บ้านต้นรักษ์ (จบแล้วจ้า) รีไรท์
ก้อ...กอมารุน...ราชาแห่งท้องทะเลทราย

ปะทะกับ

นีล...นัจมุน...ราชินีแห่งท้องทุ่ง


เมื่อดวงจันทร์กับดวงดาวบนฟ้าต่างแข่งกันประจันแสง...
โดยมีต้นไม้ สายน้ำ และท้องทุ่ง เป็นตัวประกัน...

หมู่บ้านอันแสนสงบร่มเย็นอย่าง 'บ้านต้นรักษ์'
กำลังจะลุกเป็นไฟ

เมื่อสิ่งที่นักลงทุนอย่างเขาต้องการ
คือสิ่งเดียวกันกับที่หญิงสาวหวงแหนยิ่งชีพ
ทั้งๆที่เธอไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะมาหวงแหนในสิ่งที่ไม่ใช่
กรรมสิทธิ์ของตน!

การเชือดเฉือนจึงก่อกำเนิดในยุคแห่งวัตถุนิยม
ที่นายทุนเป็นใหญ่

ท่ามกลางสงครามอันร้อนระอุ

ระหว่าง

ราชาแห่งท้องทะเลทราย กับ ราชินีแห่งท้องทุ่ง

ที่อยู่ห่างกันราวคนละโลก ในชีวิตกันคนละแบบ
คิดอ่านกันคนละอย่าง...

เสียงเพรียกจากวันวาน จะกลับมาขับขาน
สะพานไม้หมากที่พาดข้ามฟากเชื่อมสองฝั่งคลอง
กำลังสั่นสะเทือน...เมื่อสะพานคอนกรีตจะเข้ามาแทนที่

สายสัมพันธ์ระหว่างคนกับต้นไม้กำลังจะพัดหวนคืน

...น้ำในลำธารใสสะอาดกับน้ำมันสีดำไม่อาจเข้ากันได้ฉันใด
เธอกับเขาก็ไม่อาจเข้ากันได้ฉันนั้น...

ไม่มีใครรู้ว่าระหว่าง ดวงจันทร์ดวงใหญ่แค่ดวงเดียวที่ลอยเด่น
อยู่บนฟ้ากับดวงดาวจำนวนมากมายนับล้าน
มีความเป็นมาอย่างไร...
เว้นแต่ต้นไม้ที่ผ่านกาลเวลาโดยไม่เคยหนีหายไปไหนเท่านั้น
ที่จะไขปริศนานี้...

ต้นไม้ที่ยืนผงาดอย่างอดทนผ่านร้อนหนาว
ผ่านฤดูกาลมาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีใครเคยได้ยินเสียงบ่น
ต้นไม้ที่เหมือนจะไม่รับรู้สิ่งใด...

หากทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นและเป็นไปกลับกลายเป็นส่วนหนึ่ง
ความรักความประทับใจและความผูกพันธ์ถูกบันทึกไว้ใต้ต้นไม้
หยั่งรากลึกลงในดิน หยั่งลึกลงในจิตใจ...
มีค่า มีความหมาย...นานเท่านาน...


Tags: ดราม่า รัก ต้นไม้ กอมารุน นัจมุน ก้อ นีล เชือดเฉือน แนวอนุรักษ์

ตอน: ต้นที่ 15 วะลีมะตุนนิกะห์

หลังจากวันนั้นมา…ชีวิตของนัจมุนก็เหมือนถูกล้อมไว้ด้วยผู้คุ้มกันจำนวนนับสิบ…
ทำให้ไม่รับรู้ว่าโลกภายนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่ต่างจากการถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ
สำหรับนักโทษ…เพียงแค่เธอยังมีโอกาสได้เห็นเดือนเห็นตะวันและได้กินดีอยู่ดี
ไม่อดอยากก็เท่านั้น

แม้ว่าจะยังไม่เคยชินกับสิ่งใหม่ที่ต้องเอาเข้าปากในบางอย่างอยู่บ้าง
แต่เธอก็ยังโชคดีที่ได้กินของดีมีประโยชน์…ทว่าอิสรภาพที่เคยมีได้บินหายไปแล้ว…
หายไปพร้อมกับเขา…เขาที่ไม่เคยโผล่หน้ามาให้เธอได้เห็นอีกเลย…

จนเหลืออีกสองวัน…เธอกับเขาก็จะได้เวลาเข้าสู่ประตูวิวาห์ด้วยกันแล้วอย่างนี้…
เขาก็ยังเป็นเขาที่ทิ้งเงาเอาไว้ให้เธอได้เห็นว่าตัวของเขาไม่ได้อยู่ไกล
ในเมื่อเงาของเขายังอยู่ตรงนี้ ไม่ห่างจากเธอ เพียงแต่สิ่งที่เห็นอยู่นี้มันจับต้องไม่ได้
ส่วนตัวจริงและตัวตนที่แท้จริงที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนก็เข้าใกล้ไม่ได้…

“พรุ่งนี้เชคให้เราสองคนติดตามคุณกลับไปที่บ้านด้วยค่ะ…”

สองนางที่เฝ้าดูแลหรืออีกนัยคือคอยอยู่เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของเธอมาตลอด
เกือบเดือนเอ่ยขึ้นในขณะที่เธอกำลังจัดเตรียมข้าวของในการอพยพ
ทั้งๆที่ทั้งสองบอกเธอเอาไว้ว่าไม่จำเป็นต้องนำอะไรติดตัวไปแม้แต่ชิ้นเดียว
ไปแค่ตัวก็ได้แล้ว…หากเธอก็ยังเป็นเธอ ที่พอใจจะใช้ข้าวของของตัวเอง…
และมันก็บ่งบอกว่าสิ่งเหล่านี้คือตัวตนของเธอ…

“รับทราบค่ะ…” นัจมุนเอ่ยเสียงเรียบ

ยิ่งเมื่อนึกถึง ‘บ้าน’ ที่ว่า ความรู้สึกบางอย่างก็ถาโถมเข้าใส่
เพราะในส่วนลึกเธอไม่เคยรู้สึกว่าสถานที่ดังกล่าวคือบ้านของเธอ
แม้แต่คำว่าที่พักอาศัยเธอก็ยังรู้สึกว่าไกลเกินจะรู้สึกหรือสัมผัสถึง

…ไม่มีบ้านสำหรับคนอย่างเธอเลย…

แม้กระทั่งที่ที่เธอคิดว่าคือบ้านอย่างสถานที่ที่เธอกำลังนั่งและนอนอยู่ในขณะนี้
ก็ไม่ใช่อีกต่อไป…มันเคยเป็นบ้านในอดีตอันไกลโพ้น…บ้านที่อบอุ่น…

โดยในปัจจุบันมันได้กลายเป็นที่กักขังเธอไม่ให้ไกลจากสายตาของคนบางคน…
ส่วนที่ที่เธอกำลังจะถูกส่งตัวไปก็ไม่ต่างจากเรือนจำ
เพราะมันคือสถานที่ที่เขาและบิดาของเธอจะใช้สำหรับผูกมัดแขนขาเธอ
ด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นเอาไว้กับเขา…มันคือคฤหาสน์หลังงามของมารดาเลี้ยงของเธอ…
เป็นบ้านที่ถูกใช้เป็นสถานที่จัดงาน ‘วะลีมาตุนนิกะห์’ หรืองานเลี้ยง
หลังจากการสมรสกันตามบทบัญญัติแห่งอิสลามตามทำเนียมที่มักจะมีการจัดงาน
ที่บ้านของฝ่ายเจ้าสาว…

“เชคไม่ไว้ใจพี่ชายต่างสายเลือดของคุณ…คุณคงเข้าใจเชคนะคะที่ต้องส่งเราสองคน
ไปประกบคุณจนวินาทีสุดท้ายแบบนี้…” นัจมุนพยักหน้า…

