หัวใจค้นรัก
เป็นนิยายที่แต่งจบแล้วเก็บใส่ลิ้นชักมานาน นำมาแปะให้อ่านระหว่างเตรียมต้นฉบับส่ง สนพ. ค่ะ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 1

“อะไรนะครับ?!” ประโยคนั้นดังลั่นมาจากริมฝีปากของชายหนุ่มผมดำ ผิวขาว ร่างยาวสูงสง่า ที่สำคัญสวมแว่นสายตากรอบรีสีดำสนิท โทนเสียงและสีหน้าที่เขาใช้ราวกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินก่อนหน้ามันเป็นเรื่องร้ายแรง ร้ายแรงมากๆชนิดคอขาดบาดตายทีเดียว

“อาริศจะให้ผมไปประชุมวิชาการที่เชียงใหม่กับใครนะครับ?!”

ศาสตราจารย์สาริศ รัชกร เอนกายพิงพนักเก้าอี้ทำงานก่อนจะเหลือบตามองหน้าชายหนุ่มวัย ๓๒ ที่กำลังยืนจังก้าหน้าเครียดอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเขา

เห็นแล้วก็รู้สึกขัดใจ เขาไม่เคยจะนึกชอบไอ้แว่นตาบ้าๆที่หมอนี่มันใส่อยู่เลยจริงๆ

คนคิดพ่นลมหายใจออกไปพรืดใหญ่ก่อนย้อนเข้าให้

“นี่หูแกมันไม่ดีไปแล้วหรือไง หรือว่าปริญญาเอกสองใบที่ได้มาทำให้ประสาทหูแกพังไปแล้ว”
“ไม่ตลกสักนิดนะครับ!”
“เออ! ก็ถ้าแกแปลคำด่าของฉันเป็นเรื่องตลกล่ะก็ แกก็ควรไปหาจิตแพทย์ได้แล้ว”

ชายหนุ่มตรงหน้าได้แต่ทำปากพะงาบ นี่ก็อีกที่ศาสตราจารย์สาริศเห็นแล้วต้องนึกขำ ขำที่ว่าไอ้หมอนี่ไม่รู้จักจำเสียเลยหรือไร ว่าการมาทุ่มเถียงกับผู้ที่มีวุฒิ มีวัย มีการควบคุมอารมณ์ที่ดีกว่า มิหนำซ้ำยังมีศักดิ์เป็นอาแท้ๆของมันด้วยจะทำให้มันต้องหมดท่าง่ายดายเสมอ!

แต่แน่ละว่าคนหัวแข็งอย่าง ปัณณวิชญ์ รัชกร ไม่เคยจะยอมอะไรง่ายๆอยู่แล้ว

“แต่...แต่คนตั้งเยอะแยะมากมายนะครับ แล้วทำไมผมถึงต้องไปกับ...” ปัณณวิชญ์หยุดชะงัก มันราวกับชื่อที่จะต้องเอ่ยออกมานั้นเป็นอะไรที่เกินจะรับได้ ซึ่งท่าทางอั้นๆแบบนั้นก็ก่อความรำคาญให้ศาสตราจารย์สาริศนักหนา เลยจงใจต่อให้จบๆประโยคไปว่า

“กับชลนิกานต์”
“ใช่! ทำไมผมถึงต้องไปชลนิกานต์!”

ศาสตราจารย์สาริศส่งเสียงหัวเราะหึๆในลำคอ การติคนด้วยคำพูดตรงๆธรรมดาไม่ใช่อุปนิสัยของเขาอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับไอ้หมอนี่

ไอ้เจ้าหลานชาย ที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงลิบลิ่ว!

“ฉันค่อนข้างแปลกใจนะ ที่แกจะแกล้งไม่เข้าใจเหตุผลง่ายๆสองข้อที่ทำให้ฉันต้องส่งแกไปประชุมวิชาการร่วมกับชลนิกานต์ เอ๊ะ! มหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของอเมริกานี่เขาไม่น่าจะปล่อยให้มีนักศึกษาทึ่มๆจบออกมาได้นะ”

“มันไม่ได้เกี่ยวกันเลยนะครับอาริศ!” ปัณณวิชญ์ไม่เคยยอมแพ้ โดยเฉพาะกับเรื่องนี้ เรื่องที่ชายหนุ่มคิดว่าบ้าที่สุดในชีวิต

“เกี่ยวสิวิชญ์” ศาตราจารย์สาริศเอ่ย สีหน้าและแววตาเริ่มจริงจังเมื่อต้องการให้ฝ่ายตรงข้ามตั้งใจฟังสักที “เมื่อไหร่แกถึงจะลดอคติลงฮึ? มันสมควรด้วยประการทั้งปวงที่ชลนิกานต์จะได้ไปประชุมวิชาการหนนี้ เพราะเขาเป็นผู้ช่วยวิจัยของแก แล้วยิ่งกว่านั้น เขาก็ยังเป็น...”

