โซ่พิสุทธิ์
มรสุมข่าวฉาวว่าซุกลูกเมียทำให้พระเอกหนุ่มอย่าง 'ธีธัช' ต้องหวนกลับไปหาอดีตคนรักอีกครั้งเพื่อขอความร่วมมือจากเธอกอบกู้ภาพลักษณ์คืนมา เขาหวังใช้ความน่ารักของลูกสาวเรียกคะแนนนิยมจากประชาชน

แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นดังคิด ยิ่งรับรู้ความจริง ธีธัชกลับไม่ต้องการแค่ภาพครอบครัวจอมปลอม แต่ต้องการมัทรีและลูกในชีวิตนับแต่นี้ไป

เธอบอกว่าความรักเหมือนดอกไม้ที่โรยรา แต่เขาคิดว่าความรักไม่ต่างจากดอกไม้ที่จะผลิบานได้ด้วยการรดน้ำใส่ปุ๋ยที่ชื่อความจริงใจอีกครั้งหนึ่ง

fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑



เสียงเพลงจากนักร้องเสียงดีประจำไนต์คลับไม่อาจดึงความสนใจจากชายหนุ่มลูกค้าวีไอพีไปได้ เขาหมุนแก้วในมือพร้อมกับหลับตานิ่งนาน และภาพลูกน้อยก็ยังคงติดตามาถึงปัจจุบัน

ธีธัชไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตาเห็น เธอปกปิดความจริงกับเขา ทุกคนปกปิดเขา ทำไม!

นี่ใช่ไหมคือเหตุผลให้เธอลาออกจากงาน บ้านหลังนั้นไม่มีของเล่นเด็กสักชิ้น และที่เจ้าหล่อนไม่ได้อยู่ในสวนตอนที่เขาไปถึง ก็คงเพราะเก็บตัวอยู่ข้างบนนั่นเอง

แต่ทำไม... ธีธัชไม่เข้าใจสิ่งที่หญิงสาวอธิบายอยู่นั่นเองว่าลูกน้อยที่เขาเคยอุ้มชูแม้เพียงครั้ง เหตุใดจึงเปลี่ยนไปได้อย่างนั้น เขาไม่อยากเชื่อเสียด้วยซ้ำว่านั่นคือลูกของตัวเอง

"เฮ้ยธีร์ มารอนานยังวะ"

แรงตบบนบ่าเรียกสติชายหนุ่มกลับมาอีกครั้ง เขาลืมตามองน้ำสีอำพันในแก้ว แทนที่จะหันมองคนที่นั่งลงข้างกัน

"ฮันนีมูนเป็นไงบ้าง"

"จะให้เล่าจริงน่ะ" เจ้าบ่าวป้ายแดงทำเสียงกรุ้มกริ่ม

ธีธัชอดคิดเปรียบเทียบกับความรักครั้งเก่าของตนไม่ได้ มันจบลงไม่สวยงามนัก ต่างจากความรักตามครรลองของคู่อื่น

เขาไม่เคยคิดเลย กระทั่งวันนี้...

"หยกไม่ได้มาด้วยเหรอ" เขาถามถึงโยษิตา ภรรยาของเพื่อนที่สนิทสนมกับมัทรีที่สุด

"เปล่า แกก็เห็นฉันติดเมียไปได้" น้ำเสียงทีเล่นทีจริงมีร่องรอยขัดเขิน

"เพราะอย่างนี้ใช่ไหม มัทถึงไม่ไปงานแต่งงานของพวกนาย"

บุรินทร์ย่นคิ้วฉงน เขาสั่งเครื่องดื่มกับบริกรก่อนหันมองเพื่อนที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนากะทันหัน

"ไม่เข้าใจว่ะ"

"แกอย่ามาไขสือ แกปิดบังเรื่องลูกฉัน ทำไมวะไอ้โบ้"

คราวนี้บุรินทร์ถึงบางอ้อ เขางันไปอย่างคาดไม่ถึงว่าเพื่อนจะรู้ความจริงที่มัทรีขอให้ตนและภรรยาปกปิด

เขาจะทำอย่างไรได้เมื่อทั้งสองคือเพื่อนรักของเขา แต่หลังจากเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นกับมัทรี ตนก็เทความเห็นใจไปที่หญิงสาวมากกว่า และที่สำคัญ ธีธัชเองก็ไม่เคยถามถึงลูกสักคำ

