละเอียดเขาก็ไม่ลืมที่จะหันไปทาง
ภรรยาคู่ชีวิตก่อนจะจับมือประคองเธอให้ลงมาจากเรือ

อะสุเซน่าค่อนข้างเขินอายคนอื่นๆกับการเอาใจนั้นของเขาอยู่ไม่น้อย
และออกจะประหลาดใจอยู่เช่นกันที่เขาดูจะหวานกับเธอขึ้นเรื่อยๆ

จริงๆแล้วการลงจากเรือมันง่ายมากสำหรับตำรวจหญิงผู้ผาดโผนอย่างเธอ
หากส่วนลึกในหัวใจรู้สึกเหมือนมีอะไรมาตีปีกผับๆอย่างนิ่มนวลอยู่ในนั้น
เมื่อได้รับการปฏิบัติเล็กๆน้อยเช่นนั้นจากเขา

เมื่อลงมาจากเรือนุฮาก็พบว่า สามสาวที่เขาเคยเจอเดินทางมาพร้อมกับเขาอีกแล้ว
แม้จะเป็นความบังเอิญ หากเขาก็อดกังวลไม่ได้ เหตุการณ์เมื่อครั้งแรก
ที่เขามาเหยียบท่ีนี่มันยังไม่เลือนแม้เดือนจะเคลื่อนคล้อย

ชายหนุ่มเลยคว้าข้อมือของอะสุเซน่า จับมือเธอจูงแล้วก้าวเดินไปยัง
บ้านของหญิงสาวด้วยกัน เป็นการบอกเป็นนัยๆว่าเขามีเจ้าของแล้ว
และไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับสามสาวที่ยังคงส่งสายตาเป็นประกาย
สื่อความนัยอย่างเปิดเผยมาให้

“สามสาวนั้นเหมือนอยากจะกลืนกินคุณทั้งตัวเลยนะ…” ไม่วายแขวะเขา
ทั้งๆที่พยายามข่มใจเพราะไม่อยากพูดถึงคนอื่นลับหลังในทางไม่ดีแล้ว
แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ

“แต่สามสาวนั้นไม่ใช่คนที่ผมอยากให้กลืนกินนี่…คนนี้ต่างหากที่ผมรอ
ว่าเมื่อไหร่จะใจอ่อน…ยอมไต่ถังกับผมเสียที…”

อะสุเซน่าหน้าแดงจนต้องก้มหน้ามองเม็ดทรายราวกับจะมองหาตัวอะไรสักอย่าง
ที่มุดอยู่ในนั้น…เพื่อไม่ให้เขาได้เห็นความหวั่นไหวในแววตาเธอ…

การคบหาเป็นภรรยากับเขา ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกอะไรเลย
นับวันเขาก็ยิ่งมีอิทธิพลต่อเธอขึ้นเรื่อยๆ…เธอก็ไม่อยากปฏิเสธเขาหรอก…
แต่ให้ยังไงเธอก็ยังกังวลกับมันอยู่ดี…

เมื่อเดินมาถึงห้องส่วนตัวหลังจากทักทายกับมารดาและน้องชายเรียบร้อยแล้ว
หญิงสาวนำเสื้อผ้าในส่วนของเขาและของตัวเองไปเก็บ

นุฮาเดินเข้าห้องน้ำ เพื่ออาบน้ำชำระคราบเหงื่อไคลจากการเดินทาง…
กลับออกมาเห็นหญิงสาวกำลังยืนอยู่ตรงริมหน้าต่างห้อง
มองไปยังท้องทะเลสีครามในยามบ่ายคล้อย…

ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วสวมกอดหญิงสาวจากทางด้านหลัง ทำเอาเจ้าของเอวบาง
ที่โดนลำแขนรวบเอาไว้หลวมๆถึงกับสะดุ้ง…แล้วยิ่งรู้สึกหัวใจกระตุกเมื่อเขาเอาคาง
มาเกยไว้บนบ่าของเธอ…กลิ่นหอมอ่อนๆและสะอาดของเขาพาให้หัวจิตหัวใจของเธอกระเจิง

…ที่ผ่านมาเขาปล่อยให้เธอมีอิสระทุกอย่าง ไม่เข้ามาคลอเคลียแบบนี้
บางคืนเขาจะอยู่สะสางงานในห้องทำงาน ให้เธอได้นอนหลับบนเตียงอย่างสบายใจ
ไร้กังวล…คอยดูแลเอาใจใส่เรื่องอาหารการกิน เรื่องสุขภาพ ไม่เว้นแม้กระทั่ง
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปถึงมารดาและน้องชายสุดที่รักของเธอ…

เขามักจะนึกถึงคนอื่นๆเสมอเวลาพาเธอไปเดินซื้อของหรือท่องเที่ยวยังที่ใด
จะหาซื้อข้าวของไปฝากคนโน้นคนนี้ ผิดกับเธอที่แทบจะไม่ค่อยมีนิสัยแบบนั้นนัก…

ความละเอียดอ่อนแบบนี้เธอมีน้อยกว่าเขาจริงๆ…หากมันกลับเติมเต็มชีวิต
ที่ขาดๆเกินๆของเธอได้พอดีอย่างไม่น่าเชื่อ…

ความอ่อนโยนและความเฉียบขาดที่ไม่น่าจะมาอยู่กับผู้ชายได้อย่างลงตัวแบบนี้
กลับเป็นคุณลักษณะเด่นของเขา เขาเป็นผู้นำที่เข้มแข็งแต่มีความละมุนละไม…
เป็นผู้ชายที่อารมณ์ดีในขณะที่มีภาระหนักต้องแบก เธอแทบไม่เคยได้ยินเสียงบ่น
เกี่ยวกับเรื่องงานให้ได้ยินจากปากของเขาเลย เขาจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้า
ที่ไม่เคยปราศจากรอยยิ้ม…ขี้เล่นขี่แหย่ในเรื่องส่วนตัวหากกลับจริงจังกับเรื่องงาน

การคบกันระหว่างเขากับเธอเป็นการค่อยๆคบค่อยๆกระชับความสัมพันธ์ทีละเล็กละน้อย
ไม่หวือหวา ทว่าลึกซึ้งกินใจเธอ

จนบัดนี้ทุกพื้นที่ในหัวใจของเธอมีแต่เขาเต็มไปหมด…และยิ่งรู้สึกสั่นสะท้านในหัวอก
เมื่อเขากระซิบบอกเธอเบาๆว่า

“คืนนี้นะบัว…” หญิงสาวรู้สึกวูบๆวาบๆ ผิวแก้มรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา
แล้วเขาก็เอียงหน้าฝังจมูกและปากลงบนพวงแก้มของเธอ…
มันเหมือนเป็นการบอกให้เธอเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้…และเมื่อเขาผละไป
อะสุเซน่าก็แทบทรุดเข่าที่อ่อนยวบลงกับพื้น…

แค่กอดกับหอมแก้มเธอยังเป็นเอามากขนาดนี้…และถ้ามากกว่านี้ล่ะ…

หนึ่งปีกว่าๆที่ได้คบหากับเขาในฐานะภรรยาของเขา…มันน่าประทับใจมาก…
มากจนเธอมั่นใจในตัวเขา…เขาทำให้เธอเลิกกลัวความรัก อยากลิ้มลองกับมัน

เขายืนยันเธอด้วยการกระทำว่าเขารักเธอและจริงใจต่อเธอแค่ไหน…
จนเธอไม่กล้าปฏิเสธเขาได้อีกต่อไป…

เธอเป็นภรรยาของเขาแล้ว และเขาก็มีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น

ที่สำคัญ…ลึกลงไปแล้ว…เธอก็ต้องการเขา…หากความกังวลดูจะ

ทำให้วันทั้งวันที่เหลือนั้นทำให้อะสุเซน่าพูดน้อยหรือแทบจะไม่พูดเลย
ทำเอาผู้เป็นมารดาแปลกใจ ทว่า นุฮากลับเข้าใจเธอเป็นอย่างดี…

เขามั่นใจว่าเขาสามารถพาเธอก้าวผ่านความกลัวชนิดนี้ไปได้อย่างแน่นอน…
มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องขยับมารักกันให้มากขึ้น…แนบแน่นขึ้นกว่าที่เป็นอยู่…
บรรยากาศดีๆแบบนี้จึงเหมาะยิ่งนัก เขาอยากให้รางวัลทั้งเองและกับเธอ
จึงชวนเธอมาพักผ่อนที่นี่ ที่ที่มีคนที่สำคัญของสองคนในชีวิตของเธอ...

“เป็นไรพี่บัว…เห็นนั่งเงียบเชียว…ไม่สบายรึเปล่า…”
พูดพลางใช้หลังมืออังหน้าผากพี่สาว

“ตัวก็ไม่ได้ร้อนนี่นา…แล้วทำไมหน้าซีดขนาดนี้ล่ะ” ซีดยิ่งกว่าไก่ต้มอีก
นี่มันผีจีนในหนังที่เพิ่งผุดมาจากโลงชัดๆ

ส่วนคนที่พยายามทำตัวเฉยเมยเพื่อซ่อนงำความกลัวบางอย่างเอาไว้…
พยายามทำตัวแข็งแรงแกล้งทำว่าไม่หวั่นไหวมาตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันกับนุฮา…
ทั้งๆที่ข้างในนั้นช่างหวั่นไหวและสั่นสะท้าน…ใจนั้นปรารถนา...ทว่ายังกลัว…

“แม่ก็ว่าอยู่ จะถามแล้วว่าท้องรึเปล่า…” อะสุเซน่าหันไปมองมารดา
ที่กำลังนั่งปักครอสติชซึ่งเป็นงานฝีมือที่ท่านรักยิ่งชีพแล้วหันไปทางนุฮา
ที่กำลังนั่งอมยิ้มอยู่…

“เอ่อ…จะท้องได้ไงล่ะคะ…บัวยัง...” อะสุเซน่านึกขึ้นมาได้ว่าถ้าพูดต่อจนจบ
ว่าเธอยังไม่ได้มีอะไรกับเขาเลยก็เกรงว่าจะโดนแม่ตำหนิว่าเธอ
เป็นภรรยาที่บกพร่องต่อหน้าที่ขึ้นมา

“ก็แม่เห็นแต่งงานกันมาตั้งเป็นปีแล้ว จะท้องก็ใช่เรื่องแปลกอะไร…”

คนเป็นลูกถึงกับก้มหน้าเพื่อซ่อนความกระดากอาย…เรื่องอื่นให้หยอก
ให้ล้อแรงๆแค่ไหนเธอรับหน้าได้หมด ยกเว้นเรื่องนี้แหล่ะ
เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย มันคือจุดอ่อนไหวของเธอ…
ทั้งๆที่ตำรวจไม่ควรมีจุดอ่อนตรงนี้เลย…คนอื่นคงไม่มี แต่นี่คือเธอ
และไม่เคยมีใครรู้ว่านี่คือจุดอ่อน…เพราะเธอเลือกที่จะซ่อนเอาไว้อย่างดีมาตลอด
ภายใต้หน้ากากหญิงเหล็ก…

“กินสิพี่บัว…ผมลองทำขนมตาลเอาไว้เพื่อต้อนรับแขกที่มาพัก…
อยากได้ความเห็นจากลิ้นที่กินง่ายอย่างพี่ดู…”

คนเป็นน้องชายคะยั้นคะยอให้พี่สาวชิมขนมไทยๆของตนที่เพิ่งหัดทำ…

“หน้าตาผ่านแล้ว…” อะสุเซน่าบอก ก่อนจะหยิบมาชิมดูหนึ่งชิ้น
แต่ไม่ทันไรก็ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำเพราะรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา…

“ว่าแล้วมั้ยล่ะ…แบบนี้ท้องชัวร์…แม่ฟันธง!” คนเป็นแม่มองตามหลังลูกสาวลอดแว่นตา
แล้วได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุขที่จะได้อุ้มหลาน

นุฮาลอบยิ้มให้กับคำวิจารณ์นั่นก่อนจะวิ่งตามไปดูคนที่วิ่งเข้าห้องน้ำไปเมื่อครู่

“แม่ว่าพี่บัวท้องหรือ…”

“จะเป็นอย่างอื่นไปได้รึ…หน้าซีด ไม่มีไข้ คลื่นไส้อาเจียนแบบนั้นน่ะ”
คนมีประสบการณ์วินิจฉัยอาการของลูกสาวอย่างมั่นอกมั่นใจ

“ผมจะมีหลานแล้วหรือครับนี่…”

