หนี้รักหนี้หัวใจ
เมื่อความจำเป็นบีบบังคับจำให้เธอต้องยอมสละตัวเองเพื่อแลกกับการที่พ่อไม่ต้องติดคุก
พิมพ์ชนกจึงยอมทิ้งศักดิ์ศรีและไปอยู่กับเขาในฐานะผู้หญิงของวีรภพ วงศ์ธารา
แต่เมื่อการใช้หนี้ครั้งนี้ไม่เพียงหมายถึงตัวของเธอ แต่ยังรวมถึงหัวใจของเธอที่เผลอมอบให้กับเขา
แล้วจะทำเช่นไรเธอจึงจะได้หัวใจของเขากลับมาแลกเปลี่ยน...ในเมื่ออดีตเขาเคยยกหัวใจให้ใครคนหนึ่งไปแล้ว

Tags: ใบเฟิร์น ใบหม่อน หนี้รัก หนี้หัวใจ

ตอน: ตอนที่ 2,3 และ 4

ตอนที่ 2


พิมพ์ชนกไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกมาจากบริษัท วี.เค. ดีไซน์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น ตั้งแต่เมื่อไร เพราะเมื่อรู้สึกตัวอีกที เธอก็พบว่าตนเองกำลังยืนอยู่บริเวณป้ายรถเมล์ที่ห่างออกมาจากบริษัทราว 100 เมตร

“มาอยู่กับผม”

หัวใจหญิงสาวสั่นไหวเมื่อข้อเสนอจากวีรภพหวนกลับมาสู่ความนึกคิด น้ำตาเจ้ากรรมพานจะไหลออกมาเสียให้ได้ ยามนึกถึงการสนทนาต่อจากนั้น

“หมะ...หมายความว่ายังไงคะ”

จำได้ว่าตอนที่หลุดปากถามออกไป ความรู้สึกอับอายที่ปะปนด้วยความเหน็บหนาวมันเข้าท่วมท้นหัวใจจนรู้สึกได้ว่ามือของตัวเองเย็นเฉียบไม่ต่างจากน้ำแข็ง

“ผมคิดว่าจริง ๆ แล้วคุณเข้าใจคำพูดของผมดี แต่เอาเถอะหากคุณอยากได้ความชัดเจนมากกว่านี้ ผม...ต้องการให้คุณมาอยู่กับผมในฐานะผู้หญิงของผม เพื่อแลกกับการยุติปัญหาเรื่องคุณพ่อของคุณ”

น้ำตาหยดหนึ่งตกลงมากระทบบนผิวแก้มบางใสของหญิงสาว เป็นจังหวะเดียวกันกับที่สายฝนพร่างพรมลงมาจากบนท้องฟ้า ซึ่งนับว่าเป็นโชคดีที่โดยรอบบริเวณนั้นไม่มีผู้คนพลุกพล่านอีกทั้งยังไม่ค่อยมียานพาหนะแล่นผ่าน และที่ป้ายรถเมล์นั้นก็มีเธอเพียงคนเดียว พิมพ์ชนกจึงสามารถใช้ช่วงเวลาเหล่านั้นปลดปล่อยความอ่อนแอของตนเองออกมา โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาเห็น


“อ้าว! พี่เฟิร์น ทำไมตัวเปียกโชกมาแบบนี้ล่ะ”

พิมพ์มาดา หรือ ใบหม่อน ออกปากทักเมื่อเดินออกมาจากห้องครัวในเย็นวันนั้น แล้วมาเจอว่าพี่สาวของเธอกำลังเปิดประตูด้านในบ้านเข้ามาด้วยสภาพที่เปียกปอนไปทั้งตัว

“พี่เดินตากฝนมาน่ะ”

คำตอบของพี่สาวทำให้คนเป็นน้องกระพริบตาปริบอย่างประหลาดใจแกมสงสัยกับสีหน้าหม่นหมองไม่สดใสเหมือนอย่างเคย ก่อนเปิดปากถามอย่างอดใจไม่อยู่

“พี่เฟิร์นเป็นอะไรหรือเปล่า สีหน้าดูไม่ค่อยดีนะ หรือว่า...พ่อ...”

ก่อนที่พิมพ์มาดาจะคิดไกลไปกว่านั้น พิมพ์ชนกก็รีบชิงบอก

“เปล่า พ่อไม่ได้เป็นอะไร นี่พี่ก็ตั้งใจจะมาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะออกไปเฝ้าแทนแม่ ให้ท่านกลับมาพักผ่อนบ้าง”

“ถ้าอย่างนั้นเราไปด้วยกันนะพี่เฟิร์น”

“อย่าเลย หม่อนยังไม่ค่อยสบาย อยู่บ้านพักผ่อนเถอะ แล้วพี่จะให้แม่กลับมาอยู่เป็นเพื่อน”

พี่สาวขัดด้วยเป็นห่วงสุขภาพของน้องสาว เพราะหลังจากผ่าตัดสุขภาพของพิมพ์มาดาก็ยังไม่ค่อยแข็งแรงนัก จนทำให้ทั้งพ่อและแม่รวมถึงเธอเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย เกรงว่าจะเกิดผลกระทบตามมาหลังจากการผ่าตัด

“ไม่เอา หม่อนหายดีแล้ว ให้หม่อนไปด้วยนะ หม่อนเป็นห่วงพ่อ”

คำบอกของน้องสาวที่กำลังทำตาแดง ๆ ส่งผลให้คนเป็นพี่สงสารจนไม่กล้าขัดใจ

“เอาเถอะ อยากไปก็ได้ ถ้าอย่างนั้นขอเวลาพี่ครึ่งชั่วโมง แล้วเราจะไปด้วยกัน”

“ค่ะ”

พิมพ์ชนกยิ้มออกนิด ๆ เมื่อเห็นหน้าตาน้องสาวสดใสขึ้นมาทันควันยามขานรับด้วยน้ำเสียงใส ๆ ไม่แพ้กัน หากยามที่หญิงสาวจะก้าวขึ้นบันไดเพื่อตรงไปยังห้องนอนที่อยู่ชั้นบน ภาพใบหน้าคร้ามคมของวีรภพและข้อเสนอที่เขายื่นให้กับเธอก็พลันกระดอนขึ้นมาจากความทรงจำ จนส่งผลให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ค่อย ๆ กลับมาหม่นหมองไม่ต่างจากก่อนหน้านี้


“เฟิร์นกลับบ้านไปอยู่เป็นเพื่อนน้องเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ แม่อยู่กับพ่อได้”