เธอน่ะยิ่งกว่าเข้าใจในสถานการณ์อันคุกรุ่นระหว่างเขากับอีกฝ่าย
โดยแทบไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูดใดๆออกมาเลยด้วยซ้ำ…
เพราะกว่าอีกฝ่ายจะยอมล่าถอยกลับกรุงเทพฯไปได้…ก็มีการปะทะกันกับลูกน้องของเขา
ที่เขาส่งมาคุ้มกันเธอที่บ้านหลังนี้อยู่หลายต่อหลายครั้ง…
จนพ่ายกลับไปนั่นล่ะ…จึงจะสงบลง…

นัจมุนได้แต่ยกมือขึ้นแตะขมับ…ไมเกรนรุมเร้าเธออย่างหนักมาหลายวันแล้ว…

“คุณควรพักผ่อนให้เยอะ…อาการปวดหัวจะได้ไม่ทำร้ายคุณแบบนี้…”
เสียงนั้นเฝ้าเตือนมาตลอด

“ค่ะ…ฉันจะพยายาม…” นัจมุนหันไปยิ้มฝืดๆให้ผู้ควบคุม…

“ยาช่วยได้ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนหนึ่งคือตัวคุณ…คุณต้องปล่อยวาง
และไม่เครียดหรือตื่นเต้นกับมัน…ไมเกรนไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง…
ดังนั้น…คุณต้องทำทุกอย่างเสมือนว่าไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป…”

สองมือของคนพูดยกขึ้นคลึงต้นคอของเธอแล้วค่อยๆนวดไปจนถึงขมับ
แล้วย้อนกลับมาที่ลำคอ ไล่ลงไปยังบ่าและหัวไหล่ก่อนจะนวดเรื่อยๆลงไปยังสันหลัง

“ขอบคุณค่ะ…” นัจมุนเอ่ยขอบคุณกับการดูแลเอาใจใส่จากอีกฝ่าย

“เห็นอย่างนี้…เชคเป็นห่วงคุณมากๆนะคะ…”

“ค่ะ…ฉันรู้” ใช่…เขาเป็นห่วงเธอจริงๆนั่นแหล่ะ…แต่เป็นห่วงเพราะอะไรนั้น
เธอไม่อยากคิดให้ลึกลงไป…ให้หัวใจมันต้องแบกรับความเจ็บชนิดนึง…

เธอไม่ได้ปิดหูปิดตาหรืออคติจนไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาสั่งใช้ลงมานั้น
มันมีประโยชน์ต่อเธอแค่ไหน…หากเธอเองกลับไม่อยากหาคำตอบว่าเพราะอะไร
เขาถึงห่วงใยในตัวเธอถึงเพียงนี้…ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากรับฟังว่าเขาคิดอะไรยังไง…

หรือเห็นเธอเป็นอะไร!

“ถ้าคุณจะยิ้มให้สดใสกว่านี้…คุณจะเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดคนนึง…”

นัจมุนลอบถอนใจ…ยิ้มหรือ ถ้าแค่ฉีกปากออกมันก็ไม่ได้ยากอะไร
แต่ถ้าให้ยิ้มเพราะอยากจะยิ้มจริงๆ ตอนนี้เธอทำไม่ได้…หัวใจมันปวดหนึบและจมดิ่ง
ในท้องทะเลอันปั่นป่วนสลับกับความเยือกเย็นของภูเขาน้ำแข็ง…

“คืนนี้…ฉันขอไปที่ทะเลได้มั้ยคะ…” นัจมุนเอ่ยปากขอผู้คุมด้วยน้ำเสียงกึ่งเว้าวอน
แกมบังคับอยู่ในที…

“กลางคืนทะเลไม่สวยหรอกค่ะ ไม่มีอะไรให้ดู…” นัจมุนคลี่ยิ้มออกมา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น

“คนทั่วไปมักเชื่อและคิดเช่นนั้น…แต่ไม่ใช่ฉันหรอกค่ะ…”

“เราคงต้องรายงานเชคก่อน…” คนฟังถึงกับลอบถอนใจที่อะไรๆก็ต้องรายงานอีกฝ่าย…

นี่เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรกับชีวิตตัวเองได้หรืออย่างไรกัน…

“หวังว่าเชคของคุณจะยินยอมนะคะ…” อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งๆตัดพ้อออกไป…
และดูเหมือนอีกฝ่ายจะเริ่มยกหูโทรศัพท์เพื่อรายงานเรื่องนี้กับอีกคนทันที…
ไม่นานก็วางสายลงพร้อมกับบอกกับเธอว่า…

“เชคบอกว่า…เอาไว้หลังแต่งงาน…เชคจะพาคุณไปฮันนีมูนเองค่ะ…”

นัจมุนถึงกับกำหมัดแน่น ข่มอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ภายในไม่ให้มันระเบิดออกมา

…เธอไม่ได้ต้องการไปทะเลหลังจากคืนนี้…แต่ช่างเถอะ
ในเมื่อต่อต้านไปก็ไม่เคยเป็นผล คนอย่างเขามันไม่เคยเห็นความคิด
ความรู้สึกของคนอื่นสำคัญกว่าของตัวเอง…

“ฉันไม่ได้อยากให้เขาไปด้วยนี่คะ…ฉันอยากไว้อาลัยให้กับความโสด
กับชีวิตโสดๆของฉัน…” นัจมุนเปรยเบาๆออกไป…ไม่ได้หวังว่าจะมีอะไรมาเปลี่ยนแปลง
ความคิดของจอมเผด็จการได้ เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะแสดงความคิดเห็นออกไป

“งั้นเราจะโทรไปปรึกษากับเชคอีกครั้งนะคะ…” แล้วผู้คุมของเธอก็ยกหูโทรศัพท์อีกครั้ง…
คราวนี้นัจมุนถึงกับแบมือของโทรศัพท์จากผู้คุม

“ขอฉันคุยกับเขาเองได้มั้ยคะ…” ปรากฏว่าผู้คุมของเธอส่ายหน้า
พร้อมกับบอกว่า

“เชคไม่ต้องการคุยกับคุณค่ะ…ถ้าคุณมีอะไรให้บอกผ่านเราสองคน”

ถ้อยคำนั้นทำเอามือของนัจมุนที่ยืนไปขอโทรศัพท์ถึงร่วงตก
ด้วยหัวใจที่ปวดหนึบราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบรัดมันเอาไว้แน่น…
จนแทบหายใจไม่ออก…

ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินลงจากเรือนไปนั่งกอดเข่าอยู่ใต้ต้นฝรั่ง…
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้ยินเสียงของหญิงสาวอีกเลยแม้แต่คำเดียว…

แม้กระทั่งในวันงาน…นัจมุนที่ถูกตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงามในชุดเจ้าสาว
กลับไม่มีปากเสียงใดๆกับใคร สุดแท้แต่ใครจะจัดแจงอย่างไรเธอก็ยอมให้เขาทำ…
เพราะสิ่งที่หญิงสาวทำก็คือพยักหน้ากับส่ายหน้าและยิ้มบาง…

ขนาดเพื่อนรักอย่างมาลาตีมาหา นัจมุนก็ได้แต่ยิ้มให้เพื่อนและนั่งฟังเพื่อนพูดและก็พูด…
จนอีกฝ่ายหมดใจล่าถอยออกไปพร้อมกับทิ้งท้ายคำพูดให้เธอได้ปวดหนึบๆเอาไว้ว่า

“แกจะปิดปากอย่างนี้ไปตลอดไม่ได้หรอกนีล…เพราะเมื่อมีการถามว่าแกยินยอม
เป็นภรรยาของท่านเชคกอมารุน บินอัสมา อัลฟารุกหรือไม่…
การเงียบของแกก็เท่ากับการยอมรับโดยดุษฎี…เว้นเสียแต่แกจะพูดปฏิเสธออกไป…
แต่ฉันไม่คิดว่าแกจะพูดมันออกมาได้อีกแล้ว…

และฉันก็หวังอยากให้แกมีความสุข…เชคเขาเป็นคนยังไงฉันไม่รู้…
แต่ที่ฉันรู้คือ…แกกำลังจะกลายเป็นคู่ชีวิตของเขา…ถึงแกจะทำให้พี่บากี้ของฉันหัวใจสลาย
แต่ฉันก็ยังรักแกเหมือนเดิม…ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง…”