“ถ้าให้ชัวร์จริงๆต้องไปตรวจฉี่…” จามาลยิ้มกว้าง นึกอยากมีหลานขึ้นมาเหมือนกัน…

ส่วนนุฮาที่เหมือนจะรู้เหตุที่มาแทรกกายเข้าไปในห้องน้ำ
เข้าไปยืนซ้อนอยู่ตรงด้านหลังของคนที่ยืนกวักน้ำบ้วนปากล้างหน้าตรงอ่างล้างหน้า
ก่อนจะยกมือลูบหลังหญิงสาวเบาๆทำเอาคนที่ก้มหน้าก้มตาวักน้ำถึงกับสะดุ้ง
เงยหน้าก็พบว่าเขายืนอยู่ตรงด้านหลังผ่านกระจก…

นุฮาจับบ่าของหญิงสาวแล้วหมุนให้เธอหันมาเผชิญหน้ากับเขา…
มือหนายกมือปัดปอยผมที่เคล้าเคลียออกไปจากดวงหน้าซีดเซียวนั้นให้อย่างอ่อนโยน…
ก่อนจะจูบหน้าผากนั้นอย่างอ่อนโยนนุ่มนวล…

“ทำใจให้สบายสิบัว…เรียกความเป็นตัวเองกลับมาสิ…”
บอกแล้วก็ดึงร่างบางเข้ามาสวมกอดเอาไว้…

“เครียดจนลงกระเพาะแบบนี้ไม่ดีรู้มั้ย…” น้ำเสียงของเขาดูห่วงใย
ซ้ำยังลูบผมเธอไปด้วยเป็นการปลอบ…ทำให้หญิงสาวรู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้น
หลังจากที่เกร็งมาหลายชั่วโมง…

“ฉันเป็นผู้ชายที่รักเธอนะ…และเธอเองก็รักฉัน…อย่ากลัวฉันเลย…
ฉันแค่อยากให้เธอมีความสุข…” พูดจบเขาก็จูงมือเธอพาขึ้นห้อง
แล้วจัดแจงให้นอนลงบนเตียงก่อนจะห่มผ้าให้อย่างดี…

ก่อนผละไปเขามองหน้าเธอด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก แล้วลูบผมเธอเบาๆ
อย่างอ่อนโยน…

“พักผ่อนซะ วันนี้เดินทางมาเหนื่อยๆ เธอคงจะเพลียด้วย…ส่วนเรื่องนั้น
ถ้าเธอยังไม่พร้อม…ฉันก็จะไม่เร่งรัดเธอ…ฉันรอได้…”

เขาบอกก่อนจะเดินไปหยุดยืนตรงหน้าต่างห้อง ทอดสายตาไปยังท้องทะเล…
อะสุเซน่าลอบถอนใจก่อนจะหลับตาลง…เธอคงจะเพลียจากการเดินทางอย่างเขาว่าจริงๆ…
ทั้งๆที่เมื่อก่อนเธอเป็นนักเดินทาง เป็นนักล่าฆาตกร


ตกกลางดึกสงัดคืนนั้น…เธอตื่นมาพบว่าเขากำลังละหมาดอยู่…
อะสุเซน่าลุกขึ้นนั่ง…หลังจากตะวันตกดินและละหมาดมัฆริบแล้ว
เธอก็กลับมานอนจนกระทั่งตอนนี้ถึงรู้สึกตัว…หญิงสาวจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำ
หลังจากนั้นก็มาหยุดตรงด้านหลังเขาเพื่อทำละหมาดอิชาแล้วตามด้วยละหมาดตะฮัจยุด

จนกระทั่งเขาที่นั่งรอเธออย่างสงบด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮฺ อะสุเซน่่าก็ขึ้นไปนั่งข้างๆเขา ยกมือเพื่อขอสัมผัสกับมือทั้งสองของเขาก่อนจะนำมือทั้งสองของตนมาลูบใบหน้า

นุฮายิ้มให้เธอแล้วลุกขึ้นเปลี่ยนชุด หญิงสาวจึงทำตาม…

เสร็จจากการละหมาดอันยาวนาน…อะสุเซน่าก็กลับมานั่งอยู่บนเตียงอีกฟาก
ส่วนนุฮาก็นั่งอยู่อีกฟาก…หัวใจหญิงสาวเต้นแรงแทบจะระเบิด
เมื่อเขาลุกขึ้นเดินมาหา…นุฮากล่าวแก่ภรรยาของตนว่า

“ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน โอ้ประตูแห่งผู้ปรานียิ่ง…”
อะสุเซน่าเข้าใจได้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร เธอจึงตอบเขากลับไปว่า

“ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่านเช่นกัน โอ้นายผู้ที่ได้รับความไว้วางใจ”

หลังจากน้ันเขาก็จับมือขวาของเธอ ก่อนจะจับมืออีกข้างของเธอมากุมไว้ด้วยกัน
พร้อมกับกล่าวช้าๆว่า

“ฉันขอยินยอมว่า อัลลอฮฺคือพระผู้อภิบาลของฉัน…”

แล้วเขาก็เริ่มแกะกระดุมชุดนอนของภรรยาสาว อะสุเซน่าหน้าตื่น
ได้แต่มองใบหน้าของเขาเพราะไม่กล้ามองมือของเขา

ก่อนจะรู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วสรรพากายเมื่อเขาใช้มือท้ั้งสองข้างของเขาลูบไล้
บนเรือนกายของเธอไปมาอย่างช้าๆ และนิ่มนวล อ่อนโยน…
พร้อมกับการกล่าวซอลาวาต(สรรเสริญ) ให้แก่นบี 3 ครั้งว่า

“โอ้อัลลอฮฺ…ขอได้โปรดประทานซอลาวาตให้แก่นบีมุฮัมหมัด
และเครือญาติของนบีมุฮัมหมัด…” แล้วเขาก็ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของอะสุเซน่า
อย่างนุ่มนวลจนหญิงสาวรู้สึกวาบหวามยากจะพรรณนาออกมาเป็นถ้อยคำใดได้…

และไม่มีสักขณะจิตที่เธอจะลืมพระเจ้าเฉกเช่นเขาในขณะนี้ที่กล่าวนามของพระองค์

นุฮาจึงก้มลงจุมพิตหน้าผากนั่นอีกครั้งพร้อมกับอ่านพระนามของอัลลอฮฺว่า

“โอ้ผู้ทรงอ่อนโยน อัลลอฮฺผู้ทรงประทานรัศมีเหนือรัศมีทั้งมวล
รัศมีนั้นได้ทอแสงเหนือบุคคลที่พระองค์ต้องการ”

อะสุเซน่าผู้ได้รับจุมพิตจากเขาตกอยู่ในภวังค์ราวกับจมดิ่งอยู่ในห้วงมหาสมุทร
แห่งเนียะมัต (สิ่งอำนวยสุข) ที่เธอไม่เคยพบพานมาก่อนหน้านี้เลยตลอดชีวิตทั้งชีวิต
ที่ผ่านมาและเธอพร้อมแล้วที่จะสนองตอบเขาผู้เป็นที่รักยิ่งของเธอด้วยความเต็มใจ…

ความกลัวในหัวใจบินหายไปยังถิ่นใด หญิงสาวหาได้ใส่ใจอีกต่อไป…

เขาได้โน้มเธอลงนอนบนท่ีนอนอันแสนนุ่ม บนหมอนที่หอมกรุ่น…
ก่อนจะตะแคงศีรษะของเธอไปทางซ้ายและทางขวาแล้วอ่านพระนามของอัลลอฮฺ

“ในการฟังของเจ้า อัลลอฮ์ทรงได้ยินยิ่ง…” แล้วเขาก็จุมพิตที่หูข้างขวาของเธอ
แล้วจับหน้าเธอให้ตะแคงไปทางซ้ายก่อนจะอ่านจะอ่านพระนามดังกล่าวอีกครั้ง
พร้อมกับจุมพิตที่หูของเธอ แล้วเป่าลมลงในใบหูของเธอ

เป็นการกระทำที่อะสุเซน่าไม่อาจจะบรรยายออกมาได้ด้วยคำพูดอีกเช่นกัน
รู้แต่เพียงว่า เธอกำลังพบกับบางอย่างที่ไม่เคยพบพาน…

แล้วเขาก็อ่านดุอา (คำอวยพร) ว่า

“โอ้อัลลอฮ์ แท้จริงเราได้เปิดชัยชนะที่ชัดเจนให้แก่สูเจ้าแล้ว…”

แล้วเขาก็จุมพิตที่ตาข้างขวาของเธอ แล้วอ่านดุอาข้างต้นอีกครั้งแล้วจุมพิตที่ตาข้างซ้าย
แล้วเขาก็อ่านพระนามของอัลลอฮฺว่า

“โอ้ผู้ทรงการุณ โอ้ผู้ทรงเมตตา โอ้ผู้ทรงปรานี โอ้อัลลอฮฺ”

แล้วเขาก็จูบแก้มขวาของอะสุเซน่าแล้วย้อนกลับไปอ่านพระนามดังกล่าวอีกครั้ง
แล้วจูบที่แก้มซ้ายของเธอ หลังจากนั้นเขาจึงอ่านอายะฮฺ (บท) ที่ว่า

“แน่นอน เขาก็จะมีความสุข มีโชค และได้รับสวรรค์อันบรมสุข”

จากนั้นเขาก็จุมพิตจมูกของภรรยาที่รัก เป็นจุมพิตที่สามารถผูกจิตวิญญาณ
ระหว่างสามีภรรยาอันจะทำให้ภรรยารู้สึกถึงความรักที่แท้จริงจนไม่อาจลืม
ผู้เป็นสามีและจะผูกพันธ์แน่นแฟ้นกับสามีไปตลอดตราบเท่าที่สามีของเธอยังมีชีวิตอยู่

จากนั้นนุฮาก็อ่านพระนามของอัลลอฮฺว่า

“โอ้ผู้ทรงกรุณาในโลกดุนยา (โลกนี้) โอ้ผู้ทรงปรานีในโลกอาคิเราะห์(โลกหน้า) “

แล้วเขาก็จุมพิตที่คางของภรรยาสาวพร้อมกับอ่านพระนามของอัลลอฮฺว่า

“อัลลอฮฺนั้นคือ (ผู้ประทาน) รัศมีแก่ฟากฟ้าและแผ่นดิน”

แล้วเขาก็ได้ไล่ลงไปจุมพิตที่คอ แล้วอ่านพระนามของอัลลอฮฺนี้อีกครั้งแล้วจุมพิต
ที่ลำคอของเธอ หลังจากนั้นจึงอ่านโองการต่อมาว่า

“อันจิต (ของมุฮัมหมัด) ย่อมไม่มุสาในสิ่งที่ได้มองเห็น”

แล้วก็จับฝ่ามือข้างขวาของอะสุเซน่าแล้วจุมพิตลงบนฝ่ามือนั้น
ก่อนจะจุมพิตที่ฝ่ามือข้างซ้าย หลังจากนั้นนุฮาได้อ่านพระนามของอัลลอฮฺว่า

“และข้าได้ให้ความรักจากข้าแด่เจ้า” แล้วเขาก็ก้มลงจุมพิต
ที่ยอดปทุมอันบริสุทธิ์ทั้งสองข้างแล้วอ่านดุอาว่า

“โอ้อัลลอฮฺ ผู้ทรงมีชีวิตอยู่ โอ้ผู้ทรงดำรงอยู่ด้วยพระองค์เอง…"

แล้วนุฮาก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับภรรยาสาวที่เขาได้ทำการหยอกล้อหรือเล้าโลม
ก่อนมีความสัมพันธ์กันตามขั้นตอนที่ผู้ศรัทธาควรปฏิบัติซ่ึงเป็นสุนัตที่หากทำจะได้ผลบุญ
หากไม่ทำก็ไม่ได้ผิดบาปแต่ประการใด

เพราะเขาต้องการให้ครั้งแรกระหว่างเขากับเธอได้รับความเป็นศิริมงคลจากพระเจ้า
ซึ่งสิ่งดังกล่าวเป็นดั่งกุญแจนำไปสู่ครอบครัวที่ผาสุก

มือใหญ่สัมผัสใบหน้าหวานตรงหน้า ลูบไล้ด้วยความเสน่หาก่อนจะก้มลง
มอบจุมพิตไปบนริมฝีปากสวยนั่นแล้วค่อยๆก้าวเข้าไปควานหาความหวานล้ำยังภายใน
ดื่มกินจนอิ่มเอมจึงผละมาในขณะที่มือก็ยังคงโลมลูบไปทั่วเรือนกายส่วนบน…

แล้วพยายามสำรวจตรวจตราเพื่อค้นหาว่าตรงไหนของเรือนกายเธอ
ที่จะเป็นจุดปลุกเร้าอารมณ์และความปรารถนาเพื่อมอบความสุขสำราญให้กับเธอ
แล้วลูบไล้อย่างอ่อนโยนตรงจุดนั้นจนความปรารถนาของเธอและของเขาถูกจุดขึ้น…

