โซ่พิสุทธิ์
มรสุมข่าวฉาวว่าซุกลูกเมียทำให้พระเอกหนุ่มอย่าง 'ธีธัช' ต้องหวนกลับไปหาอดีตคนรักอีกครั้งเพื่อขอความร่วมมือจากเธอกอบกู้ภาพลักษณ์คืนมา เขาหวังใช้ความน่ารักของลูกสาวเรียกคะแนนนิยมจากประชาชน
แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นดังคิด ยิ่งรับรู้ความจริง ธีธัชกลับไม่ต้องการแค่ภาพครอบครัวจอมปลอม แต่ต้องการมัทรีและลูกในชีวิตนับแต่นี้ไป
เธอบอกว่าความรักเหมือนดอกไม้ที่โรยรา แต่เขาคิดว่าความรักไม่ต่างจากดอกไม้ที่จะผลิบานได้ด้วยการรดน้ำใส่ปุ๋ยที่ชื่อความจริงใจอีกครั้งหนึ่ง
fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นดังคิด ยิ่งรับรู้ความจริง ธีธัชกลับไม่ต้องการแค่ภาพครอบครัวจอมปลอม แต่ต้องการมัทรีและลูกในชีวิตนับแต่นี้ไป
เธอบอกว่าความรักเหมือนดอกไม้ที่โรยรา แต่เขาคิดว่าความรักไม่ต่างจากดอกไม้ที่จะผลิบานได้ด้วยการรดน้ำใส่ปุ๋ยที่ชื่อความจริงใจอีกครั้งหนึ่ง
fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๔
๔
หลังจากเมาหลับไปหนึ่งคืนและใช้เวลาทั้งหมดอยู่บนเตียงตลอดวันที่ผ่านมา ธีธัชก็เริ่มรวบรวมสติคิดได้ว่าเขากำลังใช้ช่วงเวลาในวันหยุดของตนไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ทั้งที่เวลานี้เขาควรแวะไปหาลูก ไปดูแลแกให้สมกับที่เคยบกพร่องต่อหน้าที่พ่อนับแต่แกเกิดมา
ชายหนุ่มลุกจากเตียงสะโหลสะเหล เขาสั่งตัวเองให้อาบน้ำและขับรถออกไป แต่เมื่อลงบันไดมาพบประตูห้องโฮมเธียเตอร์เปิดค้างไว้ ธีธัชก็คล้ายจะเห็นภาพในอดีตที่เขาเคยใช้เวลาพักผ่อนส่วนใหญ่กับแขกพิเศษอยู่ในห้องนี้ทั้งวัน และบางครั้งก็ทั้งคืน
"อ้าวธีร์ ป้าต้มข้าวต้มไว้แน่ะ กินก่อนสิ" เสียงของสตรีวัยกลางคนเรียกสติหลานชายกลับมา
แก้วตาเป็นป้าแท้ๆ ของธีธัชและถูกน้องสาวขอร้องให้มาช่วยดูแลบ้านให้หลานชาย เพราะผู้เป็นแม่นั้นยังมีอีกฐานะหนึ่งคือคนรับใช้ในบ้านเจ้าสัวใหญ่เจ้าของธนาคาร ที่ที่ธีธัชเกิดและเติบโตมาพร้อมกับความกดดันจากบิดาซึ่งเป็นที่นับหน้าถือตาของสังคม คุณหญิงภรรยาของท่าน และพี่น้องที่ต่างแก่งแย่งชิงดี
แก้วตาเป็นคนเดียวที่แสดงออกด้วยความยินดีอย่างเปิดเผยเมื่อแรกรู้ว่าเขาได้เข้าสู่วงการบันเทิง ป้าคิดเช่นเดียวกับเขาว่านั่นคือเส้นทางลัดไปสู่ความสำเร็จอันรวดเร็ว และลึกลงไปในใจธีธัช...เขาโหยหาการได้รับการยอมรับประสาคนที่เกิดมาในสถานะต่ำต้อยกว่าลูกๆ คนอื่น
"พูดแล้วหิวเลยฮะ เดี๋ยวผมไปตักเอง"
ภายในครัวที่มัทรีออกแบบสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบไม่ต่างจากวันแรกเห็น ตู้สีขาวตัดกับแผ่นหินแกรนิตสีดำมัน มีอุปกรณ์งานครัวครบครันแม้จะบอกได้ว่าไม่เคยใช้ครบทุกชิ้นเลยก็ตาม
ชายหนุ่มนั่งทานง่ายๆ บนเก้าอี้ทรงสูงติดกับเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม ก่อนที่แก้วตาจะตามเข้ามาหลังทำความสะอาดบ้านเสร็จ และเขาก็นึกรู้ว่าป้าคงมีเรื่องอยากพูดกับตน
"เมื่อวานแม่โทร. มาแน่ะธีร์ คงอยากถามธีร์เรื่องข่าว"
เขาไม่เคยทายผิดสักครั้ง ทุกครั้งที่เขามีข่าวเสื่อมเสียแม่มักจะโทรมาถามไถ่เสมอ ไม่ใช่ด้วยความห่วงใย แต่เพราะห่วงว่าเขาจะทำลายชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลบิดา
"ป้าบอกไปว่าไงฮะ"
"เฮอะ ธีร์น่ะหรือจะมีเวลาไปคบใคร ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ป้าก็เห็นธีร์ทำแต่งาน แทบไม่มีเวลากลับบ้านด้วยซ้ำ"
"แล้วถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะครับ" หลานชายหยั่งเชิงถาม
เขาต้องยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกผิด ท่าทางป้าคงตกใจไม่น้อยเมื่อท่านยกมือกดหน้าอก
ไม่แปลกที่ป้าจะไม่รู้ว่าเขาเคยพาใครมาที่นี่ เพราะตอนที่คบกับมัทรีอยู่นั้นเขาเพิ่งย้ายมาอยู่บ้านที่สร้างเสร็จลำพัง และหญิงสาวก็เป็นแขกประจำของที่นี่ สถานที่ที่เขาจะแสดงตัวว่าเป็นคนรักของเธอได้อย่างเปิดเผย
"อ้าว แล้วนั่นจะไปไหน ละครปิดกล้องแล้วไม่ใช่เหรอ แวะไปหาแม่เขาบ้างสิธีร์" แก้วตาร้องบอกไล่หลังมา
ธีธัชก้าวขึ้นรถก่อนกดรีโมตเปิดประตูโรงจอดรถ เขาไม่ต้องการพบใครในตอนนี้ สองคนที่อยากพบที่สุดคือสองแม่ลูกที่เขาเคยทอดทิ้งไปอย่างไม่ไยดี...
.........................
