โซ่พิสุทธิ์
มรสุมข่าวฉาวว่าซุกลูกเมียทำให้พระเอกหนุ่มอย่าง 'ธีธัช' ต้องหวนกลับไปหาอดีตคนรักอีกครั้งเพื่อขอความร่วมมือจากเธอกอบกู้ภาพลักษณ์คืนมา เขาหวังใช้ความน่ารักของลูกสาวเรียกคะแนนนิยมจากประชาชน
แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นดังคิด ยิ่งรับรู้ความจริง ธีธัชกลับไม่ต้องการแค่ภาพครอบครัวจอมปลอม แต่ต้องการมัทรีและลูกในชีวิตนับแต่นี้ไป
เธอบอกว่าความรักเหมือนดอกไม้ที่โรยรา แต่เขาคิดว่าความรักไม่ต่างจากดอกไม้ที่จะผลิบานได้ด้วยการรดน้ำใส่ปุ๋ยที่ชื่อความจริงใจอีกครั้งหนึ่ง
fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นดังคิด ยิ่งรับรู้ความจริง ธีธัชกลับไม่ต้องการแค่ภาพครอบครัวจอมปลอม แต่ต้องการมัทรีและลูกในชีวิตนับแต่นี้ไป
เธอบอกว่าความรักเหมือนดอกไม้ที่โรยรา แต่เขาคิดว่าความรักไม่ต่างจากดอกไม้ที่จะผลิบานได้ด้วยการรดน้ำใส่ปุ๋ยที่ชื่อความจริงใจอีกครั้งหนึ่ง
fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๒
๒
ธีธัชชะลอรถห่างออกมาจากร้านขายส่งดอกไม้ต้นไม้เมื่อเห็นรถกระบะคันหนึ่งจอดอยู่ ชายฉกรรจ์กำลังขนไม้ดอกหลายกระถางขึ้นกระบะหลังรถ โดยมีสตรีวัยกลางคนซึ่งสวมหมวกปีกกว้างช่วยยกกระถางดอกไม้จนเต็มกระบะของรถปิกอัพสีดำ
หญิงผู้นั้นคงเป็นมารดาของมัทรีที่เขาเคยพบเพียงครั้งเดียว เขาไม่รู้ว่าป่านนี้ท่านจะมองตนเปลี่ยนไปเช่นไร
ชายหนุ่มเคลื่อนรถไปใกล้หลังรถกระบะขับออกไปแล้ว เมื่อเขาดับเครื่องยนต์ สตรีผิวคร้ามแดดก็หันมอง ธีธัชพนมมือไหว้ ก่อนท่านจะขยับหมวกบังแสงแดดเพื่อมองให้ชัดว่าเขาเป็นใคร
"สวัสดีครับ แม่..." เขาเรียกท่านด้วยคำที่เคยเรียก
อัมพรรับไหว้ เธอจำบุรุษตรงหน้าได้ แต่เพียงแปลกใจเท่านั้นที่เขามาปรากฏตัวที่นี่หลังเลิกรากับบุตรสาวของตนไปนานสองนาน แม้ชายผู้นี้จะแสดงความรับผิดชอบด้วยการส่งเสียค่าเลี้ยงดูยัยหนูมาตลอด หากคนเป็นแม่ก็ยังขุ่นเคืองใจอยู่บ้างที่เขาคือต้นเหตุความทุกข์ของลูก
"ผมมาหามัทกับลูกน่ะครับ"
"มัทไม่อยู่ค่ะ มีอะไรเดี๋ยวแม่บอกมัทให้"
เล่นละครบทบาทต่างๆ มาก็มาก แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่นักแสดงหนุ่มกระอักกระอ่วนใจเช่นนี้เลย
"ถ้าอย่างนั้นผมขอขึ้นไปหาน้องปลายนะครับ"
"มัทบอกคุณเรื่อง...เรื่องน้องปลายแล้วหรือ"
อัมพรนิ่วหน้าประหลาดใจ เธอเคยบอกลูกให้ลดทิฐิ หันหน้ามาคุยกับพ่อของหลานอีกครั้ง เมื่อหมอที่ทำการรักษาชี้แจงถึงอาการป่วยของเด็กหญิงปลายฟ้า หากมัทรีก็ใจแข็ง เป็นเด็กที่ดื้อเงียบมาแต่ไหนแต่ไร
"เปล่าครับ ผมมาหามัทอาทิตย์ที่แล้วถึงได้รู้"
"อ้าว มัทไม่เห็นบอกแม่เลย"
และเพราะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางในความสัมพันธ์ของบุตรสาว อัมพรจึงยินยอมให้ชายหนุ่มได้อยู่รอมัทรีที่นี่ เธอนำเขาเข้าไปในบ้านพลางถอดหมวกปีกกว้างมาถือไว้แทน
"แม่โทรตามมัทให้ สักครู่นะคะ"
"ไม่เป็นไรครับแม่" ธีธัชรีบบอกท่าน "ผมขอขึ้นไปดูน้องปลายนะครับ"
"เอางั้นหรือ แต่เดี๋ยวมัทก็คงมา นี่ออกไปส่งแบบสวนที่ออกแบบให้กับรีสอร์ตในตัวจังหวัดค่ะ"
ธีธัชพยักหน้า เขายิ้มสุภาพด้วยความขอบคุณที่ท่านให้โอกาส ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดที่เคยขึ้นไปครั้งหนึ่ง
วันนี้ห้องที่อยู่สุดระเบียงทางเดินปิดประตูไว้ เขาหมุนลูกบิดเข้าไป ระวังให้เกิดเสียงเบาที่สุด ก่อนจะก้าวช้าผ่านเตียงนอนของมัทรีตรงไปยังเตียงเด็กสีขาวข้างหน้าต่าง เครื่องปรับอากาศยังคงทำงานให้ความเย็นฉ่ำ ทว่าเหงื่อกาฬกลับซึมผ่านผิวกายเขาออกมา
ธีธัชไล่สายตามองตั้งแต่โต๊ะหัวเตียงที่มีกระบอกและสายยางต่างๆ วางอยู่ ก่อนจะแลเลยมายังตัวเลขดิจิตอลบนหน้าจอเครื่องมือทางการแพทย์ คลับคล้ายคลับคลากับเครื่องช่วยหายใจที่เคยใช้ประกอบฉากการแสดง มีท่อต่อออกมาจากเจ้าเครื่องนั้นมาที่คอของลูกน้อยของเขา
มือชื้นเหงื่อกำขอบเตียงไว้แน่น เขาเม้มปากเป็นเส้นตรงไม่ให้เสียงสะอื้นผ่านลำคอออกมา แต่กับน้ำตา...มันหยาดรินลงตามร่องแก้มอย่างไม่อาจฝืนกลั้นได้อีกต่อไป ยิ่งเมื่อดวงตาใสแจ๋วมองสบมาอย่างไร้เดียงสา ผู้เป็นพ่อก็แทบทรุดอยู่ข้างเตียงด้วยความเวทนาสงสารสุดหัวใจ
ลูกของเขาหน้าตาน่ารัก แกไม่ได้ต่างจากเด็กคนอื่นเลย เว้นแต่ร่างกายที่เล็กกว่าเด็กวัยเดียวกัน สายพลาสติกเส้นเล็กที่ต่อออกจากจมูก และท่อนั่น...ท่อที่ต่อออกมาจากคอเข้ากับเครื่องช่วยหายใจ
ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับลูกของเขา โรคบ้าๆ ที่มัทรีเคยอธิบายราวกับทำใจยอมรับได้ แต่เขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี รู้แต่เพียงว่าเด็กหญิงจะต้องหาย และเขาจะทำทุกวิถีทางให้ลูกของเขากลับมาเป็นปกติเช่นเด็กคนอื่นให้จงได้
ชายหนุ่มยกนิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตา เขาค่อยยื่นมือไปจับมือเล็กของเด็กน้อย แกมิได้กำตอบ แต่ดวงตากลมโตก็ละจากโมบายของเล่นมามองหน้าเขาอีกครา
"น้องปลาย..." ธีธัชทอดหางเสียงอ่อนโยนที่สุด "ลูก..."
