ทัณฑ์สวาทจอมเถื่อน
“คนทั้งโลกคงหยาบคายอย่างนี้รึเปล่าถึงได้มีลูกหลานสืบพันธุ์ออกมาจะล้นโลกอยู่แล้ว
ผมหยาบคายจนทำให้คุณครางได้แบบนี้แล้วจะไปบอกตำรวจยังไงกันคิตตี้ ฮึ?”
ทันทีที่ ‘อเตต้าร์ เมนดิส โดส ซานโตส โอลีเวย์ร่า’ ได้เห็นใบหน้าเย้ายวนของ
‘มนตร์ลดา’ แม่พยาบาลสาวผู้เป็น ‘อนุ’ ของพี่ชายกำลังมั่วอยู่ในบาร์เหล้าที่เต็มไปด้วยผู้หญิงหากิน
มหาเศรษฐีหนุ่มเจ้าของธุรกิจไวน์ก็หมดความอดทนจนต้องลากเธอเข้าห้อง
เพื่อพิสูจน์ลีลาที่เธอใช้ล่อลวงพี่ชายเขาเสียจนอยู่หมัด
แต่กลับพบว่าเธอเป็นแค่เมียน้อยจอมปลอมที่ยังไม่เคยผ่านมือชายมาก่อน
แถมยังฤทธิ์แรง เหวี่ยงสะบัด
ขนาดประกาศกร้าวว่าจะลากคอเขาเข้าตะรางในข้อหากระทำชำเราให้ได้
โดยไม่มีแม้แต่เสียงคร่ำครวญหรือน้ำตาสักหยด
แต่ยังไม่ทันตกลงกันได้ แม่สาวน้อยผู้คาดเดาได้ยากก็หายตัวไปเฉยๆ
ทิ้งให้เขางุนงงว่าตกลงเธอจะเอายังไงกันแน่... ผู้ชายอย่างอเตต้าร์ไม่เคยถูกใครปั่นหัว
ยิ่งกับไก่อ่อนที่เพิ่งจะเสียความสาวครั้งแรกอย่างนี้ด้วย... และดูเหมือนโชคจะเข้าข้าง
เมื่อภรรยาคืนเดียวที่เคยเสียสาวให้เขากลับมาติดบ่วงเสียเอง พร้อมอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ
อเตต้าร์จึงฉวยโอกาสนี้บีบบังคับให้เธอเดินเข้ามาสู่ข้อตกลงอันตรายที่เร่าร้อน รัญจวนใจ
เพื่อตอกย้ำให้มนตร์ลดารู้ว่า เมื่อขึ้นมาอยู่บนเตียงของเขาแล้ว อย่าได้คิดที่จะก้าวลงเด็ดขาด
โดยเฉพาะเมื่อเขาติดใจเธอขนาดนี้
เขาก็จะไม่ยอมให้ใครได้ชิมความสาวของเธอเป็นการทับรอย!
“ลืมตาสิคนสวย... อย่าต่อต้านแล้วมันจะไม่เจ็บ หรือชอบให้ผมคลึงไปด้วยแบบนี้ ฮึ?”
“ไอ้คน-ชั่ว-ช้า!” มนตร์ลดาต้องลืมตาตามที่เขาสั่ง หากต้องอ้าปากค้างเมื่อไอ้คนชั่วช้ายิ้มพราย
จ้องมองเธอพร้อมทำเสียงครางซี้ดซ้าดไม่หยุดปาก
“ห้ามมองนะ!!”
“ไม่รู้สึกตัวช้าไปหน่อยเหรอคิตตี้... แค่มองมันไม่สึกหรอหรอกน่า...
ผมทั้งจูบทั้งชิมมาแล้ว ก็ยังอยู่ครบถ้วนเหมือนเดิมนี่”
“ปากเสีย!”
“ปากจัด! ทีเมื่อกี้ไม่เห็นพูดอย่างนี้เลย ครางอ๋อย... อย่างเดียว”
อเตต้าร์สวนกลับทันควัน
ผมหยาบคายจนทำให้คุณครางได้แบบนี้แล้วจะไปบอกตำรวจยังไงกันคิตตี้ ฮึ?”
ทันทีที่ ‘อเตต้าร์ เมนดิส โดส ซานโตส โอลีเวย์ร่า’ ได้เห็นใบหน้าเย้ายวนของ
‘มนตร์ลดา’ แม่พยาบาลสาวผู้เป็น ‘อนุ’ ของพี่ชายกำลังมั่วอยู่ในบาร์เหล้าที่เต็มไปด้วยผู้หญิงหากิน
มหาเศรษฐีหนุ่มเจ้าของธุรกิจไวน์ก็หมดความอดทนจนต้องลากเธอเข้าห้อง
เพื่อพิสูจน์ลีลาที่เธอใช้ล่อลวงพี่ชายเขาเสียจนอยู่หมัด
แต่กลับพบว่าเธอเป็นแค่เมียน้อยจอมปลอมที่ยังไม่เคยผ่านมือชายมาก่อน
แถมยังฤทธิ์แรง เหวี่ยงสะบัด
ขนาดประกาศกร้าวว่าจะลากคอเขาเข้าตะรางในข้อหากระทำชำเราให้ได้
โดยไม่มีแม้แต่เสียงคร่ำครวญหรือน้ำตาสักหยด
แต่ยังไม่ทันตกลงกันได้ แม่สาวน้อยผู้คาดเดาได้ยากก็หายตัวไปเฉยๆ
ทิ้งให้เขางุนงงว่าตกลงเธอจะเอายังไงกันแน่... ผู้ชายอย่างอเตต้าร์ไม่เคยถูกใครปั่นหัว
ยิ่งกับไก่อ่อนที่เพิ่งจะเสียความสาวครั้งแรกอย่างนี้ด้วย... และดูเหมือนโชคจะเข้าข้าง
เมื่อภรรยาคืนเดียวที่เคยเสียสาวให้เขากลับมาติดบ่วงเสียเอง พร้อมอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ
อเตต้าร์จึงฉวยโอกาสนี้บีบบังคับให้เธอเดินเข้ามาสู่ข้อตกลงอันตรายที่เร่าร้อน รัญจวนใจ
เพื่อตอกย้ำให้มนตร์ลดารู้ว่า เมื่อขึ้นมาอยู่บนเตียงของเขาแล้ว อย่าได้คิดที่จะก้าวลงเด็ดขาด
โดยเฉพาะเมื่อเขาติดใจเธอขนาดนี้
เขาก็จะไม่ยอมให้ใครได้ชิมความสาวของเธอเป็นการทับรอย!
“ลืมตาสิคนสวย... อย่าต่อต้านแล้วมันจะไม่เจ็บ หรือชอบให้ผมคลึงไปด้วยแบบนี้ ฮึ?”
“ไอ้คน-ชั่ว-ช้า!” มนตร์ลดาต้องลืมตาตามที่เขาสั่ง หากต้องอ้าปากค้างเมื่อไอ้คนชั่วช้ายิ้มพราย
จ้องมองเธอพร้อมทำเสียงครางซี้ดซ้าดไม่หยุดปาก
“ห้ามมองนะ!!”
“ไม่รู้สึกตัวช้าไปหน่อยเหรอคิตตี้... แค่มองมันไม่สึกหรอหรอกน่า...
ผมทั้งจูบทั้งชิมมาแล้ว ก็ยังอยู่ครบถ้วนเหมือนเดิมนี่”
“ปากเสีย!”
“ปากจัด! ทีเมื่อกี้ไม่เห็นพูดอย่างนี้เลย ครางอ๋อย... อย่างเดียว”
อเตต้าร์สวนกลับทันควัน
Tags: อเตต้าร์ - มนตร์ลดา
ตอน: ตอนที่ 10 100%
คุณปู่การันก้ารีบกดปุ่มบังคับรถเข็นออกมาจากห้องอ่านหนังสืออย่างรีบเร่ง เมื่อได้ยินเสียงหลานชายตะโกนเอะอะโวยวายลั่นบ้าน ภาพที่เห็นคือพยาบาลสาวประจำตัวอยู่ในสภาพตัวอ่อนระทวย ตากลมโตปรือมองสิ่งรอบตัว ปากพร่ำเพ้อไม่ได้ศัพท์อยู่ในอ้อมกอดของหลานชายตนเอง
“ไปเตรียมน้ำอุ่นจัด ปรอทวัดไข้ ยาลดไข้ เอามาให้ฉันที่ห้องคุณมิ้นต์ เร็วเข้า!!” อเตต้าร์สั่งเด็กรับใช้ในบ้านเสียงดังกระหึ่ม ทุกคนในคฤหาสน์โกลาหลเพราะทั้งตกใจกับเสียงดุดันของเจ้านายหนุ่มและตกใจที่เห็นว่าพยาบาลสาวสวยผู้มีอัธยาศัยดีเลิศไปทำอะไรมาถึงขั้นต้องอุ้มกันกลับเข้ามาเช่นนี้ กานโช่ก้าวเร็วๆกดลิฟต์ให้ค้างไว้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่เจ้านาย
เพียงไม่กี่นาทีทั้งหมดก็เข้ามาอยู่ในห้องส่วนตัวของมนตร์ลดา อเตต้าร์วางร่างสั่นเทาลงบนเตียงพร้อมสั่งให้ทุกคนออกไปจากห้องเสียงดัง หากแต่เสียงของคุณปู่การันก้าก็ดังขึ้นทันที “แกนั่นแหละออกไป แม่หนูมิ้นต์เขาเป็นผู้หญิงแกจะมาถอดเสื้อผ้าเขาได้ยังไง ให้เด็กๆมาจัดการดีกว่า ส่วนแกน่ะบอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าไปทำอะไรเขามา แม่หนูมิ้นต์ถึงได้หมดสภาพกลับมาแบบนี้”
“ไม่ครับ! มันจะมีอะไรไม่เหมาะอีก ในเมื่อว่ามิ้นต์เป็นของผมแล้ว ผมจะจัดการเอง” อเตต้าร์เถียงอย่างไม่ยอมพร้อมหันไปตวาดไล่เด็กรับใช้ที่ยืนอยู่เต็มห้อง “ได้ยินไหมว่าออกไป!!”
การันก้าส่ายหน้า ตวัดมือไล่เด็กรับใช้ให้ออกไปตามความต้องการของหลานชาย พลางหันไปมองมือใหญ่กำลังจัดการปลดกระดุมเสื้อให้หญิงสาวที่นอนปัดป้องได้ไม่เต็มแรงนัก จากนั้นคุณปู่การันก้าจึงพาตนเองออกมาจากห้องนั้นบ้าง พลางส่ายหน้าให้กับความสัมพันธ์ที่รู้ได้ในทันทีว่าต่อจากนี้คงจะยุ่งยากจนหาทางแก้ปัญหาได้ไม่ง่ายแน่
อเตต้าร์ห่มผ้าห่มไฟฟ้าที่สามารถปรับอุณหภูมิให้อุ่นได้ตามต้องการให้ร่างที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง หลังจากเป็นคนจัดการพาร่างเปลือยเปล่าขึ้นมาจากแช่น้ำอุ่นจัดเพื่อให้ร่างกายได้ปรับอุณหภูมิ จัดการการวัดไข้และป้อนยาลดไข้ให้หญิงสาวเรียบร้อย พลางทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงอังมือเข้ากับหน้าผากมน ไล่ไปตามข้างแก้มและลำคอ
“ขอโทษนะคิตตี้ ผมไม่ตั้งใจจะทำให้คุณเป็นแบบนี้” อเตต้าร์ถอนหายใจ พร่ำขอโทษร่างอ้อนแอ้นที่หลับไหลไม่รู้ตัวอยู่นับครั้งไม่ถ้วน ความรู้สึกผิดที่ทำให้เธอต้องเจ็บตัวอยู่เสมอยามต้องปะทะกัน มันเป็นความรู้สึกผิดที่เป็นชนักติดหลังซึ่งย้ำเตือนให้ตนเองรู้สึกย่ำแย่เหลือทน!!
“ออกมาคุยกับฉันหน่อยซิอาร์ตี้” เสียงดังขึ้นจากประตูเชื่อมในห้องที่แง้มออกอยู่ทำลายภวังค์ความคิดของบุรุษเถื่อนที่บัดนี้หัวใจห่อเหี่ยวยิ่งนัก สองขาแกร่งก้าวเข้ามาในห้องของเป็นปู่ทันทีคำถามที่ทำให้เขารู้เหมือนเป็นไอ้หน้าตัวเมียทำร้ายผู้หญิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ดังกระหึ่มขึ้นมาทันที “แกมันเหลือทนอาร์ตี้ แกขืนใจทำระยำกับเธออีกครั้งแล้วใช่ไหม เธอถึงได้มีสภาพแบบนั้น!??”
“โธ่ปู่!... ผม... ผม” อเตต้าร์พูดไม่ออกเพราะสิ่งที่ตนเองทำนั้นมันก็ไม่ได้ต่างไปจากคำว่าขืนใจเธอเท่าไหร่นัก ร่างสูงใหญ่ทรุดตัวนั่งลงที่โซฟาปลายเตียงนอนอย่างหมดแรง ยกสองมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองแรงๆราวกับไม่มีข้อแก้ต่างให้ตัวเอง
“พูดไม่ออกล่ะสิ ทำไมนะ ทำไมถึงได้ทำตัวเป็นไอ้หน้าตัวเมียอย่างนี้ ตั้งแต่เล็กจนโตฉันเคยสอนให้แกย่ำยีผู้หญิง เหยียบย่ำคนที่อ่อนแอกว่าซักครั้งไหม? ทำไมแกถึงทำให้ฉันรู้สึกอับอายได้อย่างนี้ ฉันอาจจะเลี้ยงแกให้เป็นคนจิตใจสูงส่งไม่ได้แต่ก็ไม่เคยคิดว่าแกจะเลวได้อย่างนี้อาร์ตี้” คุณปู่การันก้าต่อว่าหลานชายด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามระคนเจ็บปวดใจ
“ไม่ใช่ ผมไม่ได้ขืนใจเธอนะ ผมแค่...” อเตต้าร์เริ่มอธิบายเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้ท่านฟังโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย ทั้งยังยืนยันด้วยเกียรติที่แทบจะไม่หลงเหลืออยู่ในสายตาของท่านว่า ไม่ได้หักหาญน้ำใจเธอซ้ำอีกครั้งอย่างแน่นอน
“แล้วมันเรื่องอะไรของแกที่จะต้องไปห้ามให้แม่หนูมิ้นต์คบคนโน้นคนนี้ แกรักแม่หนูมิ้นต์หรือยังไง?” การันก้ายิงคำถามตรงไปตรงมาทันที
“ปะ...เปล่า ผมจะไปรู้สึกรักเธอได้ยังไง ปู่ถามอะไรอย่างงี้!” อเตต้าร์ปฏิเสธเสียงเลือนหายแทบจะกลืนลงไปในลำคอ
“ก็แกทำเหมือนกำลังหึงเขาจนหน้ามืดตาลาย จะให้ฉันเข้าใจเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง” การันก้าจับสายตาหลุกหลิกของหลานชายได้ในทันที แต่ทำนิ่งเงียบรอดูสถานการณ์ต่อไปเรื่อยๆ
“แต่เธอเป็นผู้หญิงสาวนะจะเที่ยวไปเสนอตัวเป็นแม่ให้เด็กคนนั้นทีคนนี้ทีได้ยังไง” อเตต้าร์พยายามหาเหตุผลข้างๆคูๆเพื่อให้ปู่ของตนเห็นด้วยกับการที่ไม่ให้มนตร์ลดาทำตัวสนิทสนมกับปาโต้
“บ๊ะไอ้นี่!! เท่าที่ฉันรู้จักนิสัยแกมา แกก็ไม่ใช่คนจำพวกอนุรักษ์นิยมจ๋านี่ เธอบรรลุนิติภาวะแล้ว อยากจะมีใจให้ใครนอนอ้านอนแบให้ใคร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแกด้วย??”