สามปีก่อน
ธีธัชกดรีโมตปิดประตูโรงจอดรถภายหลังรถญี่ปุ่นคันเล็กเคลื่อนมาจอด ตัดปัญหาสายตาชาวบ้านที่อาจคอยสอดส่องว่าใครคือแขกยามวิกาลของพระเอกชื่อดัง
อ้อมกอดของเขารอต้อนรับหญิงสาวที่ก้าวลงจากรถ แต่เธอก็เบี่ยงตัวหนีพลางหัวเราะน้อยๆ แล้วเปิดประตูบานหลังพร้อมกับส่งถุงซึ่งมีสัญลักษณ์ซูเปอร์มาร์เก็ตให้เขาแทน
"โห ซื้ออะไรมาเยอะแยะนี่มัท พี่ฝากซื้อแค่ป๊อปคอร์นกับเบียร์นี่นา"
"มัทยังไม่ได้กินข้าวน่ะค่ะ แวะซูเปอร์แล้วก็ดิ่งมาเลย" เธอตอบพร้อมกับรั้งมือเขาไว้ เอื้อมหยิบถุงใบสุดท้ายมาถือเอง "เดี๋ยวอันนี้มัทถือเอง"
ธีธัชไหวไหล่ง่ายๆ พลางเดินนำแขกพิเศษมาที่ครัว เขาจัดการแช่เบียร์ไว้ในตู้เย็น ก่อนจะรื้อดูข้าวของมากมายในถุงใบอื่น
"พี่ธีร์ล้างผักให้หน่อย" มัทรีร้องบอกขณะเปิดตู้เย็นเพื่อซ่อนของสำคัญ
"เดี๋ยวนี้กล้าใช้เจ้าของบ้านแล้วเหรอ"
หญิงสาวโผล่หน้ามาจากหลังบานตู้เย็นพร้อมกับยักคิ้ว เรียกเสียงหัวเราะกังวานในบ้านที่เคยเงียบสงัดเมื่อเขาอยู่คนเดียว
มัทรีตามมาแกะถุงลูกชิ้นปลาเพื่อนำไปลวก เธอจัดใส่กล่องเก็บไว้ให้เขาส่วนหนึ่ง เผื่อไว้ต้มกินกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ยังดี ที่เหลือก็จับใส่ในหม้อที่น้ำซุปกำลังเดือด ตามด้วยผัก วุ้นเส้น ไข่ไก่สามฟอง และเทน้ำจิ้มสุกี้ลงไป เท่านี้คนที่ยืนดูอยู่เงียบๆ ก็รีบเตรียมชามของตนมาเพิ่มอีกใบ
"มัทนี่เก่งเนอะ ทำอะไรดูง่ายไปหมด"
"ไม่ต้องชมก็ได้ ยังไงมัทก็ต้องแบ่งให้เจ้าที่ เอ้ย... เจ้าของสถานที่กินด้วยกัน"
เธอยกหม้อจากเตามาวางหน้าเคาน์เตอร์ครัว แล้วจึงอ้อมไปนั่งบนเก้าอี้ทรงสูงข้างชายหนุ่ม เขาตักสุกี้ร้อนๆ จากหม้อแบ่งใส่ชามให้ทั้งเธอและตนเอง
"มัทเบื่อหรือเปล่าที่เราต้องเดตกันแต่ในบ้าน" เขาอดถามไม่ได้ และนึกเสียดายที่ไม่ได้ใช้เวลาว่างไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ด้วยกันเช่นคู่รักทั่วไป
"ไม่หรอกค่ะ จริงๆ นะพี่ธีร์ ถ้ามัทอยากไปไหนมัทไปกับเพื่อนก็ได้ มาหาพี่ธีร์ก็เหมือนมัทมาพักผ่อน ได้เจอคนที่ชอบอะไรเหมือนกัน คุยกันเข้าใจ"
ธีธัชยิ้มออกอย่างโล่งใจ ความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาก็เหมือนกับที่เขารู้สึกต่อเธอคืออยู่ด้วยแล้วสบายใจ เหมือนบ้านหลังนี้เป็นโลกอีกใบหนึ่งของพวกตน
"ใครบอกเราชอบอะไรเหมือนกัน" ชายหนุ่มเอ่ยพลางวาดแขนโอบไหล่คนรักซึ่งทำหน้าฉงน "ไม่เหมือนสักหน่อย พี่ชอบมัท แต่มัทชอบพี่"
มัทรีหัวเราะขันจนสำลักสุกี้ เดือดร้อนคนช่างแกล้งต้องลูบหลังลูบไหล่ให้ เธอถองศอกใส่เขาเมื่อค่อยยังชั่วแล้ว ก่อนจะคีบลูกชิ้นในชามอีกฝ่ายมากินแก้เขิน
"ไม่กินใช่ไหมคะ ถ้ามัทอิ่มแล้วหนีไปดูหนังก่อนนะ"
"กินคร้าบ โธ่ คุณแฟนทำให้ทั้งที"
หญิงสาวโคลงศีรษะขันๆ เมื่ออีกฝ่ายชูตะเกียบอย่างหมายมาด ครั้นเขาคีบลูกชิ้นรักบี้ยื่นให้ตรงหน้า เธอก็อ้าปากจะรับ ทว่ามือข้างนั้นกลับส่งลูกชิ้นเข้าปากเจ้าตัวแทน
หนุ่มสาวเย้าแหย่กันประสาคู่รักที่มีคืนวันอันหวานชื่นตลอดมื้ออาหาร ก่อนที่ทั้งสองจะย้ายไปดูหนังด้วยกันต่อในห้องโฮมเธียเตอร์ใต้บันได
ภาพยนตร์แอ็คชั่นฟอร์มยักษ์ที่ลาโรงไปเกือบครึ่งปีกำลังโลดแล่นอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ขนาดหกสิบนิ้ว แต่เครื่องเสียอันกระหึ่มก็ไม่อาจเล็ดลอดไปรบกวนเพื่อนบ้านได้ด้วยมีผนังเก็บเสียงอย่างดี ธีธัชและมัทรีนั่งอยู่คนละฝั่งของโซฟายาวสีดำ บนตัวหญิงสาวห่มผ้าผืนหนาป้องกันความหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ทำงานเต็มกำลัง
"พี่ธีร์ เดี๋ยวมัทมานะ"
ชายหนุ่มละสายตาจากหน้าจอมามองผู้ที่ขยับลุก
"อ้าว ไปไหน"
"ไปห้องน้ำ"
ธีธัชพยักหน้า เมื่อหันกลับมาดูหนังต่อแล้วก็ต้องยิ้มขันออกมา ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะเคยดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วจึงได้ลุกไปตอนพระนางกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มพอดี
ทว่ากว่ามัทรีจะกลับเข้ามาอีกครั้งก็นานเสียจนเขาคิดจะออกไปตาม แต่แล้วประตูที่เปิดเข้ามาก็ทำให้คนรอต้องย่นคิ้วประหลาดใจ ในมือเธอถือประคองบางอย่างขณะก้าวอย่างระมัดระวังตรงมา
ธีธัชมองเห็นแสงเทียนริบหรี่ที่มือบางพยายามป้องเอาไว้ พร้อมกับแว่วเสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ลอยมาแผ่วเบา เบาเสียจนเสียงจากภาพยนตร์ดังกลบ หากทุกประสาทสัมผัสของเขากลับรับรู้ถึงแต่สิ่งที่เธอกระทำ
"มัท..." เขาเอ่ยได้เพียงแค่นั้น ความรู้สึกเต็มตื้นไปหมด
"สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้าค่ะ ขอให้พี่ธีร์ประสบความสำเร็จในชีวิตการงานนะ"
ชายหนุ่มส่ายศีรษะ เขาก้มเป่าเทียนบนเค้กที่เธอถือประคอง ก่อนจะรับมันมาวางลงบนโต๊ะเตี้ยข้างๆ แล้วรวบตัวเธอเข้าสู่อ้อมกอดอย่างแสนรัก
"พี่รักมัทนะ รู้ใช่ไหม"
"ค่า" มัทรีลากเสียงทีเล่นทีจริง เธอลูบหลังกอดตอบเขาเช่นกัน "กินเค้กกัน มัทยังไม่มีของขวัญให้พี่ธีร์นะ ขอเวลานิดนึง"
ธีธัชหรี่ตามองท่าทางมีลับลมคมในนั้น เขายอมนั่งลงข้างเธอเมื่ออีกฝ่ายยื่นช้อนอย่างชักชวนให้กินด้วยกัน ทว่าตอนนี้เขาไม่ได้สนใจเค้กนั้นมากไปกว่าเธอ
ชายหนุ่มตวัดผ้าห่มห่อตัวหญิงสาวไว้ โดยที่มือปลาหมึกของเขาแทบไม่อาจปล่อยจากไหล่เธอ เขาฝากฝังจมูกลงบนแก้มเนียนด้วยความรักล้นใจ
"พี่ธีร์ เดี๋ยวเถอะ"
มัทรีตักเค้กป้ายลงบนปลายจมูกคนฉวยโอกาส แว่วเสียงหัวเราะไม่ถือสามาจากผู้ที่นั่งเบียดกับเธอ ซ้ำเขายังป้ายครีมบนจมูกมาชิมเสียอีก
"อื้ม อร่อย"
"อร่อยก็กินสิ"
"ไม่เอา อยากกินอย่างอื่นมากกว่า"
หญิงสาวนิ่วหน้า ทั้งขันระคนอ่อนใจ
"นี่มันบทพูดในละครที่พี่ธีร์แสดงนี่นา ถามจริง ตอนเล่นอายเปล่าเนี่ย"
"อาย แต่ตอนนี้ไม่อายนะ"
มัทรีหยิกแก้มเขา ก่อนจะพยักหน้าว่ามันด้านอยู่
"เรานั่นแหละไม่ต้องมาเฉไฉ วันนี้พี่ยังไม่ได้จูบมัทเลย"
"อี๋ พูดน่าเกลียด"
"งั้นไม่พูดก็ได้"
คนไม่พูดแต่กระทำแทน เขาประคองท้ายทอยเธอให้ใบหน้าแนบชิดกัน จุมพิตในค่ำคืนนี้หวานล้ำเป็นพิเศษ ด้วยเพราะรสชาติของเค้กหรือความรักมากล้นที่เขามีต่อเจ้าหล่อนก็สุดรู้
หญิงสาวหัวเราะจั๊กจี้เมื่อไรหนวดของพระเอกหนุ่มเคลื่อนต่ำลงมาที่ลำคอของเธอ มัทรีนิ่วหน้าไม่มั่นใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น จนเมื่อธีธัชเงยหน้ามาแนบหน้าผากกับเธอ ประทับจุมพิตที่พรากเอาสติสัมปชัญญะไปทั้งมวล แทนที่ด้วยความกระหายใคร่สัมผัสถึงความอัศจรรย์แห่งรักที่บ่มเพาะจนสุกงอม
............................