“พอแล้วครับ!” ปัณณวิชญ์โพล่งขึ้นดังลั่น “ผมไม่อยากได้ยินคำนั้น!”

ศาสตราจารย์สาริศหัวเราะขำ

“ดี ทีนี้ก็หวังว่าแกคงจะไม่มีปัญหาอะไรอีกนะ”

แต่ทว่า...

“มีครับ!” ปัณณวิชญ์ยังคงตะโกนก้อง ส่งผลให้ศาสตราจารย์สาริศต้องมองอย่างเอือมๆ “การประชุมนี้มันจัดที่เชียงใหม่นะครับ มันต้องมีการค้างคืน!”

“แล้วยังไง?” ศาสตราจารย์สาริศย้อนถาม “ฉันก็ไม่ได้จองห้องให้แกพักด้วยกันกับเขานี่ เอ...หรือว่า...” ศาสตราจารย์หนุ่มใหญ่วัย ๕๕ แสร้งหรี่ตา ด้วยประสบการณ์ที่มากกว่าทำให้เขาสามารถนึกหาวิธีดัดหลังคนที่คิดว่ามั่นใจในตัวเองสุดๆ แต่กลับหลุดลุ่ยได้ทุกทียามได้ยินชื่อคนที่เจ้าตัวบอกปาวๆว่าไม่ชอบ

“หรือว่า ใจจริงแล้วแกก็อยากจะให้มันเป็นแบบนั้นถึงได้พยายามมายั่วโมโหให้ฉันหมั่นไส้แก”
แล้วก็ได้ผลดีเสียยิ่งกว่าอะไร

“ไม่มีทางละ! ผมไม่มีวันคิดอย่างงั้นแน่นอน!”
“ก็ดี เพราะฉะนั้นมันก็ถูกต้องแล้วที่ฉันจะไว้ใจแก เพราะแกจะเป็นสุภาพบุรุษที่สุดจะห่างเหินกับเขาไม่ใช่หรือ”
เจอมุกนี้เข้าไปปัณณวิชญ์ก็ได้แต่อึ้ง ก่อนจะผลุนผลันออกจากห้องไปด้วยอาการหงุดหงิดใจ เห็นอย่างนั้นศาสตราจารย์สาริศก็ได้แต่ลอบถอนใจ

เฮ้อ! ไอ้หมอนี่ อัจฉริยะจะตาย ดั๊นไม่รู้ใจตัวเอง พับเผื่อยสิ!

................

“อะไรนะคะ?!” เสียงถามดังโพล่งออกมาจากเจ้าของร่างบอบบางสะโอดสะองก่อนที่ใบหน้าจิ้มลิ้มขาวใสจะสะบัดพรืดจากภาพอะไรสักอย่างในกล้องจุลทรรศน์แล้วเงยขึ้นสบตาคนพูด

“อาจารย์จะให้น้ำไปประชุมวิชาการที่ไหนนะคะ?”

ศาสตราจารย์สาริศต้องอมยิ้มนิดๆเมื่อรู้สึกได้ว่า คนสองคนนี่มันออกจะมีอะไรคล้ายกันหลายอย่างทีเดียว หนึ่งละหูไม่ดีเหมือนกัน ศาสตราจารยหนุ่มใหญ่หัวเราะขำก่อนเอ่ยตอบคำถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ

“เชียงใหม่”

แต่ทว่า...รู้สึกอาการประสาทหูไม่ดีของหญิงสาวคนนี้ออกจะหนักกว่าชายหนุ่มคนแรกอยู่สักหน่อย เพราะเจ้าหล่อนถึงกับร้องทวนคำตอบอีกครั้ง

“เชียงใหม่งั้นหรือคะ?”
“ใช่ ประชุมที่เชียงใหม่ สองวัน ไปไหมล่ะ?”

ดวงตาของ ชลนิกานต์ วรวรรณ เปล่งประกายขึ้นมาไวเสียยิ่งกว่าปฏิกิริยาของไฟที่อยู่ใกล้กับน้ำมันเสียอีก
“ไปค่ะ! ไปๆ” ชลนิกานต์ว่า แถมการันตีด้วยการพยักหน้าให้หลายหงึก ก่อนดีดตัวลุกพรึบจากโต๊ะทำแล็บตัวยาวแล้วเริ่มกระโดดโลดเต้นไปมาราวเด็กน้อยได้ของเล่นโดนใจ และก็แน่นอนว่า เธอไม่ได้ยินเสียงประตูห้องวิจัยที่เปิดออกพร้อมๆกับที่ใครบางคนสาวเท้าเข้ามาด้วยหน้าตาบูดบึ้งสักนิด

