ทัณฑ์สวาทจอมเถื่อน
“คนทั้งโลกคงหยาบคายอย่างนี้รึเปล่าถึงได้มีลูกหลานสืบพันธุ์ออกมาจะล้นโลกอยู่แล้ว
ผมหยาบคายจนทำให้คุณครางได้แบบนี้แล้วจะไปบอกตำรวจยังไงกันคิตตี้ ฮึ?”
ทันทีที่ ‘อเตต้าร์ เมนดิส โดส ซานโตส โอลีเวย์ร่า’ ได้เห็นใบหน้าเย้ายวนของ
‘มนตร์ลดา’ แม่พยาบาลสาวผู้เป็น ‘อนุ’ ของพี่ชายกำลังมั่วอยู่ในบาร์เหล้าที่เต็มไปด้วยผู้หญิงหากิน
มหาเศรษฐีหนุ่มเจ้าของธุรกิจไวน์ก็หมดความอดทนจนต้องลากเธอเข้าห้อง
เพื่อพิสูจน์ลีลาที่เธอใช้ล่อลวงพี่ชายเขาเสียจนอยู่หมัด
แต่กลับพบว่าเธอเป็นแค่เมียน้อยจอมปลอมที่ยังไม่เคยผ่านมือชายมาก่อน
แถมยังฤทธิ์แรง เหวี่ยงสะบัด
ขนาดประกาศกร้าวว่าจะลากคอเขาเข้าตะรางในข้อหากระทำชำเราให้ได้
โดยไม่มีแม้แต่เสียงคร่ำครวญหรือน้ำตาสักหยด
แต่ยังไม่ทันตกลงกันได้ แม่สาวน้อยผู้คาดเดาได้ยากก็หายตัวไปเฉยๆ
ทิ้งให้เขางุนงงว่าตกลงเธอจะเอายังไงกันแน่... ผู้ชายอย่างอเตต้าร์ไม่เคยถูกใครปั่นหัว
ยิ่งกับไก่อ่อนที่เพิ่งจะเสียความสาวครั้งแรกอย่างนี้ด้วย... และดูเหมือนโชคจะเข้าข้าง
เมื่อภรรยาคืนเดียวที่เคยเสียสาวให้เขากลับมาติดบ่วงเสียเอง พร้อมอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ
อเตต้าร์จึงฉวยโอกาสนี้บีบบังคับให้เธอเดินเข้ามาสู่ข้อตกลงอันตรายที่เร่าร้อน รัญจวนใจ
เพื่อตอกย้ำให้มนตร์ลดารู้ว่า เมื่อขึ้นมาอยู่บนเตียงของเขาแล้ว อย่าได้คิดที่จะก้าวลงเด็ดขาด
โดยเฉพาะเมื่อเขาติดใจเธอขนาดนี้
เขาก็จะไม่ยอมให้ใครได้ชิมความสาวของเธอเป็นการทับรอย!
“ลืมตาสิคนสวย... อย่าต่อต้านแล้วมันจะไม่เจ็บ หรือชอบให้ผมคลึงไปด้วยแบบนี้ ฮึ?”
“ไอ้คน-ชั่ว-ช้า!” มนตร์ลดาต้องลืมตาตามที่เขาสั่ง หากต้องอ้าปากค้างเมื่อไอ้คนชั่วช้ายิ้มพราย
จ้องมองเธอพร้อมทำเสียงครางซี้ดซ้าดไม่หยุดปาก
“ห้ามมองนะ!!”
“ไม่รู้สึกตัวช้าไปหน่อยเหรอคิตตี้... แค่มองมันไม่สึกหรอหรอกน่า...
ผมทั้งจูบทั้งชิมมาแล้ว ก็ยังอยู่ครบถ้วนเหมือนเดิมนี่”
“ปากเสีย!”
“ปากจัด! ทีเมื่อกี้ไม่เห็นพูดอย่างนี้เลย ครางอ๋อย... อย่างเดียว”
อเตต้าร์สวนกลับทันควัน
ผมหยาบคายจนทำให้คุณครางได้แบบนี้แล้วจะไปบอกตำรวจยังไงกันคิตตี้ ฮึ?”
ทันทีที่ ‘อเตต้าร์ เมนดิส โดส ซานโตส โอลีเวย์ร่า’ ได้เห็นใบหน้าเย้ายวนของ
‘มนตร์ลดา’ แม่พยาบาลสาวผู้เป็น ‘อนุ’ ของพี่ชายกำลังมั่วอยู่ในบาร์เหล้าที่เต็มไปด้วยผู้หญิงหากิน
มหาเศรษฐีหนุ่มเจ้าของธุรกิจไวน์ก็หมดความอดทนจนต้องลากเธอเข้าห้อง
เพื่อพิสูจน์ลีลาที่เธอใช้ล่อลวงพี่ชายเขาเสียจนอยู่หมัด
แต่กลับพบว่าเธอเป็นแค่เมียน้อยจอมปลอมที่ยังไม่เคยผ่านมือชายมาก่อน
แถมยังฤทธิ์แรง เหวี่ยงสะบัด
ขนาดประกาศกร้าวว่าจะลากคอเขาเข้าตะรางในข้อหากระทำชำเราให้ได้
โดยไม่มีแม้แต่เสียงคร่ำครวญหรือน้ำตาสักหยด
แต่ยังไม่ทันตกลงกันได้ แม่สาวน้อยผู้คาดเดาได้ยากก็หายตัวไปเฉยๆ
ทิ้งให้เขางุนงงว่าตกลงเธอจะเอายังไงกันแน่... ผู้ชายอย่างอเตต้าร์ไม่เคยถูกใครปั่นหัว
ยิ่งกับไก่อ่อนที่เพิ่งจะเสียความสาวครั้งแรกอย่างนี้ด้วย... และดูเหมือนโชคจะเข้าข้าง
เมื่อภรรยาคืนเดียวที่เคยเสียสาวให้เขากลับมาติดบ่วงเสียเอง พร้อมอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ
อเตต้าร์จึงฉวยโอกาสนี้บีบบังคับให้เธอเดินเข้ามาสู่ข้อตกลงอันตรายที่เร่าร้อน รัญจวนใจ
เพื่อตอกย้ำให้มนตร์ลดารู้ว่า เมื่อขึ้นมาอยู่บนเตียงของเขาแล้ว อย่าได้คิดที่จะก้าวลงเด็ดขาด
โดยเฉพาะเมื่อเขาติดใจเธอขนาดนี้
เขาก็จะไม่ยอมให้ใครได้ชิมความสาวของเธอเป็นการทับรอย!
“ลืมตาสิคนสวย... อย่าต่อต้านแล้วมันจะไม่เจ็บ หรือชอบให้ผมคลึงไปด้วยแบบนี้ ฮึ?”
“ไอ้คน-ชั่ว-ช้า!” มนตร์ลดาต้องลืมตาตามที่เขาสั่ง หากต้องอ้าปากค้างเมื่อไอ้คนชั่วช้ายิ้มพราย
จ้องมองเธอพร้อมทำเสียงครางซี้ดซ้าดไม่หยุดปาก
“ห้ามมองนะ!!”
“ไม่รู้สึกตัวช้าไปหน่อยเหรอคิตตี้... แค่มองมันไม่สึกหรอหรอกน่า...
ผมทั้งจูบทั้งชิมมาแล้ว ก็ยังอยู่ครบถ้วนเหมือนเดิมนี่”
“ปากเสีย!”
“ปากจัด! ทีเมื่อกี้ไม่เห็นพูดอย่างนี้เลย ครางอ๋อย... อย่างเดียว”
อเตต้าร์สวนกลับทันควัน
Tags: อเตต้าร์ - มนตร์ลดา
ตอน: ตอนที่ 11 100%
รุ่งเช้ามนตร์ลดาเข้ามาทำหน้าที่อาบน้ำแต่งตัวให้คุณปู่การันก้าเช่นเคย ราวยี่สิบนาทีต่อมาจึงพาท่านมายังห้องรับประทานอาหารชั้นล่าง ระหว่างนั้นคุณปู่การันก้าได้ซักถามถึงการตัดสินใจของพยาบาลสาวว่าจะขอความช่วยเหลือจากหลานชายจอมแสบของตนหรือไม่ และได้คำตอบเป็นการพยักหน้าอย่างลำบากใจหากแต่ต้องทำเพราะมันเป็นทางเลือกเดียวที่มีอยู่ เธอยังมารยาทงามจะรอให้อเตต้าร์ทานอาหารเช้าก่อนจึงจะเริ่มเอื้อนเอ่ยขอความช่วยเหลือ ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากนำเอาปัญหายุ่งยากใจไปให้เขาตั้งแต่เช้าตรู่ ความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักคิดเกินเด็กสาววัยเดียวกันของมนตร์ลดานั้นทำให้คุณปู่การันก้ามองอย่างเอ็นดู พลางหนักใจกับนิสัยที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวของคนทั้งคู่
บางทีนิสัยที่แตกต่างกันมากๆมันอาจจะทำให้คนทั้งสองอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัวเพราะต่างฝ่ายต่างเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปของอีกคน แต่ในกรณีของอเตต้าร์และมนตร์ลดานั้นพบเจอกันด้วยความเข้าใจผิดจนเลยเถิดไปเป็นเรื่องใหญ่โตถึงขั้นหักหาญน้ำใจกัน มองปราดเดียวก็พอจะรู้ว่าหลานชายจอมเถื่อนของตนนั้นมีใจให้กับพยาบาลสาว ซึ่งพูดได้เต็มปากว่าไม่เคยได้เห็นท่าทางของอเตต้าร์จะตามตอแยกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่เพราะมีความผิดติดตัวหนักหนาเลยต้องวางฟอร์มเยอะแยะจนดูเหมือนจะเกิดเรื่องทำร้ายจิตใจฝ่ายหญิงไปเสียทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากัน
ไม่นานนักอเตต้าร์ก็เดินเข้ามาในห้องอาหาร ชายหนุ่มอ่านหนังสือพิมพ์ที่วางเตรียมไว้ให้หลายฉบับอย่างรวดเร็วจิบกาแฟดำสนิทไปพร้อมๆกัน แต่พอลดหนังสือพิมพ์ลงก็ได้เห็นปู่ของตนและแม่พยาบาลสาวกำลังส่งสัญญาณบางอย่างให้แก่กัน เหมือนมีเรื่องอะไรสักอย่างจะพูดกับตน
“ผมไม่ใช่ผู้พิพากษานะเวลาจะพูดอะไรด้วยถึงต้องทำท่าทางลำบากใจขนาดนั้น” อเตต้าร์พับหนังสือพิมพ์วางไว้ใกล้มือ ถามพร้อมหรี่ตามองใบหน้างดงามของผู้หญิงที่นั่งตรงกันข้าม
“เอ่อ... คือ” มนตร์ลดาอึกอัก ลำบากใจเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนก่อนดี และยิ่งพูดไม่ออกไปใหญ่เมื่อร่างสูงใหญ่ของคนที่จะขอร้องนั้นเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ กอดอก เลิกคิ้วเป็นเชิงถามทำท่ารอฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
“เอ้า... พูดซิแม่หนูมิ้นต์ หรือจะให้ปู่เป็นคนพูด” การันก้ากระตุ้นพอจะรู้ว่ามนตร์ลดานั้นลำบากใจ แต่เพียงชั่วครู่เสียงหวานเจื้อยแจ้วก็เริ่มเอื้อนเอ่ยปัญหาที่ตนเองประสบพบเจอออกมา แต่ผู้สูงวัยกลับกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างระอาใจเมื่อหันมามองใบหน้าของหลานชายจอมเถื่อนที่นั่งทำตาเคลิ้ม ยิ้มตรงมุมปากน้อยๆราวกับว่ากำลังฟังวงออเคสตร้าบรรเลงเพลงประทับใจ มันเป็นใบหน้าที่คนหยาบกระด้างอย่างอเตต้าร์ไม่มีโอกาสที่จะแสดงออกมาให้ใครได้เห็นบ่อยนัก จบคำร้องขอของมนตร์ลดาแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัวจนตนต้องแสร้งกระแอมเสียงดังเรียกให้ตื่นจากภวังค์
อเตต้าร์รีบขยับตัว กดเสียงต่ำถามราวกับรำคาญใจหนักหนาแต่มันเป็นปฏิกิริยาที่คนเลี้ยงดูชายหนุ่มมาตั้งแต่เกิดมองออกว่ามันเป็นเพียงการแสดงออกมาแก้เขินเท่านั้น!! “ตกลงจะให้หาแค่ที่อยู่หรือให้พาไปหาน้องชาย?”
“หาแค่ที่อยู่ก็พอค่ะ ถ้ารู้ว่าเขาพักที่โรงแรมไหนแล้วฉันจะไปหาเขาเองค่ะ” มนตร์ลดารีบตอบ
“แล้วจะไปยังไง รีโอกรันดีโดซุลไม่ใช่เล็กๆ หรือว่าจะให้ไอ้หมอปาโต้นั่นพาไป?” อเตต้าร์ถามเสียงขุ่น
“เมื่อเช้าฉันโทรฯปรึกษาคุณหมอปาโต้แล้วค่ะ เขาบอกว่าจะช่วยหาอีกแรง” มนตร์ลดาบอกไปตามความจริง เมื่อเช้าพออาบน้ำแต่งตัวเสร็จเธอก็ต่อสายปรึกษาเรื่องนี้กับปาโต้เพื่อนต่างวัยที่ให้คำแนะนำอย่างดี แต่กลับลืมไปว่าอเตต้าร์เคยสั่งห้ามไว้ว่าอย่างไร!
“งั้นก็ให้มันช่วย จะมาขอให้ผมช่วยทำไม” อเตต้าร์ตอบกลับแบบพาลพาโล
“อาร์ตี้!...” คุณปู่การันก้าปรามเสียงดุ รู้ทันความคิดหลานชายล่ะว่าเต็มใจช่วยเหลือเธออย่างที่สุดแต่ที่ทำเป็นไม่สนใจไยดีเพราะความหึงหวงเข้าครอบงำ
มนตร์ลดาพูดไม่ออกเพราะคิดเอาไว้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าคนรวยแบบเขาจะมาสนใจช่วยเหลือเรื่องเล็กน้อยของเธอได้อย่างไร
“หาคนแค่คนเดียวมันไม่ยากอะไรนักหนาหรอก แต่ถ้าจะให้ผมช่วยก็อย่าคิดจะได้ไปขอความช่วยเหลือนี้จากใครหน้าไหนอีก ไม่อย่างนั้น...”
คุณปู่การันก้าชิงพูดดักคอขึ้นก่อนที่อเตต้าร์จะข่มขู่พยาบาลสาวไปมากกว่านี้ “อาร์ตี้ ตกลงแกจะช่วยแม่หนูมิ้นต์ใช่ไหม?”
“ก็ต้องแล้วแต่แม่หนูมิ้นต์ของปู่ล่ะครับว่าจะทำตามคำสั่งของผมได้รึเปล่า? หือ??” พูดจบก็หันไปจ้องดวงตาดำขลับถามอย่างรอคอยคำตอบ
“ว่างไงหนูมิ้นต์??” การันก้าถามคนที่ยังทำหน้างงๆ ปรับตัวไม่ทันกับอารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของอเตต้าร์
“เอ่อ... ค่ะ แต่ว่าฉันบอกหมอปาโต้ไปแล้วนี่คะ”
“งั้นก็โทรฯไปบอกมันว่าอย่ามาแส่ เรื่องของคนในตระกูลโอลีเวย์ร่าต้องให้หมอซื่อบื้ออย่างนั้นเข้ามาวุ่นวายด้วยหรือยังไง” อเตต้าร์บอกอย่างข่มอารมณ์โกรธที่แม่คิตตี้คนงามไปปรึกษาปัญหากับคนอื่นแทนที่จะมาปรึกษาเขาก่อนเป็นคนแรก!!
มนตร์ลดาถึงกับพูดไม่ออก นั่งนิ่งคิดหนักกับคำพูดที่เขามักรวมเธอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลร่ำรวยอย่างโอลีเวย์ร่าอยู่บ่อย อย่างวันที่เขาพาไปดูโรงบ่มไวน์นั่นก็พูดว่าไร่องุ่นของเรา! วันนี้ยังบอกว่าเรื่องของเธอคือเรื่องของคนตระกูลโอลีเวย์ร่าอีก มือเรียวบอบบางยกแก้วน้ำสะอาดขึ้นจิบพลางคิดถึงเหตุการณ์และคำพูดที่ชวนให้งงงันของเขา
“อิ่มแล้วใช่ไหม จะได้ไปกันเลย?” อเตต้าร์ถามเสียงเข้มเมื่อเห็นหญิงสาวดื่มน้ำแล้ว
“จะไปไหนคะ?”
“อ้าว!... ก็ไปออฟฟิศกับผมน่ะสิ ไหนว่าจะให้ช่วยหาที่อยู่น้องชาย ถ้าคุณไม่ไปบอกรูปพรรณสัณฐานของน้องชายคุณกับคนของผมที่ออฟฟิศ แล้วพวกนั้นมันจะหาน้องชายคุณเจอไหม”
“เอ่อ... แต่ฉันต้องดูแลคุณปู่” มนตร์ลดายังห่วงหน้าที่ของตนเองทั้งอีกใจหนึ่งก็อยากรู้ข่าวของน้องชายด้วย คุณปู่การันก้าจึงเอ่ยอนุญาตให้พยาบาลสาวไปจัดการเรื่องส่วนตัวก่อนโดยไม่ต้องเป็นห่วงท่านเพราะยังมีกานโช่คอยดูแลอยู่อีกคน มนตร์ลดาจึงยิ้มอย่างซาบซึ้งพร้อมกล่าวคำขอบคุณผู้สูงวัยที่เข้าใจและเมตตาตนเองเสมอมา
ราวสามสิบนาทีต่อมามนตร์ลดาก้าวลงจากรถสปอร์ตคันหรูที่เพิ่งเคยเอนกายลงนั่งเป็นครั้งแรกในชีวิต เจ้าของร่างอ้อนแอ้นแหนหน้าขึ้นมองโดมกระจกใสอันใหญ่โตมโหราฬตรงหน้า อดแปลกใจไม่ได้เพราะไม่เคยคิดว่าออฟฟิศที่คนเถื่อนทำงานจะหรูหรา มีรูปทรงทันสมัยเช่นนี้ หากความอุ่นซ่านที่เข้ามากระทบฝ่ามือนั้นดึงสายตาให้ก้มลงมองตามแรงกระชับที่มือของตนเองทันที
“เดินเร็วๆซิ ไหนว่าร้อนใจเรื่องน้องชาย มัวมองอะไรอยู่!?” อเตต้าร์จับมือของหญิงสาวแน่น เดินเข้าไปด้านในพลางต่อว่าต่อขานอย่างไม่จริงจังนัก
มนตร์ลดาต้องเดินตามแรงดึงของคนที่จับมือตนเองเดินอย่างเสียไม่ได้ ประตูกระจกเลื่อนเปิดออกอัตโนมัติพร้อมกับพนักงานรักษาความปลอดภัยร่างยักษ์โค้งคำนับให้อย่างสุภาพ พนักงานสาวสวยหน้าสองคนหลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ผุดลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยทักทายเจ้านายอย่างยิ้มแย้ม แต่พอเจ้านายเดินผ่านไปทั้งคู่ก็หันมาซุบซิบ อบยิ้มมองเธออย่างมีเลศนัย
“ปล่อยเถอะค่ะ คนมองกันใหญ่แล้ว” มนตร์ลดาบอกเมื่อเข้ามาอยู่ในลิฟต์แก้วที่เริ่มเคลื่อนที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งใช้อีกมือหนึ่งของตนแกะนิ้วแข็งแรงออกแต่ก็ไม่เป็นผล มองรอยยิ้มที่มุมปากอย่างไม่ยี่หระกับเรื่องราวรอบตัว
“ตามีไว้มอง ทำไมต้องแคร์กับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ด้วย” อเตต้าร์บอกเปลี่ยนจากกับจับมือมาสอดนิ้วเข้าประสานกับซอกนิ้วเรียวอย่างยั่วเย้า
“เอ๊ะ!!”
“อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน คุณน่าจะรู้ว่าคนอย่างผมน่ะ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ” ก่อนที่ทั้งคู่จะได้ต่อปากต่อคำกันอีกประตูลิฟต์ก็เปิดออกช้าๆ อเตต้าร์จึงพาร่างอ้อนแอ้นเดินออกมา ผ่านชั้นเก็บขวดไวน์เรียงเป็นระเบียบอยู่ข้างผนัง พนักงานหลายคนต่างลุกขึ้นยืนพร้อมทักทายเจ้านายอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสแต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าวันนี้ท่านพกเอาสาวน้อยใบหน้างดงามมาทำงานด้วยเป็นครั้งแรก แถมยังจับมือถือแขนกันอย่างสนิทสนมอีกด้วย แน่นอนล่ะว่ามันคือเรื่องซุบซิบในอาคารทรงโดมแก้วนี้ และอีกไม่กี่วันข้างหน้ามันก็จะขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆว่า ‘เซญอร์อเตต้าร์ เมนดิส โดส ซานโตส โอลีเวย์ร่า ควงสาวน้อยคนงามมาทำงานด้วย มันคงทำให้สาวๆทั่วโลกต่างมีอาการช้ำในอกได้เป็นแน่!’
“กาแฟไหม?” อเตต้าร์ถามเมื่อเข้ามาอยู่ในห้องทำงานกว้างขวางของตน และยังไม่ปล่อยมือเรียวให้เป็นอิสระง่ายๆ แม้เจ้าของจะขยันแกะขยันแงะเหลือเกิน
“ไม่ค่ะ ปล่อยมือก่อนได้ไหม คุณไม่เห็นหรือไงว่าคนอื่นเขามองแล้วพูดซุบซิบกัน แล้วถึงคุณจะไม่แคร์แต่ฉันแคร์!” มนตร์ลดาต่อว่าเพราะความโมโห
อเตต้าร์ยักไหล่อย่างไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอแต่ก็ยอมคลายมือออกในที่สุด “ชอบไหม?”
“คะ??” มนตร์ลดาไม่เข้าใจคำถาม
“เห็นออฟฟิศผมแล้วเป็นไง ชอบไหม??” อเตต้าร์ขยายประโยคคำถามให้สาวซื่อบื้อเข้าใจมากขึ้น หากเขาใช้ประโยคนี้ถามสาวๆคนอื่นคงไม่ต้องขยายความกันให้ยืดยาวแบบนี้แน่
“ก็สวยดีค่ะ” แต่ไม่เหมาะกับคนหยาบกระด้างแบบคุณหรอกนะ มนตร์ลดาพูดต่อเองในใจ หากมีเรื่องร้อนใจจึงไม่อยากต่อความให้เขาไม่พอใจพร้อมเข้าถามเข้าเรื่องทันที “ไหนล่ะคะ คนของคุณที่จะให้ฉันบอกข้อมูลของน้องชาย”
“ใจเย็นๆสิ เพิ่งมาถึงยังไม่ทันนั่งเลย ก่อนอื่นเราต้องมาทำข้อตกลงกันก่อน” อเตต้าร์บอกพลางเดินไปนั่งทรุดตัวลงที่เก้าอี้ทำงานตัวใหญ่
“ฉันจะโทรฯไปบอกปาโต้ตอนนี้เลยก็ได้ค่ะ จะไม่ให้เขาเข้ามายุ่งเรื่องนี้อีกเลย” มนตร์ลดาเดินตามเข้าไปหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานตัวยาว
อเตต้าร์มองท่าทางกระตือรือร้นและสายตาวิงวอนนั้นอย่างสงสาร แต่ห้ามใจตัวเองไว้เพราะมันเป็นโอกาสเดียวที่จะเพิ่มเติมข้อต่อรองทุกอย่างตามที่ใจต้องการ มันจะเป็นเงื่อนไขที่บังคับให้เธอทำตัวอยู่ในโอวาทได้แน่นอน จากการที่เคยให้ไมนาสไปสืบประวัติเธอมาแล้ว และพอรู้มาอยู่บ้างว่าบาร์เทนเดอร์หนุ่มน้อยคือน้องชายต่างบิดาของเธอนั้นท่าทางเกเรเอาเรื่องอยู่มาก แต่ในตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจคนรอบข้างเธอไปมากกว่าประวัติส่วนตัวของเธอ
“บอกมาซิคะ คุณมีเงื่อนไขอะไรอีก??” มนตร์ลดาย้ำถามอีกครั้งหนึ่งเมื่อเห็นเจ้านายนั่งนิ่งเงียบไปนาน
“ข้อแรกบอกไปแล้ว ข้อสองห้ามขัดใจผม ความจริงผมว่าข้อแรกมันก็รวมอยู่ในข้อสองด้วยนะ สรุปง่ายๆว่าห้ามขัดใจผม โอเคม่ะ??”