ก่อนออกจากห้องไปเพื่อนของเธอก็ก้มลงหอมแก้มเธอเบาๆแล้วยิ้มให้

“แกสวย…และจะสวยกว่านี้อีกหลายเท่าเมื่อแกยิ้มออกมาจากทางตาด้วย…”

นัจมุนน้ำตาคลอเบ้า หากก็พยายามข่มมันเอาไว้…เลยก้มลงมองมือของตัวเอง
ที่ประสานอยู่บนตักแทน…

“ฉันน่ะอยากนั่งเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้แกในห้องนี้…แต่ฉันแพ้กลิ่นน้ำหอม
ที่ลอยอบอวนอยู่ในห้องนี้สุดๆ…แกคงไม่ว่าถ้าฉันจะทิ้งแกไว้ในห้องนี้นะนีล…ฉันขอโทษ…”

นัจมุนยิ้มให้เพื่อนก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพื่อนรักจึงกุมมือที่สวมถุงมือสีขาว
ลายดอกไม้เข้ากันกับชุดแล้วบีบเบาๆ

“แล้วเจอกันข้างนอกนะ…” พูดจบเพื่อนของเธอก็ก้าวออกไปจากห้อง
เหลือนัจมุนเอาไว้เพียงคนเดียว หญิงสาวมองไปรอบๆห้อง
ที่ถูกกั้นเอาไว้สำหรับเก็บตัวเจ้าสาวซึ่งอยู่ติดกับห้องทำพิธีที่ในตอนนี้
ซึ่งทุกคนคงอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาและคงกำลังทำพิธีกันอยู่…

โดยองค์ประกอบที่จำเป็นต้องมีในพิธีนิกะห์อันจะขาดไม่ได้นั่นคือ
เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่มีศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว มีวะลี (ผู้ปกครองฝ่ายหญิง)
มีคำเสนอและคำสนอง มีพยานซึ่งเป็นเพศชายโดยเป็นมุสลิมและบรรลุศาสนภาวะแล้ว
มีสติครบถ้วนสมบูรณ์ 2คนเป็นอย่างน้อย…

ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในตอนนี้ได้มานั่งอยู่ด้วยกันในห้องทำพิธี…
อาจมีบ้างสำหรับบางท่ีที่จะยกเว้นเจ้าสาวที่อาจถูกกันออกมาจากวง

โดยมีการเริ่มพิธีด้วยการอ่านคัมภีร์อัลกุรอ่าน มีการอ่านคำคุตบะห์นิกะห์
หรือคำเทศนาที่เกี่ยวกับการแต่งงาน การใช้ชีวิตคู่ร่วมกันระหว่างบ่าวสาว
คล้ายเป็นการอบรมในการครองเรือน

หลังจากนั้นผู้ทำการนิกะห์ซึ่งก็คือบิดาของนัจมุนก็จะอ่านดุอา (บทขอพร)
เสร็จสิ้นจากการขอพรต่อพระเจ้าแล้ว ก็จะเริ่มการกล่าวคำเสนอและคำสนอง…

ซึ่งเป็นข้ันตอนสำคัญที่สุด เป็นขั้นตอนที่เจ้าบ่าวมักตกม้าตายกันอยู่ร่ำไป
เพราะบางคนตื่นเต้นจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนไม่ได้รับคำเสนอในทันทีทันใด
ซึ่งจะถือว่า การนิกะห์ข้างต้นล้มเหลว ต้องมีการเริ่มการเริ่่มต้นคำกล่าวเสนอใหม่อีกครั้ง…

“ข้าพเจ้าทำการนิกะห์ท่านกับนัจมุน บินติ (บุตรของ) อิมรอน
ด้วยมะฮัร (สินสอด) ที่ตกลงกันไว้…”

เมื่อจบประโยคที่บิดาของนัจมุนได้กล่าวเสนอ กอมารุนในฐานะเจ้าบ่าว
ได้กล่าวสนองรับในทันทีทันใดว่า

“ข้าพเจ้ารับนิกะห์นี้ด้วยมะฮัร (สินสอด) ตามที่ได้ตกลงกันไว้ดังที่กล่าวมานั้น…”

เป็นอันว่าการกล่าวเสนอและการกล่าวสนองได้เสร็จเรียบร้อยโดยสมบูรณ์ในครั้งแรก
ทำเอาบิดาของเจ้าสาวถึงกับพอใจที่เจ้าบ่าวสามารถตอบรับคำนิกะห์ได้ในครั้งเดียว
โดยไม่ต้องกล่าวใหม่…

ต่อจากนั้นก็จะมีการอ่านคัมภีร์กุรอานเป็นการปิดท้าย…

ซึ่งในส่วนของมะฮัร (สินสอด) นั้นอิสลามกำหนดให้เป็นเรื่องของเจ้าสาว
และถือเป็นทรัพย์สินของเจ้าสาว ญาติพี่น้องหรือผู้อื่นๆไม่มีสิทธิ์ไปกำหนดเองตามใจชอบ…

นอกจากนี้มะฮัรฺ (สินสอด) นั้นจะหมายถึงสิ่งที่ผู้ชายเสนอมอบให้แก่ผู้หญิง
เพื่อเป็นสิ่งที่ให้ในการนิกะห์และผู้หญิงรับในสิ่งนั้นด้วยความยินดี
ไม่ขึ้นว่าจะต้องเป็นเงินทองหรือทรัพย์สมบัติมีค่า ไม่ขึ้นกับจำนวนว่าต้องมากมาย
ขนาดนั้นขนาดนี้ แต่ถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจท่ีผู้ชายและผู้หญิงยินดีที่จะมอบ
และยินดีที่จะรับไว้ด้วยความยินดีของคนทั้งคู่…

โดยที่นัจมุนไม่ได้ต้องการสิ่งใดเว้นแต่คัมภีร์อัลกุรอานเพียงเท่านั้น…
ทว่า กอมารุนได้เตรียมแหวนแพลทตินั่มฝังเพชรสีเขียวรูปจันทร์เสี้ยวกับดวงดาวเคียงกัน
เอาไว้เป็นที่ระลึกให้กับนัจมุน…

โดยที่นัจมุนหาได้รู้เรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด…ไม่รู้ว่าบิดามารดาหรือญาติๆทางฝั่งของเขา
จะมาร่วมพิธีด้วยหรือไม่…เธอไม่รู้อะไรเลย…ไม่เคยได้เห็นรายชื่อของแขกผู้มาร่วมงาน…
ไม่เคยได้เห็นหน้าตาของชำร่วยหรือการ์ดแต่งงานแม้แต่ชุดเจ้าสาวเธอก็ไม่ได้เลือกเอง…

ทุกอย่างถูกทำมาอย่างสำเร็จรูปโดยที่เธอแทบไม่ต้องคิดอ่าน
หรือวางแผนอะไรเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว…หากไม่อคติใดๆ นัจมุนก็ต้องยอมรับว่า
ชุดเจ้าสาวที่เธอสวมใส่อยู่นั้นสวยงามและสง่าราวกับชุดของเจ้าหญิงหรือราชินี…

ตั้งแต่ศีรษะที่มีผ้าคลุมศีรษะผืนหนายาวจนไปถึงตาตุ่มก่อนจะคลุมด้วยผ้าผืนบางทับ
โดยสามารถคลุมลงมาเพื่อปิดบังใบหน้าทั้งหมดของเธอได้ด้วย…

และตอนนี้…มันถูกนำมาปิดใบหน้าเธอ จนไม่เหลือส่วนใดของร่างกาย
ที่จะไม่ถูกปกปิดเอาไว้…หากเธอไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่ประการใด
กลับรู้สึกอบอุ่นใจอย่างแปลกประหลาดเมื่อลุกขึ้นมองตัวเองในรูปลักษณ์
ที่ปรากฎบนกระจก…เพราะผ้าคลุมหน้าผืนบางหาได้บดบังสายตาจากการมองเห็นได้…
เพียงแต่บุคคลอื่นๆจะมองมาที่ใบหน้าเธอได้ไม่ชัดเจนเท่านั้น…