บุรินทร์โทษว่าตัวเองมีส่วนผิดที่แนะนำธีธัชกับมัทรีให้รู้จักกัน เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อสี่ปีก่อนที่นักแสดงหน้าใหม่อย่างธีธัชต้องการตกแต่งบ้านซึ่งซื้อจากน้ำพักน้ำแรงตัวเอง เขาจึงไม่ลังเลที่จะแนะนำมัณฑนากรสาวอย่างมัทรีกับเพื่อนของตน

บุรินทร์ไม่ได้รับรู้มากไปกว่าวันที่ธีธัชมาปรึกษาเขาว่ามัทรีตั้งครรภ์หลังจากเลิกรากันไปไม่นาน และในวันที่หญิงสาวพักฟื้นหลังคลอดก็เป็นวันเดียวที่เพื่อนและผู้จัดการส่วนตัวแวะไปเยี่ยมเพื่อตกลงทำสัญญาระหว่างกัน

มัทรีไม่ได้ร้องไห้ออกมาตอนนั้น แต่หลังจากคนทั้งสองกลับไป บุรินทร์แน่ใจว่าใบหน้าอิ่มเอิบของหญิงสาวไม่เคยเหือดแห้งน้ำตา นั่นเป็นตอนที่เขากับโยษิตาตัดสินใจจะอยู่เคียงข้างเพื่อนผู้หญิงคนนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

"แล้วแกรู้ได้ยังไง มัทติดต่อไปหรือ" บุรินทร์ย้อนถาม

"อย่างมัทรีน่ะเหรอ" ธีธัชถอนใจออกมาหนักๆ "นี่ถ้าฉันไม่ไปหาเขาเอง ชาตินี้คงไม่มีวันรู้สินะ เรื่องสำคัญขนาดนี้แต่ไม่บอกฉันสักคำ ฉันเป็นพ่อของปลายฟ้านะเว้ย ฉันย่อมมีสิทธิ์รับรู้ คิดและตัดสินใจเรื่องลูกสิวะ"

"เหรอ" เพื่อนสนิททำเสียงไม่เชื่อถือ ก่อนจะกระแอมออกมาพร้อมกับเอ่ยจริงจัง "นี่แกไปหามัทเพราะเรื่องในข่าวใช่ไหม แกคิดว่ามัทปล่อยข่าวว่าแกมีลูกหรือ"

"เปล่า ฉันไม่เคยแม้แต่คิดว่ามัทเป็นคนทำ"

บุรินทร์พยักหน้าพึงใจในคำตอบหนักแน่นของเพื่อน อย่างน้อยธีธัชก็แสดงออกอย่างเชื่อใจในตัวหญิงสาว เขาย่อมรู้จักมัทรีดีไม่น้อยกว่าตน

"ฉันผิดเอง ฉันทำมือถือหายเมื่อตอนมีงานที่ต่างจังหวัด แล้วในเครื่องก็มีรูปฉันกับน้องปลาย คนตาดีดันซูมเห็นนามสกุลฉันบนป้ายชื่อที่ข้อมือลูก"

คนฟังยังไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง

"แล้วแกไปหามัททำไม"

ธีธัชกระดกเครื่องดื่มสาดลงคอจนหมดแก้ว ความขมปร่าของมันยังไม่เท่าความขมขื่นใจ เขาใช้สันมือสองข้างกดเปลือกตาที่เต้นตุบ ภาพลูกน้อยเมื่อกลางวันกลับมาชัดเจนในความทรงจำอีกครั้งหนึ่ง

"พี่ปุ้มปุ้ยบอกว่าสมัยนี้คนดูเปิดกว้าง ยอมรับเรื่องส่วนตัวดาราได้มากขึ้น พี่เขาก็เลยคิดว่าถ้าฉันยอมรับความจริงน่าจะเป็นผลดีกว่า เผลอๆ อาจมีงานคู่กับลูกเสียด้วยซ้ำ"

บุรินทร์เดือดดาลในใจ เขาอยากกระชากตัวเพื่อนมาถามว่าจิตใจมันทำด้วยอะไร และมากไปกว่านั้นยังอยากต่อยผู้จัดการสาวหล่อที่ยัดความคิดบ้าๆ นี้ใส่สมองเพื่อนตน ทั้งที่เมื่อเกือบสองปีก่อนผู้จัดการคนนั้นคือคนที่เข้ามาแยกพ่อลูกออกจากกัน