คุณลัดดาบอกเมื่อพิมพ์ชนกอาสาว่าจะอยู่เฝ้าอาการคุณอนุรักษ์แทนโดยให้ท่านกลับไปพร้อมกับพิมพ์มาดา ขณะที่ทั้งคู่เดินอยู่ในซุปเปอร์มาร์เกตแถวโรงพยาบาลเพราะตั้งใจมาหาซื้ออาหารและเครื่องดื่มบำรุงร่างกายรวมถึงผลไม้ให้กับคนป่วย

“แต่...แม่น่าจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านบ้างนะคะ ยังไงตอนนี้พ่อก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกค่ะ”

พิมพ์ชนกยังไม่ยอมแพ้เมื่อพยายามเกลี้ยกล่อมมารดาอีกครั้ง ก่อนอึ้งไปกับคำตอบที่ได้

“ไม่ล่ะ ถึงกลับบ้านแม่ก็คงนอนไม่หลับ เป็นห่วงพ่อแล้วก็...เป็นห่วงเรื่องนั้นด้วย ไม่รู้ป่านนี้เขาดำเนินการไปถึงไหนแล้ว อีกอย่างแม่ก็กลัว...กลัวว่าจะเผลอหลุดปากเล่าเรื่องพ่อให้ใบหม่อนฟัง”

เพราะรู้ว่าพิมพ์มาดาต้องคิดมาก หากรู้ว่าสาเหตุที่คุณอนุรักษ์ต้องยักยอกเงินของบริษัทก็เพื่อจะนำมาเป็นค่าผ่าตัดของเธอ ดังนั้นพิมพ์ชนกและคุณลัดดาจึงตัดสินใจปกปิดเรื่องนี้ไม่ให้หญิงสาวรู้

“ใบเฟิร์น ลูกคิดยังไงถ้าเราขายบ้านแล้วเอาเงินไปคืนเขา”

“ขายบ้านเหรอคะ แต่บ้านเรายังผ่อนไม่หมดเลยนี่คะ ยังเหลืออีกตั้งเกือบสามแสน”

“ก็...แม่คิดว่าหากเราประกาศขายแล้วมีคนมาซื้อ เราก็ให้เขาไปจ่ายส่วนที่เหลือก่อน หักลบกลบกันไปเราก็น่าจะพอมีเงินเหลือไปคืนเขาได้อยู่”

“แล้วหลังจากนั้นเราจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะคะ ถ้าขายบ้านเอาเงินไปคืนเขา เราก็คงเหลือเงินไม่เท่าไหร่ ที่สำคัญ...พ่อคงไม่ยอม”

คุณลัดดาอึ้งกับคำบอกตอนท้ายของลูกสาวคนโต ด้วยรู้ดีว่าผู้เป็นสามีรักบ้านหลังนี้มาก ถึงได้พยายามทำงานหาเงินมาผ่อนด้วยตั้งใจจะให้เป็นของขวัญและที่พักพิงสำหรับภรรยาคู่ชีวิตและลูกสาวทั้งสอง

ใช่ เขาคงไม่ยอมแน่

นึกมาถึงตรงนี้ คุณลัดดาก็หลุดสะอื้นออกมาอย่างคนที่ไม่เคยเจอปัญหาร้ายแรงมารุมเร้า โดยไม่ทันคิดว่าจะทำให้ลูกสาวคนโตพลอยปวดร้าวตามไปด้วย

พิมพ์ชนกกล้ำกลืนความขมปร่าในลำคอยามยืนมองมารดาเนื้อตัวสั่นจากความพยายามกลั้นสะอื้น หัวใจคนเป็นลูกเจ็บเสียดราวกับถูกเข็มทิ่มตำ จนตัดสินใจสลัดทิ้งความลังเลที่มีก่อนหน้านี้

จะคิดมากอีกทำไมพิมพ์ชนก ก็แค่ตัวของเธอที่ต้องเสียไป แต่มันทำให้พ่อของเธอไม่ต้องติดคุก แม่ไม่ต้องทุกข์ใจจนเสียน้ำตา และบ้านก็จะยังคงเป็นบ้านของครอบครัวเธอต่อไป เท่านี้มันก็เกินคุ้มแล้ว...ไม่ใช่เหรอ

แม้ตัดสินใจแล้ว แต่กระนั้นความขมขื่นและเจ็บร้าวก็ยังคงติดตรึงอยู่ในหัวใจของหญิงสาว


“ดึกป่านนี้แล้ว ทำไมยังไม่นอนอีกล่ะพี่เฟิร์น ไม่สบายหรือเปล่า”

หลังจากออกมายืนรับลมที่ริมระเบียงห้องในค่ำคืนที่ดวงดาวเต็มฟากฟ้า แล้วมองลงมาชั้นล่างหน้าบริเวณบ้านเห็นพี่สาวกำลังยืนแหงนมองดวงดาวอยู่ ใบหม่อนหรือพิมพ์มาดาก็ไม่รอช้ารีบลงมาจากห้องแล้วตรงเข้ามาสมทบ พลางออกปากถามด้วยความเป็นห่วง

“พี่ไม่ได้เป็นอะไร เพียงแต่นอนไม่ค่อยหลับ แล้วก็...เป็นห่วงพ่อ”

“หม่อนก็เป็นห่วง แต่เห็นหมอยืนยันว่าพ่อปลอดภัยดี แล้วแม่ก็ยังอยู่เป็นเพื่อนพ่ออีกคน หม่อนก็เลยค่อยสบายใจ”

พิมพ์มาดาบอก แล้วก็หยุดเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยประโยคที่ทำให้คนเป็นพี่นึกไม่ถึง

“พี่เฟิร์น พรุ่งนี้หม่อนจะไปทำงานในสวนอาหารที่เพื่อนมันแนะนำมาให้นะ”

“ทำงานอะไรกันหม่อน แล้วสวนอาหารที่ไหน หม่อนจะทำงานได้ยังไง หม่อนเพิ่งจบมอหก เองนะ ใครเขาจะรับเข้าทำงาน”

“เป็นสวนอาหารไม่ไกลจากโรงเรียนเดิมของหม่อนน่ะ พอดีว่าเจ้าของร้านเป็นญาติกับพลอย เพื่อนของหม่อนคนที่พาหม่อนไปส่งโรงพยาบาลยังไงล่ะ พี่เฟิร์นพอจะจำได้ใช่ไหม”

เจ้าตัวเงียบไปนิดเมื่อเห็นพี่สาวพยักหน้ารับกับคำถามตอนท้าย จากนั้นจึงค่อยพูดต่อ

“นั่นล่ะ พลอยบอกว่าจะช่วยฝากงานให้ หลังจากหม่อนบอกพลอยว่าอยากหางานทำเพราะหลังจากอุบัติเหตุ หม่อนก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เรียนก็ไม่ได้เรียนเพราะต้องพักรักษาตัวแล้วยังต้องรอสอบเข้ามหาวิทยาลัย ว่าง ๆ แบบนี้หม่อนก็เลยอยากจะหางานทำ อย่างน้อยจะได้มีเงินมาช่วยเหลือทางบ้าน หม่อนรู้นะพ่อต้องเสียเงินไปมากในตอนที่จ่ายค่าผ่าตัดของหม่อน ทุกวันนี้หม่อนก็ยังเสียใจที่ทำให้ทุกคนต้องมาลำบากและเดือดร้อนเพราะหม่อน...”

