โซ่พิสุทธิ์
มรสุมข่าวฉาวว่าซุกลูกเมียทำให้พระเอกหนุ่มอย่าง 'ธีธัช' ต้องหวนกลับไปหาอดีตคนรักอีกครั้งเพื่อขอความร่วมมือจากเธอกอบกู้ภาพลักษณ์คืนมา เขาหวังใช้ความน่ารักของลูกสาวเรียกคะแนนนิยมจากประชาชน

แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นดังคิด ยิ่งรับรู้ความจริง ธีธัชกลับไม่ต้องการแค่ภาพครอบครัวจอมปลอม แต่ต้องการมัทรีและลูกในชีวิตนับแต่นี้ไป

เธอบอกว่าความรักเหมือนดอกไม้ที่โรยรา แต่เขาคิดว่าความรักไม่ต่างจากดอกไม้ที่จะผลิบานได้ด้วยการรดน้ำใส่ปุ๋ยที่ชื่อความจริงใจอีกครั้งหนึ่ง

fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๕



มัทรีนั่งหลบแดดใต้เพิงมุงจากข้างร้านตน เธอใช้เวลาว่างระหว่างรอลูกค้ามารับดอกไม้ไปกับการค้นหาข่าวคราวของพระเอกหนุ่มจากอินเตอร์เน็ตในโทรศัพท์มือถือ อยากรู้ว่าอะไรทำให้เขาหวนกลับมาที่นี่ และทำราวกับว่าลูกเมียสำคัญต่อเขามากเพียงไร

ทว่าข่าวจากสื่อกลับน้อยกว่าที่คิด ตรงข้ามกับข้อมูลจากเว็บบอร์ดสาธารณะชื่อดังที่มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นกว่าห้าร้อยข้อความ บ้างต่อว่า บ้างให้กำลังใจชายหนุ่ม แต่ที่เหนือความคาดหมายของมัทรีก็คือ...หลายคนในนั้นชื่นชมและให้กำลังใจเธอ ผู้หญิงที่พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร

กระทั่งสะดุดใจกับความคิดเห็นหนึ่ง...

'ลูกของธีร์ต้องน่ารักมากแน่ๆ เลย พ่อหล่อขนาดนั้น อีกหน่อยต้องเป็นซุป'ตาร์ตัวน้อยอีกคน'

นั่นคงเป็นข้อความจากแฟนคลับที่เผื่อแผ่ความรักมาถึงลูกของเธอ แต่หัวอกคนเป็นแม่กลับปวดปลาบ ลูกของเธออาจไม่สมบูรณ์ดังใครคิด และเธอก็ไม่ต้องการให้สายตาของคนทั้งประเทศจ้องมองลูกน้อยราวพบเจอเรื่องประหลาด ไม่เลย...

จากที่ลังเลใจ มัทรีคิดว่าตนได้คำตอบที่จะให้แก่อดีตคนรักแล้ว พวกเธอสองแม่ลูกขอมีชีวิตอยู่อย่างเงียบสงบ แวดล้อมด้วยผู้คนที่คุ้นเคยเช่นนี้ก็ดีแล้ว ต่อให้เขาส่งใครมาลากเธอไปงานแถลงข่าวก็ขอสู้สุดใจ

หญิงสาวกะพริบตาขับไล่หยาดน้ำซึ่งรื้นคลอ ลมร้อนและแสงจ้าคงช่วยให้น้ำตาแห้งไปได้เร็ว เธอโคลงศีรษะกับตัวเองที่ปล่อยใจอ่อนแอ ก่อนหางตาจะเหลือบเห็นรถที่ชะลอจอดหน้าร้านของตน

ไม่ใช่ลูกค้าที่นัดไว้... มัทรีลุกยืนพร้อมกับที่ชายซึ่งสวมแว่นกันแดดก้าวลงมาจากรถยุโรปคันใหญ่ เขาส่งยิ้มบางนำมา เช่นเดียวกับวันที่เธอเคยฝืนยิ้มสู้ให้เขา แต่ธีธัชก็ลบรอยยิ้มนั้นไปจากเธอ

.....................