"ที่แกมาดื่มอยู่นี่ คงเพราะผิดหวังที่จะไม่ได้มีงานคู่พ่อลูกสินะ" บุรินทร์เอ่ยเสียงเย็น

เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เขาจึงคว้าแจ็คเก็ตที่วางพาดกับพนักโซฟามาสวมก่อนลุกยืน

"ธีร์ มันเลวจริงๆ ว่ะ"

ธีธัชไม่โกรธที่ถูกต่อว่า เขาขบกรามแน่นพลางยกมือลูบหน้าเมื่อเพื่อนเดินจากไป

ชายหนุ่มนั่งเอนพิงพนักหวังให้น้ำตาที่รื้นขึ้นมาย้อนกลับลงไป แต่มันไม่ได้ผลนักเมื่อน้ำตาหยดหนึ่งซึมหยดจากหางตา เขามันเลวจริงๆ อย่างที่เพื่อนว่า เขาคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง

ทว่าบุรินทร์คงไม่รู้ ตอนที่เขาได้เห็นลูกอีกครั้งเมื่อกลางวัน นาทีนั้น...ธีธัชลืมสิ้นทุกเรื่องที่เกี่ยวกับตน

นี่เขามัวปั้นหน้ากลางแสงไฟอยู่ได้อย่างไร ที่ที่เขาควรอยู่ควรเป็นข้างเตียงนั้น และทำหน้าที่พ่อให้สมบูรณ์ไม่ใช่หรือ เขามีเงินทองมากพอจะพาแกไปรักษาที่ไหนบนโลกก็ได้

ใช่ เขาจะต้องได้ลูกสาวที่น่ารักกลับคืนมา

.................

ชายหนุ่มขับรถมาจอดยังสถานที่นัดหมายถ่ายทำซึ่งเป็นสวนสาธารณะใจกลางกรุง วันนี้แล้วที่ละครเรื่องล่าสุดของเขาจะปิดกล้อง และนี่ก็เป็นฉากสุดท้ายที่เขาต้องถ่ายทำ

พระเอกของเรื่องมองบรรยากาศรอบตัวพลางสะบัดศีรษะขับไล่ความง่วงงุน แสงแดดวันนี้ดูจะเจิดจ้ากว่าปกติจนเขาต้องหยีตา ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศในรถทำให้ไม่อยากก้าวออกไป ทว่าผู้ที่เดินตรงดิ่งมาทางนี้ก็ทำให้เขาจำต้องดับเครื่องลงมาเผชิญหน้าอีกฝ่าย

"เร็วเลยธีร์ นี่สายมาครึ่งชั่วโมงแล้วนะ"

"พี่ปุ้ม..."

"เรื่องอื่นไว้ก่อน รีบๆ ไปแต่งหน้าแต่งตัวเลยไป"

ธีธัชจำต้องเดินไปยังเต๊นต์เตรียมตัว พับเรื่องสำคัญที่เขาต้องการหารือกับผู้จัดการสาวหล่อไว้ก่อน

"เมื่อคืนหนักหรือคะ" เสียงทักดังมาจากนางเอกของเรื่องที่นั่งอ่านบทขณะรอเข้าฉาก

"อะไรนะ"

"แสดงว่าหนัก ตาลึกโหล สมองช้าขนาดนี้" พริมาเอ่ยเย้ากลั้วหัวเราะอย่างสนิทสนม

ธีธัชและพริมาเป็นคู่ขวัญกันมาหลายเรื่องจนสนิทสนมกันเหมือนพี่น้อง นอกจากนั้นบรรดาคนดูและแฟนคลับยังจับคู่ให้ดาราคู่นี้ลงเอยเป็นคนรักนอกจอกันเสียจริงๆ

"เครียดเรื่องข่าวหรือเปล่าพี่ธีร์"

นักแสดงสาวเลื่อนเก้าอี้ไปนั่งใกล้ขณะอีกฝ่ายกำลังนั่งให้ช่างจัดแต่งทรงผม

"อืม น่าเครียดไหมล่ะ"