น้ำเสียงแผ่วตอนท้ายก่อนจางหายเพราะถูกแทนที่ด้วยเสียงสะอื้นของน้องสาว ทำให้พิมพ์ชนกพลอยตีบตันในลำคอ เธอไม่คิดเลยว่าพิมพ์มาดาจะยังคงคิดมากจนถึงบัดนี้

แล้วถ้าใบหม่อนรู้ว่าสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้พ่อต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นเพราะความเครียดและคิดมาก อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการติดคุกเพราะไปยักยอกเงินมาเพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาลให้กับตัวเอง น้องสาวของเธอจะไม่ยิ่งคิดมากไปกว่านี้อีกเหรอ

พิมพ์ชนกนึกสะท้อนใจ แววตาที่ทอดมองคนเป็นน้องเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและสงสาร ก่อนยื่นมือไปดึงร่างเล็กที่มีส่วนสูงใกล้เคียงกันเข้ามาสวมกอด พลางบอกเสียงอ่อน

“อย่าคิดมากสิหม่อน เราทุกคนทั้งพ่อแม่และพี่ต่างก็รักหม่อนด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครคิดว่าหม่อนทำให้ลำบากเดือดร้อน ตรงกันข้ามหม่อนเป็นที่รักเป็นความหวังของพ่อและแม่รวมถึงพี่ด้วย ขอแค่ให้น้องของพี่มีความสุข พี่ก็มีความสุขแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดมาก ตั้งหน้าตั้งตาเตรียมตัวสำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็พอ”

“แต่...หม่อนอยากช่วย ถึงแม้เงินที่ได้มันอาจไม่มาก แต่ก็ยังดีกว่าที่หม่อนจะมานั่ง ๆ นอน ๆ อยู่แต่ในบ้านโดยไม่ทำอะไรเลย นะ...พี่เฟิร์น ให้หม่อนไปทำงานเถอะ”

“แต่แม่คงไม่ยอม หม่อนก็รู้ว่าแม่เป็นห่วงหม่อนมากแค่ไหน พี่เองก็ห่วงหม่อนเหมือนกัน หากหม่อนเกิดไม่สบายหรือไปเป็นลมข้างนอกบ้าน แล้วไม่มีใครอยู่ช่วย มันจะเกิดอะไรขึ้น”

“โธ่! พี่เฟิร์น หม่อนไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดนั้นหรอก”

“พี่ไม่ได้ว่าหม่อนอ่อนแอ แต่พี่แค่เป็นห่วง”

“หม่อนรู้ค่ะ แต่หม่อนไม่สบายใจจริง ๆ อยากมีส่วนช่วยทำอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นพี่เฟิร์นอย่าห้ามหม่อนเลยนะ ให้หม่อนไปทำงานเถอะ”

“แต่...”

“นะคะ...หม่อนขอร้อง”

คำร้องขอด้วยสีหน้าแววตาและท่าทางที่แทบไม่ผิดเพี้ยนไปจากน้องน้อยในวัยเยาว์ ยามที่ต้องการขอให้พี่สาวช่วยทำอะไรให้สักอย่าง ทำให้พิมพ์ชนกไม่อาจทนแข็งใจปฏิเสธได้เหมือนเช่นในวันวาน หากความเป็นห่วงก็ยังมีมากจนอดไม่ได้ที่จะต่อรอง

“เอาเถอะ ถ้ายังไงหม่อนลองไปดู ๆ ก่อนแล้วกัน แล้วกลับมาเล่าให้พี่ฟังว่าเราจะต้องทำอะไรบ้าง แล้วพี่จะลองคิดดูอีกที ว่าจะให้หม่อนไปทำงานที่นั่นดีหรือเปล่า”

“เย้...พี่เฟิร์นใจดีที่สุดในโลกเลย หม่อนรักพี่เฟิร์นจัง”

คำหยอดตอนท้ายที่มาพร้อมกับการออดอ้อนด้วยการกอดรัดพี่สาวแนบแน่น ส่งผลให้คนเป็นพี่อดส่ายหน้าไม่ได้ราวกับระอาหากในแววตาฉายชัดถึงความเอ็นดู จากนั้นจึงชักชวนกันกลับขึ้นไปพักผ่อนในห้องนอน เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้



ตอนที่ 3


เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนเดินทางไปทำงาน พิมพ์ชนกก็มาปรากฏตัวที่หน้าอาคารทรงสูงแปดชั้น ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท วี.เค. ดีไซน์แอนด์ คอนสตรัคชั่น อีกครั้ง

จะมาลังเลอะไรอีกล่ะใบเฟิร์น

หญิงสาวดุตัวเองราวกับจะปลุกปลอบขวัญและหัวใจที่กำลังกระเจิดกระเจิง จนไม่อาจนำพาเท้าให้ขยับตรงไปที่บานประตูเลื่อนตรงหน้าได้ หากเมื่อภาพของพ่อที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลและภาพของแม่ที่ยืนร้องไห้จนเนื้อตัวสั่นพลันปรากฏขึ้นในมโนภาพ ร่างกายก็เหมือนถูกกระตุ้นจนสามารถขยับเดินตรงไปข้างหน้าได้


คำรายงานของเลขาคนสนิทที่แจ้งผ่านอินเตอร์คอมว่า พิมพ์ชนกมาขอพบกับเขา ทำให้วีรภพนิ่งไปนิดด้วยความสับสนว้าวุ่น

เมื่อวานนี้หลังจากยื่นข้อเสนอไปแล้วหัวใจของเขาก็ไม่เคยสงบนิ่งอีกเลย หลังจากหยุดทบทวนการตัดสินใจของตนเอง เขาก็อดนึกสงสัยไม่ได้ว่าอะไรหนอที่ดลใจให้เขาพูดบ้า ๆ แบบนั้นออกไป

โชคดีเท่าไรแล้วที่เธอไม่ตบหน้าเขาที่ไปพูดจาดูถูกเธอแบบนั้น

ชายหนุ่มนึกพลางถอนหายใจออกมา ก่อนออกปากอนุญาตให้หญิงสาวเข้ามาพบผ่านทางเลขาส่วนตัว