ถ้าธีธัชถูกกล่าวขวัญถึงในฐานะนักแสดงดาวรุ่งที่เป็นที่จับตามองตั้งแต่ปีแรกที่เข้าวงการ ปีต่อๆ มาเขาก็พัฒนาฝีมือทางการแสดงอย่างก้าวกระโดดจนกลายเป็นนักแสดงที่มีทั้งกระแส ฐานแฟนคลับ และเป็นที่ยอมรับของคนในวงการบันเทิง
วงการบันเทิงให้อะไรกับชายหนุ่มมากกว่าที่คิดที่คาดหวัง ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถ ทรัพย์สินเงินทองต่างๆ และสิ่งที่สำคัญต่อเขาที่สุดก็คือความนิยมชมชอบของผู้คน ไม่มีใครไม่รู้จัก 'ธีธัช รุ่งเรืองเศรษฐพงศ์’ เพียงเท่านั้น ยังมีผู้คนมากมายเข้ามาพร้อมผลประโยชน์ที่เขายินดีรับไว้อย่างกระหยิ่มใจ
"ธีร์ มีงานต่อที่พัทยาอีกนะ เร็วเข้า" ปุ้มปุ้ยเร่งมา หลังเขาหายเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องแต่งตัวที่ห้างสรรพสินค้าจัดเตรียมไว้
"เสร็จแล้วพี่ๆ ขอนาทีเดียว"
"เสร็จแล้วแล้วทำไมต้องอีกนาทีวะ"
เขานึกขันเสียงบ่นของปุ้มปุ้ย ก่อนจะลดโทรศัพท์ที่พยายามติดต่อมัทรีลงแล้วรีบกดพิมพ์ข้อความแทน
'เมื่อกี้มัทโทร. มา มีอะไรหรือเปล่า'
ธีธัชออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยมีสายตารู้เท่าทันของผู้จัดการส่วนตัวคอยจ้องจับผิด เขาต้องเดินโอบไหล่สาวหล่อออกไปด้วยกัน ใช้เส้นทางที่ผู้จัดงานเตรียมไว้ไม่ให้ถูกรบกวนจากนักข่าวและแฟนคลับที่มาออกันแน่นลานในห้างสรรพสินค้า
"เอ้า จะโทร. ก็โทร. บนรถนี่ ไปแอบๆ เสียเวลาทำมาหากิน" ปุ้มปุ้ยเอ่ยอย่างใจกว้างหลังขึ้นรถตู้มาด้วยกัน
"เขาติดงานมั้ง ไม่เป็นไรพี่ ผมส่งข้อความไปแล้ว"
"ก็ยังดีที่แฟนนายคนนี้ไม่ทำพี่ปวดหัวเหมือนดาราในสังกัดของไอ้ดีดี้นะ กิ๊กนอกวงการของพระเอกไอ้ดีดี้เล่นแชร์รูปปริศนาจนคนตามอินสตาแกรมเป็นแสนๆ คงกะจับพระเอกให้อยู่มือ"
'ดีดี้' คือผู้จัดการสาวประเภทสองที่มีนักแสดงดังในสังกัดมากมาย มักถูกสื่อจับตามองว่าเป็นคู่แข่งกับปุ้มปุ้ยเสมอมา
"แล้วพี่ดีดี้แก้ข่าวว่าไง"
"หลบนักข่าวให้วุ่นน่ะสิ คงหาทางลงสวยๆ อยู่"
ธีธัชพยักหน้าเออออไปตามเรื่อง ก่อนจะเอ่ยด้วยความมั่นใจ
"มัทไม่ใช่คนอย่างนั้นหรอกน่า พี่ก็เคยเจอแล้ว"
ปุ้มปุ้ยไหวไหล่ มันเป็นการพบเจอกันสั้นๆ เมื่อสามเดือนก่อน ขณะตนแวะไปที่บ้านนักแสดงหนุ่มเพื่อนำเสื้อผ้าที่ผู้สนับสนุนส่งมาให้เขาสวมใส่ อันเป็นการโฆษณาสินค้าทางอ้อม
ว่าไปแล้วในสายตาของเธอ ธีธัชและมัทรีดูจะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดี ทั้งสองแต่งตัวเรียบง่ายเมื่ออยู่กับบ้าน ใบหน้าที่ร้างมีดโกนของชายหนุ่มมีไรหนวดเคราขึ้นหร็อมแหร็ม เขาสวมแว่นสายตาขณะเล่นเกมเพลย์สเตชั่นรุ่นใหม่ ส่วนฝ่ายหญิงก็นั่งเอนอยู่อีกด้านหนึ่งของโซฟายาวตัวเดียวกัน เจ้าหล่อนสวมแว่นตาขณะอ่านหนังสือเกี่ยวกับศิลปะ
ทว่าคู่รักที่เหมาะสมกันในชีวิตจริงไม่อาจทำเงินให้กับเธอได้เหมือนกับคู่จิ้นในจอ พวกเขาจึงจำต้องปกปิดชีวิตจริงไว้ให้เป็นความลับอีกด้านหนึ่งต่อไป
"พี่ถึงไม่ว่าอะไรไง เข้าใจนะของแบบนี้ แค่นายจัดการแยกแยะเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัว แล้วเห็นงานสำคัญกว่าแบบนี้พี่ก็โอเค"
"ผมเห็นงานสำคัญกว่าอยู่แล้วสิพี่ ยิ่งช่วงนี้เล็งรถใหม่ไว้คันนึง"
ทั้งนักแสดงในสังกัดและผู้จัดการต่างหัวเราะร่วนด้วยกัน ธีธัชก็เหมือนว่าวติดลมบน เขาชื่นชอบที่จะลู่ลมอยู่อย่างนั้น และยังไม่พร้อมตกลงมาในเร็ววัน
...................