"ไม่เห็นต้องเครียดเลย วันก่อนดาราอีกช่องเพิ่งแถลงข่าวยอมรับว่าใช้สารเสพติดไปเอง แล้วคนก็แห่ให้กำลังใจตอนเข้าบำบัดตั้งเยอะแน่ะ พี่ธีร์ก็คิดซะว่าดึงโมเมนตัมมาที่ช่องเราบ้างไง"

ธีธัชหลุดหัวเราะขำ ดูเหมือนทุกคนในกองถ่ายและคนที่สนิทใกล้ชิดกับเขาจะยอมรับข่าวนั้นได้ง่ายดาย ช่วยให้สบายใจส่วนหนึ่ง

"พี่ปุ้มปุ้ยว่าไงบ้างคะ"

"ก็คงไม่พอใจแหละ จริงๆ พี่เขาก็นอยด์ตั้งแต่เรตติ้งละครเรื่องก่อนไม่ดีแล้ว พอมามีข่าวเลยไปกันใหญ่"

"เอ๊ะ หรือพี่ปุ้มปุ้ยจะปล่อยข่าวสร้างกระแสซะเองนะพี่ธีร์"

ธีธัชงันไปอย่างคาดไม่ถึง เขาไม่ทันนึกถึงประเด็นนี้มาก่อนเลย แต่คำพูดของพริมาเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นที่ขาดหาย

ปุ้มปุ้ยอยู่ด้วยในวันที่มีงานโชว์ตัวคู่กับพริมาที่ต่างจังหวัด กว่าจะรู้ว่าโทรศัพท์หายไปเขาก็ไม่ทันปกปิดข้อมูลในเครื่องแล้ว

ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในวงการบันเทิงที่ผู้จัดการส่วนตัวจะสร้างกระแสให้ดาราในสังกัดด้วยข่าวในทางลบ นักแสดงบางคนรู้เห็นเป็นใจ แต่นั่นไม่ใช่กับเขา เขาไม่ต้องการดึงใครมาเป็นเครื่องมือทั้งนั้น ธีธัชอยู่ในแวดวงนี้พอที่จะรู้ความเป็นไป หากไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งมันอาจเกิดขึ้นกับตน

"เฮ้ยพี่ธีร์ พริมพูดเล่น"

พริมาตีท่อนแขนเรียกสติอีกฝ่ายที่นิ่งงันไป เธอผละไปซ้อมบทและบล็อกกิ้งกับผู้กำกับ หารู้ไม่ว่าคำพูดของตนสะกิดความคิดชายหนุ่มไปไกลกว่าแค่คำพูดเย้าแหย่กัน

ธีธัชนึกถึงผลประโยชน์ที่ผู้จัดการของตนจะได้รับหากเขามีงานแสดงตัวเข้ามา ไหนจะละครที่กำลังถ่ายทำนี้ก็ใกล้ออกอากาศเต็มที และถ้าลูกของเขาน่ารัก แน่นอน เด็กหญิงปลายฟ้าย่อมต้องมีเค้าหน้าตาดีจากพ่อและแม่เช่นเดียวกับลูกดาราคนอื่น นั่นหมายถึงงานถ่ายแบบและงานโฆษณาที่จะเข้ามา

ทว่าปุ้มปุ้ยคงต้องผิดหวัง และเขาจะไม่ยอมเชื่อฟังผู้จัดการทุกเรื่องอีกต่อไป

....................

การถ่ายทำฉากสุดท้ายจบลงด้วยดี แม้ธีธัชจะมีเรื่องวุ่นวายในหัวมากแค่ไหน แต่ทันทีที่ผู้กำกับสั่งเดินกล้องเขาก็ลืมเรื่องส่วนตัวไปชั่วขณะ และเป็นอีกคนในบทบาทที่ตนแสดง

จวบจนผู้กำกับสั่งคัต บรรดาช่างแต่งหน้าช่างผมต่างกรีดน้ำตากับตอนจบอันแสนเศร้าที่พระนางต่างต้องรับผิดชอบหน้าที่ซึ่งสวนทางกัน ช่างผมร่างท้วมคนหนึ่งตรงเข้ามาสวมกอดเขา ขณะที่ช่างแต่งหน้าอีกคนก็กอดกับพริมาซึ่งหันมาหัวเราะขันกับเขาแทน