ดวงหน้าเล็กคล้ายจะยิ้ม ริมฝีปากจิ้มลิ้มขยับออกจากกันเล็กน้อย แค่นั้นหัวใจพ่อก็เต็มตื้นขึ้นมา
เขาอยากก้มลงหอมลูก แต่ไม่แน่ใจว่านั่นจะปลอดภัยต่อแกหรือเปล่า จึงทำเพียงไล้นิ้วมือไปบนแก้มใสแผ่วเบา แล้วริมฝีปากเล็กก็ขยับเหมือนจะส่งเสียงบางอย่าง แต่ก็เบาเหลือเกิน
มัทรีเปิดประตูห้องเข้ามาเห็นภาพนั้น จากความหงุดหงิดที่เขามายุ่งวุ่นวายก็กลายเป็นความอ่อนใจ ธีธัชไม่ได้ถอยห่างและเบือนหน้าหนีจากลูกเช่นเมื่อแรกพบแก กระทั่งเขาเห็นเธอก้าวเข้ามา ร่างสูงจึงเหยียดหลังขึ้นมาสบตาเธอ
ทว่าหญิงสาวไม่คิดจะต้อนรับและพูดคุยธุระกับอดีตคนรักในห้องนอน
"ลงไปคุยกันข้างล่างเถอะค่ะ"
..................
"ปกติมัทให้ลูกอยู่คนเดียวอย่างนี้หรือ" เขาถามขึ้นก่อนจะลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายเสียอีก
มัทรีรินน้ำให้แขกพร้อมกับวางลงบนโต๊ะกระจก เหมือนบอกกลายๆ ให้เขานั่งตรงนั้นและอย่าสร้างความวุ่นวายแก่เธออีก ลำพังที่ดาราดังอย่างเขามาปรากฏตัวต่อหน้าพวกตนก็ทำเอาเธอกับแม่วุ่นวายใจ
"แกอยู่ได้ค่ะ" เธอตอบสั้นๆ
"แล้วถ้าไฟดับล่ะ เครื่องนั่น..."
"มันสำรองไฟ"
"แล้วถ้าลูกร้อง"
หญิงสาวหยิบเบบี้มอนิเตอร์ออกมาวางต่อหน้า มันเป็นเครื่องตรวจจับเสียงร้องไห้ รูปทรงเหมือนวิทยุพกพาแบบวอล์คกี้ทอล์คกี้ มีเจ้าเครื่องคล้ายกันนี้อีกอันอยู่ปลายเตียงลูกน้อยคอยส่งสัญญาณเข้ามาในเครื่องของเธอ
ธีธัชอับจนคำพูด ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะจัดการชีวิตลงตัวดีแล้ว เขานึกละอาย
"ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมจะหาพยาบาลพิเศษมาช่วยดูลูก"
มัทรีไหวไหล่ ถ้านั่นจะทำให้เขาสบายใจและเลิกยุ่งเกี่ยวกับพวกเธอก็ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ
"มีเพื่อนรุ่นเดียวกับผมคนหนึ่งเป็นหมอที่โรงพยาบาลใหญ่ ผมจะพาลูกไปพบเขา"
คราวนี้คนเป็นแม่ตวัดมอง เป็นสัญชาตญาณของความหวงลูกก็ว่าได้ และที่สำคัญ...เธอมั่นใจว่าพาลูกไปรักษากับแพทย์ที่ดีที่สุด เก่งที่สุดทางด้านนี้มาแล้ว
"ฉันคิดว่าถ้าคุณไม่อยากเป็นข่าว ทางที่ดีก็ปล่อยให้อะไรๆ เป็นไปเหมือนที่ผ่านมาดีกว่าค่ะ ฉันไม่ปริปากบอกใครอยู่แล้ว แต่ยิ่งคุณพยายามมาเจรจากับฉันอย่างนี้มันก็มีแต่สุ่มเสี่ยงมากขึ้น เรื่องน้องปลายฉันดูแลแกได้ คุณไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรเลยค่ะ จริงๆ นะ มัทไม่ใช่คนทำอะไรประชดใคร คุณก็น่าจะรู้"
ธีธัชโคลงศีรษะพร้อมกับกุมขมับ ไปกันใหญ่แล้ว ธุระของเขาไม่ใช่การให้เธอปิดปากเงียบเช่นเมื่อก่อน แต่คือการแถลงข่าวยอมรับกับสังคม ซึ่งเขาคิดว่าคนแรกที่ควรยอมรับในเรื่องนี้ให้ได้เสียก่อนก็คือเธอ
เอาล่ะ ประการแรกเลยคือเขาควรลดความห่างเหินระหว่างกันเสียก่อน ด้วยการกลับมาพูดจาเหมือนคนเคยรักเคยรู้จักกัน
"ฟังนะมัท พี่...พี่รู้ว่าตัวเองผิดและเห็นแก่ตัวที่ไม่ได้เปิดเผยเรื่องมัทกับลูกแต่แรก แต่ว่าตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว พี่ก็ไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการบันเทิง แล้วลูก...น้องปลายไม่สบายแบบนี้ มัทคิดว่าพี่จะดูดายได้อยู่เหรอ"
มัทรีกลอกตาอ่อนใจ เธอไม่เข้าใจอยู่ดีว่าช่วงเวลาแค่ปีสองปีจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างเขาบอกได้อย่างไร และที่สำคัญ...มัทรีไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนนี้อีก
"ฉัน..."
" 'ฉัน' อีกแล้ว ไหนมัทบอกเองว่าไม่ใช่คนช่างประชด"
หญิงสาวเม้มปากแน่น อยากจะฮึดฮัดขึ้นมาเหมือนกันว่าเขาไม่มีสิทธิ์มาเรียกร้องอะไรจากเธอ แต่ก็ไม่ต้องการให้ธีธัชได้ใจที่เขาสามารถอยู่เหนืออารมณ์ความรู้สึกของเธอได้
"ฉัน" มัทรีเน้นคำ "ไม่เคยขัดขวางความเป็นพ่อลูกของคุณกับน้องปลาย คุณจะมาหาแกเมื่อไรก็ได้ ถ้าไม่คิดว่าอาจตกเป็นข่าวนะคะ"
ธีธัชถอนใจเฮือกใหญ่ ทำไมการเจรจามันถึงยากเย็นนัก ทั้งที่มีผู้หญิงมากมายอยากจะจับให้เขาไปเป็นพ่อของลูกพวกหล่อนเสียให้รู้แล้วรู้รอด
นักแสดงหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือหลังรู้สึกถึงแรงสั่นของโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง เย็นนี้เขามีงานโชว์ตัวที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางกรุง และควรต้องเผื่อเวลากว่าจะฝ่าการจราจรติดขัดไปถึง
"เอาเป็นว่าพี่จะมีงานแถลงข่าวเร็วๆ นี้ มัทคงต้องไปด้วย เท่านี้ล่ะ" เขารวบรัดตัดความพลางลุกยืน
มัทรีก้าวตามไปที่กรอบประตู เธอกำลังจะต่อว่าเขาที่มัดมือชกเช่นนี้ แต่สายตาของแม่ที่มองมาก็ทำให้ต้องสะกดกลั้นความโกรธกลับลงไป
เธอมองเขาไหว้ลา ยิ้มแย้มเป็นอันดีกับมารดาของตนแล้วก็ได้แต่ลอบถอนใจ หญิงสาวไม่อยากเชื่อว่าธีธัชจะมาสำนึกคิดได้ในตอนนี้ ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ
........................