และเป้าหมายหลักของการคลุมปิดใบหน้าทั้งหมดสำหรับเจ้าสาวนั้น
เพราะเธอต้องออกไปต้อนรับแขกต่างเพศที่มาร่วมงานด้วยกันกับเจ้าบ่าวของเธอ…
เลยป้องกันจากการจ้องมองเธอจากสายตาบุรุษผู้อื่น…

แต่สำหรับบรรดาสตรีแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องปกปิดถึงขั้นนี้แต่ประการใด…

“รู้ใช่มั้ยนัจมุนว่าเธอต้องทำอย่างไรสำหรับงานนี้…” เสียงนั้นดังมาจากมารดาเลี้ยง
ที่เมื่อย่างก้าวเข้ามาในห้องก็เอ่ยขึ้นแบบไม่มีอารัมภบทใดๆ

“การที่เธอได้นิกะห์กับคนในระดับนี้นับว่าเป็นโชคดีสำหรับเธออย่างที่สุดแล้ว…
ถ้าเธอนึกจะมาปฏิเสธเชคกอมารุนล่ะก็…ฉันขอบอกว่าพ่อเธอจะต้องเสียใจ
ต่อการกระทำของเธออย่างแน่นอน…”

และคนพูดก็คงจะเสียใจด้วยเช่นกัน…นัจมุนต่อให้ในใจ…เพราะว่าคนพูดกลัวเหลือเกิน
กับการได้เธอไปเป็นลูกสะใภ้…ซึ่งเธอเองก็กลัวเช่นกันที่จะต้องไปเป็นลูกสะใภ้ของท่าน…

ขนาดเป็นแค่เพียงลูกเลี้ยงเธอก็รับมือแทบไม่ไหวแล้ว ถ้าต้องไปเป็นลูกสะใภ้
เธอแทบไม่ต้องคิดให้มากมายว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร…

“ถ้าเธอเลือกที่จะนิ่งเงียบก็ขอให้เงียบต่อไป…” สิ้นสุดคำนั้น ผู้ทำพิธี
เข้ามาถามเจ้าสาวว่าจะรับเชคกอมารุนเป็นสามีหรือไม่…

และนัจมุนก็ได้นั่งนิ่ง ไม่เอ่ยคำใดออกมา ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการตอบรับคำนิกะห์แล้ว…
ต่อจากนั้น…เจ้าบ่าวหรือผู้เป็นสามีของเธอก็ก้าวเข้ามาในห้องที่มีม่านกั้นหลายชั้น
มาหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าของเธอ…

เขาอยู่ในชุดแบบเดียวกันกับชุดที่เธอเห็นเขาในครั้งแรก ชุดที่หยุดสายตาของเธอ
ให้เผลอมองเขาจนโดนเขาหันมาทำตาดุใส่…

ยิ่งวันนี้เป็นวันพิเศษระหว่างเขากับเธอ…มันยิ่งเพิ่มแรงสั่นสะเทือนในหัวใจของเธอ
ได้ยิ่งกว่าวันนั้นหลายเท่านัก…ทำเอาหัวใจที่นิ่งสงบเริ่มเต้นระทึก รัวเร็ว

ยิ่งเขาใกล้เข้ามายังจุดที่เธอนั่งรอเขาอยู่ นัจมุนก็เริ่มรู้สึกได้ว่าเธอไม่สามารถ
ควบคุมหัวใจของตัวเองได้อีกต่อไป จนต้องก้มหน้ามองหลังมือของตัวเอง
ที่สอดประสานกันอยู่ จนกระทั่งเขากุมมือเธอซึ่งเป็นการสัมผัสครั้งแรกจากเขา
โดยไม่นับรอยสัมผัสจากเด็กชายกอมารุนในอดีต…

มันทำให้นัจมุนรู้สึกราวกับมีกระแสไฟไหลเข้าสู่เส้นเลือดทุกเส้นของเธอจนพุ่งเข้าสู่หัวใจ…
และเมื่อเขาใช้มืออีกข้างจับช้อนคางของเธอให้เงยหน้าขึ้นมองเขา…
ก่อนจะเปิดผ้าปิดหน้าของเธอขึ้น…แววตาของเขาประสานเข้ากันกับแววตาของเธอนิ่งนานราวกับโลกหยุดหมุน ปราศจากสรรพเสียงใดๆ

นัจมุนมารู้ตัวอีกทีเมื่อนิ้วก้อยข้างขวาของเธอถูกสวมด้วยแหวนเพชรวงน้อย
ที่ถูกออกแบบมาอย่างน่ารักน่าเอ็นดู…แปลกตา ทว่าถูกใจเธอยิ่งนัก

เขายังจำได้หรือว่าเธอโปรดปรานสีเขียว…

“นิ้วก้อยข้างขวา…แทนคำมั่นสัญญา…” เขากระซิบเบาๆข้างๆหูของเธอ
พร้อมกับพ่นลมหายใจอุ่นๆปะทะใบหูของเธอหลังจากที่ประคองเธอให้ลุกขึ้นยืนแล้ว

ทำเอานัจมุนถึงกับตัวสั่นไปกับความใกล้ชิดเป็นครั้งแรก
โดยเฉพาะลมหายใจอุ่นๆที่รินรดตรงใบหูของเธอยามเมื่อเขาเอื้อนเอ่ยคำนั้น…

และยิ่งหน้าแดงก่ำเมื่อเขายกมือขวาของเธอขึ้นแล้วจุมพิตลงตรงนิ้วก้อยข้างขวาของเธอ
บนแหวนวงน้อยวงนั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้น…แล้ว…แล้วเขาก็ยิ้มให้เธอทั้งปากทั้งตา
ยิ้มที่เธอไม่เคยได้รับจากเขามาก่อนเลย…ไม่เคยได้เห็นมัน….

“ยิ้มให้หน่อยซิ…” เขาขอแกมบังคับในที ทำให้นัจมุนไม่รู้จะวางหน้า
หรือทำหน้าอย่างไรขึ้นมา…และเหมือนอะไรนำพาก็มิอาจทราบได้
นัจมุนคลี่ยิ้มออกรับรอยยิ้มหวานซึ้งจากเขาโดยไม่รู้ตัว…

“ดีกันนะนีล…” พูดจบเขาก็จุมพิตตรงหน้าผากของนัจมุน
ก่อนจะไล่ลงมาตรงดวงตาข้างขวาแล้วดวงตาข้างซ้าย แตะจุมพิตเบาๆ
ตรงปลายจมูกของเธอ หอมแก้มขวาแล้วย้ายไปฝังจมูกและปากที่แก้มข้างซ้ายของเธอ
ก่อนจะปิดท้ายด้วยการกดริมฝีปากหนักๆลงตรงริมฝีปากของเธอแล้วรีบผละออกมา…

นัจมุนเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งห้วงมหาสมุทรแห่งความรู้สึกแปลกใหม่…
และยิ่งสะดุ้งจนเนื้อตัวสั่นสะท้านเมื่อเขารั้งร่างเธอเข้าไปสวมกอดเอาไว้…

“เรามาเริ่มต้นกันใหม่…นะนีล…” เสียงที่เคยเย็นชาบัดนี้เปลี่ยนไป
มันซ่อนความหวานเอาไว้ แม้จะน้อยนิดแค่ไหน ทว่านัจมุนก็สามารถ
สัมผัสความหวานอันน้อยนิดนั้นได้…

“มีแต่คนบอกว่าเธอเป็นใบ้ไปแล้ว…แต่ฉันไม่เชื่อว่าเธอจะมีความสุขนักหรอก
กับการต้องเป็นใบ้แบบนี้…และฉันก็ไม่คุ้นกับนัจมุนที่สงบปากสงบคำสักเท่าไหร่ด้วย…”