มนตร์ลดาขมวดคิ้วมุ่น มันดูจะมากเกินไปหน่อยสำหรับการต้องทำตามใจของคนเจ้าอารมณ์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอย่างเขา แต่ก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากเขาอยู่ ปากอิ่มสีเชอร์รี่จึงเริ่มต่อรองด้วยน้ำเสียงประนีประนอม “เช่นว่าเรื่องอะไรบ้างล่ะคะ คำว่าห้ามขัดใจคุณมันออกจะดูกว้างเกินไปหน่อย และฉันว่ามันไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่”
“ห้ามขัดใจทุกเรื่องและผมว่ามันยุติธรรมที่สุดแล้วเพราะไม่เกินสองวันผมจะพาคุณไปพบน้องชายคุณได้แน่นอน แต่ถ้าคุณว่ามันไม่ยุติธรรม เปลี่ยนใจไม่อยากให้ผมช่วย ไม่สนใจว่าแม่คุณจะไม่สบายใจจนล้มป่วยไปก็ตามใจ เดี๋ยวจะให้ไมนาสเอารถออกพาไปส่งที่บ้าน” อเตต้าร์บอก จงใจต้อนเธอให้จนมุมด้วยเหตุผลที่ทำให้ไม่สามารถปฏิเสธได้
“แล้วถ้าภายในสองวันไม่เจอน้องชายฉันล่ะคะ?”
“ไม่มีคำว่าไม่เจอ แต่ถ้าคุณยังมีข้อต่อรองไม่จบไม่สิ้นต่อไปจะเจอตัวเป็นๆรึเปล่าน่ะ ไม่รับประกัน!” อเตต้าร์ขู่หนักเข้าไปอีก “โอเค้??”
“ค่ะ!!” มนตร์กระแทกเสียงตอบรับข้อตกลงอย่างเสียมิได้ มองมือหนากดปุ่มอินเตอร์คอมเรียกระดมทีมงานในทันที แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เพทุบายบนใบหน้าคร้ามคมทำให้มนตร์ลดาต้องเบือนหน้าหนี รู้สึกร้อนๆหนาวๆแล่นผ่านช่องท้องให้รู้สึกโหวงเหวงชอบกล
สองวันเท่านั้นๆ ท่องเอาไว้มนตร์ลดาเพื่อแม่ที่รอคอยอย่างมีความหวัง แลกกับการทำตามใจคนเจ้าอารมณ์สองวันก็นับว่าไม่ขาดทุนเท่าไหร่
ไม่นานนักเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ไมนาสและชายร่างสูงใหญ่อีกราวห้าหกคนต่างก็ทยอยเดินเข้ามาในห้อง ไมนาสเป็นคนแนะนำว่าทั้งหมดนี้จะเป็นคนออกตามหาน้องชายของเธอเอง มนตร์ลดาโชว์รูปภาพของอัลเวสที่มีบันทึกไว้ในเครื่องโทรศัพท์ของตนและบอกรายละเอียดส่วนตัว วันที่เดินทางออกจากบ้าน ไมนาสจึงบอกว่าคงต้องเริ่มสืบจากการวันที่มีเดินทางออกจากรีโอเดอจาเนโรเพื่อให้แน่ชัดว่าอัลเวสจะเดินทางมาที่รีโอกรันดีโดซุลจริงๆ รูปถ่ายของอัลเวสถูกปริ้นออกมาส่งให้ชายร่างสูงใหญ่ทั้งหมด
“หาตัวมาให้ได้เร็วที่สุด ทุกโรงแรมน้อยใหญ่ มีชื่อหรือว่าเป็นแหล่งที่กบดานของพวกพ่อค้ายาก็อย่าได้ละเว้น จำไว้นะถ้าพวกแกพบเด็กผู้ชายคนนี้ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติให้รายงานฉันก่อน ห้ามทำอะไรผลีผลาม เขาต้องปลอดภัยที่สุดจำเอาไว้” อเตต้าร์สั่งการด้วยน้ำเสียงเข้ม มั่นคง “อ้อ... ไมนาส อย่าลืมเช็คตามสถานีตำรวจด้วย”
มนตร์ลดายิ้มอย่างขอบคุณให้ไมนาสที่รับคำอย่างหนักแน่นและก้าวออกไปจากห้องในเวลาต่อมา พลางหันไปมองร่างสูงใหญ่อย่างสงสัย ทำไมต้องให้หาตามแหล่งกบดานของพวกพ่อค้ายาด้วย? จริงอยู่ว่าน้องชายเธอเกเร ไม่ใช่เด็กที่ประพฤติตัวอยู่ในกรอบนักแต่เขาเพิ่งจะอายุไม่ถึงสิบแปดปีด้วยซ้ำคงจะไม่หลงผิดเอาตัวไปพัวพันกับยาเสพติดหรอกนะ!!
อเตต้าร์ลอบมองใบหน้างดงามที่กำลังกรอกตาไปมา ขบริมฝีปากด้านล่างอย่างคนใช้ความคิดอย่างเพลินตา ถามตัวเองว่าเธอสวยเกินไปจนสองตาของเขามองไม่เห็นถึงความสวยของผู้หญิงอื่นหรือเป็นเพราะกำลังหลงเธอจนไม่มีจิตใจจะมองใครกันแน่ มันถึงทำให้เขาเหมือนคนไร้น้ำยาหมดสภาพอยู่แบบนี้ แต่เพียงแค่ลอบมองเธอเท่านั้นเส้นประสาททุกเส้นมันถึงตื่นตัวตอบรับเธอจนรวดร้าวได้ถึงเพียงนี้!!
“ฉันไม่เข้าใจเลยค่ะ ทำไมคุณถึงบอกว่าถ้าเจอน้องชายของฉันในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ มันหมายความว่ายังไงคะ?” เมื่อคิดหาคำตอบด้วยตัวเองไม่ได้ มนตร์ลดาก็เอ่ยถามออกมาในที่สุด
อเตต้าร์เงยหน้าขึ้นจากเอกสารบนโต๊ะทำงาน หันรีหันขวางมองไปรอบๆตัว ตีหน้าซื่อตาใสถามกลับคืนทันที “ถามใครเหรอ??”
“ถามเซญอร์อเตต้าร์น่ะสิคะ ก็เราอยู่ในห้องกันแค่สองคนนี่คะ”
“ไม่รู้สิ! จู่ๆก็พูดขึ้นมา ไอ้เราก็นึกว่าเครียดจัดพูดกับตัวเอง”
“เมื่อกี้นี้ฉันก็บอกแล้วว่าถามคุณ” มนตร์ลดาข่มอารมณ์พูดอย่างใจเย็น
“ไม่มีคุณ ไม่มีเซญอร์อเตต้าร์อะไรทั้งนั้นเพราะผมคืออาร์ตี้ โอเค้?? และถ้าคิดจะมีข้อโต้แย้งก็จะท่องข้อตกลงของเราไว้ให้ขึ้นใจ” อเตต้าร์ยิ้มพรายเมื่อปากอิ่มที่กำลังจะขยับเถียงนั้นเม้มแน่น ทำหน้าง้ำทันที “คราวนี้ถามใหม่ พูดดีๆให้น่าฟังซิ”
หน็อย!... ได้ทีขี่แพะไล่เชียวนะ จะให้เรียกตัวเองอย่าสนิทสนมกับคนหยาบกระด้างอย่างนี้น่ะเหรอ อยากจะกลั้นใจตายมันตรงนี้เลย ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญต้องให้เขาช่วยล่ะก็อย่าได้หวังเลยว่าจะได้ยินฉันพูดดีด้วย! มนตร์ลดาคิดอย่างแค้นใจแต่สุดท้ายก็ต้องยอมทำตามเจ้านายเรื่องเยอะแต่โดยดี “อะ...เอ่อ อาร์ตี้คะ คือฉันอยากรู้ว่าสถานการณ์ที่ไม่ปกตินี่หมายความว่ายังไงคะ?”
อเตต้าร์ฟังคำพูดรื่นหูนั้นอย่างสบายอารมณ์ มันให้ความรู้สึกดีชะมัดที่เธอพูดจาน่าฟัง ทำตัวน่ารักแบบนี้ “ก่อนอื่นต้องยอมรับก่อนนะว่าอัลเวสน่ะเกเรอยู่ไม่น้อย ถ้าเขามาเที่ยวจริงๆก็คงไม่ทำตัวลึกลับอย่างตอนนี้ ส่วนที่สั่งไปแบบนั้นก็เพราะว่าเผื่อคนของเราเจออัลเวสในสถานการณ์ที่เขาอยู่รวมกับพวกแก๊งมาเฟียเถื่อน จะทำอะไรก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ อันนี้ผมพูดเผื่อไว้เท่านั้น หวังว่าคงจะไม่ใช่”
“ฉันยอมรับนะคะว่าอัลเวสออกจะเกเรกว่าเด็กทั่วไปอยู่มาก แม่กับฉันเราพยายามอย่างหนักที่จะดูแลให้เขาอยู่ในสายตาไม่ทำตัวนอกลู่นอกทางไปมากนักแต่มันก็เป็นไปได้ยากมากเพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากลุงเปาโลเท่าที่ควร ที่สำคัญคืออัลเวสทำงานในบาร์ ซึ่งมันเป็นสภาพแวดล้อมที่ล่อแหลมชวนให้เสียคนได้ง่ายมากแต่ฉันยังไม่คิดว่าอัลเวสจะเดินทางผิดเลยเถิดจนไป
เกี่ยวข้องกับยาเสพติด” มนตร์ลดาพูดเชิงปรึกษา มองคนตัวโตที่ลุกขึ้นเดินทางทิ้งตัวลงนั่งข้างๆบนโซฟายาวตัวเดียวกัน ยกเท้าพาดไว้บนโต๊ะกลางกระดิกเท้าสบายอารมณ์ พลางลอบถอนหายใจให้กับคนมารยาทหยาบโลน
“ผิดแล้วคิตตี้... น้องชายคุณน่ะเป็นบาร์เทนเดอร์ที่มีบริการเสริมให้ลูกค้าไปทั่ว เขายังเคยแนะนำเซเว่นแฮฟเว่นให้กับผมเลย” อเตต้าร์บอกจากเหตุการณ์ที่ตนประสบมากับตัวเองให้พี่สาวต่างพ่อของบาร์เทนเดอร์หนุ่มน้อยได้รับรู้ความจริงไว้
“อะไรเหรอคะ เซเว่นแฮฟเว่น??” มนตร์ลดาเอียงหน้าถามอย่างสงสัย
“ยาปลุกเซ็กส์ไงล่ะ ผมเคยไปนั่งดื่มที่บาร์สองครั้งมั้ง อัลเวสแนะนำให้ผมลองเครื่องดื่มสูตรพิเศษของเขาแถมยังบอกว่ามีอีหนูเตรียมไว้พาขึ้นสวรรค์เรียบร้อยด้วย ผมยังเคยคิดเล่นๆว่าอยากเห็นหน้าพ่อแม่ของไอ้เด็กคนนี้นักคงภูมิใจพิลึก!” อเตต้าร์พูดอย่างตรงไปตรงมาพลางหันไปมองคนข้างๆที่ทำหน้าตกใจ สีหน้าซีดสลับแดงก่ำ มันทำให้ผู้ชายที่ผ่านการใช้ชีวิตมาอย่างโชกโชนเข้าใจทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ “ไม่ใช่วันที่เรารักกันหรอกน่า... วันนั้นผมมีสติครบถ้วน รู้สึกตัวทุกการกระทำ”
“หึ! ดูภูมิใจเหลือเกินนะคะที่รังแกคนอื่นได้ วันนั้นฉันไม่เห็นจะรู้สึกว่าเรารักกันสักนิด” มนตร์ลดาอดประชดด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นออกมาไม่ได้
“งั้นมาลองทำกันใหม่มั้ย คราวนี้ผมจะทำให้คุณอยากรับความรัก ต้องการมัน จนต้องร้องกรี๊ดๆเชียวล่ะ เอามั้ยล่ะ??” ว่าจบก็เคลื่อนตัวเข้าหาร่างอ้อนแอ้นอย่างรวดเร็ว ใช้แขนข้างหนึ่งจับที่วางแขนโซฟาไว้ จ้องมองใบหน้างดงามอย่างท้าทาย
มนตร์ลดาดวงตาพร่าเลือนกับใบหน้าหล่อเหลาคร้ามคมที่อยู่ใกล้กันจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่รดรินอยู่ พลางกระพริบตาถี่ขับไล่ความรู้สึกหวั่นไหวที่เกิดขึ้นในหัวใจ “ถอยออกไปนะอาร์ตี้!”
“สั่งเหมือนเมียเปี๊ยบเลย”
“ไม่ใช่!!” มนตร์ลดามองคนที่แหนหน้าระเบิดเสียงหัวเราะดังๆออกมาดัง แล้วขยับตัวเข้ามาใกล้เธออีก
“ช่าย... เมียคนนี้เป็นสาวเวอร์จิ้นซะด้วย” อเตต้าร์ลากเสียงตอบอย่างกวนอารมณ์
“เอ๊ะก็บอกว่าไม่ใช่! งั้นผู้หญิงที่เคยขึ้นเตียงกับคุณก็ต้องเป็นเมียคุณหมดงั้นสิ?” มนตร์ลดาเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ แน่นอนล่ะว่ากิตติศัพท์เกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงของเซญอร์อเตต้าร์เป็นที่ล่ำลือในคฤหาสน์โอลีเวย์ร่ามากเพียงใด ขนาดคุณปู่การันก้ายังเคยเล่าให้ฟังว่าเขาชอบจัดปาร์ตี้ฟองสบู่! ไอ้ผู้ชายเสเพล ไม่มีสำนึก!!
อเตต้าร์เลื่อนมือทั้งสองข้างมาประคองใบหน้างดงามไว้ จ้องตาเธออย่างรู้ทันความคิด “ขี้หึงไม่ใช่เล่น... ทีนี้เข้าใจรึยังว่าผมไม่ชอบให้คุณไปพึ่งพาผู้ชายหน้าไหนนอกจากผมคนเดียวเหมือนกันกับที่คุณไม่ชอบผู้หญิงที่ผ่านมาของผมนั่นแหละ”
“ก็บอกว่าไม่ได้หึง” มนตร์ลดาตอบออกมาราวกับละเมอ
“หึง... ไม่รู้ตัวต่างหาก” อเตต้าร์แก้ให้ด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก น่าฟังจนมนตร์ลดาเถียงไม่ออก ลมหายใจร้อนผ่านรินรดไปทั่ววงหน้า
สายตาเฉียบคมของอเตต้าร์มองริมฝีปากอวบอิ่มที่เผยออยู่น้อยๆอย่างหลงใหล ต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์ของกันและกัน ปลายจมูกโด่งเฉียดวนใกล้แก้มหอมนุ่มและริมฝีปากเย้ายวนใจตรงหน้าราวกับตั้งใจยั่วยวนให้แม่สาวที่ชอบเถียงว่าตัวเองไม่ใช่เมียเขานั้นร้องขอเสียเอง
มนตร์ลดาค่อยๆหลับตาลง เมื่อปลายจมูกโด่งเฉียดใกล้ริมฝีปากตัวเอง ทุกส่วนในร่างกายอ่อนระทวยราวกับเต็มใจรอรับสัมผัสที่เขาจะมอบให้อย่างรอคอย ไม่มีการต่อต้านใดๆทั้งสิ้นจนกระทั่งได้ยินเสียงแหบพร่าดังขึ้นมาเตือนสติให้รู้สึกตัว
“ผมจะไม่ทำตัวน่าโมโหให้คิตตี้หึงอีก แต่จากนี้ไปผมจะมีคิตตี้บนเตียงทุกคืนแล้วอยากได้อะไรผมจะหาให้ ผมจะเอาน้องชายมาส่งให้ถึงมืออย่างปลอดภัยขอแค่ยอมผมเท่านั้น!”
ประโยคบอกเล่าแสลงใจที่ทำให้มนตร์ลดาเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างฉับพลัน มนต์เสน่ห์รัญจวนใจทุกอย่างรอบตัวเลือนหาย เหมือนถูกโดนตบหน้าเข้าฉาดใหญ่ ผลักสองมือที่ประคองใบหน้าตนออกด้วยท่าทางขยะแขยง ผุดลุกขึ้นออกมายืนมองเขาด้วยสายตาประนามพร้อมคำบริภาษที่หลั่งไหลออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “คนเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่เคยเห็นใจความรู้สึกของคนอื่น คุณช่วยฉันเพราะอยากให้ฉันยอมเป็นของเล่นบนเตียงคุณน่ะเหรอ ไม่มีวันซะหรอก ไอ้คนไร้จิตสำนึก!”
อเตต้าร์เบิกตากว้างอย่างงุนงง พอด่าจบแม่คิตตี้คนงามก็วิ่งเร็วอย่ากับนักกรีฑาออกจากห้องทำงานไปทันที ขนาดว่าเรียกตามไม่ทัน “อะไรกันนักกันหนาวะ??” ขนาดว่าสัญญาว่าจะมีเธอคนเดียวแล้วยังไม่พอใจแถมยังมาด่าว่าเขาว่าเห็นแก่ตัว ไร้จิตสำนึกอีกด่าจบยังวิ่งหนีไปโดยไม่ให้โอกาสได้ไถ่ถามเลยซักคำว่าเขาพูดผิดตรงไหน!
แล้วเธอยังต้องการอะไรอีกวะ? เขาไม่เคยพูดกับผู้หญิงหน้าไหนว่าจะมีเธอเพียงคนเดียวเพราะมันดูไม่ยุติธรรมมากไปหน่อยสำหรับผู้ชายเต็มตัว ฮอร์โมนเดือดพล่านอย่างเขา ไม่เคยยื่นข้อเสนอพิเศษสุดเหล่านี้ให้ใครอย่างที่ให้กับแม่คิตตี้คนงาม แน่ล่ะว่าหากเขาให้คำพูดเหล่านี้หลุดปากออกไปพวกหล่อนเหล่านั้นคงกระโจนเข้าใส่ไม่ใช่เผ่นแนบเหมือนเธอเป็นแน่ แบดบอยจอมเถื่อนคิดอย่างหงุดหงิดใจ พลางลุกขึ้นไปยกโทรศัพท์สั่งงานไมนาสลูกน้องมือขวาให้คอยตามเธอไว้อย่าได้คลาดสายตา วิ่งเตลิดออกไปแบบนั้นได้ยังไงกำลังจะได้ลิ้มรสริมฝีปากหวานล้ำของเธอแล้วเชียว
ดีล่ะ!... นี่เขาคงยอมลดราวาศอกให้มากไป เธอถึงได้ใจพยศหนักขนาดนี้ แล้วเราจะได้รู้กันแม่คิตตี้คนงาม คราวหลังอย่ามาคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องให้ช่วยก็แล้วกัน พ่อจะฟาดให้อิ่มเต็มคราบก่อนทุกครั้งที่เธอต้องการความช่วยเหลือเชียวล่ะ ฮึ่ม!!!
มนตร์ลดาก้าวออกจากลิฟต์แก้วหลังใช้เวลาสงบสติอารมณ์อยู่ในนั้นอยู่หลายนาที ในใจคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าคนไร้หัวใจอย่างเขาคงไม่ยอมที่จะยื่นมือมาช่วยเหลือเธอง่ายๆอย่างนี้แน่ ที่แท้ก็หวังให้เธอยอมทอดกายให้เชยชมทุกวันทุกคืน มันเป็นการหยามศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงคนหนึ่งให้จมลงพื้นดินอย่างไม่เหลือชิ้นดี มนตร์ลดากำมือแน่นจิกเล็บของตนกับฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ! แต่ที่น่าอายไปกว่านั้นคือเธอเองที่ยอมทำตัวอ่อน หลงใหลไปกับสัมผัสอุ่นซ่านไปทั่วหัวใจนั้น
ทำไมนะ!? ถึงเจ็บแล้วไม่ยอมจำ ทำไมถึงต้องหัวใจพองโตกับคำพูดที่เขาบอกว่าจะมีเธอเพียงคนเดียว ทั้งที่คำพูดต่อจากนี้มันทำให้เจ็บปวดใจเหลือเกิน...
กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง...
“ค่ะแม่” มนตร์ลดากรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ทันที เมื่อหน้าจอโชว์ชื่อของแม่ตัวเองโทรฯเข้ามาหา
“นี่ลุงเปาโลเองนะ แม่เราเขาให้โทรฯมาถามว่าได้ข่าวของอัลเวสรึยัง?”
“กำลังตามหาค่ะ เจ้านายของมิ้นต์ให้คนออกตามหาแล้วค่ะ แต่ก็ยังไม่ได้ข่าวอะไรเลย” มนตร์ลดาสตอบพลางสงสัยว่าแม่ของตนไปไหนเสียทำไมถึงได้ให้ลุงเปาโลโทรฯมาถาม “แม่ไปไหนล่ะคะ?”
“อ...เอ่อ ตอนนี้ลุงพาแม่มาหาหมอที่โรงพยาบาล เมื่อคืนจันทร์นอนไม่หลับคงจะคิดมากเรื่องอัลเวส พอตอนเช้านี้บ่นว่าปวดหัวลุงก็เลยพามาหาหมอ” เปาโลเพิ่งเคยพูดกับลูกติดภรรยาด้วยน้ำเสียงเป็นปกติไม่ได้แสดงความรังเกียจอย่างที่ผ่านมา
“แล้วแม่เป็นยังไงบ้างคะ หมอว่ายังไงบ้าง??” มนตร์ลดาถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนใจ
“ยังอยู่ในห้องตรวจอยู่เลย เข้าไปได้สักพักแล้ว” เปาโลบอก สายตาเหลือบไปเห็นประตูห้องตรวจเปิดออกมาจึงกรอกเสียงลงในโทรศัพท์อีกครั้งหนึ่ง “จันทร์ออกมาจากห้องตรวจแล้ว จะคุยด้วยไหม?”
“ค่ะ” มนตร์ลดารับคำสั้น ตั้งใจรอฟังเสียงมารดาอย่างใจจดใจจ่อ และได้ยินเสียงถามลอดเข้ามาในโทรศัพท์ว่า ‘เป็นยังไง มิ้นต์หาอัลเวสเจอรึยัง?’