ใช้เวลารับงานเพียงไม่กี่เดือน รถยุโรปคันใหญ่สุดหรูก็กลายมาเป็นสมบัติอีกชิ้นของธีธัชจนได้ ง่ายราวกับใช้เวทมนตร์เสกมา
โรงจอดรถขนาดสองคันจอดเต็มแน่นเมื่อต้องต้อนรับสมาชิกคันใหม่ เขาผิวปากพึงพอใจเมื่อลงมาสังเกตรอบคันรถอีกครั้ง ก่อนจะหยุดยืนมองรถญี่ปุ่นคันเก่าข้างๆ ที่เขาใช้เงินก้อนแรกจากน้ำพักน้ำแรงของตนซื้อมา เพิ่งนึกได้ว่าโรงจอดรถนี่แคบไปหากต้องต้อนรับรถของแขกอีกคัน
"นี่หรือธีร์ รถคันใหม่ที่ว่า"
ธีธัชเหลียวมองตามเสียงทักก็เห็นผู้เป็นป้าเปิดประตูซึ่งเชื่อมต่อตัวบ้านกับโรงจอดรถเข้ามา เขาเกือบลืมไปว่าตนไม่ได้อยู่บ้านลำพังเสียแล้ว เมื่อป้าแก้วตาซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ ของแม่เพิ่งย้ายมาอยู่ดูแลบ้านได้หนึ่งสัปดาห์
"โฮ้ย ซ้วยสวยเนอะ มันปลาบจนส่องกระจกที่ฝากระโปรงรถได้เลยนะนี่"
หลานชายหัวเราะขันท่าทางเห่อของใหม่ของป้า เขาเดินไปเปิดประตูข้างคนขับ ก่อนค้อมศีรษะพลางผายมือให้ท่านได้ลองเข้าไป
"เข้าไปนั่งดูสิฮะ"
"ไม่เอาดีกว่า ไว้ป้าอาบน้ำ แต่งตัวหอมๆ ค่อยนั่ง"
เขาไหวไหล่ง่ายๆ ก่อนกดรีโมตล็อกรถและตามเข้าไปในบ้านอีกคน ต้องยอมรับว่าบ้านที่มีคนช่วยดูแลเป็นระเบียบขึ้นเยอะ ซ้ำยังมีอาหารพร้อมทานตลอดเวลา
ความพรั่งพร้อมของชีวิตทำให้ธีธัชค่อยลืมความสำคัญของใครบางคนลงทีละน้อย งานและเวลาเป็นส่วนสำคัญซึ่งแยกเขากับมัทรีออกจากกัน กลายเป็นความคุ้นชินที่จะอยู่ลำพังอีกครั้งหนึ่ง
"วันนี้ป้าทำไข่พะโล้ กินเลยหรือเปล่าล่ะ"
"เดี๋ยวก่อนดีกว่าฮะ ขอขึ้นไปอาบน้ำก่อน จะได้ลงมากินไปดูละครไป"
แก้วตาหัวเราะหมั่นไส้ขณะหลานชายกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันไดไป ธีธัชฮัมเพลงที่ตนร้องประกอบละครพลางผลัดเสื้อผ้า เขาล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะกดอ่านข้อความจากกลุ่มสนทนาของเพื่อนนักแสดงที่สนิทสนมกัน ไล่สายตาผ่านๆ เมื่อเรื่องที่พูดคุยนั้นเกี่ยวข้องกับนักแสดงท่านอื่นที่เขาไม่ได้รู้จักมักจี่
เขาเลื่อนไปเห็นข้อความจากกลุ่มสนทนาของเพื่อนสมัยมัธยมที่อยู่ถัดไป หากแทนที่ธีธัชจะกดเข้าไปอ่าน เขากลับนึกถึงเพื่อนสนิทที่แนะนำมัทรีให้รู้จัก แต่นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้พูดคุยกับสองคนนั้น อาจเป็นสองสัปดาห์หรือว่าสองเดือนตนก็ไม่แน่ใจ
ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจโทรศัพท์ไปยังเลขหมายเคยคุ้น เขามีเวลาพักสองวัน ไม่สิ... เหลือหนึ่งวันครึ่งเท่านั้น บางทีเขาอาจชวนเธอมาดูหนัง เล่นเกม หรือเป็นเพื่อนคุยเช่นที่เคยถูกคอกัน
"สวัสดีค่า" เสียงสดใสรับสาย
"มัท คิดถึงจัง"
หลังประโยคนั้นปลายสายกลับเงียบจนเขาต้องเรียกไปอีก
"ฮัลโหลมัท"
"พี่ธีร์นี่เอง นึกว่าใคร"
ธีธัชค่อนข้างมั่นใจว่าตนไม่ได้คิดไปเอง แต่น้ำเสียงนั้นดูจะกระตือรือร้นน้อยลงเมื่อรู้ว่าเป็นเขาโทรศัพท์ไป
"มัทอยากให้เป็นใครล่ะ"
"ไม่อยากให้เป็นใครทั้งนั้นแหละค่ะ ตอนนี้ยุ่งมากกก" เธอลากเสียงเอ่ยกลั้วหัวเราะ
"อะไรกัน มัณฑนากรจะยุ่งกว่าพระเอกสุดฮ็อตอย่างพี่เชียวเหรอ พี่ยังหาเวลาโทร. หามัทได้เลย"
"คงไม่ยุ่งกว่าแต่ก็จัดว่ายุ่งค่ะ แล้วพี่ธีร์..."
เขารอฟังว่าเจ้าหล่อนจะพูดอะไรต่อจากนั้น ทว่าเสียงแรกซึ่งแทรกเข้ามาในสายดึงความสนใจจากเธอไปเสียก่อน
"พี่ธีร์ เดี๋ยวมัทต้องเข้าประชุมแล้ว แค่นี้ก่อนนะคะ"
"เดี๋ยวมัท..."
"เอ้อ มะรืนนี้มัทไปดูงานที่สิงคโปร์นะ ถ้ากลับมาจะโทร. หาพี่ธีร์แล้วกัน"
เสียงสัญญาณขาดหายโดยที่ไม่ทันได้เอ่ยได้ถามคำใดอีก ชายหนุ่มถอนใจหงุดหงิด ที่คิดว่าจะได้เจอเธอในรอบสองเดือนพังลงไม่เป็นท่า หนำซ้ำมัทรีดูจะไม่เสียดายที่ไม่ได้พบเจอกันเลย
คนรักอย่างนี้กระมังที่ปุ้มปุ้ยพอใจและแสร้งเอาหูไปนาเอาตาไปไล่ให้เขาคบหาหญิงสาว ทว่านับวันธีธัชกลับไม่คิดว่าระหว่างเขาและมัทรีคือความสัมพันธ์ฉันคนรัก เธอเป็นเหมือนเพื่อนและน้องสาวก็ว่าได้ ยิ่งเมื่อความรักที่เคยมีขาดความโหยหาซึ่งกันและกัน
...จบตอน...