ปุ้มปุ้ย ผู้จัดการสาวมาดทอมตรงเข้ามาขัดขวางช่วงเวลาแห่งความสุขนั้น เธอดึงแขนธีธัชออกมาพลางสั่งให้รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะทางกองถ่ายกำลังจะเปิดให้นักข่าวที่มารอได้เข้ามาทำข่าวปิดกอง

"ทำไมต้องหลบ ก็พี่จะให้ผมยอมรับกับสื่ออยู่แล้วนี่"

"อย่ามาทำเป็นเด็กน้อยในวงการหน่อยเลยธีร์ เรื่องใหญ่แบบนี้ต้องจัดงานแถลงเป็นกิจจะลักษณะ แล้วนายน่ะจัดการเรื่องตัวเองเรียบร้อยหรือยัง"

"ยัง" เขาตอบสั้น หากในใจคิดไปไกล

"เห็นไหม แล้วมาทำเป็นพูด"

ธีธัชเดินหนีด้วยการเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในเต๊นต์สำเร็จรูป เมื่อกลับออกมาอีกครั้งก็เห็นปุ้มปุ้ยกำลังวุ่นวายกับกระเป๋าข้าวของของตนพอดี ในมือผู้จัดการสาวหล่อคือแท็บเล็ตของเขานั่นเอง

ชายหนุ่มนิ่วหน้าครุ่นคิดถึงคำพูดพริมา เมื่อก่อนเขาไม่เคยหวาดระแวงที่ผู้จัดการมายุ่มย่ามกับของใช้ส่วนตัว กระทั่งวันนี้...

"ทำอะไรพี่"

เขาเห็นปุ้มปุ้ยชะงักไป ก่อนจะเร่งมือเก็บของต่างๆ ใส่กระเป๋าเหมือนรีบร้อนเต็มที

"ก็เก็บของให้นายน่ะสิ เดี๋ยวได้ลืมอะไรไว้อีก"

"แล้วถ้าผมไม่ได้ลืม แต่มีคนขโมยไปปล่อยข่าวล่ะพี่"

ปุ้มปุ้ยงันไป เธอหันไปเผชิญหน้าพระเอกหนุ่มในสังกัด ก่อนหางตาจะเหลือบเห็นทัพนักข่าวกำลังก้าวตรงมา

"ไปก่อนไป เดี๋ยวพี่รับหน้านักข่าวเอง"

ผู้จัดการส่งกระเป๋าคืนชายหนุ่มก่อนตนจะเดินสวนไปอีกทาง ธีธัชหันมองก็เห็นปุ้มปุ้ยยกมือทักทายนักข่าวจากหลายสำนักอย่างคุ้นเคยกันดี

พระเอกหนุ่มเบือนหน้ากลับมาพลางถอนหายใจ เพิ่งรู้สึกว่าเขาอยู่วงการนี้มากว่าหกปี แต่ไม่มีใครที่ตนไว้ใจได้เลย แม้แต่ผู้จัดการที่เคยไว้ใจที่สุดก็ตาม

...............

"น้องปลาย คนสวยของป้าหยก ไหน ยิ้มหวานซิลูก ยิ้มหวานหน่อยเร้ว"

มัทรีมองเพื่อนแหย่ลูกน้อยด้วยรอยยิ้ม เจ้าตัวเล็กดูจะดีใจที่ได้พบแขกคุ้นหน้าเช่นกัน แกพยายามส่งเสียงอ้อแอ้ได้แผ่วเบา

"อยู่กับหลานไปก่อนนะแก เดี๋ยวหาน้ำหาท่ามาให้"

โยษิตาพยักหน้า เธอชินกับการรับแขกในห้องนอนของเพื่อนเสียแล้ว เพราะศูนย์กลางของความรักความใส่ใจอยู่ในห้องนี้นั่นเอง

กว่าปีมาแล้วที่มัทรีมักขลุกอยู่แต่บ้านเพื่อดูแลลูกน้อย จะออกไปไหนมาไหนก็เมื่อส่งดอกไม้ให้ลูกค้าเท่านั้น เงินเดือนจากงานประจำที่เคยทำก็กลายเป็นรายได้จากการขายส่งดอกไม้ต้นไม้หรือรับออกแบบจัดแต่งสวนแทน และเวลานั้นมารดาของเพื่อนก็จะรับหน้าที่ดูแลหลานแทน