อะสุเซน่ากัดปากตัวเองเพื่อไม่ให้หลุดเสียงออกไปให้ต้องอายเขา…
ก่อนจะค่อยๆสลัดความอายเพื่อตอบรับสัมผัสจากเขาอย่างคนที่ไร้ซึ่งประสบการณ์
ทั้งทางทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ทุกอย่างเป็นไปโดยธรรมชาติด้วยการโน้มนำจากเขา

เขาจะพาเธอไปทางไหนเธอก็จะขอตามติดไปด้วยทางนั้น…

“มองผมบัว…มองหน้าผม อย่าปิดตาสิครับคนดี…”

นุฮาใช้ปลายนิ้วแตะลงบนปลายคางของเธอเบาๆแล้วเชยคางนั้นขึ้น
พร้อมกับก้มลงมอบจุมพิตให้เธอเพื่อปลอบขวัญกับการที่เขาทำให้เธอเจ็บปวด

หากเมื่อผ่านช่วงที่ยากที่สุดไปได้ อะสุเซน่าก็ค้นพบว่าหลังความเจ็บปวดอันแสนทรมาน
มันคือความหฤหรรษ์อย่างที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบพานกับสิ่งดังกล่าว…

หญิงสาวกอดเขาเอาไว้แน่นเมื่อเขากำลังพาเธอไปพบกับแดนสุขาวดี…

นุฮาอ่านดุอาในใจขณะได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกับอะสุเซน่า
แล้วได้ทำการปลดปล่อยกระแสน้ำอุ่นอันเช่ี่ยวกรากเข้าสู่ไร่นาของอะสุเซน่า
ขณะได้หว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปด้วยว่า

‘ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ข้าแต่อัลลอฮฺ โปรดทรงให้ชัยฏอน (มารร้าย)
ห่างไกลจากเรา และโปรดให้ชัยฏอนห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ให้เป็นริสกี (ปัจจัย)
แก่เราด้วยเถิด…’

หลังจากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นเกลี่ยไรผมของหญิงสาวแล้วซับเม็ดเหงื่อให้อย่างอ่อนโยน
ยิ้มให้เธอพร้อมกับเอ่ยเสียงหวานว่า

“ขอบคุณครับสำหรับของขวัญล้ำค่า…” อะสุเซน่ายิ้มอย่างเอียงอาย
ที่เขาคือชายคนแรกในชีวิตที่ใกล้ชิดเธอยิ่งกว่าใคร...และได้เห็นในสิ่งที่
เธอไม่เคยเปิดเผยให้ใครได้เห็น...เขาคือคนแรกของเธอ...

นุฮาเลยก้มลงจุมพิตที่หน้าผากนั้นแล้วค่อยๆไล่ลงไปยังเปลือกตาทั้งสอง
ก่อนจะหอมแก้มนวลทั้งของข้าง จุมพิตที่ปลายคางจนไปจบลงที่ริมฝีปาก…อย่างเนิ่นนาน

เป็นการสัมผัสอย่างอ่อนโยนหลังมีสัมพันธ์กัน สร้างความอบอุ่นในหัวใจ
ให้หญิงสาวจนสุขล้น

หลังจากนั้นเขาก็ยกร่างเธอขึ้นอุ้ม พาไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาด
ด้วยกันทั้งสองคน…เสร็จแล้วก็ส่งผ้าเช็ดตัวมาให้เธอหนึ่งผืน
ก่อนจะหันไปเช็ดตัวเองให้แห้งสะอาด แล้วหันมาช่วยเช็ดเส้นผมให้เธอ
เป่าผมให้…ช่วยหวีผมให้…แม้กระทั่งช่วยแต่งตัวให้เธอ…

สุดท้ายก็อุ้มเธอไปยังที่นอนที่เขาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ใหม่…
โดยเก็บผืนก่อนหน้านี้ที่มีหลักฐานของการสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตของลูกผู้หญิงของเธอ
เพื่อนำไปพับเก็บเอาไว้อย่างดี…

“ฝันดีนะครับ…” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากที่ก้มลงจุมพิตหน้าผากเธอแล้วทรุดกาย
ลงนอนข้างๆเธอ ก่อนจะรวบเธอเข้าไปกอดเอาไว้อย่างหวงแหนรักใคร่…

อะสุเซน่ารู้สึกว่าตัวเองได้ตกหลุมรักเขาลึกยิ่งขึ้น…เขาน่ารักขึ้นทุกที…

อะไรหนอที่ทำให้เธอหวาดกลัวผู้ชายที่แสนอ่อนโยนอ่อนหวานและนิ่มนวลทุกการกระทำ
ในยามที่มอบทุกๆสัมผัสให้กับเธอ เขาไม่ได้เห็นแก่ตัว ไม่เลย…

เขาใจดี เขาโอบอ้อมอารี เขาเอื้ออาทร…และเป็นผู้นำที่แข็งแรงในทุกๆก้าว...

หญิงสาวจึงกอดตอบสามีสุดที่รักเอาไว้แน่น สบตากับเขานิ่งในท่านอนตะแคง
หันหน้าเข้าหากัน…ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวานอย่างที่นุฮาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
จากอะสุเซน่า...เขายอมรับอย่างเต็มหัวใจว่า หญิงสาวที่ดูแข็งๆผู้นี้หาได้แข็งกระด้างไม่
เธออ่อนหวานและมีความเป็นผู้หญิงเต็มเปี่ยม ซ้ำยังน่าเอ็นดูในยามที่เธอคอย
ติดตามเขา คอยตอบสนองเขาอย่างไม่ประสีประสา เขาเองก็ไม่เคยมีสัมพันธ์
กับหญิงใด เธอคือคนแรก หากเพียงแต่เขานั้นได้ร่ำเรียนด้านวิชาการและศึกษา
เรื่องนี้อย่างที่ควรจะทำการศึกษาไว้เพื่อจะได้มอบความสุขให้กับภรรยาเมื่อเวลานั้นมาถึง

และเมื่อเห็นเธอมีความสุข เขาก็ยิ่งมีความสุข...ยิ่งถ้อยคำของเธอนั้น
ช่างเป็นคำตอบได้ดีถึงค่ำคืนแรกของเธอและเขาว่าเธอรู้สึกมีความสุขแค่ไหน
และมันงดงามเพียงใด

“ขอบคุณค่ะที่ทำให้บัวก้าวผ่านความกลัวที่เป็นจุดอ่อนของบัวมาตลอดได้สำเร็จเสียที…”

นุฮายิ้มกว้าง ก่อนจะจุมพิตเบาๆที่ปลายจมูกนั่นอย่างมันเขี้ยว

“ผมเข้าใจ…และผม…รักคุณนะบัว…รักเหลือเกิน…”

“บัวก็รักคุณค่ะ…” ทั้งสองมองกันและกันด้วยความรักที่เต็มเปี่ยมจากใจ
ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปในเวลาไล่เลี่ยกัน…ในค่ำคืนแรกอันงดงามในความรู้สึกของทั้งสอง…
ที่จะเป็นประตูสู่ครอบครัวอันผาสุกและปิติยินดี…

ครอบครัวอันจะประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก…

คลื่นรักสงบลงพร้อมสองร่างที่ต่างซุกซบเพื่อมอบความอบอุ่นให้กันและกัน...
หากเสียงคลื่นยังคงครางครวญ ทะเลไม่เคยหลับใหล ท้องฟ้าไม่เคยขาดสีสัน...
หาดทรายยังคงอาทรต่อเกลียวคลื่นยามม้วนตัวเข้าหา...ทิวสนยังคงยืนท้าทายลมแรง
อย่างไม่เคยท้อแท้...เพราะสายลมคือมิตรแท้ผู้ไม่เคยลาจาก...

ลมทะเลพัดหอบความเย็นเข้ามาเคล้าเคลีย โลมไล้ให้กับทั้งสองร่างที่กำลังหลับใหล
ราวกับมิตรสหายที่หมายจะเข้ามาทักทายให้หายคิดถึง...


____________________________________________________


ณ กรุงเทพมหานคร...


“เฮ้อ…วานะอยากให้ดีมกับน้าเล็กลงเอยกัน…”

วาลาดาเอ่ยขึ้นขณะนั่งอยู่ตรงระเบียงที่ยื่นออกไปยังสวยสวยณ คฤหาสน์วรรัศมิ์สกุล

เนื่องจากมารดาของซุลก๊อตไนท์ไม่ยอมให้ซุลก๊อตไนท์สร้างบ้านหลังใหม่
และย้ายไปอยู่ที่อื่น ท่านขอร้องให้อยู่ด้วยกันเสียที่นี่
คฤหาสน์หลังนี้จะได้ไม่เหงา…ไม่เป็นที่อยู่ของเหล่าญินและบรรดาชัยฏอน
เพราะห้องว่างๆเหล่านั้นพวกญินและชัยฏอนจะเข้าจับจองเป็นเจ้าของ
ถ้าเราไม่เข้าไปอยู่อาศัย

ทำให้สองสามีภรรยาและลูกทั้งสองตกลงปลงใจจะอยู่ร่วมกันทั้งหมด ณ ที่แห่งนี้…
ครอบครัวจะได้อบอุ่น ครีื้นเครง และจะได้เป็นการปฏิสัมพันธ์กัน
ในหมู่เครือญาติซึ่งศาสนาสนับสนุนให้กระทำ…ไม่ให้มีการทิ้งบ้านเรือนให้รกร้างว่างเปล่า…

“กลัวเขาจะมาแย่งฉันไปจากเธอล่ะสิ…”

ซุลก๊อตไนท์แกล้งแหย่วาลาดาที่กำลังนั่งให้นมลูกสาวที่กำลังกินกำลังโต…
ส่วนคนเป็นพี่ชายที่ดูจะโตขึ้นตั้งแต่มีน้องซึ่งขณะนี้โดนใช้งานจากผู้เป็นย่า
ให้ช่วยเพาะพันธุ์ต้นไม้ดอกอยู่ตรงสวนด้านล่างซึ่งสามารถมองเห็น
จากตรงจุดที่เขากับวาลาดานั่งอยู่…

“ใครว่า…ก่อนหน้านี้วาคิดว่าจะให้ก๊อตแต่งกับดีมมาเป็นภรรยาก๊อตอีกคนซะด้วยซ้ำ…”

คนฟังถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะดีใจจนนั่งไม่ติด…
และที่อยู่ๆหน้าแดงหูแดงก็ไม่ใช่เพราะเขิน

“นี่ดีใจจนหูแดงเลยรึก๊อต…” วาลาดาหันมายิ้มให้คนหูแดง…

“บอกไว้ก่อนนะ…หญิงอื่นวาไม่รับรองเหมือนดีมนะ…ถ้าอยากเพิ่มเมีย
คนๆนั้นเป็นดีมได้แค่คนเดียวนะ…คนอื่นนั้น ต้องผ่านเซ็นเซอร์ก่อน
ว่าเราพอจะร่วมบ้านกันได้ไหม…เฮ้อ…” วาลาดาถอนใจเสียงดังทีเดียว

“แต่เอาเถอะ…ถ้าก๊อตอยากเพิ่มเมีย จะเป็นใครคนไหนก็ตามแต่เถอะ…
ขอแค่ก๊อตพอใจและมีความสุข…วาก็โอเช…”

คนขี้แกล้งที่หูแดงๆตอนนี้เริ่มตาลุกวาวราวกับตาของแมงมุมลายตัวนั้น
ที่ซมซานเพราะโดนน้ำฝนจนต้องไถลลงจากบนหลังคา

“เมื่อก่อนฉันขอเพิ่มเมียเธอหน้าบึ้งตึงหึงแล้วตบ…ตอนนี้มาแปลก
หรือว่าเธอทำใจได้ถ้าฉันไปมีใครเธอไม่หึงแล้วรึ…”

วาลาดามองคนที่ส่งน้ำเสียงสะบัดๆมาให้แล้วให้งงๆ

“อ้าว…ไม่หึงและไม่ทำหน้าบึ้งตึงมันไม่ดีหรือก๊อต…”

“จำไว้…รักฉันต้องหึง…และไม่ควรยกฉันให้ใครที่ไหนอีกเข้าใจมั้ย…
ฉันมีเจ้าของแล้ว…คือเธอ…จำใส่ใจเอาไว้ซะ…” เขาย้ำอย่างเคืองๆ

“หึงไม่ได้แปลว่ารัก…” วาลาดาค้านหัวชนฝา

“แต่คนที่รักกันมักจะหึง…” เขาสวนกลับทันควัน

“เรารึอุตส่าห์ให้เกียรติ…ไม่หึงเพราะไว้วางใจ คนอะไรไม่เข้าใจอะไรบ้างเลย…
เอาใจยากจริงๆ…ตอนมาขอเพิ่มเมียเราไม่พอใจก็หาว่าเราไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อใจ…
พอตอนนี้เราใจดีอยากให้มีเมียเพิ่ม กลับว่าเราไม่รัก…
เกิดเป็นวาลาดา…อะไรๆก็ผิด…ผิดเสมอ…”