สามปีก่อน

ร่างระหงก้าวเร็วไปยังลานจอดรถในตึกที่บริษัทของเธอเช่าอยู่ ไม่คิดเลยว่าเขาจะมีเวลามาหาเธอเร็วเพียงนี้ หลังจากที่เธอส่งข้อความไป

"ขึ้นมาก่อนสิมัท" เขาลดกระจกบอกพลางปลดล็อกประตูด้านข้างให้เธอ

มัทรีขึ้นนั่งข้างที่นั่งคนขับ หากธีธัชไม่ได้เคลื่อนรถไปไหน แล้วเธอก็รู้ว่าตนคงต้องพูดธุระในรถนั่นเอง

"นี่ค่ะ ของฝากจากสิงคโปร์"

หญิงสาวส่งถุงกระดาษใบเล็กให้ ข้างในเป็นน้ำหอมยี่ห้อและกลิ่นที่เธอเคยเห็นเขาใช้ ทว่าธีธัชเพียงรับไปวางบนตัก ไม่ได้สนใจของฝากนั้นแต่อย่างใด

"เรื่องข้อความที่ส่งมา มัทแน่ใจแล้วเหรอ" ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยเข้าเรื่องเสียเอง

มัทรีลอบถอนใจ ก่อนกดคางลงเพื่อยืนยัน

"ขอโทษนะคะ"

"ขอโทษทำไม พี่ผิดเอง พี่ว่าป้องกันดีแล้ว แต่..."

ชายหนุ่มโคลงศีรษะอย่างจนปัญญา จะโทษใครได้นอกจากดวงซวยจริงๆ คิดไม่ออกเลยว่าจะบอกเรื่องนี้กับปุ้มปุ้ยอย่างไรดี

"เดี๋ยวนะ นี่ไม่ใช่วันเอพริลส์ฟูลใช่ไหม"

"ไม่ใช่ค่ะ ตอนแรกมัทก็ไม่แน่ใจ แต่ผลตรวจที่โรงพยาบาลยืนยันอย่างนั้น มัทลืมเอาผลลงมาด้วย"

"ไม่ต้องหรอก"

ธีธัชไม่ได้เอ่ยต่อไปว่าเพียงเท่านี้โลกก็ถล่มทลายลงมาต่อหน้า สะพานที่จะไปถึงดวงดาวสั่นคลอน ไม่มั่นคงอีกต่อไป

มัทรีมองภาพชายหนุ่มเท้าแขนกุมขมับอย่างสะท้อนใจ เขาคงกำลังสับสน เธอพยายามเข้าใจข้อจำกัดและความจำเป็นต่างๆ ในอาชีพนักแสดง อีกทั้งข่าวซุบซิบบนหน้าหนังสือพิมพ์ว่าเขาไปดูหนังรอบดึกกับนางเอกร่วมช่องเมื่อไม่กี่วันก่อน มันเกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่ความสัมพันธ์ของพวกตนห่างเหินออกไป

"มัทรู้ว่าเราห่างกันแล้ว แต่ก็คิดว่าควรบอกพี่ธีร์"

"อืม มัทอยากให้พี่ทำยังไงล่ะ" เขาถามราวคนโง่เง่าที่สุด เช่นเดียวกับสติปัญญาในตอนนี้

หญิงสาวงันไปอย่างคาดไม่ถึง ดูเหมือนเขาจะผลักภาระในการหาทางออกของปัญหาให้เธอลำพัง

"พี่ธีร์ไปคุยกับผู้จัดการก่อนดีไหม บางทีสิ่งที่มัทอยากให้พี่ทำกับสิ่งที่ผู้จัดการคิดอาจเป็นคนละเรื่องกัน" เสียงตอบแข็งขืนขึ้นบ้าง

มัทรีกำลังจะเปิดประตูลงจากรถ ทว่ามือหนากลับเอื้อมมาคว้าข้อมือเธอไว้ทัน

"มัทโกรธที่พี่ไม่รับผิดชอบ"

"พี่ธีร์โกรธที่มัทท้องหรือเปล่าล่ะคะ"

"พี่ไม่ได้โกรธ แค่...แค่ตกใจ มัทก็รู้ เราไม่เจอกันนานมากนะ มันเหมือนเราเลิกกันแล้วด้วยซ้ำ"

เธอพยักหน้า เธอเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันในความสัมพันธ์ที่ห่างออกไป

"พี่ธีร์ลองปรึกษาพี่ผู้จัดการดูเถอะค่ะ แล้วค่อยคุยกัน"

ธีธัชจำต้องปล่อยมือข้างนั้น ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันเธอก็พร้อมผละไปจากเขาง่ายดาย แตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นที่รู้จักมา

ทว่าชายหนุ่มหารู้ไม่ว่าคนที่ดูเข้มแข็งแอบซ่อนความอ่อนแอไว้ข้างใน ทันทีที่เข้ามาในลิฟต์มัทรีต้องสูดหายใจลึก เป่าลมออกทางปาก ไม่ให้อะไรๆ ที่มันอัดแน่นอยู่ในใจระเบิดออกมา