เธอไม่รู้ว่ามัทรีรับผิดชอบทั้งหมดนี้โดยไม่ปริปากบ่นได้อย่างไร แต่โยษิตาเคยเห็นเพื่อนร้องไห้แค่สองครั้ง คือตอนที่พระเอกหนุ่มอย่างธีธัชกับผู้จัดการมาดทอมมาทำสัญญาไม่ยุ่งเกี่ยวต่อกัน และตอนที่หมอแจ้งข่าวร้ายเรื่องเด็กหญิงปลายฟ้าให้รับทราบเท่านั้น

"โบ้เลือกดอกไม้อยู่กับแม่ฉันแน่ะ แกไม่ไปดูบ้างล่ะ ฉันให้เป็นของขวัญแต่งงานแถมโปรฯ จัดสวนฟรีนะเว้ย"

มัทรีกลับมาพร้อมแก้วน้ำดื่ม มีวุ้นน้ำหวานในถ้วยพลาสติกรูปหัวใจใส่จานเล็กมาด้วย

"ไม่ล่ะ ให้โบ้เลือกไปเถอะ เขารู้ว่าฉันชอบอะไร" เจ้าสาวหมาดๆ เอ่ยพลางยักคิ้ว

มัทรีผลักไหล่เพื่อนอย่างหมั่นไส้ ทั้งสองนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงที่นอนของเธอ ติดกันคือเตียงเด็กที่ลูกน้อยนอนมองโมบายตุ๊กตาสีสันสดใสซึ่งแขวนไว้ปลายเตียง

"แกก็อุตส่าห์ทำขนมเนอะ เอาเวลามาดูแลตัวเองบ้างเถอะคุณแม่มัท"

"มันไม่ได้ยากนี่นา น้องปลายก็เป็นเด็กดีของแม่เนอะ" เธอเอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อยกับลูกในประโยคหลัง พร้อมกับเขี่ยนิ้วบนแก้มใสของแก

โยษิตามองภาพนั้นอย่างสะท้อนใจ มัทรีดูจะยอมรับความจริงได้มากขึ้น มีความสุขมากขึ้น ตรงข้ามกับใครอีกคนที่บุรินทร์เล่าให้ฟัง

"เออ ฉันได้ยินว่า... โบ้บอกน่ะว่าวันก่อนพี่ธีร์มาหามัทเหรอ"

มัทรีชักมือกลับมา เธอผินมองเพื่อนพลางส่งเสียงตอบรับส่งๆ ไป

"อื้อ"

"โบ้บอกว่าพี่ธีร์โกรธที่เราไม่บอกเรื่องน้องปลาย"

"ก็เราทำตามสัญญาของเขานี่นา แกอย่าใส่ใจเลย ถ้าโกรธเขาคงโกรธฉันมากกว่าที่เลี้ยงลูกไม่ดี"

"ถ้าจะมีใครว่าแกอย่างนั้นนะมัท ฉันเถียงขาดใจเลย แกมันสุดยอดคุณแม่อ่ะ ฉันนับถือแกจริงๆ"

"บ้า ยัยเว่อร์" สุดยอดคุณแม่เอ่ยอย่างทั้งขันและขัดเขิน

โยษิตามองรอยยิ้มของเพื่อนพร้อมกับนึกชื่นชม ดูเหมือนเรื่องราวของธีธัชจะไม่ส่งผลใดต่อความรู้สึกเพื่อนอีกแม้แต่น้อย หรือไม่.. .มัทรีก็มีลิ้นชักในหัวใจที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกที่มีต่ออดีตคนรักไว้ลึกสุดใจกระมัง

หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องไปพูดคุยถึงผู้คนที่คบหา เล่าข่าวคราวต่างๆ ให้เพื่อนฟัง

"เมื่อวันก่อนที่เรากลับจากฮันนีมูน เราเจอพี่อาร์มที่สนามบินด้วยล่ะ"

โยษิตาหมายถึงชนะพล คนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงที่เป็นเจ้าของบริษัทออกแบบและตกแต่ง เขาเป็นเจ้านายของเธอและอดีตเจ้านายของมัทรี ทั้งยังเป็นญาติห่างๆ ของบุรินทร์อีกด้วย