แต่สำหรับคนหูตาว่องไวอย่างศาสตราจารย์สาริศ แม้ความเคลื่อนไหวแค่มด ก็ล้วนแต่อยู่ในความรับรู้ของเขาทั้งสิ้น แต่ทว่าศาสตราจารย์สาริศก็เพียงคลี่ยิ้มออกมานิดๆ และเลือกที่จะให้ความสนใจกับร่างที่กระโดดหย็องแหย็งไปมาต่อไป

“ฮ่าๆ เชียงใหม่ๆ เป็นจังหวัดที่น้ำใฝ่ฝันอยากไปให้ได้สักครั้งในชีวิตเลยค่ะอาจารย์" ชลนิกานต์ประกาศอย่างเริงร่า ท่าทีที่เจ้าหล่อนแสดงออกมาราวกับไม้ได้มีคำว่าประชุมวิชาการวางอยู่หน้าคำว่าเชียงใหม่เลย

โธ่! ก็จริงๆแล้วมันไม่ได้เครียดขนาดนั้นสักหน่อย เพราะเขาไม่ได้ประชุมกันทั้งวันทั้งคืน แค่เวลาราชการเท่านั้นหรอก พอนอกเวลาราชการแล้วก๊อ...

คนคิดนัยน์ตาวิบๆจนศาสตราจารย์สาริศต้องดักคอ

"เริ่มวางโปรแกรมเที่ยวเชียงใหม่แล้วล่ะสิ" ศาสตารจารย์สาริศยิ้มพราย ใบหน้าและแววตาดูจะมีลับลมคมในนิดๆ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยจะมีอคติใดๆก็ย่อมจับอาการนั้นไม่ได้อยู่แล้ว แต่สำหรับ อีกคน ที่อคติอยู่เต็มเปี่ยมน่ะ ย่อมจะเกิดอาการหงุดหงิดหนักกว่าเก่า!
"แหะๆ" ชลนิกานต์ยิ้มแหย "แหม มันก็"
"แต่อาไม่ได้จะให้น้ำไปคนเดียวหรอกนะ" ศาสตราจารย์สาริศบอก

สรรพนามแทนตัวว่าอาที่เอ่ยออกมาไม่ใช่ความผิดพลาด เพราะความสัมพันธ์ระหว่างชลนิกานต์กับศาสตราจารย์นั้นมีมากกว่าการเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์ แต่ก็หาใช่ความสัมพันธ์ฉันญาติร่วมสายโลหิตแต่อย่างใด หากเป็นความเอื้อเอ็นดูอย่างผู้ใหญ่ใจดีที่มีต่อเด็กคนหนึ่งซึ่งเขามองเหมือนลูกเหมือนหลานเท่านั้น
ทว่าถึงแม้จะรู้จักกันมาตั้งแต่ชลนิกานต์ยังเด็ก แต่หญิงสาวคนนี้ก็ไม่เคยเรียกศาสตราจารย์สาริศว่าอาสักที เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอได้เข้ามาเรียนต่อมหาวิทยาลัยในคณะที่ศาสตราจารย์สาริศเป็นอาจารย์สอนด้วย

"คะ?" คำพูดของคนเป็นศาสตราจารย์ส่งผลให้ชลนิกานต์ที่กำลังดีใจเกิดอาการชะงักค้าง ก่อนจะทวนคำ "ไม่ได้ไป...คนเดียว...งั้นหรือคะ"

ศาสตราจารย์สาริศอมยิ้มออกมา อ่านได้ง่ายนิดเดียวว่าความรู้สึกของชลนิกานต์ตอนนี้คงประมาณ เห็นเฆมฝนดำทะมึนส่อเค้าครึ้มกลางโปรแกรมท่องเชียงใหม่อันสดใส

"งั้น...ก็แปลว่า...น้ำจะต้อง..."
"ใช่" ศาสตราจารย์สาริศตอบรับ ก่อนบอกให้เต็มปากเต็มคำว่า "ด็อกเตอร์วิชญ์ก็ต้องไปด้วย"

"หา! นี่อาจารย์จะให้น้ำไปกะอีตาด็อกวัยทองงั้นเหรอคะ?" ชลนิกานต์ทำท่าเหมือนอยากจะสิ้นใจตายเมื่อได้ยินชื่อนั้น แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพร่ำได้ขาดคำ น้ำเสียงทุ้มๆผสมอารมณ์กรุ่นก็ดังขึ้น

"ขอโทษนะ"

ขอโทษนะ สามคำ ฟังดูมันก็เป็นคำแสนสุภาพ แต่แน่ล่ะ สำหรับชลนิกานต์ มันส่งผลให้ความรู้สึกจากเฆมทะมึนพลิกวับ แล้วก่อกลับ เป็นความรู้สึก เสียวสันหลังวาบๆเลย!