วาลาดาเปรยเบาๆพร้อมส่ายหน้าไปมาด้วยแววตายิ้มแย้มเป็นประกาย
ทำเอาซุลก๊อตไนท์เริ่มรู้ตัวว่าโดนวาลาดาย้อนศรเอาคืน…

“สงสัยฉันคงต้องกระชับความสัมพันธ์เพิ่ม…อีกข้ัน…ก้าวขึ้นไปอีกระดับ”

ซุลก๊อตไนท์เหมือนจะสื่อบางอย่างที่วาลาดานั้นรู้ดีว่าคืออะไร

“อยากได้เพิ่มอีกกี่คนฮึวา…สงสัยที่นอนกินนมอยู่ในตักและที่กำลังปลูกต้นไม้อยู่ในสวน
จะน้อยไปล่ะมั้ง…” วาลาดากระตุกยิ้มที่มุมปากกับท่่าทางกร่างๆ
ของคนที่กำลังโกรธเนื่องจากเหตุผลที่เธอไม่หึงเขา…ช่างน่าเป็นห่วงจริงๆสามีเรา…

“อย่ามัวแต่ข่มขู่กันอยู่เลยก๊อต…เพราะวาไม่เคยกลัวคำขู่…
กลัวก็แต่ก๊อตจะทำไม่ได้อย่างที่พูดมากกว่า” เหมือนโดนท้าทาย

วาลาดากำลังท้าทายศักยภาพของเขา…แถมยังยิ้มยั่วอีก…ให้ตายสิ…ยัยปิงปอง!
อีกไม่ช้า เธอได้กลายเป็น 'ยัยปิ้งป่อง' แน่

“อยากคลอดลูกแบบหัวปีท้ายปีเลยใช่มั้ย…”

“ถ้าก๊อตทำได้วาให้ล้านนึง…” วาลาดาท้ากลับ…ซุลก๊อตไนท์จ้องตายัยแม่ลูกสองนิ่ง…

เขากับวาลาดาไม่เคยคุมกำเนิด…และถ้าท้ามาอย่างนี้
อย่าคิดว่าเขาจะยอมให้เธอได้แตะต้องตัวช่วยพวกนั้น…ไม่ว่าจะกิน ฉีด
หรือว่านับหน้าเจ็ดหลังเจ็ดก็อย่าหวัง

“ล้านนึง…” เสียงใสๆดังขึ้นขณะโผล่หน้าออกมาจากผ้าคลุมของมารดา
ทำเอาสองสามีภรรยาหันมามองและหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน

“หัวปี ล้านนึง…” เจ้าตัวเล็กที่นอนเงี่ยหูฟังพ่อแม่คุยกันอยู่นานขณะดูดนมมารดาอยู่
อย่างสำราญเอ่ยขึ้นแบบจับต้นจนปลายไม่ถูก ที่พูดได้คือ จำอะไรท่อนไหน
ก็พูดท่อนนั้นออกมา…ส่วนคนที่มีหน้าที่ปะติดปะต่อเรื่องราวดูจะเป็น
คนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ตอนนี้ยิ้มไม่ยอมหุบ

“อยากได้น้องมั้ยคะลิดาคนสวยของพ่อ…” เด็กสาววัยขวบเศษกะพริบตาปริบๆ
มองพ่อทีมองแม่ทีอย่างไม่เข้าใจว่า 'น้อง' คืออะไร

“หม่ำๆ…หม่ำๆ…” ซุลก๊อตไนท์หัวเราะร่วนทีเดียวเมื่อรู้ว่านั่นคือคำตอบรับของลูกน้อย
เพราะหากพอใจหรืออยากได้จะพูดคำนี้ออกมา

“สงสัยจะคิดว่าน้องคือของกินแหงๆ…ลูกก๊อตแต่ละคนตะกละเหมือนก๊อตหมดเลย…
หวังว่าถ้าจะมีมาอีกก็ขอให้เหมือนวาบ้าง…”

“คนต่อไปอยากได้หญิงหรือชายขอให้บอก…”

“อย่างกับว่ารีเควสไปแล้วจะได้ตามคำขอ…” วาลาดาสบประมาทเข้าให้

“เธอจะรู้อะไร…ของแบบนี้ผู้ชายเขารู้ว่าจะต้อง...ท่าไหน…ยังไง…”

“อย่ามาพูดติดเรทใส่หูลูกสาวนะ…”

“รู้เรื่องที่ไหนกัน…ดูตาสิ แป๋วแหววเชียว…มานี่มา…มาหาพ่อมา…
มาให้พ่อหอมแก้มหน่อยสิคะ…” ว่าพลางกางแขนรอรับร่างของลูกสาว
ที่กำลังโผเข้ามาหา ก่อนจะรวบร่างน้อยมากอดแล้วหอมแก้มไปหลายฟอด

“แก้มหอมเหมือนแม่ตอนสาวๆจริงๆเล้ย...ลูกสาวพ่อ…”

“แล้วตอนนี้ไม่สาวที่ตรงไหน…”

“ตอนนี้ก็สาว แต่สาวน้อยกว่าตอนนั้นนิดนึง…” วาลาดาเลยฟาดไปตรงลำแขนข
องซุลก๊อตไนท์อย่างเคืองๆ…

“แต่ก็หอมไปอีกแบบ…แบบใหม่ที่ไม่เหมือนแก้มเด็ก…”

แววตาคนพูดวิบวับ กรุ้มกริ่ม ทำเอาวาลาดาหน้าแดงเห่อ…
ฟาดหน้าเขาด้วยสายตากลับไป…ซุลก๊อตไนท์จึงยิ้มกริ่มตาเป็นประกายตอบ…

“งั้น…ถามอะไรก๊อตหน่อยได้มั้ย…ตอนนั้น…ตอนแรกน่ะก๊อตรู้สึกยังไงกับวากันแน่…
ขอของจริงเนื้อเรื่องจริงๆนะ…ห้ามพูดเพื่อถนอมน้ำใจกัน…”

วาลาดาอยากรู้ความจริงสุดๆ มันคาใจเธอมาตลอด
เขาบอกเธอแค่อ้อมๆแอ้มๆเหมือนไม่อยากจะพูดถึงฉากรักฉากนั้น

“ตอนนั้นอารมณ์ใคร่ล้วนๆ…เพราะโดนปลุกด้วยยา…ต่อให้คลำไปไม่มีหาง
ฉันก็คงฟาดเรียบ…เธอก็เลยโดนฉันฟาดไปเต็มคราบ”

เขายอมรับอย่างเต็มปากเต็มคำ

“มันคือการปลดปล่อย การระบาย ไร้อารยธรรม…เธอคงเดาได้
แต่ถ้าอยากฟังรายละเอียดทุกช็อต…ฉันจะบรรยายให้ดู…คืนนี้!”

วาลาดาเสียวสันหลังวาบๆ…หวังว่าเขาจะไม่สาธิตให้ดูหรอกนะ…
ไอ้แบบไร้อารยธรรมนั้น เธอไม่พิศวาสอยากจะลองนักหรอก...

ว่าแต่ไร้อารยธรรมกับเถื่อนเนี่ย มันเหมือนกันรึเปล่า ???
เขาใช้ศัพท์สูงจนบางครั้งก็จินตนาการไม่ค่อยจะถูกเหมือนกันนะเนี่ย...

“แต่ครั้งท่ีสอง…ฉันโดนเธอปลุก…และคงไม่ต้องบรรยายในเชิงลึก
เพราะครั้งนั้น…เธอมีสติครบถ้วนสมบูรณ์…ไม่น่าจะลืมได้ลง…
แต่ถ้าอยากได้แบบฝึกหัดทบทวน...ฉันก็ยินดีติวให้ฟรีไม่คิดตังค์...
แต่ถ้าพลาดพลั้ง เธอต้องแบกท้องเอาเองนะ...ฉันมีหน้าที่แค่ประคอง
ร้องเจ็บแทนเธอตอนคลอดไม่ได้หรอก...”

วาลาดาหน้าแดงเห่อ แม้จะมีอะไรกับเขาจนมองเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติสามัญไปแล้ว
แต่ก็อดหน้าแดงไม่ได้ทุกที…และคนมองเองก็เหมือนจะชอบที่ได้ทำให้เธอหน้าแดง
เสียเหลือเกิน…

“ระหว่างสองครั้งนั้น…ฉันไม่ยุ่ง ไม่แตะต้องเธอเลย…เพราะฉันรังเกียจ
และที่สำคัญ…ฉันรู้สึกเหม็นเธอ…บอกไม่ได้ว่าเหม็นยังไง…แต่มันเหม็น
จนฉันขนลุกทุกครั้งที่เข้าใกล้เธอ…มีแค่ครั้งที่สองที่แม่เธอขอให้ฉันกับเธอนิกะฮ์กันอีกรอบ…
หลังจากที่เธอคลอดลูกแล้ว…เพราะแม่เธอเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจในศาสนา
ที่ก่อนหน้านั้นฉันนิกะฮ์กับเธอในขณะที่เธอกำลังตั้งครรภ์ เพราะทำเธอท้องก่อนแต่ง

ท่านอยากให้ฉันทำให้มันถูกต้องและดีงามอีกสักครั้งด้วยการนิกะฮ์กับเธอ
หลังจากที่เธอคลอดลูกแล้ว…ซึ่งฉันเห็นด้วยก็เลยยินยอมนิกะฮ์กับเธออีกรอบ…

เธอเหมือนเธอที่เป็นอยู่…แถมยังเพี้ยนไม่คิดจะรับคำนิกะฮ์ของฉันอีก…
ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเป็นคนวางแผนทุกอย่างเพื่อให้ได้ฉันเป็นสามี

จนในที่สุด แม่เธอเข้าไปพูดบางอย่างแล้วเธอก็ยอมรับคำนิกะฮ์…

ครั้งนั้นเธอทั้งสวยและหอมหวานไปทั้งเนื้อทั้งตัวจนฉันแทบยั้งใจเอาไว้ไม่อยู่…
กะจะจับเธอกินแล้วล่ะ แต่ยังไม่ทันไร…เธอก็กลับมาเหม็นเหมือนเดิม…
จนฉันรับประทานเธอไม่ลงจริงๆ…ฉันเองก็เพิ่งรู้ว่าคนโดนมารร้ายสิงจะเหม็น
ได้ขนาดนั้น...แต่ก็ไม่เห็นว่าคนอื่นๆจะเหม็นเหมือนฉัน...ประหลาดดีแท้...
ท่ีสำคัญ...ตอนนั้น...ฉันพยายามรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับนาดีมด้วยว่า
จะไม่แตะต้องเธอ...ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากในตอนแรก เพราะฉันเหม็นเธอ

แต่มายากในตอนหลัง เพราะว่าเธอทำให้ฉันยั้งใจไว้ไม่อยู่...กลิ่นมันผิดกัน
พอผิดกลิ่น ฉันก็เลยกินเธอซะเต็มคราบ ทำผิดสัญญากับนาดีมอย่างไม่อาจ
ทำอะไรได้ดีไปกว่า...ยอมฉีกสัญญาปากเปล่าทิ้งไป...”