ถ้าเมื่อวาน เขาพูดอธิบายให้เธอเข้าใจถึงความรู้สึกที่มีต่อเธอก่อน บางทีมันคงดีกว่าการที่จู่ ๆ เขาโพล่งคำพูดบ้า ๆ แบบนั้นออกไป เพราะมันอาจทำให้เธอเข้าใจผิดไปว่าเขากำลังดูหมิ่นและเหยียดหยามเธอก็ได้

วีรภพคิดด้วยความหนักใจ พลางมุ่งมั่นว่าจะชี้แจงให้พิมพ์ชนกเข้าใจถึงเจตนาที่แท้จริงของเขา

หากเมื่อช่วงเวลาแห่งการเผชิญหน้ากันมาถึง วีรภพกลับพูดไม่ออกเมื่อเจอเข้ากับการแสดงออกที่แทบตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับเมื่อวานนี้ของพิมพ์ชนก

ท่าทางที่ดูเหมือนหุ่นยนต์ แววตาที่มองมาก็แลดูว่างเปล่าราวกับไร้ชีวิตจิตใจ ทำให้วีรภพแน่นตื้อในอก ชายหนุ่มยังไม่ทันขยับปากทักทาย ฝ่ายมาพบก็ชิงเอ่ย

“ฉันมาตอบตกลงรับเงื่อนไขของคุณ”

น้ำเสียงว่างเปล่าไม่ผิดจากแววตาที่จับจ้องตรงมาโดยไม่เบือนหลบ ยังคงให้ความรู้สึกตื้อในอกหากชายหนุ่มก็ไม่ละความตั้งใจ

“ผมอยากอธิบายเรื่องเมื่อวาน”

“ไม่จำเป็นค่ะ”

คำตัดบทเสียงเรียบแทบทันควันของพิมพ์ชนกส่งผลให้วีรภพชะงัก ชายหนุ่มนิ่งมองเธออย่างพิจารณาครู่หนึ่งก่อนออกปากตรง ๆ

“ดูเหมือนคุณเองก็ไม่อยากยอมรับเงื่อนไข แล้วทำไมถึงยอมตกลงล่ะ”

“เพราะฉันไม่มีทางเลือก”

คำตอบที่ตรงไม่แพ้กันส่งผลให้คนฟังถอนหายใจยาว ความรู้สึกยิ่งหนักอึ้งเข้าไปอีกเมื่อเจอกับการบอกปัดอย่างไม่คิดจะเปิดใจยอมรับฟังคำอธิบายของเขา

“ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากจะขอให้คุณจัดการปัญหาของคุณพ่อให้จบไปภายในวันนี้”

ฟังข้อต่อรองของพิมพ์ชนก วีรภพก็ทั้งขันทั้งฉุน

“ไม่คิดว่าเป็นการเอาเปรียบกันเกินไปหน่อยเหรอที่มาต่อรองกับผมแบบนี้”

คนถูกตำหนิหน้าแดงระเรื่อพลางกัดปากราวกับจะข่มกลั้นความละอายใจ ก่อนโต้กลับ

“ไม่หรอกค่ะ เพราะถ้าคุณจัดการแก้ปัญหาของคุณพ่อให้จบได้ภายในวันนี้ ฉัน...ก็พร้อมจะเก็บเสื้อผ้าไปอยู่บ้านของคุณภายในวันนี้เหมือนกัน”

วูบหนึ่งวีรภพนึกทึ่งกับความเด็ดเดี่ยวของหญิงสาว หากเมื่อเห็นแวววูบไหวที่สะท้อนถึงความละอายและความสับสนที่ปรากฏจาง ๆ ในดวงตาคู่สวยของพิมพ์ชนก ชายหนุ่มก็นึกเห็นใจ

“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ผมจะจัดการเคลียร์ปัญหาของคุณอาอนุรักษ์ให้ ส่วนเรื่องของคุณเอาไว้ถ้าผมพร้อมเมื่อไร ผมจะไปรับคุณเอง”

“คะ”

เห็นแววฉงนปนไม่อยากเชื่อในดวงตากลมโตที่มองจ้องมา วีรภพก็ยิ้มให้นิด ๆ

“วันนี้คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องอื่น ผมจะจัดการให้เอง”

“เอ่อ...”

ในขณะที่พิมพ์ชนกยังคงยืนอึ้งอย่างตั้งตัวไม่ติด เจ้าของห้องก็ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินอ้อมโต๊ะทำงานเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า

“ทำใจให้สบาย ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น จำไว้อย่างเดียวว่าต่อจากนี้ คุณเป็นผู้หญิงของผมแล้ว...เท่านั้นก็พอ”

จบคำบอกนั้น พิมพ์ชนกก็ถูกวีรภพเชยคางให้แหงนเงยใบหน้าขึ้นรับจุมพิตอ่อนโยนนุ่มนวล ซึ่งคงอยู่เพียงเสี้ยวนาทีสั้น ๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะปล่อยมือจากเธอ แล้วหันไปกดอินเตอร์คอมพลางออกคำสั่ง

“ภาส เข้ามาพาคุณใบเฟิร์นไปส่งด้วย”

แทบจะสิ้นสุดคำสั่ง ร่างสูงของภาสกรก็ผลักประตูห้องทำงานเข้ามา ท่ามกลางความงุนงงเพราะยังคงตั้งตัวไม่ติดของพิมพ์ชนก วีรภพก็หันกลับมามองเธอพร้อมกับเอ่ยคำพูดที่ราวกับการให้คำสัญญา

“รอผมอีกหน่อยนะใบเฟิร์น แล้วผมจะไปรับ”

ในขณะที่ก้าวตามภาสกรออกไปจากห้องทำงานของประธานบริษัท วี.เค. ดีไซน์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น ในสมองของพิมพ์ชนกก็มีเพียงแต่คำถามที่ไร้คำตอบ

แท้จริงแล้ว วีรภพ วงศ์ธารา เป็นคนเช่นไรกันแน่



“หมายความว่ายังไงใบเฟิร์น ที่ลูกบอกว่าจัดการเรื่องของคุณพ่อเรียบร้อยแล้ว”

คุณลัดดาตั้งคำถามด้วยความสงสัย หลังจากลูกสาวคนโตเดินทางถึงโรงพยาบาลในเย็นวันนั้นแล้วบอกให้รู้

“ค่ะ หลังจากนี้คุณวีรภพจะไม่เอาเรื่องคุณพ่อแล้ว”

“เกิดอะไรขึ้นใบเฟิร์น ลูก...ไปตกลงอะไรกับเขา”

สังหรณ์บางอย่างผุดแทรกทำให้คุณลัดดาตั้งคำถามออกไปอย่างร้อนใจ ก่อนใจหายวาบกับคำตอบที่ได้

“ไม่มีอะไรมากค่ะ แค่...เฟิร์นจะต้องไปอยู่กับเขา...เท่านั้นเอง”

“ใบเฟิร์น!”