ผู้ที่รออยู่หน้าลิฟต์บนชั้นที่บริษัทเช่าอยู่คือชนะพลและโยษิตา เจ้านายหนุ่มซึ่งเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นอาการผิดปกติของเธอขณะไปดูงานที่สิงคโปร์ด้วยกัน กับเพื่อนรักที่สุดที่คอยให้กำลังใจเธอเสมอมา มัทรีฝืนยิ้มเมื่อเห็นคนทั้งสองรีรอเธออยู่ หลังจากที่รู้ว่าตนลงไปพบธีธัชมา

"อะไรกันเนี่ย เจ้านายลูกน้องพากันอู้งาน" เธอเอ่ยติดตลก แต่ไม่มีใครขำขันด้วยสักคน

"แกโอเคเปล่ามัท" โยษิตาถามด้วยความเป็นห่วง

"โอเคสิ คนที่ช็อกไม่ใช่ฉันหรอก"

"แล้วเขาว่าไงบ้างมัท" ชนะพลถามขึ้นบ้าง

"ไม่ได้ว่าไงค่ะ มัทเลยบอกให้ปรึกษาผู้จัดการดู"

"บ้า แกบ้าเปล่าไอ้มัท พวกผู้จัดการก็ต้องเห็นผลประโยชน์ดาราสำคัญกว่าเปล่าวะ" เพื่อนสาวฉุนแทน "เดี๋ยว... เดี๋ยวฉันต้องให้โบ้มาช่วยเคลียร์"

โยษิตาก้าวเร็วจากไปก่อนที่เพื่อนสนิทจะห้ามปรามได้ทัน มัทรีหลับตาลงพลางถอนใจ เธอไม่ต้องการให้เรื่องวุ่นวายมากไปกว่านี้เลย

"หยกพูดถูกนะมัท"

"แต่มัทไม่ได้ต้องการจับเขานะคะ ไม่อยากดูเหมือนคนแบบนั้นด้วย อีกอย่าง...ถ้าเขาต้องการรับผิดชอบจริง ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนใจไม่ได้หรอกค่ะ แต่ถ้าไม่...มันก็ดีแล้วที่จบกันตอนนี้"

"พี่ไม่น่ามอบหมายงานนั้นให้มัทเลย"

หญิงสาวโคลงศีรษะพลางยิ้มบาง

"มัทยังไม่โทษตัวเองเลย ไม่โทษใครทั้งนั้น พี่อาร์มจะโทษตัวเองทำไม" มัทรีชี้ไปยังประตูกระจกของบริษัทหลังเอ่ยจบ "ไปทำงานก่อนนะคุณเจ้านาย"

ชนะพลวางมือบนศีรษะลูกน้องสาวพร้อมกับผลักเบาๆ ร่างเพรียวระหงยังคงคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงเมื่อเดินจากไป แต่เขารู้ดีว่าอีกไม่กี่เดือนต่อจากนี้มัทรีจะกลายเป็นคนท้องอุ้ยอ้าย และที่หนักหนาสาหัสที่สุดก็คือต้องอดทนต่อสายตากังขาของผู้คนรอบตัว

เขาขอให้เธอเข้มแข็ง สดใสได้ถึงตอนนั้น อย่าให้ใครหรือเรื่องใดมาทำลายตัวตนแท้จริงที่มีค่ายิ่งของเธอ

..................

บ้านพักซึ่งเป็นทั้งโฮมออฟฟิศสูงสามชั้นสร้างอยู่บนเนื้อที่กว่าหนึ่งไร่ นี่สินะที่เป็นสถานที่เก็บตัว ปลุกปั้นนักแสดงหน้าใหม่ในวงการ รวมทั้งธีธัช พระเอกหนุ่มสุดฮ็อตในขณะนี้

มัทรีก้าวไปตามทางเดินที่มีเด็กสาวหน้าตาน่ารักนำไป ดูเหมือนเจ้าหล่อนเพิ่งพักจากการฝึกซ้อมบางอย่างจึงได้เหงื่อโทรมกาย คนที่นัดเธอมาพบรออยู่ภายในห้องนั่งเล่นที่ล้อมรอบด้วยกระจกใส หากมู่ลี่พลาสติกถูกรูดปิดเพื่อความเป็นส่วนตัว