วาลาดากะพริบตาปริบๆอย่างงงๆ เพราะเรื่องที่ว่านี้เธอไม่เคยได้ยิน
เขาหรือใครไม่เคยเล่าให้เธอฟัง อาจเพราะเธอไม่ได้ถามหรือเปล่านะ

“ทำไมวาไม่เห็นรู้เรื่องเลย…ว่าเราเคยนิกะฮ์รอบสองมาแล้ว
สรุปว่ารอบล่าสุดนี่รอบที่สามงั้นสิ...ก็แล้วทำไมก๊อตไม่เล่าให้ฟังบ้าง”

“โหยวา…ถ้าให้ฉันเล่าวีรกรรมตอนเธอบ้าๆบอๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายตอนนั้นน่ะ
ฉันเล่าไม่ไหวหรอก…อีกอย่าง ฉันไม่อยากเอามันมาใส่ไว้ในสมองของเธอ…
จะจำไปทำไม เรื่องบางเรื่องไม่ได้จะน่าจดจำ ไม่รู้ดีกว่ารู้…

ฉันเองไม่ชอบรื้อฟื้นด้วย…อีกอย่างตอนนั้นฉันแค่นิกะฮ์เฉยๆ
ไม่ได้จัดงานวะลีมะฮ์ (งานเลี้ยงหลังสมรส) เพราะพ่อเธอขอเอาไว้…
ท่านไม่อยากให้ยุ่งยากเป็นขี้ปากชาวบ้านหลายรอบ…”

เพราะรอบแรกก็แทบเอาปึ๊บคลุมกันอย่างถ้วนหน้า...วาลาดาจึงพยักหน้า
อย่างเข้าใจไปกับเหตุผลของเขาและของบิดามารดา…

“ในวันนิกะฮ์มีแต่คนเรียกเธอว่า 'วาลาดาแอ๊บแบ๊ว'…
เพราะเธอกลับมาเป็นวาลาดาที่แสนดี ทำตัวน่ารักกับคนโน้นคนนี้…
จนฉันมาเข้าใจและปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทั้งหมดในภายหลังอีกรอบ
เมื่อได้ฟังจากปากของพี่นุบวกกับปากของน้าเล็ก…”

“ยังไงหรือก๊อต…”

“พี่นุบอกว่า…แม่เธอพยายามทำทุกอย่างให้มารร้ายที่สิงร่างเธออยู่ออกไป…
ด้วยการขอให้อาจารย์การีมช่วยไล่มันให้…แต่เธอไม่เคยให้ความร่วมมือในการไปหาท่าน…

แม่เธอเลยขอให้อาจารย์การีมซึ่งเมื่อก่อนท่านเลี้ยงญินไว้ 2 ตน
แต่หลังๆมาท่านบอกว่าไม่ได้เลี้ยงแล้วแต่คบเป็นเพื่อนกันเฉยๆ…

แม่เธอเลยขอร้องให้ท่านช่วยขอให้เพื่อนที่เป็นญินของท่านช่วยไล่ญินร้าย
ที่มาสิงร่างเธอให้หน่อย…ท่านตอบว่า…ญินที่เป็นเพื่อนของท่านมี 2 ตน
แต่ญินมารร้ายที่สิงเธอมี 7 ตน ญินของท่านสู้มันไม่ไหว…

เห็นว่าแม่เธอพยายามทำอยู่หลายวิธีที่ไม่ขัดกับหลักการอิสลาม…แต่ก็ไม่สำเร็จ
จนครั้งนั้น แม่เธอน่าจะทำสำเร็จนะ วันที่ฉันนิกะฮ์กับเธอครั้งที่สอง
เพราะแม่เธอกระซิบบอกฉันว่า…เจ้าสาวของฉันในวันนั้นคือลูกสาวของท่านจริงๆ…

ฉันเองตอนนั้นยังงงๆ ไม่เข้าใจอะไรนักหรอก…และไม่ได้สนใจอะไรมากด้วย…”


วาลาดานิ่งฟังอย่างตั้งใจ

“และอีกครั้งที่ฉันก็เพิ่งรู้จากปากพี่นุว่า…วันที่เธอฟื้นนั้น…เป็นวันที่ญิน 2 ตน
ของอาจารย์การีมไล่ญิน 7 ตนนั้นสำเร็จด้วยการร่วมแรงของฉัน
โดยที่ฉันเองก็ไม่ได้รู้หรอกว่าฉันมีส่วนเต็มๆ เพราะฉันกับเธอเกือบฆ่ากันตายด้วยซ้ำ…

เธอจะฆ่าฉันด้วยการกดหัวฉันลงไปในอ่างน้ำหลังจากที่ฉันจับเธอลงไปในอ่างน้ำ
หวังให้เธอหายบ้า แต่เรี่ยวแรงของเธอเยอะจนฉันในตอนแรกสู้ไม่ไหว
แต่ด้วยแรงฮึด ฉันเลยได้เป็นฝ่ายจับหัวเธอกดน้ำบ้าง…

เธอบ้าเพราะโดนมารครอบงำ ส่วนฉันตอนนั้นก็โกรธจนขาดสติ…
เกือบทำเธอตายไปแล้ว โชคดีที่เธอแค่หมดสติไป…

และน่าจะเป็นช่วงนั้นแหล่ะที่เธอหลุดพ้นจากการครอบงำของญินมารร้าย
แล้วญินของอาจารย์การีมเข้าช่วยเธอจากการครอบงำได้อีกครั้ง…"

ซุลก๊อตไนท์หยุดเพื่อหายใจก่อนจะพูดต่อไปว่า

"ไม่แปลกที่แม่เธอจะให้เธอรีบไปหาอาจารย์การีมเป็นการเร่งด่วน
เพราะน้าเล็กได้เล่าให้ฉันฟังว่า…แม่ของนาดีมเขาเป็นคนใช้ญินมารร้ายพวกนั้น
ที่เขาเลี้ยงไว้ไปครอบงำเธอ ก็คือสิงร่างเธอนั่นแหล่ะ

มีหลายครั้งที่มันไม่สามารถครอบงำเธอต่อได้ เธอก็เลยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
จนชาวบ้านเขาสับสน…ซึ่งนาดีมจะเป็นคนพาเธอไปพบแพทย์
และแพทย์ที่ว่านัั้นก็เป็นเพื่อนของน้าเล็ก…เลยสะดวกและสามารถปกปิดความลับได้…”

“ไปพบแพทย์ทำไมหรือก๊อต…”

“เพื่อสะกดจิต…”

“สะกดจิต?” วาลาดาตกใจทีเดียวกับสิ่งที่ได้รับรู้

“มีด้วยหรือ…”

“อืม…เขาเรีกว่าสะกดจิตเพื่อลบเลือนความทรงจำ…ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว
ไม่มีใครสามารถสะกดจิตให้สูญเสียความทรงจำได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว
การสะกดจิตเพื่อลบเลือนความทรงจำนั้นทำได้…โดยการให้รู้จักยอมรับ
เมื่อจิตใต้สำนึกยอมรับ ก็จะพัฒนาไปสู่ ‘การวางเฉย’ ซึ่งการวางเฉยนี้
จะทำให้เหตุการณ์หรือบุคคลในความทรงจำนั้นค่อยๆถูกลดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ
จนนำไปสู่การลืมเลือน ไม่มีความใส่ใจต่อความทรงจำเหล่านั้นในที่สุด…

ยิ่งได้ตัวยาที่ฉันเคยเล่าให้เธอฟังเข้าร่วมด้วยก็ยิ่งไม่ต้องคิด…”

“น้าเล็กรู้เรื่องน้ีหรือ…”

“รู้…แต่เขาพูดไม่ได้หรอก…ลูกสมุนของแม่นาดีมไม่ธรรมดานักหรอกนะ…
ช่วงหลังๆที่ฉันพอจับเคล็ดลับได้เลยขอให้น้าเล็กเข้าร่วมภารกิจลับนั่นแหล่ะ…
ฉันถึงรู้เรื่องพวกนี้จากปากของน้าเล็กที่สารภาพผิดจนหมดเปลือก…
ว่าเขาก็มีส่วนร่วมในการทำร้ายเธออยู่ไม่น้อย…และเรื่องที่เธอฟื้นเพราะมารที่สิงเธอนั้น
มันสู้ญินของอาจารย์การีมไม่ได้นั้น นาดีมไม่รู้หรอก…เพราะแม่เขาอายที่จะ
สารภาพกับลูกสาวว่าทำพลาด…ไร้ศักยภาพ..แต่น้าเล็กเขารู้…ที่รู้เพราะว่า
แม่ของนาดีมเขามักไปปรับทุกข์ไประบายให้ฟัง…สรุปว่า...จบข่าวนะวา…

และต่อไปห้ามชวนฉันคุยเรื่องพวกนี้อีก...เธอไม่ควรจะนำมาใส่ใจด้วยซ้ำ
มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะนะวา...ปิดฉากเลยแล้วกัน...ฉันขอร้อง!”

“ถึงว่าสิ…ก่อนเสีย…แม่พูดกับวาแปลกๆ…ที่แท้แม่ก็คอยช่วยเหลือวามาตลอดนี่เอง…”

พูดแล้วก็ให้คิดถึงมารดาขึ้นมา วาลาดามองไปยังลูกสาวที่นั่งฟังพ่อแม่คุุยกัน
อย่างสนใจบนตักของซุลก๊อตไนท์แล้วให้ยิ้มออกมา

…แม่เธอคงรักเธออย่างที่เธอรักลูกของเธอนี่แหล่ะ…รักที่ยอมตายแทนได้…แลกชีวิตด้วยได้…

“พี่นุบอกก๊อตเรื่องแม่ตอนไหน…” วาลาดาเริ่มสงสัยขึ้นมา จะให้ปิดฉากเธอยังทำ

ณ ขณะน้ีไม่ได้ แต่ต่อไป เธอไม่รื้อฟื้นมันอีก...

“หลังจากที่ฉันกลับมาจากเกาะรังรัก…เพราะฉันเองก็ติดใจสงสัยเรื่องที่เธอ
ฟื้นขึ้นมาเหมือนกัน มันมีอะไรหลายๆอย่างที่เหมือนยังขาดชิ้นส่วนสำคัญไป…

ฉันเลยลองเสี่ยงถามพี่นุดู…พี่นุเลยเล่าให้ฟัง และที่พี่เขาไม่เล่าให้เธอฟัง
ก็คงคิดไม่ต่างจากฉันคือ…การไม่รู้ย่อมดีกว่า…สบายใจกว่า…

ขนาดแม่เธอยังไม่ยอมบอกอะไรเธอ…นั่นก็แสดงว่าท่านไม่อยากให้เธอ
แบกการรู้ในสิ่งนี้ไว้…ท่านอยากเห็นเธอมีความสุขกับปัจจุบัน…

เหมือนฉันเหมือนพี่นุที่ก็หวังอยากเห็นเธอมีความสุขกับปัจจุบันเช่นกัน…”

วาลาดามองคนตรงหน้าอย่างขอบคุณ และคงต้องขอบคุณพี่ชายที่แสนดีอย่างพี่นุด้วย
ที่คอยเป็นสายลมใต้ปีก คอยช่วยเหลือเธอมาตลอดทั้งที่เธอรับรู้และโดยไม่เคยได้รับรู้…

การทำเพื่อคนอื่นไม่จำเป็นต้องประกาศต่อเขาว่าเราทำเพื่อเขาเลย…

เธอเข้าใจแล้วว่าความบริสุทธิ์ใจมีคุณค่าและมีความหมายแค่ไหน…

เหมือนแม่ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อลูกโดยไม่ได้หวังสิ่งใดจากลูก…
ไม่โอ้อวดความดีที่ตนทำต่อลูก...

อยู่ๆเธอนึกถึงประโยคนึงที่ตราตรึงใจขึ้นมา

‘แม่ของท่านมอบหัวใจให้แก่ท่านเมื่อตอนที่ท่านยังเล็ก…
แต่ไฉน…ท่านกลับมอบหัวใจให้นาง…เมื่อโตขึ้น…’

กับอีกประโยคกินใจนึง ซึ่งเมื่อก่อนเธอไม่ได้ใส่ใจนัก หากวันนี้มันทำให้เธอน้ำตาคลอ

‘ลูกจะไม่มีวันได้พบกับหัวใจที่อ่อนโยนกับลูกมากกว่าแม่อีกแล้ว…’

ใช่แล้วล่ะ…ไม่มีอีกแล้ว หัวใจดวงใดที่จะอ่อนโยนกับเธอได้เทียบเท่า ‘หัวใจของแม่’

แม่ไม่ใช่แค่พยายามคอยปัดยุงไรออกไปจากเธอเท่านั้น
แต่แม่เฝ้าพยายามปัดป้องความเลวร้ายออกจากชีวิตเธอด้วย…

ทำให้โดยที่เธอไม่ต้องร้องขอ…ทำให้โดยที่ไม่จำเป็นต้องให้เธอรับรู้…
และคงมีอีกมากมายหลายเรื่องราวที่แม่ทำเพื่อเธอโดยที่เธอไม่เคยได้รู้เลย…

“ขอบใจนะก๊อตที่คอยดูแลเอาใจใส่ และคอยปัดเป่าความเลวร้ายไปจากวาและลูกๆ…
คงมีหลายอย่างที่ก๊อตทำให้วาแต่วาไม่รู้…แต่วาอยากบอกว่า…

ขอบคุณ…สำหรับความเอื้ออาทรท่ีมีให้วาและคนที่วารัก…”

พูดจบก็โผเข้ากอดซุลก๊อตไนท์แน่น รวบร่างลูกสาวเข้าไปกอดด้วย…
ทำเอาเจ้าลูกชายที่กำลังเดินขึ้นบันไดมายังระเบียงบ้านรีบวิ่งฉิวเข้ามาเป็นอีกส่วนหนึ่ง
ด้วยทันทีทันใด ก่อนจะเข้าไปกอดน้องสาวเอาไว้ จนได้อ้อมกอดของพ่อแม่
เข้าไปเต็มๆ

เมื่อทั้งสี่ผละออกจากกัน…เจ้าซุลฟาที่ถือดอกชบาสีแดงดอกใหญ่ในมือมาด้วยสองดอก
ก็หันไปยิ้มให้น้องสาว เจ้าน้องสาวที่มีนามเหมือนมารดาว่า ‘วาลิดา’ หรือ ‘น้องลิดา'
ยิ้มแฉ่งโชว์ฟันกระต่ายน่ารักๆให้กับพี่ชายที่มาพร้อมดอกไม้ในมือ…