เมื่อหายตกใจ คุณลัดดาก็ลืมตัวเรียกชื่อลูกสาวออกมาเสียงดัง หากยังไม่ทันเอ่ยอะไรเสียงของคนป่วยบนเตียงก็ดึงความสนใจให้หันไปมอง

“ลูกไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก ใบเฟิร์น”

“คุณ!”

“พ่อคะ!”

ทั้งแม่และลูกต่างอุทานเรียกคนป่วยอย่างตกใจ ด้วยชะล่าใจเพราะคิดว่าคนป่วยยังคงหลับจึงไม่ทันระมัดระวังคำพูด

“ในเมื่อพ่อเป็นคนก่อปัญหาขึ้นมา พ่อก็ต้องเป็นคนแก้ปัญหาเอง ลูกไม่จำเป็นต้องเสียสละตัวเองขนาดนี้”

“ไม่นะคะ เฟิร์นไม่ได้เสียสละอะไร เฟิร์น...ว่ามันคุ้มเสียอีกเรื่องทุกอย่างจะได้จบลงด้วยดี”

แม้พยายามควบคุมตัวเองแล้ว แต่พิมพ์ชนกก็ยังไม่อาจบังคับน้ำเสียงที่พูดไม่ให้สั่นได้ น้ำตาพลันรื้นกับคำพูดของบิดา

“แต่ถ้ามันแลกมาด้วยการที่ใบเฟิร์นต้องไปทำเรื่องแบบนั้น ให้เขามาเอาพ่อไปเข้าคุกดีกว่า”

“พ่อคะ...”

พิมพ์ชนกพยายามแย้ง หากไม่ทันคุณอนุรักษ์ที่หันไปบอกกับภรรยาคู่ชีวิต

“ลัดดา คุณไปเตรียมทำเรื่องขายบ้านได้เลย”

“คุณ...”

“แต่...พ่อคะ ถ้าทำแบบนั้นแล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน”

“แรก ๆ เราอาจต้องไปหาเช่าบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่กันก่อน แล้วต่อจากนั้น พ่อ...จะพยายามทำงานเก็บเงิน เพื่อบ้านหลังใหม่ของพวกเรา”

ฟังแล้วพิมพ์ชนกก็แสนปวดใจ ยามพินิจบิดาบังเกิดเกล้าที่ในตอนนี้ด้วยสังขารและสุขภาพที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลา บวกกับโรคหัวใจที่เป็นอยู่ ทำให้คุณอนุรักษ์แลดูเหมือนชายชราอายุ 70-80 ปี ทั้งที่ในความเป็นจริง อีกตั้ง 6 ปี อายุของท่านจึงจะครบ 60

ที่ผ่านมา ท่านก็หักโหมทำงานเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ทำทุกอย่างเพื่อให้ทุก ๆ คนมีความสุขความสบายมาตลอด แล้วมาถึงตอนนี้ ตอนที่ท่านสมควรจะได้หยุดพักเสียที เธอยังจะปล่อยให้ท่านต้องมาแบกรับปัญหาอีกเหรอ

หญิงสาวตั้งคำถามกับตัวเองด้วยความสะเทือนใจ ยิ่งเห็นสีหน้าหม่นหมองของมารดายามกุมมือบิดา หัวใจก็เหมือนถูกบีบอย่างหนัก

ไม่มีวัน! เธอไม่ยอมให้พวกท่านต้องพบกับความลำบากเด็ดขาด

“แต่...เฟิร์น...เฟิร์น...เป็นของเขาแล้วค่ะ”

ด้วยรู้ดีว่ายากโน้มน้าวให้บิดายอมเปลี่ยนใจ ดังนั้นหลังจากใคร่ครวญอยู่เป็นครู่ พิมพ์ชนกก็ตัดสินใจก้มหน้างุดแล้วโพล่งคำเท็จออกไป เพราะเชื่อว่าหากเรื่องกลายเป็นเช่นนี้แล้วพ่อของเธอคงยอมปล่อยเลยตามเลย

“ใบเฟิร์น...”

คุณอนุรักษ์ครางเรียกบุตรสาวคนโตด้วยน้ำเสียงแผ่วระโหย ในขณะที่คุณลัดดาก็เบิกตากว้างมองมาอย่างตกใจปนไม่อยากเชื่อ

“มันต้องไม่จริง...ไม่จริงใช่ไหมลูก...”

คำพูดตอนท้ายของคนป่วยขาดหายเมื่อเกิดอาการแน่นในอกจนต้องยกมือขึ้นมากุม ท่ามกลางความตกอกตกใจของภรรยาและลูกสาว

“คุณ! คุณคะ เป็นอะไร...”

“พ่อคะ...”

พิมพ์ชนกร้องเรียกบิดา พลางยื่นมือไปกดกริ่งฉุกเฉินตรงหัวเตียงที่มีไว้สำหรับเรียกแพทย์และพยาบาล ก่อนที่ทั้งเธอและผู้เป็นแม่จะหลุดเสียงร้องเรียกออกมาอย่างพร้อมเพรียงเมื่อเห็นคนป่วยคอพับหมดสติไปต่อหน้าต่อตา


“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ ก่อนหน้านี้คนไข้คงเจอกับเรื่องน่าตกใจมากไปหน่อย ยังไงหลังจากนี้ต้องระวังอย่าทำอะไรให้คนไข้ได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจมากไปนะครับ เพราะมันจะไม่เป็นผลดีสำหรับตัวคนไข้เลย”

พิมพ์ชนกรับคำเสียงแผ่วเมื่อนายแพทย์ชี้แจงให้ฟังหลังจากเข้ามาตรวจดูอาการของคนป่วยพร้อมกับนางพยาบาล ตามที่เธอกดกริ่งฉุกเฉินเรียก รอจนทั้งแพทย์และพยาบาลพากันออกไปจากห้องแล้ว หญิงสาวจึงหันไปบอกกับผู้เป็นพ่อที่กำลังมองเธอมาเงียบ ๆ จากบนเตียง

“เฟิร์นขอโทษค่ะพ่อ”

คุณอนุรักษ์ปิดเปลือกตาลงเพื่อสะกดกลั้นความปวดร้าวที่ยังคงไม่จางหาย ก่อนลืมตาขึ้นมามองบุตรสาวคนโตซึ่งเป็นดั่งดวงใจด้วยดวงตาที่ค่อนข้างแดงก่ำ

“ลูกไม่จำเป็นต้องขอโทษ เพราะพ่อเอง...ที่ทำให้ใบเฟิร์นต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้”