"อ่า คุณมัท นั่งก่อนสิฮะ" ผู้จัดการสาวหล่อผายมือเชิญ

ธีธัชซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกับผู้จัดการเงยหน้าจากฝ่ามือ เขาหันมองหญิงสาวที่มีรอยยิ้มสุภาพ ก่อนสายตาจะหยุดยังหน้าท้องแบนราบของเธอ ไม่น่าเชื่อเลยว่าบัดนี้ได้มีชีวิตน้อยๆ ถือกำเนิดขึ้นมา

"พี่รู้เรื่องทั้งหมดจากธีร์แล้ว ไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเลย"

มัทรีก้มหน้าเล็กน้อย ไม่รู้จะต่อประโยคนั้นอย่างไร

"หมอว่ายังไงบ้างฮะ ได้ฝากท้องหรือยัง"

"ยังค่ะ มัทคิดว่าจะรอสักหน่อย" เธอตอบพลางส่งใบรับรองแพทย์ให้อีกฝ่าย

ปุ้มปุ้ยรับใบรับรองทางการแพทย์มาพิจารณา หัวกระดาษนั้นคือโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง เธอไม่คิดว่าใครจะปลอมแปลงเพื่อแอบอ้างได้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีดีพอตัวอย่างมัทรี

ธีธัชรับกระดาษแผ่นนั้นมาต่อจากผู้จัดการ เขาจดจ้องราวกับต้องการค้นหาความหมายระหว่างบรรทัด หูแทบไม่ได้ยินสิ่งที่ปุ้มปุ้ยเริ่มเจรจาต่อไป

"พี่เห็นใจคุณมัทนะ คุณมัทเป็นผู้หญิงที่ดี พี่ถึงวางใจตอนคบกับธีร์ แต่ธีร์ก็ยังใหม่ในวงการ การที่จะเปิดตัวหรือแสดงออกอะไรก็อาจส่งผลกระทบกับงานได้ พี่ไม่ได้ต้องการให้ธีร์ไม่รับผิดชอบนะฮะ เพียงแต่เราคงต้องปิดข่าว คุณมัทคงเข้าใจ"

ใช่ เธอเข้าใจ

"ค่ะ" มัทรีตอบได้เพียงแค่นั้น

ไม่มีรอยยิ้มประหม่าบนใบหน้าหญิงสาวอีกแล้ว เธอรับฟังชะตากรรมที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้อย่างสงบนิ่ง ปลอบใจตัวเองว่าข้อเสนอนั้นก็ไม่ต่างจากตอนที่เธอและธีธัชคบกัน คือไปมาหาสู่หรือติดต่อกันโดยเป็นความลับเหมือนเคย

เบาะเก้าอี้ซึ่งยวบลงเรียกสติหญิงสาวกลับมา ผินมองก็เห็นสาวทอมผมสั้นลุกมานั่งข้างตน พร้อมกับกุมมือเธอไว้อย่างเห็นใจ

"ไม่ใช่พี่ไม่ไว้ใจคุณมัทนะฮะ แต่มันเคยมีกรณีที่พวกเราถูกหักหลังมาแล้ว พี่เลยทำสัญญาขึ้นมาเพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย คุณมัทลองดูก่อนนะ อยากแก้ไขข้อไหนก็พูดคุยกันได้"

มัทรีหน้าชา เธอกวาดสายตาอ่านข้อความในเอกสารสัญญาที่ผู้จัดการดาราส่งให้ และเมื่อสายตาเลื่อนมาเห็นลายเซ็นของธีธัชที่ท้ายกระดาษ เลือดในกายทุกหยดก็เย็นเยียบ แทบสั่นสะท้านทีเดียว

"อ้าวธีร์ มีงานเย็นนี้ไม่ใช่เหรอ นายไปก่อนสิ เดี๋ยวพี่ตามไป" ปุ้มปุ้ยหันไปเร่งคนของตน "เดี๋ยวได้ไปไม่ทันพอดี โดนเจ้าของงานปรับแล้วยังฉาวอีกนะเว้ย"

"แล้วมัท..."

"เดี๋ยวพี่ไปส่งเอง ไม่ต้องห่วง"

ธีธัชมองมือบางที่จับปากกาเตรียมจรดลายเซ็น เขาควรจะโล่งใจที่มัทรีไม่โวยวายเรียกร้องสิ่งใด แต่ในใจกลับปวดปลาบประหลาดจนไม่อาจทนมองเธอลงชื่อท้ายสัญญา

ชายหนุ่มก้าวเร็วออกไปโดยที่มัทรีได้แต่มองตาม เธอกะพริบตาขับไล่หยาดน้ำที่เอ่อขึ้นมาขังคลอ ก่อนตวัดลายมือชื่อลงไปให้จบๆ กัน

"มัทขอตัวนะคะ"

เธอกลับออกมาทันทีที่เสร็จธุระ ในเมื่อมาเองได้ก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครไปส่ง ทว่ามือที่พยายามจะบิดกุญแจติดเครื่องยนต์กลับสั่นจนยากจะควบคุม

หญิงสาวฟุบหน้ากับพวงมาลัย รู้สึกอ่อนล้าทั้งกายใจเสียยิ่งกว่าวันที่แพ้ท้องหนักที่สุด อาจเพราะเธอกำลังพ่ายแพ้จริงๆ

..................