“ไม่เกี่ยวได้ไงก็เธอเป็นของผมแล้ว!!” อเตต้าร์สวนกลับทันควัน โกรธจัดที่ได้ยินว่าเธอจะไปนอนอ้านอนแบให้ใครก็ได้!! แต่เมื่อสบสายตารู้ทันความคิดของท่านก็ต้องหลบตามองฝ่ามือของตัวเองทันทีเมื่อหลุดปากเผยความรู้สึกของตัวเองออกไป
“ฮ่า... อาร์ตี้ ผู้หญิงที่เป็นของแกแล้วน่ะมันมากกว่าผู้หญิงทั้งรีโอกรันดีโดซุลด้วยซ้ำ ฉันก็ไม่เห็นแกจะเดือดร้อนกับพวกหล่อนซักคน” การันก้าพอจะมองออกแล้วว่าหลานชายของตนคงไม่เป็นโสดไปเรื่อยๆแน่ หากมีใครได้เห็นสายตาเหมือนเด็กหนุ่มที่ร้อนรนจัดการกับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ในตอนนี้คงจะหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งเป็นแน่ “ชอบเขาก็ทำตัวดีๆกับเขาสิ แกจะคอยหาเรื่องหาราวเขาไม่เว้นแต่ละวันแบบนี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าเข้าใกล้แกหรอก”
“ก็บอกแล้วว่าผมไม่ได้รักเธอ” อเตต้าร์ปฏิเสธอีกครั้ง
การันก้าส่ายหน้าหน่ายใจให้กับคนปากแข็ง หัวดื้อ ไม่กล้าที่จะยอมรับใจตัวเอง “อื้ม... งั้นก็ดี ถ้าแกปฏิเสธเสียงแข็งแบบนี้ฉันก็มั่นใจว่าแกไม่ได้รักแม่หนูมิ้นต์จริงๆ ดีแล้วล่ะ ถ้าฉันเป็นแม่หนูมิ้นต์ฉันก็คงไม่สามารถทำใจรักคนที่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีฉันได้หรอก”
พูดจบก็บังคับรถเข็นเคลื่อนผ่านหน้าออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้อเตต้าร์ได้แต่มองตาม อ้าปากค้างพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำพูดที่เป็นความรู้สึกของตนจริงๆ มันเป็นความรู้สึกกังวลใจที่ทำให้รู้สึกว่าในชีวิตนี้ตัวเองได้ทำผิดพลาดมหันต์แล้ว หากแต่เจ้าตัวที่เป็นหัวข้อสนทนาอยู่นั้นนอนลืมตาโพรงอยู่อีกด้านหนึ่งของห้องกลับน้ำตานองหน้า เสียงบทสนทนาที่ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทบังคับให้ลืมตาขึ้นมารับฟังเรื่องเจ็บปวดใจในที่สุด
มนตร์ลดาได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำที่คนใจร้านปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้รักใคร่ใยดีในตัวเธอ ทั้งยังไม่เคยรู้สึกผิดในสิ่งที่เคยทำไว้แม้แต่น้อย หากแต่เขาทำตัวเป็นหมาหวงก้างเพื่ออยากกลั่นแกล้งเท่านั้นเอง แต่ทำไมหัวใจเธอมันถึงชอกช้ำ เจ็บปวดจนเกินรับได้ ถ้อยคำที่เขาพร่ำขอโทษอยู่ตลอดเวลานั้นยังไม่แน่ใจตัวเองเลยว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงความฝัน แต่ใจมันกลับตะโกนก้องว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้นเพราะความจริงนั้นก็เพิ่งได้ยินกับหูไปเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้เอง
มนตร์ลดาตัดสินใจหลับตาลง นอนนิ่งเงียบอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนใจร้ายที่ก้าวเดินเข้ามาใกล้เรื่อย บังคับจังหวะหายใจเข้าออกให้สม่ำเสมอเหมือนคนนอนหลับสนิทเพราะถ้าหากต้องตื่นขึ้นมาปะทะกับผู้ชายตัวโตเท่าตึกอีกครั้ง คงไม่พ้นต้องร้องไห้ปล่อยน้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจออกมาให้ได้อายอีกเป็นแน่
อเตต้าร์เดินมาหยุดอยู่ที่ปลายเตียงที่มีร่างอ้อนแอ้นนอนหลับสนิทอยู่อีกครั้ง เฝ้ามองเธอด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ไม่สามารถเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดได้ ครู่ใหญ่จึงเดินออกมาสั่งการเด็กรับใช้สองคนที่ยืนรออยู่หน้าห้อง “เข้าไปเฝ้าคุณมิ้นต์ให้ดี วัดไข้ให้ทุกชั่วโมง ถ้าไข้ขึ้นสูงหรือว่าเธอตื่นขึ้นมาให้ไปบอกฉันทันที”
“เอ่อ... แล้ววันนี้เซญอร์ไม่ออกไปข้างนอกอีกเหรอคะ?” สาวใช้ถามออกไปเพราะมันเป็นเรื่องปกติที่เจ้านายหนุ่มไม่เคยกลับบ้านก่อนตะวันตกดินสักครั้ง
“ใครบอกให้สอดรู้เรื่องของฉันแบบนี้ บอกให้ทำอะไรก็ทำอย่ามีคำถามได้ไหม” อเตต้าร์บอกอย่างหัวเสียพลางเดินเร็วๆไปยังปีกคฤหาสน์ฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นห้องนอนของตนเองอย่งไม่สบอารมณ์
รีโอเดอจาเนโร
หลายวันที่ผ่านมาอัลเวสพึงพอใจกับการได้เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกเดอะ แดนเจอรัสยิ่งนัก การทำงานเป็นเด็กส่งของที่ลุล่วงไปได้ด้วยดีทุกครั้งทำให้เด็กหนุ่มย่ามใจ ความที่เป็นเด็กหน้าใหม่ทำให้ตำรวจไม่สามารถตามกลิ่นได้แน่นอน รอยสักบนแผ่นหลังเริ่มสูงขึ้นอีกชั้นหนึ่งนั้น ส่งผลให้อัลเวสผยองในตัวเองว่าสามารถยึดอาชีพนี้หาเงินเลี้ยงตัวเองให้อยู่ดีกินดีได้อย่างแน่นอน
จันทร์แรมผู้เป็นแม่แอบสังเกตพฤติกรรมของลูกชายอยู่ห่างๆมาตลอด ทำให้วางใจในระดับหนึ่งว่าลูกชายวัยหัวเลี้ยวหัวต่อยังคงทำตัวไม่นอกลู่นอกทางที่วางไว้นัก
“แม่ครับ พ่อครับ ผมขออนุญาตไปเที่ยวกับเพื่อนที่รีโอกรันดีโดซุลซักสัปดาห์นะครับ” อัลเวสเดินเข้ามาบอกกับพ่อและแม่ของตนที่เพิ่งวางมือจากการทำอาหารได้ในช่วงบ่ายของวันหนึ่ง
จันทร์แรมขมวดคิ้วแปลกใจเพราะลูกชายของเธอไม่เคยสนใจสถานที่ท่องเที่ยวใดๆทั้งสิ้น ตั้งแต่เล็กจนโตอัลเวสชอบเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ ไม่ชอบเรียนหนังสือ มีความสนใจไม่เหมือนกับเด็กวัยเดียวกันเท่าไหร่ “เพื่อนคนไหน แม่ไม่เห็นอัลเวสจะติดต่อกับเพื่อนคนไหนเลย??”
“โธ่แม่!... แม่หาว่าผมไม่มีเพื่อน สังคมรังเกียจเหรอ” อัลเวสแสร้งทำเป็นหงุดหงิดเดือดร้อนคนเป็นพ่อออกหน้ารับแทนตามประสาคนรักลูกไม่ถูกทาง
“จันทร์ไปว่าลูกอย่างนั้นได้ยังไง” เปาโลตำหนิภรรยาพลางหันมาถือหางลูกชาย “จะไปเมื่อไหร่ล่ะ??”
“ไปพรุ่งนี้เลยครับ ส่วนเรื่องที่ร้านพ่อไม่ต้องห่วงผมเทรนให้ดุงก้าเรียบร้อยแล้วครับ” อัลเวสบอกอย่างกระตือรือล้น หลายวันที่ผ่านมาที่รู้ว่าจะต้องเดินทางไปทำงานชิ้นสำคัญในรีโอกรันดีโดซุลนั้น ตนได้ฝึกฝนการผสมเครื่องดื่มให้รุ่นพี่ซึ่งเป็นบาร์เทนเดอร์อีกคนหนึ่งเป็นอย่างดีแล้ว
“แล้วจะเอาตังค์ติดตัวไปเท่าไหร่ พ่อจะได้เตรียมไว้ให้” เปาโลถามลูกชายอย่างใจดี
“ไม่ต้องหรอกครับ พ่อเก็บตังค์ไว้เถอะ ค่าเช่าร้านยิ่งแพงอยู่ด้วย ไม่ต้องห่วงผม ผมพอมีเงินเก็บจากทิปที่ลูกค้าให้อยู่เยอะครับ ไปเที่ยวแถมซื้อของฝากมาฝากพ่อกับแม่ได้สบาย”
เปาโลยิ้มกว้างมองลูกชายคนเดียวที่เดินจากไปอย่างภูมิใจเหลือหลาย แต่กลับต้องหุบยิ้มฉับเมื่อกลับมาให้ใบหน้าบึ้งตึงของภรรยาที่ยืนอยู่ตรงกันข้าม
“ตกลงว่าฉันไม่มีสิทธิ์ในตัวของอัลเวสเลยใช่ไหมคะ??” จันทร์ถามพลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม่เบานัก “อีกหน่อยถ้าคุณให้ท้ายลูกแบบนี้เขาคงไม่เห็นฉันเป็นแม่”
“โธ่จันทร์!... คุณก็พูดเกินไป ลูกทำงานหนักอยากจะไปเที่ยวพักผ่อนบ้าง เราก็ต้องปล่อยให้เขาไป คุณก็เห็นนี่ว่าตั้งแต่ที่เราขยายร้าน ลูกค้าแน่นร้านทุกวัน เราก็มีรายได้มากขึ้นจนผมยังไม่คาดคิดว่าบาร์ของเราจะไปได้สวยขนาดนั้น” เปาโลบอกภรรยาด้วยน้ำเสียงเอาใจ
“ฉันไม่อยากรับรู้เรื่องรายได้ของคุณหรอกเปาโลเพราะไม่เคยสนับสนุนมาแต่แรกแล้ว แค่หวังว่าคุณจะจ่ายค่าเช่าร้านโดยไม่บิดพลิ้วเท่านั้นก็พอแล้ว แต่ลูกมาขอเราไปเที่ยวไกลถึงรีโอกรันดีโดซุลนะ เราก็ควรถามลูกบ้างว่าเขาจะไปยังไง ไปกับใคร พักที่ไหนไม่ใช่เหรอ??” จันทร์แรมพูดด้วยอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นขึ้นมา “อย่าลืมนะเปาโลว่าลูกชายของเราอายุยังไม่ถึงสิบแปดปีเต็มด้วยซ้ำ จริงอยู่ว่าเขาสามารถหาเงินให้คุณได้มากแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะดูแลตัวเองได้ดีไปกว่าเด็กวัยรุ่นเกเรคนหนึ่งหรอกนะ”
“ที่ผ่านมาเราก็เห็นว่าอัลเวสดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี อีกอย่างลูกเป็นผู้ชาย คุณไม่เห็นจะต้องเป็นห่วงเขาจนเกินเหตุ ลูกผู้ชายมันต้องมีอิสระ เข้มแข็งและมันจะทำให้เขารู้จักการเอาตัวรอดแล้วผมก็ไม่ชอบให้คุณว่าลูกว่าเป็นวัยรุ่นเกเร” เปาโลตำหนิภรรยาที่มักมีความขัดแย้งกันเสมอในการเลี้ยงดูลูกชาย
“ความจริงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ฉันพอใจที่อัลเวสทำตัวดีขึ้นนะ ไม่ได้จัดปาร์ตี้ป่าวประกาศชวนเด็กสาวๆมาเต้นแร้งเต้นกาส่งเสียงดังอย่างที่ผ่านมา แต่นั่นมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะละสายตาจากอัลเวสหรอกนะ จะบอกให้ว่าฉันน่ะเกลียดและก็เจ็บปวดทุกครั้งที่พูดว่าลูกเป็นวัยรุ่นเกเร แต่ก็ต้องทนอยู่กับมันให้ได้และพยายามจะเปลี่ยนให้ลูกเป็นวัยรุ่นที่เคยเกเร แล้วคุณล่ะคะเปาโลคุณอยากให้ลูกรู้จักเอาตัวรอดแต่แค่การยอมรับความจริงในสิ่งที่ลูกเป็น คุณยังทำไม่ได้เลย แล้วคุณจะให้ลูกเป็นลูกผู้ชายอย่างที่คุณอยากให้เขาเป็นได้ยังไง??” จันทร์แรมผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทิ้งให้สามีมองตามอีกเช่นเคย
ทุกครั้งที่พูดคุยกันถึงเรื่องความประพฤติของลูกชายแล้วเป็นอันต้องเกิดความขัดแย้งขึ้นอยู่เสมอ เพราะเปาโลเห็นว่าหากลูกชายไม่อยากเรียนหนังสือแต่ก็ยังสามารถทำงานหาเงินมาจุนเจือครอบครัวได้ก็ไม่น่าเกิดปัญหาอะไร ไม่จำเป็นต้องเรียนสูงๆจบปริญญาก็สามารถมีเงินเลี้ยงชีพได้เหมือนกัน มีคนที่เรียนจบปริญญาตรีเดินแตะฝุ่นไม่มีงานทำกันให้เยอะแยะ จันทร์แรมควรคำนึงถึงเหตุผลในข้อนี้แต่กลับคิดไปไกลว่าลูกจะเป็นอาชญากร ซึ่งมันทำให้เปาโลไม่พอใจทุกครั้ง จริงอยู่ว่าอัลเวสทำงานอยู่กับสถานที่ท่องเที่ยวยามราตรีแต่ก็อยู่ในสายตาของตนตลอด เรื่องที่ภรรยากังวลว่าลูกชายจะติดยาเสพติดนั้นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เขาก็เป็นพ่อที่รักลูกไปไม่น้อยกว่าใครเช่นกันไม่มีทางที่จะให้ลูกเดินทางผิดอย่างนั้นได้ เปาโลไม่พอใจที่ภรรยาพูดและทำราวกับว่าเขาคือคนที่ชักจูงให้ลูกเกเร เสียผู้เสียคนแบบนี้!
รุ่งเช้าจันทร์แรมออกมายืนรอลูกชายอยู่หน้าร้านตั้งแต่เช้าตรู่เพราะยังแปลกใจอยู่ว่าอัลเวสจะอยากไปเที่ยวจริงหรือ!?? หลังจากที่เกิดความขัดแย้งเล็กน้อยกับสามีตั้งแต่ตอนบ่ายของวันที่ผ่านมาก็ไม่มีโอกาสได้พบหน้าลูกชายอีกเลย โทรศัพท์ก็ปิดเครื่องติดต่อไม่ได้ พอตกดึกคิดว่าจะได้เจอกันก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิดเพราะอัลเวสไม่ได้มาทำหน้าที่เป็นบาร์เทนเดอร์อย่างเช่นทุกวัน มีเพียงดุงก้าที่ยืนทำหน้าที่แทนเท่านั้นและได้ทราบว่าอัลเวสออกไปซื้อเสื้อผ้าของใช้เพื่อเตรียมตัวไปเที่ยวตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว
เหตุผลที่ได้รู้ยิ่งทำให้จันทร์แรมรู้สึกแปลกใจมากขึ้น เพราะรู้นิสัยของลูกชายดีว่าคงไม่สามารถใช้เวลาเดินห้างสรรพสินค้าได้ตั้งแต่บ่ายถึงเที่ยงคืนเป็นแน่ จึงต้องตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ออกมาดักรอถามข้อสงสัยในใจจากปากเอาเอง ไม่นานเกินรอจันทร์แรมก็ได้ยินเสียงกุกกักดังขึ้นด้านหลังจึงหมุนตัวกลับไปมองตามเสียงนั้น อัลเวสแต่งตัวทะมัดทะแมงพร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้เพียงใบเดียวติดตัวมาด้วย
“อ้าวแม่... ทำไมวันนี้ตื่นเช้านักล่ะครับ??”
“ก็มารอลูกนั่นแหละ ความจริงแม่รอลูกตั้งแต่เมื่อวานแล้วรอจนถึงเที่ยงคืนกว่าๆก็ยังไม่กลับบ้านอีก” จันทร์แรมยังไม่เข้าประเด็นที่ต้องการถามเพราะรู้ว่าหากผลีผลามไป อัลเวสจะต่อต้านเป็นอย่างมาก
“อ๋อ... คะ...คือเมื่อวานนี้ที่ห้างฯมีมิดไนท์เซลล์น่ะครับ ผมเลยอยู่ซะดึก ว่าแต่แม่มีอะไรรึเปล่า ผมรีบครับใกล้ถึงเวลานัดกับเพื่อนแล้ว” อัลเวสบอกพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูใกล้ถึงเวลานัดหมายที่จะต้องไปรอที่จุดนัดพบแล้ว
“แม่จะถามว่าลูกจะไปเที่ยวกับเพื่อนคนไหน? จะกลับมาเมื่อไหร่?” จันทร์แรมค่อยตะล่อมถามอย่างใจเย็น
“เอ่อ... ผมจะไปเที่ยวกับ...ดีด้าครับ ผมจะไปกับใครได้มีเพื่อนสนิทอยู่คนเดียว วันอาทิตย์ก็จะกลับแล้วหรือถ้าผมเที่ยวเพลินยังไม่อยากกลับก็จะโทรฯมาบอกแม่แล้วกัน แม่อย่าทำเหมือนผมเป็นเด็กอายุสิบขวดน่า...”
“ไม่ใช่... แม่รู้ว่าลูกของแม่ดูแลตัวเองได้แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้เพราะลูกไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนไกลๆและก็นานแบบนี้”
อัลเวสสวมกอดแม่เร็วๆพร้อมจุ๊บแก้มหนึ่งทีอย่างเอาใจ “ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวผมจะไปไม่ทันเวลานัดแล้ว ไปนะครับ”
“อัลเวส... ดูแลตัวเองดีๆนะลูก อย่าปิดโทรศัพท์นะแม่จะโทรฯหาบ่อยๆ” จันทร์แรมยังไม่ได้ซักไซ้ให้ละเอียด ลูกชายของเธอก็รีบร้อนเดินแกมวิ่งออกห่างไปแล้ว ทำได้เพียงตะโกนไล่หลังอย่างเป็นห่วงตามสัญชาตญาณของความเป็นแม่ซึ่งรู้สึกเป็นห่วง ใจหายอย่างบอกไม่ถูก สองตาชะเง้อมองแผ่นหลังลูกชายที่เดินห่างออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามองแม้เพียงน้อย พลางคิดถึงลูกสาวคนโตที่ทำงานอยู่รีโอกรันดีโดซุลขึ้นมาในทันที
สี่ชั่วโมงต่อมาอัลเวสก้าวขึ้นรถตู้คันใหญ่ที่จอดรออยู่หน้าสนามบินรีโอกรันดี รัฐทางตอนใต้สุดของประเทศที่เด็กหนุ่มเพิ่งมีโอกาสได้มาเยือนเป็นครั้งแรกในชีวิต การเดินทางมาทำงานสำคัญในครั้งนี้อัลเวสเดินทางมากับคาฟูและโมโซ เพียงแค่ไม่ถึงสามสิบนาทีรถตู้ก็เคลื่อนตัวเข้ามาจอดหน้าโรงแรมเก่าซอมซ่อแห่งหนึ่ง ทั้งหมดลงมาจากรถตู้มองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบๆตัว
“ลูกพี่... เราต้องพักในโรงแรมเก่าขนาดนี้เลยเหรอครับ??” อัลเวสเอ่ยปากถามคาฟูเพราะจากการกวาดสายตามองดูรอบๆแล้ว ตรอกเล็กๆนี้เต็มไปด้วยตึกเก่า โทรม ให้ความรู้สึกว่ามันคือแหล่งเสื่อมโทรมที่มีอยู่ในเมืองใหญ่แทบทุกเมืองก็ว่าได้
“สมาชิกในแก๊งของเราจัดให้พักที่นี่แสดงว่าต้องเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว อย่าเรื่องมาก” คาฟูบอกพร้อมเดินนำหน้าเข้าไปด้านใน ทิ้งไว้เพียงโมโซที่มองอัลเวสน้องใหม่มาแรงด้วยสายตาเย้ยหยัน
“แกคิดว่ามาเที่ยวพักผ่อนหรือยังไง ถึงจะได้เข้าพักโรงแรมห้าดาว ถ้ารับไม่ได้ก็รีบย้ายก้นกลับรีโอเดอจาเนโรไปดูดนมแม่แกแทนไป๊...” โมโซว่าแล้วเดินตามคาฟูเข้าไปในโรงแรมทิ้งให้อัลเวสกัดฟัน มองตามด้วยความเจ็บใจ พลางคิดต่อในใจว่า ซักวันจะใช้เท้าเขี่ยไอ้โมโซปากพล่อยนี้ทิ้งลงหลุมแน่ อีกไม่นานหรอก!!