คุณลัดดาน้ำตาไหลขณะฟังสามีและลูกสาวตอบโต้กัน หัวอกคนเป็นแม่แทบสลายกับชะตากรรมที่ลูกสาวต้องมาพบเจอ เมื่อได้ยินคำพูดที่ลูกสาวหันมาบอกท่านก็ยิ่งร่ำไห้

“เฟิร์นขอโทษนะคะแม่ ที่ทำตัวไม่ดีทำให้แม่ต้องผิดหวัง”

“ไม่...แม่ไม่ได้ผิดหวัง ลูกสาวของแม่ไม่ได้ทำตัวไม่ดี อย่าโทษตัวเองแบบนั้น”

พิมพ์ชนกได้แต่กล้ำกลืนความปวดร้าวและเสียใจจากการพูดปดกับบิดาและมารดา ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยทำมาก่อน ยิ่งเป็นเรื่องร้ายแรงต่อความรู้สึกของบุพการีเช่นนี้ด้วยแล้วเธอก็ยิ่งรู้สึกผิดและเสียใจ แต่ก็พยายามปลอบใจตัวเองว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วที่จะทำให้พ่อยอมรับการตัดสินใจของเธอ

“แล้วลูกคิดจะไปอยู่กับคุณวีจริง ๆ เหรอ”

คุณอนุรักษ์ออกปากถามหลังจากพยายามทำใจให้ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น หากในแววตาที่ทอดมองลูกสาวคนโตยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความเจ็บช้ำและสะเทือนใจที่ส่งผลกระทบอย่างแรงต่อความรู้สึกของพิมพ์ชนก

พิมพ์ชนกต้องพยายามกดเก็บความรู้สึกทั้งมวลภายใต้ใบหน้าที่ฝืนปรับให้แจ่มใส แม้ลึก ๆ สะเทือนใจไม่น้อยที่ทำให้พ่อและแม่ผิดหวังเสียใจ เจ้าตัวแสร้งทำเหมือนไม่ทุกข์ไม่ร้อนยามให้คำตอบ

“ค่ะ เฟิร์นจะไปอยู่กับเขา”



ตอนที่ 4


“สรุปว่าพี่เฟิร์นจะยอมให้หม่อนไปทำงานใช่ไหม”

พิมพ์มาดาตั้งคำถามอย่างมีความหวัง หลังจากเล่าให้พี่สาวฟังถึงหน้าที่ที่เธอได้รับมอบหมายให้ทำในสวนอาหาร ขณะทั้งคู่นั่งชมรายการโทรทัศน์ด้วยกัน

“พี่ว่าอย่าเลย เพราะเวลาที่หม่อนจะต้องทำงานมันเริ่มตอนสี่โมงเย็น กว่าจะเลิกก็ห้าทุ่ม ดึก ๆ ดื่น ๆ แบบนั้นมันอันตรายเกินไป”

“สวนอาหารที่ไหน ๆ ก็เหมือนกันหมดล่ะพี่เฟิร์น แล้วงานที่หม่อนจะต้องทำก็มีแค่หน้าที่เสิร์ฟอาหารเท่านั้น น่านะ...หม่อนสัญญาว่าหม่อนจะดูแลตัวเองอย่างดี”

แม้ลึก ๆ ใจอ่อนไปกว่าครึ่งเมื่อเจอกับการรบเร้าปนอ้อนวอนของน้องสาว หากพิมพ์ชนกก็ยังฝืนแข็งใจ

“ไม่ล่ะ พี่ไม่ยอมให้หม่อนไปทำงานแบบนั้นหรอก”

“โธ่! พี่เฟิร์น...”

“เชื่อพี่เถอะ หม่อนอยู่บ้านคอยดูแลพ่อกับแม่ดีกว่า มะรืนนี้พ่อก็จะได้กลับมาอยู่บ้านแล้ว”

“แต่...”

“ไม่มีแต่ หม่อนต้องอยู่ดูแลพ่อกับแม่แทนพี่”

“อ้าว! แล้วพี่เฟิร์นจะไปไหน”

พิมพ์มาดาถามอย่างฉงน ก่อนใจหายกับคำตอบที่ได้รับ

“พี่...ต้องไปอยู่ที่อื่น”

“ทำไมพี่เฟิร์นจะต้องไปอยู่ที่อื่น แล้ว...พี่เฟิร์นจะไปไหน”

น้องสาวถามอย่างตื่นตระหนก ในขณะที่พี่สาวเบือนหน้าหนีราวกับจะซ่อนประกายในดวงตายามพูดปดออกไป

“ที่บริษัท...จะส่งพี่ไปทำงานที่สาขาต่างจังหวัด พี่...ก็เลยว่าจะพักอยู่ที่นั่น”

“ทำไมพี่เฟิร์นต้องไปด้วย”

“มันจำเป็นน่ะหม่อน”

“ทำไมเขาถึงส่งพี่เฟิร์นไปทำงานที่ต่างจังหวัดล่ะ ทั้งที่พี่เฟิร์นเพิ่งทำงานได้ไม่กี่เดือนเองนะ” เงียบไปนิด น้องสาวก็เสนอ

“หม่อนว่า...พี่เฟิร์นลาออกแล้วหางานใหม่ทำเถอะ”

“งานสมัยนี้ไม่ได้หากันง่าย ๆ นะหม่อน”

เห็นน้องสาวทำหน้าหงอย พี่สาวก็อดไม่ได้ต้องพูดปลอบ

“พี่คงไปไม่นานหรอก ยังไงจะพยายามกลับมาบ่อย ๆ”

“แล้วพี่เฟิร์นจะไปจังหวัดไหนล่ะ”

“เอ่อ...ยังไม่รู้เหมือนกัน”

“อ้าว! ยังไง”

“ก็...เขายังไม่ได้บอกว่าจะไปจังหวัดไหน”

ครั้นเห็นน้องสาวมองมาด้วยแววตาสงสัย พี่สาวจึงหันเหความสนใจ

“นี่เริ่มดึกแล้วพี่ว่าหม่อนไปนอนเถอะ พี่เองก็จะขึ้นนอนเหมือนกันกะว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปเยี่ยมพ่อก่อนแล้วค่อยไปทำงาน”

“ถ้าอย่างนั้นขอหม่อนไปด้วยนะพี่เฟิร์น หม่อนจะได้ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ด้วย”

ครั้นเห็นพี่สาวอนุญาต พิมพ์มาดาก็ยิ้มร่าอย่างดีใจ ก่อนลุกขึ้นเดินตัวปลิวขึ้นบันไดเพื่อไปยังห้องนอนโดยมีสายตาของพิมพ์ชนกมองส่งตาม