พูดจบเขาก็ผละจากเธอ มองหน้าเธอนิ่งก่อนจะไล่สายตาลงต่ำไปยังตำแหน่ง
ของริมฝีปากของเธอ…

“ฉันชอบมองเวลาริมฝีปากของเธอขยับ…ชอบแววตาที่มีชีวิตชีวา
ไม่ใช่นิ่งๆไร้อารมณ์…” แล้วเขาก็ก้มลงหมายจะประทับริมฝีปากของตน
ลงบนริมฝีปากสวยที่เขารอคอยอย่างอดทน ทว่า เสียงจากด้านนอก
บอกให้เขานำตัวเจ้าสาวออกไปได้แล้ว

ทำให้กอมารุนพ่นลมหายใจออกมาเมื่อถูกขัดจังหวะ หากไม่อาจยั้งใจไว้ได้
จึงแนบริมฝีปากของตนลงบนริมฝีปากบางสวยได้รูปของนัจมุนหนักๆเน้นๆแล้วผละออก
ก่อนจะยกผ้ามาปิดหน้าแดงก่ำของหญิงสาวดังเดิม แล้วประคองร่างที่
เหมือนไร้เรี่ยวแรงออกไปข้างนอกกับเขา

ซึ่งในงานจะมีการแบ่งแยกเพศไม่ให้มีการปะปนหญิงชาย…และมีการตรวจตรา
อย่างเข้มงวดโดยห้ามมีการนำอาวุธเข้ามาในงานเลี้ยง…

แม้จะมีการจัดงานต้อนรับแขกเหรื่อที่มีหน้าที่การงานยิ่งใหญ่แค่ไหน
ทว่า งานที่จัดขึ้นกลับเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีทั้งคนจนและคนรวยปะปนกันในงาน…

ทุกคนที่มาร่วมงานต่างแต่งชุดตามแบบฉบับมุสลิมที่คงไว้ซึ่งความเรียบง่ายและเสมอภาค…
ไม่มีการรับซอง…มีแต่การเลี้ยงต้อนรับสำหรับผู้มาร่วมอวยพรให้แก่คู่บ่าวสาว…

นัจมุนสังเกตเห็นว่าหลายคนที่มาร่วมแสดงความยินดีกับเธอและเขาในงานวันนี้นั้น
มีผู้หลักผู้ใหญ่ของประเทศด้วย…แต่ยังไม่พบว่ามีบิดามารดาของเขา
หรือวงศาคณาญาติของเขาเข้าร่วมแต่ประการใด…

สร้างความสงสัยและกังขาแก่นัจมุนยิ่งนัก และเขาเองก็หาได้อธิบายในเรื่องดังกล่าว
ให้เธอเข้าใจ

ยิ่งเมื่อเผชิญหน้าเข้ากับผู้ทรงอิทธิพลแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
ยิ่งทำให้นัจมุนอยากจะบินหายไปจากตรงนั้น หากมือของเขากลับกุมมือของเธอเอาไว้แน่น
ไม่ยอมปล่อย

“เล่นกันแบบนี้ไม่ค่อยยุติธรรมเลยนะเชค…” ท่านแสนยาเอ่ยทักทายเจ้าบ่าวของเธอทันที
เมื่อเจอะเข้าอย่างจัง

“ความจริงท่านน่่าจะเข้าใจดีว่าความยุติธรรมมันหาได้ยากในสังคมปัจจุบันนี้…
และผมไม่คิดว่าผมจะได้รับความยุติธรรมจากใครเสียด้วยสิครับ…”

พูดพลางวาดแขนโอบรอบเอวของนัจมุนราวกับต้องการประกาศความเป็นเจ้าของ
อย่างเต็มขั้นให้อีกฝ่ายได้เห็นเป็นรูปธรรม ทำเอาชายสูงอายุถึงกับกัดฟันกรอด…
มองกอมารุนตาเขม็งด้วยความเคียดแค้นชิงชัง

“หัวเราะทีหลังมักจะดังกว่า…เชคเคยได้ยินมั้ย…” เสียงนั้นราวกับจะขู่
ให้อีกฝ่ายกลัวเกรงในบารมีตน

“แต่ผมจำได้ว่า…ลงมือก่อนมักได้เปรียบครับ…” แล้วเสียงหัวเราะคำรามของผู้ทรงอิทธิพล
ก็ดังขึ้น เรียกสายตาแขกในงานให้หันมามองยังโต๊ะจัดเลี้ยงดังกล่าวด้วยความสงสัยใคร่รู้…

“นับว่าพูดได้ดีทีเดียว…ก็ได้แต่หวังว่าพ่อม่ายอย่างเชคจะเก่งพอสอนงานให้หนูนีล
จนชำนาญได้…เบื่อเมื่อไหร่ขอให้บอกลุงเป็นคนแรก เพราะลุงชอบผู้หญิง
ที่เป็นงานเป็นการ…คล่องๆ…ยังไงก็วานช่วยสอนเทคนิคดีๆให้หนูนีลด้วยก็แล้วกัน…ฮึๆๆๆ”

แม้เสียงพูดจะเบาๆราวกับเสียงกระซิบ ทว่าเสียงหัวเราะในตอนท้ายดูจะก้องคำราม
จนทำเอานัจมุนที่เข้าใจความนัยของประโยคดังกล่าวถึงกับหน้าแดงก่ำ
ด้วยความอายผสานกับความโกรธจนไม่อาจยืนอยู่ตรงนั้นได้อีกต่อไป

หญิงสาวสลัดมือที่เกาะกุมแล้วก้าวจ้ำอ้าวออกไปจากตรงนั้น
ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีคำพูดแย่ๆแบบนั้นกระแทกหูของเธอ…

นัจมุนเข้ามาหลบมุมอยู่ตรงมุมเดิมของบ้านหลังใหญ่ที่ในอดีต
เธอเคยเข้ามาหลบประจำยามเมื่อเจอตัวอันตรายในชีวิต…

และดูเหมือนจะมีแค่คนๆเดียวที่รู้ว่าเธอใช้มุมๆนี้เป็นที่หลบภัยเสมอ…

มือใหญ่วางลงบนบ่าของเธอแล้วบีบเบาๆ นัจมุนที่นั่งชันเข่าขดตัวแล้วก้มหน้าซุกกับหัวเข่า
ถึงกับสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมองก็พบกับบิดาผู้ให้กำเนิด

ท่านนั่งลงตรงหน้าเธอแล้วรั้งเธอเข้าไปกอดเอาไว้ ลูบหลังพร้อมกับบอกว่า

“ต่อไปนีลต้องเชื่อฟังพี่ก้อเขานะลูก…อย่าขัดคำสั่งพี่เขา…แล้วนีลจะปลอดภัยจากมารสังคม…”

“เรากลับไปอยู่ด้วยกันเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วหรือคะพ่อ…
นีลไม่ต้องการอะไรนอกจากพ่อ…ไม่มีพี่ก้อก็ไม่เป็นไร…ขอแค่ให้นีลมีพ่อเหมือนตอนที่นีล
ยังมีแม่…และเรามีกันและกันแบบนั้น…เอาหมอกไปอยู่ด้วยกัน…มีแค่นี้…
ให้เราอยู่ด้วยกันได้มั้ยคะ…ไม่ต้องรวย ไม่ต้องมีเกียรติ ไม่ต้องมีหน้ามีตาในสังคมก็ได้…

นีลกินน้อยได้นะคะ เสื้อผ้าเก่าๆนีลก็ใส่ได้…บ้านเก่าๆโทรมๆนีลก็อยู่ได้…
นีลทนลำบากได้นะคะพ่อ…”

หญิงสาวกอดบิดาแล้วเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ เธออยากหนี
หนีไปให้พ้นจากสังคมและสิ่งรุมเร้าต่างๆเหล่านี้เหลือเกิน…