"แต่เมื่อกี้ คุณเรียกผมว่าอะไรมิทราบฮะ คุณชลนิกานต์?"

หญิงสาวทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้แล้วร้อง โอ้! ม่ายยยย ออกมาดังๆ แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะงั้นความจริงที่ชลนิกานต์ต้องยอมรับก็คือการหันไปเจอกับใบหน้าที่รู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อแถวๆหางตาจะกระตุกหน่อยๆ

"แหะๆ ด็อกเตอร์" แล้วเธอก็ทำอะไรได้ไม่ดีไปกว่าการยิ้มแหยๆ ได้แต่คิด (เข้าข้างตัวเอง) ว่ายังไงซะอีตาด็อกเตอร์นี่ก็คงไม่กล้าชำแหละเธอต่อหน้าศาสตราจารย์สาริศหรอก!

แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าความคิดแง่บวกอย่างนั้นจะเป็นเรื่องถูกไหม เพราะชายหนุ่มที่ถูกตั้งฉายา ดูจะตัวใหญ่ยักษ์ขึ้นมาเรื่อยๆยามก้าวเข้ามาหาชลนิกานต์ด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

"ด็อกวัยทอง...งั้นใช่มั้ย" ชายหนุ่มกัดฟันกรอด

ฮึ! ผู้หญิงอะไร ปากยังกับกรรไกร พอกันที วันนี้เขาจะจัดการกับผู้ช่วยวิจัยไร้ประสิทธิภาพแถมปากจัดคนนี้ให้ได้!

ปัณณวิชญ์ย่างสามขุมตรงเข้าหา แต่ทว่ายังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้จัดการอะไร ศาสตราจารย์สาริศก็ขยับเข้ามาขวางหน้าไว้ ปัณณวิชญ์จึงต้องหยุดอยู่กับที่

"มันก็แค่คำแซวกันเล่นๆขำๆน่าด็อกเตอร์" ศาสตราจารย์สาริศเอ่ยปรามอย่างจงใจ โดยเฉพาะคำสุดท้าย...ด็อกเตอร์

มันคงเป็นเรื่องตลกมากมายที่คนที่มีศักดิ์เป็นอาจะเรียกหลานชายแท้ๆของตัวเองเสียเต็มยศว่า ด็อกเตอร์ แต่ด้วยเหตุผลและความต้องการบางอย่างของปัณณวิชญ์เอง ทำให้หญิงสาวที่ชื่อชลนิกานต์ต้องรู้จักเขาในนาม

ด็อกเตอร์วิชญ์ วิสุทธิไพศาล!

ชายหนุ่มแค่นยิ้มเมื่อเค้นคำตอบรับออกมาจงใจไม่แพ้กัน

"อ้อ! งั้นหรือครับอาจารย์"
"เฮ้อ!” คนถูกเรียกอาจารย์แสร้งถอนใจเสียงดัง “อาจารย์งั้นหรือ ทำไมคุณถึงเรียกผมเสียเต็มยศขนาดนั้นเล่าด็อกเตอร์ ผมน่ะ ไม่รังเกียจเลยถ้าคุณจะตัดคำว่าจารย์ออกไปบ้าง"
"ไม่ละครับ เห็นจะไม่เหมาะ!"

ได้ยินคำสนทนาชลนิกานต์ก็ได้แต่กะพริบตาปริบๆ สีหน้าดูเหลอๆงงๆอย่างปิดไม่มิด เห็นแล้วศาสตราจารย์สาริศก็ได้แต่ยิ้ม

“อ้อ! คุณคงจะเกรงใจผมละสินะ ด็อกเตอร์” ศาสตราจารย์สาริศว่าก่อนจะตัดสินใจหันกลับไปสนทนากับชลนิกานต์อีกที

“งานนี้มีจัดสองวันนะ” เขาพลิกแผ่นพับประชาสัมพันธ์การประชุมวิชาการด้านชีววิทยาระดับนานาชาติที่ถืออยู่ในมือไปมา “ยี่สิบกับยี่สิบเอ็ด อืม รู้สึกว่ามันจะตรงกับวันพุธ-พฤหัสฯ” พูดเสร็จศาสตราจารย์สาริศก็เงยหน้าขึ้นมา เห็นชลนิกานต์พยักหน้ารับถี่ๆ รอยยิ้มปรากฏพราว ดวงตาก็กลับมาเต้นวะวาวอย่างห้ามไม่อยู่