“ฮัลโหล... มิ้นต์เหรอลูก ได้ข่าวน้องบ้างรึยัง??” จันทร์แรมรับโทรศัพท์จากสามีมาแนบหูพร้อมเอ่ยถามลูกสาวทันที
“แม่เป็นยังไงบ้างคะ หมอบอกว่าเป็นอะไร??” มนตร์ลดาถามเร็วๆด้วยน้ำเสียงร้อนรนใจ
“แม่ไม่เป็นอะไรมากหรอกลูก... เมื่อคืนแม่นอนไม่ค่อยหลับตื่นเช้ามาเลยปวดหัว หมอวัดความดันให้แล้วบอกว่าความดันเลือดสูงขึ้นนิดหน่อยเท่านั้นเอง หนูไม่ต้องห่วงนะ แม่ดูแลตัวเองได้”
“โธ่แม่ขา!... หนูขอร้องว่าแม่อย่าคิดมากนะคะ เจ้านายหนูรับปากแล้วว่าจะพาอัลเวสมาส่งให้อย่างปลอดภัย ที่นี่เซญอร์อเตต้าร์เป็นผู้กว้างขวาง แม่ทำใจให้สบายนะคะ อย่าคิดมาก ทานยาตามหมอสั่งนะคะ ไม่เกินวันสองวันนี้เราต้องได้พบอัลเวสแน่ค่ะ”
“จริงเหรอลูก เจ้านายของหนูรับปากว่าจะช่วยเราหาน้องใช่ไหม?” จันทร์แรมรีบถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น มีความหวัง
“ค่ะแม่ เมื่อเช้านี้เขาเพิ่งสั่งให้คนออกตามหาอัลเวสค่ะ นี่หนูก็อยู่ที่ออฟฟิศด้วยเพราะมาบอกรูปพรรณสัณฐานของน้องให้พวกเขาได้รู้ น้องไม่เป็นอะไรหรอกค่ะแม่ เขาคงแค่เที่ยวเพลินไปหน่อยเท่านั้นเอง”
“โอ... หนูรู้ใช่ไหมว่าแม่รักลูกกับน้องมากแค่ไหน ถ้ามีใครคนนึงต้องเป็นอะไรไปแม่คงทนไม่ได้ คงต้องขาดใจไปแน่ๆ” จันทร์แรมบอกลูกสาวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “งั้นแค่นี้ก่อนนะลูก แม่ต้องไปรับยาแล้ว ถ้าได้ข่าวน้องหนูต้องรีบส่งข่าวให้แม่รู้ทันทีนะ”
“ค่ะแม่... แต่แม่ต้อรับปากกับหนูก่อนนะคะว่าจะรักษาสุขภาพตัวเองให้ดี อย่าคิดมาก อย่าทำงานหนัก วันนี้ห้ามทำงานเด็ดขาด ทานยาแล้วต้องนอนพักผ่อนนะคะ” มนตร์ลดาบอกยืดยาวด้วยความเป็นห่วง หลังจากวางสายแล้ว หญิงสาวจึงเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมายพลางถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะสายตาหลายคู่ที่มองมายังตัวเองนั้นดูขบขันและยังหันไปซุบซิบชนิดที่มองออกว่ากำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาของสาวๆจนสนุกปากอยู่
‘เด็กใหม่ของเซญอร์อาร์ตี้สินะ แหม... ทำท่าผยองน่าดู ขนาดว่าลงมาเดินสำรวจออฟฟิศคนเดียวอย่างนี้คงจะคิดว่าตัวเองจะได้เป็นเซญอร่าของท่านล่ะสิ’
‘ก็สวยดีอยู่หรอก แต่อรชรอ้อนแอ้นแบบนี้ ท่านใช้ครั้งสองครั้งก็คงเบื่อแล้วมั้ง’
‘แหม... ถึงจะแค่ครั้งสองครั้งก็เถอะ เป็นฉันฉันก็ยอม ได้ข่าวว่าท่านใจถึงอยากได้อะไรก็ให้ถ้าไม่เรื่องมาก บางคนตั้งตัวได้เชียวนะ!’
มนตร์ลดาเดินหนีจากเสียงซุบซิบนินทานั้นมาหยุดอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์บาร์ชั้นล่างสุด มันคงเป็นมุมจัดแสดงไวน์ชนิดต่างๆ ชาวต่างชาติหลายคนที่อยู่ในชุดภูมิฐานยังคงชิมไวน์หลายแก้วอยู่อีกด้วย
“รับไวน์สักแก้วไหมครับเซญอริต้า??” พนักงานวัยกลางคนอยู่ในชุดสูทโก้หรู สวมถุงมือสีขาวสะอาดเอ่ยถามขึ้น พลางยื่นแก้วทรงสูงที่มีน้ำเสียงแดงทับทิมเข้มให้สตรีผู้มีใบหน้างดงามแต่ทว่าดูหม่นหมองนักในยามนี้
“ขอบคุณค่ะ” มนตร์ลดารับแก้วไวน์นั้นไว้แล้วเดินมาทรุดตัวนั่งที่ชุดเก้าอี้ที่จัดวางไว้บริเวณนั้นหลายชุดอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่นานนักไมนาสก็เดินเข้ามาหา
“อ้าว... ทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะครับเซญอริต้า” ไมนาสต้องเรียกขานเธออย่างสุภาพเพราะได้รับคำสั่งห้ามไม่ให้เรียกว่าด้วยชื่อเล่นอย่าสนิทสนมจากเจ้านายตั้งแต่ที่ท่านได้ยินครั้งแรกแล้ว
“เบื่อๆน่ะค่ะ แล้วทำไมคุณมาอยู่ที่นีฉันคิดว่าคุณออกไปตามหาน้องชายให้ฉันเสียอีก”
“ความจริงก็ออกไปพร้อมกับพวกนั้นแหละครับ แต่เมื่อครู่ใหญ่นี้ผมได้รับคำสั่งให้กลับมา ปล่อยให้พวกนั้นทำงานไป นี่ผมก็ยังงงๆอยู่เลยครับ ทำไมท่านถึงได้เปลี่ยนแปลงคำสั่งรวดเร็วแบบนี้” ไมนาสบอก
“นั่งคุยกันหน่อยซิคะ ฉันอยากถามว่าเราพอจะมีวี่แววว่าจะพบน้องชายของฉันบ้างรึเปล่า” มนตร์ลดาพอจะรู้สาเหตุว่าทำไมไมนาสถึงโดนเรียกตัวกลับมากระทันหัน ก็เพราะว่าเธอไม่ยินยอมเป็นเครื่องสนองอารมณ์บนเตียงของเจ้านายไมนาสน่ะสิ “ฉันรู้ว่ารีโอกรันดีโดซุลไม่ใช่เมืองเล็กๆ หากจะหาคนคนเดียวคงไม่ง่ายนัก”
“ครับ ไม่ง่ายแน่ครับถ้าปล่อยให้พวกนั้นหาไปเรื่อยๆ แล้วผมก็ยังไม่ได้ออกไปช่วยอีกด้วย แต่ถึงกระนั้นมันก็คงไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ถ้าหากเซญอร์อเตต้าร์จะออกหน้าเอง” ไมนาสพูดความจริงที่สุดให้พยาบาลสาวได้รับรู้ “ตอนแรกที่ได้ยินท่านสั่ง ผมคิดว่ามันคงไม่ยากเพราะท่านจะให้พวกผมไปสืบหาข่าวมาก่อน คืนนี้ท่านคงจะออกไปตามหาเองแต่พอท่านโทรฯตามผมให้กลับมาโดยไม่มีเหตุผล ผมยังสงสัยอยู่ว่าเราจะเจอน้องชายเซญอริต้าได้ยังไง หรือเซญอริต้าไปทำอะไรให้ท่านไม่พอใจรึเปล่าครับถึงได้ยกเลิกคำสั่งเร็วขนาดนี้”
“เอ่อ... ไม่รู้สิคะ ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรให้เขาโกรธนี่ เขาคงไม่อยากช่วยละมั้ง?”
ไมนาสมองท่าทางของผู้หญิงที่เจ้านายพึงใจอย่างล่วงรู้สถานการณ์ แน่นอนว่าเธอคงแผลงฤทธิ์กับเจ้านายเขาเป็นแน่ ท่านถึงได้ถอนคำสั่งรวดเร็วเพียงนี้ และความจริงแล้วมันไม่เป็นผลดีกับน้องชายของเธอเลยหากเขาตกอยู่ในอันตราย!! “ท่านไม่เคยยุ่งกับเรื่องของใครอยู่แล้วครับ พูดได้เต็มปากว่าถ้าไม่ใช่เรื่องของคนในครอบครัวท่านจะไม่ชายตาแลซะด้วยซ้ำไป แต่นี่... ท่านสั่งให้คนออกตามหาราวกับเป็นเรื่องของคนในตระกูลโอลีเวย์ร่า ผมไม่ทราบว่าเซญอริต้าจะทำอะไรให้ท่านโกรธนะครับแต่ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปล่ะก็ มันจะเป็นผลเสียต่อน้องชายของเซญอริต้านะครับ ถ้าเรื่องนี้ท่านไม่ยื่นมือเข้าใช่วยแล้วยังไงๆเราก็หาไม่เจอ”
“เจ้านายคุณเก่งขนาดนั้นเลยเหรอคะ??” มนตร์ลดากระแทกเสียงถามราวกับไม่อยากเชื่อ
“ไม่เก่งอย่างเดียวครับ เพราะมีทั้งอำนาจ มีอิทธิพลมาก เป็นที่น่าเกรงขามมาก โหดมาก ใครๆก็รู้ว่าเซญอร์อเตต้าร์เป็นอย่างที่ผมพูดมาจริงๆ”
“แล้วก็หยาบกระด้างมาก...” มนตร์ลดาต่ออีกหนึ่งคุณสมบัติให้ครบถ้วน เรียกเสียงหัวเราะร่วนจากลูกน้องมือขวาของเขาได้เป็นอย่างดี
“แหม... ต้องเข้าใจนะครับว่าท่านทำงานอยู่ในไร่ในป่า คุมคนงานผู้ชายเถื่อนๆเป็นพัน ก็ย่อมต้องเป็นอย่างที่เซญอริต้าว่ามาบ้าง แต่คนงานก็รักท่านนะครับเพราะความจริงแล้วท่านอาจจะปากร้ายแต่จิตใจดี”
“แย่จังนะคะ ทำไมฉันถึงสัมผัสจิตใจอันดีงามของเจ้านายคุณไม่ได้เลย”
“ฮ่า... เพราะไม่เปิดใจให้ท่านละมั้งครับ” ไมนาสบอกพลางยกนาฬิกาขึ้นมอง “ผมมีงานต้องไปทำ ขอตัวก่อนนะครับ แล้วก็อย่าลืมคิดถึงเรื่องที่ผมพูดบ้าง ยอมลงให้ท่านก่อนสักนิด คราวนี้เซญอริต้าอยากได้อะไรรับรองว่าท่านตามใจไม่มีที่สิ้นสุดแน่ครับ”
มนตร์ลดามองตามร่างของไมนาสที่เดินจากไป แล้วต้องมานั่งมองแก้วไวน์ตรงหน้าอย่างชั่งใจ ถ้าหากเขาจะขออะไรที่มันไม่ทำให้รู้สึกว่าค่าของตัวเองลดน้อยถอยลงไปแบบนี้เธอก็คงยอมทำถวายหัว เป็นตายร้ายดียังไงก็จะไม่ยอมคลานขึ้นไปนอนรอให้เขาปู้ยี่ปู้ยำบนเตียงแน่!
แต่จะทำยังไงดีล่ะ ในเมื่อว่าไมนาสก็บอกอยู่ว่าหากไม่ใช่เขาลงมือด้วยตัวเองก็ไม่มีทางหาอัลเวสเจอ! และมันคงไม่ดีแน่ที่จะให้แม่รอคอยอย่างไร้จุดหมาย ขนาดผ่านไปแค่วันเดียว ความดันโลหิตของแม่ยังพุ่งสูงขึ้นจนต้องมาหาหมอที่โรงพยาบาล ‘หนูรู้ใช่ไหมว่าแม่รักลูกกับน้องมากแค่ไหน ถ้ามีใครคนนึงต้องเป็นอะไรไปแม่คงทนไม่ได้ คงต้องขาดใจไปแน่ๆ’ คำพูดที่ทำให้รู้สึกว่าจะต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ มันเป็นความกลัวที่ผลักดันให้ตัดสินใจเดินกลับขึ้นไปหาอเตต้าร์เพื่อเจรจาอีกครั้ง
อเตต้าร์เหลือบสายตาขึ้นมองร่างอรชรที่เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องเพียงแวบเดียว แล้วก้มหน้าลงทำงานต่อ สองชั่วโมงที่ผ่านมาเธอหายตัวลงไปเดินเล่น นั่งจิบไวน์อย่างสบายอารมณ์ ปล่อยให้เขาหงุดหงิดงุ่นง่านใจอยู่เพียงคนเดียว นี่ก็เลยเวลาอาหารเที่ยงมาเกือบชั่วโมงแล้วแต่ต้องอดทนนั่งรอแม่คุณกลับมาอีกครั้งเพราะถ้าหากเขาหนีไปนั่งทานข้าวคนเดียวก็กลัวว่าเธอจะไม่ได้ทานอะไร ที่สำคัญคือไม่อยากนั่งกินข้าวคนเดียวอีกด้วย สองมือวางปากกาลงไม่เบานัก ผุดลุกขึ้นเดินออกมาจับข้อมือเรียวเล็กของผู้หญิงที่ขยันทำให้โมโหเดินออกไปจากห้องทันที
ทั้งคู่กลับลงมาชั้นล่างสุดของอาคารทรงโดมแก้วแห่งนี้อีกครั้งในห้องอาหารฝรั่งเศสสุดหรูที่อยู่ชั้นล่างสุด อเตต้าร์จัดการสั่งอาหารของตนเองและของเธอมาพร้อมๆกันแล้วนั่งนิ่ง ไม่พูดไม่จาเลย
“เอ่อ... คือ ฉันอยากถามถึงความคืบหน้าน่ะค่ะ คนของคุณส่งข่าวมาบ้างรึเปล่าคะอาร์ตี้??” มนตร์ลดาเรียบเรียงคำพูดที่คิดว่าไพเราะที่สุดแล้วถามออกมา
อเตต้าร์จ้องตาแต่ใบหน้ายังนิ่งอยู่เหมือนเดิม “มันจะไปเจอเร็วอย่างนั้นได้ยังไง หาคนในเมืองใหญ่ยังไม่ถึงครึ่งวัน”
“ไมนาสบอกว่าถ้าอาร์ตี้ออกโรงเองต่อให้อัลเวสอยู่ในซอกหลืบไหนของโลกนี้ก็ต้องเจอตัวอยู่แล้ว” มนตร์ลดาอ้อมแอ้มบอกอย่างเอาใจ มองปฏิกิริยาลำพองใจของคนตัวโตตรงหน้าอย่างหมั่นไส้ เขาไม่เพียงไม่แยแสกับคำยกย่องของเธอแต่กลับนั่งเคี้ยวอาหารตุ้ยๆเอร็ดอร่อยเหลือเกิน “นะคะ... ขอร้องล่ะค่ะ เมื่อครู่ใหญ่นี้แม่เพิ่งโทรฯมาหา แม่ดีใจมากที่รู้ว่าคุณยื่นมือเข้ามาช่วย นึกเสียว่าสงสารฉันเถอะนะคะ”
“สงสารคุณทำไม? ทีผมยื่นข้อเสนอดีๆให้คุณไม่สนใจด่าว่าผมสารพัด แล้วตอนนี้จะมาพูดดีขอความเห็นใจ เขาเรียกว่าตบหัวแล้วลูบหลัง!!” อเตต้าร์บอกอย่างตรงไปตรงมา มองใบหน้าบูดบึ้งของแม่คิตตี้คนงามแล้วต้องเสมองไปทางอื่น เพราะอยากหอมแก้มบึ้งๆที่ทำท่าทางโกรธได้น่ารักเหลือเกิน!!
“ก็ใครจะไปยอมทำคุณปู้ยี่ปู้ยำอย่างนั้นล่ะ ฉันเป็นผู้หญิงนะคะ จะให้ทำตัวเสื่อมเสียอย่างนั้นได้ยังไง ทำไมคุณไม่คิดว่าจะตามหาน้องชายให้ฉันเพื่อเป็นการขอโทษในสิ่งที่เคยทำไม่ดีกับฉันบ้างล่ะ” เมื่อขอร้องแล้วไม่เป็นผล มนตร์ลดาจึงเริ่มทวงบุญคุณซะเลย
“เฮอะ... เหลือเชื่อเลย! ผมขอโทษคุณไปแล้วตั้งแต่ตอนที่อยู่ในตัวคุณด้วยซ้ำ คุณคงได้ยินล่ะถ้าไม่มัวแต่ร้องห่มร้องไห้จนไม่ฟังอะไรเลย แล้วผมก็ไม่เห็นว่าการร่วมรักมันจะเสื่อมเสียตรงไหน ไม่งั้นคนทั่วโลกนี้ก็ทำตัวเสื่อมเสียกันทุกวันบางทีอาจจะทุกชั่วโมงงั้นสิ??”
โอ... ให้ตายสิ ทำไมเขาถึงได้หยาบกระด้างแบบนี้นะ พูดถึงเรื่องบนเตียงไม่อายฟ้าดินแถมเสียงดังจนสาวๆหลายคนที่ได้ยินแล้วยังหันมามองเธอแบบตำหนิ! แล้วมองเขาอย่างเชิดชู ส่งสายตาเชิญชวนเขาอย่างโจ่งแจ้งราวกับจะบอกว่าถ้าแม่นี่ไม่ยอมขึ้นเตียงกับเขาล่ะก็ พวกเธอยินดีที่จะขึ้นเตียงแทนอย่างนั้น “งั้นฉันขอต่อรองใหม่ได้ไหมคะ ขอแค่ข้อเดียวจริงๆ”
อเตต้าร์ไหวไหล่ เบ้ปากราวกับรำคาญใจนักหนา “ก็ลองว่ามา...”
“ฉันจะทำตามความต้องการของคุณทุกอย่างเลย ยกเว้นเรื่องบนเตียง แต่คุณต้องหาน้องชายฉันให้เจอนะคะ” มนตร์ลดากัดฟันต่อรองอย่างที่ไม่เคยยอมให้ใครมาก่อน พลางทำเสียงหวานออดอ้อนเมื่อยังเห็นเขาทำท่าครุ่นคิดอยู่เงียบๆ “นะคะ... นะคะอาร์ตี้...”
“ไม่รู้สิ... ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังขาดทุนยังไงไม่รู้” อเตต้าร์บอกพลางยกแก้วน้ำสะอาดขึ้นดื่ม เอนตัวพิงพนักเก้าอี้หลังจากจัดการกับอาหารมื้อกลางวันเรียบร้อยแล้ว “ต้องดูความประพฤติของคุณก่อนนะ คิตตี้...”
มนตร์ลดามองค้อนคนตรงหน้าด้วยสายตาหมั่นไส้ ยอมลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้าตามที่คนเถื่อนจอมบงการพยักเพยิดให้ทานอาหารให้เรียบร้อย จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของทาสอย่างเธอที่ต้องทำตามที่เขาเรียกร้องทุกอย่าง หยิบเอกสาร ชงกาแฟ บีบนวดบ่าไหล่ขับไล่ความเมื่อยขบ หากมีสิ่งหนึ่งที่มนตร์ลดาสังเกตุได้ว่าความร่ำรวยที่ได้มามันคงเป็นเพราะ ความเอาจริงเอาจังในการทำงานของจอมเถื่อนอย่างเขา ตลอดเวลาช่วงบ่ายจนเลยเวลาเลิกงานเกือบสองชั่วโมง อเตต้าร์ยังนั่งจัดการกับเอกสารกองโตได้อย่างไม่หยุดหย่อน
ทั้งคู่กลับมาถึงคฤหาสน์โอลีเวย์ร่าอีกครั้งราวทุ่มครึ่งทันเวลาอาหารเย็นพอดี หลังอาหารเย็นคุณปู่การันก้าจึงเอ่ยปากถามหลานชายถึงความคืบหน้าในการค้นหาตัวน้องชายของมนตร์ลดา แต่ชายหนุ่มกลับบอกว่าช่วงนี้เขางานยุ่ง ไม่มีเวลาออกไปตามหาเองแต่ได้สั่งการให้คนออกตามหาแล้ว ก่อนเดินออกจากห้องอาหารยังทิ้งท้ายด้วยว่าจะออกไปท่องราตรีหิ้วหมอนวดสาวหุ่นดีซักคนมานวดตัว เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเพราะต้องนั่งเคลียร์งานตลอดทั้งวัน ทิ้งให้คนเป็นปู่และตัวต้นเหตุแห่งความเมื่อยล้ามองตามด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป
ผับแห่งหนึ่งในรีโอกรันดีโดซุล
เสียงหึ่ง...หึ่ง... ของเครื่องมือสักลายบนแผ่นหลังของอัลเวสกำลังดังต่อเนื่องกันอยู่นานนับสิบนาทีแล้ว ใบหน้าเหยเก เหงื่อเม็ดโป้งที่ผุดขึ้นตามใบหน้าเกลี้ยงเกลาของเด็กหนุ่มนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขากำลังเจ็บปวด ทั้งรู้สึกได้ว่าตนเองกัดฟันกรามจนเจ็บร้าวไปทั่วทั้งใบหน้า
“เฮ้!... ไอ้หนู เจ็บมากหรือไงวะ ทำไมทำหน้าอย่างนั้น” คาฟูถามลูกน้องคนโปรดด้วยน้ำเสียงตลกขบขันกับสีหน้าท่าทางที่ได้เห็น
อัลเวสไม่ตอบเพราะตั้งแต่ตนเองทำงานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีนั้น มีสมาชิกในเดอะ แดนเจอรัส หลายคนรู้สึกไม่ชอบหน้าตนเองเท่าไหร่นัก แม้แต่คนที่กำลังเพิ่มรอยสักบนแผ่นหลังให้อยู่นี้ก็รู้สึกได้ว่ามันมือหนักกว่าปกตินัก ทั้งๆที่มันเป็นการต่อเติมชั้นของปิรามิดที่สูงขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น!!
“เอ้า!! เสร็จแล้ว” ชายฉกรรจ์ที่ทำหน้าสักรอยให้พูดขึ้นพร้อมกับใช้ผ้าเช็ดเลือดสีแดงที่ไหลออกมาปะปนกับสีดำของน้ำยาลงสีรอยสักออกแรงๆ
“เบาๆหน่อยซิ... มือหนักอย่างนั้นเดี๋ยวเด็กมันได้ช้ำในตาย เผื่อมันไข้ขึ้นแล้วจะบอกกับหัวหน้าว่ายังไง?” คาฟูเตือนทีเล่นทีจริงเพราะดูออกได้ง่ายว่าหนึ่งในสมาชิกที่เพิ่มลายสักให้อัลเวสนี้ ไม่พอใจเด็กหนุ่มเท่าไหร่นัก
อัลเวสชันตัวขึ้นพร้อมกับรีบบอกคาฟูว่าไม่เป็นไรเพราะไม่อยากมีเรื่องในที่ที่ไม่ใช่ถิ่นของตนเอง “ผมทนได้ครับ ไม่เป็นไร รีบไปดีกว่าเดี๋ยวหัวหน้าจะรอนาน”
ทั้งคู่เดินออกมานอกห้องที่อยู่ด้านในสุดของบาร์แห่งนี้ มันเป็นบาร์ที่เต็มไปด้วยสมาชิกของเดอะ แดนเจอรัส ในแดนใต้ของประเทศบราซิล การปฏิบัติงานสำคัญชิ้นแรกของอัลเวสนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีตำรวจสงสัย มันทำให้หัวหน้าสาขาที่คุมอยู่ในรีโอกรันดีโดซุลทึ่งและชอบใจในความสามารถของอัลเวสเป็นอย่างมาก สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ สามวันที่แล้วอัลเวสได้รับมอบหมายให้เข้าไปส่งยาให้กับบุคคลสำคัญคนหนึ่งในคุกได้อย่างปลอดภัย เพราะความฉลาดเป็นกรดไม่ยัดยาใส่ในอาหารหรือขนมอย่างคนอื่นแต่อัลเวสกลับบดยาให้เป็นผงละเอียดที่สุด แล้วโรยลงบนขนมหน้าปังดูคล้ายน้ำตาลไอซิ่งส่งเข้าไปในเรือนจำ ถึงมือบุคคลสำคัญได้โดยไม่เสียอรรถรสของยาเสพติด!!!