“พี่ฟาเอามาฝาก…” บอกพร้อมยื่นดอกไม้งามสีสันสดใสให้น้องสาว
แต่เมื่อเห็นผมที่ผูกเป็นแกละทั้งสองข้างของน้องสาวจึงนึกอะไรขึ้นได้

มือป้อมๆของคนเป็นพี่ชายจึงเสียบก้านดอกชบาไปตรงที่มัดเป็นแกละ
ให้น้องสาวทั้งสองดอกก่อนจะหัวเราะลั่นเมื่อเห็นดอกชบาสีแดงดอกโตสองดอกของตน
ไปบานอยู่บนศีรษะของน้องสาวที่ผมยาวสวยสีดำมันวาวนุ่มมือทีเดียว…

ทำเอาซุลก๊อตไนท์กับวาลาดาหัวเราะตามไปด้วย
เจ้าน้องสาวตัวน้อยก็พลอยฟ้าพลอยฝนหัวเราะตามไปติดๆ…

“ไปกับพี่ฟามั้ย…พี่ฟาจะพาไปเก็บดอกไม้ในสวน…”

คนเป็นพี่ชวนน้องสาวที่อยู่ในชุดลูกหมีสีฟ้าตัดกับดอกชบาสีแดงบนหัวทันที
คนเป็นน้องเลยกางแขนอ้ารอรับพี่ชายเป็นการตอบรับคำชวนทันทีทันใด
และไม่ลืมหันไปมองพ่อทีแม่ทีเพื่อเป็นการปรึกษา ทั้งสองเลยพยักหน้า

เท่านั้นแหล่ะ เจ้าตัวเล็กกระโดดขี่หลังพี่ชายและกอดคอพี่เอาไว้แน่น

วาลาดากับซุลก๊อตไนท์มองดูลูกสาวขี่คอลูกชายแล้วยิ้มทั้งปากทั้งตา
ให้กับความรักความผูกพันธ์ระหว่างสายเลือดที่ย่อมข้นกว่าสายน้ำ

ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับคว้ามือวาลาดามากุมไว้แล้วจูงให้เดินตามสองพี่น้อง
ที่ตอนนี้…เปลี่ยนมาจูงมือ คนพี่เดินนำ ส่วนคนน้องก็เดินตามพี่ชายต้อยๆๆ

เสียงเจื้อยแจ้วสลับเสียงหัวเราะสดใสของสองพี่น้องดังมาไม่ขาดสาย…

เห็นภาพคนเป็นพี่ชายเอื้อมมือคว้าดอกชบาที่อยู่สูงเกินที่น้องสาวจะเอื้อมถึงมัน
หากติดอยู่แค่ปลายเอื้อมเท่านั้นเอง และสุดจะคว้าได้

ไม่นานต่อจากนั้น…คนเป็นพ่ีชายก็นั่งลงให้น้องขี่หลังแล้วยืดตัวให้น้องสาว
เป็นคนเอื้อมมือไปคว้าดอกไม้มา…เสียงหัวเราะชอบใจดังตามมาเมื่อคนเป็นน้อง
สามารถคว้าดอกชบาดอกงามมาไว้ในมือได้สำเร็จ…

คนเป็นพี่เลยพาน้องสาวที่ขี่หลังวิ่งไปมาในสวน…
ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาที่เฝ้ามองดูอยู่พลอยมีความสุขไปด้วย

“ฉันตัดสินใจแล้วว่า…เราจะต้องเดินหน้าต่อ…กระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ล้านนึงไม่เคยพอ…ถ้าเธอคลอดได้…ฉันให้สองล้าน…”

คนที่บอกว่าจะ ‘ทำ’ เอ่ยกับคนที่มีหน้าที่ ‘คลอด’ ด้วยเสียงหนักแน่น…
ทำเอาวาลาดายิ้มออกมาก่อนจะชวนเขานั่งลงตรงผืนหญ้าใต้ร่มไม้ใหญ่

ซุลก๊อตไนท์เลยฉวยโอกาสทิ้งตัวลงนอนลงบนผืนหญ้าวางศีรษะลงบนหน้าตักของวาลาดา
นึกถึงภาพวันวานที่เคยหวานกัน…

แม้สถานที่เปลี่ยน แต่ความหวานไม่เคยน้อยลง…ความขมอาจมีบ้าง
แต่ไม่ว่าจะขมหรือหวาน เขาไม่ใส่ใจ ขอแค่มีวาลาดาเป็นแม่ของลูกๆไปอย่างนี้…

เขาก็พอใจแล้ว…

“ฉันจะไม่เพิ่มเมียหรอกนะ…แต่อยากเพิ่มลูก…เธอคงต้อง…เหนื่อยหน่อยนะวา…”

พูดขณะช้อนตาขึ้นสบตาวาลาดาที่ก้มลงมามองเขาพอดีพอดี

“เหนื่อยแต่มีความสุข…วาทนได้…” พูดจบก็ก้มลงประทับจุมพิตตรงกลางหน้าผาก
ของซุลก๊อตไนท์...

และเพียงไม่นาน...สองพี่น้องก็บุกเข้าใส่ทั้งสองที่กำลังจู๋จี๋กันอยู่พอดี…
ร่างของคนเป็นลูกสาวบุกเข้านั่งคร่อมลงบนแผ่นอกของบิดาแล้วก้มหน้าลง
คลุกใบหน้าของตนกับใบหน้าบิดาอย่างมันเขี้ยว…

ส่วนเจ้าลูกชายก็เดินไปเกาะหลังของคนเป็นแม่แล้วก้มลงเอี้ยวคอหอมแก้มมารดา
ไปทั้งแก้มซ้ายแก้มขวาไม่ให้บิดาเห็น…เดี๋ยวจะโดนโวย…
เลยใช้ทีเผลอขโมยหอมแก้มแม่ไปสองฟอด

ทำเอาวาลาดาหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขแล้วตอบแทน
ด้วยการหอมแก้มเจ้าลูกชายที่ยื่นแก้มมาให้อย่างเต็มอกเต็มใจไปสองฟอด
อย่างเท่าเทียมกัน…

“ตาวิเศษเห็นนะ…” ซุลก๊อตไนท์เอ่ยออกมา ทำเอาเจ้าลูกชายหัวเราะแหะๆ
หากก็ยังไม่ยอมหยุดที่จะก้มลงหอมแก้มแม่แล้วกอดคอแม่จากทางด้านหลังเอาไว้
อย่างหลวมๆ กลัวแม่จะหายใจไม่ออก…

ทำเอาลุงหมานและอัยรีนที่กำลังช่วยกันเอาพันธุ์กล้าลงดินในสวนแห่งนั้นหันมามองภาพนั้น
ด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้า และไม่วายหันไปลุ้นอีกฟากฝั่งของสวนแห่งนี้
ซึ่งกำลังเจรจาว่าความเพื่อจะหามนาดีมลงจากคานให้ได้


“ให้อภัยน้าได้ไหมดีม…” ใบหน้านิ่งๆ ไร้ปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ
ทำให้คนที่เฝ้าอธิบายความประสงค์ของตนเองมานาน

จากที่ก่อนหน้านี้มีมารดาของซุลก๊อตไนท์นั่งอยู่ด้วย…จนบัดนี้ไม่เหลือใคร
นอกจากเขากับนาดีมที่กำลังนั่งอยู่ในสวน ซึ่งเป็นสถานที่เปิด…
พยายามทิ้งระยะห่างต่อกันไว้ไม่ให้ใกล้ชิดกันจนเกินไป...

หากหญิงสาวยังคงนิ่งเช่นเคย…เขารู้ว่าเธอได้ยินในสิ่งที่เขาพูดทั้งหมด…
และกำลังฟันมันทุกคำ…

แม้นาดีมในวันนี้จะไม่ได้สวยใสอย่างวันวาน หากเขาก็ยังรู้สึกรักเธอไม่ได้น้อยลง
ลึกลงไปมันเอาไว้ซึ่งความสงสาร ความเห็นอกเห็นใจ…

และไม่ใช่แค่เปลือกที่เปลี่ยนไป เนื้อในของเธอก็ดูจะไม่เหมือนเดิม…เขารับรู้ได้…
เพราะที่เขาเห็นคือเปลือกที่เก็บความตั้งใจดีเอาไว้ข้างใน

…เธอดูสงวนท่าทีได้อย่างเป็นธรรมชาติ…กลายเป็นเสน่ห์ที่เขาไม่เคยพบจากนาดีม
มาก่อน...และถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาก็คงไม่พึงปรารถนาหญิงในลักษณะนี้
และคงมิได้มองว่าสิ่งดังกล่าวคือเสน่ห์...

เพราะไฟราคะที่ลุกโชนมักจะโน้มนำเขาให้เห็นความเร่าร้อนเป็นความสวยงาม
เย้ายวนน่าลิ้มลอง...ประดุจแมงเม่าบินเข้ากองไฟ...

“น้ารู้ว่าน้าเหมือนคนที่ใจร้ายกว่าใครทุกคนที่ไม่ได้อยู่ด้วย
ในวันที่ดีมกำลังตกที่นั่งลำบาก…”

นาดีมไม่มีหนทางใดที่จะสื่อสารกับเขาได้ว่า...ที่ผ่านมาเธอเข้าใจเขา
เพียงแต่เธอเสียใจ น้อยใจที่เขาไม่ยอมมาเยี่ยมเยือนเธอในขณะที่เธอกำลังเจ็บปวด
ทั้งกายและใจ…เธอรู้ว่าเขายังอยู่ไม่ได้จากเธอไปไหนอย่างที่พ่อกับแม่ทำกับเธอ…
แต่เขาก็ไม่มาหา…เหมือนเธอไม่ได้มีค่ามีความหมายในสายตาเขาเลย
ทั้งๆที่เธอคิดมาตลอดว่าเขารักเธอ…แต่สุดท้ายคนที่อยู่ข้างกายเธอกลับไม่ใช่เขา
กลับเป็นวาลาดากับซุลก๊อตไนท์…และคนที่เธอเคยคิดเอาชีวิตมาก่อนแทบทั้งหมด…

คนที่เธอไว้ใจหักหลังไม่ทำให้เธอเจ็บช้ำเท่ากับการที่เขาทำหมางเมิน…
ห่างหายและห่างเหินไป…เขาทำเหมือนที่คนในสังคมรอบกายทำกับเธอ…
เพราะเห็นว่าเธอมันเลว มันชั่วช้าจนไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้ ไม่มีประโยชน์อันใด
ให้พวกเขาได้เก็บเกี่ยวจากเธออีกต่อไป พวกเขาก็เลยปล่อยทิ้งร้างเธอเอาไว้ไม่ใส่ใจ...

เธอน่ะไม่ได้เพิ่งจะมาเป็นคนเลว...แต่เธอทำเลวทำชั่วมาทั้งชีวิต
หากก็มีมวลมิตรมากมายห้อมล้อมเอาอกเอาใจและคอยมอบรักมอบความปรารถนาดี
มาให้โดยตลอดไม่เคยขาด...แต่พอชีวิตเธอร่วงต่ำ พายุกระหน่ำซ้ำเติม
พวกเขาก็หลบหนี พอเธอละทิ้งความชั่วช้าเลวทรามที่เคยกระทำมา
ด้วยการกลับเนื้อกลับตัวหันมาทำความดี หมู่มิตรมากมายเหล่านั้นกลับบินหาย...

เมื่อเป็นทุกข์...ไม่มีใครให้เธอได้ปรับทุกข์ ไม่มีใครข้างกาย ไม่มีใครคอยเช็ดน้ำตา
นอกจากเพื่อนเก่าและมิตรภาพในวันวาน...ที่ไม่ว่าเธอเคยทำเลวร้ายไว้สักเพียงไหน
ก็พร้อมให้อภัยในความผิดพลั้งไปของเธอ...ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครต้องการ
และไม่มีใครรักเธอได้เท่ากับวาลาดาอีกแล้ว...

ยิ่งวาลาดาดีกับเธอเท่าไหร่...เธอก็ยิ่งเจ็บปวดและผิดหวังเหลือเกิน
กับมิตรภาพจอมปลอมที่เธอเคยลุ่มหลงมานานปี...

พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้จริงใจกับเธอเลยสักคน...จำนวนมวลมิตรที่มากมาย
พอได้ความวิบัติเข้ามาคัดสรร ผลลัพธ์ออกมาคือเธอไม่เหลือมิตรในหมู่ผู้คนเหล่านั้น
ที่จริงใจกับเธอ หวังดีต่อเธอจากใจแม้สักคนเดียว...

แท้จริงแล้ว...พวกเขาเหล่านั้นต้องการสิ่งใดจากเธอกันแน่...
แล้วคนตรงหน้าเล่า...ต้องการสิ่งใดจากเธอกันเล่า ถึงได้กลับมาหาเธอ
ในวันที่เธอยืนหยัดได้แล้ว...