ช่วงชวนคุยค่า
จะว่าไปแล้วถึงธีร์กับมัทจะทำงานรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว
แต่ตอนนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้คิดไกลถึงขั้นแต่งงาน
ตอนนั้นเป็นช่วงร่วมสุข ปัจจุบันต่างหากที่พวกเขาร่วมทุกข์ด้วยกัน
มาเอาใจช่วยพ่อแม่น้องปลายกันนะคะ
หลังจากเมาหลับไปหนึ่งคืนและใช้เวลาทั้งหมดอยู่บนเตียงตลอดวันที่ผ่านมา ธีธัชก็เริ่มรวบรวมสติคิดได้ว่าเขากำลังใช้ช่วงเวลาในวันหยุดของตนไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ทั้งที่เวลานี้เขาควรแวะไปหาลูก ไปดูแลแกให้สมกับที่เคยบกพร่องต่อหน้าที่พ่อนับแต่แกเกิดมา
ชายหนุ่มลุกจากเตียงสะโหลสะเหล เขาสั่งตัวเองให้อาบน้ำและขับรถออกไป แต่เมื่อลงบันไดมาพบประตูห้องโฮมเธียเตอร์เปิดค้างไว้ ธีธัชก็คล้ายจะเห็นภาพในอดีตที่เขาเคยใช้เวลาพักผ่อนส่วนใหญ่กับแขกพิเศษอยู่ในห้องนี้ทั้งวัน และบางครั้งก็ทั้งคืน
"อ้าวธีร์ ป้าต้มข้าวต้มไว้แน่ะ กินก่อนสิ" เสียงของสตรีวัยกลางคนเรียกสติหลานชายกลับมา
แก้วตาเป็นป้าแท้ๆ ของธีธัชและถูกน้องสาวขอร้องให้มาช่วยดูแลบ้านให้หลานชาย เพราะผู้เป็นแม่นั้นยังมีอีกฐานะหนึ่งคือคนรับใช้ในบ้านเจ้าสัวใหญ่เจ้าของธนาคาร ที่ที่ธีธัชเกิดและเติบโตมาพร้อมกับความกดดันจากบิดาซึ่งเป็นที่นับหน้าถือตาของสังคม คุณหญิงภรรยาของท่าน และพี่น้องที่ต่างแก่งแย่งชิงดี
แก้วตาเป็นคนเดียวที่แสดงออกด้วยความยินดีอย่างเปิดเผยเมื่อแรกรู้ว่าเขาได้เข้าสู่วงการบันเทิง ป้าคิดเช่นเดียวกับเขาว่านั่นคือเส้นทางลัดไปสู่ความสำเร็จอันรวดเร็ว และลึกลงไปในใจธีธัช...เขาโหยหาการได้รับการยอมรับประสาคนที่เกิดมาในสถานะต่ำต้อยกว่าลูกๆ คนอื่น
"พูดแล้วหิวเลยฮะ เดี๋ยวผมไปตักเอง"
ภายในครัวที่มัทรีออกแบบสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบไม่ต่างจากวันแรกเห็น ตู้สีขาวตัดกับแผ่นหินแกรนิตสีดำมัน มีอุปกรณ์งานครัวครบครันแม้จะบอกได้ว่าไม่เคยใช้ครบทุกชิ้นเลยก็ตาม
ชายหนุ่มนั่งทานง่ายๆ บนเก้าอี้ทรงสูงติดกับเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม ก่อนที่แก้วตาจะตามเข้ามาหลังทำความสะอาดบ้านเสร็จ และเขาก็นึกรู้ว่าป้าคงมีเรื่องอยากพูดกับตน
"เมื่อวานแม่โทร. มาแน่ะธีร์ คงอยากถามธีร์เรื่องข่าว"
เขาไม่เคยทายผิดสักครั้ง ทุกครั้งที่เขามีข่าวเสื่อมเสียแม่มักจะโทรมาถามไถ่เสมอ ไม่ใช่ด้วยความห่วงใย แต่เพราะห่วงว่าเขาจะทำลายชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลบิดา
"ป้าบอกไปว่าไงฮะ"
"เฮอะ ธีร์น่ะหรือจะมีเวลาไปคบใคร ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ป้าก็เห็นธีร์ทำแต่งาน แทบไม่มีเวลากลับบ้านด้วยซ้ำ"
"แล้วถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะครับ" หลานชายหยั่งเชิงถาม
เขาต้องยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกผิด ท่าทางป้าคงตกใจไม่น้อยเมื่อท่านยกมือกดหน้าอก
ไม่แปลกที่ป้าจะไม่รู้ว่าเขาเคยพาใครมาที่นี่ เพราะตอนที่คบกับมัทรีอยู่นั้นเขาเพิ่งย้ายมาอยู่บ้านที่สร้างเสร็จลำพัง และหญิงสาวก็เป็นแขกประจำของที่นี่ สถานที่ที่เขาจะแสดงตัวว่าเป็นคนรักของเธอได้อย่างเปิดเผย
"อ้าว แล้วนั่นจะไปไหน ละครปิดกล้องแล้วไม่ใช่เหรอ แวะไปหาแม่เขาบ้างสิธีร์" แก้วตาร้องบอกไล่หลังมา
ธีธัชก้าวขึ้นรถก่อนกดรีโมตเปิดประตูโรงจอดรถ เขาไม่ต้องการพบใครในตอนนี้ สองคนที่อยากพบที่สุดคือสองแม่ลูกที่เขาเคยทอดทิ้งไปอย่างไม่ไยดี...
.........................
สามปีก่อน
ธีธัชกดรีโมตปิดประตูโรงจอดรถภายหลังรถญี่ปุ่นคันเล็กเคลื่อนมาจอด ตัดปัญหาสายตาชาวบ้านที่อาจคอยสอดส่องว่าใครคือแขกยามวิกาลของพระเอกชื่อดัง
อ้อมกอดของเขารอต้อนรับหญิงสาวที่ก้าวลงจากรถ แต่เธอก็เบี่ยงตัวหนีพลางหัวเราะน้อยๆ แล้วเปิดประตูบานหลังพร้อมกับส่งถุงซึ่งมีสัญลักษณ์ซูเปอร์มาร์เก็ตให้เขาแทน
"โห ซื้ออะไรมาเยอะแยะนี่มัท พี่ฝากซื้อแค่ป๊อปคอร์นกับเบียร์นี่นา"
"มัทยังไม่ได้กินข้าวน่ะค่ะ แวะซูเปอร์แล้วก็ดิ่งมาเลย" เธอตอบพร้อมกับรั้งมือเขาไว้ เอื้อมหยิบถุงใบสุดท้ายมาถือเอง "เดี๋ยวอันนี้มัทถือเอง"
ธีธัชไหวไหล่ง่ายๆ พลางเดินนำแขกพิเศษมาที่ครัว เขาจัดการแช่เบียร์ไว้ในตู้เย็น ก่อนจะรื้อดูข้าวของมากมายในถุงใบอื่น
"พี่ธีร์ล้างผักให้หน่อย" มัทรีร้องบอกขณะเปิดตู้เย็นเพื่อซ่อนของสำคัญ
"เดี๋ยวนี้กล้าใช้เจ้าของบ้านแล้วเหรอ"
หญิงสาวโผล่หน้ามาจากหลังบานตู้เย็นพร้อมกับยักคิ้ว เรียกเสียงหัวเราะกังวานในบ้านที่เคยเงียบสงัดเมื่อเขาอยู่คนเดียว
มัทรีตามมาแกะถุงลูกชิ้นปลาเพื่อนำไปลวก เธอจัดใส่กล่องเก็บไว้ให้เขาส่วนหนึ่ง เผื่อไว้ต้มกินกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ยังดี ที่เหลือก็จับใส่ในหม้อที่น้ำซุปกำลังเดือด ตามด้วยผัก วุ้นเส้น ไข่ไก่สามฟอง และเทน้ำจิ้มสุกี้ลงไป เท่านี้คนที่ยืนดูอยู่เงียบๆ ก็รีบเตรียมชามของตนมาเพิ่มอีกใบ
"มัทนี่เก่งเนอะ ทำอะไรดูง่ายไปหมด"