อัลเวสเดินตามลูกพี่ทั้งสองขึ้นมาบนชั้นสองของโรงแรม พลางเบ้ปาก นอนโรงแรมทั้งเก่าทั้งสกปรกยังกับรูหนูแล้วยังต้องนอนห้องเดียวกันอีก คืนนี้คงไม่พ้นตนเองที่ต้องนอนพื้นแข็งๆแน่เพราะถ้าจะให้ลูกพี่นอนพื้นแล้วลูกน้องนอนเตียงคงไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเป็นแน่ แต่ก็ช่างเถอะ!... เตียงเก่าๆสกปรกอย่างนั้นถึงให้นอนก็คงนอนไม่ลงแน่
“เอ้า... แกจะยืนสำรวจสภาพห้องอยู่อีกนานไหม? เข้ามาซักทีสิหรือจะให้มีคนมาเห็นก่อนถึงจะก้าวขาเข้ามาได้” โมโซบอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ครับๆ” อัลเวสรีบรับคำอย่างนอบน้อม และบุคคลิกนี้ทำให้คาฟูชอบใจมาตลอด แต่โมโซนั้นกลับเห็นว่าไอ้เด็กหนุ่มคนนี้มันไม่ธรรมดา สายตาแฝงไปด้วยเลศนัยเต็มไปหมดแต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้เพราะตอนนี้คาฟูนั้นดูจะไว้ใจ ชอบใจมันเป็นพิเศษ
“แกก็อย่าอารมณ์เสียนักเลยโมโซ เด็กมันไม่เคยนี่หว่า ทำไมไม่คิดถึงตอนที่ตัวเองเพิ่งเข้าแก๊งมาใหม่ๆมั่ง” คาฟูออกปากตำหนิมือขวาของตนอย่างรำคาญใจ
ในใจของอัลเวสกระหยิ่มยิ้มย่องแต่คำพูดและสีหน้ากลับแสดงออกมาตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง “ผมไม่ดีเองล่ะครับ ตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก อาการเงอะงะอาจจะทำให้เสียงานใหญ่อย่างที่พี่โมโซเป็นห่วงก็ได้ครับ ผมขอโทษนะครับเพราะยังตื่นเต้นที่ได้ขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรกในชีวิตอยู่ แถมยังได้จากบ้านมาไกลเป็นครั้งแรก ดีแล้วล่ะครับที่พี่โมโซคอยเตือนอยู่บ่อยๆ”
“เอาล่ะๆ เรามาวางแผนกันดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา ถ้าทำงานเสร็จเร็วอาจจะมีเวลาไปเที่ยวกันบ้างซักวันสองวัน” คาฟูบอกพร้อมรูดซิบกระเป๋าเดินทางของตัวเองออกมา มือหยาบกร้านล้วงเอากระดาษแผ่นใหญ่ออกมาวางลงบนโต๊ะเครื่องแป้งเก่าทันที
อัลเวสมองแผนที่โดยละเอียดตรงหน้าตัวเองพร้อมตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“ตอนนี้เราอยู่ตรงนี้” มือใหญ่ของคาฟูชี้จุดที่ตนเองและลูกน้องทั้งสองอยู่ในแผนที่ซึ่งขยายส่วนมาจากแผนที่จริงให้ใหญ่ขึ้น “อีกสองวันเราต้องเดินทางไปที่ชายแดนซึ่งเป็นเขตเชื่อมต่อกับอุรุกวัย จะมีพ่อค้าเอาของป่า สินค้าพื้นเมืองข้ามมาซื้อขายกันมากมาย ฉันกับโมโซจะทำทีว่าเป็นพ่อค้าขายองุ่นบังหน้า ส่วนแกอัลเวส แกมีหน้าที่ต้องขนของล็อตใหญ่ซึ่งจะซ่อนไว้ในถังพักน้ำชักโครกในห้องน้ำชาย อาศัยจังหวะที่หน้าม้าของเรารุมซื้อองุ่นกันเยอะกลับขึ้นไปนั่งในรถ ภายในรถจะมีช่องลับที่ทำเอาไว้เป็นพิเศษ ให้แกเอาของเก็บไว้ในช่องลับนั้น แล้วเราก็จะขับรถกลับมาโรงแรมนี่เหมือนเดิม”
อัลเวสได้ฟังแผนการอันรัดกุมนั้นแล้วรู้สึกหวาดเสียว ขนอ่อนตามแนวสันหลังลุกชันขึ้นเป็นระยะๆ ถามกลับออกไปด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงจนทำให้ลูกพี่ทั้งสองรู้ได้ว่าเด็กใหม่กำลังกลัว!! “เอ่อ... ทำไมต้องเป็นผมที่เป็นคนไปเอาของออกมาจากห้องน้ำล่ะครับ?”
“อ้าว... ไอ้นี่! ฉันสองคนนี่ทำงานนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ถ้าให้เป็นคนไปเอาของมาเองมีหวังตำรวจรู้แกวแน่ งานแบบนี้มันต้องใช้เด็กหน้าใหม่วนไปเรื่อยๆ ตำรวจจะได้ตามไม่ทัน เข้าใจไหม” คาฟูบอกเหตุผล
“อะ...เอ่อ ครับ” อัลเวสรับคำไม่กล้าบอกความรู้สึกแท้จริงในใจของตนเอง
“ท่องเอาไว้ไอ้หนู... ทำงานนี้สำเร็จแกจะได้รอยสักเพิ่มขึ้นอีกชั้น คราวนี้น่ะแกจะเทียบชั้นได้เท่ากับกับฉันเชียวนะ รู้สึกว่าแกจะเป็นคนแรกที่ได้รับเกียรตินี้อายุน้อยกว่าคนอื่นด้วย เงินที่ได้จากการทำงานในครั้งนี้มันมากพอที่ทำให้แกสามารถซื้อรถยนต์ขับได้ซักเชียวนะ!” โมโซบอก
“ฮ่า... จริงอย่างที่โมโซพูด ถ้าคราวนี้แกทำงานนี้สำเร็จมีหวังรวยอื้อซ่า... ได้ตำแหน่งในเดอะ แดนเจอรัสสูงขึ้น เป็นที่กล่าวขานถึงความสามารถไปทั่วแน่ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าแกพลาดตำรวจจับได้อย่าว่าแต่หมดอนาคตเลย ชีวิตนี้จะได้เห็นหน้าแม่แกอีกรึเปล่ายังไม่รู้เพราะอะไรรู้ไหม? ก็เพราะของที่ตำรวจค้นได้ในตัวแกมันคือแคร็ก5ไง” คาฟูบอกด้วยน้ำเสียงท้าทายรู้ว่าภายในตัวตนของอัลเวสมีความฮึกเหิมอยู่มากมายและยังรู้อีกว่าต้องพูดชักจูงใจเด็กหนุ่มคนนี้อย่างไรให้หลุดพ้นจากอาการกลัวที่เกิดขึ้น
พอได้รู้ว่าของที่ว่านั้นมันคือ โคเคนอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งถ้าถูกตำรวจจับได้ทุกอย่างคงล้มไม่เป็นท่า แต่ถ้าสามารถทำได้สำเร็จแล้ว เส้นทางชีวิตสายที่เลือกนี้มันจะสว่างไสวสวยงามราวกับสีสันยามค่ำคืนของชายหาดโคปาคาบานาเป็นแน่
“ฉันเคยบอกแกแล้วใช่ไหม ก่อนที่จะก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเดอะ แดนเจอรัส ถ้าใจไม่กล้า ไม่เข้มแข็งพอ แกอย่าได้เสนอหน้าเข้ามาเป็นอันขาด แกก็รู้นี่ว่าแก๊งเราถ้าได้เข้ามาแล้ว น้อยคนนักที่จะเดินออกไปใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไปได้” คาฟูย้ำเตือนถึงกฏข้อบังคับของแก๊งที่เคยบอกให้อัลเวสได้รับรู้มาแล้วทันที
หากความฮึกเหิม ผยองที่มองไปไกลถึงความสุขสบาย ความยิ่งใหญ่ที่จะได้มีตำแหน่งสำคัญในแก๊งก็ชนะความหวาดกลัวไปจนหมดสิ้นทำให้อัลเวสโพล่งคำพูดที่ทำให้คาฟูรู้สึกว่าตนเองเลือกคนไม่ผิดออกมา “ผมจะทำ จริงอยู่ที่ตอนนี้ในใจผมรู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อยแต่นั่นมันก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ได้รับมอบหมายให้ทำงาน ผมจะพยายามทำมันให้สำเร็จไม่ให้พี่ต้องผิดหวัง ให้สมกับที่พี่เป็นคนชักชวนผมให้เข้าร่วมเดอะ แดนเจอรัส”
“ฮ่าๆๆๆ ฉันชอบหัวใจแกก็ตรงนี้ล่ะไอ้หนู... ไม่อยากคิดเลยว่าแกจะก้าวมาเทียบชั้นฉันได้ตอนอายุเท่าไหร่” คาฟูระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างพอใจ มือหนาตบลงหนักๆบนบ่าของอัลเวสหลายครั้งราวกับภูมิใจในผลงานการเลือกคนของตนเองเหลือหลาย!!
“ผมมีอีกเรื่องจะถามครับ” อัลเวสเริ่มถามถึงข้อสงสัยในแผนการทันที “ทำไมเราต้องรออีกสองวัน ทำไมเราถึงไม่เดินทางกันพรุ่งนี้เลย?”
“อย่าใจร้อนนักไอ้หนู เราต้องรอให้คนในแก๊งที่อยู่ในพื้นที่จัดเตรียมรถ แล้วก็สินค้าให้พร้อม รอให้ถึงวันที่ทุกอย่างพร้อมที่สุดถึงจะลงมือทำงานได้” คาฟูบอก
“ในรีโอกรันดีโดซุลนี้มีสมาชิกของแก๊งเราอยู่มากไหมครับ?”
“เดอะ แดนเจอรัส มีเครือข่ายหลายประเทศ แต่การทำงานสำคัญในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งจะไม่ใช้คนในพื้นที่นั้นเด็ดขาด อย่างเช่นงานนี้เราจะไม่ใช้สมาชิกในเดอะ แดนเจอรัสที่คุมพื้นที่ในรีโอกรันดีโดซุลทำงานเพราะมันจะทำให้ตำรวจที่เฝ้าจับตาดูพวกเราอยู่รู้ทันแผนการได้ เราถึงต้องเดินทางจากรีโอเดอจาเนโรมาทำงานนี้ยังไงล่ะ”
อัลเวสพยักหน้าพลางคิดว่าวงการมาเฟียนี้ยิ่งใหญ่และยังมีอีกหลายเรื่องนักที่ตนยังไม่รู้ หากได้รับการสนับสนุนจากคาฟูในการมอบหมายงานสำคัญเช่นนี้ให้ทำอยู่อย่างต่อเนื่อง ตำแหน่งที่คาดหวังไว้คงจะอยู่ไม่ไกล อัลเวสคิดมองเห็นอันตรายและสิ่งชั่วร้ายทั้งปวงเป็นความสวยงามราวกับว่ามันเป็นความก้าวหน้าในหน้าที่การงานอันทรงเกียรติ โดยที่ไม่รู้ตัวว่าบัดนี้ตนเองได้ก้าวเข้ามาอยู่ในวัฏจักรที่ยากจะถอนตัวแล้ว
คฤหาสน์โอลีเวย์ร่า
สัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากที่อาการไข้หายจากไปและร่างกายได้พักฟื้นจนหายเป็นปกติแล้ว มนตร์ลดาก็ไม่ได้เผชิญหน้ากับคนหยาบกระด้างที่ทำให้ได้รับความเจ็บป่วยอีกเลย ดูเหมือนว่าเขาจะหายไปจากบ้าน หายไปจากการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เขาไม่กลับบ้านมาตลอดทั้งสัปดาห์แล้วก็ว่าได้ และทุกคนในบ้านต่างก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเขาเหมือนเช่นเคยและไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ผ่านมาทั้งที่ความจริงแล้ว เมื่อเธอหายจากอาการเจ็บป่วยนั้นน่าจะมีสักคนที่ถามถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น คุณปู่การันก้าก็เช่นเดียวกันท่านไม่เอ่ยถามเลยว่าทำไมถึงได้กลับมาในสภาพนั้น มีเพียงคำถามที่ว่าหายดีแล้วใช่หรือไม่เท่านั้นเอง
หากการหายตัวไปของอเตต้าร์หนึ่งสัปดาห์เต็มทำให้มนตร์ลดารู้สึกว่าชีวิตของตนเงียบเหงาไปจนน่าใจหาย บ่อยครั้งที่เผลอแสดงอาการเหม่อลอยออกมาโดยไม่รู้ตัว สองตากลมโตเฝ้ามองเส้นทางที่มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวคฤหาสน์โอลีเวย์ร่าจากกระจกริมระเบียงอยู่หลายครั้งหลายครา ครู่ใหญ่ก็สะบัดศรีษะแรงๆราวกับจะเรียกสติของตัวเองให้กลับมานั้น ปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปนี้ทำให้คุณปู่การันก้าที่เฝ้าสังเกตอยู่ตลอดเวลาส่ายหน้า ถอนหายใจให้กับคนสองคนที่เจอกันในสถานการณ์ที่ยากลำบากกว่าคนทั่วไป ทำให้ต้องมานั่งทุกข์ทนไม่รู้ใจตัวเองอยู่เช่นนี้
กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง...
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เครื่องบางเฉียบดังขึ้นเรียกสติของมนตร์ลดาให้กลับมาอยู่ในโลกของความเป็นจริง มือเรียวบอบบางล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูชื่อของมารดาที่โทรฯเข้ามาหาแล้วเงยหน้าขึ้นขออนุญาตคุณปู่การันก้าที่นั่งดูทีวีอยู่ไม่ไกลนักออกไปรับสายมารดาด้านนอก
“ค่ะแม่... คิดถึงแม่จังเลยค่ะ” มนตร์ลดากรอกเสียงหวานออดอ้อนมารดาอย่างที่ชอบทำจนเคยชินเป็นนิสัยแล้ว
“จ้า... แม่ก็คิดถึงหนูเหมือนกันแหละลูก แล้วหนูล่ะสบายดีไหม เป็นไข้หายดีรึยัง??” จันทร์แรมถามอย่างห่วงใย
“หายดีแล้วค่ะแม่ ว่าแต่แม่มีอะไรรึเปล่าคะ ปกติหนูจะเห็นแม่โทรฯมาตอนกลางคืนนี่คะ?” มนตร์ลดาถามออกไปเพราะแม่ของเธอนั้นจะไม่โทรศัพท์เข้ามาในเวลาทำงานเพราะกลัวว่าเจ้านายจะตำหนิลูกสาวเอาได้
“แม่มีเรื่องเล่าให้หนูฟังนิดหน่อย คือเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี้อัลเวสมาขอแม่ไปเที่ยวกับเพื่อนที่รีโอกรันดีโดซุล บอกว่าจะไปแค่อาทิตย์เดียวแล้วก็จะกลับ แต่เมื่อกี้นี้น้องโทรฯมาบอกแม่ว่ายังเที่ยวไม่ทั่วจะอยู่ต่ออีกซักสองอาทิตย์แล้วก็วางสายไปเลย พอแม่โทรฯกลับไปน้องก็ปิดเครื่องไปแล้ว หนูคิดว่ามันแปลกไหม??”
“อืม... ก็แปลกเหมือนกันนะคะที่อัลเวสจะชอบเที่ยว แล้วน้องบอกรึเปล่าว่าไปเที่ยวกับเพื่อนคนไหน?” มนตร์ลดาถามรายละเอียด
“บอกว่าจะไปกับดีด้า เป็นเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ตอนแรกแม่ไม่คิดว่าสองคนนี้จะติดต่อกันอยู่แต่ดีด้าก็เพื่อนคนเดียวที่อัลเวสมีอยู่ ตายจริง!! ทำไมแม่ถึงได้รู้สึกเป็นห่วงน้องอย่างนี้นะ” จันทร์แรมบอกอย่างร้อนรนใจ
“แล้วแม่รู้จักบ้านของดีด้าคนนี้ไหมคะ?”
“รู้จัก”
“งั้น แม่ไปหาเขาที่บ้านดูก่อนดีกว่าค่ะ ถ้าไม่เจอดีด้า พ่อแม่ของเขาน่าจะตอบได้ว่าลูกชายเขาไปเที่ยวจริงเหมือนที่อัลเวสบอกไว้ไหม”
“แม่กลัวเหลือเกินมิ้นต์ เป็นห่วงน้องมาก”
“แม่ทำใจดีๆไว้ก่อนนะคะ อย่าเพิ่งคิดไปในทางที่ไม่ดี ยังไงอัลเวสคงไม่เป็นไรเพราะเพิ่งโทรฯมาหาแม่ น้องอาจจะเที่ยวเพลินก็เป็นได้ค่ะ ระหว่างที่แม่ไปบ้านดีด้าหนูจะลองติดต่ออัลเวสดู เผื่อว่าโทรฯติดแล้วรู้ว่าพักโรงแรมไหน หนูจะได้ตามไปเจอน้องได้” มนตร์ลดาพยายามปลอบใจแม่ให้คิดในทางที่ดีไว้ก่อน
“จ้ะๆ งั้นแม่จะรีบไปบ้านดีด้าก่อนนะ ได้เรื่องยังไงแล้วแม่จะส่งข่าวหนูอีกที”
“ค่ะ... แม่อย่าเพิ่งคิดมากนะคะ ดูแลสุขภาพตัวเองด้วย หนูเป็นห่วง” มนตร์ลดารีบบอกด้วยความกังวลใจ สัญญาณโทรศัพท์ตัดไปได้สักครู่แล้วแต่ในใจของหญิงสาวยังเป็นห่วงและคิดตำหนิน้องชายนักที่ชอบหาเรื่องให้แม่ต้องไม่สบายใจอยู่บ่อยๆ โดยไม่รู้ตัวว่ามีร่างสูงใหญ่ของอเตต้าร์ยืนเสียมารยาทฟังบทสนทนาที่เขาฟังไม่รู้เรื่องอยู่นานพอควรแล้ว
“เอ่อ...” มนตร์ลดาทำหน้าไม่ถูกเมื่อหมุนตัวกลับมาอีกครั้งได้พบเจอร่างสูงใหญ่ของคนที่หายหน้าหายตาไปหนึ่งสัปดาห์เต็ม ยืนขวางทางอยู่ตรงระเบียง
“คุยกับใครทำไมทำหน้าไม่สบายใจอย่างนั้น?” อเตต้าร์ถามทันทีเมื่อได้เห็นสีหน้าแววตาที่เป็นกังวล อ่านใจเธอออกได้ทะลุปรุโปร่งว่ามีเรื่องไม่สบายใจขบคิดอยู่
มนตร์ลดาถอยหลังกรู... ไม่ชอบใจความรู้สึกอุ่นซ่านที่แผ่กระจายไปทั่วร่างเพียงแค่คนร้ายกาจไถ่ถามด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร “ไม่มีอะไรค่ะ หลีกทางด้วย ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วเดี๋ยวคุณปู่จะรอนาน”
“ทำไมไม่สบตา คุณกลายเป็นคนขี้ขลาดตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเมื่อก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้ ต่อยผมบ้างล่ะ เอาหัวโขกผมบ้างล่ะ ด่าแต่ละคำนี่ไม่มีซ้ำกันเลย แล้ววันนี้เป็นอะไรทำไมถึงหลบหน้าหลบตา ไม่จัดการผมหน่อยเหรอที่ทำให้คุณต้องนอนซมเพราะพิษไข้อยู่หลายวัน” อเตต้าร์ยั่วเพราะชอบใจที่เธอทำตัวเป็นคิตตี้จอมเหวี่ยง ดุร้ายอย่างเดิมมากกว่าที่เธอจะทำตัวสงบปากสงบคำแบบนี้
มนตร์ลดาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แหนหน้าขึ้นมองร่างที่ค่อยๆก้าวเดินเข้ามาหา ใบหน้าคร้ามคมดูเถื่อนดิบเพราะเคราที่ขึ้นมาตามแนวสันคางยาวออกมามากกว่าปกติ กับแสงวาววับจากต่างหูเพชรเม็ดเดี่ยวที่อยูบนหูข้างซ้ายนั่นยิ่งส่งผลให้เขาดูเป็นแบดบอยจอมเถื่อนที่หล่อเหลาและทำให้หัวใจอันมั่นคงเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะปกติ “นั่นเป็นเพราะคิดตกว่ากับคนบางคนแล้วต้องรับมือด้วยความสงบเงียบและสติอันมั่นคง มันคงไม่มีประโยชน์หากจะไปสู้รบปรบมือกับคนที่มีสรีระใหญ่โตกว่าเราหลายเท่า หลีกทางด้วยค่ะ”
อเตต้าร์เบ้ปากไม่เพียงไม่หลีกทางอย่างที่เธอร้องขอกลับเข้าประชิดตัว เกี่ยวเอาเอวคอดกิ่วเอาไว้ด้วยแขนทรงพลังเพียงข้างเดียว ก้มหน้าเข้าใกล้สูดเอาความหอมที่โหยหาเข้าเต็มปอด “บอกแล้วว่าเวลาพูดกับผมอย่าให้ต้องปีนบันไดขึ้นไปฟัง ผมไม่รู้เรื่อง”
“อื้อ... ถอยออกไปนะ อุ๊บ!...” มนตร์ลดายกมือตนเองขึ้นปิดปากอย่างรวดเร็วที่ได้กลิ่นฉุนๆจากร่างสูงใหญ่ลอยเข้าประทะสัมผัสรับกลิ่นของตน “ปล่อยนะ! เหม็น!!”