“น้าอยากให้ดีมเข้าใจน้า…และก้าวไปด้วยกันกับน้า…นะดีม…
น้าตั้งใจจะดูแลดีมไปตลอดจนสิ้นลมหายใจ…เราจะอยู่ด้วยกันอย่างถูกต้อง…
จะพยายามใช้ชีวิตที่เหลืออย่างถูกต้อง…บนหนทางที่เที่ยงตรง…ด้วยกัน…”

คนฟังท่ียังสับสนกับเหตุผลที่เขากลับมารู้สึกอุ่นวาบในหัวใจทันทีที่ได้ยินประโยคดังกล่าว

…ความหนาวเหน็บที่แฝงเร้นถูกไอร้อนแผ่ปกคลุมก่อเป็นหมอกสีขาวกลางใจ…
มิใช่ควันพิษอย่างที่ผ่านมา

เธอเองก็อยากจะเปลี่ยนเป็นคนที่ดี…อยากลบความเลวร้ายในวันวานออกไปจาก
ความทรงจำให้หมด…ลบเลือนด้วยความดี…มิใช่วิธีลบเลือนความจำแบบที่เธอ
เคยทำไว้กับวาลาดา…เพราะตั้งแต่ชีวิตร่วงต่ำเธอก็พบว่าสิ่งใดคือสัจธรรม…

“ดีม…” หนุ่มใหญ่เรียกชื่อหญิงสาวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
จนเจ้าของชื่อถึงกับสั่นไหว ส่วนลึกอยากเข้าไปกอดเขา อยากอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆของเขา…

แต่มันผิด ตอนนี้มันผิดที่จะทำแบบนั้น และเธอตั้งปฏิญาณกับตนเองแล้วว่า
จะไม่กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆอีก...ไม่อีกแล้ว…ไม่เอาอีกแล้วชีวิตแบบนั้น

ซึ่งหนุ่มใหญ่เองก็อยากดึงร่างอรชรอ้อนแอ้นตรงหน้าเข้ามาสวมกอด เข้ามาปลอบ…
หากก็ต้องข่มใจไว้ พยายามเตือนตัวเองว่าเขาควรให้เกียรติเธอ
และละอายใจต่อพระเจ้า

ที่ผ่านมาเคยทำเลวแค่ไหนนั่นคืออดีตไปแล้ว เขาตั้งใจจะตั้งต้นเอาใหม่
จึงเอ่ยออกไปตามตรงกับนาดีมอย่างเปิดหัวใจออกมาให้หญิงสาวดูว่า

“เป้าหมายของการนิกะฮ์ (สมรส) คือ การรักษาตนให้พ้นจากการละเมิดประเวณี…
และสำหรับน้ามันไม่ใช่แค่นั้น…น้าอยากดูแลคนที่น้ารัก อยากให้เกียรติเธอ
อยากปกป้องเธอ…อยากสร้างครอบครัวเล็กๆ ที่มีพ่อ แม่ ลูก…ด้วยกันกับเธอ…”

คนฟังน้ำตาเอ่อคลอเพราะคำว่า ‘ครอบครัวเล็กๆ’ นั่น มันคือ
ภาพความฝันของเธอมาตลอด… เธออยากมีครอบครัวที่น่ารัก…ครอบครัวที่อบอุ่น…

...มีบ้านที่พ่อแม่ลูกอยู่กันพร้อมหน้า...

น้ำตาที่ไหลหยดลงมาจึงเป็นน้ำตาแห่งความเปรมปรี เขาคงไม่ได้หลอกให้เธอฝัน
ลมๆแล้งๆหรอกใช่ไหม...ใจที่บอบช้ำมันยังไม่พร้อมจะผิดหวังอีกรอบ...

“เราจะสร้างบ้าน สร้างครอบครัวของเราด้วยกันนะดีม…
ทั้งน้าทั้งดีม...เราต่างก็รู้ว่าเราขาดสิ่งใดในชีวิตไป...แต่เราจะร่วมกันสร้าง
ช่วยกันเติมเต็มมันให้กันและกันนะดีม...”

เหมือนแสงแห่งความหวังอีกหนึ่งลำแสงทอดผ่านเข้าสู่หัวใจอันสับสนกับจุดประสงค์
ของเขาก่อนหน้านี้...บัดนี้...แม้จะมองไม่เห็นด้วยตา...แต่เธอเห็นแสงที่ว่านั้น
ด้วยกับบางอย่าง...ที่มันไม่ได้ด้านชา...หรือแข็งกระด้างอย่างท่ีคิด...

กลีบปากที่ปิดสนิทปลิแย้มประดุจดอกไม้ที่กำลังเปิดเผยความงามข้างในออกมาสู่ภายนอก…

หนุ่มใหญ่มองรอยยิ้มของคนตรงหน้าแล้วยิ้มตอบ…

ตอนนี้กอดไม่ได้ สัมผัสไม่ได้ แต่เขามั่นใจว่า…อีกไม่นาน…เธอและเขาจะหลุดพ้น
จากความทุกข์ทรมานนี้…

หลานชายของเขาพูดถูก…ปัญหามีไว้ให้แก้ไข ไม่ใช่ให้วิ่งหนี
ส่วนบาดแผลมีไว้ให้รักษาไม่ใช่ปกปิด…

“วันนี้น้าอาจตอบดีมได้ไม่เต็มปากว่ารักของน้าแท้หรือเทียม…
แต่จากวินาทีนี้ น้าจะพิสูจน์ให้ดีมรู้ว่า…มันเป็นยังไง…นิกะฮ์กับน้านะดีม…”

หญิงสาวพยักหน้ารับทันที…ไม่มีเหตุผลใดท่ีเธอจะปฏิเสธเขาได้อีกต่อไป…

แม้จะยังไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นว่าเธอกับเขาจะใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันได้อย่างไร
เพราะเธอในตอนนี้คงจะกลายเป็นภาระหนักสำหรับเขาอยู่ไม่น้อย

แต่เธอจะพยายามปรับตัวปรับใจและพยายามพอใจ และซาบซึ้งกับสิ่งที่อยู่รอบตัวและสิ่งที่มี
จะหยุดเพื่อแสวงหาความร่ำรวย เพราะเธอรู้แล้วว่า เธอมีทุกอย่างที่เธอต้องการแล้ว…

“ไม่เอาพยักหน้าอย่างเดียว…ไหนยิ้มสวยๆให้น้าดูด้วย…”

นาดีมยิ้มออกมาทั้งน้ำตาอาบแก้ม คนตรงหน้าเลยยื่นผ้าเช็ดหน้าไปวางไว้บนมือของเธอ…

วันนี้เธอคงต้องซับน้ำตาตัวเองไปก่อน…แต่หลังจากนี้...เขาจะอยู่ซับน้ำตาให้เธอเอง…
และจะทำให้น้ำตาของเธอ เป็นน้ำตาแห่งความสุข ความยินดี…น้ำตาแห่งความซาบซึ้ง

และแม้นว่าเขาจะไม่ได้ยินน้ำเสียงอันไพเราะและหวานละมุนจากริมฝีปากของเธอ
ที่เคยเอื้อนเอ่ยถ้อยคำมากมายอย่างแต่ก่อน หากเขากลับสัมผัสได้ถึงเสียงของหัวใจ
ที่อ่อนโยนของเธอ…ที่เมื่อก่อนเขาแทบสัมผัสมันไม่เจอ…

นาดีมอยากบอกเขาเหลือเกินว่า…

ขอบคุณ…ขอบคุณที่ให้เกียรติและความมั่นคงกับเธอด้วยการขอเธอแต่งงาน

ขอบคุณที่จะมาเป็นผู้นำในการสร้างครอบครัวเล็กๆด้วยกันกับเธอ…

ขอบคุณที่ไม่ทิ้งให้ผู้หญิงอย่างเธอต้องนอนอ้างว้างไร้คู่เรียงเคียงหมอน

ขอบคุณที่ให้อภัย เข้าใจและให้โอกาสเธอ…

เธอจะรักษาโอกาสนี้แล้วทำมันให้ดีที่สุด…และไม่ปล่อยให้สิ่งมีค่าหลุดมือไปอีก
อย่างเช่นวันวานที่ผ่านมา…

“น้าจะจัดการให้เร็วที่สุด…ถ้าดีมพร้อม…มะรืนนี้น้าจะพาดีมไปนิกะฮ์
แล้วไปอยู่ด้วยกันกับน้า…ไปอยู่บ้านของเรา…ดีมจะว่าอย่างไร…”

ไม่มีทางเหลือให้เธอปฏิเสธอีกแล้ว นาดีมจึงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้า…
หนุ่มใหญ่ยิ้มกว้างอย่างโล่งใจและมีความสุข…

บ้านของเขาที่ร้างว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวา บ้านที่แทบเรียกว่า ‘บ้าน’ได้ไม่เต็มปากนัก
แต่เขาจะปัดกวาดมัน และช่วยกันสร้างบรรยากาศแห่ง ‘บ้านที่เป็นบ้าน’
กับหญิงสาวตรงหน้า…บ้านหลังนั้นจะมีเขาและเธอ...และจะมีพยานตัวน้อยๆ
มาคอยสร้างสีสันให้บ้าน...เขาจะพยายาม...

หัวใจที่เคยรุมร้อนค่อยๆสงบลง เพียงแค่คิดถึง ‘บ้าน’ ที่มีเธอเป็นแม่ของบ้าน…
บ้านที่จะทำให้ 'หัวใจเร่ร่อน' ได้มีที่พักพิงเสียที...

สิ้นสุดเสียทีกับการไล่คว้าภาพมายา...

“ขอบใจนะดีมที่ให้โอกาสน้า…เราจะช่วยกันสร้างตำนานรักของเราด้วยกัน…
ทำให้ศาสนาในตัวเราสมบูรณ์ไปด้วยกัน…”

นาดีมทำได้แค่เพียงพยักหน้าพร้อมกับดวงตาที่พร่างพราย…
ดวงดาวส่องประกายระยิบระยับในดวงตาคู่นั้น…

เธอจะทดแทนให้เขายิ่งกว่าถ้อยคำหวานซึ้ง…ทุกอย่างที่ทำได้ เธอจะชดเชยให้กับเขา…

'เงามาร' ที่บดบังหัวใจเธอเหมือนจะบินหนีไปพร้อมกับตัวตนของมัน…
เมื่ออารมณ์ใฝ่ต่ำที่ชักนำมันมายอมจำนนท์และสิโรราบ…
ทำให้สุลต่านแห่งจิตวิญญาณเป็นเจ้าเหนือร่างกาย…




.................จบบริบูรณ์จริงจริงแล้วจ่ะ.................


ปิดม่านลงแล้วค่ะ...สำหรับ "เงามาร" ใจหายๆๆๆ ^^

ข้องใจอะไรตรงไหน...เขียนแปะไว้ได้นะคะ...จะเข้ามาส่องเรื่อยๆค่ะ...

เสร็จจากเรื่องนี้...คงจะไปเขียนต่อเรื่อง

"บ้านต้นรักษ์" (เรื่องใหม่)

กับ

"เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์" (ที่ดองค้างมาปีแล้วปีเล่า)


ยังไงถ้าว่างๆก็เข้าไปทักทาย ติดตามและติชมกันบ้างนะคะ... ^^


และแล้ว...ในที่สุดเต่าโยก็ได้ตัดสินใจกลับบ้านเกิดเสียที
หลังจากพเนจรร่อนเร่มาหลายปีเหลือเกิน...

เริ่มจากเป็นนักเรียนต่างด้าว จบมาก็เป็นมนุษย์เงินเดือน งานประจำ งานไม่ประจำ
ฟรีแลนซ์ พ่วงงานอดิเรกร้อยแปดพันเก้า...คราวนี้จะได้ทำของตัวเองซะที...
เจ๊งหรือเจ๋งค่อยว่ากัน เหอๆ...ชีวิตมันต้องลองถึงจะรู้ว่าชีวิตมันเป็นยังไง...อิอิ

ท่ีสำคัญ...บรรยากาศบ้านเกิดเหมาะเหม็งมากสำหรับการเขียนนิยายเรื่อง

"บ้านต้นรักษ์"

ทะเล ท้องทุ่ง ภูเขา น้ำตก ต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า
และ บรรยากาศของทะเลทราย...ต้นอินทผาลัม...Oasis

ใครว่างๆแวะไปทักทายกันได้ในเรื่องดังกล่าวนะคะ...^o^

กลับบ้านเรา...รักรออยู่...สู่อ้อมใจ...ของบ้านเก่า...สู่ลำเนา...ของบ้านเกิด...


หากมีอะไรผิดพลาดไปบ้าง เต่าโยขอน้อมรับความผิดพลาดเหล่านั้นเอาไว้ทั้งหมด




และต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องนี้มากๆค่ะ...
ขอบคุณทุกๆไลค์ที่กดให้กันมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้...
ขอบคุณความเห็นทั้งหมดที่พิมพ์มาพูดคุยกันตั้งแต่บทแรกจนบัดนี้ค่ะ...