ผลงานดังกล่าวทำให้เด็กหนุ่มที่เดินทางมาจากรีโอเดอจาเนโรมีชื่อเสียงล่ำลือไปทั่วในเดอะ แดนเจอรัส หัวหน้าสาขาที่คุมพื้นที่อยู่ในรีโอกรันดีโดซุลจึงให้รางวัลด้วยเงินก้อนโต มันทำให้อัลเวสสามารถเลือกซื้อของให้ตนเองและลูกพี่ทั้งสองอย่างสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องมือสื่อสารรวมไปถึงผู้หญิงที่คอยให้ความสุขได้ด้วย และรางวัลที่ทำให้อัลเวสลำพองใจมากที่สุดก็คือรอยสักปิรามิดที่สูงขึ้นอีกชั้นหนึ่งบนแผ่นหลังของตน!!
“ฉันมองตามันแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไอ้เบื้อกนี่มันอิจฉาแก ไอ้หนู!” คาฟูบอกกับลูกน้องที่ตอนนี้มีฐานะในเดอะ แดนเจอรัส เท่าเทียมกันกับตนเองแล้ว
“โธ่ช่างเขาเถอะลูกพี่! นี่มันไม่ใช่ถิ่นเรา” อัลเวสบอกพร้อมทั้งดึงแขนของคาฟูออกมาจากห้อง
“หึ!... จำไว้นะไอ้หนู ถึงแกจะมีรอยสักที่หลังสูงขึ้นกว่ามัน แต่ด้วยอายุน้อยๆของแกมันทำให้พวกไอ้แก่หน้าโง่ทั้งหลายในแก๊งคิดว่าแกอ่อนหัด นานวันเข้ามันก็จะรวมตัวกันเหยียบหัวแกขึ้นมาใหญ่เสียเอง แกต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อแสดงให้พวกมันรู้ว่าแกไม่ใช่ไก่อ่อน”
“แต่มันจะทำให้เรายุ่งยากรึเปล่า ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของเรา” อัลเวสถามด้วยความกังวลใจ
“จำไว้นะไอ้หนู... กฏอีกข้อของเดอะ แดนเจอรัส คือแกได้รับอภิสิทธิ์เหนือมากกว่าคนที่ได้รับแต่งตั้งในรีโอเดอจาเนโรเสียอีก เพราะแกไม่ได้เก่งเฉพาะอยู่ในบ้านแต่นี่แกเก่งนอกบ้านด้วยดูได้จากชั้นของรอยสักบนหลัง จะเขียนชื่อเมืองลงไปด้วยแทนที่จะสักเป็นชั้นดำๆทึบๆแบบปกติ” คาฟูบอกกฏของแก๊งให้เด็กหนุ่มได้รู้ “แต่ตอนนี้เราต้องรีบไปพบกับหัวหน้าสาขาก่อน แล้วจากนั้นเราค่อยสั่งสอนไอ้เบื้อกที่ทำให้แกเจ็บตัวเกินความจำเป็น”
ทั้งคู่เดินออกมาด้านหน้าของบาร์ที่เปิดเพลงเสียงดังกระหึ่ม ชายหญิงมากหน้าหลายตากำลังวาดลวดลายอยู่กลางฟลอร์สุดเหวี่ยง บางคนปีนขึ้นไปบนเวทีเริ่มถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกทีละชิ้นๆ เรียกเสียงโห่ร้องกึกก้องไปทั่วบริเวณ คาฟูและอัลเวสนั้นยังอยู่ในรีโอกรันดีโดซุลเพียงสองคนเพราะโมโซนั้นถูกส่งตัวกลับไปคุมงานในรีโอเดอจาเนโรแล้วตั้งแต่ที่ปฏิบัติภาระกิจแรกสิ้นสุดลง
“นี่น่ะเหรอ... อัลเวสเด็กหนุ่มผู้ปราดเปรื่อง?” ชายร่างวัยกลางคนที่เรียกขานกันว่าหัวหน้าหมุนเก้าอี้กลับมามองทั้งคู่ที่เดินเข้ามาในห้องทำงานของตน
“ครับ ผมอัลเวสครับ”
“ฮ่า... แกรู้ไหมไอ้หนู ว่าแกคือคนเด็กหนุ่มคนแรกที่อายุน้อยแต่ได้รับตำแหน่งสำคัญในแก๊งเรา!”
“ต้องขอบคุณที่มอบหมายงานให้ผมทำ ขอบคุณที่ให้โอกาสผมครับ” อัลเวสถ่อมตัวมันเป็นกิริยาที่ไม่ค่อยได้พบเจอนักในกลุ่มเดนคนอย่างเดอะ แดนเจอรัส! ซึ่งทำให้หัวหน้าพอใจเป็นอย่างมาก
“ท่านส่งสารออกมาว่าพอใจเป็นอย่างมาก และอยากได้แกเป็นคนสนิท” หัวหน้าสาขาเอ่ยถึงบุคคลสำคัญที่ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ
“หมายถึงคนที่ผมส่งของให้ในเรือนจำวันนั้นน่ะเหรอครับ?” อัลเวสถามอย่างสงสัย
“ใช่!... ซึ่งฉันก็ไม่เห็นด้วยที่ท่านจะให้ความสำคัญกับเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแก แต่ก็ขัดท่านไม่ได้ สัปดาห์หน้าท่านจะออกจากคุกแล้ว แกมีหน้าที่ไปรอรับท่านพร้อมคนขับรถ แน่นอนว่าแกจะต้องทำหน้าที่เป็นเหมือนสองมือสองเท้าของท่าน ฉันอยากรู้ว่าแกเต็มใจทำไหม?” หัวหน้าสาขาถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่เชื่อฝีมือของเด็กหนุ่มนัก
“ครับ ผมเต็มใจอย่างยิ่งครับ”
“ท่านสั่งให้ไปตายแกก็ต้องตายได้นะ!?”
“ครับ” อัลเวสรับคำอย่างหนักแน่น “ผมอยากรู้ชื่อของท่านได้ไหมครับ?”
หัวหน้าสาขาพอจะรับรู้ถึงความใจกล้าของเด็กหนุ่มคนนี้อยู่บ้างเพราะไม่มีใครกล้าถามถึงชื่อเสียงเรียงนามของบุคคลสำคัญนี้มาก่อน พลางคิดว่าถึงอย่างไรแล้วไอ้เด็กคนนี้ก็ต้องรู้อยู่แล้วจึงไม่แปลกถ้าจะบอกให้มันได้ตระหนักว่าหน้าที่ของมันนั้นน้อยคนนักที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำงานนี้ “ริวัลโด้ สมาชิกระดับหัวหน้าทุกคนต้องรู้อยู่แล้วว่าท่านมีความสำคัญกับเดอะ แดนเจอรัสแค่ไหน แม้น้อยคนนักจะเคยเห็นหน้าท่านก็ตาม แล้วมันก็เป็นหน้าที่ของแกที่จะบอกให้เด็กของแกรู้ว่าท่านสำคัญขนาดไหน”
อัลเวสและคาฟูเดินออกมาจากห้องเมื่อได้รับสัญญาณเป็นการสะบัดหลังมือให้ออกไปจากหัวหน้าสาขา อัลเวสนั้นสงสัยเป็นอย่างมากว่าริวัลโด้คือใคร หากไม่ได้รับคำตอบเพราะคาฟูบอกว่าต้องไปจัดการกับคนที่มันบังอาจทำให้อัลเวสเจ็บตัวจนเกินความจำเป็นก่อน ทั้งคู่เข้าไปในห้องด้านหลังสุดของบาร์แห่งนี้อีกครั้งเพื่อสั่งสอนให้มันได้จำใส่สมองไว้ว่าใครเป็นใคร!!
ประตูห้องถูกกระแทกเปิดออกอย่างแรง ทำให้ชายฉกรรจ์ที่ประจำอยู่ในห้องเพียงคนเดียวรับรู้ได้ทันว่าสองคนนี้ไม่ได้มาอย่างเป็นมิตร!
“เฮ้ย! พวกมึงมีปัญหาอะไรวะ ถึงได้เปิดประตูห้องกูฉิบหายแบบนี้!??”
“กูมีปัญหากับมึงไงไอ้เลว” คาฟูไม่พูดพร่ำทำเพลง จัดการเสยหมัดเข้าที่ปลายคางคู่ต่อสู้โดยไม่ให้ตั้งตัว เพียงแค่คู่ต่อสูหงายหลังเท่านั้น ที่เหลือคาฟูก็ยักคิ้วให้อัลเวสเป็นคนจัดการต่อ!!
“มึงมีปัญหาไรกับกูว่ะ?” อัลเวสถามพลางยัดหมัดหนักๆอีกสองหมัดเข้าที่เบ้าตาของคู่ต่อสู้จนล้มตึงลมไปบนเตียงหนังที่จัดไว้สำหรับนอนสักลาย มืออีกข้างกดลำคอของคู่ต่อสู้ที่รู้สึกตัวเพียงลางเลือนไว้จนแน่น อีกมือถือเครื่องสักลาย กดปุ่มทำงาน ย้ำปลายเข็มเข้ากับสีดำสนิทที่วางอยู่ไม่ไกล จรดปลายเข็มลงที่หน้าท้องของคู่ต่อสู้ทันที
ไม่ถึงสิบนาทีต่อมาหลังจากที่ฝากรอยสักชื่อของตนไว้ที่พุงพลุ้ยของคู่ต่อสู้เป็นการหยามศักดิ์ศรี และเตือนให้จำไปจนวันตายว่าอย่าได้มาเหิมเกริมกับตนอีก ด้วยแรงกดมากมายมหาศาลกว่าที่ตนเองได้รับหลายเท่า ทำให้เลือดที่ไหลออกมาจากเนื้อบริเวณหน้าท้องนั้นมีมากกว่าปกติ จากนั้นอัลเวสและคาฟูก็ออกมาสนุกกลางฟลอร์เต้นรำ เงิน เหล้า ยาเสพติด ผู้หญิง ทุกสิ่งอย่างที่เข้ามาห้อมล้อมอัลเวสทำให้เด็กหนุ่มที่เพิ่งเห็นเงินก้อนโตหลงลืมตน เดินเข้าไปสู่ห้วงอบายมุขอันมืดดำ ไม่คิดถึงความรักความห่วงใยของบุพการีที่เฝ้ารออย่างทุกข์ทรมานใจ
ในขณะที่น้องชายต่างบิดากำลังหลงระเริงไปกับความชั่วร้ายรอบตัว จนไม่รู้ตัวว่าได้ผลักดันภาระทุกอย่างไปให้พี่สาวที่นั่งคิดหนักอยู่ริมระเบียงคนเดียว ความหวังของแม่ที่อยากจะเห็นน้องกลับเข้าสู่อ้อมอกอย่างปลอดภัยและมันจะทำให้อาการเจ็บป่วย คิดหนักทั้งหลายทั้งมวลมลายหายไปโดยชิ้นเชิง ทำให้มนตร์ลดายังคิดไม่ตกว่าจะยอมทำตามข้อเสนอของคนฉวยโอกาสได้อย่างไร!!?
ชั่วโมงที่ผ่านมาหลังจากส่งคุณปู่การันก้าเข้านอนเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงเดินลงมาชั้นล่างอีกครั้งด้วยความว้าวุ่นระคนร้อนใจ เจ้าของร่างอรชรเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่บาร์เครื่องดื่มที่มีขวดแอลกอฮอร์วางเรียงรายอยู่มากมาย สองมือเรียวหยิบขวดไวน์สีเขียวขุ่นเข้มฉลากสีน้ำตาลอ่อนบ่งบอกถึงยี่ห้อแพงอย่าง เซฮา เดอ ชาโต ซึ่งผู้เป็นเจ้าของมันทำให้เธอต้องคิดหนักถึงขั้นหาเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ดื่มย้อมใจก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือจากเขาอีกครั้ง เมื่อคิดย้อนหลายตลบแล้วเหลือเพียงทางเลือกสุดท้ายให้เลือกเดิน!!
มือเรียวยกค้างชะงักเมื่อเดินมาถึงคฤหาสน์ปีกตะวันตก กำลังจะเคาะประตูห้องแต่มันกลับถูกเปิดออกมาจากด้านในเสียก่อน มนตร์ลดามองผู้ชายร่างใหญ่โตสูงกว่าตัวเองอยู่หลายสิบเซ็นติเมตรยืนอยู่ในชุดเสื้อยืดสีเทา สวมกางเกงยีนส์สีเข้ม ฉีดน้ำหอมกลิ่นสปอร์ตอย่างชายชาตรีลอยเข้ามาปะทะจมูก ก็รู้ทันทีว่าเขากำลังจะออกไปเที่ยวนอกบ้าน เขากำลังจะไปหิ้วหมอนวดซักคนมาคลายความเมื่อยล้าอย่างที่พูดเอาไว้หลังอาหาร!
“จะไปไหนคะ??”
“แล้วมายุ่งอะไรด้วย” น้ำเสียงห้วนจัดราวกับรำคาญเสียเต็มประดาทำให้มนตร์ลดาใจเสีย ทั้งที่ตั้งใจมาดิบดีว่าจะเข้ามารับข้อเสนออันเห็นแก่ตัวของเขา “ถอยไป... คุณกำลังทำให้ผมเสียเวลา”
“ไม่!! ฉันไม่ยอมให้คุณไปหาผู้หญิงพวกนั้นแน่” ฤทธิ์แอลกอฮอร์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างทำให้มนตร์ลดาใจกล้าสั่งห้ามเจ้านายตัวโตด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด! “ตราบใดที่ฉันยังอยู่บนเตียงของคุณ คุณต้องสัญญาว่าจะมีฉันเพียงตนเดียว คุณต้องเอาน้องชายมาส่งฉันให้ได้อย่างปลอดภัยตามที่พูด ถ้าคุณบิดพลิ้วเป็นอันว่าข้อตกลงของเราสิ้นสุดลงเพราะมันเป็นความผิดของคุณ!”
อเตต้าร์เลิกคิ้วแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของแม่คิตตี้คนงาม เพราะปกติเธอจะสงวนเนื้อตัวแต่นี่ใจกล้า บ้าบิ่นขนาดว่าออกแรงผลักหน้าอกเขาให้ถอยหลังกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง แล้วตัวเองก็เดินตามเข้ามา ปิดประตูห้องแถมลงกลอนดิบดี “หมายถึงเรื่องที่ผมต้องมีคุณคนเดียวน่ะเหรอ?”
“ใช่!” มนตร์ลดาโต้กลับทันควัน “ถึงฉันจะต้องรับความอัปยศนั่นจากคุณอีกครั้ง แต่ก็ไม่ขอแบ่งปันคุณกับผู้หญิงคนไหนหรอกนะ มันอันตราย!!”
อเตต้าร์แทบสำลักพรวดคำพูดของแม่คิตตี้ปากอิ่มที่พรั่งพรูออกมาราวกับว่าเขาเป็นคนส่ำส่อน จะนำโรคภัยไข้เจ็บมาให้เธอ แต่ก็โอเค้... คำพูดของเธอทำให้คึกจนจะตายห่าอยู่แล้ว หากท่าทางที่ทำเป็นไม่ค่อยใส่ใจและล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงทำท่าว่าสนใจโทรศัพท์มากกว่าเนื้อตัวของเธอ
“จะไปไหนอีกคะ?” มนตร์ลดาถามอย่างร้อนรนและยังก้าวมาขวางทางไว้อีกด้วย
“ก็จะโทรฯไปยกเลิกนัดกับอีหนู ใจคอคุณจะโหดร้ายให้พวกหล่อนรอผมจนแห้งหรือไง อย่างน้อยก็ควรให้ได้รับลูกค้าคนอื่นบ้าง แล้วถ้าคราวนี้คุณเล่นตลกกับผมอีกล่ะก็ อย่างได้หวังเลยว่าผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้งมนตร์ลดา!!” อเตต้าร์บอกเสียงเข้ม เดินถือโทรศัพท์เครื่องบางออกไปนอกระเบียงทันที
มนตร์ลดามองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่อย่างอดสูใจ ภายในห้องที่ตบแต่งสไตล์โมเดิร์นคลาสสิกอันขัดแย้งกับการตบแต่งอย่างหรูหราสไตล์ฝรั่งเศสของคฤหาสน์โอลีเวย์ร่าหลังนี้โดยสิ้นเชิง หากความสวยงามแปลกตาที่ได้เห็นกลับไม่สามารถทำให้เบิกบานใจได้เลยสักนิด มือบางค่อยๆปลดกระดุมเสื้อและถอดกางเกงยีนส์ออกจากร่างของตนอย่างเจ็บปวดใจ หญิงที่ต้องใช้ร่างกายเข้าแลกกับเงินตราคงรู้สึกไม่ต่างจากเธอตอนนี้นัก พลางขยับตัวนั่งลงบนเตียงกว้างใหญ่ที่รองรับคนนับสิบก็ว่าได้...
อเตต้าร์อ้าปากค้างเมื่อกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งได้พบกับผู้หญิงที่ฝันหานั่งหันหลัง ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือแค่บราเซียร์และแพนตี้ตัวบางเฉียบอยู่บนร่างงดงามของเธอเท่านั้น!!! สองขาแกร่งเดินอ้อมเตียงกว้างของตนเองไปหยุดอยู่ตรงหน้าร่างอวบอัด มีส่วนเว้าส่วนโค้งน่าทะนุทถนอมให้ความรู้สึกเป็นผู้หญิงเอามากๆราวกับต้องมนต์สะกด
“ฉะ...ฉัน ตะ...ต้อง อาบน้ำก่อน” มนตร์ลดาพูดเสียงเบาแทบจะหายไปในลำคอ
“เอาไว้หลังจากนี้ก็ได้ที่รัก...” จบคำพูด อเตต้าร์ก็ได้เห็นร่างเกือบเปลือยสั่นเทา ค่อยๆลดตัวลงนอนหงาย หลับตาแน่นปี๋ ประสานมือไว้ที่หน้าท้องแบนราบ ความรู้สึกสงสารนั้นเข้าครอบงำท่วมท้นหัวใจแกร่ง แต่หากไม่ฉวยโอกาสนี้ไว้แล้วยังไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะเก็บเธอไว้ข้างกายได้อย่างไร!?
เสียงสวบสาบที่ดังขึ้นทำให้มนตร์ลดารู้ว่าเขากำลังจัดการกับเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักไอร้อนจากฝ่ามือกร้านใหญ่ที่วางประทับลงบนหัวไหล่ของตน พร้อมกับที่นอนข้างๆที่ยุบตัวลงยิ่งทำให้รู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นจนถึงขั้นต้องกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น
“ผมไม่ได้บังคับให้คุณเดินเข้ามาในห้องนี้นะมิ้นต์ นอนกับหุ่นยนต์ ทำตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้มันจะสนุกกว่านอนกับอีหนูลีลาเด็ดได้ยังไงกัน!” จนแล้วจนรอดอเตต้าร์ก็หลุดคำพูดโหดร้ายออกมาทำร้ายจิตใจร่างสั่นเทาจนได้
มนตร์ลดาลืมตาขึ้นด้วยความโกรธ ถามกลับด้วยน้ำเสียงงอนๆ “แล้วจะให้ทำยังไงล่ะคะถึงจะสนุกถูกใจคุณ”
อเตต้าร์กระตุกคิ้วไปที่ผ้าผืนน้อยทั้งสองชิ้น สั่งให้ถอดมันออกทั้งหมด พลางลดตัวลงนอนหงายประสานมือทั้งสองข้างไว้ที้ท้ายทอย รอคอยจับจ้องภาพสวยงามที่กำลังจะเกิดขึ้น “ถอดออกให้หมด”
มนตร์ลดาข่มความอับอายที่เกิดขึ้นชันตัวลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง เอื้อมมือสั่นเทาเย็นเฉียบของตนแกะตะขอบราเซียร์ด้านหลังออก แต่ต้องหยุดชะงักเพราะคำสั่งประกาศิตดังขึ้น
“ขึ้นมานั่งบนเตียง หันหน้ามาหาผม แล้วถอดมันออก” อเตต้าร์สั่งทั้งได้ยินเสียงทอดถอนหายใจออกมาอย่างลำบากใจ หากไม่นานเธอก็ทำตามคำสั่งแต่โดยดี สายตาคมกริบจับจ้องทรวงอกกลมคู่งามที่ดีดตัวออกจากกรวยผ้าลูกไม้ที่รัดรึงอยู่ด้วยอาการปากคอแห้งผาก
เสียงครางโอว... ยาวๆที่ออกจากริมฝีปากบางเฉียบทำให้มนตร์ลดาอยากฆ่าตัวตายตอนนี้นัก แขนเรียวเสลาอกขึ้นกอดอกปิดบังเนื้อตัวจากสายตาคมกริบทันที “ปิดไฟก่อน ได้ไหมคะอาร์ตี้ คือ ฉะ...ฉันอาย!!”
อเตต้าร์เอื้อมมือไปรั้งข้อศอกมนให้ลดตัวลงนอนหงายราบไปกับที่นอนอย่างรวดเร็ว พลิกตัวเองขึ้นคร่อมร่างอวบอัดแต่มือเรียวบางข้างหนึ่งยังปกปิดทรวงอกไว้อย่างหวงแหนอยู่ “ผมจะไม่บังคับ เรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนี้เป็นความเต็มใจของเราทั้งคู่ เลือกเอาคิตตี้ ปล่อยตัวปล่อยใจให้ผมหรือจะวิ่งออกจากห้องนี้ไปก็แล้วแต่คุณ”
มนตร์ลดาจ้องมองสายตาคมกริบอย่างเจ็บปวดใจพร้อมๆกับลดมืออีกข้างหนึ่งลงจากหน้าอกของตนวางมันไว้แนบลำตัวอย่างศิโรราบ
อเตต้าร์เลื่อนหมอนอีกใบมาซ้อนใต้ศีรษะได้รูปตั้งใจให้เธอมองเห็นทุกการกระทำอย่างชัดเจน “อย่าหลับตานะคิตตี้ ผมจะแสดงให้ดูว่าร่างกายของคุณชอบสัมผัสของผม จะแสดงให้คุณเห็นและยอมรับว่ามันไม่ใช่การขืนใจแต่มันคือการร่วมรัก!!”
เพียงเท่านั้นฝ่ามือใหญ่สีผิวกรำแดดก็เลื่อนมาเคล้นคลึงบดกลางฝ่ามือเข้ากับปลายยอดทรวงเข้าด้วยกันอย่างเร้าใจ แนบร่างกายอันเต็มตึงไปด้วยกล้ามเนื้อสมบูรณ์แบบของชายชาตรีเข้ากลางร่างนวลเนียนอย่างสนิทชิดเชื้อ “จูบตอบผมด้วยนะคนสวย”
มนตร์ลดาไม่รู้ว่าคำสั่งนั้นต้องทำอย่างไร จูบตอบยังไงแต่ก็ยอมเปิดปากให้ริมฝีปากบางเฉียบที่ก้มลงมาหาได้สัมผัสแต่โดยดี เพียงแค่ได้จูบเธอเท่านั้นอเตต้าร์ก็สัมผัสได้ถึงรสหวานเฝื่อนและกลิ่นหอมของไวน์อันคุ้นเคยมาช้านาน พลางเข้าใจถึงปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือของเธอได้ทันที เธอใช้ไวน์ของเขาย้อมใจก่อนที่จะเดินเข้ามาหาในห้องนี้
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจมากกว่าสัมผัสหอมหวานที่ได้รับอยู่นี้เลย ชายหนุ่มใช้ลีลาและประสบการณ์ที่มีอยู่ในตัวหลอกล่อให้แม่คิตตี้คนงามหัวหมุน ไล่เลียงลิ้นไปตามฟันทุกซี่ หยอกเอินให้เธอสนุกสนาน หลงลืมตัว และไว้วางใจเขาในที่สุด เมื่อลิ้มรสความหอมหวานจากโพรงปากจนเต็มอิ่มแล้วจึงซุกไซ้ปากและจมูกเข้าที่กรอบหน้างาม ลำคอระหงแล้ววกกลับไปที่ใบหูขาวสะอาด “แม่คิตตี้ขี้เมา แอบไปดื่มเหล้าย้อมใจมาด้วยใช่ไหม ฮึ?...”