ศาสตราจารย์สาริศอมยิ้มอีกนิดกับท่าทีที่กระตือรือร้นของหญิงสาว แต่ทว่าจากสายตาของปัณณวิชญ์ เขาไม่คิดว่าท่าอย่างนั้นของชลนิกานต์จะเรียกกระตือรือร้น แต่มันควรเรียก จิตประหวัดฝักใฝ่ เสียมากกว่า! เพราะเขารู้เลยว่าผู้หญิงที่หาสาระอะไรไม่ได้อย่างผู้ช่วยวิจัยเขาคนนี้ ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับความรู้ใหม่ๆที่จะตักตวงได้จากงานประชุมวิชาการหรอก แต่เจ้าหล่อนต้องกำลังคิดถึงวันพักผ่อนสุดสัปดาห์ พุธ พฤหัสฯ ศุกร์ เสาร์ที่เชียงใหม่ พนันกันได้เลย!

ฮึ! คิดแล้วก็กระทุ้งต่อมหงุดหงิดเขานัก!

ปัณณวิชญ์ตัดสินใจหมุนตัวออกมาให้ห่างจากโต๊ะแล็บตัวนั้น ก่อนจะกระแทกกุญแจที่อุตส่าห์งัดออกมาจากกระเป๋ากางเกงลงบนโต๊ะแล็บฝั่งตัวเองเสียงดังแกร็ก การกระทำนั้นอย่างกับจะประกาศให้คนทั้งโลกรับรู้ว่าตอนนี้เขาน่ะหงุดหงิด!

แต่แน่นอน คนทั้งโลกไม่ได้รู้ เพราะแค่สองคนที่อยู่ตรงนั้นยังดูเหมือนจะไม่สนใจด็อกเตอร์ขี้หงุดหงิดเลย

“งานประชุมนี้ ตัวแทนที่ไปไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายอะไรเลยนะ” ศาสตราจารย์สาริศบอก “เพราะภาควิชาจะจ่ายให้ทั้งหมด ทั้งค่าลงทะเบียน ที่พัก รวมถึงค่าเดินทางทั้งหมดด้วย”
“โห...” ชลนิกานต์ร้องออกมา

ดีจัง! นี่เธอกำลังจะได้ไป(เที่ยว)เชียงใหม่แบบสุดคุ้มเลยนะนี่

และราวกับจะรู้ว่ารอยยิ้มและแววตาของสาวน้อยตรงหน้ามีความหมายอย่างไร ศาสตราจารย์สาริศจึงเอ่ยต่อ

“แต่เฉพาะสองวันที่มีงานประชุมนะ”

เท่านั้นเองใบหน้าวาวๆของหญิงสาวก็ดูราวจะแฟ่บลงไป ขณะที่ชายหนุ่มอีกคนเกิดอารมณ์อยากปล่อยก๊ากกะทันหัน! เพราะตั้งแต่กลับจากอเมริกามาแปดเดือนกว่าๆ ก็มีประโยคนี้แหละที่ศาสตราจารย์สาริศพูดถูกใจเขาที่สุด

จ่ายให้เฉพาะวันที่มีการประชุม!

“หึ...หึๆ” ปัณณวิชญ์ส่งเสียงขำในลำคอ ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่าทำไมตัวเองถึงต้องพยายามกลั้นหัวเราะจนเกินเหตุขนาดนั้น แต่นั่นก็ทำให้ชลนิกานต์หันขวับมา ใบหน้าดูจะพองแดงขึ้นนิดๆ หัวคิ้วชักจะย่นติดกันหน่อยๆ

โธ่! เห็นแล้วมันก็...

“ฮ่าๆๆ” ชายหนุ่มหัวเราะร่า และกิริยาแบบนั้นก็ทำให้ชลนิกานต์ต้องมองเขาตาเขียวปั้ด นึกฮึ่มๆอยู่ในใจ
แบบนี้คือจงใจเย้ยกันที่สุดเชียวนะด็อกเตอร์! เอาเถอะ! ใครอยากหัวเราะ หัวเราะไป เธอไม่ได้หมดท่าง่ายๆหรอก เงินเก็บเธอก็มี แค่ค่ารถขากลับกับค่าที่พักวันสองวันแค่นี้ กระจิริด!

ชลนิกานต์เชิดหน้าใส่คู่อริที่หัวเราะร่วนก่อนกลับมาคิดมุ่งมั่นใหม่ เพราะปัญหาใหญ่ซึ่งดูสำคัญกว่าก็คือเธอต้องขอลางานในวันศุกร์ให้ได้ก่อนต่างหาก ชลนิกานต์หรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด ถ้าพูดกันตามจริง ตำแหน่งงานของเธอนั้นก็คือผู้ช่วยวิจัย ใช่! เธอเป็นผู้ช่วยนักวิจัย ผู้ช่วยวิจัยของ...

ด็อกเตอร์วิชญ์ไง...