ขอให้ทุกคนมีความสุขกับชีวิตค่ะ ^o^



..............ตอบเมนท์จ่ะ..........................


1.คุณsaralun...ดีใจค่ะที่ชอบ...หวังว่าส่วนที่เหลือที่นำมาให้นี้
จะไม่ทำให้ผิดหวังนะคะ เฮะๆ ขอบคุณค่ะที่เข้ามาส่งกำลังใจกัน
ขอบคุณหลายๆ...^^

2.คุณPampam...เต่าก็ใจหายค่ะ อยู่กับเรื่องนี้มา 3 เดือนกว่าๆ
ล่าสุดนี้เอาพี่นุ ก๊อต น้าเล็ก และคู่ของทั้งสามมาให้ยลกันอีกรอบ
พร้อมกับเด็กน้อยๆ 2 หน่อ...อิอิ หวังว่าจะไม่ผิดหวังนะคะ
ขอบคุณอีกครั้งอย่างมากมายค่ะ

3.คุณร้อยวจี...ดีใจค่ะที่ท้ายที่สุดก็ทำให้นักอ่านมีความสุขได้...
อย่าลืมแวะไปเยี่ยมเยียนติชมเรื่องอื่นๆกันบ้างนะคะ...ขอบคุณหลายๆๆๆค่ะ

4.คุณkonhin...โยเอาเรื่องปมที่ว่ามาคลายให้หายข้องใจแล้วน้าาาา
จริงๆแล้วโยไม่ค่อยอยากจะลงรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการทำไสยศาสตร์
หรือล้างไสยศาสตร์นัก เกรงว่าจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอก ก็เลยมาแบบวับๆแวมๆ
มีกั๊กๆเอาไว้น่ะค่ะ...^^ แล้วส่วนใหญ่คนที่รักและหวังดีต่อเราจะไม่ค่อย
อยากให้เราได้รับรู้อะไรๆที่มันไม่ดี ทำให้จิตใจหดหู่นัก ปิดได้ปิด...
ก๊อตก็ยังคงกั๊กๆกับวาต่อไปด้วยประการละฉะนี้แล...อิอิ
บางอย่างที่ควรพูดควรเคลียร์ก็เคลียร์กันไป บางอย่างที่พูดไปแล้วไม่เกิดประโยชน์
อันใด สู้เก็บไว้กับเรามันย่อมดีกว่าน่ะค่ะ...^^ นี่คือ พระเอกเต่า...
ในเรื่องนี้สามหนุ่ม กับ อีกหนุ่มใหญ่นั้น ถ้าวัดกันที่นิสัย พี่นุดีที่สุดแล้ว
รองมาก็วารินทร์และก๊อต สุดท้ายก็...น้าเล็ก...
ซึ่งก๊อตมีหลายเหตุผลที่ทำให้โยเลือกให้เป็นพระเอก...เพราะว่ามีอะไรให้เขียนเยอะดี...
ฮ่าาาาาาา ก๊อตคือหนุ่มที่เจอมรสุมหนักสุดๆในเรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องร้ายๆ
และสร้างความเสียหายทั้งนั้น แต่ก็สามารถแก้ปัญหาพร้อมกับก้าวผ่านมันมาได้...
นี่คือ พระเอกน่ะค่ะ...แบบว่า สู้ชีวิต! มันจะได้ดูเป็นพระเอกแนวดราม่าหน่อยนึง อิอิ

แต่ถ้าเป็นแนวรักหวานซึ้ง พระเอกก็ต้องแบบพี่นุไรงี้...ถ้าห่ามๆหน่อยพระเอก
ก็ต้องแบบวารินทร์เนอะ...ส่วนพระเอกเลวๆที่กลับตัวได้ในภายหลัง
ก็ต้องให้น้าเล็กไป...อิอิ ขอบคุณส่งท้ายอีกครั้งจ่ะ...


5.คุณตุ๊งแช่...งานนี้เจ๊บัวก็เปลี่ยนไปน้าาาา...อิอิ...เปลี่ยนไปเลย...เหอๆ
น้ำตาลเมืองเพชรรึจะสู้น้ำตาลเมืองเต่า...อิอิ...ที่จะผสมบอระเพ็ดลงไปด้วยเสมอๆ
เหอๆๆๆ ของเมืองเพชรเขาหวานบริสุทธิ์นี่นา...ฮ่าาาาาา
ส่วนของเมืองเต่า ก็หวานอย่างที่เห็น...อิอิ

ทัพหลวงของคุณตุ๊งแช่คงมีหลายตัวและคงจะมีเสื้อเกราะอย่างดีชิมิ
เลยทำให้ศัตรูพ่าย...อิอิ

เต่าว่าหญิงแจ้บ้านอื่นคงถึงชะตาขาดอ่ะนะ เลยโดนคาบไปแบบนั้น...อิอิ
ว่าแต่มานคาบไปกินหรือว่าคาบไปทิ้งอ่ะ...เคยเจอแบบหมาหยอกไก่ด้วยนะ

หนูกีสคงต้องรอให้เต่าปั่นจนจบก่อนอ่ะ ไม่มีฤกษ์ตายตัว เผลอๆปีหน้า วะฮ่าๆๆๆ
เก๊าะปีนี้มันจะสิ้นปีแล้วหนาาาาาา...แล้วเต่าก็กำลังฟัดกับพี่ก้ออยู่ด้วย...
เลยทิ้งพี่ไนค์ให้อ้างว้างไปก่อน...คิดถึงพี่ไนค์ตอนไหนก็ปั่นตอนนั้นเลย...อิอิ
ส่วนท่านมุส เต่าก็แอบคิดถึงอยู่บ่อยๆ แต่ก็ต้องปล่อยให้นอนอยู่ในไหไปก่อน...อิอิ

ขอบคุณอีกครั้งและอีกครั้งและอีกครั้ง...ขอบคุณหลายๆ

6.คุณลิลลี่...เอานาดีมกับน้าเล็กมาปิดม่านเงามารค่ะ...อิอิ
ขอบคุณค่ะที่ยังคงติดตามอ่านเรื่องนี้อยู่และยังคงอยู่เป็นกำลังใจให้กัน...^^

7.คุณcoonX3...เรื่องต่อไปกำลังฟัดกันอยู่กัน...แบบว่าพันตูกันทีเดียว อิอิ
แวะไปทักทายเป็นกำลังใจให้กันในเรื่องใหม่บ้างนะคะ ขอขอบคุณอีกสักรอบค่ะ

8.คุณแว่นใส...เอามาให้อิจฉาอีกสามคู่ เย้ย ต้องบอกว่า 4 เพราะมีคู่พี่น้อง
แถมพ่วงมาด้วย...อิอิ ขอบคุณอีกครั้งน้าาาาาาาา...^^

9.คุณnapt...นี่แหล่ะค่ะหวานของเต่า...หวานของเต่าประมาณนี้เลย...เหอๆ
พ่อเงาะของเต่าเขาถอดรูปนานแล้วหนา ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะตาดีเห็น อิอิ
เขาว่าตาดีได้ ตาร้ายเสีย งานนี้อานิต้าลาภปากอานิต้าไป ได้กินเงาะตลอดชีพ อิอิ
ส่วนที่เหลือที่เอามานั้น...ไม่ต้องมีคำบรรยายใต้ภาพ...จิ้นกันเอาเองน้าาาาา
เต่าขอไปมุดหัวในกระดองก่อน...อิอิ ขอบคุณอีกครั้งและอีกครั้งน้าาาาา

10.คุณyapapaya...แม่ขนุน กับ พ่อขนุน นี่ชื่อไทยๆ น่ารักดีอ่ะ
พอเพื่อนๆเรียกสั้นๆว่า 'หนุน' มันก็ได้อารมณ์ 'หนุนนอน'
เป็นหมอนหรือไม่ก็ตักซะงั้นอ่ะ...ฮ่าาาาาาาาา สุดแท้แต่จิ้นเอา...เหอๆ
เอามาเสริฟให้แบบหวานปนอะไรสักอย่าง บอกไม่ถูก รู้แค่ว่ามันไม่ได้หวาน
แบบน้ำตาลเมืองเพชรแน่ๆ เพราะนี่คือน้ำตาลเมืองเต่า...อิอิอิ
ขอบคุณอีกครั้งและอีกครั้งค่ะ



.......ขอให้นักอ่านทุกท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรงกันถ้วนหน้านะคะ........

ด้วยความจริงใจ

"เต่าโย"




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 พ.ค. 2558, 20:23:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ค. 2566, 15:10:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 3385





<< บทที่ 48 หลบหน่อยพระเอกมา!   
konhin 14 พ.ค. 2558, 21:18:05 น.
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด จบแล้ว จบจริงๆ
ถ้าจะเปิดเรื่องเพิ่มขอเป็นเรื่องของตาหนูฟานะคะ ต้องคิดถึงแน่ๆเลย


แว่นใส 14 พ.ค. 2558, 22:21:49 น.
โชคดีจ้า


Pat 14 พ.ค. 2558, 22:48:58 น.


Pampam 14 พ.ค. 2558, 23:03:35 น.
จบจริงๆแล้วใจหายเลย ต้องบอกว่าเปิดมาดูทุกวันว่าตอนใหม่มาหรือยังเพราะมันติดแล้ว

ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ


yapapaya 14 พ.ค. 2558, 23:24:30 น.
ขอบคุณนักเขียนที่เขียนเรื่องราวต่างๆมาให้อ่าน เป็นกำลังใจให้ตลอดไป ตอนนี้ก็หนีแสงสีเมืองกรุงมาอยู่บ้านนอกได้สามปีแล้ว มีความสุขไปอีกแบบ ไม่ดิ้นรนมากมาย ผู้คนยิ้มแย้มเข้าหากัน ได้ทำสิ่งที่อยากทำ ได้อยู่กับแม่ในบั้นปลายชีวิตของท่าน สุดท้ายขออวยพรให้คุณโยมีความสุขในการกลับมาอยู่บ้านเหมือนเรานะคะ


coonX3 14 พ.ค. 2558, 23:24:33 น.
แฮปปี้ทุกคู่ ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ
จะรอติดตามเรื่องต่อไปนะค่ะ


sunflower 14 พ.ค. 2558, 23:45:33 น.
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ นะคะ และ ก็ ขอบคุณสำหรับเฮียนุของซันด้วย ที่คุณโยเอาฮีมาส่งท้ายกับเขา รอติดตามหนูนิลต่อค่ะ


ตุ๊งแช่ 15 พ.ค. 2558, 08:48:08 น.
.....พี่นุ ยังเวอร์จิ้นรึเนี่ย....

ตอนจบ ดีงาม คลายปมหมด...คงเส้นคงวาทั้งเนื้อเรื่อง และตัวละคร...

รอหนูกีสสสสส.... ท่านชีคกอมารุน ยังอ่านได้เรื่อยๆ ยังไม่อิน ...คือ ยังเรื่อยๆ

เรื่องมันเศร้า เจ้าโต้งชะตาขาดไปเรียบร้อยเมื่อวาน ตอนตีสี่...

ตอนนี้ที่บ้านประกาศกร้าว เราคงอยู่ร่วมโลกกันมิได้... ไก่ 9 ตัว เหลือลูกเจี๊ยบ 2 ตัว ...ตอนนี้ สว ที่บ้านไม่เป็นอันทำอะไร นั่งเฝ้า 2ตัวนี้... และคงไม่หามาเลี้ยงแล้ว จริงๆเอามาแค่หญิงแจ้ตัวเดียว ไอ้โต้งมาเอง 2ตัว แล้วออกลูกมา...

ตอนนี้ พี่บอก เลี้ยงควายดีมะ เอาไว้ขวิดเลย ถ้าจะเวิร์ค...



ลิลลี่ 15 พ.ค. 2558, 13:55:14 น.
อยากอ่านต่อแฮะเรื่องของน้าเล็กกับดีม


ตามอ่านมาตั้งแต่แรกจนจบเม้นบ้างลืมเม้นบ้าง อยากบอกว่านิยายเรื่องนี้มันสอนเราได้หลายอย่างจริงๆ
จุดสิ้นสุดไม่ใช่เงิน. แต่คือความสุข ความสุขของการได้อยู่พร้อมหน้าครอบครัว. ได้รัก ได้เอาใจใส่คนที่รักนั่นต่างหากที่มนุษย์ทุกคนพึงต้องการ


napt 17 พ.ค. 2558, 02:42:19 น.
เคลียร์ทุกข้อคาใจ และหวานได้กำลังอิ่ม
ขอบคุณมากนะคะคุณโย และเป็นกำลังใจให้มีแรงทำงานออกมาเรื่อยๆนะ ขอให้เจ๋งค่ะ สู้ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account