อเตต้าร์ขมวดคิ้วมุ่นก้มลงสูดกลิ่นเนื้อตัวของตนเองทันที จริงอยู่ว่าเขาอาจจะไม่ใช่ผู้ชายแต่งตัวเจ้าระเบียบสวมสูททุกวันแต่ก็อาบน้ำเช้าเย็นเป็นประจำ แถมด้วยน้ำหอมกลิ่นสปอร์ตแบรนด์เนมรุ่นลิมิเตดเอดิชั่นราคาแพงอีกต่างหาก มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเหม็น! “เหม็นหรือว่ากลัวใจตัวเอง ฮึ... คิตตี้?”
“เหม็นจริงๆ เหม็นบุหรี่ ฉันไม่ชอบกลิ่นบุหรี่” มันเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว ถ้าร่างกายแข็งแรงเป็นปกติหากได้กลิ่นบุหรี่ก็จะเกิดอาการปวดหัวขึ้นมาบ้างจนต้องเดินเลี่ยงไปให้ไกล แต่นี่คงเป็นเพราะร่างกายยังไม่แข็งแรงเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ดี อาการเวียนศรีษะ รู้สึกอยากอาเจียนจึงเกิดขึ้นให้เห็น
อเตต้าร์รีบผ่อนแรงรัดร่างอ้อนแอ้นออกเล็กน้อยพลางใช้มือลูบแผ่นหลังบอบบางที่ทั้งไอ อวกน้ำลายจนน้ำหูน้ำตาเล็ดด้วยความสงสาร “ไปไงบ้าง... ต้องไปหาหมอไหม”
มนตร์ลดาส่ายหน้าเร็วจนผมเผ้ากระจาย มือข้างหนึ่งจับราวระเบียงไว้มั่น อีกข้างหนึ่งออกแรงผลักแผ่นอกกว้างให้ออกห่างจากตน “ไม่ค่ะ แค่คุณอย่ามาใกล้ฉันก็พอแล้ว คุณสูบบุหรี่มาใช่ไหม”
“กะ...ก็ใช่ แต่ก็สูบประจำ ตอนที่เราจูบกันผมก็สูบมาไม่เห็นคุณมีอาการแย่แบบนี้?” อเตต้าร์ถามตรงไปตรงมาอย่างสงสัย
มนตร์ลดาอ้าปากค้าง มองค้อนคนปากร้ายที่พูดออกมาตรงเกินไปด้วยแววตาเขียวปัด “ก็ตอนนี้ร่างกายไม่แข็งแรงเพิ่งหายจากไข้นี่ ถอยไปเลยนะ อย่ามาหาเรื่อง”
อเตต้าร์ส่ายหน้ามองคนที่รีบเดินจากไปด้วยความชอบใจเพราะเธอมีใบหน้าแดงก่ำ มันเป็นอาการเขินอายที่ไม่เคยได้เห็นจากผู้หญิงที่ควงอยู่เลยแม้แต่คนเดียวและหากพวกหล่อนสะเทิ้นอายอย่างนี้แล้ว อเตต้าร์คงจะสำลักทุกอย่างออกมาพรวดเดียวจนหมดสิ้นและไม่เรียกหาเจ้าหล่อนเหล่านั้นอีกเลย แต่กลับแม่คิตตี้คนงามแล้วทำไมเธอถึงได้น่ารักน่าชังอย่างนี้นะ เธอขวยเขินได้อย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ ขนาดใบหน้ายังแดงก่ำเป็นสีชมพูจัดได้ขนาดนี้ ไม่อยากคิดเลยว่าผิวเนื้อนวลเนียนภายใต้เสื้อผ้านั้นมันจะแดงก่ำสวยงามแค่ไหน
เจ็ดวันเต็มที่ผ่านมาเขาพยายามไม่คิดถึงใบหน้างดงามของเธอ พยายามไม่คิดกังวลไปต่างๆนาๆถึงอาการเจ็บป่วยของเธอ ทำงานอย่างหนักเป็นสองเท่ากว่าที่ผ่านมาจนดึกดื่นทุกวัน ออกไปท่องราตรีมองหาผู้หญิงซักคนมาปรนเปรอ คืนแรกถือว่าไม่ได้อะไรเพราะไม่ถูกตาใครซักคน คืนที่สองคืนที่สามเลือกมาได้สองสามคนแต่พอเห็นพวกเธอเปลือยกายนอนอ้าซ่ารออยู่บนเตียง แทนที่จะปึ๋งปั๋งดึ๋งดั๋งแต่ทุกอย่างกลับห่อเหี่ยวเพราะใบหน้าของแม่คิตตี้ลอยวนเวียนอยู่เต็มห้องไปหมด สุดท้ายต้องรีบเผ่นออกมาจากโรงแรมแบบหมดท่า!!
คืนที่สี่ถึงคืนที่หกอเตต้าร์เลือกที่จะทำงานโต้รุ่งสามวันสามคืนซ้อน ผลก็คือเช้าของวันที่เจ็ดหลับยาวเป็นตายแต่กลับตื่นตาค้างสว่างจ้าเป็นนกฮูกในช่วงหัวค่ำ ใจหนุ่มยังไม่ยอมแพ้คิดว่าต้องลองอีกสักครั้งให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย มันจะเสื่อมสภาพเร็วตั้งแต่อายุสามสิบสามปีก็ให้รู้กันไป คืนนั้นเขาเลือกสาวนัยน์ตาคม หุ่นดินระเบิดมาได้คนนึง แต่พอเอาเข้าจริงปากก็ไม่ยอมให้เธอจูบ ไอ้ที่ควรให้เธอดูดก็รู้สึกรังเกียจ หวงเนื้อหวงตัวราวกับสาวพรหมจรรย์ก็ไม่ปาน ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงจ่ายค่าตัวมากโขให้กับเธอพร้อมฟังเสียงบ่นกระปอดกระแปดของเธอว่าให้กลับบ้านไปดูดนมเมียเหมือนเดิมจะดีกว่า!!
โอ้พระเจ้าช่วย!... แค่ได้ยินว่าดูดนมเมีย ไอ้ส่วนที่ห่อเหี่ยวพลันปึ๋งปั๋งดึ๋งดั๋งขึ้นมาในบัดดล ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวหงายหลังบนที่นอนสปริงชั้นดี หึ... ให้มันได้อย่างนี้สิวะอาร์ตี้! แกมันไอ้หน้าโง่คิดถึงแต่เธอทุกลมหายใจเข้าออก ทุกอย่างในร่างกายมันไม่ตอบรับถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่แม่คิตตี้ แล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้... คุณเธอหวงตัวยิ่งกว่าอะไรดี จะจับจะจูบแต่ละทีก็ต้องใช้กำลังบังคับ แล้วทุกครั้งยังเผลอทำให้เธอเจ็บตัวเสมอจนไม่กล้าจะแตะตัวเธอแล้ว
อเตต้าร์คิดอย่างเหนื่อยใจกับร่างกายของตนเองที่ตอนนี้ควบคุมมันไม่ได้แล้วเพราะดูเหมือนว่ามันจะจงรักภักดีกับเจ้าของคนใหม่ที่เพิ่งได้ลิ้มลองความหวานลึกล้ำนั้นเพียงแค่ครั้งเดียว!!
มนตร์ลดาเดินมานั่งลงที่ประจำบนโต๊ะอาหารหลังจากที่เดินหนีอเตต้าร์มาหาคุณปู่การันก้า และพาท่านมายังห้องอาหารเมื่อใกล้เวลาอาหารเย็นเต็มที
“อ้าว... รู้จักทางกลับบ้านแล้วเหรอไอ้ตัวแสบ หายหัวไปเป็นอาทิตย์ นี่ถ้าฉันล้มหายตายจากไปแกก็คงไม่โอกาสแม้แต่จะอยู่ในพิธีฝังศพฉันสินะ” คุณปู่การันก้าประชดพลางมองตามร่างสูงใหญ่ของหลานชายที่เดินมาทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงกันข้ามกับพยาบาลสาว
มนตร์ลดากัดริมฝีปากตัวเองแน่นอย่างระงับอารมณ์ เมื่อคนหยาบกระด้างทิ้งตัวนั่งลงฝั่งตรงกันข้ามแต่กลับยกเท้าพาดวางบนเก้าอี้ตัวติดกันกับที่เธอนั่งอยู่ กระดิกปลายเท้าอย่างสบายอุรา ไม่ได้รักษามารยาทในการนั่งอย่างคนปกติทั่วไปเลยสักนิด อาหารมื้อเย็นของมนตร์ลดาเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับความอดทน อย่าไปสนใจกับอาการยั่วยวนกวนอารมณ์ของผู้ชายตรงหน้านี้ มองเขาให้เป็นความว่างเปล่าแล้วสนใจกับอาหารรสชาติอร่อยดีกว่า
กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง...
มนตร์ลดากดปุ่มปิดเสียงโทรศัพท์เพราะได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดีว่าไม่ควรรับโทรศัพท์ระหว่างที่รับประทานอาหาร และตั้งใจรับประทานอาหารเร็วกว่าปกติเพราะพอจะเดาออกว่ามารดาของตนนั้นต่อสายเข้ามาหาเป็นแน่ หากไม่ถึงห้านาทีต่อมาเสียงโทรศัพท์ก็กรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง
“รับสายตรงนี้ก็ได้หนูมิ้นต์ คนโทรฯมาคงมีธุระสำคัญจริง ปู่ไม่ใช่คนมีพิธีรีตองอะไรมาก รับสายเถอะ” การันก้าบอกเพราะรู้ว่าพยาบาลสาวประจำตัวของตนนั้นมารยาทดีงามแค่ไหน หากแต่คนมารยาทงามกลับขอตัวออกไปรับสายนอกห้องอาหาร โดยมีสายตาคมกริบของอเตต้าร์ชะเง้อมองอยู่ไม่วางตา
“สายตาแกมันสแกนทะลุปูนมองเห็นแม่หนูมิ้นต์ได้หรือไงถึงได้มองตามเขาขนาดนั้น” การันก้าอดประชดหลานชายอย่างเจ็บแสบไม่ได้
“ตกลงผมหรือมิ้นต์เป็นหลานปู่กันแน่ ทำไมปู่ดูหมั่นไส้ผมพิกล?”
“ฮึ... คนค่อนโลกใบนี้รู้ว่าแกเป็นหลานฉันแต่ความจริงนั้นมันทำให้ฉันอายที่มีหลานแบบแก ไอ้คนไม่กล้าสู้ความจริง ไอ้คนขี้ขลาดไม่กล้ายอมรับใจตัวเอง ไม่กล้ายอมรับแม้กระทั่งความผิดที่ตัวเองก่อ แกคิดว่าการไม่กลับบ้านหลายวันเนี่ยมันจะทำให้แกรู้สึกดีขึ้นอย่างนั้นเหรอ เฮอะ!! ฉันรู้ดีเชียวล่ะว่าความรู้สึกผิดมันกำลังตามหลอกหลอนแกอยู่ทุกคืนวัน แล้วยังมีความรู้สึกที่แกไม่กล้ายอมรับเด่นชัดขึ้นจนแกรู้สึกกลัวใช่ไหมล่ะ?” คำพูดของคุณปู่การันก้าทำให้อเตต้าร์บดกรามตัวเองแน่นจนเป็นสันนูน วางช้อนลงยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วเดินออกจากห้องอาหารไปในทันที
มนตร์ลดาเดินสวนกับคนใบหน้าบูดบึ้งที่หน้าห้องอาหารอย่างงงๆ เป็นอะไรไปอีกล่ะ! เมื่อกี้นี้ยังทำท่าทางกวนประสาท มีความสุขนักหนาที่ได้แกล้งเธออยู่เลย แต่เพียงไม่กี่นาทีต่อมากลับมีสีหน้าโกรธจัดราวกับจะทำลายทุกอย่างที่ขวางทางเขาได้เลยทีเดียว หญิงสาวกลับมานั่งรับประทานอาหารต่อจนอิ่มแล้วจึงพาคุณปู่การันก้าออกไปเดินชมสวนย่อยอาหาร พูดคุยกันตามประสาคนคุยกันถูกคออยู่พักใหญ่ จึงพาท่านกลับขึ้นชั้นบน จัดการอาบน้ำแต่งตัวให้ท่านพร้อมเข้านอนอย่างคล่องแคล่ว
หากคุณปู่การันก้าสังเกตุได้ถึงสีหน้าอันผิดปกติของพยาบาลสาว จึงเอ่ยปากถามออกมาตรงๆก่อนที่เธอจะขอตัวกลับเข้าห้องส่วนตัว “หนูมิ้นต์ไว้ใจปู่ไหม?”
มนตร์ลดายิ้มแปลกใจ พลางทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดวางไว้ข้างเตียงใหญ่ “ทำไมถามอย่างนั้นล่ะคะ หนูอยู่ที่นี่รับรู้ได้ว่าคุณปู่ให้ความเมตตากับหนูมากเกินกว่านายจ้างลูกจ้างด้วยซ้ำไป”
“งั้นมีเรื่องหนักใจอะไรทำไมไม่ปรึกษาปู่”
“ปะ...เปล่านี่คะ”
“เปล่าอะไร ปู่เห็นสีหน้าแววตาของหนูเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจมากๆตั้งแต่เดินกลับเข้ามากินข้าวแล้ว ใครโทรฯมาเหรอ ถึงได้ทำให้กังวลใจได้ถึงขนาดนี้?” มีเหรอที่คนผ่านร้อนผ่านหนาวมาถึงแปดสิบปีเต็มจะมองเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ไม่ออก
“หนูโกหกคุณปู่ไม่ได้แม้กระทั่งสีหน้าจริงๆค่ะ”
“เล่าให้ปู่ฟังบ้างสิ เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง” การันก้าย้ำถามอีกครั้ง มนตร์ลดาจึงต้องเล่าเรื่องราวของน้องชายต่างบิดาให้ท่านฟัง และครั้งล่าสุดที่แม่ของเธอส่งข่าวมาก็คือดีด้าเพื่อนที่น้องชายนั้นอ้างว่ามาเที่ยวที่รีโอกรันดีโดซุลด้วยกันนี้ ยังอยู่ในรีโอเดอจาเนโรและย้ำว่าไม่ได้ติดต่อกับน้องชายของเธอตั้งแต่ถูกเชิญออกจากโรงเรียนในครั้งนั้นแล้ว ทำให้จันทร์แรมผู้เป็นแม่ร้อนรนใจยิ่งนัก
“แล้วแม่หนูมิ้นต์ลองโทรฯหาน้องชายดูรึยัง?” การันก้าถามต่อหลังจากที่ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากอิ่มของมนตร์ลดาจบลง
“โทรฯหาสองสามครั้งแล้วค่ะ แต่ไม่มีสัญญาณเลย”
“อืม... ความจริงถ้าจะไปแจ้งความก็คงต้องรออีกซักสองวัน เพราะวันนี้อัลเวสเพิ่งติดต่อกลับมา” การันก้าเปรยออกมา ช่วยหญิงสาวหาทางติดต่อน้องชายอีกแรงหนึ่ง
“ตอนนี้หนูเป็นห่วงน้องเพราะไม่รู้ว่าแกจะไปทำอะไรไม่ดีรึเปล่า แต่ที่ห่วงมากก็คือแม่ค่ะ สองปีมานี้ท่านกังวลใจกับเรื่องของอัลเวสมาตลอด แล้วยังมีโรคเบาหวานกับโรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคประจำตัวด้วย ความกังวลใจ คิดมาก นอนไม่หลับมันยิ่งจะมำให้ความดันเลือดสูงขึ้นตามไปด้วย” มนตร์ลดาเปรยออกมาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเป็นกังวลอย่างยิ่ง
“พรุ่งนี้ลองไปเช็คตามโรงแรมดูก็ได้นี่ มีชื่อของอัลเวสจองห้องพักในโรงแรมไหนบ้าง” การันก้าแนะวิธีที่คิดได้ออกมา
“พรุ่งนี้หนูก็คิดว่าจะทำอย่างนั้นล่ะค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้กี่โรงแรมกันเพราะโรงแรมในรีโอกรันดีโดซุลมีอยู่เยอะไม่ใช่เล่น” มนตร์ลดาว่าพลางถอนหายใจ มันเป็นหนึ่งในวิธีที่ขบคิดออกหากแต่ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาสักกี่วันถึงจะเช็คตามโรงแรมต่างๆได้ครบถ้วน
“อืม... มันก็จริงนะ ไอ้เรื่องเช็คตามโรงแรมถ้าไม่เจอก็ต้องเช็คตามโรงพยาบาล อันนี้ปู่ไม่ได้แช่งอัลเวสนะเพียงแต่พูดไปตามเนื้อผ้าเท่านั้น”
“ค่ะ... หนูเข้าใจ”
“มีคนเดียวเท่านั้นแหละที่จะช่วยหนูมิ้นต์ได้” การันก้าสบสายตากับพยาบาลประจำตัวอย่างหมดหนทาง
“ใครคะ??” มนตร์ลดาถามพลางเอียงหน้ารอฟังคำตอบอย่างตั้งใจ
“อาร์ตี้ไง”
“อะ...เอ่อ หนูไม่อยากรบกวนหรอกค่ะ พอจะทราบว่าเซญอร์อเตต้าร์งานรัดตัว”
“คิดดูให้ดีนะ... เรื่องนี้ไม่มีใครช่วยหนูมิ้นต์ได้นอกจากอาร์ตี้ เพียงแค่หนูมิ้นต์เอ่ยปากเท่านั้น คนของอาร์ตี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว แต่มันคงต้องเป็นคำสั่งที่ออกจากปากของเขาเท่านั้น ไม่เพียงแค่โรงแรมห้าดาวไล่ไปถึงไม่มีดาว แต่มันยังรวมไปถึงโรงแรมที่พวกอาชญากรใช้กบดานด้วย ซึ่งถ้าหนูมิ้นต์เป็นคนเช็คเองละก็ไม่มีวันได้เจอแน่” การันก้าบอกพร้อมมองสีหน้าหนักใจของพยาบาลสาว “หรือจะให้ปู่พูดกับอาร์ตี้ให้ล่ะ?”