หลังศึกษาจบจากคณะมัณฑนศิลป์ พวกเธอก็ถูกอดีตรุ่นพี่อย่างชนะพลดึงตัวไปร่วมงาน ทว่าบุรินทร์ซึ่งเพิ่งย้ายมหาวิทยาลัยมาเรียนรุ่นเดียวกับพวกตนนั้นเลือกศึกษาต่อปริญญาโท หน้าที่การงานของมัทรีจึงเป็นส่วนให้ได้รู้จักธีธัช เพื่อนสนิทสมัยมัธยมของบุรินทร์นั่นเอง

"พี่อาร์มไปไหนล่ะ"

"เปล่า ไปส่งน้องฝ้ายไปซัมเมอร์ที่ออสเตรเลียน่ะ"

"โห น้องฝ้ายกี่ขวบเอง เก้าขวบล่ะมั้ง"

มัทรีย้อนนึกถึงบุตรสาวของอดีตเจ้านาย แกเป็นเด็กน่ารัก สดใส และกล้าแสดงออก บ่งบอกว่าผู้เป็นพ่อเลี้ยงมาอย่างเปิดกว้างพอสมควร

"ใช่ กำลังจะขึ้นปอสี่ พี่อาร์มเลยให้ไปอยู่กับครอบครัวใหม่ของแม่แกช่วงปิดเทอม เออ พี่เขาถามถึงมัทด้วย"

คนฟังนิ่วหน้าขันๆ เธอย้อนถามกลับไปอัตโนมัติมากกว่าอยากรู้จริงๆ

“ถามว่าอะไร”

"ถามว่าแกเป็นไงบ้าง น้องปลายเป็นไงบ้าง แม่แกเป็นไงบ้าง"

คราวนี้มัทรีหัวเราะขันออกมาเต็มเสียง ไพล่นึกถึงผู้ชายขาวตี๋ สวมแว่นกรอบเงิน ท่าทางใจดี แล้วเธอก็รู้สึกเหมือนเขามายืนถามคำถามเหล่านั้นต่อหน้าตน

"ทำเป็นขำไป ฉันว่าพี่เขาจะจีบแก"

"ฮะ..." แม่ลูกอ่อนอ้าปากเหวอ

"แน่ะๆ คิดไปถึงไหน หมายถึงจีบไปทำงานย่ะ"

มัทรีมองค้อนเพื่อนที่จงใจพูดจากำกวม หากโยษิตายังคงลอยหน้าลอยตาบีบวุ้นใส่ปาก พร้อมกับที่บุรินทร์ก้าวเข้ามาในห้องอีกคน

"คุยอะไรกันอยู่สาวๆ"

"คุยกันเรื่องพี่อาร์มยังไม่เลิกจีบยัยมัทน่ะสิ" ภรรยาสาวชิงตอบ

ทว่าแทนที่บุรินทร์จะแก้มุกของคนรัก เขากลับพยักหน้ารัวสนับสนุนอีกแรง

"เอาสิมัท คนนี้เรามั่นใจเว้ย แกลองเปิดใจให้พี่อาร์มดู อย่าให้ตัวเองจมปลักกับคนเลวๆ คนเดียว"

สองสาวหันมองหน้ากันอย่างฉงน น้ำเสียงของชายหนุ่มไม่มีแววล้อเล่นเช่นทุกครั้ง แล้ว 'คนเลว' ที่เขาเอ่ยถึงก็คงเป็นเพื่อนสนิทอย่างธีธัช คำเรียกขานอย่างนั้นจึงร้ายแรงเมื่อมันออกมาจากปากผู้ที่ไม่เคยว่าร้ายใคร

หรือธีธัชกับบุรินทร์จะทะเลาะกัน นั่นเป็นอย่างสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นในโลกอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับมิตรภาพระหว่างเธอและโยษิตา เพราะต่อให้มีเรื่องผิดใจกันเพียงใด พวกตนก็จะกลับมาปรับความเข้าใจกันได้ทุกครั้งไป เพราะคำว่า 'เพื่อน' คำเดียว

"ตกลงที่ทั้งสองคนรีบมาหาฉันหลังกลับจากฮันนีมูน คงไม่ใช่เพราะเอาของฝากมาฝากหรอกใช่ไหม" หญิงสาวถามยิ้มๆ