ขอโทษนะหม่อน

พิมพ์ชนกขอโทษน้องสาวในใจกับการที่เธอจำต้องโกหกเพราะไม่ต้องการให้พิมพ์มาดารู้ความจริง ก่อนที่ภาพและคำพูดของวีรภพจะหวนกลับมาสู่ความนึกคิด

“รอผมอีกหน่อยนะใบเฟิร์น แล้วผมจะไปรับ”

หัวใจหญิงสาวสั่นไหว เมื่อนึกถึงวันใดวันหนึ่งที่วีรภพมาปรากฏตัวตรงหน้าเธอและทำตามคำพูดที่ได้ให้เอาไว้

วันใดที่เธอได้เจอกับเขา วันนั้น...คงเป็นวันที่อิสรภาพของเธอต้องสูญสิ้น


ผ่านไปสองวัน หลังจากหมออนุญาตให้คุณอนุรักษ์กลับบ้านได้ ในตอนสายของวันซึ่งตรงกับวันเสาร์คนที่บอกว่าจะมารับเธอก็ปรากฏตัวขึ้น

“ผมมารับ”

นั่นคือคำบอกของเขาเมื่อทั้งคู่เผชิญหน้ากันโดยมีรั้วประตูบ้านกั้นกลาง

โชคดีที่วันนี้ใบหม่อนมีนัดกับเพื่อน ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องคิดหาข้อแก้ตัวมาตอบคำถามของน้อง

พิมพ์ชนกหวนนึกถึงน้องสาวด้วยความโล่งใจแวบหนึ่ง ก่อนเปิดประตูบ้านด้วยมือที่สั่นไม่แพ้หัวใจยามสบกับดวงตาคมเข้มที่จับจ้องมา

“ขอบคุณนะคะ สำหรับค่ารักษาพยาบาลของพ่อที่คุณช่วยจัดการให้”

เมื่อชายหนุ่มก้าวผ่านประตูรั้วเข้ามาพิมพ์ชนกก็รีบบอก เพราะความรู้สึกติดค้างนับตั้งแต่วันที่ทำเรื่องพาตัวบิดาออกจากโรงพยาบาล แล้วรู้ว่าวีรภพเป็นผู้รับภาระค่ารักษาพยาบาลให้จนหมดสิ้น

“ไม่เป็นไร”

“ถ้ายังไง ขอบิลค่าใช้จ่ายให้ฉันด้วยนะคะ ฉันจะได้คืนเงินให้กับคุณ”

รอยยิ้มนิด ๆ บนใบหน้าคมสันพลันเลือนหายแล้วถูกแทนที่ด้วยแววกระด้างในดวงตา ก่อนตามด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท

“ไม่จำเป็น”

“จำเป็นค่ะ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องมารับผิดชอบ”

ท่าทางเอาจริงของพิมพ์ชนก ทำให้วีรภพต้องถอนหายใจ ก่อนแย้งกลับเสียงเรียบไม่แพ้สีหน้า

“ทำไมจะไม่ใช่ ในเมื่อผมก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พ่อของคุณต้องเข้าโรงพยาบาล”

เจอกับการโต้กลับอย่างเอาจริงไม่แพ้กันพิมพ์ชนกก็จนคำพูด ก่อนเปิดทางให้อีกฝ่ายก้าวเข้าไปในบ้านเมื่อเขาแจ้งความประสงค์ว่าจะเข้าไปพบพ่อและแม่ของเธอ


“อารู้ว่าอาไม่มีสิทธิมาขอร้องหลังจากก่อเรื่องร้ายแรง แต่ยังไงอาก็อยากจะขอความกรุณาเรื่องใบเฟิร์นถึงตอนนี้มันสายเกินไปแล้วแต่...อาก็อยากขอร้องคุณวี...อย่าเห็นลูกสาวของอาเป็นเพียงแค่ของเล่นได้ไหม เพราะสำหรับอา...ใบเฟิร์นมีค่าเกินกว่าจะเป็นเพียงแค่ของเล่นของผู้ชายคนหนึ่ง”

วีรภพหน้าเครียดเล็กน้อยหลังจากฟังคำร้องขอของเพื่อนพ่อผู้ที่เขาเคารพไม่ต่างจากญาติผู้ใหญ่ ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้องรับแขกที่ตอนนี้มีเพียงเขาและคุณอนุรักษ์นั่งสนทนากันตามลำพังตามความประสงค์ของชายสูงวัย แม้นึกสงสัยต่อคำพูดบางประโยค หากเจ้าตัวก็เก็บความรู้สึกไว้ในใจเมื่อตอบกลับไปเสียงหนักราวกับจะยืนยันถึงความรู้สึกของตน

“ผมไม่เคยเห็นใบเฟิร์นเป็นของเล่น”

ฟังแล้วคุณอนุรักษ์ก็เบาใจขึ้นเล็กน้อย แม้ลึก ๆ ยังรู้สึกผิดและเสียดายกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกสาวคนโตแต่เพราะรู้ดีว่าท่านไม่มีสิทธิและไม่สามารถต่อรองอะไรได้ทั้งที่ใจจริงอยากให้พิมพ์ชนกได้รับอะไรที่ดีกว่านี้ ทำให้ทำได้เพียงฝืนยิ้มยามบอก

“ขอบใจนะ อาคงต้องขอฝากใบเฟิร์นด้วยหากวันหน้าคุณวี...ไม่ต้องการแกอีกแล้วก็ขอความกรุณา...ส่งแกกลับคืนมาที่นี่เพราะคนที่บ้านนี้รักและต้องการแกเสมอ”

แม้นึกอยากแย้งว่าคงไม่มีวันนั้น หากด้วยวัยที่ผ่านเลยมาถึง 34 ปีและเคยเจอประสบการณ์อันเจ็บปวดที่ทำให้เขาจดจำเอาไว้เป็นบทเรียนสอนใจว่าบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนโดยเฉพาะ...หัวใจของคน วีรภพจึงไม่ปริปากใด ๆ นอกจากมองตอบฝ่ายที่สูงวัยกว่าด้วยดวงตานิ่งสงบไม่บอกความรู้สึก

น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าของมารดาที่ร่วงรินลงมาไม่ขาดสายขณะพับเสื้อผ้าของเธอใส่ในกระเป๋าเดินทางส่งผลโดยตรงต่อพิมพ์ชนก หญิงสาวรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบจนอดไม่ได้ต้องยื่นมือไปแตะหลังมือของมารดาพลางออกปาก

“แม่ขา อย่าร้องไห้สิคะ เฟิร์นไม่ได้ไปไหนไกล แล้ว...เฟิร์นจะพยายามกลับมาหาแม่บ่อย ๆ”

“ใบเฟิร์น!”