เป็นอีกครั้งที่นักแสดงหนุ่มต้องหลบหนีนักข่าวด้วยความช่วยเหลือของผู้จัดการสาวหล่อ ก่อนที่รถตู้ติดฟิล์มสีดำทึบจะเคลื่อนออกจากห้างสรรพสินค้ามาโดยไม่เป็นที่สนใจ
ธีธัชปลดเน็กไทภายหลังเสร็จสิ้นงานเปิดตัวรถยนต์ขนาดกลาง ณ ลานห้างสรรพสินค้า ชายหนุ่มปรายตามองหน้าจอแท็บเล็ตที่ผู้จัดการของเขาเลื่อนอ่านข่าว แล้วก็ชักสายตากลับแทบไม่ทันเมื่อเสียงบ่นลอยมา
"เอาแล้วไง ทวิตเตอร์นักข่าวเริ่มแซะนายแล้วไง 'พระเอกเทวดาคนต่อไปหลบสื่ออีกแล้ว' จะตั้งฉายาทั้งทีคิดชื่อใหม่ก็ไม่ได้เว้ย"
ธีธัชถอนหายใจพลางเบือนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่างรถแทน
"ฉันก็มัวแต่ดูคิวเด็กรุ่นใหม่ ตกลงเรื่องที่ให้ไปจัดการน่ะเป็นไง ถ้าตกลงกันได้จะได้นัดแถลงข่าวที่ช่อง ผู้ใหญ่ก็เร่งมานี่"
"พี่ก็นัดวันมาแล้วกัน ผมคุยกับเขาแล้ว" เขาตอบเนือยๆ
"เอ๊า แล้วทำไมไม่บอก"
ปุ้มปุ้ยค่อยโล่งใจ แต่แรกเธอคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะเรียกร้องสิ่งใดเกินกว่าพวกตนจะให้ได้เสียอีก
"ตกลงว่าจะโฟกัสไปที่ลูกนะ ส่วนแม่เด็กก็บอกว่าเป็นเพื่อนกัน ลูกนายน่าจะขวบกว่าแล้วนี่นะ พามางานแถลงด้วยสิ จะได้เป็นขวัญใจสื่อและแฟนๆ"
"ไม่ได้หรอกพี่ น้องปลายไม่ค่อยสบาย เอาเป็นว่าถ้าช่องรีบก็แถลงๆ ไปก่อน แค่ผมกับมัทแล้วกัน"
ผู้จัดการมาดทอมเปิดหน้าจอแท็บเล็ตอีกครั้ง ธีธัชปิดเปลือกตาลงขณะได้ยินเสียงปุ้มปุ้ยติดต่อหาคนในช่อง พูดคุยรายละเอียดที่เขาก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ในหัวสมองตอนนี้กลับไปคิดถึง เป็นห่วงลูกอีกครา
บางทีเขาควรพักงานช่วงนี้เพื่อดูแล ทำความคุ้นเคยกับแก แค่เพียงคิดถึงดวงตากลมโตที่มองมาอย่างไร้เดียงสา ปากจิ้มลิ้มที่พยายามขยับยิ้ม ธีธัชก็ยิ้มออกมาได้ ความรู้สึกหนักอึ้งในใจเบาบางลงอย่างน่าอัศจรรย์
เขายังไม่เคยป้อนนมให้แก ไม่เคยเปลี่ยนผ้าอ้อม อาบน้ำ เช็ดตัว หรือทำสิ่งต่างๆ ให้ลูกเลย และกระหายใคร่รู้ว่าความรู้สึกยามได้ทำหน้าที่พ่อเหล่านั้นว่าจะเป็นเช่นไร
"ธีร์ ฟังอยู่หรือเปล่า" เสียงแข็งถามขึ้น ปลุกชายหนุ่มจากภวังค์ความคิด
"ฮะ อะไรนะ"
"พรุ่งนี้พี่จะเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ที่ช่อง งานแถลงน่าจะมีขึ้นสัปดาห์หน้า"
อีกไม่กี่วันเท่านั้น ธีธัชอยากใช้เวลานี้ทำในสิ่งที่ต้องการที่สุด เพื่อที่เขาจะได้ไม่สมเพชตัวเองเกินไปหากต้องแถลงข่าวราวตนเป็นพ่อที่ดีตลอดมา
"อาทิตย์นี้ผมมีคิวงานอะไรหรือเปล่าพี่"
"ก็นายขอพักอาทิตย์หนึ่งหลังปิดกอง จะมีก็แต่งานโชว์ตัวกับงานเลี้ยงปิดกองนั่นแหละ"
"งั้นพี่เลื่อนงานโชว์ตัวช่วงเจ็ดถึงสิบวันนี้ไปก่อน แล้วงานเลี้ยงปิดกล้องผมขอบายนะ"
ผู้จัดการสาวหล่ออ้าปากจะต่อว่า หากชายหนุ่มรีบยกมือปราม เขาค้นหาสมุดเช็กในกระเป๋าที่พกติดตัวเสมอ ก่อนกรอกตัวเลขลงไปแทนค่าเสียผลประโยชน์ที่อีกฝ่ายจะได้รับ
ปุ้มปุ้ยผลักมือที่ยื่นเช็กส่งมา แสงตาเข้มขึ้นด้วยความไม่พอใจ
"เรื่องแค่นี้คุยกันแบบพี่น้องก็ได้ธีร์ ไม่ต้องใช้เงินคุยทุกเรื่องเสมอไป"
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงพูดจาขอร้องผู้จัดการดีๆ ทว่าตอนนี้เขาไม่ไว้ใจใครอีกแล้ว การปฏิเสธของปุ้มปุ้ยจึงยิ่งสร้างความสับสนให้แก่ธีธัช
เขาบอกขอบคุณอย่างละอายใจ ก่อนจะพับเก็บเช็กใบนั้นใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตแก้เก้อ เมื่อไม่มีความไว้วางใจ ความสนิทสนมก็ดูจะลดลงจนกลายเป็นความอึดอัดใจต่อกัน
.......................
ไม่เป็นที่แปลกใจสำหรับพนักงานของบาร์หรูบนโรงแรมชื่อดังจะได้พบพระเอกซึ่งกำลังเป็นข่าวแวะเวียนมาที่นี่บ่อยๆ เมื่อเจ้านายของพวกตนซึ่งเป็นทายาทเจ้าของโรงแรมนี้คือเพื่อนของธีธัชนั่นเอง บาร์แห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่ชายหนุ่มมักมาพักผ่อนหย่อนใจ
ลูกค้าส่วนใหญ่ของที่นี่เป็นชาวต่างชาติ หรือไม่ก็คนมีระดับที่ไม่สนใจใคร ดาราอย่างเขาอาจต่ำต้อยกว่าผู้มีอันจะกินเหล่านั้นเสียด้วยซ้ำ เขาสามารถนั่งดื่มได้โดยที่ไม่มีใครสนใจซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ยากจะหาได้จากที่อื่น
ค่ำคืนนี้ธีธัชเลือกนั่งยังเก้าอี้สูงหน้าเคาน์เตอร์บริกร หันหลังจากผู้คนทั้งร้าน น้ำอำพันในแก้วใสสะท้อนกับแสงสีทองของโคมไฟด้านบน เขาเริ่มแสบตาอีกครั้งประสาคนพักผ่อนไม่เพียงพอ แล้วก็ต้องหลับตาพลางยกมือกดหัวคิ้วที่ผูกแน่นมาตลอดเย็น
ใบหน้าลูกน้อยเด่นชัดขึ้นในมโนภาพ พร้อมกับเสียงต่อว่าของเพื่อนสะท้อนดังในโสตประสาท แทรกด้วยคำพูดเย็นชาของอดีตคนรัก ทุกอย่างชัดขึ้น ดังขึ้นพร้อมๆ กัน
"มัท!"
ชื่อที่ผ่านริมฝีปากออกไปเรียกสติให้ลืมตาอีกครั้ง ธีธัชเหลียวมองรอบกายเมื่อคิดว่าตนตะโกนออกมา หากก็ไม่มีใครสนใจสักคน แม้แต่บริกรที่อยู่ใกล้สุดก็ยืนเช็ดแก้วราวไม่รับรู้ความผิดปกติใด
เขาตัดสินใจวางธนบัตรแทนที่จะเป็นบัตรเครดิตดังเคย ไม่อยากรอกระทั่งเวลาเซ็นชื่อไม่ถึงนาทีนั่น แล้วจึงลุกออกไปยังชั้นจอดรถ
ชายหนุ่มโยนเสื้อแจ็คเก็ตไว้บนเบาะข้างก่อนขึ้นนั่งในรถ เขามิได้ขับออกไปในทันที หากนิ่งคิดว่าเหตุใดชื่อของมัทรีจึงผ่านริมฝีปากตนออกไป เพราะโกรธ หงุดหงิด หรือว่าคิดถึง...