มนตร์ลดาส่ายหน้าพลางบอกเร็วๆ “อย่าเลยค่ะ ขอหนูเก็บไปคิดอีกทีนะคะ”
มือเหี่ยวย่นตามกาลเวลาของคุณปู่การันก้าเอื้อมมาตบเบาๆที่มือบอบบางประสานกันไว้บนตักของมนตร์ลดา “คนเราต้องรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ อย่ามีทิฐินักมันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นหรอก เชื่อปู่นะ... จะเก็บเอาไปคิดอีกซักคืนก็ได้แต่อย่าคิดนานนักเพราะมันจะสายเกินแก้”
มนตร์ลดายิ้มขอบคุณให้กับผู้สูงวัยพลางกระชับผ้าห่มให้อีกครั้งก่อนจะขอตัวออกมาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวเองบ้าง สมองกำลังทำงานอย่างหนักเพราะคิดเปรียบเทียบระหว่างการขอความช่วยเหลือจากคนร้ายกาจที่มีอำนาจมหาศาล หากรู้ว่าอัลเวสอยู่มุมไหนของรีโอกรันดีโดซุลแล้ว แม่ก็จะคลายความกังวลใจทั้งหมดลงได้ หญิงสาวเดินเข้าห้องน้ำอาบน้ำชำระร่างกายอย่างเหนื่อยล้า เมื่อมีคำตอบในใจอยู่แล้วว่าพรุ่งนี้ต้องบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากคนหยาบกระด้าง ปากร้าย มันคงเป็นวิธีแก้ปัญหาเดียวที่ดีที่สุดในตอนนี้
สวัสดีค่า นักอ่านที่รัก
ทัณฑ์สวาทจอมเถื่อนตีพิมพ์เป็นรูปเล่มแล้วและสามารถ หิ้วอาร์ตี้จอมห่ามไปครอบครองได้ที่ร้านซีเอ็ดบุ๊ก ร้านนายอินทร์ ร้านบีทูเอส เว็บสำนักพิมพ์อินเลิฟ เว็บบุ๊กสไมล์ และสามารถพูดคุยกับศิริพาราได้ตามช่องทางดังนี้
1. e-mail siripara2writer@gmail.com
2. fanpage https://www.facebook.com/siripara.raya
3.facebook https://www.facebook.com/siripara.looktan
ติชมหรือแสดงความคิดเห็นได้ตามสบายค่า เม้ามอยหอยขมกันได้ไม่เฉพาะเรื่องนิยาย ศิริพารายังมีเกมกติกาแสนง่ายดาย แจกของรางวัลเล็กน้อยเพื่อตอบแทนนักอ่านที่รัก อย่าลืมกดlikefanpage ศิริพารา รายาฤดีนะคะ
จบเรื่องนี้แล้ว ศิริพาราจะเอานิยายทั้งหมดมาอัพให้นักอ่านที่รักได้อ่านกันทุกเรื่อง ขอบคุณที่ติดตามและแสดงความคิดเห็นค่ะ
จุ๊บๆๆ
ศิริพารา
“ไปเตรียมน้ำอุ่นจัด ปรอทวัดไข้ ยาลดไข้ เอามาให้ฉันที่ห้องคุณมิ้นต์ เร็วเข้า!!” อเตต้าร์สั่งเด็กรับใช้ในบ้านเสียงดังกระหึ่ม ทุกคนในคฤหาสน์โกลาหลเพราะทั้งตกใจกับเสียงดุดันของเจ้านายหนุ่มและตกใจที่เห็นว่าพยาบาลสาวสวยผู้มีอัธยาศัยดีเลิศไปทำอะไรมาถึงขั้นต้องอุ้มกันกลับเข้ามาเช่นนี้ กานโช่ก้าวเร็วๆกดลิฟต์ให้ค้างไว้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่เจ้านาย
เพียงไม่กี่นาทีทั้งหมดก็เข้ามาอยู่ในห้องส่วนตัวของมนตร์ลดา อเตต้าร์วางร่างสั่นเทาลงบนเตียงพร้อมสั่งให้ทุกคนออกไปจากห้องเสียงดัง หากแต่เสียงของคุณปู่การันก้าก็ดังขึ้นทันที “แกนั่นแหละออกไป แม่หนูมิ้นต์เขาเป็นผู้หญิงแกจะมาถอดเสื้อผ้าเขาได้ยังไง ให้เด็กๆมาจัดการดีกว่า ส่วนแกน่ะบอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าไปทำอะไรเขามา แม่หนูมิ้นต์ถึงได้หมดสภาพกลับมาแบบนี้”
“ไม่ครับ! มันจะมีอะไรไม่เหมาะอีก ในเมื่อว่ามิ้นต์เป็นของผมแล้ว ผมจะจัดการเอง” อเตต้าร์เถียงอย่างไม่ยอมพร้อมหันไปตวาดไล่เด็กรับใช้ที่ยืนอยู่เต็มห้อง “ได้ยินไหมว่าออกไป!!”
การันก้าส่ายหน้า ตวัดมือไล่เด็กรับใช้ให้ออกไปตามความต้องการของหลานชาย พลางหันไปมองมือใหญ่กำลังจัดการปลดกระดุมเสื้อให้หญิงสาวที่นอนปัดป้องได้ไม่เต็มแรงนัก จากนั้นคุณปู่การันก้าจึงพาตนเองออกมาจากห้องนั้นบ้าง พลางส่ายหน้าให้กับความสัมพันธ์ที่รู้ได้ในทันทีว่าต่อจากนี้คงจะยุ่งยากจนหาทางแก้ปัญหาได้ไม่ง่ายแน่
อเตต้าร์ห่มผ้าห่มไฟฟ้าที่สามารถปรับอุณหภูมิให้อุ่นได้ตามต้องการให้ร่างที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง หลังจากเป็นคนจัดการพาร่างเปลือยเปล่าขึ้นมาจากแช่น้ำอุ่นจัดเพื่อให้ร่างกายได้ปรับอุณหภูมิ จัดการการวัดไข้และป้อนยาลดไข้ให้หญิงสาวเรียบร้อย พลางทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงอังมือเข้ากับหน้าผากมน ไล่ไปตามข้างแก้มและลำคอ
“ขอโทษนะคิตตี้ ผมไม่ตั้งใจจะทำให้คุณเป็นแบบนี้” อเตต้าร์ถอนหายใจ พร่ำขอโทษร่างอ้อนแอ้นที่หลับไหลไม่รู้ตัวอยู่นับครั้งไม่ถ้วน ความรู้สึกผิดที่ทำให้เธอต้องเจ็บตัวอยู่เสมอยามต้องปะทะกัน มันเป็นความรู้สึกผิดที่เป็นชนักติดหลังซึ่งย้ำเตือนให้ตนเองรู้สึกย่ำแย่เหลือทน!!
“ออกมาคุยกับฉันหน่อยซิอาร์ตี้” เสียงดังขึ้นจากประตูเชื่อมในห้องที่แง้มออกอยู่ทำลายภวังค์ความคิดของบุรุษเถื่อนที่บัดนี้หัวใจห่อเหี่ยวยิ่งนัก สองขาแกร่งก้าวเข้ามาในห้องของเป็นปู่ทันทีคำถามที่ทำให้เขารู้เหมือนเป็นไอ้หน้าตัวเมียทำร้ายผู้หญิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ดังกระหึ่มขึ้นมาทันที “แกมันเหลือทนอาร์ตี้ แกขืนใจทำระยำกับเธออีกครั้งแล้วใช่ไหม เธอถึงได้มีสภาพแบบนั้น!??”
“โธ่ปู่!... ผม... ผม” อเตต้าร์พูดไม่ออกเพราะสิ่งที่ตนเองทำนั้นมันก็ไม่ได้ต่างไปจากคำว่าขืนใจเธอเท่าไหร่นัก ร่างสูงใหญ่ทรุดตัวนั่งลงที่โซฟาปลายเตียงนอนอย่างหมดแรง ยกสองมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองแรงๆราวกับไม่มีข้อแก้ต่างให้ตัวเอง
“พูดไม่ออกล่ะสิ ทำไมนะ ทำไมถึงได้ทำตัวเป็นไอ้หน้าตัวเมียอย่างนี้ ตั้งแต่เล็กจนโตฉันเคยสอนให้แกย่ำยีผู้หญิง เหยียบย่ำคนที่อ่อนแอกว่าซักครั้งไหม? ทำไมแกถึงทำให้ฉันรู้สึกอับอายได้อย่างนี้ ฉันอาจจะเลี้ยงแกให้เป็นคนจิตใจสูงส่งไม่ได้แต่ก็ไม่เคยคิดว่าแกจะเลวได้อย่างนี้อาร์ตี้” คุณปู่การันก้าต่อว่าหลานชายด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามระคนเจ็บปวดใจ
“ไม่ใช่ ผมไม่ได้ขืนใจเธอนะ ผมแค่...” อเตต้าร์เริ่มอธิบายเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้ท่านฟังโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย ทั้งยังยืนยันด้วยเกียรติที่แทบจะไม่หลงเหลืออยู่ในสายตาของท่านว่า ไม่ได้หักหาญน้ำใจเธอซ้ำอีกครั้งอย่างแน่นอน
“แล้วมันเรื่องอะไรของแกที่จะต้องไปห้ามให้แม่หนูมิ้นต์คบคนโน้นคนนี้ แกรักแม่หนูมิ้นต์หรือยังไง?” การันก้ายิงคำถามตรงไปตรงมาทันที
“ปะ...เปล่า ผมจะไปรู้สึกรักเธอได้ยังไง ปู่ถามอะไรอย่างงี้!” อเตต้าร์ปฏิเสธเสียงเลือนหายแทบจะกลืนลงไปในลำคอ
“ก็แกทำเหมือนกำลังหึงเขาจนหน้ามืดตาลาย จะให้ฉันเข้าใจเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง” การันก้าจับสายตาหลุกหลิกของหลานชายได้ในทันที แต่ทำนิ่งเงียบรอดูสถานการณ์ต่อไปเรื่อยๆ
“แต่เธอเป็นผู้หญิงสาวนะจะเที่ยวไปเสนอตัวเป็นแม่ให้เด็กคนนั้นทีคนนี้ทีได้ยังไง” อเตต้าร์พยายามหาเหตุผลข้างๆคูๆเพื่อให้ปู่ของตนเห็นด้วยกับการที่ไม่ให้มนตร์ลดาทำตัวสนิทสนมกับปาโต้
“บ๊ะไอ้นี่!! เท่าที่ฉันรู้จักนิสัยแกมา แกก็ไม่ใช่คนจำพวกอนุรักษ์นิยมจ๋านี่ เธอบรรลุนิติภาวะแล้ว อยากจะมีใจให้ใครนอนอ้านอนแบให้ใคร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแกด้วย??”
“ไม่เกี่ยวได้ไงก็เธอเป็นของผมแล้ว!!” อเตต้าร์สวนกลับทันควัน โกรธจัดที่ได้ยินว่าเธอจะไปนอนอ้านอนแบให้ใครก็ได้!! แต่เมื่อสบสายตารู้ทันความคิดของท่านก็ต้องหลบตามองฝ่ามือของตัวเองทันทีเมื่อหลุดปากเผยความรู้สึกของตัวเองออกไป
“ฮ่า... อาร์ตี้ ผู้หญิงที่เป็นของแกแล้วน่ะมันมากกว่าผู้หญิงทั้งรีโอกรันดีโดซุลด้วยซ้ำ ฉันก็ไม่เห็นแกจะเดือดร้อนกับพวกหล่อนซักคน” การันก้าพอจะมองออกแล้วว่าหลานชายของตนคงไม่เป็นโสดไปเรื่อยๆแน่ หากมีใครได้เห็นสายตาเหมือนเด็กหนุ่มที่ร้อนรนจัดการกับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ในตอนนี้คงจะหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งเป็นแน่ “ชอบเขาก็ทำตัวดีๆกับเขาสิ แกจะคอยหาเรื่องหาราวเขาไม่เว้นแต่ละวันแบบนี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าเข้าใกล้แกหรอก”
“ก็บอกแล้วว่าผมไม่ได้รักเธอ” อเตต้าร์ปฏิเสธอีกครั้ง
การันก้าส่ายหน้าหน่ายใจให้กับคนปากแข็ง หัวดื้อ ไม่กล้าที่จะยอมรับใจตัวเอง “อื้ม... งั้นก็ดี ถ้าแกปฏิเสธเสียงแข็งแบบนี้ฉันก็มั่นใจว่าแกไม่ได้รักแม่หนูมิ้นต์จริงๆ ดีแล้วล่ะ ถ้าฉันเป็นแม่หนูมิ้นต์ฉันก็คงไม่สามารถทำใจรักคนที่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีฉันได้หรอก”
พูดจบก็บังคับรถเข็นเคลื่อนผ่านหน้าออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้อเตต้าร์ได้แต่มองตาม อ้าปากค้างพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำพูดที่เป็นความรู้สึกของตนจริงๆ มันเป็นความรู้สึกกังวลใจที่ทำให้รู้สึกว่าในชีวิตนี้ตัวเองได้ทำผิดพลาดมหันต์แล้ว หากแต่เจ้าตัวที่เป็นหัวข้อสนทนาอยู่นั้นนอนลืมตาโพรงอยู่อีกด้านหนึ่งของห้องกลับน้ำตานองหน้า เสียงบทสนทนาที่ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทบังคับให้ลืมตาขึ้นมารับฟังเรื่องเจ็บปวดใจในที่สุด
มนตร์ลดาได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำที่คนใจร้านปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้รักใคร่ใยดีในตัวเธอ ทั้งยังไม่เคยรู้สึกผิดในสิ่งที่เคยทำไว้แม้แต่น้อย หากแต่เขาทำตัวเป็นหมาหวงก้างเพื่ออยากกลั่นแกล้งเท่านั้นเอง แต่ทำไมหัวใจเธอมันถึงชอกช้ำ เจ็บปวดจนเกินรับได้ ถ้อยคำที่เขาพร่ำขอโทษอยู่ตลอดเวลานั้นยังไม่แน่ใจตัวเองเลยว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงความฝัน แต่ใจมันกลับตะโกนก้องว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้นเพราะความจริงนั้นก็เพิ่งได้ยินกับหูไปเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้เอง
มนตร์ลดาตัดสินใจหลับตาลง นอนนิ่งเงียบอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนใจร้ายที่ก้าวเดินเข้ามาใกล้เรื่อย บังคับจังหวะหายใจเข้าออกให้สม่ำเสมอเหมือนคนนอนหลับสนิทเพราะถ้าหากต้องตื่นขึ้นมาปะทะกับผู้ชายตัวโตเท่าตึกอีกครั้ง คงไม่พ้นต้องร้องไห้ปล่อยน้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจออกมาให้ได้อายอีกเป็นแน่
อเตต้าร์เดินมาหยุดอยู่ที่ปลายเตียงที่มีร่างอ้อนแอ้นนอนหลับสนิทอยู่อีกครั้ง เฝ้ามองเธอด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ไม่สามารถเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดได้ ครู่ใหญ่จึงเดินออกมาสั่งการเด็กรับใช้สองคนที่ยืนรออยู่หน้าห้อง “เข้าไปเฝ้าคุณมิ้นต์ให้ดี วัดไข้ให้ทุกชั่วโมง ถ้าไข้ขึ้นสูงหรือว่าเธอตื่นขึ้นมาให้ไปบอกฉันทันที”
“เอ่อ... แล้ววันนี้เซญอร์ไม่ออกไปข้างนอกอีกเหรอคะ?” สาวใช้ถามออกไปเพราะมันเป็นเรื่องปกติที่เจ้านายหนุ่มไม่เคยกลับบ้านก่อนตะวันตกดินสักครั้ง
“ใครบอกให้สอดรู้เรื่องของฉันแบบนี้ บอกให้ทำอะไรก็ทำอย่ามีคำถามได้ไหม” อเตต้าร์บอกอย่างหัวเสียพลางเดินเร็วๆไปยังปีกคฤหาสน์ฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นห้องนอนของตนเองอย่งไม่สบอารมณ์
รีโอเดอจาเนโร
หลายวันที่ผ่านมาอัลเวสพึงพอใจกับการได้เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกเดอะ แดนเจอรัสยิ่งนัก การทำงานเป็นเด็กส่งของที่ลุล่วงไปได้ด้วยดีทุกครั้งทำให้เด็กหนุ่มย่ามใจ ความที่เป็นเด็กหน้าใหม่ทำให้ตำรวจไม่สามารถตามกลิ่นได้แน่นอน รอยสักบนแผ่นหลังเริ่มสูงขึ้นอีกชั้นหนึ่งนั้น ส่งผลให้อัลเวสผยองในตัวเองว่าสามารถยึดอาชีพนี้หาเงินเลี้ยงตัวเองให้อยู่ดีกินดีได้อย่างแน่นอน
จันทร์แรมผู้เป็นแม่แอบสังเกตพฤติกรรมของลูกชายอยู่ห่างๆมาตลอด ทำให้วางใจในระดับหนึ่งว่าลูกชายวัยหัวเลี้ยวหัวต่อยังคงทำตัวไม่นอกลู่นอกทางที่วางไว้นัก
“แม่ครับ พ่อครับ ผมขออนุญาตไปเที่ยวกับเพื่อนที่รีโอกรันดีโดซุลซักสัปดาห์นะครับ” อัลเวสเดินเข้ามาบอกกับพ่อและแม่ของตนที่เพิ่งวางมือจากการทำอาหารได้ในช่วงบ่ายของวันหนึ่ง
จันทร์แรมขมวดคิ้วแปลกใจเพราะลูกชายของเธอไม่เคยสนใจสถานที่ท่องเที่ยวใดๆทั้งสิ้น ตั้งแต่เล็กจนโตอัลเวสชอบเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ ไม่ชอบเรียนหนังสือ มีความสนใจไม่เหมือนกับเด็กวัยเดียวกันเท่าไหร่ “เพื่อนคนไหน แม่ไม่เห็นอัลเวสจะติดต่อกับเพื่อนคนไหนเลย??”