อ๊าย! กับความจริงข้อนั้น ชลนิกานต์ก็แทบอยากเอาหัวโขกพื้นให้สลบตายคาที่ เพราะกับด็อกเตอร์วิชญ์ ความเป็นไปได้ที่เขาจะให้เธอลาคงเท่ากับติดลบสามสิบล้านเปอร์เซ็นต์!

โธ่! ทำไมสวรรค์ต้องกลั่นแกล้งให้ตาด็อกวัยทองนี่มาเป็นมาสเตอร์เธอด้วย ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ! คนคิดนึกพรรณนาตัดพ้อสวรรค์อยู่ร่ำๆ แต่นั่นคือเหตุการณ์ก่อนที่ชลนิกานต์จะเงยหน้าขึ้นมาเจอกับศาสตราจารย์สาริศต่างหาก!

ชลนิกานต์กะพริบตาปริบๆสองที จู่ๆความคิดเรื่องสายบังคับบัญชาที่สูงกว่าก็เด้งหวือเข้ามาในความคิด จริงสิ ถ้าคิดว่าขอมาสเตอร์แล้วเธอไม่มีวันได้ งั้นมันก็ต้องขอกับ...

ใช่! มาสเตอร์ของมาสเตอร์ไง!

ชลนิกานต์ยิ้มแก้มปริเมื่อในที่สุดก็พบทางสว่างสดใส แต่แล้วในเสี้ยวอึดใจ หญิงสาวก็พยายามคุมรอยยิ้มให้หุบกลับลงไปบ้าง ชลนิกานต์คิดว่าตนเองควรยิ้มแค่พองาม เพราะการกระดี้กระด๊าแสดงท่าคาดหวังเกินไปอาจบั่นทอนความสงสารเห็นใจที่ศาสตราจารย์สาริศมักมีให้เธออยู่แล้วประมาณ ๙๙.๙๕ เปอร์เซ็นให้ลดลงไปได้!

หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้ศาสตราจารย์สาริศอีกนิด

“อาจารย์คะ” ชลนิกานต์เปิดรอยยิ้ม กะพริบตาปริบๆอีกสักสองทีแล้วเอ่ยด้วยอากัปกิริยาที่ทำให้คู่สนทนาคิดว่าเธอไม่ค่อยจะมั่นใจ “เอ่อ...คือ...จะเป็นไปได้ไหมคะ ถ้าน้ำจะ...ขอลาพักร้อนตอนวันศุกร์นั้นด้วยน่ะค่ะ”

พูดไปชลนิกานต์ก็ต้องกลั้นใจรอฟังคำตอบ แม้ตามสถิติที่ผ่านมา เวลาเธอขออนุญาตเรื่องใดจากศาสตราจารย์สาริศ ความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จมักจะสูงเกือบร้อยเต็มเสมอ แต่ชลนิกานต์ก็ยังอดจะลุ้นไม่ได้อยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ ตอนที่มีสายตาคุๆจากใครบางคนส่งมา!

ศาสตราจารย์สาริศดูราวจะนิ่งไป แต่ในไม่ถึงอึดใจก๊อ...

“ได้สิ”
“เย่!” ชลนิกานต์ร้องออกพร้อมตวัดมือคว้าอากาศอย่างสะใจ แต่ทันใดเสียงขุ่นๆก็สวนพรวด
“ได้ยังไงครับ!” ปัณณวิชญ์ถามเสียงเครียด ชายหนุ่มอดรนทนไม่ได้ ต้องลุกจากโต๊ะแล็บตัวเอง แล้วเดินกลับมาประจันหน้ากับศาสตราจารย์สาริศอีกครั้งอย่างท้าทาย

“ชลนิกานต์จะลางานได้ยังไงถ้าผมไม่อนุญาต” เขาเน้นคำเต็มที่ แต่ศาสตราจารย์สาริศเพียงแค่คลี่ยิ้มที่มุมปากพร้อมเลิกคิ้วขึ้นมานิดๆ ปัณณวิชญ์จึงเค้นเสียงหนัก ประกาศอำนาจตัวเองชัด

“เขาเป็นผู้ช่วยวิจัยของผมนะ เขาจะหยุดงานได้หรือไม่ สิทธิในการตัดสินใจควรเป็นของผม!"