คิดถึงน่ะหรือ เขาจะคิดถึงแฟนเก่าที่เลิกรากันไปตั้งนานได้อย่างไร
ก้อนเนื้อในอกคล้ายจะขยับเคลื่อนไหว มันเป็นความรู้สึกเดียวกับเมื่อแรกรู้จักเธอ หญิงสาวผู้เปรียบเสมือนแสงสว่างเล็กๆ ในใจเขา ยิ่งมืดมนเพียงไร เขาก็ยิ่งมองหาแสงนั้น มองหาเธอ
....................
สี่ปีก่อน
เสียงโมบายหน้าประตูร้านดังไพเราะเมื่อประตูกระจกถูกผลักเปิด พร้อมกับที่ร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้ามา บ่ายแก่ที่ทุกคนเริ่มงานกันหมดทำให้ร้านกาแฟในซอยทองหล่อมีลูกค้าไม่มากนัก หนึ่งในนั้นคงเป็นมัณฑนากรสาวที่เขานัดเธอไว้ ว่าแต่คนไหนเล่า... ธีธัชไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเธอมาก่อนเลย
หลังจากยืนเก้ๆ กังๆ กลางร้านโดยไม่มีใครแสดงตัวว่ามารอเขา ในที่สุดตนจึงตัดสินใจโทร. ไปยังเลขหมายที่ทางบริษัทต้นทางให้ไว้ แต่เลขหมายที่เคยติดต่อได้ก็กลับไม่มีคนรับสายเสียอย่างนั้น อารมณ์หงุดหงิดจึงพาลลงที่เพื่อนแทน
"ไอ้โบ้ เด็กเบี้ยวนัดแล้วว่ะ"
"อะไร เด็กกูก็ต้องอยู่กับกูสิ" บุรินทร์ตอบกวนมาตามสาย
"ฉันหมายถึงยัยมัทนาอะไรนั่น ป่านนี้ยังไม่โผล่มา นี่กองถ่ายเขาพักเฉยๆ ฉันถึงแวะมาเจอได้นะ ไม่มีเวลารอคุณเธอทั้งวัน"
คนฟังแปลกใจกับคำพูดของเพื่อนจนลืมแก้ชื่อที่ถูกต้องของหญิงสาว
"เฮ้ย มัทก็อยู่ที่ร้านนั่นแหละ เนี่ย ในเฟซบุ๊กเพิ่งเช็กอินที่ร้านเมื่อสิบนาทีที่แล้ว"
คราวนี้ธีธัชค่อยลดโทรศัพท์ลง เขากวาดตามองทั่วร้านซึ่งมีลูกค้าอยู่เพียงสามคน เป็นหนุ่มแว่นคนหนึ่งและสาวใหญ่ ก็คงเหลือแต่หญิงสาวซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์ เธอก้มหน้ามองแท็บเล็ตบนตักพลางจิ้มพิมพ์อย่างเมามันส์
"เจอละ ตัวอ้วนๆ ดำๆ ใช่ป่ะ" เขาเอ่ยขึ้นลอยๆ ทั้งที่วางสายไปแล้ว
ได้ผล... ใบหน้าผุดผาดเงยขึ้นมองอย่างรวดเร็วเสียจนผมหางม้าสะบัด ก่อนดวงตาคู่งามจะหลบวูบเมื่อถูกรู้เท่าทัน
ธีธัชสั่งกาแฟก่อนจะเดินไปนั่งตรงข้าม ทันเห็นเจ้าหล่อนกดปิดหน้าจอแท็บเล็ตพลางส่งยิ้มมา ไม่รู้หรือไรว่าเขาหงุดหงิดและเกลียดการปั่นหัวแบบนี้จากคนที่ไม่รู้จักกัน
"ทำไมคุณไม่แสดงตัวแต่แรก มันเสียเวลาทั้งผมและคุณ"
"ฉันเสียเวลาขับรถอ้อมเมืองตามกองถ่ายคุณมาทั้งวันแล้วค่ะ" มัทรีตอบพร้อมรอยยิ้ม
รอยยิ้มนั้นเปิดเผย จริงใจ เหมือนคนรักสนุกที่ไม่ถือสาอะไรเกินกว่าจะฟังดูประชดประชัน
พระเอกหนุ่มได้แต่ยกกาแฟขึ้นจิบแก้เก้อ เขาเองที่นัดเธอไปแถวถนนสุทธิสาร ก่อนกองถ่ายจะเสร็จเร็วก่อนเวลาและมีงานต่อที่ตึกสถานี ทว่าเจ้าหล่อนยังไม่ทันมาถึงตนก็ต้องมาอัดรายการแถวสุขุมวิทต่ออีก กระทั่งนัดเจอกันที่ร้านกาแฟแห่งนี้
"ผมต้องขอโทษด้วย แต่ว่าต่อไปอย่าทำอย่างนี้ เพราะผมก็ไม่ได้สนิทสนมกับคุณ เข้าใจนะ"
"ค่ะ ฉันก็ขอโทษคุณค่ะ"
เธอยังคงยิ้มอยู่นั่นเอง แม้รอยยิ้มจะเจื่อนลงเล็กน้อยก็ตาม
มัทรีเริ่มต้นใหม่อย่างเป็นทางการด้วยการส่งนามบัตรให้อีกฝ่ายพร้อมกับหยิบสมุดจดออกมาเพื่อสอบถามถึงความต้องการของลูกค้า
"มัทรี..."
เธอเลิกคิ้วเมื่อเขาลืมตัวอ่านชื่อบนนามบัตร ธีธัชมั่นใจว่าจากนี้ต่อไปคงไม่มีทางจำชื่อผู้หญิงคนนี้ผิดอีกแล้ว เธอมีบางอย่าง.. บางอย่างในตัวที่ลงว่ารู้จักกันแล้วจะไม่มีวันลืม
"ค่ะ เรามาคุยเรื่องตกแต่งภายในในแบบที่คุณต้องการดีไหมคะ" เธอถามขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง
"คุณจะจดทุกอย่างลงสมุด แทนที่จะเป็นแท็บเล็ตเครื่องนั้นน่ะหรือ"
คนรีบกลับเป็นคนที่โยกโย้เสียเอง เขาอยากคุยกับเธออีกสักหน่อย ชอบฟังเสียงที่ตอบเป็นคำๆ อย่างชัดเจน
"ค่ะ หัวฉันแล่นเวลาเขียน เราจะเริ่มกันหรือยังคะ"
ธีธัชพยักหน้า เขาบอกความต้องการของเขากับมัณฑนากรสาว ถ่ายทอดภาพห้องหับในความคิดให้เธอรับฟังตลอดยี่สิบนาทีต่อจากนั้น และปิดท้ายบทสนทนาด้วยการบอกที่อยู่บ้านซึ่งกำลังก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จเพื่อที่เจ้าหล่อนจะได้เข้าไปดูสถานที่จริง
"ถ้าฉันเข้าไปดูสถานที่แล้วจะทำภาพจำลองมาให้คุณดูก่อนนะคะ"
"คุณจะเข้าไปเมื่อไร"
หัวสมองชายหนุ่มเตรียมเปิดตารางงานในลิ้นชักความจำ ถ้าว่างแม้แค่เพียงปลีกตัว บางทีเขาอาจเข้าไปดูบ้านพร้อมกับเธอ
"มะรืนนี้ช้าไปไหมคะ"
“ไม่... ไม่...” เขาว่างพอดี
มัทรีเก็บข้าวของและยกแก้วกาแฟปั่นซึ่งเหลือติดก้นขึ้นดื่มจนหมด ท่าทางของเธอพร้อมจะจากไปทุกเมื่อหลังเสร็จธุระ ธีธัชอดเสียความมั่นใจไปไม่ได้ที่หญิงสาวไม่มีทีท่าเสียดายช่วงเวลาซึ่งได้พูดคุยกับพระเอกดังเอาเสียเลย
"ขอตัวเลยนะคะ"
ร่างระหงแบกกระเป๋าเป้จากไปก่อนเขาจะทันลุกยืนเสียอีก ชายหนุ่มมองตามก็เห็นรถญี่ปุ่นกลางเก่ากลางใหม่ขับออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่แต้มยังมุมปาก ชักสนใจเพื่อนร่วมรุ่นคราวน้องของบุรินทร์ขึ้นมาเสียแล้วซี
......................