"ไม่ต้องชมก็ได้ ยังไงมัทก็ต้องแบ่งให้เจ้าที่ เอ้ย... เจ้าของสถานที่กินด้วยกัน"
เธอยกหม้อจากเตามาวางหน้าเคาน์เตอร์ครัว แล้วจึงอ้อมไปนั่งบนเก้าอี้ทรงสูงข้างชายหนุ่ม เขาตักสุกี้ร้อนๆ จากหม้อแบ่งใส่ชามให้ทั้งเธอและตนเอง
"มัทเบื่อหรือเปล่าที่เราต้องเดตกันแต่ในบ้าน" เขาอดถามไม่ได้ และนึกเสียดายที่ไม่ได้ใช้เวลาว่างไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ด้วยกันเช่นคู่รักทั่วไป
"ไม่หรอกค่ะ จริงๆ นะพี่ธีร์ ถ้ามัทอยากไปไหนมัทไปกับเพื่อนก็ได้ มาหาพี่ธีร์ก็เหมือนมัทมาพักผ่อน ได้เจอคนที่ชอบอะไรเหมือนกัน คุยกันเข้าใจ"
ธีธัชยิ้มออกอย่างโล่งใจ ความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาก็เหมือนกับที่เขารู้สึกต่อเธอคืออยู่ด้วยแล้วสบายใจ เหมือนบ้านหลังนี้เป็นโลกอีกใบหนึ่งของพวกตน
"ใครบอกเราชอบอะไรเหมือนกัน" ชายหนุ่มเอ่ยพลางวาดแขนโอบไหล่คนรักซึ่งทำหน้าฉงน "ไม่เหมือนสักหน่อย พี่ชอบมัท แต่มัทชอบพี่"
มัทรีหัวเราะขันจนสำลักสุกี้ เดือดร้อนคนช่างแกล้งต้องลูบหลังลูบไหล่ให้ เธอถองศอกใส่เขาเมื่อค่อยยังชั่วแล้ว ก่อนจะคีบลูกชิ้นในชามอีกฝ่ายมากินแก้เขิน
"ไม่กินใช่ไหมคะ ถ้ามัทอิ่มแล้วหนีไปดูหนังก่อนนะ"
"กินคร้าบ โธ่ คุณแฟนทำให้ทั้งที"
หญิงสาวโคลงศีรษะขันๆ เมื่ออีกฝ่ายชูตะเกียบอย่างหมายมาด ครั้นเขาคีบลูกชิ้นรักบี้ยื่นให้ตรงหน้า เธอก็อ้าปากจะรับ ทว่ามือข้างนั้นกลับส่งลูกชิ้นเข้าปากเจ้าตัวแทน
หนุ่มสาวเย้าแหย่กันประสาคู่รักที่มีคืนวันอันหวานชื่นตลอดมื้ออาหาร ก่อนที่ทั้งสองจะย้ายไปดูหนังด้วยกันต่อในห้องโฮมเธียเตอร์ใต้บันได
ภาพยนตร์แอ็คชั่นฟอร์มยักษ์ที่ลาโรงไปเกือบครึ่งปีกำลังโลดแล่นอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ขนาดหกสิบนิ้ว แต่เครื่องเสียอันกระหึ่มก็ไม่อาจเล็ดลอดไปรบกวนเพื่อนบ้านได้ด้วยมีผนังเก็บเสียงอย่างดี ธีธัชและมัทรีนั่งอยู่คนละฝั่งของโซฟายาวสีดำ บนตัวหญิงสาวห่มผ้าผืนหนาป้องกันความหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ทำงานเต็มกำลัง
"พี่ธีร์ เดี๋ยวมัทมานะ"
ชายหนุ่มละสายตาจากหน้าจอมามองผู้ที่ขยับลุก
"อ้าว ไปไหน"
"ไปห้องน้ำ"
ธีธัชพยักหน้า เมื่อหันกลับมาดูหนังต่อแล้วก็ต้องยิ้มขันออกมา ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะเคยดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วจึงได้ลุกไปตอนพระนางกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มพอดี
ทว่ากว่ามัทรีจะกลับเข้ามาอีกครั้งก็นานเสียจนเขาคิดจะออกไปตาม แต่แล้วประตูที่เปิดเข้ามาก็ทำให้คนรอต้องย่นคิ้วประหลาดใจ ในมือเธอถือประคองบางอย่างขณะก้าวอย่างระมัดระวังตรงมา
ธีธัชมองเห็นแสงเทียนริบหรี่ที่มือบางพยายามป้องเอาไว้ พร้อมกับแว่วเสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ลอยมาแผ่วเบา เบาเสียจนเสียงจากภาพยนตร์ดังกลบ หากทุกประสาทสัมผัสของเขากลับรับรู้ถึงแต่สิ่งที่เธอกระทำ
"มัท..." เขาเอ่ยได้เพียงแค่นั้น ความรู้สึกเต็มตื้นไปหมด
"สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้าค่ะ ขอให้พี่ธีร์ประสบความสำเร็จในชีวิตการงานนะ"
ชายหนุ่มส่ายศีรษะ เขาก้มเป่าเทียนบนเค้กที่เธอถือประคอง ก่อนจะรับมันมาวางลงบนโต๊ะเตี้ยข้างๆ แล้วรวบตัวเธอเข้าสู่อ้อมกอดอย่างแสนรัก
"พี่รักมัทนะ รู้ใช่ไหม"
"ค่า" มัทรีลากเสียงทีเล่นทีจริง เธอลูบหลังกอดตอบเขาเช่นกัน "กินเค้กกัน มัทยังไม่มีของขวัญให้พี่ธีร์นะ ขอเวลานิดนึง"
ธีธัชหรี่ตามองท่าทางมีลับลมคมในนั้น เขายอมนั่งลงข้างเธอเมื่ออีกฝ่ายยื่นช้อนอย่างชักชวนให้กินด้วยกัน ทว่าตอนนี้เขาไม่ได้สนใจเค้กนั้นมากไปกว่าเธอ
ชายหนุ่มตวัดผ้าห่มห่อตัวหญิงสาวไว้ โดยที่มือปลาหมึกของเขาแทบไม่อาจปล่อยจากไหล่เธอ เขาฝากฝังจมูกลงบนแก้มเนียนด้วยความรักล้นใจ
"พี่ธีร์ เดี๋ยวเถอะ"
มัทรีตักเค้กป้ายลงบนปลายจมูกคนฉวยโอกาส แว่วเสียงหัวเราะไม่ถือสามาจากผู้ที่นั่งเบียดกับเธอ ซ้ำเขายังป้ายครีมบนจมูกมาชิมเสียอีก
"อื้ม อร่อย"
"อร่อยก็กินสิ"
"ไม่เอา อยากกินอย่างอื่นมากกว่า"
หญิงสาวนิ่วหน้า ทั้งขันระคนอ่อนใจ
"นี่มันบทพูดในละครที่พี่ธีร์แสดงนี่นา ถามจริง ตอนเล่นอายเปล่าเนี่ย"
"อาย แต่ตอนนี้ไม่อายนะ"
มัทรีหยิกแก้มเขา ก่อนจะพยักหน้าว่ามันด้านอยู่
"เรานั่นแหละไม่ต้องมาเฉไฉ วันนี้พี่ยังไม่ได้จูบมัทเลย"
"อี๋ พูดน่าเกลียด"
"งั้นไม่พูดก็ได้"
คนไม่พูดแต่กระทำแทน เขาประคองท้ายทอยเธอให้ใบหน้าแนบชิดกัน จุมพิตในค่ำคืนนี้หวานล้ำเป็นพิเศษ ด้วยเพราะรสชาติของเค้กหรือความรักมากล้นที่เขามีต่อเจ้าหล่อนก็สุดรู้
หญิงสาวหัวเราะจั๊กจี้เมื่อไรหนวดของพระเอกหนุ่มเคลื่อนต่ำลงมาที่ลำคอของเธอ มัทรีนิ่วหน้าไม่มั่นใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น จนเมื่อธีธัชเงยหน้ามาแนบหน้าผากกับเธอ ประทับจุมพิตที่พรากเอาสติสัมปชัญญะไปทั้งมวล แทนที่ด้วยความกระหายใคร่สัมผัสถึงความอัศจรรย์แห่งรักที่บ่มเพาะจนสุกงอม
............................