มนตร์ลดาพยักหน้าตอบรับพลางตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฉันกลัวค่ะ”
“ไม่มีอะไรต้องกลัว... คราวที่แล้วคุณก็รับรู้แล้วว่ามันดีเลิศเลอ สนุกสุดเหวี่ยงแค่ไหน เตรียมตัวรับความสุขที่คุณต้องเสพติดมันงอมแงมเชียวล่ะคนสวย!” เพียงเท่านั้นอเตต้าร์ก็ก้มลงรวบยอดอกอิ่มเข้าไว้ในปาก ตวัดปลายลิ้นสร้างความสุขให้คนใต้ร่างอย่างที่พูดไว้เต็มความสามารถ สะบัดปลายลิ้นแกว่งไกว พลิ้วไหวแปรเปลี่ยนเป็นดูดดึงจนร่างอวบอิ่มต้องแอ่นหน้าอกตอบรับสัมผัสนั้นอย่างซ่านใจ สองมือหนาทำหน้าที่เคล้นคลึงทรวงอกอีกข้างราวกับกลัวมันจะน้อยหน้าข้างที่ถูกปรนเปรอด้วยริมฝีปาก นานจนพอใจจึงเปลี่ยนมาทำเช่นเดิมซ้ำอีกครั้งหนึ่ง อเตต้าร์ไม่ปล่อยให้ส่วนใดของผิวเนื้อเนียนหลุดรอดจากสัมผัสของตนได้ราวกับว่าเขามีเวลาทั้งชีวิตจะทำเช่นนี้
“โอ๊ะ!... อาร์ตี้... อื้อ...” มนตร์ลดาพูดได้เพียงเท่านั้น เมื่อสิ่งที่ตั้งใจจะเอ่ยออกมาถูกซัดให้จมหายไปด้วยคลื่นพิศวาสที่อเตต้าร์ปลุกปั่นขึ้นมาจนต้องทิ้งศีรษะลงบนหมอนนุ่ม กัดริมฝีปากตัวเองแน่นเพราะตกใจกับเสียงครวญครางของตนเมื่อครู่!!
อเตต้าร์เลื่อนตัวต่ำลงมาเรื่อยๆ จูบซับหน้าท้องแบนราบที่หดเกร็งไปเนิ่นนานจนได้ยินเสียงครางน่ารัก ต่างฝ่ายต่างผงกหัวขึ้นมาสบสายตากัน มนตร์ลดาส่ายหน้าเร็วๆห้ามเมื่อรู้โดยสัญชาตญาณว่าสิ่งที่เขาต้องการจูบนั้นมีมากกว่านี้! หากอเตต้าร์กลับมองผู้หญิงที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าแดงก่ำ ปากบวมเจ่อว่าเธอเซ็กซี่ขาดใจ!
สวัสดีค่า นักอ่านที่รัก
ศิริพาราอัพอาร์ตี้-คิตตี้ให้อ่านครบ50% ของเนื้อเรื่องแล้วนะคะ ทัณฑ์สวาทจอมเถื่อนเป็นรูปเล่มแล้วและสามารถ หิ้วอาร์ตี้จอมห่ามไปครอบครองได้ที่ร้านซีเอ็ดบุ๊ก ร้านนายอินทร์ ร้านบีทูเอส เว็บสำนักพิมพ์อินเลิฟ เว็บบุ๊กสไมล์ และสามารถพูดคุยกับศิริพาราได้ตามช่องทางดังนี้
1. e-mail siripara2writer@gmail.com
2. fanpage https://www.facebook.com/siripara.raya
3.facebook https://www.facebook.com/siripara.looktan
ติชมหรือแสดงความคิดเห็นได้ตามสบายค่า เม้ามอยหอยขมกันได้ไม่เฉพาะเรื่องนิยาย ศิริพารายังมีเกมกติกาแสนง่ายดาย แจกของรางวัลเล็กน้อยเพื่อตอบแทนนักอ่านที่รัก อย่าลืมกดlikefanpage ศิริพารา รายาฤดีนะคะ
จบเรื่องนี้แล้ว ศิริพาราจะเอานิยายทั้งหมดมาอัพให้นักอ่านที่รักได้อ่านกันทุกเรื่อง ขอบคุณที่ติดตามและแสดงความคิดเห็นค่ะ
จุ๊บๆๆ
ศิริพารา
บางทีนิสัยที่แตกต่างกันมากๆมันอาจจะทำให้คนทั้งสองอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัวเพราะต่างฝ่ายต่างเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปของอีกคน แต่ในกรณีของอเตต้าร์และมนตร์ลดานั้นพบเจอกันด้วยความเข้าใจผิดจนเลยเถิดไปเป็นเรื่องใหญ่โตถึงขั้นหักหาญน้ำใจกัน มองปราดเดียวก็พอจะรู้ว่าหลานชายจอมเถื่อนของตนนั้นมีใจให้กับพยาบาลสาว ซึ่งพูดได้เต็มปากว่าไม่เคยได้เห็นท่าทางของอเตต้าร์จะตามตอแยกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่เพราะมีความผิดติดตัวหนักหนาเลยต้องวางฟอร์มเยอะแยะจนดูเหมือนจะเกิดเรื่องทำร้ายจิตใจฝ่ายหญิงไปเสียทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากัน
ไม่นานนักอเตต้าร์ก็เดินเข้ามาในห้องอาหาร ชายหนุ่มอ่านหนังสือพิมพ์ที่วางเตรียมไว้ให้หลายฉบับอย่างรวดเร็วจิบกาแฟดำสนิทไปพร้อมๆกัน แต่พอลดหนังสือพิมพ์ลงก็ได้เห็นปู่ของตนและแม่พยาบาลสาวกำลังส่งสัญญาณบางอย่างให้แก่กัน เหมือนมีเรื่องอะไรสักอย่างจะพูดกับตน
“ผมไม่ใช่ผู้พิพากษานะเวลาจะพูดอะไรด้วยถึงต้องทำท่าทางลำบากใจขนาดนั้น” อเตต้าร์พับหนังสือพิมพ์วางไว้ใกล้มือ ถามพร้อมหรี่ตามองใบหน้างดงามของผู้หญิงที่นั่งตรงกันข้าม
“เอ่อ... คือ” มนตร์ลดาอึกอัก ลำบากใจเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนก่อนดี และยิ่งพูดไม่ออกไปใหญ่เมื่อร่างสูงใหญ่ของคนที่จะขอร้องนั้นเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ กอดอก เลิกคิ้วเป็นเชิงถามทำท่ารอฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
“เอ้า... พูดซิแม่หนูมิ้นต์ หรือจะให้ปู่เป็นคนพูด” การันก้ากระตุ้นพอจะรู้ว่ามนตร์ลดานั้นลำบากใจ แต่เพียงชั่วครู่เสียงหวานเจื้อยแจ้วก็เริ่มเอื้อนเอ่ยปัญหาที่ตนเองประสบพบเจอออกมา แต่ผู้สูงวัยกลับกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างระอาใจเมื่อหันมามองใบหน้าของหลานชายจอมเถื่อนที่นั่งทำตาเคลิ้ม ยิ้มตรงมุมปากน้อยๆราวกับว่ากำลังฟังวงออเคสตร้าบรรเลงเพลงประทับใจ มันเป็นใบหน้าที่คนหยาบกระด้างอย่างอเตต้าร์ไม่มีโอกาสที่จะแสดงออกมาให้ใครได้เห็นบ่อยนัก จบคำร้องขอของมนตร์ลดาแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัวจนตนต้องแสร้งกระแอมเสียงดังเรียกให้ตื่นจากภวังค์
อเตต้าร์รีบขยับตัว กดเสียงต่ำถามราวกับรำคาญใจหนักหนาแต่มันเป็นปฏิกิริยาที่คนเลี้ยงดูชายหนุ่มมาตั้งแต่เกิดมองออกว่ามันเป็นเพียงการแสดงออกมาแก้เขินเท่านั้น!! “ตกลงจะให้หาแค่ที่อยู่หรือให้พาไปหาน้องชาย?”
“หาแค่ที่อยู่ก็พอค่ะ ถ้ารู้ว่าเขาพักที่โรงแรมไหนแล้วฉันจะไปหาเขาเองค่ะ” มนตร์ลดารีบตอบ
“แล้วจะไปยังไง รีโอกรันดีโดซุลไม่ใช่เล็กๆ หรือว่าจะให้ไอ้หมอปาโต้นั่นพาไป?” อเตต้าร์ถามเสียงขุ่น
“เมื่อเช้าฉันโทรฯปรึกษาคุณหมอปาโต้แล้วค่ะ เขาบอกว่าจะช่วยหาอีกแรง” มนตร์ลดาบอกไปตามความจริง เมื่อเช้าพออาบน้ำแต่งตัวเสร็จเธอก็ต่อสายปรึกษาเรื่องนี้กับปาโต้เพื่อนต่างวัยที่ให้คำแนะนำอย่างดี แต่กลับลืมไปว่าอเตต้าร์เคยสั่งห้ามไว้ว่าอย่างไร!
“งั้นก็ให้มันช่วย จะมาขอให้ผมช่วยทำไม” อเตต้าร์ตอบกลับแบบพาลพาโล
“อาร์ตี้!...” คุณปู่การันก้าปรามเสียงดุ รู้ทันความคิดหลานชายล่ะว่าเต็มใจช่วยเหลือเธออย่างที่สุดแต่ที่ทำเป็นไม่สนใจไยดีเพราะความหึงหวงเข้าครอบงำ
มนตร์ลดาพูดไม่ออกเพราะคิดเอาไว้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าคนรวยแบบเขาจะมาสนใจช่วยเหลือเรื่องเล็กน้อยของเธอได้อย่างไร
“หาคนแค่คนเดียวมันไม่ยากอะไรนักหนาหรอก แต่ถ้าจะให้ผมช่วยก็อย่าคิดจะได้ไปขอความช่วยเหลือนี้จากใครหน้าไหนอีก ไม่อย่างนั้น...”
คุณปู่การันก้าชิงพูดดักคอขึ้นก่อนที่อเตต้าร์จะข่มขู่พยาบาลสาวไปมากกว่านี้ “อาร์ตี้ ตกลงแกจะช่วยแม่หนูมิ้นต์ใช่ไหม?”
“ก็ต้องแล้วแต่แม่หนูมิ้นต์ของปู่ล่ะครับว่าจะทำตามคำสั่งของผมได้รึเปล่า? หือ??” พูดจบก็หันไปจ้องดวงตาดำขลับถามอย่างรอคอยคำตอบ
“ว่างไงหนูมิ้นต์??” การันก้าถามคนที่ยังทำหน้างงๆ ปรับตัวไม่ทันกับอารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของอเตต้าร์
“เอ่อ... ค่ะ แต่ว่าฉันบอกหมอปาโต้ไปแล้วนี่คะ”
“งั้นก็โทรฯไปบอกมันว่าอย่ามาแส่ เรื่องของคนในตระกูลโอลีเวย์ร่าต้องให้หมอซื่อบื้ออย่างนั้นเข้ามาวุ่นวายด้วยหรือยังไง” อเตต้าร์บอกอย่างข่มอารมณ์โกรธที่แม่คิตตี้คนงามไปปรึกษาปัญหากับคนอื่นแทนที่จะมาปรึกษาเขาก่อนเป็นคนแรก!!
มนตร์ลดาถึงกับพูดไม่ออก นั่งนิ่งคิดหนักกับคำพูดที่เขามักรวมเธอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลร่ำรวยอย่างโอลีเวย์ร่าอยู่บ่อย อย่างวันที่เขาพาไปดูโรงบ่มไวน์นั่นก็พูดว่าไร่องุ่นของเรา! วันนี้ยังบอกว่าเรื่องของเธอคือเรื่องของคนตระกูลโอลีเวย์ร่าอีก มือเรียวบอบบางยกแก้วน้ำสะอาดขึ้นจิบพลางคิดถึงเหตุการณ์และคำพูดที่ชวนให้งงงันของเขา
“อิ่มแล้วใช่ไหม จะได้ไปกันเลย?” อเตต้าร์ถามเสียงเข้มเมื่อเห็นหญิงสาวดื่มน้ำแล้ว
“จะไปไหนคะ?”
“อ้าว!... ก็ไปออฟฟิศกับผมน่ะสิ ไหนว่าจะให้ช่วยหาที่อยู่น้องชาย ถ้าคุณไม่ไปบอกรูปพรรณสัณฐานของน้องชายคุณกับคนของผมที่ออฟฟิศ แล้วพวกนั้นมันจะหาน้องชายคุณเจอไหม”
“เอ่อ... แต่ฉันต้องดูแลคุณปู่” มนตร์ลดายังห่วงหน้าที่ของตนเองทั้งอีกใจหนึ่งก็อยากรู้ข่าวของน้องชายด้วย คุณปู่การันก้าจึงเอ่ยอนุญาตให้พยาบาลสาวไปจัดการเรื่องส่วนตัวก่อนโดยไม่ต้องเป็นห่วงท่านเพราะยังมีกานโช่คอยดูแลอยู่อีกคน มนตร์ลดาจึงยิ้มอย่างซาบซึ้งพร้อมกล่าวคำขอบคุณผู้สูงวัยที่เข้าใจและเมตตาตนเองเสมอมา
ราวสามสิบนาทีต่อมามนตร์ลดาก้าวลงจากรถสปอร์ตคันหรูที่เพิ่งเคยเอนกายลงนั่งเป็นครั้งแรกในชีวิต เจ้าของร่างอ้อนแอ้นแหนหน้าขึ้นมองโดมกระจกใสอันใหญ่โตมโหราฬตรงหน้า อดแปลกใจไม่ได้เพราะไม่เคยคิดว่าออฟฟิศที่คนเถื่อนทำงานจะหรูหรา มีรูปทรงทันสมัยเช่นนี้ หากความอุ่นซ่านที่เข้ามากระทบฝ่ามือนั้นดึงสายตาให้ก้มลงมองตามแรงกระชับที่มือของตนเองทันที
“เดินเร็วๆซิ ไหนว่าร้อนใจเรื่องน้องชาย มัวมองอะไรอยู่!?” อเตต้าร์จับมือของหญิงสาวแน่น เดินเข้าไปด้านในพลางต่อว่าต่อขานอย่างไม่จริงจังนัก
มนตร์ลดาต้องเดินตามแรงดึงของคนที่จับมือตนเองเดินอย่างเสียไม่ได้ ประตูกระจกเลื่อนเปิดออกอัตโนมัติพร้อมกับพนักงานรักษาความปลอดภัยร่างยักษ์โค้งคำนับให้อย่างสุภาพ พนักงานสาวสวยหน้าสองคนหลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ผุดลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยทักทายเจ้านายอย่างยิ้มแย้ม แต่พอเจ้านายเดินผ่านไปทั้งคู่ก็หันมาซุบซิบ อบยิ้มมองเธออย่างมีเลศนัย
“ปล่อยเถอะค่ะ คนมองกันใหญ่แล้ว” มนตร์ลดาบอกเมื่อเข้ามาอยู่ในลิฟต์แก้วที่เริ่มเคลื่อนที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งใช้อีกมือหนึ่งของตนแกะนิ้วแข็งแรงออกแต่ก็ไม่เป็นผล มองรอยยิ้มที่มุมปากอย่างไม่ยี่หระกับเรื่องราวรอบตัว
“ตามีไว้มอง ทำไมต้องแคร์กับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ด้วย” อเตต้าร์บอกเปลี่ยนจากกับจับมือมาสอดนิ้วเข้าประสานกับซอกนิ้วเรียวอย่างยั่วเย้า
“เอ๊ะ!!”
“อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน คุณน่าจะรู้ว่าคนอย่างผมน่ะ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ” ก่อนที่ทั้งคู่จะได้ต่อปากต่อคำกันอีกประตูลิฟต์ก็เปิดออกช้าๆ อเตต้าร์จึงพาร่างอ้อนแอ้นเดินออกมา ผ่านชั้นเก็บขวดไวน์เรียงเป็นระเบียบอยู่ข้างผนัง พนักงานหลายคนต่างลุกขึ้นยืนพร้อมทักทายเจ้านายอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสแต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าวันนี้ท่านพกเอาสาวน้อยใบหน้างดงามมาทำงานด้วยเป็นครั้งแรก แถมยังจับมือถือแขนกันอย่างสนิทสนมอีกด้วย แน่นอนล่ะว่ามันคือเรื่องซุบซิบในอาคารทรงโดมแก้วนี้ และอีกไม่กี่วันข้างหน้ามันก็จะขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆว่า ‘เซญอร์อเตต้าร์ เมนดิส โดส ซานโตส โอลีเวย์ร่า ควงสาวน้อยคนงามมาทำงานด้วย มันคงทำให้สาวๆทั่วโลกต่างมีอาการช้ำในอกได้เป็นแน่!’
“กาแฟไหม?” อเตต้าร์ถามเมื่อเข้ามาอยู่ในห้องทำงานกว้างขวางของตน และยังไม่ปล่อยมือเรียวให้เป็นอิสระง่ายๆ แม้เจ้าของจะขยันแกะขยันแงะเหลือเกิน
“ไม่ค่ะ ปล่อยมือก่อนได้ไหม คุณไม่เห็นหรือไงว่าคนอื่นเขามองแล้วพูดซุบซิบกัน แล้วถึงคุณจะไม่แคร์แต่ฉันแคร์!” มนตร์ลดาต่อว่าเพราะความโมโห
อเตต้าร์ยักไหล่อย่างไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอแต่ก็ยอมคลายมือออกในที่สุด “ชอบไหม?”
“คะ??” มนตร์ลดาไม่เข้าใจคำถาม
“เห็นออฟฟิศผมแล้วเป็นไง ชอบไหม??” อเตต้าร์ขยายประโยคคำถามให้สาวซื่อบื้อเข้าใจมากขึ้น หากเขาใช้ประโยคนี้ถามสาวๆคนอื่นคงไม่ต้องขยายความกันให้ยืดยาวแบบนี้แน่
“ก็สวยดีค่ะ” แต่ไม่เหมาะกับคนหยาบกระด้างแบบคุณหรอกนะ มนตร์ลดาพูดต่อเองในใจ หากมีเรื่องร้อนใจจึงไม่อยากต่อความให้เขาไม่พอใจพร้อมเข้าถามเข้าเรื่องทันที “ไหนล่ะคะ คนของคุณที่จะให้ฉันบอกข้อมูลของน้องชาย”
“ใจเย็นๆสิ เพิ่งมาถึงยังไม่ทันนั่งเลย ก่อนอื่นเราต้องมาทำข้อตกลงกันก่อน” อเตต้าร์บอกพลางเดินไปนั่งทรุดตัวลงที่เก้าอี้ทำงานตัวใหญ่
“ฉันจะโทรฯไปบอกปาโต้ตอนนี้เลยก็ได้ค่ะ จะไม่ให้เขาเข้ามายุ่งเรื่องนี้อีกเลย” มนตร์ลดาเดินตามเข้าไปหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานตัวยาว
อเตต้าร์มองท่าทางกระตือรือร้นและสายตาวิงวอนนั้นอย่างสงสาร แต่ห้ามใจตัวเองไว้เพราะมันเป็นโอกาสเดียวที่จะเพิ่มเติมข้อต่อรองทุกอย่างตามที่ใจต้องการ มันจะเป็นเงื่อนไขที่บังคับให้เธอทำตัวอยู่ในโอวาทได้แน่นอน จากการที่เคยให้ไมนาสไปสืบประวัติเธอมาแล้ว และพอรู้มาอยู่บ้างว่าบาร์เทนเดอร์หนุ่มน้อยคือน้องชายต่างบิดาของเธอนั้นท่าทางเกเรเอาเรื่องอยู่มาก แต่ในตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจคนรอบข้างเธอไปมากกว่าประวัติส่วนตัวของเธอ
“บอกมาซิคะ คุณมีเงื่อนไขอะไรอีก??” มนตร์ลดาย้ำถามอีกครั้งหนึ่งเมื่อเห็นเจ้านายนั่งนิ่งเงียบไปนาน
“ข้อแรกบอกไปแล้ว ข้อสองห้ามขัดใจผม ความจริงผมว่าข้อแรกมันก็รวมอยู่ในข้อสองด้วยนะ สรุปง่ายๆว่าห้ามขัดใจผม โอเคม่ะ??”
มนตร์ลดาขมวดคิ้วมุ่น มันดูจะมากเกินไปหน่อยสำหรับการต้องทำตามใจของคนเจ้าอารมณ์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอย่างเขา แต่ก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากเขาอยู่ ปากอิ่มสีเชอร์รี่จึงเริ่มต่อรองด้วยน้ำเสียงประนีประนอม “เช่นว่าเรื่องอะไรบ้างล่ะคะ คำว่าห้ามขัดใจคุณมันออกจะดูกว้างเกินไปหน่อย และฉันว่ามันไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่”
“ห้ามขัดใจทุกเรื่องและผมว่ามันยุติธรรมที่สุดแล้วเพราะไม่เกินสองวันผมจะพาคุณไปพบน้องชายคุณได้แน่นอน แต่ถ้าคุณว่ามันไม่ยุติธรรม เปลี่ยนใจไม่อยากให้ผมช่วย ไม่สนใจว่าแม่คุณจะไม่สบายใจจนล้มป่วยไปก็ตามใจ เดี๋ยวจะให้ไมนาสเอารถออกพาไปส่งที่บ้าน” อเตต้าร์บอก จงใจต้อนเธอให้จนมุมด้วยเหตุผลที่ทำให้ไม่สามารถปฏิเสธได้
“แล้วถ้าภายในสองวันไม่เจอน้องชายฉันล่ะคะ?”
“ไม่มีคำว่าไม่เจอ แต่ถ้าคุณยังมีข้อต่อรองไม่จบไม่สิ้นต่อไปจะเจอตัวเป็นๆรึเปล่าน่ะ ไม่รับประกัน!” อเตต้าร์ขู่หนักเข้าไปอีก “โอเค้??”
“ค่ะ!!” มนตร์กระแทกเสียงตอบรับข้อตกลงอย่างเสียมิได้ มองมือหนากดปุ่มอินเตอร์คอมเรียกระดมทีมงานในทันที แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เพทุบายบนใบหน้าคร้ามคมทำให้มนตร์ลดาต้องเบือนหน้าหนี รู้สึกร้อนๆหนาวๆแล่นผ่านช่องท้องให้รู้สึกโหวงเหวงชอบกล
สองวันเท่านั้นๆ ท่องเอาไว้มนตร์ลดาเพื่อแม่ที่รอคอยอย่างมีความหวัง แลกกับการทำตามใจคนเจ้าอารมณ์สองวันก็นับว่าไม่ขาดทุนเท่าไหร่
ไม่นานนักเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ไมนาสและชายร่างสูงใหญ่อีกราวห้าหกคนต่างก็ทยอยเดินเข้ามาในห้อง ไมนาสเป็นคนแนะนำว่าทั้งหมดนี้จะเป็นคนออกตามหาน้องชายของเธอเอง มนตร์ลดาโชว์รูปภาพของอัลเวสที่มีบันทึกไว้ในเครื่องโทรศัพท์ของตนและบอกรายละเอียดส่วนตัว วันที่เดินทางออกจากบ้าน ไมนาสจึงบอกว่าคงต้องเริ่มสืบจากการวันที่มีเดินทางออกจากรีโอเดอจาเนโรเพื่อให้แน่ชัดว่าอัลเวสจะเดินทางมาที่รีโอกรันดีโดซุลจริงๆ รูปถ่ายของอัลเวสถูกปริ้นออกมาส่งให้ชายร่างสูงใหญ่ทั้งหมด
“หาตัวมาให้ได้เร็วที่สุด ทุกโรงแรมน้อยใหญ่ มีชื่อหรือว่าเป็นแหล่งที่กบดานของพวกพ่อค้ายาก็อย่าได้ละเว้น จำไว้นะถ้าพวกแกพบเด็กผู้ชายคนนี้ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติให้รายงานฉันก่อน ห้ามทำอะไรผลีผลาม เขาต้องปลอดภัยที่สุดจำเอาไว้” อเตต้าร์สั่งการด้วยน้ำเสียงเข้ม มั่นคง “อ้อ... ไมนาส อย่าลืมเช็คตามสถานีตำรวจด้วย”
มนตร์ลดายิ้มอย่างขอบคุณให้ไมนาสที่รับคำอย่างหนักแน่นและก้าวออกไปจากห้องในเวลาต่อมา พลางหันไปมองร่างสูงใหญ่อย่างสงสัย ทำไมต้องให้หาตามแหล่งกบดานของพวกพ่อค้ายาด้วย? จริงอยู่ว่าน้องชายเธอเกเร ไม่ใช่เด็กที่ประพฤติตัวอยู่ในกรอบนักแต่เขาเพิ่งจะอายุไม่ถึงสิบแปดปีด้วยซ้ำคงจะไม่หลงผิดเอาตัวไปพัวพันกับยาเสพติดหรอกนะ!!