เผื่อคนอ่านอยากรู้ความเป็นไปของธีร์และมัทในอดีต ยังมีแทรกมาให้อ่านอีกเรื่อยๆนะคะ
ขอบอกว่าคู่นี้ตอนคบกันก็มุ้งมิ้งไม่น้อยน้าาา นึกแล้วก็เสียดายแทนนายธีร์นะนี่ หุๆ
ธีธัชชะลอรถห่างออกมาจากร้านขายส่งดอกไม้ต้นไม้เมื่อเห็นรถกระบะคันหนึ่งจอดอยู่ ชายฉกรรจ์กำลังขนไม้ดอกหลายกระถางขึ้นกระบะหลังรถ โดยมีสตรีวัยกลางคนซึ่งสวมหมวกปีกกว้างช่วยยกกระถางดอกไม้จนเต็มกระบะของรถปิกอัพสีดำ
หญิงผู้นั้นคงเป็นมารดาของมัทรีที่เขาเคยพบเพียงครั้งเดียว เขาไม่รู้ว่าป่านนี้ท่านจะมองตนเปลี่ยนไปเช่นไร
ชายหนุ่มเคลื่อนรถไปใกล้หลังรถกระบะขับออกไปแล้ว เมื่อเขาดับเครื่องยนต์ สตรีผิวคร้ามแดดก็หันมอง ธีธัชพนมมือไหว้ ก่อนท่านจะขยับหมวกบังแสงแดดเพื่อมองให้ชัดว่าเขาเป็นใคร
"สวัสดีครับ แม่..." เขาเรียกท่านด้วยคำที่เคยเรียก
อัมพรรับไหว้ เธอจำบุรุษตรงหน้าได้ แต่เพียงแปลกใจเท่านั้นที่เขามาปรากฏตัวที่นี่หลังเลิกรากับบุตรสาวของตนไปนานสองนาน แม้ชายผู้นี้จะแสดงความรับผิดชอบด้วยการส่งเสียค่าเลี้ยงดูยัยหนูมาตลอด หากคนเป็นแม่ก็ยังขุ่นเคืองใจอยู่บ้างที่เขาคือต้นเหตุความทุกข์ของลูก
"ผมมาหามัทกับลูกน่ะครับ"
"มัทไม่อยู่ค่ะ มีอะไรเดี๋ยวแม่บอกมัทให้"
เล่นละครบทบาทต่างๆ มาก็มาก แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่นักแสดงหนุ่มกระอักกระอ่วนใจเช่นนี้เลย
"ถ้าอย่างนั้นผมขอขึ้นไปหาน้องปลายนะครับ"
"มัทบอกคุณเรื่อง...เรื่องน้องปลายแล้วหรือ"
อัมพรนิ่วหน้าประหลาดใจ เธอเคยบอกลูกให้ลดทิฐิ หันหน้ามาคุยกับพ่อของหลานอีกครั้ง เมื่อหมอที่ทำการรักษาชี้แจงถึงอาการป่วยของเด็กหญิงปลายฟ้า หากมัทรีก็ใจแข็ง เป็นเด็กที่ดื้อเงียบมาแต่ไหนแต่ไร
"เปล่าครับ ผมมาหามัทอาทิตย์ที่แล้วถึงได้รู้"
"อ้าว มัทไม่เห็นบอกแม่เลย"
และเพราะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางในความสัมพันธ์ของบุตรสาว อัมพรจึงยินยอมให้ชายหนุ่มได้อยู่รอมัทรีที่นี่ เธอนำเขาเข้าไปในบ้านพลางถอดหมวกปีกกว้างมาถือไว้แทน
"แม่โทรตามมัทให้ สักครู่นะคะ"
"ไม่เป็นไรครับแม่" ธีธัชรีบบอกท่าน "ผมขอขึ้นไปดูน้องปลายนะครับ"
"เอางั้นหรือ แต่เดี๋ยวมัทก็คงมา นี่ออกไปส่งแบบสวนที่ออกแบบให้กับรีสอร์ตในตัวจังหวัดค่ะ"
ธีธัชพยักหน้า เขายิ้มสุภาพด้วยความขอบคุณที่ท่านให้โอกาส ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดที่เคยขึ้นไปครั้งหนึ่ง
วันนี้ห้องที่อยู่สุดระเบียงทางเดินปิดประตูไว้ เขาหมุนลูกบิดเข้าไป ระวังให้เกิดเสียงเบาที่สุด ก่อนจะก้าวช้าผ่านเตียงนอนของมัทรีตรงไปยังเตียงเด็กสีขาวข้างหน้าต่าง เครื่องปรับอากาศยังคงทำงานให้ความเย็นฉ่ำ ทว่าเหงื่อกาฬกลับซึมผ่านผิวกายเขาออกมา
ธีธัชไล่สายตามองตั้งแต่โต๊ะหัวเตียงที่มีกระบอกและสายยางต่างๆ วางอยู่ ก่อนจะแลเลยมายังตัวเลขดิจิตอลบนหน้าจอเครื่องมือทางการแพทย์ คลับคล้ายคลับคลากับเครื่องช่วยหายใจที่เคยใช้ประกอบฉากการแสดง มีท่อต่อออกมาจากเจ้าเครื่องนั้นมาที่คอของลูกน้อยของเขา
มือชื้นเหงื่อกำขอบเตียงไว้แน่น เขาเม้มปากเป็นเส้นตรงไม่ให้เสียงสะอื้นผ่านลำคอออกมา แต่กับน้ำตา...มันหยาดรินลงตามร่องแก้มอย่างไม่อาจฝืนกลั้นได้อีกต่อไป ยิ่งเมื่อดวงตาใสแจ๋วมองสบมาอย่างไร้เดียงสา ผู้เป็นพ่อก็แทบทรุดอยู่ข้างเตียงด้วยความเวทนาสงสารสุดหัวใจ
ลูกของเขาหน้าตาน่ารัก แกไม่ได้ต่างจากเด็กคนอื่นเลย เว้นแต่ร่างกายที่เล็กกว่าเด็กวัยเดียวกัน สายพลาสติกเส้นเล็กที่ต่อออกจากจมูก และท่อนั่น...ท่อที่ต่อออกมาจากคอเข้ากับเครื่องช่วยหายใจ
ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับลูกของเขา โรคบ้าๆ ที่มัทรีเคยอธิบายราวกับทำใจยอมรับได้ แต่เขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี รู้แต่เพียงว่าเด็กหญิงจะต้องหาย และเขาจะทำทุกวิถีทางให้ลูกของเขากลับมาเป็นปกติเช่นเด็กคนอื่นให้จงได้
ชายหนุ่มยกนิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตา เขาค่อยยื่นมือไปจับมือเล็กของเด็กน้อย แกมิได้กำตอบ แต่ดวงตากลมโตก็ละจากโมบายของเล่นมามองหน้าเขาอีกครา
"น้องปลาย..." ธีธัชทอดหางเสียงอ่อนโยนที่สุด "ลูก..."
ดวงหน้าเล็กคล้ายจะยิ้ม ริมฝีปากจิ้มลิ้มขยับออกจากกันเล็กน้อย แค่นั้นหัวใจพ่อก็เต็มตื้นขึ้นมา
เขาอยากก้มลงหอมลูก แต่ไม่แน่ใจว่านั่นจะปลอดภัยต่อแกหรือเปล่า จึงทำเพียงไล้นิ้วมือไปบนแก้มใสแผ่วเบา แล้วริมฝีปากเล็กก็ขยับเหมือนจะส่งเสียงบางอย่าง แต่ก็เบาเหลือเกิน
มัทรีเปิดประตูห้องเข้ามาเห็นภาพนั้น จากความหงุดหงิดที่เขามายุ่งวุ่นวายก็กลายเป็นความอ่อนใจ ธีธัชไม่ได้ถอยห่างและเบือนหน้าหนีจากลูกเช่นเมื่อแรกพบแก กระทั่งเขาเห็นเธอก้าวเข้ามา ร่างสูงจึงเหยียดหลังขึ้นมาสบตาเธอ
ทว่าหญิงสาวไม่คิดจะต้อนรับและพูดคุยธุระกับอดีตคนรักในห้องนอน
"ลงไปคุยกันข้างล่างเถอะค่ะ"
..................