ถ้าธีธัชถูกกล่าวขวัญถึงในฐานะนักแสดงดาวรุ่งที่เป็นที่จับตามองตั้งแต่ปีแรกที่เข้าวงการ ปีต่อๆ มาเขาก็พัฒนาฝีมือทางการแสดงอย่างก้าวกระโดดจนกลายเป็นนักแสดงที่มีทั้งกระแส ฐานแฟนคลับ และเป็นที่ยอมรับของคนในวงการบันเทิง
วงการบันเทิงให้อะไรกับชายหนุ่มมากกว่าที่คิดที่คาดหวัง ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถ ทรัพย์สินเงินทองต่างๆ และสิ่งที่สำคัญต่อเขาที่สุดก็คือความนิยมชมชอบของผู้คน ไม่มีใครไม่รู้จัก 'ธีธัช รุ่งเรืองเศรษฐพงศ์’ เพียงเท่านั้น ยังมีผู้คนมากมายเข้ามาพร้อมผลประโยชน์ที่เขายินดีรับไว้อย่างกระหยิ่มใจ
"ธีร์ มีงานต่อที่พัทยาอีกนะ เร็วเข้า" ปุ้มปุ้ยเร่งมา หลังเขาหายเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องแต่งตัวที่ห้างสรรพสินค้าจัดเตรียมไว้
"เสร็จแล้วพี่ๆ ขอนาทีเดียว"
"เสร็จแล้วแล้วทำไมต้องอีกนาทีวะ"
เขานึกขันเสียงบ่นของปุ้มปุ้ย ก่อนจะลดโทรศัพท์ที่พยายามติดต่อมัทรีลงแล้วรีบกดพิมพ์ข้อความแทน
'เมื่อกี้มัทโทร. มา มีอะไรหรือเปล่า'
ธีธัชออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยมีสายตารู้เท่าทันของผู้จัดการส่วนตัวคอยจ้องจับผิด เขาต้องเดินโอบไหล่สาวหล่อออกไปด้วยกัน ใช้เส้นทางที่ผู้จัดงานเตรียมไว้ไม่ให้ถูกรบกวนจากนักข่าวและแฟนคลับที่มาออกันแน่นลานในห้างสรรพสินค้า
"เอ้า จะโทร. ก็โทร. บนรถนี่ ไปแอบๆ เสียเวลาทำมาหากิน" ปุ้มปุ้ยเอ่ยอย่างใจกว้างหลังขึ้นรถตู้มาด้วยกัน
"เขาติดงานมั้ง ไม่เป็นไรพี่ ผมส่งข้อความไปแล้ว"
"ก็ยังดีที่แฟนนายคนนี้ไม่ทำพี่ปวดหัวเหมือนดาราในสังกัดของไอ้ดีดี้นะ กิ๊กนอกวงการของพระเอกไอ้ดีดี้เล่นแชร์รูปปริศนาจนคนตามอินสตาแกรมเป็นแสนๆ คงกะจับพระเอกให้อยู่มือ"
'ดีดี้' คือผู้จัดการสาวประเภทสองที่มีนักแสดงดังในสังกัดมากมาย มักถูกสื่อจับตามองว่าเป็นคู่แข่งกับปุ้มปุ้ยเสมอมา
"แล้วพี่ดีดี้แก้ข่าวว่าไง"
"หลบนักข่าวให้วุ่นน่ะสิ คงหาทางลงสวยๆ อยู่"
ธีธัชพยักหน้าเออออไปตามเรื่อง ก่อนจะเอ่ยด้วยความมั่นใจ
"มัทไม่ใช่คนอย่างนั้นหรอกน่า พี่ก็เคยเจอแล้ว"
ปุ้มปุ้ยไหวไหล่ มันเป็นการพบเจอกันสั้นๆ เมื่อสามเดือนก่อน ขณะตนแวะไปที่บ้านนักแสดงหนุ่มเพื่อนำเสื้อผ้าที่ผู้สนับสนุนส่งมาให้เขาสวมใส่ อันเป็นการโฆษณาสินค้าทางอ้อม
ว่าไปแล้วในสายตาของเธอ ธีธัชและมัทรีดูจะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดี ทั้งสองแต่งตัวเรียบง่ายเมื่ออยู่กับบ้าน ใบหน้าที่ร้างมีดโกนของชายหนุ่มมีไรหนวดเคราขึ้นหร็อมแหร็ม เขาสวมแว่นสายตาขณะเล่นเกมเพลย์สเตชั่นรุ่นใหม่ ส่วนฝ่ายหญิงก็นั่งเอนอยู่อีกด้านหนึ่งของโซฟายาวตัวเดียวกัน เจ้าหล่อนสวมแว่นตาขณะอ่านหนังสือเกี่ยวกับศิลปะ
ทว่าคู่รักที่เหมาะสมกันในชีวิตจริงไม่อาจทำเงินให้กับเธอได้เหมือนกับคู่จิ้นในจอ พวกเขาจึงจำต้องปกปิดชีวิตจริงไว้ให้เป็นความลับอีกด้านหนึ่งต่อไป
"พี่ถึงไม่ว่าอะไรไง เข้าใจนะของแบบนี้ แค่นายจัดการแยกแยะเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัว แล้วเห็นงานสำคัญกว่าแบบนี้พี่ก็โอเค"
"ผมเห็นงานสำคัญกว่าอยู่แล้วสิพี่ ยิ่งช่วงนี้เล็งรถใหม่ไว้คันนึง"
ทั้งนักแสดงในสังกัดและผู้จัดการต่างหัวเราะร่วนด้วยกัน ธีธัชก็เหมือนว่าวติดลมบน เขาชื่นชอบที่จะลู่ลมอยู่อย่างนั้น และยังไม่พร้อมตกลงมาในเร็ววัน
...................