“โธ่แม่!... แม่หาว่าผมไม่มีเพื่อน สังคมรังเกียจเหรอ” อัลเวสแสร้งทำเป็นหงุดหงิดเดือดร้อนคนเป็นพ่อออกหน้ารับแทนตามประสาคนรักลูกไม่ถูกทาง
“จันทร์ไปว่าลูกอย่างนั้นได้ยังไง” เปาโลตำหนิภรรยาพลางหันมาถือหางลูกชาย “จะไปเมื่อไหร่ล่ะ??”
“ไปพรุ่งนี้เลยครับ ส่วนเรื่องที่ร้านพ่อไม่ต้องห่วงผมเทรนให้ดุงก้าเรียบร้อยแล้วครับ” อัลเวสบอกอย่างกระตือรือล้น หลายวันที่ผ่านมาที่รู้ว่าจะต้องเดินทางไปทำงานชิ้นสำคัญในรีโอกรันดีโดซุลนั้น ตนได้ฝึกฝนการผสมเครื่องดื่มให้รุ่นพี่ซึ่งเป็นบาร์เทนเดอร์อีกคนหนึ่งเป็นอย่างดีแล้ว
“แล้วจะเอาตังค์ติดตัวไปเท่าไหร่ พ่อจะได้เตรียมไว้ให้” เปาโลถามลูกชายอย่างใจดี
“ไม่ต้องหรอกครับ พ่อเก็บตังค์ไว้เถอะ ค่าเช่าร้านยิ่งแพงอยู่ด้วย ไม่ต้องห่วงผม ผมพอมีเงินเก็บจากทิปที่ลูกค้าให้อยู่เยอะครับ ไปเที่ยวแถมซื้อของฝากมาฝากพ่อกับแม่ได้สบาย”
เปาโลยิ้มกว้างมองลูกชายคนเดียวที่เดินจากไปอย่างภูมิใจเหลือหลาย แต่กลับต้องหุบยิ้มฉับเมื่อกลับมาให้ใบหน้าบึ้งตึงของภรรยาที่ยืนอยู่ตรงกันข้าม
“ตกลงว่าฉันไม่มีสิทธิ์ในตัวของอัลเวสเลยใช่ไหมคะ??” จันทร์ถามพลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม่เบานัก “อีกหน่อยถ้าคุณให้ท้ายลูกแบบนี้เขาคงไม่เห็นฉันเป็นแม่”
“โธ่จันทร์!... คุณก็พูดเกินไป ลูกทำงานหนักอยากจะไปเที่ยวพักผ่อนบ้าง เราก็ต้องปล่อยให้เขาไป คุณก็เห็นนี่ว่าตั้งแต่ที่เราขยายร้าน ลูกค้าแน่นร้านทุกวัน เราก็มีรายได้มากขึ้นจนผมยังไม่คาดคิดว่าบาร์ของเราจะไปได้สวยขนาดนั้น” เปาโลบอกภรรยาด้วยน้ำเสียงเอาใจ
“ฉันไม่อยากรับรู้เรื่องรายได้ของคุณหรอกเปาโลเพราะไม่เคยสนับสนุนมาแต่แรกแล้ว แค่หวังว่าคุณจะจ่ายค่าเช่าร้านโดยไม่บิดพลิ้วเท่านั้นก็พอแล้ว แต่ลูกมาขอเราไปเที่ยวไกลถึงรีโอกรันดีโดซุลนะ เราก็ควรถามลูกบ้างว่าเขาจะไปยังไง ไปกับใคร พักที่ไหนไม่ใช่เหรอ??” จันทร์แรมพูดด้วยอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นขึ้นมา “อย่าลืมนะเปาโลว่าลูกชายของเราอายุยังไม่ถึงสิบแปดปีเต็มด้วยซ้ำ จริงอยู่ว่าเขาสามารถหาเงินให้คุณได้มากแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะดูแลตัวเองได้ดีไปกว่าเด็กวัยรุ่นเกเรคนหนึ่งหรอกนะ”
“ที่ผ่านมาเราก็เห็นว่าอัลเวสดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี อีกอย่างลูกเป็นผู้ชาย คุณไม่เห็นจะต้องเป็นห่วงเขาจนเกินเหตุ ลูกผู้ชายมันต้องมีอิสระ เข้มแข็งและมันจะทำให้เขารู้จักการเอาตัวรอดแล้วผมก็ไม่ชอบให้คุณว่าลูกว่าเป็นวัยรุ่นเกเร” เปาโลตำหนิภรรยาที่มักมีความขัดแย้งกันเสมอในการเลี้ยงดูลูกชาย
“ความจริงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ฉันพอใจที่อัลเวสทำตัวดีขึ้นนะ ไม่ได้จัดปาร์ตี้ป่าวประกาศชวนเด็กสาวๆมาเต้นแร้งเต้นกาส่งเสียงดังอย่างที่ผ่านมา แต่นั่นมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะละสายตาจากอัลเวสหรอกนะ จะบอกให้ว่าฉันน่ะเกลียดและก็เจ็บปวดทุกครั้งที่พูดว่าลูกเป็นวัยรุ่นเกเร แต่ก็ต้องทนอยู่กับมันให้ได้และพยายามจะเปลี่ยนให้ลูกเป็นวัยรุ่นที่เคยเกเร แล้วคุณล่ะคะเปาโลคุณอยากให้ลูกรู้จักเอาตัวรอดแต่แค่การยอมรับความจริงในสิ่งที่ลูกเป็น คุณยังทำไม่ได้เลย แล้วคุณจะให้ลูกเป็นลูกผู้ชายอย่างที่คุณอยากให้เขาเป็นได้ยังไง??” จันทร์แรมผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทิ้งให้สามีมองตามอีกเช่นเคย
ทุกครั้งที่พูดคุยกันถึงเรื่องความประพฤติของลูกชายแล้วเป็นอันต้องเกิดความขัดแย้งขึ้นอยู่เสมอ เพราะเปาโลเห็นว่าหากลูกชายไม่อยากเรียนหนังสือแต่ก็ยังสามารถทำงานหาเงินมาจุนเจือครอบครัวได้ก็ไม่น่าเกิดปัญหาอะไร ไม่จำเป็นต้องเรียนสูงๆจบปริญญาก็สามารถมีเงินเลี้ยงชีพได้เหมือนกัน มีคนที่เรียนจบปริญญาตรีเดินแตะฝุ่นไม่มีงานทำกันให้เยอะแยะ จันทร์แรมควรคำนึงถึงเหตุผลในข้อนี้แต่กลับคิดไปไกลว่าลูกจะเป็นอาชญากร ซึ่งมันทำให้เปาโลไม่พอใจทุกครั้ง จริงอยู่ว่าอัลเวสทำงานอยู่กับสถานที่ท่องเที่ยวยามราตรีแต่ก็อยู่ในสายตาของตนตลอด เรื่องที่ภรรยากังวลว่าลูกชายจะติดยาเสพติดนั้นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เขาก็เป็นพ่อที่รักลูกไปไม่น้อยกว่าใครเช่นกันไม่มีทางที่จะให้ลูกเดินทางผิดอย่างนั้นได้ เปาโลไม่พอใจที่ภรรยาพูดและทำราวกับว่าเขาคือคนที่ชักจูงให้ลูกเกเร เสียผู้เสียคนแบบนี้!
รุ่งเช้าจันทร์แรมออกมายืนรอลูกชายอยู่หน้าร้านตั้งแต่เช้าตรู่เพราะยังแปลกใจอยู่ว่าอัลเวสจะอยากไปเที่ยวจริงหรือ!?? หลังจากที่เกิดความขัดแย้งเล็กน้อยกับสามีตั้งแต่ตอนบ่ายของวันที่ผ่านมาก็ไม่มีโอกาสได้พบหน้าลูกชายอีกเลย โทรศัพท์ก็ปิดเครื่องติดต่อไม่ได้ พอตกดึกคิดว่าจะได้เจอกันก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิดเพราะอัลเวสไม่ได้มาทำหน้าที่เป็นบาร์เทนเดอร์อย่างเช่นทุกวัน มีเพียงดุงก้าที่ยืนทำหน้าที่แทนเท่านั้นและได้ทราบว่าอัลเวสออกไปซื้อเสื้อผ้าของใช้เพื่อเตรียมตัวไปเที่ยวตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว
เหตุผลที่ได้รู้ยิ่งทำให้จันทร์แรมรู้สึกแปลกใจมากขึ้น เพราะรู้นิสัยของลูกชายดีว่าคงไม่สามารถใช้เวลาเดินห้างสรรพสินค้าได้ตั้งแต่บ่ายถึงเที่ยงคืนเป็นแน่ จึงต้องตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ออกมาดักรอถามข้อสงสัยในใจจากปากเอาเอง ไม่นานเกินรอจันทร์แรมก็ได้ยินเสียงกุกกักดังขึ้นด้านหลังจึงหมุนตัวกลับไปมองตามเสียงนั้น อัลเวสแต่งตัวทะมัดทะแมงพร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้เพียงใบเดียวติดตัวมาด้วย
“อ้าวแม่... ทำไมวันนี้ตื่นเช้านักล่ะครับ??”
“ก็มารอลูกนั่นแหละ ความจริงแม่รอลูกตั้งแต่เมื่อวานแล้วรอจนถึงเที่ยงคืนกว่าๆก็ยังไม่กลับบ้านอีก” จันทร์แรมยังไม่เข้าประเด็นที่ต้องการถามเพราะรู้ว่าหากผลีผลามไป อัลเวสจะต่อต้านเป็นอย่างมาก
“อ๋อ... คะ...คือเมื่อวานนี้ที่ห้างฯมีมิดไนท์เซลล์น่ะครับ ผมเลยอยู่ซะดึก ว่าแต่แม่มีอะไรรึเปล่า ผมรีบครับใกล้ถึงเวลานัดกับเพื่อนแล้ว” อัลเวสบอกพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูใกล้ถึงเวลานัดหมายที่จะต้องไปรอที่จุดนัดพบแล้ว
“แม่จะถามว่าลูกจะไปเที่ยวกับเพื่อนคนไหน? จะกลับมาเมื่อไหร่?” จันทร์แรมค่อยตะล่อมถามอย่างใจเย็น
“เอ่อ... ผมจะไปเที่ยวกับ...ดีด้าครับ ผมจะไปกับใครได้มีเพื่อนสนิทอยู่คนเดียว วันอาทิตย์ก็จะกลับแล้วหรือถ้าผมเที่ยวเพลินยังไม่อยากกลับก็จะโทรฯมาบอกแม่แล้วกัน แม่อย่าทำเหมือนผมเป็นเด็กอายุสิบขวดน่า...”
“ไม่ใช่... แม่รู้ว่าลูกของแม่ดูแลตัวเองได้แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้เพราะลูกไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนไกลๆและก็นานแบบนี้”
อัลเวสสวมกอดแม่เร็วๆพร้อมจุ๊บแก้มหนึ่งทีอย่างเอาใจ “ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวผมจะไปไม่ทันเวลานัดแล้ว ไปนะครับ”
“อัลเวส... ดูแลตัวเองดีๆนะลูก อย่าปิดโทรศัพท์นะแม่จะโทรฯหาบ่อยๆ” จันทร์แรมยังไม่ได้ซักไซ้ให้ละเอียด ลูกชายของเธอก็รีบร้อนเดินแกมวิ่งออกห่างไปแล้ว ทำได้เพียงตะโกนไล่หลังอย่างเป็นห่วงตามสัญชาตญาณของความเป็นแม่ซึ่งรู้สึกเป็นห่วง ใจหายอย่างบอกไม่ถูก สองตาชะเง้อมองแผ่นหลังลูกชายที่เดินห่างออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามองแม้เพียงน้อย พลางคิดถึงลูกสาวคนโตที่ทำงานอยู่รีโอกรันดีโดซุลขึ้นมาในทันที
สี่ชั่วโมงต่อมาอัลเวสก้าวขึ้นรถตู้คันใหญ่ที่จอดรออยู่หน้าสนามบินรีโอกรันดี รัฐทางตอนใต้สุดของประเทศที่เด็กหนุ่มเพิ่งมีโอกาสได้มาเยือนเป็นครั้งแรกในชีวิต การเดินทางมาทำงานสำคัญในครั้งนี้อัลเวสเดินทางมากับคาฟูและโมโซ เพียงแค่ไม่ถึงสามสิบนาทีรถตู้ก็เคลื่อนตัวเข้ามาจอดหน้าโรงแรมเก่าซอมซ่อแห่งหนึ่ง ทั้งหมดลงมาจากรถตู้มองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบๆตัว
“ลูกพี่... เราต้องพักในโรงแรมเก่าขนาดนี้เลยเหรอครับ??” อัลเวสเอ่ยปากถามคาฟูเพราะจากการกวาดสายตามองดูรอบๆแล้ว ตรอกเล็กๆนี้เต็มไปด้วยตึกเก่า โทรม ให้ความรู้สึกว่ามันคือแหล่งเสื่อมโทรมที่มีอยู่ในเมืองใหญ่แทบทุกเมืองก็ว่าได้
“สมาชิกในแก๊งของเราจัดให้พักที่นี่แสดงว่าต้องเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว อย่าเรื่องมาก” คาฟูบอกพร้อมเดินนำหน้าเข้าไปด้านใน ทิ้งไว้เพียงโมโซที่มองอัลเวสน้องใหม่มาแรงด้วยสายตาเย้ยหยัน
“แกคิดว่ามาเที่ยวพักผ่อนหรือยังไง ถึงจะได้เข้าพักโรงแรมห้าดาว ถ้ารับไม่ได้ก็รีบย้ายก้นกลับรีโอเดอจาเนโรไปดูดนมแม่แกแทนไป๊...” โมโซว่าแล้วเดินตามคาฟูเข้าไปในโรงแรมทิ้งให้อัลเวสกัดฟัน มองตามด้วยความเจ็บใจ พลางคิดต่อในใจว่า ซักวันจะใช้เท้าเขี่ยไอ้โมโซปากพล่อยนี้ทิ้งลงหลุมแน่ อีกไม่นานหรอก!!
อัลเวสเดินตามลูกพี่ทั้งสองขึ้นมาบนชั้นสองของโรงแรม พลางเบ้ปาก นอนโรงแรมทั้งเก่าทั้งสกปรกยังกับรูหนูแล้วยังต้องนอนห้องเดียวกันอีก คืนนี้คงไม่พ้นตนเองที่ต้องนอนพื้นแข็งๆแน่เพราะถ้าจะให้ลูกพี่นอนพื้นแล้วลูกน้องนอนเตียงคงไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเป็นแน่ แต่ก็ช่างเถอะ!... เตียงเก่าๆสกปรกอย่างนั้นถึงให้นอนก็คงนอนไม่ลงแน่
“เอ้า... แกจะยืนสำรวจสภาพห้องอยู่อีกนานไหม? เข้ามาซักทีสิหรือจะให้มีคนมาเห็นก่อนถึงจะก้าวขาเข้ามาได้” โมโซบอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ครับๆ” อัลเวสรีบรับคำอย่างนอบน้อม และบุคคลิกนี้ทำให้คาฟูชอบใจมาตลอด แต่โมโซนั้นกลับเห็นว่าไอ้เด็กหนุ่มคนนี้มันไม่ธรรมดา สายตาแฝงไปด้วยเลศนัยเต็มไปหมดแต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้เพราะตอนนี้คาฟูนั้นดูจะไว้ใจ ชอบใจมันเป็นพิเศษ
“แกก็อย่าอารมณ์เสียนักเลยโมโซ เด็กมันไม่เคยนี่หว่า ทำไมไม่คิดถึงตอนที่ตัวเองเพิ่งเข้าแก๊งมาใหม่ๆมั่ง” คาฟูออกปากตำหนิมือขวาของตนอย่างรำคาญใจ
ในใจของอัลเวสกระหยิ่มยิ้มย่องแต่คำพูดและสีหน้ากลับแสดงออกมาตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง “ผมไม่ดีเองล่ะครับ ตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก อาการเงอะงะอาจจะทำให้เสียงานใหญ่อย่างที่พี่โมโซเป็นห่วงก็ได้ครับ ผมขอโทษนะครับเพราะยังตื่นเต้นที่ได้ขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรกในชีวิตอยู่ แถมยังได้จากบ้านมาไกลเป็นครั้งแรก ดีแล้วล่ะครับที่พี่โมโซคอยเตือนอยู่บ่อยๆ”
“เอาล่ะๆ เรามาวางแผนกันดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา ถ้าทำงานเสร็จเร็วอาจจะมีเวลาไปเที่ยวกันบ้างซักวันสองวัน” คาฟูบอกพร้อมรูดซิบกระเป๋าเดินทางของตัวเองออกมา มือหยาบกร้านล้วงเอากระดาษแผ่นใหญ่ออกมาวางลงบนโต๊ะเครื่องแป้งเก่าทันที
อัลเวสมองแผนที่โดยละเอียดตรงหน้าตัวเองพร้อมตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“ตอนนี้เราอยู่ตรงนี้” มือใหญ่ของคาฟูชี้จุดที่ตนเองและลูกน้องทั้งสองอยู่ในแผนที่ซึ่งขยายส่วนมาจากแผนที่จริงให้ใหญ่ขึ้น “อีกสองวันเราต้องเดินทางไปที่ชายแดนซึ่งเป็นเขตเชื่อมต่อกับอุรุกวัย จะมีพ่อค้าเอาของป่า สินค้าพื้นเมืองข้ามมาซื้อขายกันมากมาย ฉันกับโมโซจะทำทีว่าเป็นพ่อค้าขายองุ่นบังหน้า ส่วนแกอัลเวส แกมีหน้าที่ต้องขนของล็อตใหญ่ซึ่งจะซ่อนไว้ในถังพักน้ำชักโครกในห้องน้ำชาย อาศัยจังหวะที่หน้าม้าของเรารุมซื้อองุ่นกันเยอะกลับขึ้นไปนั่งในรถ ภายในรถจะมีช่องลับที่ทำเอาไว้เป็นพิเศษ ให้แกเอาของเก็บไว้ในช่องลับนั้น แล้วเราก็จะขับรถกลับมาโรงแรมนี่เหมือนเดิม”
อัลเวสได้ฟังแผนการอันรัดกุมนั้นแล้วรู้สึกหวาดเสียว ขนอ่อนตามแนวสันหลังลุกชันขึ้นเป็นระยะๆ ถามกลับออกไปด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงจนทำให้ลูกพี่ทั้งสองรู้ได้ว่าเด็กใหม่กำลังกลัว!! “เอ่อ... ทำไมต้องเป็นผมที่เป็นคนไปเอาของออกมาจากห้องน้ำล่ะครับ?”