"ปกติมัทให้ลูกอยู่คนเดียวอย่างนี้หรือ" เขาถามขึ้นก่อนจะลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายเสียอีก
มัทรีรินน้ำให้แขกพร้อมกับวางลงบนโต๊ะกระจก เหมือนบอกกลายๆ ให้เขานั่งตรงนั้นและอย่าสร้างความวุ่นวายแก่เธออีก ลำพังที่ดาราดังอย่างเขามาปรากฏตัวต่อหน้าพวกตนก็ทำเอาเธอกับแม่วุ่นวายใจ
"แกอยู่ได้ค่ะ" เธอตอบสั้นๆ
"แล้วถ้าไฟดับล่ะ เครื่องนั่น..."
"มันสำรองไฟ"
"แล้วถ้าลูกร้อง"
หญิงสาวหยิบเบบี้มอนิเตอร์ออกมาวางต่อหน้า มันเป็นเครื่องตรวจจับเสียงร้องไห้ รูปทรงเหมือนวิทยุพกพาแบบวอล์คกี้ทอล์คกี้ มีเจ้าเครื่องคล้ายกันนี้อีกอันอยู่ปลายเตียงลูกน้อยคอยส่งสัญญาณเข้ามาในเครื่องของเธอ
ธีธัชอับจนคำพูด ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะจัดการชีวิตลงตัวดีแล้ว เขานึกละอาย
"ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมจะหาพยาบาลพิเศษมาช่วยดูลูก"
มัทรีไหวไหล่ ถ้านั่นจะทำให้เขาสบายใจและเลิกยุ่งเกี่ยวกับพวกเธอก็ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ
"มีเพื่อนรุ่นเดียวกับผมคนหนึ่งเป็นหมอที่โรงพยาบาลใหญ่ ผมจะพาลูกไปพบเขา"
คราวนี้คนเป็นแม่ตวัดมอง เป็นสัญชาตญาณของความหวงลูกก็ว่าได้ และที่สำคัญ...เธอมั่นใจว่าพาลูกไปรักษากับแพทย์ที่ดีที่สุด เก่งที่สุดทางด้านนี้มาแล้ว
"ฉันคิดว่าถ้าคุณไม่อยากเป็นข่าว ทางที่ดีก็ปล่อยให้อะไรๆ เป็นไปเหมือนที่ผ่านมาดีกว่าค่ะ ฉันไม่ปริปากบอกใครอยู่แล้ว แต่ยิ่งคุณพยายามมาเจรจากับฉันอย่างนี้มันก็มีแต่สุ่มเสี่ยงมากขึ้น เรื่องน้องปลายฉันดูแลแกได้ คุณไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรเลยค่ะ จริงๆ นะ มัทไม่ใช่คนทำอะไรประชดใคร คุณก็น่าจะรู้"
ธีธัชโคลงศีรษะพร้อมกับกุมขมับ ไปกันใหญ่แล้ว ธุระของเขาไม่ใช่การให้เธอปิดปากเงียบเช่นเมื่อก่อน แต่คือการแถลงข่าวยอมรับกับสังคม ซึ่งเขาคิดว่าคนแรกที่ควรยอมรับในเรื่องนี้ให้ได้เสียก่อนก็คือเธอ
เอาล่ะ ประการแรกเลยคือเขาควรลดความห่างเหินระหว่างกันเสียก่อน ด้วยการกลับมาพูดจาเหมือนคนเคยรักเคยรู้จักกัน
"ฟังนะมัท พี่...พี่รู้ว่าตัวเองผิดและเห็นแก่ตัวที่ไม่ได้เปิดเผยเรื่องมัทกับลูกแต่แรก แต่ว่าตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว พี่ก็ไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการบันเทิง แล้วลูก...น้องปลายไม่สบายแบบนี้ มัทคิดว่าพี่จะดูดายได้อยู่เหรอ"
มัทรีกลอกตาอ่อนใจ เธอไม่เข้าใจอยู่ดีว่าช่วงเวลาแค่ปีสองปีจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างเขาบอกได้อย่างไร และที่สำคัญ...มัทรีไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนนี้อีก
"ฉัน..."
" 'ฉัน' อีกแล้ว ไหนมัทบอกเองว่าไม่ใช่คนช่างประชด"
หญิงสาวเม้มปากแน่น อยากจะฮึดฮัดขึ้นมาเหมือนกันว่าเขาไม่มีสิทธิ์มาเรียกร้องอะไรจากเธอ แต่ก็ไม่ต้องการให้ธีธัชได้ใจที่เขาสามารถอยู่เหนืออารมณ์ความรู้สึกของเธอได้
"ฉัน" มัทรีเน้นคำ "ไม่เคยขัดขวางความเป็นพ่อลูกของคุณกับน้องปลาย คุณจะมาหาแกเมื่อไรก็ได้ ถ้าไม่คิดว่าอาจตกเป็นข่าวนะคะ"
ธีธัชถอนใจเฮือกใหญ่ ทำไมการเจรจามันถึงยากเย็นนัก ทั้งที่มีผู้หญิงมากมายอยากจะจับให้เขาไปเป็นพ่อของลูกพวกหล่อนเสียให้รู้แล้วรู้รอด
นักแสดงหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือหลังรู้สึกถึงแรงสั่นของโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง เย็นนี้เขามีงานโชว์ตัวที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางกรุง และควรต้องเผื่อเวลากว่าจะฝ่าการจราจรติดขัดไปถึง
"เอาเป็นว่าพี่จะมีงานแถลงข่าวเร็วๆ นี้ มัทคงต้องไปด้วย เท่านี้ล่ะ" เขารวบรัดตัดความพลางลุกยืน
มัทรีก้าวตามไปที่กรอบประตู เธอกำลังจะต่อว่าเขาที่มัดมือชกเช่นนี้ แต่สายตาของแม่ที่มองมาก็ทำให้ต้องสะกดกลั้นความโกรธกลับลงไป
เธอมองเขาไหว้ลา ยิ้มแย้มเป็นอันดีกับมารดาของตนแล้วก็ได้แต่ลอบถอนใจ หญิงสาวไม่อยากเชื่อว่าธีธัชจะมาสำนึกคิดได้ในตอนนี้ ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ
........................