ใช้เวลารับงานเพียงไม่กี่เดือน รถยุโรปคันใหญ่สุดหรูก็กลายมาเป็นสมบัติอีกชิ้นของธีธัชจนได้ ง่ายราวกับใช้เวทมนตร์เสกมา
โรงจอดรถขนาดสองคันจอดเต็มแน่นเมื่อต้องต้อนรับสมาชิกคันใหม่ เขาผิวปากพึงพอใจเมื่อลงมาสังเกตรอบคันรถอีกครั้ง ก่อนจะหยุดยืนมองรถญี่ปุ่นคันเก่าข้างๆ ที่เขาใช้เงินก้อนแรกจากน้ำพักน้ำแรงของตนซื้อมา เพิ่งนึกได้ว่าโรงจอดรถนี่แคบไปหากต้องต้อนรับรถของแขกอีกคัน
"นี่หรือธีร์ รถคันใหม่ที่ว่า"
ธีธัชเหลียวมองตามเสียงทักก็เห็นผู้เป็นป้าเปิดประตูซึ่งเชื่อมต่อตัวบ้านกับโรงจอดรถเข้ามา เขาเกือบลืมไปว่าตนไม่ได้อยู่บ้านลำพังเสียแล้ว เมื่อป้าแก้วตาซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ ของแม่เพิ่งย้ายมาอยู่ดูแลบ้านได้หนึ่งสัปดาห์
"โฮ้ย ซ้วยสวยเนอะ มันปลาบจนส่องกระจกที่ฝากระโปรงรถได้เลยนะนี่"
หลานชายหัวเราะขันท่าทางเห่อของใหม่ของป้า เขาเดินไปเปิดประตูข้างคนขับ ก่อนค้อมศีรษะพลางผายมือให้ท่านได้ลองเข้าไป
"เข้าไปนั่งดูสิฮะ"
"ไม่เอาดีกว่า ไว้ป้าอาบน้ำ แต่งตัวหอมๆ ค่อยนั่ง"
เขาไหวไหล่ง่ายๆ ก่อนกดรีโมตล็อกรถและตามเข้าไปในบ้านอีกคน ต้องยอมรับว่าบ้านที่มีคนช่วยดูแลเป็นระเบียบขึ้นเยอะ ซ้ำยังมีอาหารพร้อมทานตลอดเวลา
ความพรั่งพร้อมของชีวิตทำให้ธีธัชค่อยลืมความสำคัญของใครบางคนลงทีละน้อย งานและเวลาเป็นส่วนสำคัญซึ่งแยกเขากับมัทรีออกจากกัน กลายเป็นความคุ้นชินที่จะอยู่ลำพังอีกครั้งหนึ่ง
"วันนี้ป้าทำไข่พะโล้ กินเลยหรือเปล่าล่ะ"
"เดี๋ยวก่อนดีกว่าฮะ ขอขึ้นไปอาบน้ำก่อน จะได้ลงมากินไปดูละครไป"
แก้วตาหัวเราะหมั่นไส้ขณะหลานชายกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันไดไป ธีธัชฮัมเพลงที่ตนร้องประกอบละครพลางผลัดเสื้อผ้า เขาล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะกดอ่านข้อความจากกลุ่มสนทนาของเพื่อนนักแสดงที่สนิทสนมกัน ไล่สายตาผ่านๆ เมื่อเรื่องที่พูดคุยนั้นเกี่ยวข้องกับนักแสดงท่านอื่นที่เขาไม่ได้รู้จักมักจี่
เขาเลื่อนไปเห็นข้อความจากกลุ่มสนทนาของเพื่อนสมัยมัธยมที่อยู่ถัดไป หากแทนที่ธีธัชจะกดเข้าไปอ่าน เขากลับนึกถึงเพื่อนสนิทที่แนะนำมัทรีให้รู้จัก แต่นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้พูดคุยกับสองคนนั้น อาจเป็นสองสัปดาห์หรือว่าสองเดือนตนก็ไม่แน่ใจ
ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจโทรศัพท์ไปยังเลขหมายเคยคุ้น เขามีเวลาพักสองวัน ไม่สิ... เหลือหนึ่งวันครึ่งเท่านั้น บางทีเขาอาจชวนเธอมาดูหนัง เล่นเกม หรือเป็นเพื่อนคุยเช่นที่เคยถูกคอกัน
"สวัสดีค่า" เสียงสดใสรับสาย
"มัท คิดถึงจัง"
หลังประโยคนั้นปลายสายกลับเงียบจนเขาต้องเรียกไปอีก
"ฮัลโหลมัท"
"พี่ธีร์นี่เอง นึกว่าใคร"
ธีธัชค่อนข้างมั่นใจว่าตนไม่ได้คิดไปเอง แต่น้ำเสียงนั้นดูจะกระตือรือร้นน้อยลงเมื่อรู้ว่าเป็นเขาโทรศัพท์ไป
"มัทอยากให้เป็นใครล่ะ"
"ไม่อยากให้เป็นใครทั้งนั้นแหละค่ะ ตอนนี้ยุ่งมากกก" เธอลากเสียงเอ่ยกลั้วหัวเราะ
"อะไรกัน มัณฑนากรจะยุ่งกว่าพระเอกสุดฮ็อตอย่างพี่เชียวเหรอ พี่ยังหาเวลาโทร. หามัทได้เลย"
"คงไม่ยุ่งกว่าแต่ก็จัดว่ายุ่งค่ะ แล้วพี่ธีร์..."
เขารอฟังว่าเจ้าหล่อนจะพูดอะไรต่อจากนั้น ทว่าเสียงแรกซึ่งแทรกเข้ามาในสายดึงความสนใจจากเธอไปเสียก่อน
"พี่ธีร์ เดี๋ยวมัทต้องเข้าประชุมแล้ว แค่นี้ก่อนนะคะ"
"เดี๋ยวมัท..."
"เอ้อ มะรืนนี้มัทไปดูงานที่สิงคโปร์นะ ถ้ากลับมาจะโทร. หาพี่ธีร์แล้วกัน"
เสียงสัญญาณขาดหายโดยที่ไม่ทันได้เอ่ยได้ถามคำใดอีก ชายหนุ่มถอนใจหงุดหงิด ที่คิดว่าจะได้เจอเธอในรอบสองเดือนพังลงไม่เป็นท่า หนำซ้ำมัทรีดูจะไม่เสียดายที่ไม่ได้พบเจอกันเลย
คนรักอย่างนี้กระมังที่ปุ้มปุ้ยพอใจและแสร้งเอาหูไปนาเอาตาไปไล่ให้เขาคบหาหญิงสาว ทว่านับวันธีธัชกลับไม่คิดว่าระหว่างเขาและมัทรีคือความสัมพันธ์ฉันคนรัก เธอเป็นเหมือนเพื่อนและน้องสาวก็ว่าได้ ยิ่งเมื่อความรักที่เคยมีขาดความโหยหาซึ่งกันและกัน
...จบตอน...
ช่วงชวนคุยค่า
จะว่าไปแล้วถึงธีร์กับมัทจะทำงานรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว
แต่ตอนนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้คิดไกลถึงขั้นแต่งงาน
ตอนนั้นเป็นช่วงร่วมสุข ปัจจุบันต่างหากที่พวกเขาร่วมทุกข์ด้วยกัน
มาเอาใจช่วยพ่อแม่น้องปลายกันนะคะ
ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 มิ.ย. 2558, 15:49:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 มิ.ย. 2558, 15:49:34 น.
จำนวนการเข้าชม : 1575
<< บทที่ ๓ | บทที่ ๕ >> |
แว่นใส 17 มิ.ย. 2558, 17:04:19 น.
สลับช่วงเวลาใช่ไหม
สลับช่วงเวลาใช่ไหม
กาซะลองพลัดถิ่น 17 มิ.ย. 2558, 19:14:40 น.
สนุกเนื้อเรื่องน่าติดตามคะ ...ต้องย้อนกลับไปอ่านตอนแรกเลย
อัตราในตัวตนเยอะไปสำหรับธีร์
แต่สำหรับคนเป็นแม่และยายที่มีลูกหลานเป็นโรคนี้ตั้งแต่แบเบาะถือว่ามีสติที่่ดีและเข้มแข็งมากคะ
สนุกเนื้อเรื่องน่าติดตามคะ ...ต้องย้อนกลับไปอ่านตอนแรกเลย
อัตราในตัวตนเยอะไปสำหรับธีร์
แต่สำหรับคนเป็นแม่และยายที่มีลูกหลานเป็นโรคนี้ตั้งแต่แบเบาะถือว่ามีสติที่่ดีและเข้มแข็งมากคะ
Zia 18 มิ.ย. 2558, 16:11:46 น.
ตามๆค่ะ รอเลย ม่ต่อไวไวน้าาาา
ปล ทำไมอ่านแล้วไม่รุ้สึกถึงความรักของพี่ธีกะมีทเลยอ่าคะ
ตามๆค่ะ รอเลย ม่ต่อไวไวน้าาาา
ปล ทำไมอ่านแล้วไม่รุ้สึกถึงความรักของพี่ธีกะมีทเลยอ่าคะ
ภาพิมล_พิมลภา 21 มิ.ย. 2558, 15:51:43 น.
คุณแว่นใส - ใช่ค่ะ เล่าตัดไปที่อดีตด้วย
คุณกาซะลองพลัดถิ่น - ขอบคุณมากเลยค่า ส่วนมัทกว่าจะมาถึงจุดทำใจได้ก็แทบตายเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวมีเล่าถึงแน่นอน
คุณZia - รักแบบผิวเผินมากค่ะตอนนั้น ไม่เคยร่วมทุกข์กันเลย
คุณแว่นใส - ใช่ค่ะ เล่าตัดไปที่อดีตด้วย
คุณกาซะลองพลัดถิ่น - ขอบคุณมากเลยค่า ส่วนมัทกว่าจะมาถึงจุดทำใจได้ก็แทบตายเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวมีเล่าถึงแน่นอน
คุณZia - รักแบบผิวเผินมากค่ะตอนนั้น ไม่เคยร่วมทุกข์กันเลย