ชลนิกานต์ถึงกับเผลอกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อคิดว่านี่อาจเป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์เลยก็ได้ เพราะไม่เคยมีอาจารย์น้องใหม่ไร้ตำแหน่งวิชาการคนไหนที่จะกล้ายืนประจัญหน้าและทำท่าพร้อมจะงัดข้อกับคนระดับศาสตราจารย์ แถมยังควบตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาอีกต่างหาก ไม่เคยมีหรอก นอกจากด็อกเตอร์อีโก้จัดคนนี้เท่านั้น! นี่ถ้าไม่ติดว่าด็อกเตอร์วิชญ์นั้นเครียดและบ้าไปหน่อยแล้ว ชลนิกานต์ก็ต้องยอมรับ ว่าเขาเป็นคนที่น่าทึ่งมากๆคนหนึ่งเชียว

“อืม!” ศาสตราจารย์สาริศส่งเสียงฮืมฮัมในลำคอ “จริงด้วยสินะ”

แล้วก็ราวกับนักวิจัยที่ได้ผลการทดลองตามแผนที่วางไว้ทุกอย่าง ปัณณวิชญ์ยิ้มกว้างอย่างสมอารมณ์หมายและอดไม่ได้ที่จะหันไปชายตาเยาะเย้ยคนที่ต้องผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด

โธ่! เชียงใหม่ของฉัน! ชลนิกานต์นั้นทำหน้าร่ำๆเหมือนอยากจะร้องไห้อยู่ราวๆ ๓๐ วิก่อนที่จะปรับโหมดมาเป็นตาเขียวปั้ดยามส่งสายตาขุ่นๆออกไปฟาดฟันกับชายหนุ่มตรงหน้า

ที่จริงหญิงสาวก็พอจะเข้าใจนะว่าด็อกเตอร์วิชญ์น่ะไม่ค่อยชอบเธอ เพราะเธอไม่ใช่ประเภทเก่งขั้นเทพ ไอคิวสูงปรี๊ดแบบเดียวกับเขา แต่ให้ตกน้ำเลยสิเอ้า! กะอีแค่เธอเป็นผู้ช่วยที่ไม่ฉลาดเท่าที่เขาต้องการแค่นั้น เขาถึงกับต้องมาขัดขวางความสุขเธอถึงขนาดนี้เชียวหรือ?!

นึกแล้วจะไม่ให้เธอเคืองตาด็อกเตอรบ้านี่ได้ไง!

แต่ในเสี้ยวนาทีที่คิดว่าฝันสลายไปแล้ว จู่ๆน้ำเสียงนุ่มๆของศาสตราจารย์สาริศก็เอ่ย

“ถ้าอย่างนั้น คุณเองก็หยุดงานไปด้วยอีกคนเลยสิ ด็อกเตอร์”
“ฮะ?!”

มันอย่างกับถูกไม้หน้าสามฟาดเข้ากลางกระหม่อมก็ไม่ปาน ชายหนุ่มถึงกับสะบัดหน้าหันไปมองคนเป็นศาสตราจารย์ชนิดคอแทบเคล็ด แต่ศาสตราจารย์สาริศก็เอ่ย น้ำเสียงเรียบ ทรงอำนาจและที่สำคัญ จริงจังนัก!

“คุณได้ยินไม่ผิดหรอกด็อกเตอร์ ผมยอมให้คุณลาพักร้อนศุกร์หน้าที่จะถึงนี้ได้ด้วยอีกคนเลย”

ไม่ว่าจะใครในที่นั้นต่างก็เข้าใจชัด ว่าคำว่า ‘ให้’ ในประโยคนั้น มันมีความหมายเทียบได้กับคำว่า ‘ต้อง’ นั่นแหละ!

“ผมไม่เอา!” ปัณณวิชญ์บอกเสียงแข็ง ศาสตราจรย์สาริศเลยยิ้มเย็นเยือก มันนับครั้งกันได้ที่จะมีใครสามารถพอจะทำให้ผู้ใหญ่ที่อารมณ์เย็นเป็นน้ำแข็งขั้วโลกอย่างศาสตราจารย์สาริศ รัชกรโกรธ และแน่นอน คนเดียวที่ทำได้

“ก็ตามใจคุณสิด็อกเตอร์” ศาสตราจารย์สาริศพูด “แต่ผมคงต้องเลียนแบบประโยคของคุณเมื่อครู่มั้ง เพราะรู้สึกว่าโครงการวิจัยของคุณ ผมมีส่วนเป็นผู้ให้ทุนและควบคุมการวิจัย เพราะอย่างนั้น คุณจะทำงานวันไหน ได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผมมั้ง”

แม้แต่ชลนิกานต์ยังต้องเผลอกลืนน้ำลายลงคออีกครั้งเลย เพราะเมฆดำทะมึนของด็อกเตอร์วิชญ์เทียบพายุหิมะของศาสตราจารย์สาริศไม่ได้สักกระผีก

“เอาละ” ศาสตราจารย์สาริศยิ้มละไม ปรับโหมดเป็นท้องฟ้าสดใสในฤดูใบไม้ผลิเมื่อหันมาทางชลนิกานต์ “สรุปว่าศุกร์หน้าน้ำลางานได้ตามต้องการนะ เพราะอาเองก็อนุญาตให้นักวิจัยของอาหยุดได้เหมือนกัน”
..............