“อ้าว... ไอ้นี่! ฉันสองคนนี่ทำงานนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ถ้าให้เป็นคนไปเอาของมาเองมีหวังตำรวจรู้แกวแน่ งานแบบนี้มันต้องใช้เด็กหน้าใหม่วนไปเรื่อยๆ ตำรวจจะได้ตามไม่ทัน เข้าใจไหม” คาฟูบอกเหตุผล
“อะ...เอ่อ ครับ” อัลเวสรับคำไม่กล้าบอกความรู้สึกแท้จริงในใจของตนเอง
“ท่องเอาไว้ไอ้หนู... ทำงานนี้สำเร็จแกจะได้รอยสักเพิ่มขึ้นอีกชั้น คราวนี้น่ะแกจะเทียบชั้นได้เท่ากับกับฉันเชียวนะ รู้สึกว่าแกจะเป็นคนแรกที่ได้รับเกียรตินี้อายุน้อยกว่าคนอื่นด้วย เงินที่ได้จากการทำงานในครั้งนี้มันมากพอที่ทำให้แกสามารถซื้อรถยนต์ขับได้ซักเชียวนะ!” โมโซบอก
“ฮ่า... จริงอย่างที่โมโซพูด ถ้าคราวนี้แกทำงานนี้สำเร็จมีหวังรวยอื้อซ่า... ได้ตำแหน่งในเดอะ แดนเจอรัสสูงขึ้น เป็นที่กล่าวขานถึงความสามารถไปทั่วแน่ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าแกพลาดตำรวจจับได้อย่าว่าแต่หมดอนาคตเลย ชีวิตนี้จะได้เห็นหน้าแม่แกอีกรึเปล่ายังไม่รู้เพราะอะไรรู้ไหม? ก็เพราะของที่ตำรวจค้นได้ในตัวแกมันคือแคร็ก5ไง” คาฟูบอกด้วยน้ำเสียงท้าทายรู้ว่าภายในตัวตนของอัลเวสมีความฮึกเหิมอยู่มากมายและยังรู้อีกว่าต้องพูดชักจูงใจเด็กหนุ่มคนนี้อย่างไรให้หลุดพ้นจากอาการกลัวที่เกิดขึ้น
พอได้รู้ว่าของที่ว่านั้นมันคือ โคเคนอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งถ้าถูกตำรวจจับได้ทุกอย่างคงล้มไม่เป็นท่า แต่ถ้าสามารถทำได้สำเร็จแล้ว เส้นทางชีวิตสายที่เลือกนี้มันจะสว่างไสวสวยงามราวกับสีสันยามค่ำคืนของชายหาดโคปาคาบานาเป็นแน่
“ฉันเคยบอกแกแล้วใช่ไหม ก่อนที่จะก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเดอะ แดนเจอรัส ถ้าใจไม่กล้า ไม่เข้มแข็งพอ แกอย่าได้เสนอหน้าเข้ามาเป็นอันขาด แกก็รู้นี่ว่าแก๊งเราถ้าได้เข้ามาแล้ว น้อยคนนักที่จะเดินออกไปใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไปได้” คาฟูย้ำเตือนถึงกฏข้อบังคับของแก๊งที่เคยบอกให้อัลเวสได้รับรู้มาแล้วทันที
หากความฮึกเหิม ผยองที่มองไปไกลถึงความสุขสบาย ความยิ่งใหญ่ที่จะได้มีตำแหน่งสำคัญในแก๊งก็ชนะความหวาดกลัวไปจนหมดสิ้นทำให้อัลเวสโพล่งคำพูดที่ทำให้คาฟูรู้สึกว่าตนเองเลือกคนไม่ผิดออกมา “ผมจะทำ จริงอยู่ที่ตอนนี้ในใจผมรู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อยแต่นั่นมันก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ได้รับมอบหมายให้ทำงาน ผมจะพยายามทำมันให้สำเร็จไม่ให้พี่ต้องผิดหวัง ให้สมกับที่พี่เป็นคนชักชวนผมให้เข้าร่วมเดอะ แดนเจอรัส”
“ฮ่าๆๆๆ ฉันชอบหัวใจแกก็ตรงนี้ล่ะไอ้หนู... ไม่อยากคิดเลยว่าแกจะก้าวมาเทียบชั้นฉันได้ตอนอายุเท่าไหร่” คาฟูระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างพอใจ มือหนาตบลงหนักๆบนบ่าของอัลเวสหลายครั้งราวกับภูมิใจในผลงานการเลือกคนของตนเองเหลือหลาย!!
“ผมมีอีกเรื่องจะถามครับ” อัลเวสเริ่มถามถึงข้อสงสัยในแผนการทันที “ทำไมเราต้องรออีกสองวัน ทำไมเราถึงไม่เดินทางกันพรุ่งนี้เลย?”
“อย่าใจร้อนนักไอ้หนู เราต้องรอให้คนในแก๊งที่อยู่ในพื้นที่จัดเตรียมรถ แล้วก็สินค้าให้พร้อม รอให้ถึงวันที่ทุกอย่างพร้อมที่สุดถึงจะลงมือทำงานได้” คาฟูบอก
“ในรีโอกรันดีโดซุลนี้มีสมาชิกของแก๊งเราอยู่มากไหมครับ?”
“เดอะ แดนเจอรัส มีเครือข่ายหลายประเทศ แต่การทำงานสำคัญในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งจะไม่ใช้คนในพื้นที่นั้นเด็ดขาด อย่างเช่นงานนี้เราจะไม่ใช้สมาชิกในเดอะ แดนเจอรัสที่คุมพื้นที่ในรีโอกรันดีโดซุลทำงานเพราะมันจะทำให้ตำรวจที่เฝ้าจับตาดูพวกเราอยู่รู้ทันแผนการได้ เราถึงต้องเดินทางจากรีโอเดอจาเนโรมาทำงานนี้ยังไงล่ะ”
อัลเวสพยักหน้าพลางคิดว่าวงการมาเฟียนี้ยิ่งใหญ่และยังมีอีกหลายเรื่องนักที่ตนยังไม่รู้ หากได้รับการสนับสนุนจากคาฟูในการมอบหมายงานสำคัญเช่นนี้ให้ทำอยู่อย่างต่อเนื่อง ตำแหน่งที่คาดหวังไว้คงจะอยู่ไม่ไกล อัลเวสคิดมองเห็นอันตรายและสิ่งชั่วร้ายทั้งปวงเป็นความสวยงามราวกับว่ามันเป็นความก้าวหน้าในหน้าที่การงานอันทรงเกียรติ โดยที่ไม่รู้ตัวว่าบัดนี้ตนเองได้ก้าวเข้ามาอยู่ในวัฏจักรที่ยากจะถอนตัวแล้ว
คฤหาสน์โอลีเวย์ร่า
สัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากที่อาการไข้หายจากไปและร่างกายได้พักฟื้นจนหายเป็นปกติแล้ว มนตร์ลดาก็ไม่ได้เผชิญหน้ากับคนหยาบกระด้างที่ทำให้ได้รับความเจ็บป่วยอีกเลย ดูเหมือนว่าเขาจะหายไปจากบ้าน หายไปจากการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เขาไม่กลับบ้านมาตลอดทั้งสัปดาห์แล้วก็ว่าได้ และทุกคนในบ้านต่างก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเขาเหมือนเช่นเคยและไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ผ่านมาทั้งที่ความจริงแล้ว เมื่อเธอหายจากอาการเจ็บป่วยนั้นน่าจะมีสักคนที่ถามถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น คุณปู่การันก้าก็เช่นเดียวกันท่านไม่เอ่ยถามเลยว่าทำไมถึงได้กลับมาในสภาพนั้น มีเพียงคำถามที่ว่าหายดีแล้วใช่หรือไม่เท่านั้นเอง
หากการหายตัวไปของอเตต้าร์หนึ่งสัปดาห์เต็มทำให้มนตร์ลดารู้สึกว่าชีวิตของตนเงียบเหงาไปจนน่าใจหาย บ่อยครั้งที่เผลอแสดงอาการเหม่อลอยออกมาโดยไม่รู้ตัว สองตากลมโตเฝ้ามองเส้นทางที่มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวคฤหาสน์โอลีเวย์ร่าจากกระจกริมระเบียงอยู่หลายครั้งหลายครา ครู่ใหญ่ก็สะบัดศรีษะแรงๆราวกับจะเรียกสติของตัวเองให้กลับมานั้น ปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปนี้ทำให้คุณปู่การันก้าที่เฝ้าสังเกตอยู่ตลอดเวลาส่ายหน้า ถอนหายใจให้กับคนสองคนที่เจอกันในสถานการณ์ที่ยากลำบากกว่าคนทั่วไป ทำให้ต้องมานั่งทุกข์ทนไม่รู้ใจตัวเองอยู่เช่นนี้
กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง...
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เครื่องบางเฉียบดังขึ้นเรียกสติของมนตร์ลดาให้กลับมาอยู่ในโลกของความเป็นจริง มือเรียวบอบบางล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูชื่อของมารดาที่โทรฯเข้ามาหาแล้วเงยหน้าขึ้นขออนุญาตคุณปู่การันก้าที่นั่งดูทีวีอยู่ไม่ไกลนักออกไปรับสายมารดาด้านนอก
“ค่ะแม่... คิดถึงแม่จังเลยค่ะ” มนตร์ลดากรอกเสียงหวานออดอ้อนมารดาอย่างที่ชอบทำจนเคยชินเป็นนิสัยแล้ว
“จ้า... แม่ก็คิดถึงหนูเหมือนกันแหละลูก แล้วหนูล่ะสบายดีไหม เป็นไข้หายดีรึยัง??” จันทร์แรมถามอย่างห่วงใย
“หายดีแล้วค่ะแม่ ว่าแต่แม่มีอะไรรึเปล่าคะ ปกติหนูจะเห็นแม่โทรฯมาตอนกลางคืนนี่คะ?” มนตร์ลดาถามออกไปเพราะแม่ของเธอนั้นจะไม่โทรศัพท์เข้ามาในเวลาทำงานเพราะกลัวว่าเจ้านายจะตำหนิลูกสาวเอาได้
“แม่มีเรื่องเล่าให้หนูฟังนิดหน่อย คือเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี้อัลเวสมาขอแม่ไปเที่ยวกับเพื่อนที่รีโอกรันดีโดซุล บอกว่าจะไปแค่อาทิตย์เดียวแล้วก็จะกลับ แต่เมื่อกี้นี้น้องโทรฯมาบอกแม่ว่ายังเที่ยวไม่ทั่วจะอยู่ต่ออีกซักสองอาทิตย์แล้วก็วางสายไปเลย พอแม่โทรฯกลับไปน้องก็ปิดเครื่องไปแล้ว หนูคิดว่ามันแปลกไหม??”
“อืม... ก็แปลกเหมือนกันนะคะที่อัลเวสจะชอบเที่ยว แล้วน้องบอกรึเปล่าว่าไปเที่ยวกับเพื่อนคนไหน?” มนตร์ลดาถามรายละเอียด
“บอกว่าจะไปกับดีด้า เป็นเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ตอนแรกแม่ไม่คิดว่าสองคนนี้จะติดต่อกันอยู่แต่ดีด้าก็เพื่อนคนเดียวที่อัลเวสมีอยู่ ตายจริง!! ทำไมแม่ถึงได้รู้สึกเป็นห่วงน้องอย่างนี้นะ” จันทร์แรมบอกอย่างร้อนรนใจ
“แล้วแม่รู้จักบ้านของดีด้าคนนี้ไหมคะ?”
“รู้จัก”
“งั้น แม่ไปหาเขาที่บ้านดูก่อนดีกว่าค่ะ ถ้าไม่เจอดีด้า พ่อแม่ของเขาน่าจะตอบได้ว่าลูกชายเขาไปเที่ยวจริงเหมือนที่อัลเวสบอกไว้ไหม”
“แม่กลัวเหลือเกินมิ้นต์ เป็นห่วงน้องมาก”
“แม่ทำใจดีๆไว้ก่อนนะคะ อย่าเพิ่งคิดไปในทางที่ไม่ดี ยังไงอัลเวสคงไม่เป็นไรเพราะเพิ่งโทรฯมาหาแม่ น้องอาจจะเที่ยวเพลินก็เป็นได้ค่ะ ระหว่างที่แม่ไปบ้านดีด้าหนูจะลองติดต่ออัลเวสดู เผื่อว่าโทรฯติดแล้วรู้ว่าพักโรงแรมไหน หนูจะได้ตามไปเจอน้องได้” มนตร์ลดาพยายามปลอบใจแม่ให้คิดในทางที่ดีไว้ก่อน
“จ้ะๆ งั้นแม่จะรีบไปบ้านดีด้าก่อนนะ ได้เรื่องยังไงแล้วแม่จะส่งข่าวหนูอีกที”
“ค่ะ... แม่อย่าเพิ่งคิดมากนะคะ ดูแลสุขภาพตัวเองด้วย หนูเป็นห่วง” มนตร์ลดารีบบอกด้วยความกังวลใจ สัญญาณโทรศัพท์ตัดไปได้สักครู่แล้วแต่ในใจของหญิงสาวยังเป็นห่วงและคิดตำหนิน้องชายนักที่ชอบหาเรื่องให้แม่ต้องไม่สบายใจอยู่บ่อยๆ โดยไม่รู้ตัวว่ามีร่างสูงใหญ่ของอเตต้าร์ยืนเสียมารยาทฟังบทสนทนาที่เขาฟังไม่รู้เรื่องอยู่นานพอควรแล้ว
“เอ่อ...” มนตร์ลดาทำหน้าไม่ถูกเมื่อหมุนตัวกลับมาอีกครั้งได้พบเจอร่างสูงใหญ่ของคนที่หายหน้าหายตาไปหนึ่งสัปดาห์เต็ม ยืนขวางทางอยู่ตรงระเบียง
“คุยกับใครทำไมทำหน้าไม่สบายใจอย่างนั้น?” อเตต้าร์ถามทันทีเมื่อได้เห็นสีหน้าแววตาที่เป็นกังวล อ่านใจเธอออกได้ทะลุปรุโปร่งว่ามีเรื่องไม่สบายใจขบคิดอยู่
มนตร์ลดาถอยหลังกรู... ไม่ชอบใจความรู้สึกอุ่นซ่านที่แผ่กระจายไปทั่วร่างเพียงแค่คนร้ายกาจไถ่ถามด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร “ไม่มีอะไรค่ะ หลีกทางด้วย ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วเดี๋ยวคุณปู่จะรอนาน”
“ทำไมไม่สบตา คุณกลายเป็นคนขี้ขลาดตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเมื่อก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้ ต่อยผมบ้างล่ะ เอาหัวโขกผมบ้างล่ะ ด่าแต่ละคำนี่ไม่มีซ้ำกันเลย แล้ววันนี้เป็นอะไรทำไมถึงหลบหน้าหลบตา ไม่จัดการผมหน่อยเหรอที่ทำให้คุณต้องนอนซมเพราะพิษไข้อยู่หลายวัน” อเตต้าร์ยั่วเพราะชอบใจที่เธอทำตัวเป็นคิตตี้จอมเหวี่ยง ดุร้ายอย่างเดิมมากกว่าที่เธอจะทำตัวสงบปากสงบคำแบบนี้
มนตร์ลดาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แหนหน้าขึ้นมองร่างที่ค่อยๆก้าวเดินเข้ามาหา ใบหน้าคร้ามคมดูเถื่อนดิบเพราะเคราที่ขึ้นมาตามแนวสันคางยาวออกมามากกว่าปกติ กับแสงวาววับจากต่างหูเพชรเม็ดเดี่ยวที่อยูบนหูข้างซ้ายนั่นยิ่งส่งผลให้เขาดูเป็นแบดบอยจอมเถื่อนที่หล่อเหลาและทำให้หัวใจอันมั่นคงเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะปกติ “นั่นเป็นเพราะคิดตกว่ากับคนบางคนแล้วต้องรับมือด้วยความสงบเงียบและสติอันมั่นคง มันคงไม่มีประโยชน์หากจะไปสู้รบปรบมือกับคนที่มีสรีระใหญ่โตกว่าเราหลายเท่า หลีกทางด้วยค่ะ”
อเตต้าร์เบ้ปากไม่เพียงไม่หลีกทางอย่างที่เธอร้องขอกลับเข้าประชิดตัว เกี่ยวเอาเอวคอดกิ่วเอาไว้ด้วยแขนทรงพลังเพียงข้างเดียว ก้มหน้าเข้าใกล้สูดเอาความหอมที่โหยหาเข้าเต็มปอด “บอกแล้วว่าเวลาพูดกับผมอย่าให้ต้องปีนบันไดขึ้นไปฟัง ผมไม่รู้เรื่อง”
“อื้อ... ถอยออกไปนะ อุ๊บ!...” มนตร์ลดายกมือตนเองขึ้นปิดปากอย่างรวดเร็วที่ได้กลิ่นฉุนๆจากร่างสูงใหญ่ลอยเข้าประทะสัมผัสรับกลิ่นของตน “ปล่อยนะ! เหม็น!!”
อเตต้าร์ขมวดคิ้วมุ่นก้มลงสูดกลิ่นเนื้อตัวของตนเองทันที จริงอยู่ว่าเขาอาจจะไม่ใช่ผู้ชายแต่งตัวเจ้าระเบียบสวมสูททุกวันแต่ก็อาบน้ำเช้าเย็นเป็นประจำ แถมด้วยน้ำหอมกลิ่นสปอร์ตแบรนด์เนมรุ่นลิมิเตดเอดิชั่นราคาแพงอีกต่างหาก มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเหม็น! “เหม็นหรือว่ากลัวใจตัวเอง ฮึ... คิตตี้?”