เป็นอีกครั้งที่นักแสดงหนุ่มต้องหลบหนีนักข่าวด้วยความช่วยเหลือของผู้จัดการสาวหล่อ ก่อนที่รถตู้ติดฟิล์มสีดำทึบจะเคลื่อนออกจากห้างสรรพสินค้ามาโดยไม่เป็นที่สนใจ
ธีธัชปลดเน็กไทภายหลังเสร็จสิ้นงานเปิดตัวรถยนต์ขนาดกลาง ณ ลานห้างสรรพสินค้า ชายหนุ่มปรายตามองหน้าจอแท็บเล็ตที่ผู้จัดการของเขาเลื่อนอ่านข่าว แล้วก็ชักสายตากลับแทบไม่ทันเมื่อเสียงบ่นลอยมา
"เอาแล้วไง ทวิตเตอร์นักข่าวเริ่มแซะนายแล้วไง 'พระเอกเทวดาคนต่อไปหลบสื่ออีกแล้ว' จะตั้งฉายาทั้งทีคิดชื่อใหม่ก็ไม่ได้เว้ย"
ธีธัชถอนหายใจพลางเบือนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่างรถแทน
"ฉันก็มัวแต่ดูคิวเด็กรุ่นใหม่ ตกลงเรื่องที่ให้ไปจัดการน่ะเป็นไง ถ้าตกลงกันได้จะได้นัดแถลงข่าวที่ช่อง ผู้ใหญ่ก็เร่งมานี่"
"พี่ก็นัดวันมาแล้วกัน ผมคุยกับเขาแล้ว" เขาตอบเนือยๆ
"เอ๊า แล้วทำไมไม่บอก"
ปุ้มปุ้ยค่อยโล่งใจ แต่แรกเธอคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะเรียกร้องสิ่งใดเกินกว่าพวกตนจะให้ได้เสียอีก
"ตกลงว่าจะโฟกัสไปที่ลูกนะ ส่วนแม่เด็กก็บอกว่าเป็นเพื่อนกัน ลูกนายน่าจะขวบกว่าแล้วนี่นะ พามางานแถลงด้วยสิ จะได้เป็นขวัญใจสื่อและแฟนๆ"
"ไม่ได้หรอกพี่ น้องปลายไม่ค่อยสบาย เอาเป็นว่าถ้าช่องรีบก็แถลงๆ ไปก่อน แค่ผมกับมัทแล้วกัน"
ผู้จัดการมาดทอมเปิดหน้าจอแท็บเล็ตอีกครั้ง ธีธัชปิดเปลือกตาลงขณะได้ยินเสียงปุ้มปุ้ยติดต่อหาคนในช่อง พูดคุยรายละเอียดที่เขาก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ในหัวสมองตอนนี้กลับไปคิดถึง เป็นห่วงลูกอีกครา
บางทีเขาควรพักงานช่วงนี้เพื่อดูแล ทำความคุ้นเคยกับแก แค่เพียงคิดถึงดวงตากลมโตที่มองมาอย่างไร้เดียงสา ปากจิ้มลิ้มที่พยายามขยับยิ้ม ธีธัชก็ยิ้มออกมาได้ ความรู้สึกหนักอึ้งในใจเบาบางลงอย่างน่าอัศจรรย์
เขายังไม่เคยป้อนนมให้แก ไม่เคยเปลี่ยนผ้าอ้อม อาบน้ำ เช็ดตัว หรือทำสิ่งต่างๆ ให้ลูกเลย และกระหายใคร่รู้ว่าความรู้สึกยามได้ทำหน้าที่พ่อเหล่านั้นว่าจะเป็นเช่นไร
"ธีร์ ฟังอยู่หรือเปล่า" เสียงแข็งถามขึ้น ปลุกชายหนุ่มจากภวังค์ความคิด
"ฮะ อะไรนะ"
"พรุ่งนี้พี่จะเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ที่ช่อง งานแถลงน่าจะมีขึ้นสัปดาห์หน้า"
อีกไม่กี่วันเท่านั้น ธีธัชอยากใช้เวลานี้ทำในสิ่งที่ต้องการที่สุด เพื่อที่เขาจะได้ไม่สมเพชตัวเองเกินไปหากต้องแถลงข่าวราวตนเป็นพ่อที่ดีตลอดมา
"อาทิตย์นี้ผมมีคิวงานอะไรหรือเปล่าพี่"
"ก็นายขอพักอาทิตย์หนึ่งหลังปิดกอง จะมีก็แต่งานโชว์ตัวกับงานเลี้ยงปิดกองนั่นแหละ"
"งั้นพี่เลื่อนงานโชว์ตัวช่วงเจ็ดถึงสิบวันนี้ไปก่อน แล้วงานเลี้ยงปิดกล้องผมขอบายนะ"
ผู้จัดการสาวหล่ออ้าปากจะต่อว่า หากชายหนุ่มรีบยกมือปราม เขาค้นหาสมุดเช็กในกระเป๋าที่พกติดตัวเสมอ ก่อนกรอกตัวเลขลงไปแทนค่าเสียผลประโยชน์ที่อีกฝ่ายจะได้รับ
ปุ้มปุ้ยผลักมือที่ยื่นเช็กส่งมา แสงตาเข้มขึ้นด้วยความไม่พอใจ
"เรื่องแค่นี้คุยกันแบบพี่น้องก็ได้ธีร์ ไม่ต้องใช้เงินคุยทุกเรื่องเสมอไป"
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงพูดจาขอร้องผู้จัดการดีๆ ทว่าตอนนี้เขาไม่ไว้ใจใครอีกแล้ว การปฏิเสธของปุ้มปุ้ยจึงยิ่งสร้างความสับสนให้แก่ธีธัช
เขาบอกขอบคุณอย่างละอายใจ ก่อนจะพับเก็บเช็กใบนั้นใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตแก้เก้อ เมื่อไม่มีความไว้วางใจ ความสนิทสนมก็ดูจะลดลงจนกลายเป็นความอึดอัดใจต่อกัน
.......................
ไม่เป็นที่แปลกใจสำหรับพนักงานของบาร์หรูบนโรงแรมชื่อดังจะได้พบพระเอกซึ่งกำลังเป็นข่าวแวะเวียนมาที่นี่บ่อยๆ เมื่อเจ้านายของพวกตนซึ่งเป็นทายาทเจ้าของโรงแรมนี้คือเพื่อนของธีธัชนั่นเอง บาร์แห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่ชายหนุ่มมักมาพักผ่อนหย่อนใจ
ลูกค้าส่วนใหญ่ของที่นี่เป็นชาวต่างชาติ หรือไม่ก็คนมีระดับที่ไม่สนใจใคร ดาราอย่างเขาอาจต่ำต้อยกว่าผู้มีอันจะกินเหล่านั้นเสียด้วยซ้ำ เขาสามารถนั่งดื่มได้โดยที่ไม่มีใครสนใจซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ยากจะหาได้จากที่อื่น
ค่ำคืนนี้ธีธัชเลือกนั่งยังเก้าอี้สูงหน้าเคาน์เตอร์บริกร หันหลังจากผู้คนทั้งร้าน น้ำอำพันในแก้วใสสะท้อนกับแสงสีทองของโคมไฟด้านบน เขาเริ่มแสบตาอีกครั้งประสาคนพักผ่อนไม่เพียงพอ แล้วก็ต้องหลับตาพลางยกมือกดหัวคิ้วที่ผูกแน่นมาตลอดเย็น
ใบหน้าลูกน้อยเด่นชัดขึ้นในมโนภาพ พร้อมกับเสียงต่อว่าของเพื่อนสะท้อนดังในโสตประสาท แทรกด้วยคำพูดเย็นชาของอดีตคนรัก ทุกอย่างชัดขึ้น ดังขึ้นพร้อมๆ กัน
"มัท!"
ชื่อที่ผ่านริมฝีปากออกไปเรียกสติให้ลืมตาอีกครั้ง ธีธัชเหลียวมองรอบกายเมื่อคิดว่าตนตะโกนออกมา หากก็ไม่มีใครสนใจสักคน แม้แต่บริกรที่อยู่ใกล้สุดก็ยืนเช็ดแก้วราวไม่รับรู้ความผิดปกติใด
เขาตัดสินใจวางธนบัตรแทนที่จะเป็นบัตรเครดิตดังเคย ไม่อยากรอกระทั่งเวลาเซ็นชื่อไม่ถึงนาทีนั่น แล้วจึงลุกออกไปยังชั้นจอดรถ
ชายหนุ่มโยนเสื้อแจ็คเก็ตไว้บนเบาะข้างก่อนขึ้นนั่งในรถ เขามิได้ขับออกไปในทันที หากนิ่งคิดว่าเหตุใดชื่อของมัทรีจึงผ่านริมฝีปากตนออกไป เพราะโกรธ หงุดหงิด หรือว่าคิดถึง...
คิดถึงน่ะหรือ เขาจะคิดถึงแฟนเก่าที่เลิกรากันไปตั้งนานได้อย่างไร
ก้อนเนื้อในอกคล้ายจะขยับเคลื่อนไหว มันเป็นความรู้สึกเดียวกับเมื่อแรกรู้จักเธอ หญิงสาวผู้เปรียบเสมือนแสงสว่างเล็กๆ ในใจเขา ยิ่งมืดมนเพียงไร เขาก็ยิ่งมองหาแสงนั้น มองหาเธอ
....................