สวัสดีค่ะ

กรรมสิทธิ์หัวใจค้างไว้ เอาหัวใจค้นรักไปก่อนนะคะ เป็นเรื่องที่แต่งจบแล้ว แต่ด้วยเหตุผลทางจิตใจหลายประการทำให้พับเรื่องนี้เก็บใส่ลิ้นชักไว้ ตอนนี้ได้ฤกษ์แล้ว เอามาโพสต์ให้อ่านระหว่างที่คนแต่งไม่มีเวลาพอจะเข็นกรรมสิทธิ์หัวใจตอนใหม่มาให้อ่าน อืม...ฟังดูงงๆเนาะ อย่าถือสาคนติ๊งต๊องอย่างปารินเลย -_-!





ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ค. 2554, 20:45:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ก.พ. 2555, 11:03:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 3708





   ตอนที่ 2 >>
Coffee 16 ก.ค. 2554, 21:07:19 น.
จำได้ว่าเคยอ่านเรื่องนี่นานแล้ว แต่แค่ตอนเดียว ไม่แน่ใจว่าก่อนเรื่องนี้ มีเรื่องเรื่องที่เป็นภาคแรกของเรื่องนี้ไหมคะ


Coffee 16 ก.ค. 2554, 21:13:16 น.
เจอแล้วค่ะ เพราะรักร้อยดวงใจ


จิงโกะ 16 ก.ค. 2554, 21:27:46 น.
55 คู่กัด ออกมาจากไหดองแล้วว

เอามาลงจนจบก็ไม่ว่าเลย อิอิ อยากรู้ว่าด็อกฯ จะตัดความสดชื่นของน้ำแบบไหนอ่ะ


หมู้หมู 16 ก.ค. 2554, 23:02:57 น.
^^ อะไรก็ได้...


แพม 17 ก.ค. 2554, 00:36:04 น.
จบแน่นะคะ เรื่องนี้ งึมๆ แล้วทำไมตาด๊อกต้องไม่ชอบนางเอกด้วยล่ะ


lovemuay 17 ก.ค. 2554, 09:35:48 น.
เรื่องนี้น่ารักมากเลยค่ะ ทั้งพระเอกและนางเอก ^^


anOO 17 ก.ค. 2554, 13:51:25 น.
ไม่รู้จะเอาใจช่วยใครดี ระหว่างนางเอกกับพระเอก


ปาริน 17 ก.ค. 2554, 16:54:37 น.
คุณ Coffee : จำแม่นมากค่ะ ๕๕๕ คาแรกเตอร์เก่าจากเรื่องเพราะรักร้อยดวงใจนั่นแหละค่ะ (ด็อกเตอร์จอมวีนกะยายน้ำจอมโก๊ะเนอะ) แต่หลังจากวางโครงเรื่องใหม่แล้วก็เลยเปลี่ยนชื่อตัวละครใหม่ด้วยน่ะค่ะ ชื่อใหม่เพราะกว่าชื่อเก่า

คุณจิงโกะ : อ่ะ พระเอกนางเอกคู่ไหนที่ได้ออกจากไหดองของปารินนี่ต้องทำบุญมาดีมากๆนะ ว่ามั้ยคะ?

คุณหมู้หมู : อะไรก็ได้ ห้ามหายอย่างเดียวใช่มั้ย อืมๆ ไม่หายหรอกค่ะ ตอนนี้ปารินแค่เครียดๆ เนือยๆกับชีวิตแล้วก็งานเอกสารมากมาย(ที่ไม่ชอบเลยจริงๆสิน่า)ก็เลยทำให้ไม่ค่อยมีแรงในการแต่งนิยายเท่าไหร่ อยากให้ตัวเองหายจากอาการนี้เหมือนกันเนาะ จะได้กลับมาแต่งนิยายได้ซะที (เพราะเดี๋ยวคุณพีแกจะแก่งั่กเกินไป)

คุณแพม : โธ่! คุณแพมเลยกลัวปารินไปเลย จบค่ะ ถ้ามีความสามารถโพสต์ได้ทุกวันอย่างนี้ 25 วันแค่นั้น จบบริบูรณ์ ปัญหาก็อยู่แค่ว่าจะมีคนอ่านอ่านนิยายกิ๊กก๊อกของคนแต่งคนนี้รึเปล่าก็เท่านั้นแล

ส่วนพระเอกทำไมไม่ชอบนางเอกนั้น เดี๋ยวติดตามๆ

คุณ lovemuay : น่ารักไม่เท่าคนแต่งหรอกค่ะ

คุณ anOO : เอาใจช่วยปารินดีสุดค่ะ



เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account