“เหม็นจริงๆ เหม็นบุหรี่ ฉันไม่ชอบกลิ่นบุหรี่” มันเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว ถ้าร่างกายแข็งแรงเป็นปกติหากได้กลิ่นบุหรี่ก็จะเกิดอาการปวดหัวขึ้นมาบ้างจนต้องเดินเลี่ยงไปให้ไกล แต่นี่คงเป็นเพราะร่างกายยังไม่แข็งแรงเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ดี อาการเวียนศรีษะ รู้สึกอยากอาเจียนจึงเกิดขึ้นให้เห็น
อเตต้าร์รีบผ่อนแรงรัดร่างอ้อนแอ้นออกเล็กน้อยพลางใช้มือลูบแผ่นหลังบอบบางที่ทั้งไอ อวกน้ำลายจนน้ำหูน้ำตาเล็ดด้วยความสงสาร “ไปไงบ้าง... ต้องไปหาหมอไหม”
มนตร์ลดาส่ายหน้าเร็วจนผมเผ้ากระจาย มือข้างหนึ่งจับราวระเบียงไว้มั่น อีกข้างหนึ่งออกแรงผลักแผ่นอกกว้างให้ออกห่างจากตน “ไม่ค่ะ แค่คุณอย่ามาใกล้ฉันก็พอแล้ว คุณสูบบุหรี่มาใช่ไหม”
“กะ...ก็ใช่ แต่ก็สูบประจำ ตอนที่เราจูบกันผมก็สูบมาไม่เห็นคุณมีอาการแย่แบบนี้?” อเตต้าร์ถามตรงไปตรงมาอย่างสงสัย
มนตร์ลดาอ้าปากค้าง มองค้อนคนปากร้ายที่พูดออกมาตรงเกินไปด้วยแววตาเขียวปัด “ก็ตอนนี้ร่างกายไม่แข็งแรงเพิ่งหายจากไข้นี่ ถอยไปเลยนะ อย่ามาหาเรื่อง”
อเตต้าร์ส่ายหน้ามองคนที่รีบเดินจากไปด้วยความชอบใจเพราะเธอมีใบหน้าแดงก่ำ มันเป็นอาการเขินอายที่ไม่เคยได้เห็นจากผู้หญิงที่ควงอยู่เลยแม้แต่คนเดียวและหากพวกหล่อนสะเทิ้นอายอย่างนี้แล้ว อเตต้าร์คงจะสำลักทุกอย่างออกมาพรวดเดียวจนหมดสิ้นและไม่เรียกหาเจ้าหล่อนเหล่านั้นอีกเลย แต่กลับแม่คิตตี้คนงามแล้วทำไมเธอถึงได้น่ารักน่าชังอย่างนี้นะ เธอขวยเขินได้อย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ ขนาดใบหน้ายังแดงก่ำเป็นสีชมพูจัดได้ขนาดนี้ ไม่อยากคิดเลยว่าผิวเนื้อนวลเนียนภายใต้เสื้อผ้านั้นมันจะแดงก่ำสวยงามแค่ไหน
เจ็ดวันเต็มที่ผ่านมาเขาพยายามไม่คิดถึงใบหน้างดงามของเธอ พยายามไม่คิดกังวลไปต่างๆนาๆถึงอาการเจ็บป่วยของเธอ ทำงานอย่างหนักเป็นสองเท่ากว่าที่ผ่านมาจนดึกดื่นทุกวัน ออกไปท่องราตรีมองหาผู้หญิงซักคนมาปรนเปรอ คืนแรกถือว่าไม่ได้อะไรเพราะไม่ถูกตาใครซักคน คืนที่สองคืนที่สามเลือกมาได้สองสามคนแต่พอเห็นพวกเธอเปลือยกายนอนอ้าซ่ารออยู่บนเตียง แทนที่จะปึ๋งปั๋งดึ๋งดั๋งแต่ทุกอย่างกลับห่อเหี่ยวเพราะใบหน้าของแม่คิตตี้ลอยวนเวียนอยู่เต็มห้องไปหมด สุดท้ายต้องรีบเผ่นออกมาจากโรงแรมแบบหมดท่า!!
คืนที่สี่ถึงคืนที่หกอเตต้าร์เลือกที่จะทำงานโต้รุ่งสามวันสามคืนซ้อน ผลก็คือเช้าของวันที่เจ็ดหลับยาวเป็นตายแต่กลับตื่นตาค้างสว่างจ้าเป็นนกฮูกในช่วงหัวค่ำ ใจหนุ่มยังไม่ยอมแพ้คิดว่าต้องลองอีกสักครั้งให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย มันจะเสื่อมสภาพเร็วตั้งแต่อายุสามสิบสามปีก็ให้รู้กันไป คืนนั้นเขาเลือกสาวนัยน์ตาคม หุ่นดินระเบิดมาได้คนนึง แต่พอเอาเข้าจริงปากก็ไม่ยอมให้เธอจูบ ไอ้ที่ควรให้เธอดูดก็รู้สึกรังเกียจ หวงเนื้อหวงตัวราวกับสาวพรหมจรรย์ก็ไม่ปาน ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงจ่ายค่าตัวมากโขให้กับเธอพร้อมฟังเสียงบ่นกระปอดกระแปดของเธอว่าให้กลับบ้านไปดูดนมเมียเหมือนเดิมจะดีกว่า!!
โอ้พระเจ้าช่วย!... แค่ได้ยินว่าดูดนมเมีย ไอ้ส่วนที่ห่อเหี่ยวพลันปึ๋งปั๋งดึ๋งดั๋งขึ้นมาในบัดดล ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวหงายหลังบนที่นอนสปริงชั้นดี หึ... ให้มันได้อย่างนี้สิวะอาร์ตี้! แกมันไอ้หน้าโง่คิดถึงแต่เธอทุกลมหายใจเข้าออก ทุกอย่างในร่างกายมันไม่ตอบรับถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่แม่คิตตี้ แล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้... คุณเธอหวงตัวยิ่งกว่าอะไรดี จะจับจะจูบแต่ละทีก็ต้องใช้กำลังบังคับ แล้วทุกครั้งยังเผลอทำให้เธอเจ็บตัวเสมอจนไม่กล้าจะแตะตัวเธอแล้ว
อเตต้าร์คิดอย่างเหนื่อยใจกับร่างกายของตนเองที่ตอนนี้ควบคุมมันไม่ได้แล้วเพราะดูเหมือนว่ามันจะจงรักภักดีกับเจ้าของคนใหม่ที่เพิ่งได้ลิ้มลองความหวานลึกล้ำนั้นเพียงแค่ครั้งเดียว!!
มนตร์ลดาเดินมานั่งลงที่ประจำบนโต๊ะอาหารหลังจากที่เดินหนีอเตต้าร์มาหาคุณปู่การันก้า และพาท่านมายังห้องอาหารเมื่อใกล้เวลาอาหารเย็นเต็มที
“อ้าว... รู้จักทางกลับบ้านแล้วเหรอไอ้ตัวแสบ หายหัวไปเป็นอาทิตย์ นี่ถ้าฉันล้มหายตายจากไปแกก็คงไม่โอกาสแม้แต่จะอยู่ในพิธีฝังศพฉันสินะ” คุณปู่การันก้าประชดพลางมองตามร่างสูงใหญ่ของหลานชายที่เดินมาทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงกันข้ามกับพยาบาลสาว
มนตร์ลดากัดริมฝีปากตัวเองแน่นอย่างระงับอารมณ์ เมื่อคนหยาบกระด้างทิ้งตัวนั่งลงฝั่งตรงกันข้ามแต่กลับยกเท้าพาดวางบนเก้าอี้ตัวติดกันกับที่เธอนั่งอยู่ กระดิกปลายเท้าอย่างสบายอุรา ไม่ได้รักษามารยาทในการนั่งอย่างคนปกติทั่วไปเลยสักนิด อาหารมื้อเย็นของมนตร์ลดาเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับความอดทน อย่าไปสนใจกับอาการยั่วยวนกวนอารมณ์ของผู้ชายตรงหน้านี้ มองเขาให้เป็นความว่างเปล่าแล้วสนใจกับอาหารรสชาติอร่อยดีกว่า
กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง...
มนตร์ลดากดปุ่มปิดเสียงโทรศัพท์เพราะได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดีว่าไม่ควรรับโทรศัพท์ระหว่างที่รับประทานอาหาร และตั้งใจรับประทานอาหารเร็วกว่าปกติเพราะพอจะเดาออกว่ามารดาของตนนั้นต่อสายเข้ามาหาเป็นแน่ หากไม่ถึงห้านาทีต่อมาเสียงโทรศัพท์ก็กรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง
“รับสายตรงนี้ก็ได้หนูมิ้นต์ คนโทรฯมาคงมีธุระสำคัญจริง ปู่ไม่ใช่คนมีพิธีรีตองอะไรมาก รับสายเถอะ” การันก้าบอกเพราะรู้ว่าพยาบาลสาวประจำตัวของตนนั้นมารยาทดีงามแค่ไหน หากแต่คนมารยาทงามกลับขอตัวออกไปรับสายนอกห้องอาหาร โดยมีสายตาคมกริบของอเตต้าร์ชะเง้อมองอยู่ไม่วางตา
“สายตาแกมันสแกนทะลุปูนมองเห็นแม่หนูมิ้นต์ได้หรือไงถึงได้มองตามเขาขนาดนั้น” การันก้าอดประชดหลานชายอย่างเจ็บแสบไม่ได้
“ตกลงผมหรือมิ้นต์เป็นหลานปู่กันแน่ ทำไมปู่ดูหมั่นไส้ผมพิกล?”
“ฮึ... คนค่อนโลกใบนี้รู้ว่าแกเป็นหลานฉันแต่ความจริงนั้นมันทำให้ฉันอายที่มีหลานแบบแก ไอ้คนไม่กล้าสู้ความจริง ไอ้คนขี้ขลาดไม่กล้ายอมรับใจตัวเอง ไม่กล้ายอมรับแม้กระทั่งความผิดที่ตัวเองก่อ แกคิดว่าการไม่กลับบ้านหลายวันเนี่ยมันจะทำให้แกรู้สึกดีขึ้นอย่างนั้นเหรอ เฮอะ!! ฉันรู้ดีเชียวล่ะว่าความรู้สึกผิดมันกำลังตามหลอกหลอนแกอยู่ทุกคืนวัน แล้วยังมีความรู้สึกที่แกไม่กล้ายอมรับเด่นชัดขึ้นจนแกรู้สึกกลัวใช่ไหมล่ะ?” คำพูดของคุณปู่การันก้าทำให้อเตต้าร์บดกรามตัวเองแน่นจนเป็นสันนูน วางช้อนลงยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วเดินออกจากห้องอาหารไปในทันที
มนตร์ลดาเดินสวนกับคนใบหน้าบูดบึ้งที่หน้าห้องอาหารอย่างงงๆ เป็นอะไรไปอีกล่ะ! เมื่อกี้นี้ยังทำท่าทางกวนประสาท มีความสุขนักหนาที่ได้แกล้งเธออยู่เลย แต่เพียงไม่กี่นาทีต่อมากลับมีสีหน้าโกรธจัดราวกับจะทำลายทุกอย่างที่ขวางทางเขาได้เลยทีเดียว หญิงสาวกลับมานั่งรับประทานอาหารต่อจนอิ่มแล้วจึงพาคุณปู่การันก้าออกไปเดินชมสวนย่อยอาหาร พูดคุยกันตามประสาคนคุยกันถูกคออยู่พักใหญ่ จึงพาท่านกลับขึ้นชั้นบน จัดการอาบน้ำแต่งตัวให้ท่านพร้อมเข้านอนอย่างคล่องแคล่ว
หากคุณปู่การันก้าสังเกตุได้ถึงสีหน้าอันผิดปกติของพยาบาลสาว จึงเอ่ยปากถามออกมาตรงๆก่อนที่เธอจะขอตัวกลับเข้าห้องส่วนตัว “หนูมิ้นต์ไว้ใจปู่ไหม?”
มนตร์ลดายิ้มแปลกใจ พลางทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดวางไว้ข้างเตียงใหญ่ “ทำไมถามอย่างนั้นล่ะคะ หนูอยู่ที่นี่รับรู้ได้ว่าคุณปู่ให้ความเมตตากับหนูมากเกินกว่านายจ้างลูกจ้างด้วยซ้ำไป”
“งั้นมีเรื่องหนักใจอะไรทำไมไม่ปรึกษาปู่”
“ปะ...เปล่านี่คะ”
“เปล่าอะไร ปู่เห็นสีหน้าแววตาของหนูเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจมากๆตั้งแต่เดินกลับเข้ามากินข้าวแล้ว ใครโทรฯมาเหรอ ถึงได้ทำให้กังวลใจได้ถึงขนาดนี้?” มีเหรอที่คนผ่านร้อนผ่านหนาวมาถึงแปดสิบปีเต็มจะมองเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ไม่ออก
“หนูโกหกคุณปู่ไม่ได้แม้กระทั่งสีหน้าจริงๆค่ะ”
“เล่าให้ปู่ฟังบ้างสิ เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง” การันก้าย้ำถามอีกครั้ง มนตร์ลดาจึงต้องเล่าเรื่องราวของน้องชายต่างบิดาให้ท่านฟัง และครั้งล่าสุดที่แม่ของเธอส่งข่าวมาก็คือดีด้าเพื่อนที่น้องชายนั้นอ้างว่ามาเที่ยวที่รีโอกรันดีโดซุลด้วยกันนี้ ยังอยู่ในรีโอเดอจาเนโรและย้ำว่าไม่ได้ติดต่อกับน้องชายของเธอตั้งแต่ถูกเชิญออกจากโรงเรียนในครั้งนั้นแล้ว ทำให้จันทร์แรมผู้เป็นแม่ร้อนรนใจยิ่งนัก
“แล้วแม่หนูมิ้นต์ลองโทรฯหาน้องชายดูรึยัง?” การันก้าถามต่อหลังจากที่ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากอิ่มของมนตร์ลดาจบลง
“โทรฯหาสองสามครั้งแล้วค่ะ แต่ไม่มีสัญญาณเลย”
“อืม... ความจริงถ้าจะไปแจ้งความก็คงต้องรออีกซักสองวัน เพราะวันนี้อัลเวสเพิ่งติดต่อกลับมา” การันก้าเปรยออกมา ช่วยหญิงสาวหาทางติดต่อน้องชายอีกแรงหนึ่ง
“ตอนนี้หนูเป็นห่วงน้องเพราะไม่รู้ว่าแกจะไปทำอะไรไม่ดีรึเปล่า แต่ที่ห่วงมากก็คือแม่ค่ะ สองปีมานี้ท่านกังวลใจกับเรื่องของอัลเวสมาตลอด แล้วยังมีโรคเบาหวานกับโรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคประจำตัวด้วย ความกังวลใจ คิดมาก นอนไม่หลับมันยิ่งจะมำให้ความดันเลือดสูงขึ้นตามไปด้วย” มนตร์ลดาเปรยออกมาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเป็นกังวลอย่างยิ่ง
“พรุ่งนี้ลองไปเช็คตามโรงแรมดูก็ได้นี่ มีชื่อของอัลเวสจองห้องพักในโรงแรมไหนบ้าง” การันก้าแนะวิธีที่คิดได้ออกมา
“พรุ่งนี้หนูก็คิดว่าจะทำอย่างนั้นล่ะค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้กี่โรงแรมกันเพราะโรงแรมในรีโอกรันดีโดซุลมีอยู่เยอะไม่ใช่เล่น” มนตร์ลดาว่าพลางถอนหายใจ มันเป็นหนึ่งในวิธีที่ขบคิดออกหากแต่ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาสักกี่วันถึงจะเช็คตามโรงแรมต่างๆได้ครบถ้วน
“อืม... มันก็จริงนะ ไอ้เรื่องเช็คตามโรงแรมถ้าไม่เจอก็ต้องเช็คตามโรงพยาบาล อันนี้ปู่ไม่ได้แช่งอัลเวสนะเพียงแต่พูดไปตามเนื้อผ้าเท่านั้น”
“ค่ะ... หนูเข้าใจ”
“มีคนเดียวเท่านั้นแหละที่จะช่วยหนูมิ้นต์ได้” การันก้าสบสายตากับพยาบาลประจำตัวอย่างหมดหนทาง
“ใครคะ??” มนตร์ลดาถามพลางเอียงหน้ารอฟังคำตอบอย่างตั้งใจ
“อาร์ตี้ไง”
“อะ...เอ่อ หนูไม่อยากรบกวนหรอกค่ะ พอจะทราบว่าเซญอร์อเตต้าร์งานรัดตัว”
“คิดดูให้ดีนะ... เรื่องนี้ไม่มีใครช่วยหนูมิ้นต์ได้นอกจากอาร์ตี้ เพียงแค่หนูมิ้นต์เอ่ยปากเท่านั้น คนของอาร์ตี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว แต่มันคงต้องเป็นคำสั่งที่ออกจากปากของเขาเท่านั้น ไม่เพียงแค่โรงแรมห้าดาวไล่ไปถึงไม่มีดาว แต่มันยังรวมไปถึงโรงแรมที่พวกอาชญากรใช้กบดานด้วย ซึ่งถ้าหนูมิ้นต์เป็นคนเช็คเองละก็ไม่มีวันได้เจอแน่” การันก้าบอกพร้อมมองสีหน้าหนักใจของพยาบาลสาว “หรือจะให้ปู่พูดกับอาร์ตี้ให้ล่ะ?”
มนตร์ลดาส่ายหน้าพลางบอกเร็วๆ “อย่าเลยค่ะ ขอหนูเก็บไปคิดอีกทีนะคะ”
มือเหี่ยวย่นตามกาลเวลาของคุณปู่การันก้าเอื้อมมาตบเบาๆที่มือบอบบางประสานกันไว้บนตักของมนตร์ลดา “คนเราต้องรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ อย่ามีทิฐินักมันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นหรอก เชื่อปู่นะ... จะเก็บเอาไปคิดอีกซักคืนก็ได้แต่อย่าคิดนานนักเพราะมันจะสายเกินแก้”
มนตร์ลดายิ้มขอบคุณให้กับผู้สูงวัยพลางกระชับผ้าห่มให้อีกครั้งก่อนจะขอตัวออกมาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวเองบ้าง สมองกำลังทำงานอย่างหนักเพราะคิดเปรียบเทียบระหว่างการขอความช่วยเหลือจากคนร้ายกาจที่มีอำนาจมหาศาล หากรู้ว่าอัลเวสอยู่มุมไหนของรีโอกรันดีโดซุลแล้ว แม่ก็จะคลายความกังวลใจทั้งหมดลงได้ หญิงสาวเดินเข้าห้องน้ำอาบน้ำชำระร่างกายอย่างเหนื่อยล้า เมื่อมีคำตอบในใจอยู่แล้วว่าพรุ่งนี้ต้องบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากคนหยาบกระด้าง ปากร้าย มันคงเป็นวิธีแก้ปัญหาเดียวที่ดีที่สุดในตอนนี้
สวัสดีค่า นักอ่านที่รัก
ทัณฑ์สวาทจอมเถื่อนตีพิมพ์เป็นรูปเล่มแล้วและสามารถ หิ้วอาร์ตี้จอมห่ามไปครอบครองได้ที่ร้านซีเอ็ดบุ๊ก ร้านนายอินทร์ ร้านบีทูเอส เว็บสำนักพิมพ์อินเลิฟ เว็บบุ๊กสไมล์ และสามารถพูดคุยกับศิริพาราได้ตามช่องทางดังนี้
1. e-mail siripara2writer@gmail.com
2. fanpage https://www.facebook.com/siripara.raya
3.facebook https://www.facebook.com/siripara.looktan
ติชมหรือแสดงความคิดเห็นได้ตามสบายค่า เม้ามอยหอยขมกันได้ไม่เฉพาะเรื่องนิยาย ศิริพารายังมีเกมกติกาแสนง่ายดาย แจกของรางวัลเล็กน้อยเพื่อตอบแทนนักอ่านที่รัก อย่าลืมกดlikefanpage ศิริพารา รายาฤดีนะคะ
จบเรื่องนี้แล้ว ศิริพาราจะเอานิยายทั้งหมดมาอัพให้นักอ่านที่รักได้อ่านกันทุกเรื่อง ขอบคุณที่ติดตามและแสดงความคิดเห็นค่ะ
จุ๊บๆๆ
ศิริพารา
ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 พ.ค. 2558, 10:50:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 พ.ค. 2558, 10:50:59 น.
จำนวนการเข้าชม : 1412
<< ตอนที่ 9 100% | ตอนที่ 11 100% >> |