“เรากลับไปทำแบบนั้นไม่ได้แล้วลูก…ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว…
ประตูของอดีตมันปิดไปแล้วนะนีล…ต่อให้วันนี้เวลานี้พ่ออยากจะทำอย่างที่ลูกต้องการ
สักแค่ไหน พ่อก็ไม่มีความสามารถพอจะกลับไปทำอะไรแบบนั้นได้อีกแล้ว…
แต่พี่ก้อ…พี่ก้อของนีลสามารถทำได้…”

เขาไม่รู้จะบอกกับลูกสาวได้อย่างไรว่าเวลาชีวิตของเขามีไม่มากพอ
ที่จะทำตามความปรารถนาของลูกสาวได้อีกแล้ว…

“เขาทำไม่ได้หรอกค่ะ…เขาทำไม่ได้…” นัจมุนส่ายหน้า

“ได้…เพียงแต่นีลต้องใช้หัวใจของนีลซื้อหัวใจของพี่เขาให้ได้…
เมื่อลูกได้หัวใจของพี่เขา…พี่เขาจะทำทุกอย่างได้เพื่อลูก…”

นัจมุนผละจากอ้อมกอดของบิดาแล้วมองท่านด้วยแววตาเหนื่อยล้าปนทดท้อในใจ
ด้วยเริ่มรู้ว่าตัวเธอนั้นเป็นอะไรสำหรับพวกผู้ชาย
และไม่ง่ายที่จะดิ้นหนีเงื้อมมือของทุรชนไปได้โดยปลอดภัยง่ายๆ…

เธอไม่ปรารถนาจะเป็นหญิงมากมายหลายชาย…อยากมีสามีเดียว
หรือไม่ก็ไม่มีเสียเลย

“เขาไม่มีวันรักนีล…นีลรู้ค่ะพ่อ นีลรู้…ที่เขาแต่งงานกับนีลก็ไม่ใช่เพราะเขารักนีล
แต่เขามีเหตุผลบางอย่างที่นีลยังไม่รู้…แต่นีลรู้ค่ะรู้ว่าเขาไม่ได้แต่งงานกับนีล
เพราะรักในตัวตนของนีลแน่นอน…

และสักวันเขาก็จะเบื่อแล้วสลัดนีลทิ้งเหมือนผ้าขี้ริ้วที่ไร้ค่า…
และสมควรเปลี่ยนเป็นผืนใหม่…แล้วโยนนีลทิ้งให้คนอื่นต่อไป…
นีลไม่อยากเป็นตัวอะไรสักอย่างของพวกผู้ชาย…ไม่อยากเป็น…”

นัจมุนกล้ำกลืนก้อนแข็งๆเข้าไปในลำคอ ก้อนที่มันจุกยอดอกของเธอ
ก่อนจะยกมือขึ้นกุมขมับด้วยความเจ็บปวด…อาการปวดศีรษะไมเกรน
กำเริบหนักกว่าครั้งใดจนหญิงสาวถึงกับมีสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความทรมาน

ก่อนจะจับที่หน้าท้องของตนที่เริ่มปวดตาม…เนื่องจากวันนี้ทั้งวันเธอไม่สามารถกินอะไร
ลงไปในท้องได้ มันตื้อไปหมด แม้จะโดนคะยั้นคะยออย่างไร เธอก็ไม่สนใจจะกิน
มันเหม็นเบื่ออาหารเหลือทน…

และอาการทุรนทุรายที่ไม่ว่าจะพยายามกักเก็บสักแค่ไหนหากก็ไม่อาจปกปิด
ได้มิดชิดอีกต่อไปทำให้ผู้เป็นบิดาที่มองลูกสาวด้วยความตระหนกตกใจ
รีบกดมือถือโทรหากอมารุนทันที…

และเพียงไม่นานร่างของเขาก็ปรากฎตรงหน้าเธอก่อนจะยกเธอขึ้นอุ้ม
แล้วพาไปยังห้องหอ…บิดาของเธอตามหลังเขามาติดๆ…

“กินยาก่อนนะ…” เขาควานหายาในกระเป๋าของเธอจนเจอแล้วนำมันมา
ยื่นให้กับเธอพร้อมแก้วน้ำเปล่า…โดยมีบิดาของเธอเข้าไปประคอง
ให้ศีรษะของเธอให้เงยขึ้น กอมารุนจึงยัดยาเข้าปากหญิงสาวพร้อมกับป้อนน้ำให้กับเธอ…
ก่อนจะจัดการปลดผ้าคลุมฮิญาบออกจากศีรษะของเธอออก…
แล้วปล่อยให้เธอได้นอนหลับพักผ่อน…

เวลาผ่านไปไม่นานนัจมุนก็สงบลงพร้อมกับเปลือกตาที่ปิดลง…กอมารุนเลยหันมา
ปรึกษากับบิดาของเธอด้วยสีหน้าเครียดขึง

“นีลเป็นแบบนี้มานานแล้วใช่มั้ยครับอา…เพราะคนของผมรายงาน
มาตลอดว่าเธอมีอาการปวดหัวไมเกรนบ่อยในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา”

“ใช่…แต่ถ้าไม่เครียดวิตกกังวลหรือว่าหลบเลี่ยงสภาพอากาศ
และสิ่งเร้าอาการก็จะไม่กำเริบขนาดนี้…อาเองก็เพิ่งเห็นว่าเขา
มีอาการหนักขึ้นเรื่อยๆแบบนี้…”

“ถ้างั้นผมจะลงไปรองรับแขกต่อ…แล้วให้คนของผมมาเฝ้าดูแลเธอ
ในขณะที่งานเลี้ยงยังไม่จบ อาจะอยู่เฝ้าเธอหรือจะลงไปพร้อมกับผม…”

“อาคงต้องลงไปด้วย…เพราะแขกของอาก็เยอะไม่น้อย…ป่านนี้แขกเหรื่อคงถามหา
กันใหญ่แล้ว…ยังไงอาฝากก้อช่วยพูดให้แขกเหรื่อในงานเข้าใจด้วยนะว่านีลไม่สบาย…
และคงลงไปส่งแขกกลับไม่ได้แล้ว”

“ครับ…”

“เดี๋ยวอาจะให้หมอกมาเฝ้าพี่สาวเขาด้วยอีกคน…”

“ครับ…”

เมื่อได้ข้อสรุป นัจมุนที่กำลังหลับไหลด้วยฤทธิ์ของยาก็ได้น้องชายมาเฝ้าไข้…
แม้ผู้เป็นมารดาจะไม่ค่อยพอใจนักหากก็ต้องยอมให้ โดยมีมาลาตีเพื่อนสนิทของนัจมุน
ขึ้นมาดูอาการ แต่เพราะคนท้องเองก็มีสภาพไม่ได้แตกต่างไปจากนัจมุนนัก
สุดท้ายเลยโดนลากกลับบ้านไปพักผ่อนด้วยเช่นกัน…


กว่างานจะสิ้นสุดลงกอมารุนก็ถึงกับลอบถอนใจกับปัญหาต่างๆที่ถาโถมเข้ามาเป็นระลอกๆ
โดยเฉพาะแขกคนสำคัญอย่าง ศุภิกา ชลันธนาบริรักษ์ภักดีกุล
ที่ดูจะไม่ค่อยพอใจนักกับการตัดสินใจของเขาในการเลือกที่จะแต่งงานกับนัจมุน
หากก็ยังมาร่วมงานเป็นคนสุดท้าย…และเป็นคนเดียวในหมู่เครือญาติของเขา

“หวังว่าก้อจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงคนไหนมามีอิทธิพลเหนือความหวัง
และความตั้งใจของก้อเอง…นัจมุนเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้แย่ก็จริง…
แต่อุดมการณ์ของผู้หญิงคนนี้แตกต่างจากเรา…เธอจะเป็นคนที่ทำให้
ทุกอย่างล้มเหลว…และอาจทำให้ชีวิตก้อล้มพังลงได้…”

“ผมไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้นครับ…เรื่องอนาคตเป็นอะไรที่เราคาดการณ์ได้ยาก…
นัจมุจเองก็ไม่ใช่คนดื้อด้านหรือควบคุมยากอะไรนี่ครับ…ที่ผ่านๆมาเธอเชื่อฟังผม
เป็นอย่างดี…ผมมั่นใจว่าผมเอาเธออยู่ อย่ากังวลไปเลยครับ…”