แทนที่จะหยุดร้อง คุณลัดดากลับยิ่งสะอื้นหนักก่อนเปล่งเรียกลูกสาวพลางเอื้อมมือไปดึงร่างเล็ก ๆ เข้ามาสวมกอด

พิมพ์ชนกน้ำตาซึมขณะหลับตาซึมซับไออุ่นของมารดาราวกับจะใช้มันเป็นพลังใจให้กับชีวิตในวันข้างหน้า ก่อนจะลืมตาขึ้นมาแล้วกระพริบถี่ ๆ เพื่อไล่ละอองน้ำในดวงตา ยามได้ยินคำบอกของผู้เป็นแม่

“แม่รักใบเฟิร์นนะลูก”

“เฟิร์นก็รักแม่ค่ะ”

หญิงสาวฝืนยิ้มเมื่อคุณลัดดาปล่อยเธอจากอ้อมกอด แล้วมองมาด้วยใบหน้าที่ยังมีคราบน้ำตา

“แม่ขอโทษนะที่ช่วยอะไรลูกไม่ได้เลย”

“แม่ไม่มีอะไรจะต้องขอโทษค่ะ เฟิร์น...เต็มใจ”

คงมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่าคำพูดตอนท้ายไม่เป็นจริง

เธอไม่เต็มใจ แต่...เธอไม่มีทางเลือก

พิมพ์ชนกบอกกับตัวเองอย่างขมขื่น ในขณะที่ยังคงแสร้งปั้นหน้าสดใสเพื่อปกปิดมารดาเพราะไม่อยากให้ท่านทุกข์ใจไปมากกว่านี้

ขณะที่ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาทำหน้าที่คุณลัดดาก็หวนนึกถึงก่อนหน้านี้ เมื่ออดีตเจ้านายของสามีก้าวเข้ามาในตัวบ้าน โดยมีลูกสาวของเธอเดินตามมาติด ๆ

ทุกอย่างที่ประกอบรวมกันเป็นวีรภพ วงศ์ธารา ทำให้คุณลัดดาจำต้องยอมรับว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนมีเสน่ห์ ทั้งรูปร่างหน้าตารวมถึงบุคลิกล้วนดึงดูดเพศตรงข้ามได้ไม่ยาก หากขณะเดียวกัน รังสีที่แผ่กระจายออกมาจากตัวตนของเขาก็ทำให้ท่านสัมผัสได้เช่นกันว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายเหยาะแยะ ตรงกันข้ามความเอาจริงเข้าขั้นเด็ดขาดที่ฉายประกายให้เห็นในดวงตาคมเข้มสีดำสนิททำให้อดสงสัยไม่ได้...ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงเลือกที่จะให้ลูกสาวของท่านเป็นฝ่ายชดใช้

บางอย่างที่รบกวนในจิตใจ ทำให้คุณลัดดาอดตั้งคำถามออกไปไม่ได้

“บอกแม่ตามตรง ใบเฟิร์น...ชอบผู้ชายคนนั้น ใช่ไหมลูก”

คำถามของมารดา ส่งผลให้ดวงตากลมโตของคนเป็นลูกเบิกกว้างอย่างตกใจปนคาดไม่ถึง

“แม่เลี้ยงลูกมา ทำไมจะไม่รู้ ใบเฟิร์นของแม่ไม่ใช่คนเหลวไหล ไม่ใช่ผู้หญิงปล่อยตัว เพราะฉะนั้นก็น่าจะเหลือเหตุผลข้อเดียว ใบเฟิร์นชอบเขาเพราะอย่างนี้ถึงยอมเป็นของเขาง่าย ๆ”

“เฟิร์น...”

อาการหลบตาของลูกสาวทำให้คุณลัดดายิ่งปักใจในความคิด หัวอกคนเป็นแม่สะทกสะท้านจนต้องระบายออกด้วยการถอนหายใจ ก่อนหลุดปากออกมาอย่างสงสาร

“โธ่เอ๋ย! ใบเฟิร์น”

พิมพ์ชนกได้แต่นิ่งงัน ยอมปล่อยให้มารดาเข้าใจไปเช่นนั้นเพราะเกรงว่าหากปฏิเสธออกไปนั่นอาจทำให้เธอถูกซักถามหนักขึ้น จนนำไปสู่การต้องเปิดปากบอกถึงสาเหตุที่แท้จริง


------------------------------------------------------------------------------------------------------



สวัสดีค่ะ มาแปะเรื่องนี้ต่อเพื่อความเสมอภาค ฮ่าาาาาาาาาาาาาาา



ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และ LIKE ที่มอบเป็นกำลังใจให้กันค่ะ



ปิ่นนลิน : ฮ่าาาาา เหมือนกันค่ะ ถ้าหล่อ ๆ ล่ะก็...ไม่หยุดคิดเลยด้วย (อ้าวววว บอกอะไรไปเนี่ย)



Zephyr : แบบว่า..ผู้ชายอ่ะเน๊อะ ยิ่งถูกใจถูกตามานาน พอมีโอกาสก็ต้องรีบคว้าไว้ก่อน...งานนี้รู้กันไปเลยว่าพันวลีอยู่ข้างใคร โฮะ ๆๆๆๆ



konhin : ตรงไปเน๊อะ ฮ่าาาาา ส่วนที่ว่าอยู่กันแบบไหนขอเฉลยเป็นตอนต่อไปนะคะ



นักอ่านเหนียวหนึบ : มาต่อให้สามตอนรวด คงไม่ค้างแล้วน๊า







พันวลี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 มิ.ย. 2558, 21:20:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 มิ.ย. 2558, 21:20:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 4879





<< ตอนที่ 1   
ปิ่นนลิน 4 มิ.ย. 2558, 10:03:10 น.
คุณวีจะใจดีกับใบเฟิร์นไหมนะ
แต่คุณวีก้อชอบใบเฟิร์นนี่นา
หวังว่าใบเฟิร์นจะมีความสุข (แต่คิดว่า คงดราม่าก่อน ^^)


Zephyr 7 มิ.ย. 2558, 13:19:22 น.
ใบเฟิร์น เธอปิดใจไปแล้ววว
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
ว่าคนที่มารับน่ะ เค้ารักเธอจะแย่
แต่นะคุณวีก็ช่างเก็บความรู้สึกได้ลึกมากกกกก
แถมตอนเสนอข้อเสนอน่ะ รู้น่ะว่าตื่นเต้น ได้เห็นสาวใกล้ๆ
เลยพูดไรบ้าๆใช่มะ 555 พอจะอธิบายสาวเจ้าก็ไม่ฟังอีก
ถถถถถ คุณวี....


LAM 26 พ.ย. 2558, 13:41:27 น.
เปิดเรื่องน่าสนใจมากเลยค่ะ ชอบ ๆ รอลุ้นน้องเฟิร์นกับพี่วีค่ะ เป็นกำลังใจให้พันวลีนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account