สี่ปีก่อน
เสียงโมบายหน้าประตูร้านดังไพเราะเมื่อประตูกระจกถูกผลักเปิด พร้อมกับที่ร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้ามา บ่ายแก่ที่ทุกคนเริ่มงานกันหมดทำให้ร้านกาแฟในซอยทองหล่อมีลูกค้าไม่มากนัก หนึ่งในนั้นคงเป็นมัณฑนากรสาวที่เขานัดเธอไว้ ว่าแต่คนไหนเล่า... ธีธัชไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเธอมาก่อนเลย
หลังจากยืนเก้ๆ กังๆ กลางร้านโดยไม่มีใครแสดงตัวว่ามารอเขา ในที่สุดตนจึงตัดสินใจโทร. ไปยังเลขหมายที่ทางบริษัทต้นทางให้ไว้ แต่เลขหมายที่เคยติดต่อได้ก็กลับไม่มีคนรับสายเสียอย่างนั้น อารมณ์หงุดหงิดจึงพาลลงที่เพื่อนแทน
"ไอ้โบ้ เด็กเบี้ยวนัดแล้วว่ะ"
"อะไร เด็กกูก็ต้องอยู่กับกูสิ" บุรินทร์ตอบกวนมาตามสาย
"ฉันหมายถึงยัยมัทนาอะไรนั่น ป่านนี้ยังไม่โผล่มา นี่กองถ่ายเขาพักเฉยๆ ฉันถึงแวะมาเจอได้นะ ไม่มีเวลารอคุณเธอทั้งวัน"
คนฟังแปลกใจกับคำพูดของเพื่อนจนลืมแก้ชื่อที่ถูกต้องของหญิงสาว
"เฮ้ย มัทก็อยู่ที่ร้านนั่นแหละ เนี่ย ในเฟซบุ๊กเพิ่งเช็กอินที่ร้านเมื่อสิบนาทีที่แล้ว"
คราวนี้ธีธัชค่อยลดโทรศัพท์ลง เขากวาดตามองทั่วร้านซึ่งมีลูกค้าอยู่เพียงสามคน เป็นหนุ่มแว่นคนหนึ่งและสาวใหญ่ ก็คงเหลือแต่หญิงสาวซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์ เธอก้มหน้ามองแท็บเล็ตบนตักพลางจิ้มพิมพ์อย่างเมามันส์
"เจอละ ตัวอ้วนๆ ดำๆ ใช่ป่ะ" เขาเอ่ยขึ้นลอยๆ ทั้งที่วางสายไปแล้ว
ได้ผล... ใบหน้าผุดผาดเงยขึ้นมองอย่างรวดเร็วเสียจนผมหางม้าสะบัด ก่อนดวงตาคู่งามจะหลบวูบเมื่อถูกรู้เท่าทัน
ธีธัชสั่งกาแฟก่อนจะเดินไปนั่งตรงข้าม ทันเห็นเจ้าหล่อนกดปิดหน้าจอแท็บเล็ตพลางส่งยิ้มมา ไม่รู้หรือไรว่าเขาหงุดหงิดและเกลียดการปั่นหัวแบบนี้จากคนที่ไม่รู้จักกัน
"ทำไมคุณไม่แสดงตัวแต่แรก มันเสียเวลาทั้งผมและคุณ"
"ฉันเสียเวลาขับรถอ้อมเมืองตามกองถ่ายคุณมาทั้งวันแล้วค่ะ" มัทรีตอบพร้อมรอยยิ้ม
รอยยิ้มนั้นเปิดเผย จริงใจ เหมือนคนรักสนุกที่ไม่ถือสาอะไรเกินกว่าจะฟังดูประชดประชัน
พระเอกหนุ่มได้แต่ยกกาแฟขึ้นจิบแก้เก้อ เขาเองที่นัดเธอไปแถวถนนสุทธิสาร ก่อนกองถ่ายจะเสร็จเร็วก่อนเวลาและมีงานต่อที่ตึกสถานี ทว่าเจ้าหล่อนยังไม่ทันมาถึงตนก็ต้องมาอัดรายการแถวสุขุมวิทต่ออีก กระทั่งนัดเจอกันที่ร้านกาแฟแห่งนี้
"ผมต้องขอโทษด้วย แต่ว่าต่อไปอย่าทำอย่างนี้ เพราะผมก็ไม่ได้สนิทสนมกับคุณ เข้าใจนะ"
"ค่ะ ฉันก็ขอโทษคุณค่ะ"
เธอยังคงยิ้มอยู่นั่นเอง แม้รอยยิ้มจะเจื่อนลงเล็กน้อยก็ตาม
มัทรีเริ่มต้นใหม่อย่างเป็นทางการด้วยการส่งนามบัตรให้อีกฝ่ายพร้อมกับหยิบสมุดจดออกมาเพื่อสอบถามถึงความต้องการของลูกค้า
"มัทรี..."
เธอเลิกคิ้วเมื่อเขาลืมตัวอ่านชื่อบนนามบัตร ธีธัชมั่นใจว่าจากนี้ต่อไปคงไม่มีทางจำชื่อผู้หญิงคนนี้ผิดอีกแล้ว เธอมีบางอย่าง.. บางอย่างในตัวที่ลงว่ารู้จักกันแล้วจะไม่มีวันลืม
"ค่ะ เรามาคุยเรื่องตกแต่งภายในในแบบที่คุณต้องการดีไหมคะ" เธอถามขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง
"คุณจะจดทุกอย่างลงสมุด แทนที่จะเป็นแท็บเล็ตเครื่องนั้นน่ะหรือ"
คนรีบกลับเป็นคนที่โยกโย้เสียเอง เขาอยากคุยกับเธออีกสักหน่อย ชอบฟังเสียงที่ตอบเป็นคำๆ อย่างชัดเจน
"ค่ะ หัวฉันแล่นเวลาเขียน เราจะเริ่มกันหรือยังคะ"
ธีธัชพยักหน้า เขาบอกความต้องการของเขากับมัณฑนากรสาว ถ่ายทอดภาพห้องหับในความคิดให้เธอรับฟังตลอดยี่สิบนาทีต่อจากนั้น และปิดท้ายบทสนทนาด้วยการบอกที่อยู่บ้านซึ่งกำลังก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จเพื่อที่เจ้าหล่อนจะได้เข้าไปดูสถานที่จริง
"ถ้าฉันเข้าไปดูสถานที่แล้วจะทำภาพจำลองมาให้คุณดูก่อนนะคะ"
"คุณจะเข้าไปเมื่อไร"
หัวสมองชายหนุ่มเตรียมเปิดตารางงานในลิ้นชักความจำ ถ้าว่างแม้แค่เพียงปลีกตัว บางทีเขาอาจเข้าไปดูบ้านพร้อมกับเธอ
"มะรืนนี้ช้าไปไหมคะ"
“ไม่... ไม่...” เขาว่างพอดี
มัทรีเก็บข้าวของและยกแก้วกาแฟปั่นซึ่งเหลือติดก้นขึ้นดื่มจนหมด ท่าทางของเธอพร้อมจะจากไปทุกเมื่อหลังเสร็จธุระ ธีธัชอดเสียความมั่นใจไปไม่ได้ที่หญิงสาวไม่มีทีท่าเสียดายช่วงเวลาซึ่งได้พูดคุยกับพระเอกดังเอาเสียเลย
"ขอตัวเลยนะคะ"
ร่างระหงแบกกระเป๋าเป้จากไปก่อนเขาจะทันลุกยืนเสียอีก ชายหนุ่มมองตามก็เห็นรถญี่ปุ่นกลางเก่ากลางใหม่ขับออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่แต้มยังมุมปาก ชักสนใจเพื่อนร่วมรุ่นคราวน้องของบุรินทร์ขึ้นมาเสียแล้วซี
......................
เผื่อคนอ่านอยากรู้ความเป็นไปของธีร์และมัทในอดีต ยังมีแทรกมาให้อ่านอีกเรื่อยๆนะคะ
ขอบอกว่าคู่นี้ตอนคบกันก็มุ้งมิ้งไม่น้อยน้าาา นึกแล้วก็เสียดายแทนนายธีร์นะนี่ หุๆ
ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มิ.ย. 2558, 16:23:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มิ.ย. 2558, 16:23:56 น.
จำนวนการเข้าชม : 1588
<< บทที่ ๑ | บทที่ ๓ >> |
Zia 13 มิ.ย. 2558, 10:58:52 น.
มาต่อเร็วๆนะคะ
มาต่อเร็วๆนะคะ
ภาพิมล_พิมลภา 13 มิ.ย. 2558, 16:17:56 น.
คุณZia - มาแล้วนะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
คุณZia - มาแล้วนะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