“ก้อเปลี่ยนไป…ก้อไม่เคยปล่อยให้ความเสี่ยงเฉียดใกล้ตัวเองโดยรู้ตัวดี
ว่านั่นคือความเสี่ยง…”

“พ่อเธอฝากเธอไว้กับผม…และผมเป็นหนี้บุญคุณพ่อของเธอ…”

นั่นคือเหตุผลที่เขาบอกอีกฝ่ายไป จนทำให้อีกฝ่ายล่าถอยกลับไปในที่สุด…
แต่ก็ไม่วายทิ้งทายให้เขารู้สึกประหลาดๆในใจว่า

“ก้ออาจไม่รู้ตัวว่าตัวเองนั้นเปลี่ยนไป…ก้อไม่จำเป็นต้องลงทุนด้วยการ
สูญเสียอิสรภาพเพื่อชดใช้หนี้บุญคุณ…วิธีการชดใช้หนี้มีมากมาย
และก้อก็สามารถคิดวิธีการอื่นๆได้หลายวิธี แต่ก้อไม่คิดที่จะทำเอง…
เพราะอะไรล่ะก้อ…หรือเพราะก้อกำลังติดใจนัจมุนขึ้นมาจริงๆ…

ก้อทำเพราะต้องการชดใช้หนี้บุญคุณหรือเพราะว่าก้อหวงเขา
กลัวเขาตกไปเป็นของรุส…”

ประโยคสุดท้ายนั้นทำให้กอมารุนพยายามนำมาทบทวน
แม้กระทั่งตอนนี้ที่เขาอยู่ในห้องเพียงลำพังกับเธอที่กำลังนอนหลับพริ้มอยู่บนเตียง…
เขาก็ยังตอบไม่ได้ว่าเพราะอะไรเขาถึงเลือกใช้วิธีนี้ในการแก้ปัญหาชีวิตของนัจมุน…

กอมารุนเดินเข้าไปใกล้นัจมุน ยกมือขึ้นหมายจะแตะใบหน้างดงามนั่น

นัจมุนสวยเหลือเกิน ขนาดว่าป่วยยังสวยขนาดนี้…

เมื่อก่อนเขามองข้ามความงามที่ซ่อนอยู่ของเธอมาได้ยังไง…
อะไรทำให้เขามองเห็นเธอเป็น 'มดดำบนก้อนหินดำ' ไปได้…

ทว่า…เสียงเคาะประตูห้องดังขัดขึ้นเสียก่อนที่เขาจะได้สัมผัสแก้มนวลเนียนนั่น…

พอเปิดประตูจึงพบกับบิดาของนัจมุนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้อง…
กอมารุนเลยเชิญให้ท่านเข้ามาในห้องเพื่อที่การสนทนาจะได้ไม่ไปเข้าหู
ของคนอื่นๆในบ้านหลังนี้

“ก้อ…อา…อาอยากขอให้ก้อพานีลไปอยู่ที่อื่นในวันพรุ่งนี้เลยได้มั้ย…
อาไม่มั่นใจว่ารุสเขาจะคิดทำอะไรแผลงๆอีกรึเปล่า…”

“ผมก็ตั้งใจเอาไว้อย่างนั้นครับอา…อาสบายใจเถอะครับ…ผมพูดคำไหนคำนั้นครับอา…
ในเมื่อผมรับปากกับอาว่าจะดูแลลูกสาวอาให้รอดจากพวกเขาเหล่านั้น
ผมก็จะทำตามที่พูดไว้อย่างเต็มที่เต็มกำลัง…”

คนฟังพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มโล่งใจ…เขาห่วงลูกสาวจนนอนไม่หลับ
เลยต้องมาขอคำยืนยันจากอีกฝ่ายอีกครั้ง

“ถ้าวันนึง…ก้อเกิดเบื่อนีลขึ้นมา…ก้ออย่าหย่ากับนีลได้มั้ย…
รับปากอาได้มั้ยว่าก้อจะไม่ทิ้งขว้างลูกสาวอา…จะให้นีลเป็นภรรยาของก้อไปตลอด
ไม่ว่าก้อจะมีแต่งกับผู้หญิงอื่นอีกสักกี่คน…”

“ผมจะพยายามครับอา…ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับลูกสาวอาด้วยว่าเขาอยากจะอยู่ในสถานะ
ภรรยาผมไปตลอดรึเปล่า…”

“ขอแค่ก้อตั้งใจจะไม่ทิ้งนีลอาก็สบายใจแล้ว…”

เนื่องจากเขามั่นใจว่าลูกสาวจะเป็นคนรักเดียวใจเดียว และประสงค์จะมีสามีแค่คนเดียว
ไปจนชั่วชีวิตอย่างแน่นอน…

“ผมจะไม่ทิ้งเธอโดยไม่จำเป็นแน่นอนครับอา…” กอมารุนแบ่งรับแบ่งสู้

เนื่องจากเขาไม่นิยมรับปากใครโดยไม่ไตร่ตรองให้ดีว่าตนจะมี
ความสามารถแบกรับข้อสัญญาดังกล่าวได้หรือไม่…และถ้าได้นั้นได้ประมาณไหน…

และสำหรับกรณีนี้มันยากที่จะรับปากแบบเต็มร้อย

“แค่นี้ที่อาต้องการ…ขอบใจก้อมากที่ช่วยเหลืออาในหลายๆเรื่อง
รวมทั้งเรื่องของนีลด้วย…”

“อาเป็นผู้มีบุญคุณสูงสุดในชีวิตผม รวมทั้งแม่ของนัจมุนด้วย…
ผมไม่เคยลืมความรักความเมตตาที่ท่านมีต่อผมเลย…และยังคงระลึกถึงอยู่เสมอ…
ดังนั้น…อะไรที่ผมพอช่วยอากับแม่ของนัจมุนได้ ผมยินดีครับ”

คนฟังยิ้มบางพร้อมกับวางมือลงบนบ่าของกอมารุน

“อาคิดไม่ผิดที่ฝากสิ่งสำคัญในชีวิตไว้ในมือของก้อ…”

“อาคิดกับผมในแง่ดีเกินไป ซึ่งความจริงผมไม่ได้ดีอย่างที่อาคิดหรอกครับ…
ผมก็แค่นักลงทุน ทำอะไรก็ย่อมต้องหวังผลกำไร…”

กอมารุนไม่รู้เลยว่าบทสนทนาระหว่างตนกับบิดาของนัจมุนนั้นได้ถูกบันทึก
ลงไปในสมองของคนที่ทั้งสองคิดว่านอนหลับอยู่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…

ทุกถ้อยคำเหล่านั้นก่อให้เกิดหยาดน้ำตาที่ไหลซึมลงสู่หมอนรองศีรษะ
โดยปราศจากเสียงสะอื้นไห้ออกมา

…เป็นน้ำตาที่ไหลนองอย่างเงียบเชียบ…



...............โปรดติดตามตอนต่อไป...................

เอามาเสริฟแบบร้อนๆ ยังไม่ได้ตรวจเช็คคำผิดเลยค่ะ...เจอไก่ตรงไหน
ต้อนกลับฟาร์มไก่ให้เต่าด้วยน้าาาาา อิอิ



เอาวันงานมาฝากค่ะ...ตอนนี้เจ้าสาวป่วยซะงั้น...แต่ตอนหน้ามีลุุ้นๆๆ...อิอิ


ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตาม ขอบคุณทุกวิว ทุกไลค์ ทุกคอมเมนท์จ่ะ




........ตอบเมนท์.............