อเตต้าร์ลอบมองใบหน้างดงามที่กำลังกรอกตาไปมา ขบริมฝีปากด้านล่างอย่างคนใช้ความคิดอย่างเพลินตา ถามตัวเองว่าเธอสวยเกินไปจนสองตาของเขามองไม่เห็นถึงความสวยของผู้หญิงอื่นหรือเป็นเพราะกำลังหลงเธอจนไม่มีจิตใจจะมองใครกันแน่ มันถึงทำให้เขาเหมือนคนไร้น้ำยาหมดสภาพอยู่แบบนี้ แต่เพียงแค่ลอบมองเธอเท่านั้นเส้นประสาททุกเส้นมันถึงตื่นตัวตอบรับเธอจนรวดร้าวได้ถึงเพียงนี้!!
“ฉันไม่เข้าใจเลยค่ะ ทำไมคุณถึงบอกว่าถ้าเจอน้องชายของฉันในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ มันหมายความว่ายังไงคะ?” เมื่อคิดหาคำตอบด้วยตัวเองไม่ได้ มนตร์ลดาก็เอ่ยถามออกมาในที่สุด
อเตต้าร์เงยหน้าขึ้นจากเอกสารบนโต๊ะทำงาน หันรีหันขวางมองไปรอบๆตัว ตีหน้าซื่อตาใสถามกลับคืนทันที “ถามใครเหรอ??”
“ถามเซญอร์อเตต้าร์น่ะสิคะ ก็เราอยู่ในห้องกันแค่สองคนนี่คะ”
“ไม่รู้สิ! จู่ๆก็พูดขึ้นมา ไอ้เราก็นึกว่าเครียดจัดพูดกับตัวเอง”
“เมื่อกี้นี้ฉันก็บอกแล้วว่าถามคุณ” มนตร์ลดาข่มอารมณ์พูดอย่างใจเย็น
“ไม่มีคุณ ไม่มีเซญอร์อเตต้าร์อะไรทั้งนั้นเพราะผมคืออาร์ตี้ โอเค้?? และถ้าคิดจะมีข้อโต้แย้งก็จะท่องข้อตกลงของเราไว้ให้ขึ้นใจ” อเตต้าร์ยิ้มพรายเมื่อปากอิ่มที่กำลังจะขยับเถียงนั้นเม้มแน่น ทำหน้าง้ำทันที “คราวนี้ถามใหม่ พูดดีๆให้น่าฟังซิ”
หน็อย!... ได้ทีขี่แพะไล่เชียวนะ จะให้เรียกตัวเองอย่าสนิทสนมกับคนหยาบกระด้างอย่างนี้น่ะเหรอ อยากจะกลั้นใจตายมันตรงนี้เลย ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญต้องให้เขาช่วยล่ะก็อย่าได้หวังเลยว่าจะได้ยินฉันพูดดีด้วย! มนตร์ลดาคิดอย่างแค้นใจแต่สุดท้ายก็ต้องยอมทำตามเจ้านายเรื่องเยอะแต่โดยดี “อะ...เอ่อ อาร์ตี้คะ คือฉันอยากรู้ว่าสถานการณ์ที่ไม่ปกตินี่หมายความว่ายังไงคะ?”
อเตต้าร์ฟังคำพูดรื่นหูนั้นอย่างสบายอารมณ์ มันให้ความรู้สึกดีชะมัดที่เธอพูดจาน่าฟัง ทำตัวน่ารักแบบนี้ “ก่อนอื่นต้องยอมรับก่อนนะว่าอัลเวสน่ะเกเรอยู่ไม่น้อย ถ้าเขามาเที่ยวจริงๆก็คงไม่ทำตัวลึกลับอย่างตอนนี้ ส่วนที่สั่งไปแบบนั้นก็เพราะว่าเผื่อคนของเราเจออัลเวสในสถานการณ์ที่เขาอยู่รวมกับพวกแก๊งมาเฟียเถื่อน จะทำอะไรก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ อันนี้ผมพูดเผื่อไว้เท่านั้น หวังว่าคงจะไม่ใช่”
“ฉันยอมรับนะคะว่าอัลเวสออกจะเกเรกว่าเด็กทั่วไปอยู่มาก แม่กับฉันเราพยายามอย่างหนักที่จะดูแลให้เขาอยู่ในสายตาไม่ทำตัวนอกลู่นอกทางไปมากนักแต่มันก็เป็นไปได้ยากมากเพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากลุงเปาโลเท่าที่ควร ที่สำคัญคืออัลเวสทำงานในบาร์ ซึ่งมันเป็นสภาพแวดล้อมที่ล่อแหลมชวนให้เสียคนได้ง่ายมากแต่ฉันยังไม่คิดว่าอัลเวสจะเดินทางผิดเลยเถิดจนไป
เกี่ยวข้องกับยาเสพติด” มนตร์ลดาพูดเชิงปรึกษา มองคนตัวโตที่ลุกขึ้นเดินทางทิ้งตัวลงนั่งข้างๆบนโซฟายาวตัวเดียวกัน ยกเท้าพาดไว้บนโต๊ะกลางกระดิกเท้าสบายอารมณ์ พลางลอบถอนหายใจให้กับคนมารยาทหยาบโลน
“ผิดแล้วคิตตี้... น้องชายคุณน่ะเป็นบาร์เทนเดอร์ที่มีบริการเสริมให้ลูกค้าไปทั่ว เขายังเคยแนะนำเซเว่นแฮฟเว่นให้กับผมเลย” อเตต้าร์บอกจากเหตุการณ์ที่ตนประสบมากับตัวเองให้พี่สาวต่างพ่อของบาร์เทนเดอร์หนุ่มน้อยได้รับรู้ความจริงไว้
“อะไรเหรอคะ เซเว่นแฮฟเว่น??” มนตร์ลดาเอียงหน้าถามอย่างสงสัย
“ยาปลุกเซ็กส์ไงล่ะ ผมเคยไปนั่งดื่มที่บาร์สองครั้งมั้ง อัลเวสแนะนำให้ผมลองเครื่องดื่มสูตรพิเศษของเขาแถมยังบอกว่ามีอีหนูเตรียมไว้พาขึ้นสวรรค์เรียบร้อยด้วย ผมยังเคยคิดเล่นๆว่าอยากเห็นหน้าพ่อแม่ของไอ้เด็กคนนี้นักคงภูมิใจพิลึก!” อเตต้าร์พูดอย่างตรงไปตรงมาพลางหันไปมองคนข้างๆที่ทำหน้าตกใจ สีหน้าซีดสลับแดงก่ำ มันทำให้ผู้ชายที่ผ่านการใช้ชีวิตมาอย่างโชกโชนเข้าใจทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ “ไม่ใช่วันที่เรารักกันหรอกน่า... วันนั้นผมมีสติครบถ้วน รู้สึกตัวทุกการกระทำ”
“หึ! ดูภูมิใจเหลือเกินนะคะที่รังแกคนอื่นได้ วันนั้นฉันไม่เห็นจะรู้สึกว่าเรารักกันสักนิด” มนตร์ลดาอดประชดด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นออกมาไม่ได้
“งั้นมาลองทำกันใหม่มั้ย คราวนี้ผมจะทำให้คุณอยากรับความรัก ต้องการมัน จนต้องร้องกรี๊ดๆเชียวล่ะ เอามั้ยล่ะ??” ว่าจบก็เคลื่อนตัวเข้าหาร่างอ้อนแอ้นอย่างรวดเร็ว ใช้แขนข้างหนึ่งจับที่วางแขนโซฟาไว้ จ้องมองใบหน้างดงามอย่างท้าทาย
มนตร์ลดาดวงตาพร่าเลือนกับใบหน้าหล่อเหลาคร้ามคมที่อยู่ใกล้กันจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่รดรินอยู่ พลางกระพริบตาถี่ขับไล่ความรู้สึกหวั่นไหวที่เกิดขึ้นในหัวใจ “ถอยออกไปนะอาร์ตี้!”
“สั่งเหมือนเมียเปี๊ยบเลย”
“ไม่ใช่!!” มนตร์ลดามองคนที่แหนหน้าระเบิดเสียงหัวเราะดังๆออกมาดัง แล้วขยับตัวเข้ามาใกล้เธออีก
“ช่าย... เมียคนนี้เป็นสาวเวอร์จิ้นซะด้วย” อเตต้าร์ลากเสียงตอบอย่างกวนอารมณ์
“เอ๊ะก็บอกว่าไม่ใช่! งั้นผู้หญิงที่เคยขึ้นเตียงกับคุณก็ต้องเป็นเมียคุณหมดงั้นสิ?” มนตร์ลดาเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ แน่นอนล่ะว่ากิตติศัพท์เกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงของเซญอร์อเตต้าร์เป็นที่ล่ำลือในคฤหาสน์โอลีเวย์ร่ามากเพียงใด ขนาดคุณปู่การันก้ายังเคยเล่าให้ฟังว่าเขาชอบจัดปาร์ตี้ฟองสบู่! ไอ้ผู้ชายเสเพล ไม่มีสำนึก!!
อเตต้าร์เลื่อนมือทั้งสองข้างมาประคองใบหน้างดงามไว้ จ้องตาเธออย่างรู้ทันความคิด “ขี้หึงไม่ใช่เล่น... ทีนี้เข้าใจรึยังว่าผมไม่ชอบให้คุณไปพึ่งพาผู้ชายหน้าไหนนอกจากผมคนเดียวเหมือนกันกับที่คุณไม่ชอบผู้หญิงที่ผ่านมาของผมนั่นแหละ”
“ก็บอกว่าไม่ได้หึง” มนตร์ลดาตอบออกมาราวกับละเมอ
“หึง... ไม่รู้ตัวต่างหาก” อเตต้าร์แก้ให้ด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก น่าฟังจนมนตร์ลดาเถียงไม่ออก ลมหายใจร้อนผ่านรินรดไปทั่ววงหน้า
สายตาเฉียบคมของอเตต้าร์มองริมฝีปากอวบอิ่มที่เผยออยู่น้อยๆอย่างหลงใหล ต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์ของกันและกัน ปลายจมูกโด่งเฉียดวนใกล้แก้มหอมนุ่มและริมฝีปากเย้ายวนใจตรงหน้าราวกับตั้งใจยั่วยวนให้แม่สาวที่ชอบเถียงว่าตัวเองไม่ใช่เมียเขานั้นร้องขอเสียเอง
มนตร์ลดาค่อยๆหลับตาลง เมื่อปลายจมูกโด่งเฉียดใกล้ริมฝีปากตัวเอง ทุกส่วนในร่างกายอ่อนระทวยราวกับเต็มใจรอรับสัมผัสที่เขาจะมอบให้อย่างรอคอย ไม่มีการต่อต้านใดๆทั้งสิ้นจนกระทั่งได้ยินเสียงแหบพร่าดังขึ้นมาเตือนสติให้รู้สึกตัว
“ผมจะไม่ทำตัวน่าโมโหให้คิตตี้หึงอีก แต่จากนี้ไปผมจะมีคิตตี้บนเตียงทุกคืนแล้วอยากได้อะไรผมจะหาให้ ผมจะเอาน้องชายมาส่งให้ถึงมืออย่างปลอดภัยขอแค่ยอมผมเท่านั้น!”
ประโยคบอกเล่าแสลงใจที่ทำให้มนตร์ลดาเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างฉับพลัน มนต์เสน่ห์รัญจวนใจทุกอย่างรอบตัวเลือนหาย เหมือนถูกโดนตบหน้าเข้าฉาดใหญ่ ผลักสองมือที่ประคองใบหน้าตนออกด้วยท่าทางขยะแขยง ผุดลุกขึ้นออกมายืนมองเขาด้วยสายตาประนามพร้อมคำบริภาษที่หลั่งไหลออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “คนเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่เคยเห็นใจความรู้สึกของคนอื่น คุณช่วยฉันเพราะอยากให้ฉันยอมเป็นของเล่นบนเตียงคุณน่ะเหรอ ไม่มีวันซะหรอก ไอ้คนไร้จิตสำนึก!”
อเตต้าร์เบิกตากว้างอย่างงุนงง พอด่าจบแม่คิตตี้คนงามก็วิ่งเร็วอย่ากับนักกรีฑาออกจากห้องทำงานไปทันที ขนาดว่าเรียกตามไม่ทัน “อะไรกันนักกันหนาวะ??” ขนาดว่าสัญญาว่าจะมีเธอคนเดียวแล้วยังไม่พอใจแถมยังมาด่าว่าเขาว่าเห็นแก่ตัว ไร้จิตสำนึกอีกด่าจบยังวิ่งหนีไปโดยไม่ให้โอกาสได้ไถ่ถามเลยซักคำว่าเขาพูดผิดตรงไหน!
แล้วเธอยังต้องการอะไรอีกวะ? เขาไม่เคยพูดกับผู้หญิงหน้าไหนว่าจะมีเธอเพียงคนเดียวเพราะมันดูไม่ยุติธรรมมากไปหน่อยสำหรับผู้ชายเต็มตัว ฮอร์โมนเดือดพล่านอย่างเขา ไม่เคยยื่นข้อเสนอพิเศษสุดเหล่านี้ให้ใครอย่างที่ให้กับแม่คิตตี้คนงาม แน่ล่ะว่าหากเขาให้คำพูดเหล่านี้หลุดปากออกไปพวกหล่อนเหล่านั้นคงกระโจนเข้าใส่ไม่ใช่เผ่นแนบเหมือนเธอเป็นแน่ แบดบอยจอมเถื่อนคิดอย่างหงุดหงิดใจ พลางลุกขึ้นไปยกโทรศัพท์สั่งงานไมนาสลูกน้องมือขวาให้คอยตามเธอไว้อย่าได้คลาดสายตา วิ่งเตลิดออกไปแบบนั้นได้ยังไงกำลังจะได้ลิ้มรสริมฝีปากหวานล้ำของเธอแล้วเชียว
ดีล่ะ!... นี่เขาคงยอมลดราวาศอกให้มากไป เธอถึงได้ใจพยศหนักขนาดนี้ แล้วเราจะได้รู้กันแม่คิตตี้คนงาม คราวหลังอย่ามาคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องให้ช่วยก็แล้วกัน พ่อจะฟาดให้อิ่มเต็มคราบก่อนทุกครั้งที่เธอต้องการความช่วยเหลือเชียวล่ะ ฮึ่ม!!!
มนตร์ลดาก้าวออกจากลิฟต์แก้วหลังใช้เวลาสงบสติอารมณ์อยู่ในนั้นอยู่หลายนาที ในใจคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าคนไร้หัวใจอย่างเขาคงไม่ยอมที่จะยื่นมือมาช่วยเหลือเธอง่ายๆอย่างนี้แน่ ที่แท้ก็หวังให้เธอยอมทอดกายให้เชยชมทุกวันทุกคืน มันเป็นการหยามศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงคนหนึ่งให้จมลงพื้นดินอย่างไม่เหลือชิ้นดี มนตร์ลดากำมือแน่นจิกเล็บของตนกับฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ! แต่ที่น่าอายไปกว่านั้นคือเธอเองที่ยอมทำตัวอ่อน หลงใหลไปกับสัมผัสอุ่นซ่านไปทั่วหัวใจนั้น
ทำไมนะ!? ถึงเจ็บแล้วไม่ยอมจำ ทำไมถึงต้องหัวใจพองโตกับคำพูดที่เขาบอกว่าจะมีเธอเพียงคนเดียว ทั้งที่คำพูดต่อจากนี้มันทำให้เจ็บปวดใจเหลือเกิน...
กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง...
“ค่ะแม่” มนตร์ลดากรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ทันที เมื่อหน้าจอโชว์ชื่อของแม่ตัวเองโทรฯเข้ามาหา
“นี่ลุงเปาโลเองนะ แม่เราเขาให้โทรฯมาถามว่าได้ข่าวของอัลเวสรึยัง?”
“กำลังตามหาค่ะ เจ้านายของมิ้นต์ให้คนออกตามหาแล้วค่ะ แต่ก็ยังไม่ได้ข่าวอะไรเลย” มนตร์ลดาสตอบพลางสงสัยว่าแม่ของตนไปไหนเสียทำไมถึงได้ให้ลุงเปาโลโทรฯมาถาม “แม่ไปไหนล่ะคะ?”
“อ...เอ่อ ตอนนี้ลุงพาแม่มาหาหมอที่โรงพยาบาล เมื่อคืนจันทร์นอนไม่หลับคงจะคิดมากเรื่องอัลเวส พอตอนเช้านี้บ่นว่าปวดหัวลุงก็เลยพามาหาหมอ” เปาโลเพิ่งเคยพูดกับลูกติดภรรยาด้วยน้ำเสียงเป็นปกติไม่ได้แสดงความรังเกียจอย่างที่ผ่านมา
“แล้วแม่เป็นยังไงบ้างคะ หมอว่ายังไงบ้าง??” มนตร์ลดาถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนใจ
“ยังอยู่ในห้องตรวจอยู่เลย เข้าไปได้สักพักแล้ว” เปาโลบอก สายตาเหลือบไปเห็นประตูห้องตรวจเปิดออกมาจึงกรอกเสียงลงในโทรศัพท์อีกครั้งหนึ่ง “จันทร์ออกมาจากห้องตรวจแล้ว จะคุยด้วยไหม?”
“ค่ะ” มนตร์ลดารับคำสั้น ตั้งใจรอฟังเสียงมารดาอย่างใจจดใจจ่อ และได้ยินเสียงถามลอดเข้ามาในโทรศัพท์ว่า ‘เป็นยังไง มิ้นต์หาอัลเวสเจอรึยัง?’
“ฮัลโหล... มิ้นต์เหรอลูก ได้ข่าวน้องบ้างรึยัง??” จันทร์แรมรับโทรศัพท์จากสามีมาแนบหูพร้อมเอ่ยถามลูกสาวทันที
“แม่เป็นยังไงบ้างคะ หมอบอกว่าเป็นอะไร??” มนตร์ลดาถามเร็วๆด้วยน้ำเสียงร้อนรนใจ
“แม่ไม่เป็นอะไรมากหรอกลูก... เมื่อคืนแม่นอนไม่ค่อยหลับตื่นเช้ามาเลยปวดหัว หมอวัดความดันให้แล้วบอกว่าความดันเลือดสูงขึ้นนิดหน่อยเท่านั้นเอง หนูไม่ต้องห่วงนะ แม่ดูแลตัวเองได้”
“โธ่แม่ขา!... หนูขอร้องว่าแม่อย่าคิดมากนะคะ เจ้านายหนูรับปากแล้วว่าจะพาอัลเวสมาส่งให้อย่างปลอดภัย ที่นี่เซญอร์อเตต้าร์เป็นผู้กว้างขวาง แม่ทำใจให้สบายนะคะ อย่าคิดมาก ทานยาตามหมอสั่งนะคะ ไม่เกินวันสองวันนี้เราต้องได้พบอัลเวสแน่ค่ะ”
“จริงเหรอลูก เจ้านายของหนูรับปากว่าจะช่วยเราหาน้องใช่ไหม?” จันทร์แรมรีบถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น มีความหวัง
“ค่ะแม่ เมื่อเช้านี้เขาเพิ่งสั่งให้คนออกตามหาอัลเวสค่ะ นี่หนูก็อยู่ที่ออฟฟิศด้วยเพราะมาบอกรูปพรรณสัณฐานของน้องให้พวกเขาได้รู้ น้องไม่เป็นอะไรหรอกค่ะแม่ เขาคงแค่เที่ยวเพลินไปหน่อยเท่านั้นเอง”
“โอ... หนูรู้ใช่ไหมว่าแม่รักลูกกับน้องมากแค่ไหน ถ้ามีใครคนนึงต้องเป็นอะไรไปแม่คงทนไม่ได้ คงต้องขาดใจไปแน่ๆ” จันทร์แรมบอกลูกสาวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “งั้นแค่นี้ก่อนนะลูก แม่ต้องไปรับยาแล้ว ถ้าได้ข่าวน้องหนูต้องรีบส่งข่าวให้แม่รู้ทันทีนะ”
“ค่ะแม่... แต่แม่ต้อรับปากกับหนูก่อนนะคะว่าจะรักษาสุขภาพตัวเองให้ดี อย่าคิดมาก อย่าทำงานหนัก วันนี้ห้ามทำงานเด็ดขาด ทานยาแล้วต้องนอนพักผ่อนนะคะ” มนตร์ลดาบอกยืดยาวด้วยความเป็นห่วง หลังจากวางสายแล้ว หญิงสาวจึงเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมายพลางถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะสายตาหลายคู่ที่มองมายังตัวเองนั้นดูขบขันและยังหันไปซุบซิบชนิดที่มองออกว่ากำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาของสาวๆจนสนุกปากอยู่
‘เด็กใหม่ของเซญอร์อาร์ตี้สินะ แหม... ทำท่าผยองน่าดู ขนาดว่าลงมาเดินสำรวจออฟฟิศคนเดียวอย่างนี้คงจะคิดว่าตัวเองจะได้เป็นเซญอร่าของท่านล่ะสิ’
‘ก็สวยดีอยู่หรอก แต่อรชรอ้อนแอ้นแบบนี้ ท่านใช้ครั้งสองครั้งก็คงเบื่อแล้วมั้ง’
‘แหม... ถึงจะแค่ครั้งสองครั้งก็เถอะ เป็นฉันฉันก็ยอม ได้ข่าวว่าท่านใจถึงอยากได้อะไรก็ให้ถ้าไม่เรื่องมาก บางคนตั้งตัวได้เชียวนะ!’