ยิ่งเห็นโยษิตาถองศอกใส่สามี มัทรีก็ยิ่งมั่นใจ

"เพราะเรื่องที่พี่ธีร์มาหาฉัน" เธอคาดเดาต่อ ก่อนจะรบเร้าอย่างอ่อนใจ "บอกมาเถอะน่า พวกแกก็รู้ว่าฉันไม่รู้สึกอะไรกับเขาแล้ว ฉันยังดูละครเขาเลยแก"

โยษิตาหัวเราะแปร่งปร่า ขบขันคำพูดของเพื่อนที่ยังมีอารมณ์ขันแม้กระทั่งเวลานี้

บุรินทร์สูดหายใจลึก แม้จะไม่กล้าทำร้ายจิตใจหญิงสาวด้วยการบอกว่าธีธัชแสดงความผิดหวัง รับไม่ได้ในตัวลูก แต่เขาคิดว่าควรบอกเธอบางอย่าง มิเช่นนั้นเจ้าหล่อนก็คงทวงถามด้วยความสงสัยอยู่นั่นเอง

"มัทเห็นข่าวไอ้ธีร์หรือเปล่า มีคนปล่อยข่าวว่าธีร์ซุกลูกเมียไว้"

มัทรีงันไปอย่างคาดไม่ถึง เธอคิดทบทวนถึงเหตุการณ์วันที่เขากลับมา เขาบอกว่ามีเรื่องปรึกษากับเธอ แต่ก็กลับไปก่อนทันทีที่ได้พบลูก พอเข้าใจเลาๆ แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด

"ฝากบอกพี่ธีร์ว่ามัทไม่มีวันปริปากบอกใครหรอก เราอยู่กันได้โดยไม่มีเขา สบายใจเสียด้วยซ้ำ"

หญิงสาวไหวไหล่พลางหันมองลูกน้อยบนเตียง แกหลับไปแล้วโดยไม่ร้องโยเย หรือถ้าลูกของเธอร้องไห้ดื้อรั้นบ้าง คนเป็นแม่อาจดีใจกว่านี้ก็เป็นได้

"ปลายฟ้าคือของขวัญที่มีค่าที่สุดในชีวิตฉัน ฉันไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้แล้วแก"

บุรินทร์สบตากับภรรยา เมื่อก่อนพวกตนเคยไม่เข้าใจคำพูดประโยคนั้นนัก แต่เมื่อเขากำลังวางแผนอนาคตข้างหน้ากับโยษิตา แค่เพียงจินตนาการว่าจะมีชีวิตน้อยๆ เข้ามาเติมเต็ม ชายหนุ่มก็เริ่มเข้าใจเพื่อนสาวมากขึ้น

เพื่อนสนิททั้งสามลืมหัวข้อสนทนาไปชั่วขณะเมื่อนางอัมพรก้าวเข้ามาในห้อง มารดาของมัทรีเป็นสตรีวัยกลางคนรูปร่างสมส่วน ผิวเกรียมแดดไปสักหน่อยก็เพราะทำงานกลางแจ้งมาเกินครึ่งชีวิต อัมพรมาตามหนุ่มสาวสามคนลงไปข้างล่าง โดยตนรับไม้อยู่ดูแลหลานต่อแทน

.....................

จะมีใครเอาใจช่วยธีธัชไหมน้าาา
งานนี้นอกจากจะต้องง้อเมียยังต้องระแวงว่าใครปล่อยข่าวอีกนะคะ
แต่แพรวอ่ะบอกเลยว่าสมแล้ววว หุๆ



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มิ.ย. 2558, 15:41:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มิ.ย. 2558, 15:41:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1572





<< บทนำ   บทที่ ๒ >>
แว่นใส 6 มิ.ย. 2558, 20:37:10 น.
สมน้ำหน้านายธีร์


Zia 7 มิ.ย. 2558, 13:30:09 น.
น้องปลายเป็นอะไรอ้ะ ตามๆๆๆ


ภาพิมล_พิมลภา 7 มิ.ย. 2558, 15:40:41 น.
คุณแว่นใส - แพรวก็อยากให้มัทใจร้ายค่ะ

คุณZia - มารู้จักโรคไปพร้อมธีธัชกันนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account