1.คุณkonhin...ใช่ค่ะใช่...ผู้ชายเรื่องนี้เข้าใจยาก...เฮะๆ
จริงๆพี่ก้อไม่ได้อยู่ไกลหนูนีลเลย...ท่ีจากไปก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้จากไปไหนไกลด้วย
เพียงแต่ไม่ได้จะใส่ใจอะไรมากมายกับชีวิตนางเอกเท่านั้น...
และท่ีกลับมาก็มีเหตุให้กลับเข้ามาในชีวิตนางเอกอีกเช่นกัน...เหอๆ
พระเอกเรื่องนี้โหดค่ะ...เฮียแกหวานหลบใน หลบในมากๆด้วย...ฮี่ๆ
ถ้าอยากเห็นบทหวานของพระเอกเรื่องนี้ รออีกนิดน้าาา ว่าหวานของเขานั้นมันหวาน
ประมาณไหน...เหอๆ...


2.คุณแว่นใส...นับว่าเป็นคู่ปรับอหังการกันเลยทีเดียวค่ะ ระหว่างพี่ก้อกับพี่รุส
งานนี้น้องนีลงานเข้าค่ะ งานเข้า! เพราะดันจับเสือสองตัวมาเจอกัน
โดยมีตนเองอยู่ใจกลางของความขัดแย้ง...


3.คุณPampam...น่าจะเป็นอย่างนั้นค่ะ พี่รุสนั้นเป็นตัวปัญหาตัวเบ้อเริ่มเลย...^^


4.คุณsunflower...ระหว่างสองหนุ่มนั้นมีอะไรอยู่ในกอไผ่จริงๆค่ะ...
ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ก็ว่าได้...อิอิ


5.คุณyapapaya...ความลับของสองหนุ่มต้องรอให้สาวนีลมาไขค่ะ...อิอิ
โยขับลงค่ะ แต่เรื่องอยู่ทะเลฝั่งไหน ม่ายบอก...ปล่อยให้สงสัยเหมือนปมเรื่องนี้...
แต่บ้านเต่า ต้นปาล์มกับต้นยางพาราเยอะค่ะ...เหอๆ...ส่วนต้นข้าวโดนกำจัด
ไปหลายสิบปีแล้ว...ช่างน่าเสียดาย...


6.คุณปรางขวัญ...หนูนีลยังต้องเจอะเจอเรื่องราวอีกมากมาย
ต้องมาลุ้นกันค่ะว่านางจะรอดออกไปจากพายุมืดดำที่น่าเกรงกลัวและอันตราย
ที่โหมเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อนได้ในสภาพไหน...เฮะๆ...
นับว่าพี่ก้อเข้ามาเพื่อปันเอาความทุกข์ทนจากหนูนีลได้ไม่น้อยเลย...
ึยังคงทำหน้าที่พระเอกแบบไม่ค่อยเหมือนหน้าที่พระเอกค่ะ...เหอๆ

ปล.ทะเลฝั่งตะวันออก 950 เนี่ย...ไม่อยากจะคิดเลยว่าแถวไหน...ฮี่ๆ
หวังว่าระหว่างเราจะไม่มีเทือกเขายาวๆมากางกั้นเอาไว้นะคะ...อิอิ
ไม่น่าจะมี...^o^


7.คุณphakarat...นั่นเพราะมีแต่คนพยายามโจมตีพี่ก้อเขาเรื่องกำเนิดน่ะค่ะ
กำเนิดพี่แกไม่ค่อยราบรื่น...ไม่งั้นคงไม่ต้องกลายเป็นเด็กที่พ่อนางเอกไปเจอ
แล้วเก็บมาเลี้ยงอยู่หลายปีน่ะค่ะ...ส่วนเจ้าของไอ้นามสกุลยาวๆนั่นมีความสัมพันธ์
ด้านไหนกับพี่ก้อและเฮียรุสเอาไว้จะค่อยๆแย้มออกมาเรื่อยๆนะคะ...^^


8.คุณตุ๊งแช่...จะได้สาวมาม่ากันละงานนี้...อิอิ เอาไว้เค้าจะเสริฟน้ำซุปให้น้าาา
น้ำซุปของเค้าอร่อยน้าาาา เค็มๆ คนเป็นโรคไตต้องเฝ้าระวัง
(ยิ่งโรคไตหาหัวจามเนี่ย ยิ่งต้องชั่งใจสักหน่อยก่อนซดน้ำซุปเต่า)...เหอๆ...

ความหลังมันยาวและเยอะ พันกันอิรุงตุงนัง เลยคิดๆว่า เรื่องนี้ก็ไม่น่าจะสั้นซะแล้ว...
แบบว่าน่าจะพอๆกับเงามาร (เงามารนั้น 600 กว่าหน้าแน่ะ) เหอๆ
แต่ไม่น่าจะยาวขนาดคานน้อยฯ (อันนี้ยาวเหลือเกิน) อิอิ

ปล.เค้าเปล่าใจร้ายกับนางเอกนะ...แค่...แค่อยากให้นางเอกร้องไห้เฉยๆ เหอๆ
พระเอกจะได้สงสารไง...สงสารแล้วค่อยหาเรื่องให้นางเอกร้องไห้ต่อไปงายยยย...
แบบว่ายิ่งเจ็บยิ่งรัก ยิ่งเกลียดหมดหัวใจยิ่งดี (โห...นี่มันทฤษฎีไหนกัน...อิอิ)
ในเมื่อรักกันมันทำใจยากลำบากนัก ก็เกลียดกันให้หมดทุกห้องหัวใจไปเลย...เหอๆ

...กลับมาแล้วขอของฝากด้วยจิ...ลูกอมยิ้มรูปหัวใจก็ด้ายยยย..มีม่ายยยย...^o^





.......ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรงถ้วนหน้านะคะ.......


"เต่าโย"





yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 พ.ค. 2558, 21:54:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ค. 2566, 13:55:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 2799





<< บทที่ 14 ต้นเพลิง   
konhin 26 พ.ค. 2558, 22:30:26 น.
น้ำตาตกวันแต่งงาน ลางไม่ดีแระ

พระเอกเรื่องนี้ก็คงโหดต่อไป เกือบจะเชื่อแล้วเชียวว่าจะได้ความหวานตอนง้อพร้อมแหวน ดัน เสียเรื่องที่ทำเสียใจเหมือนเป็นสิ่งของรับฝากไปซะงั้น เฮ้อ


ปรางขวัญ 26 พ.ค. 2558, 22:44:24 น.
ถึงกับรีบไปหาความหมายของการใส่แหวนนิ้วต่างๆมาเลย แล้วพี่ก้อสัญญาอะไรกับนู๋นีลคะ อยากรู้


phakarat 27 พ.ค. 2558, 00:18:37 น.
พี่ก้อหวานหลบในจริงๆเล้ย. อุดมการณ์ที่ต่างกันของพี่ก้อกะน้องนีลอีกโหมีอะไรมากมายชวนให้คิดตามเดาไม่ได้เลยค่ะ


แว่นใส 27 พ.ค. 2558, 00:31:51 น.
เริ่มรักไม่รู้ตัว


yapapaya 27 พ.ค. 2558, 02:48:31 น.
หวานหลบในจริงๆพระเอกคุณโย บ้านเราตอนนี้ก็ถมที่นามาเป็นสวนปาล์ม สวนยางพาราหมดแล้ว แถมโค่นยางปลูกปาล์มกันเยอะ ตามนโยบายรัฐ


ตุ๊งแช่ 27 พ.ค. 2558, 09:03:41 น.
วันแต่งงานหรือวันเดินเข้าคุกถาวรนี่ หนูนีล พี่ก้อ นี่ถนัดเนอะเรื่องทำร้ายจิตใจ
งานนี้ถ้าต้องวดน้ำกันต่อไปดูท่าจะต้มไว้เยอะนะนี่...

ลัลล้าแถวนี่ ไม่ได้ ออกตจว ของฝากมีแต่ควันรถกับแดดร้อนๆๆ รับมิ...ค่ะ..

น้องๆ เงา อุต๊ะ ไหนบอกเรื่องนี้จะเบาๆ..ไง.. เชื่อได้ไหมน้อ...


Pampam 27 พ.ค. 2558, 10:27:39 น.
เฮ้อ...คิดไม่ออกแต่หนักใจแทนหนูนิล


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account