มนตร์ลดาเดินหนีจากเสียงซุบซิบนินทานั้นมาหยุดอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์บาร์ชั้นล่างสุด มันคงเป็นมุมจัดแสดงไวน์ชนิดต่างๆ ชาวต่างชาติหลายคนที่อยู่ในชุดภูมิฐานยังคงชิมไวน์หลายแก้วอยู่อีกด้วย
“รับไวน์สักแก้วไหมครับเซญอริต้า??” พนักงานวัยกลางคนอยู่ในชุดสูทโก้หรู สวมถุงมือสีขาวสะอาดเอ่ยถามขึ้น พลางยื่นแก้วทรงสูงที่มีน้ำเสียงแดงทับทิมเข้มให้สตรีผู้มีใบหน้างดงามแต่ทว่าดูหม่นหมองนักในยามนี้
“ขอบคุณค่ะ” มนตร์ลดารับแก้วไวน์นั้นไว้แล้วเดินมาทรุดตัวนั่งที่ชุดเก้าอี้ที่จัดวางไว้บริเวณนั้นหลายชุดอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่นานนักไมนาสก็เดินเข้ามาหา
“อ้าว... ทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะครับเซญอริต้า” ไมนาสต้องเรียกขานเธออย่างสุภาพเพราะได้รับคำสั่งห้ามไม่ให้เรียกว่าด้วยชื่อเล่นอย่าสนิทสนมจากเจ้านายตั้งแต่ที่ท่านได้ยินครั้งแรกแล้ว
“เบื่อๆน่ะค่ะ แล้วทำไมคุณมาอยู่ที่นีฉันคิดว่าคุณออกไปตามหาน้องชายให้ฉันเสียอีก”
“ความจริงก็ออกไปพร้อมกับพวกนั้นแหละครับ แต่เมื่อครู่ใหญ่นี้ผมได้รับคำสั่งให้กลับมา ปล่อยให้พวกนั้นทำงานไป นี่ผมก็ยังงงๆอยู่เลยครับ ทำไมท่านถึงได้เปลี่ยนแปลงคำสั่งรวดเร็วแบบนี้” ไมนาสบอก
“นั่งคุยกันหน่อยซิคะ ฉันอยากถามว่าเราพอจะมีวี่แววว่าจะพบน้องชายของฉันบ้างรึเปล่า” มนตร์ลดาพอจะรู้สาเหตุว่าทำไมไมนาสถึงโดนเรียกตัวกลับมากระทันหัน ก็เพราะว่าเธอไม่ยินยอมเป็นเครื่องสนองอารมณ์บนเตียงของเจ้านายไมนาสน่ะสิ “ฉันรู้ว่ารีโอกรันดีโดซุลไม่ใช่เมืองเล็กๆ หากจะหาคนคนเดียวคงไม่ง่ายนัก”
“ครับ ไม่ง่ายแน่ครับถ้าปล่อยให้พวกนั้นหาไปเรื่อยๆ แล้วผมก็ยังไม่ได้ออกไปช่วยอีกด้วย แต่ถึงกระนั้นมันก็คงไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ถ้าหากเซญอร์อเตต้าร์จะออกหน้าเอง” ไมนาสพูดความจริงที่สุดให้พยาบาลสาวได้รับรู้ “ตอนแรกที่ได้ยินท่านสั่ง ผมคิดว่ามันคงไม่ยากเพราะท่านจะให้พวกผมไปสืบหาข่าวมาก่อน คืนนี้ท่านคงจะออกไปตามหาเองแต่พอท่านโทรฯตามผมให้กลับมาโดยไม่มีเหตุผล ผมยังสงสัยอยู่ว่าเราจะเจอน้องชายเซญอริต้าได้ยังไง หรือเซญอริต้าไปทำอะไรให้ท่านไม่พอใจรึเปล่าครับถึงได้ยกเลิกคำสั่งเร็วขนาดนี้”
“เอ่อ... ไม่รู้สิคะ ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรให้เขาโกรธนี่ เขาคงไม่อยากช่วยละมั้ง?”
ไมนาสมองท่าทางของผู้หญิงที่เจ้านายพึงใจอย่างล่วงรู้สถานการณ์ แน่นอนว่าเธอคงแผลงฤทธิ์กับเจ้านายเขาเป็นแน่ ท่านถึงได้ถอนคำสั่งรวดเร็วเพียงนี้ และความจริงแล้วมันไม่เป็นผลดีกับน้องชายของเธอเลยหากเขาตกอยู่ในอันตราย!! “ท่านไม่เคยยุ่งกับเรื่องของใครอยู่แล้วครับ พูดได้เต็มปากว่าถ้าไม่ใช่เรื่องของคนในครอบครัวท่านจะไม่ชายตาแลซะด้วยซ้ำไป แต่นี่... ท่านสั่งให้คนออกตามหาราวกับเป็นเรื่องของคนในตระกูลโอลีเวย์ร่า ผมไม่ทราบว่าเซญอริต้าจะทำอะไรให้ท่านโกรธนะครับแต่ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปล่ะก็ มันจะเป็นผลเสียต่อน้องชายของเซญอริต้านะครับ ถ้าเรื่องนี้ท่านไม่ยื่นมือเข้าใช่วยแล้วยังไงๆเราก็หาไม่เจอ”
“เจ้านายคุณเก่งขนาดนั้นเลยเหรอคะ??” มนตร์ลดากระแทกเสียงถามราวกับไม่อยากเชื่อ
“ไม่เก่งอย่างเดียวครับ เพราะมีทั้งอำนาจ มีอิทธิพลมาก เป็นที่น่าเกรงขามมาก โหดมาก ใครๆก็รู้ว่าเซญอร์อเตต้าร์เป็นอย่างที่ผมพูดมาจริงๆ”
“แล้วก็หยาบกระด้างมาก...” มนตร์ลดาต่ออีกหนึ่งคุณสมบัติให้ครบถ้วน เรียกเสียงหัวเราะร่วนจากลูกน้องมือขวาของเขาได้เป็นอย่างดี
“แหม... ต้องเข้าใจนะครับว่าท่านทำงานอยู่ในไร่ในป่า คุมคนงานผู้ชายเถื่อนๆเป็นพัน ก็ย่อมต้องเป็นอย่างที่เซญอริต้าว่ามาบ้าง แต่คนงานก็รักท่านนะครับเพราะความจริงแล้วท่านอาจจะปากร้ายแต่จิตใจดี”
“แย่จังนะคะ ทำไมฉันถึงสัมผัสจิตใจอันดีงามของเจ้านายคุณไม่ได้เลย”
“ฮ่า... เพราะไม่เปิดใจให้ท่านละมั้งครับ” ไมนาสบอกพลางยกนาฬิกาขึ้นมอง “ผมมีงานต้องไปทำ ขอตัวก่อนนะครับ แล้วก็อย่าลืมคิดถึงเรื่องที่ผมพูดบ้าง ยอมลงให้ท่านก่อนสักนิด คราวนี้เซญอริต้าอยากได้อะไรรับรองว่าท่านตามใจไม่มีที่สิ้นสุดแน่ครับ”
มนตร์ลดามองตามร่างของไมนาสที่เดินจากไป แล้วต้องมานั่งมองแก้วไวน์ตรงหน้าอย่างชั่งใจ ถ้าหากเขาจะขออะไรที่มันไม่ทำให้รู้สึกว่าค่าของตัวเองลดน้อยถอยลงไปแบบนี้เธอก็คงยอมทำถวายหัว เป็นตายร้ายดียังไงก็จะไม่ยอมคลานขึ้นไปนอนรอให้เขาปู้ยี่ปู้ยำบนเตียงแน่!
แต่จะทำยังไงดีล่ะ ในเมื่อว่าไมนาสก็บอกอยู่ว่าหากไม่ใช่เขาลงมือด้วยตัวเองก็ไม่มีทางหาอัลเวสเจอ! และมันคงไม่ดีแน่ที่จะให้แม่รอคอยอย่างไร้จุดหมาย ขนาดผ่านไปแค่วันเดียว ความดันโลหิตของแม่ยังพุ่งสูงขึ้นจนต้องมาหาหมอที่โรงพยาบาล ‘หนูรู้ใช่ไหมว่าแม่รักลูกกับน้องมากแค่ไหน ถ้ามีใครคนนึงต้องเป็นอะไรไปแม่คงทนไม่ได้ คงต้องขาดใจไปแน่ๆ’ คำพูดที่ทำให้รู้สึกว่าจะต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ มันเป็นความกลัวที่ผลักดันให้ตัดสินใจเดินกลับขึ้นไปหาอเตต้าร์เพื่อเจรจาอีกครั้ง
อเตต้าร์เหลือบสายตาขึ้นมองร่างอรชรที่เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องเพียงแวบเดียว แล้วก้มหน้าลงทำงานต่อ สองชั่วโมงที่ผ่านมาเธอหายตัวลงไปเดินเล่น นั่งจิบไวน์อย่างสบายอารมณ์ ปล่อยให้เขาหงุดหงิดงุ่นง่านใจอยู่เพียงคนเดียว นี่ก็เลยเวลาอาหารเที่ยงมาเกือบชั่วโมงแล้วแต่ต้องอดทนนั่งรอแม่คุณกลับมาอีกครั้งเพราะถ้าหากเขาหนีไปนั่งทานข้าวคนเดียวก็กลัวว่าเธอจะไม่ได้ทานอะไร ที่สำคัญคือไม่อยากนั่งกินข้าวคนเดียวอีกด้วย สองมือวางปากกาลงไม่เบานัก ผุดลุกขึ้นเดินออกมาจับข้อมือเรียวเล็กของผู้หญิงที่ขยันทำให้โมโหเดินออกไปจากห้องทันที
ทั้งคู่กลับลงมาชั้นล่างสุดของอาคารทรงโดมแก้วแห่งนี้อีกครั้งในห้องอาหารฝรั่งเศสสุดหรูที่อยู่ชั้นล่างสุด อเตต้าร์จัดการสั่งอาหารของตนเองและของเธอมาพร้อมๆกันแล้วนั่งนิ่ง ไม่พูดไม่จาเลย
“เอ่อ... คือ ฉันอยากถามถึงความคืบหน้าน่ะค่ะ คนของคุณส่งข่าวมาบ้างรึเปล่าคะอาร์ตี้??” มนตร์ลดาเรียบเรียงคำพูดที่คิดว่าไพเราะที่สุดแล้วถามออกมา
อเตต้าร์จ้องตาแต่ใบหน้ายังนิ่งอยู่เหมือนเดิม “มันจะไปเจอเร็วอย่างนั้นได้ยังไง หาคนในเมืองใหญ่ยังไม่ถึงครึ่งวัน”
“ไมนาสบอกว่าถ้าอาร์ตี้ออกโรงเองต่อให้อัลเวสอยู่ในซอกหลืบไหนของโลกนี้ก็ต้องเจอตัวอยู่แล้ว” มนตร์ลดาอ้อมแอ้มบอกอย่างเอาใจ มองปฏิกิริยาลำพองใจของคนตัวโตตรงหน้าอย่างหมั่นไส้ เขาไม่เพียงไม่แยแสกับคำยกย่องของเธอแต่กลับนั่งเคี้ยวอาหารตุ้ยๆเอร็ดอร่อยเหลือเกิน “นะคะ... ขอร้องล่ะค่ะ เมื่อครู่ใหญ่นี้แม่เพิ่งโทรฯมาหา แม่ดีใจมากที่รู้ว่าคุณยื่นมือเข้ามาช่วย นึกเสียว่าสงสารฉันเถอะนะคะ”
“สงสารคุณทำไม? ทีผมยื่นข้อเสนอดีๆให้คุณไม่สนใจด่าว่าผมสารพัด แล้วตอนนี้จะมาพูดดีขอความเห็นใจ เขาเรียกว่าตบหัวแล้วลูบหลัง!!” อเตต้าร์บอกอย่างตรงไปตรงมา มองใบหน้าบูดบึ้งของแม่คิตตี้คนงามแล้วต้องเสมองไปทางอื่น เพราะอยากหอมแก้มบึ้งๆที่ทำท่าทางโกรธได้น่ารักเหลือเกิน!!
“ก็ใครจะไปยอมทำคุณปู้ยี่ปู้ยำอย่างนั้นล่ะ ฉันเป็นผู้หญิงนะคะ จะให้ทำตัวเสื่อมเสียอย่างนั้นได้ยังไง ทำไมคุณไม่คิดว่าจะตามหาน้องชายให้ฉันเพื่อเป็นการขอโทษในสิ่งที่เคยทำไม่ดีกับฉันบ้างล่ะ” เมื่อขอร้องแล้วไม่เป็นผล มนตร์ลดาจึงเริ่มทวงบุญคุณซะเลย
“เฮอะ... เหลือเชื่อเลย! ผมขอโทษคุณไปแล้วตั้งแต่ตอนที่อยู่ในตัวคุณด้วยซ้ำ คุณคงได้ยินล่ะถ้าไม่มัวแต่ร้องห่มร้องไห้จนไม่ฟังอะไรเลย แล้วผมก็ไม่เห็นว่าการร่วมรักมันจะเสื่อมเสียตรงไหน ไม่งั้นคนทั่วโลกนี้ก็ทำตัวเสื่อมเสียกันทุกวันบางทีอาจจะทุกชั่วโมงงั้นสิ??”
โอ... ให้ตายสิ ทำไมเขาถึงได้หยาบกระด้างแบบนี้นะ พูดถึงเรื่องบนเตียงไม่อายฟ้าดินแถมเสียงดังจนสาวๆหลายคนที่ได้ยินแล้วยังหันมามองเธอแบบตำหนิ! แล้วมองเขาอย่างเชิดชู ส่งสายตาเชิญชวนเขาอย่างโจ่งแจ้งราวกับจะบอกว่าถ้าแม่นี่ไม่ยอมขึ้นเตียงกับเขาล่ะก็ พวกเธอยินดีที่จะขึ้นเตียงแทนอย่างนั้น “งั้นฉันขอต่อรองใหม่ได้ไหมคะ ขอแค่ข้อเดียวจริงๆ”
อเตต้าร์ไหวไหล่ เบ้ปากราวกับรำคาญใจนักหนา “ก็ลองว่ามา...”
“ฉันจะทำตามความต้องการของคุณทุกอย่างเลย ยกเว้นเรื่องบนเตียง แต่คุณต้องหาน้องชายฉันให้เจอนะคะ” มนตร์ลดากัดฟันต่อรองอย่างที่ไม่เคยยอมให้ใครมาก่อน พลางทำเสียงหวานออดอ้อนเมื่อยังเห็นเขาทำท่าครุ่นคิดอยู่เงียบๆ “นะคะ... นะคะอาร์ตี้...”
“ไม่รู้สิ... ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังขาดทุนยังไงไม่รู้” อเตต้าร์บอกพลางยกแก้วน้ำสะอาดขึ้นดื่ม เอนตัวพิงพนักเก้าอี้หลังจากจัดการกับอาหารมื้อกลางวันเรียบร้อยแล้ว “ต้องดูความประพฤติของคุณก่อนนะ คิตตี้...”
มนตร์ลดามองค้อนคนตรงหน้าด้วยสายตาหมั่นไส้ ยอมลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้าตามที่คนเถื่อนจอมบงการพยักเพยิดให้ทานอาหารให้เรียบร้อย จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของทาสอย่างเธอที่ต้องทำตามที่เขาเรียกร้องทุกอย่าง หยิบเอกสาร ชงกาแฟ บีบนวดบ่าไหล่ขับไล่ความเมื่อยขบ หากมีสิ่งหนึ่งที่มนตร์ลดาสังเกตุได้ว่าความร่ำรวยที่ได้มามันคงเป็นเพราะ ความเอาจริงเอาจังในการทำงานของจอมเถื่อนอย่างเขา ตลอดเวลาช่วงบ่ายจนเลยเวลาเลิกงานเกือบสองชั่วโมง อเตต้าร์ยังนั่งจัดการกับเอกสารกองโตได้อย่างไม่หยุดหย่อน
ทั้งคู่กลับมาถึงคฤหาสน์โอลีเวย์ร่าอีกครั้งราวทุ่มครึ่งทันเวลาอาหารเย็นพอดี หลังอาหารเย็นคุณปู่การันก้าจึงเอ่ยปากถามหลานชายถึงความคืบหน้าในการค้นหาตัวน้องชายของมนตร์ลดา แต่ชายหนุ่มกลับบอกว่าช่วงนี้เขางานยุ่ง ไม่มีเวลาออกไปตามหาเองแต่ได้สั่งการให้คนออกตามหาแล้ว ก่อนเดินออกจากห้องอาหารยังทิ้งท้ายด้วยว่าจะออกไปท่องราตรีหิ้วหมอนวดสาวหุ่นดีซักคนมานวดตัว เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเพราะต้องนั่งเคลียร์งานตลอดทั้งวัน ทิ้งให้คนเป็นปู่และตัวต้นเหตุแห่งความเมื่อยล้ามองตามด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป
ผับแห่งหนึ่งในรีโอกรันดีโดซุล
เสียงหึ่ง...หึ่ง... ของเครื่องมือสักลายบนแผ่นหลังของอัลเวสกำลังดังต่อเนื่องกันอยู่นานนับสิบนาทีแล้ว ใบหน้าเหยเก เหงื่อเม็ดโป้งที่ผุดขึ้นตามใบหน้าเกลี้ยงเกลาของเด็กหนุ่มนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขากำลังเจ็บปวด ทั้งรู้สึกได้ว่าตนเองกัดฟันกรามจนเจ็บร้าวไปทั่วทั้งใบหน้า
“เฮ้!... ไอ้หนู เจ็บมากหรือไงวะ ทำไมทำหน้าอย่างนั้น” คาฟูถามลูกน้องคนโปรดด้วยน้ำเสียงตลกขบขันกับสีหน้าท่าทางที่ได้เห็น
อัลเวสไม่ตอบเพราะตั้งแต่ตนเองทำงานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีนั้น มีสมาชิกในเดอะ แดนเจอรัส หลายคนรู้สึกไม่ชอบหน้าตนเองเท่าไหร่นัก แม้แต่คนที่กำลังเพิ่มรอยสักบนแผ่นหลังให้อยู่นี้ก็รู้สึกได้ว่ามันมือหนักกว่าปกตินัก ทั้งๆที่มันเป็นการต่อเติมชั้นของปิรามิดที่สูงขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น!!
“เอ้า!! เสร็จแล้ว” ชายฉกรรจ์ที่ทำหน้าสักรอยให้พูดขึ้นพร้อมกับใช้ผ้าเช็ดเลือดสีแดงที่ไหลออกมาปะปนกับสีดำของน้ำยาลงสีรอยสักออกแรงๆ
“เบาๆหน่อยซิ... มือหนักอย่างนั้นเดี๋ยวเด็กมันได้ช้ำในตาย เผื่อมันไข้ขึ้นแล้วจะบอกกับหัวหน้าว่ายังไง?” คาฟูเตือนทีเล่นทีจริงเพราะดูออกได้ง่ายว่าหนึ่งในสมาชิกที่เพิ่มลายสักให้อัลเวสนี้ ไม่พอใจเด็กหนุ่มเท่าไหร่นัก
อัลเวสชันตัวขึ้นพร้อมกับรีบบอกคาฟูว่าไม่เป็นไรเพราะไม่อยากมีเรื่องในที่ที่ไม่ใช่ถิ่นของตนเอง “ผมทนได้ครับ ไม่เป็นไร รีบไปดีกว่าเดี๋ยวหัวหน้าจะรอนาน”
ทั้งคู่เดินออกมานอกห้องที่อยู่ด้านในสุดของบาร์แห่งนี้ มันเป็นบาร์ที่เต็มไปด้วยสมาชิกของเดอะ แดนเจอรัส ในแดนใต้ของประเทศบราซิล การปฏิบัติงานสำคัญชิ้นแรกของอัลเวสนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีตำรวจสงสัย มันทำให้หัวหน้าสาขาที่คุมอยู่ในรีโอกรันดีโดซุลทึ่งและชอบใจในความสามารถของอัลเวสเป็นอย่างมาก สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ สามวันที่แล้วอัลเวสได้รับมอบหมายให้เข้าไปส่งยาให้กับบุคคลสำคัญคนหนึ่งในคุกได้อย่างปลอดภัย เพราะความฉลาดเป็นกรดไม่ยัดยาใส่ในอาหารหรือขนมอย่างคนอื่นแต่อัลเวสกลับบดยาให้เป็นผงละเอียดที่สุด แล้วโรยลงบนขนมหน้าปังดูคล้ายน้ำตาลไอซิ่งส่งเข้าไปในเรือนจำ ถึงมือบุคคลสำคัญได้โดยไม่เสียอรรถรสของยาเสพติด!!!
ผลงานดังกล่าวทำให้เด็กหนุ่มที่เดินทางมาจากรีโอเดอจาเนโรมีชื่อเสียงล่ำลือไปทั่วในเดอะ แดนเจอรัส หัวหน้าสาขาที่คุมพื้นที่อยู่ในรีโอกรันดีโดซุลจึงให้รางวัลด้วยเงินก้อนโต มันทำให้อัลเวสสามารถเลือกซื้อของให้ตนเองและลูกพี่ทั้งสองอย่างสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องมือสื่อสารรวมไปถึงผู้หญิงที่คอยให้ความสุขได้ด้วย และรางวัลที่ทำให้อัลเวสลำพองใจมากที่สุดก็คือรอยสักปิรามิดที่สูงขึ้นอีกชั้นหนึ่งบนแผ่นหลังของตน!!
“ฉันมองตามันแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไอ้เบื้อกนี่มันอิจฉาแก ไอ้หนู!” คาฟูบอกกับลูกน้องที่ตอนนี้มีฐานะในเดอะ แดนเจอรัส เท่าเทียมกันกับตนเองแล้ว
“โธ่ช่างเขาเถอะลูกพี่! นี่มันไม่ใช่ถิ่นเรา” อัลเวสบอกพร้อมทั้งดึงแขนของคาฟูออกมาจากห้อง
“หึ!... จำไว้นะไอ้หนู ถึงแกจะมีรอยสักที่หลังสูงขึ้นกว่ามัน แต่ด้วยอายุน้อยๆของแกมันทำให้พวกไอ้แก่หน้าโง่ทั้งหลายในแก๊งคิดว่าแกอ่อนหัด นานวันเข้ามันก็จะรวมตัวกันเหยียบหัวแกขึ้นมาใหญ่เสียเอง แกต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อแสดงให้พวกมันรู้ว่าแกไม่ใช่ไก่อ่อน”
“แต่มันจะทำให้เรายุ่งยากรึเปล่า ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของเรา” อัลเวสถามด้วยความกังวลใจ
“จำไว้นะไอ้หนู... กฏอีกข้อของเดอะ แดนเจอรัส คือแกได้รับอภิสิทธิ์เหนือมากกว่าคนที่ได้รับแต่งตั้งในรีโอเดอจาเนโรเสียอีก เพราะแกไม่ได้เก่งเฉพาะอยู่ในบ้านแต่นี่แกเก่งนอกบ้านด้วยดูได้จากชั้นของรอยสักบนหลัง จะเขียนชื่อเมืองลงไปด้วยแทนที่จะสักเป็นชั้นดำๆทึบๆแบบปกติ” คาฟูบอกกฏของแก๊งให้เด็กหนุ่มได้รู้ “แต่ตอนนี้เราต้องรีบไปพบกับหัวหน้าสาขาก่อน แล้วจากนั้นเราค่อยสั่งสอนไอ้เบื้อกที่ทำให้แกเจ็บตัวเกินความจำเป็น”
ทั้งคู่เดินออกมาด้านหน้าของบาร์ที่เปิดเพลงเสียงดังกระหึ่ม ชายหญิงมากหน้าหลายตากำลังวาดลวดลายอยู่กลางฟลอร์สุดเหวี่ยง บางคนปีนขึ้นไปบนเวทีเริ่มถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกทีละชิ้นๆ เรียกเสียงโห่ร้องกึกก้องไปทั่วบริเวณ คาฟูและอัลเวสนั้นยังอยู่ในรีโอกรันดีโดซุลเพียงสองคนเพราะโมโซนั้นถูกส่งตัวกลับไปคุมงานในรีโอเดอจาเนโรแล้วตั้งแต่ที่ปฏิบัติภาระกิจแรกสิ้นสุดลง
“นี่น่ะเหรอ... อัลเวสเด็กหนุ่มผู้ปราดเปรื่อง?” ชายร่างวัยกลางคนที่เรียกขานกันว่าหัวหน้าหมุนเก้าอี้กลับมามองทั้งคู่ที่เดินเข้ามาในห้องทำงานของตน
“ครับ ผมอัลเวสครับ”
“ฮ่า... แกรู้ไหมไอ้หนู ว่าแกคือคนเด็กหนุ่มคนแรกที่อายุน้อยแต่ได้รับตำแหน่งสำคัญในแก๊งเรา!”
“ต้องขอบคุณที่มอบหมายงานให้ผมทำ ขอบคุณที่ให้โอกาสผมครับ” อัลเวสถ่อมตัวมันเป็นกิริยาที่ไม่ค่อยได้พบเจอนักในกลุ่มเดนคนอย่างเดอะ แดนเจอรัส! ซึ่งทำให้หัวหน้าพอใจเป็นอย่างมาก
“ท่านส่งสารออกมาว่าพอใจเป็นอย่างมาก และอยากได้แกเป็นคนสนิท” หัวหน้าสาขาเอ่ยถึงบุคคลสำคัญที่ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ
“หมายถึงคนที่ผมส่งของให้ในเรือนจำวันนั้นน่ะเหรอครับ?” อัลเวสถามอย่างสงสัย
“ใช่!... ซึ่งฉันก็ไม่เห็นด้วยที่ท่านจะให้ความสำคัญกับเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแก แต่ก็ขัดท่านไม่ได้ สัปดาห์หน้าท่านจะออกจากคุกแล้ว แกมีหน้าที่ไปรอรับท่านพร้อมคนขับรถ แน่นอนว่าแกจะต้องทำหน้าที่เป็นเหมือนสองมือสองเท้าของท่าน ฉันอยากรู้ว่าแกเต็มใจทำไหม?” หัวหน้าสาขาถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่เชื่อฝีมือของเด็กหนุ่มนัก
“ครับ ผมเต็มใจอย่างยิ่งครับ”
“ท่านสั่งให้ไปตายแกก็ต้องตายได้นะ!?”
“ครับ” อัลเวสรับคำอย่างหนักแน่น “ผมอยากรู้ชื่อของท่านได้ไหมครับ?”
หัวหน้าสาขาพอจะรับรู้ถึงความใจกล้าของเด็กหนุ่มคนนี้อยู่บ้างเพราะไม่มีใครกล้าถามถึงชื่อเสียงเรียงนามของบุคคลสำคัญนี้มาก่อน พลางคิดว่าถึงอย่างไรแล้วไอ้เด็กคนนี้ก็ต้องรู้อยู่แล้วจึงไม่แปลกถ้าจะบอกให้มันได้ตระหนักว่าหน้าที่ของมันนั้นน้อยคนนักที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำงานนี้ “ริวัลโด้ สมาชิกระดับหัวหน้าทุกคนต้องรู้อยู่แล้วว่าท่านมีความสำคัญกับเดอะ แดนเจอรัสแค่ไหน แม้น้อยคนนักจะเคยเห็นหน้าท่านก็ตาม แล้วมันก็เป็นหน้าที่ของแกที่จะบอกให้เด็กของแกรู้ว่าท่านสำคัญขนาดไหน”
อัลเวสและคาฟูเดินออกมาจากห้องเมื่อได้รับสัญญาณเป็นการสะบัดหลังมือให้ออกไปจากหัวหน้าสาขา อัลเวสนั้นสงสัยเป็นอย่างมากว่าริวัลโด้คือใคร หากไม่ได้รับคำตอบเพราะคาฟูบอกว่าต้องไปจัดการกับคนที่มันบังอาจทำให้อัลเวสเจ็บตัวจนเกินความจำเป็นก่อน ทั้งคู่เข้าไปในห้องด้านหลังสุดของบาร์แห่งนี้อีกครั้งเพื่อสั่งสอนให้มันได้จำใส่สมองไว้ว่าใครเป็นใคร!!
ประตูห้องถูกกระแทกเปิดออกอย่างแรง ทำให้ชายฉกรรจ์ที่ประจำอยู่ในห้องเพียงคนเดียวรับรู้ได้ทันว่าสองคนนี้ไม่ได้มาอย่างเป็นมิตร!
“เฮ้ย! พวกมึงมีปัญหาอะไรวะ ถึงได้เปิดประตูห้องกูฉิบหายแบบนี้!??”
“กูมีปัญหากับมึงไงไอ้เลว” คาฟูไม่พูดพร่ำทำเพลง จัดการเสยหมัดเข้าที่ปลายคางคู่ต่อสู้โดยไม่ให้ตั้งตัว เพียงแค่คู่ต่อสูหงายหลังเท่านั้น ที่เหลือคาฟูก็ยักคิ้วให้อัลเวสเป็นคนจัดการต่อ!!
“มึงมีปัญหาไรกับกูว่ะ?” อัลเวสถามพลางยัดหมัดหนักๆอีกสองหมัดเข้าที่เบ้าตาของคู่ต่อสู้จนล้มตึงลมไปบนเตียงหนังที่จัดไว้สำหรับนอนสักลาย มืออีกข้างกดลำคอของคู่ต่อสู้ที่รู้สึกตัวเพียงลางเลือนไว้จนแน่น อีกมือถือเครื่องสักลาย กดปุ่มทำงาน ย้ำปลายเข็มเข้ากับสีดำสนิทที่วางอยู่ไม่ไกล จรดปลายเข็มลงที่หน้าท้องของคู่ต่อสู้ทันที
ไม่ถึงสิบนาทีต่อมาหลังจากที่ฝากรอยสักชื่อของตนไว้ที่พุงพลุ้ยของคู่ต่อสู้เป็นการหยามศักดิ์ศรี และเตือนให้จำไปจนวันตายว่าอย่าได้มาเหิมเกริมกับตนอีก ด้วยแรงกดมากมายมหาศาลกว่าที่ตนเองได้รับหลายเท่า ทำให้เลือดที่ไหลออกมาจากเนื้อบริเวณหน้าท้องนั้นมีมากกว่าปกติ จากนั้นอัลเวสและคาฟูก็ออกมาสนุกกลางฟลอร์เต้นรำ เงิน เหล้า ยาเสพติด ผู้หญิง ทุกสิ่งอย่างที่เข้ามาห้อมล้อมอัลเวสทำให้เด็กหนุ่มที่เพิ่งเห็นเงินก้อนโตหลงลืมตน เดินเข้าไปสู่ห้วงอบายมุขอันมืดดำ ไม่คิดถึงความรักความห่วงใยของบุพการีที่เฝ้ารออย่างทุกข์ทรมานใจ
ในขณะที่น้องชายต่างบิดากำลังหลงระเริงไปกับความชั่วร้ายรอบตัว จนไม่รู้ตัวว่าได้ผลักดันภาระทุกอย่างไปให้พี่สาวที่นั่งคิดหนักอยู่ริมระเบียงคนเดียว ความหวังของแม่ที่อยากจะเห็นน้องกลับเข้าสู่อ้อมอกอย่างปลอดภัยและมันจะทำให้อาการเจ็บป่วย คิดหนักทั้งหลายทั้งมวลมลายหายไปโดยชิ้นเชิง ทำให้มนตร์ลดายังคิดไม่ตกว่าจะยอมทำตามข้อเสนอของคนฉวยโอกาสได้อย่างไร!!?
ชั่วโมงที่ผ่านมาหลังจากส่งคุณปู่การันก้าเข้านอนเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงเดินลงมาชั้นล่างอีกครั้งด้วยความว้าวุ่นระคนร้อนใจ เจ้าของร่างอรชรเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่บาร์เครื่องดื่มที่มีขวดแอลกอฮอร์วางเรียงรายอยู่มากมาย สองมือเรียวหยิบขวดไวน์สีเขียวขุ่นเข้มฉลากสีน้ำตาลอ่อนบ่งบอกถึงยี่ห้อแพงอย่าง เซฮา เดอ ชาโต ซึ่งผู้เป็นเจ้าของมันทำให้เธอต้องคิดหนักถึงขั้นหาเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ดื่มย้อมใจก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือจากเขาอีกครั้ง เมื่อคิดย้อนหลายตลบแล้วเหลือเพียงทางเลือกสุดท้ายให้เลือกเดิน!!
มือเรียวยกค้างชะงักเมื่อเดินมาถึงคฤหาสน์ปีกตะวันตก กำลังจะเคาะประตูห้องแต่มันกลับถูกเปิดออกมาจากด้านในเสียก่อน มนตร์ลดามองผู้ชายร่างใหญ่โตสูงกว่าตัวเองอยู่หลายสิบเซ็นติเมตรยืนอยู่ในชุดเสื้อยืดสีเทา สวมกางเกงยีนส์สีเข้ม ฉีดน้ำหอมกลิ่นสปอร์ตอย่างชายชาตรีลอยเข้ามาปะทะจมูก ก็รู้ทันทีว่าเขากำลังจะออกไปเที่ยวนอกบ้าน เขากำลังจะไปหิ้วหมอนวดซักคนมาคลายความเมื่อยล้าอย่างที่พูดเอาไว้หลังอาหาร!
“จะไปไหนคะ??”
“แล้วมายุ่งอะไรด้วย” น้ำเสียงห้วนจัดราวกับรำคาญเสียเต็มประดาทำให้มนตร์ลดาใจเสีย ทั้งที่ตั้งใจมาดิบดีว่าจะเข้ามารับข้อเสนออันเห็นแก่ตัวของเขา “ถอยไป... คุณกำลังทำให้ผมเสียเวลา”
“ไม่!! ฉันไม่ยอมให้คุณไปหาผู้หญิงพวกนั้นแน่” ฤทธิ์แอลกอฮอร์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างทำให้มนตร์ลดาใจกล้าสั่งห้ามเจ้านายตัวโตด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด! “ตราบใดที่ฉันยังอยู่บนเตียงของคุณ คุณต้องสัญญาว่าจะมีฉันเพียงตนเดียว คุณต้องเอาน้องชายมาส่งฉันให้ได้อย่างปลอดภัยตามที่พูด ถ้าคุณบิดพลิ้วเป็นอันว่าข้อตกลงของเราสิ้นสุดลงเพราะมันเป็นความผิดของคุณ!”
อเตต้าร์เลิกคิ้วแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของแม่คิตตี้คนงาม เพราะปกติเธอจะสงวนเนื้อตัวแต่นี่ใจกล้า บ้าบิ่นขนาดว่าออกแรงผลักหน้าอกเขาให้ถอยหลังกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง แล้วตัวเองก็เดินตามเข้ามา ปิดประตูห้องแถมลงกลอนดิบดี “หมายถึงเรื่องที่ผมต้องมีคุณคนเดียวน่ะเหรอ?”
“ใช่!” มนตร์ลดาโต้กลับทันควัน “ถึงฉันจะต้องรับความอัปยศนั่นจากคุณอีกครั้ง แต่ก็ไม่ขอแบ่งปันคุณกับผู้หญิงคนไหนหรอกนะ มันอันตราย!!”
อเตต้าร์แทบสำลักพรวดคำพูดของแม่คิตตี้ปากอิ่มที่พรั่งพรูออกมาราวกับว่าเขาเป็นคนส่ำส่อน จะนำโรคภัยไข้เจ็บมาให้เธอ แต่ก็โอเค้... คำพูดของเธอทำให้คึกจนจะตายห่าอยู่แล้ว หากท่าทางที่ทำเป็นไม่ค่อยใส่ใจและล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงทำท่าว่าสนใจโทรศัพท์มากกว่าเนื้อตัวของเธอ
“จะไปไหนอีกคะ?” มนตร์ลดาถามอย่างร้อนรนและยังก้าวมาขวางทางไว้อีกด้วย
“ก็จะโทรฯไปยกเลิกนัดกับอีหนู ใจคอคุณจะโหดร้ายให้พวกหล่อนรอผมจนแห้งหรือไง อย่างน้อยก็ควรให้ได้รับลูกค้าคนอื่นบ้าง แล้วถ้าคราวนี้คุณเล่นตลกกับผมอีกล่ะก็ อย่างได้หวังเลยว่าผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้งมนตร์ลดา!!” อเตต้าร์บอกเสียงเข้ม เดินถือโทรศัพท์เครื่องบางออกไปนอกระเบียงทันที
มนตร์ลดามองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่อย่างอดสูใจ ภายในห้องที่ตบแต่งสไตล์โมเดิร์นคลาสสิกอันขัดแย้งกับการตบแต่งอย่างหรูหราสไตล์ฝรั่งเศสของคฤหาสน์โอลีเวย์ร่าหลังนี้โดยสิ้นเชิง หากความสวยงามแปลกตาที่ได้เห็นกลับไม่สามารถทำให้เบิกบานใจได้เลยสักนิด มือบางค่อยๆปลดกระดุมเสื้อและถอดกางเกงยีนส์ออกจากร่างของตนอย่างเจ็บปวดใจ หญิงที่ต้องใช้ร่างกายเข้าแลกกับเงินตราคงรู้สึกไม่ต่างจากเธอตอนนี้นัก พลางขยับตัวนั่งลงบนเตียงกว้างใหญ่ที่รองรับคนนับสิบก็ว่าได้...
อเตต้าร์อ้าปากค้างเมื่อกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งได้พบกับผู้หญิงที่ฝันหานั่งหันหลัง ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือแค่บราเซียร์และแพนตี้ตัวบางเฉียบอยู่บนร่างงดงามของเธอเท่านั้น!!! สองขาแกร่งเดินอ้อมเตียงกว้างของตนเองไปหยุดอยู่ตรงหน้าร่างอวบอัด มีส่วนเว้าส่วนโค้งน่าทะนุทถนอมให้ความรู้สึกเป็นผู้หญิงเอามากๆราวกับต้องมนต์สะกด
“ฉะ...ฉัน ตะ...ต้อง อาบน้ำก่อน” มนตร์ลดาพูดเสียงเบาแทบจะหายไปในลำคอ
“เอาไว้หลังจากนี้ก็ได้ที่รัก...” จบคำพูด อเตต้าร์ก็ได้เห็นร่างเกือบเปลือยสั่นเทา ค่อยๆลดตัวลงนอนหงาย หลับตาแน่นปี๋ ประสานมือไว้ที่หน้าท้องแบนราบ ความรู้สึกสงสารนั้นเข้าครอบงำท่วมท้นหัวใจแกร่ง แต่หากไม่ฉวยโอกาสนี้ไว้แล้วยังไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะเก็บเธอไว้ข้างกายได้อย่างไร!?
เสียงสวบสาบที่ดังขึ้นทำให้มนตร์ลดารู้ว่าเขากำลังจัดการกับเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักไอร้อนจากฝ่ามือกร้านใหญ่ที่วางประทับลงบนหัวไหล่ของตน พร้อมกับที่นอนข้างๆที่ยุบตัวลงยิ่งทำให้รู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นจนถึงขั้นต้องกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น
“ผมไม่ได้บังคับให้คุณเดินเข้ามาในห้องนี้นะมิ้นต์ นอนกับหุ่นยนต์ ทำตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้มันจะสนุกกว่านอนกับอีหนูลีลาเด็ดได้ยังไงกัน!” จนแล้วจนรอดอเตต้าร์ก็หลุดคำพูดโหดร้ายออกมาทำร้ายจิตใจร่างสั่นเทาจนได้
มนตร์ลดาลืมตาขึ้นด้วยความโกรธ ถามกลับด้วยน้ำเสียงงอนๆ “แล้วจะให้ทำยังไงล่ะคะถึงจะสนุกถูกใจคุณ”
อเตต้าร์กระตุกคิ้วไปที่ผ้าผืนน้อยทั้งสองชิ้น สั่งให้ถอดมันออกทั้งหมด พลางลดตัวลงนอนหงายประสานมือทั้งสองข้างไว้ที้ท้ายทอย รอคอยจับจ้องภาพสวยงามที่กำลังจะเกิดขึ้น “ถอดออกให้หมด”
มนตร์ลดาข่มความอับอายที่เกิดขึ้นชันตัวลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง เอื้อมมือสั่นเทาเย็นเฉียบของตนแกะตะขอบราเซียร์ด้านหลังออก แต่ต้องหยุดชะงักเพราะคำสั่งประกาศิตดังขึ้น
“ขึ้นมานั่งบนเตียง หันหน้ามาหาผม แล้วถอดมันออก” อเตต้าร์สั่งทั้งได้ยินเสียงทอดถอนหายใจออกมาอย่างลำบากใจ หากไม่นานเธอก็ทำตามคำสั่งแต่โดยดี สายตาคมกริบจับจ้องทรวงอกกลมคู่งามที่ดีดตัวออกจากกรวยผ้าลูกไม้ที่รัดรึงอยู่ด้วยอาการปากคอแห้งผาก
เสียงครางโอว... ยาวๆที่ออกจากริมฝีปากบางเฉียบทำให้มนตร์ลดาอยากฆ่าตัวตายตอนนี้นัก แขนเรียวเสลาอกขึ้นกอดอกปิดบังเนื้อตัวจากสายตาคมกริบทันที “ปิดไฟก่อน ได้ไหมคะอาร์ตี้ คือ ฉะ...ฉันอาย!!”
อเตต้าร์เอื้อมมือไปรั้งข้อศอกมนให้ลดตัวลงนอนหงายราบไปกับที่นอนอย่างรวดเร็ว พลิกตัวเองขึ้นคร่อมร่างอวบอัดแต่มือเรียวบางข้างหนึ่งยังปกปิดทรวงอกไว้อย่างหวงแหนอยู่ “ผมจะไม่บังคับ เรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนี้เป็นความเต็มใจของเราทั้งคู่ เลือกเอาคิตตี้ ปล่อยตัวปล่อยใจให้ผมหรือจะวิ่งออกจากห้องนี้ไปก็แล้วแต่คุณ”
มนตร์ลดาจ้องมองสายตาคมกริบอย่างเจ็บปวดใจพร้อมๆกับลดมืออีกข้างหนึ่งลงจากหน้าอกของตนวางมันไว้แนบลำตัวอย่างศิโรราบ
อเตต้าร์เลื่อนหมอนอีกใบมาซ้อนใต้ศีรษะได้รูปตั้งใจให้เธอมองเห็นทุกการกระทำอย่างชัดเจน “อย่าหลับตานะคิตตี้ ผมจะแสดงให้ดูว่าร่างกายของคุณชอบสัมผัสของผม จะแสดงให้คุณเห็นและยอมรับว่ามันไม่ใช่การขืนใจแต่มันคือการร่วมรัก!!”
เพียงเท่านั้นฝ่ามือใหญ่สีผิวกรำแดดก็เลื่อนมาเคล้นคลึงบดกลางฝ่ามือเข้ากับปลายยอดทรวงเข้าด้วยกันอย่างเร้าใจ แนบร่างกายอันเต็มตึงไปด้วยกล้ามเนื้อสมบูรณ์แบบของชายชาตรีเข้ากลางร่างนวลเนียนอย่างสนิทชิดเชื้อ “จูบตอบผมด้วยนะคนสวย”
มนตร์ลดาไม่รู้ว่าคำสั่งนั้นต้องทำอย่างไร จูบตอบยังไงแต่ก็ยอมเปิดปากให้ริมฝีปากบางเฉียบที่ก้มลงมาหาได้สัมผัสแต่โดยดี เพียงแค่ได้จูบเธอเท่านั้นอเตต้าร์ก็สัมผัสได้ถึงรสหวานเฝื่อนและกลิ่นหอมของไวน์อันคุ้นเคยมาช้านาน พลางเข้าใจถึงปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือของเธอได้ทันที เธอใช้ไวน์ของเขาย้อมใจก่อนที่จะเดินเข้ามาหาในห้องนี้
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจมากกว่าสัมผัสหอมหวานที่ได้รับอยู่นี้เลย ชายหนุ่มใช้ลีลาและประสบการณ์ที่มีอยู่ในตัวหลอกล่อให้แม่คิตตี้คนงามหัวหมุน ไล่เลียงลิ้นไปตามฟันทุกซี่ หยอกเอินให้เธอสนุกสนาน หลงลืมตัว และไว้วางใจเขาในที่สุด เมื่อลิ้มรสความหอมหวานจากโพรงปากจนเต็มอิ่มแล้วจึงซุกไซ้ปากและจมูกเข้าที่กรอบหน้างาม ลำคอระหงแล้ววกกลับไปที่ใบหูขาวสะอาด “แม่คิตตี้ขี้เมา แอบไปดื่มเหล้าย้อมใจมาด้วยใช่ไหม ฮึ?...”
มนตร์ลดาพยักหน้าตอบรับพลางตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฉันกลัวค่ะ”
“ไม่มีอะไรต้องกลัว... คราวที่แล้วคุณก็รับรู้แล้วว่ามันดีเลิศเลอ สนุกสุดเหวี่ยงแค่ไหน เตรียมตัวรับความสุขที่คุณต้องเสพติดมันงอมแงมเชียวล่ะคนสวย!” เพียงเท่านั้นอเตต้าร์ก็ก้มลงรวบยอดอกอิ่มเข้าไว้ในปาก ตวัดปลายลิ้นสร้างความสุขให้คนใต้ร่างอย่างที่พูดไว้เต็มความสามารถ สะบัดปลายลิ้นแกว่งไกว พลิ้วไหวแปรเปลี่ยนเป็นดูดดึงจนร่างอวบอิ่มต้องแอ่นหน้าอกตอบรับสัมผัสนั้นอย่างซ่านใจ สองมือหนาทำหน้าที่เคล้นคลึงทรวงอกอีกข้างราวกับกลัวมันจะน้อยหน้าข้างที่ถูกปรนเปรอด้วยริมฝีปาก นานจนพอใจจึงเปลี่ยนมาทำเช่นเดิมซ้ำอีกครั้งหนึ่ง อเตต้าร์ไม่ปล่อยให้ส่วนใดของผิวเนื้อเนียนหลุดรอดจากสัมผัสของตนได้ราวกับว่าเขามีเวลาทั้งชีวิตจะทำเช่นนี้
“โอ๊ะ!... อาร์ตี้... อื้อ...” มนตร์ลดาพูดได้เพียงเท่านั้น เมื่อสิ่งที่ตั้งใจจะเอ่ยออกมาถูกซัดให้จมหายไปด้วยคลื่นพิศวาสที่อเตต้าร์ปลุกปั่นขึ้นมาจนต้องทิ้งศีรษะลงบนหมอนนุ่ม กัดริมฝีปากตัวเองแน่นเพราะตกใจกับเสียงครวญครางของตนเมื่อครู่!!
อเตต้าร์เลื่อนตัวต่ำลงมาเรื่อยๆ จูบซับหน้าท้องแบนราบที่หดเกร็งไปเนิ่นนานจนได้ยินเสียงครางน่ารัก ต่างฝ่ายต่างผงกหัวขึ้นมาสบสายตากัน มนตร์ลดาส่ายหน้าเร็วๆห้ามเมื่อรู้โดยสัญชาตญาณว่าสิ่งที่เขาต้องการจูบนั้นมีมากกว่านี้! หากอเตต้าร์กลับมองผู้หญิงที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าแดงก่ำ ปากบวมเจ่อว่าเธอเซ็กซี่ขาดใจ!
สวัสดีค่า นักอ่านที่รัก
ศิริพาราอัพอาร์ตี้-คิตตี้ให้อ่านครบ50% ของเนื้อเรื่องแล้วนะคะ ทัณฑ์สวาทจอมเถื่อนเป็นรูปเล่มแล้วและสามารถ หิ้วอาร์ตี้จอมห่ามไปครอบครองได้ที่ร้านซีเอ็ดบุ๊ก ร้านนายอินทร์ ร้านบีทูเอส เว็บสำนักพิมพ์อินเลิฟ เว็บบุ๊กสไมล์ และสามารถพูดคุยกับศิริพาราได้ตามช่องทางดังนี้
1. e-mail siripara2writer@gmail.com
2. fanpage https://www.facebook.com/siripara.raya
3.facebook https://www.facebook.com/siripara.looktan
ติชมหรือแสดงความคิดเห็นได้ตามสบายค่า เม้ามอยหอยขมกันได้ไม่เฉพาะเรื่องนิยาย ศิริพารายังมีเกมกติกาแสนง่ายดาย แจกของรางวัลเล็กน้อยเพื่อตอบแทนนักอ่านที่รัก อย่าลืมกดlikefanpage ศิริพารา รายาฤดีนะคะ
จบเรื่องนี้แล้ว ศิริพาราจะเอานิยายทั้งหมดมาอัพให้นักอ่านที่รักได้อ่านกันทุกเรื่อง ขอบคุณที่ติดตามและแสดงความคิดเห็นค่ะ
จุ๊บๆๆ
ศิริพารา
ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 พ.ค. 2558, 20:34:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 พ.ค. 2558, 20:34:44 น.
จำนวนการเข้าชม : 1199
<< ตอนที่ 10 100% |