สองปีก่อน

"แก ฉันเจ็บท้อง"

เสียงอ่อนระโหยของเพื่อนปลุกคนที่กำลังง่วงงุนยามบ่ายให้ตื่นเต็มตา โยษิตาผุดลุกยืนพลางมองหาเพื่อนที่โต๊ะแต่ก็ไม่เห็น เธอรีบกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ด้วยความห่วงใยทันที

"ไอ้มัท นี่แกอยู่ไหน" โยษิตารีบถามกลับไปตามสาย

"อยู่ห้องน้ำ" มัทรีตอบเสียงเบา "แก ฉันว่าฉันจะคลอดแล้วแน่เลย"

"แกรออยู่นั่นนะ ฉันจะรับไปโรงพยาบาล อย่าเพิ่งวางหูนะแก"

โยษิตาก้าวเร็วผ่านโต๊ะเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่ต่างลุกยืนอย่างพร้อมช่วยเหลือ ทว่าผู้ที่เพิ่งกลับเข้ามาที่บริษัทก็สยบความตื่นตระหนกนั้นลง

"มีอะไรหรือหยก"

"ไอ้มัทค่ะพี่อาร์ม" เธอบอกเล่าพร้อมกับก้าวยาวไปด้วย "มัทเจ็บท้องคลอดอยู่ที่ห้องน้ำ"

สิ้นสุดประโยคนั้นโยษิตาก็รีบวิ่งไปหาเพื่อนที่เดินเกาะผนังออกจากห้องน้ำมา ชนะพลตรงไปประคองพนักงานสาวอีกแรงพร้อมกับอาสาไปส่งโรงพยาบาล

ครั้นทั้งสามคนเดินไปยังลิฟต์ก็พอดีกับที่ประตูลิฟต์เปิดออก โดยมีเจ้าหน้าที่ประจำตึกเข็นเก้าอี้รถเข็นออกมา

"เราโทร. ลงไปแจ้งให้เอง" พนักงานชายคนหนึ่งรีบบอก

มัทรีมองเพื่อนร่วมงานหลายคนที่ออกมาสังเกตการณ์ด้วยความซาบซึ้งใจ เมื่อเธอนั่งบนเก้าอี้เข็นนั้นและกำลังจะถูกเข็นเข้าไปในลิฟต์ เสียงอวยพรจากเพื่อนทุกคนก็ดังตามมา

คนเจ็บท้องกุมมือเพื่อนสนิทตลอดทางไปโรงพยาบาล น้ำตาแห่งความเจ็บปวดและหวาดกลัวลึกๆ ไหลลงมา กระทั่งเธอถูกพรากจากเข้าไปในห้องที่มีแต่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล

เสียงพยาบาลสองคนพูดคุยอยู่ข้างเตียงลอยผ่านหูไป เธอเจ็บจนแทบสิ้นสติ เหงื่อกาฬผุดพรายทั้งที่ร่างกายหนาวสั่น มัทรีรู้สึกถึงบางสิ่งกำลังยื้อยุดชีวิตตนขณะเตียงถูกเข็นต่อไปยังห้องคลอด เธอต้องเลือกว่าจะต่อสู้หรือยอมพ่ายแพ้ต่อความเจ็บร้าวราวร่างกายจะฉีกออกจากกัน

ตลอดช่วงเวลาแห่งความทรมานหญิงสาวคิดถึงแต่แม่เท่านั้น ไม่ใช่ใครอื่น แม่ซึ่งเข้าใจความเจ็บปวดนี้ดีที่สุด สติสัมปชัญญะสุดท้ายจึงคล้ายจะได้ยินเสียงแหลมเล็กร้องเรียกเธออย่างนั้นเช่นกัน

"แง้... แง้..."

......................

เสียงพูดคุยรบกวนการพักผ่อนจนคนเจ็บปรือตาขึ้นมา เธอน่าจะรู้ว่าไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเพื่อนรักทั้งสองของตนกำลังยืนพูดคุยห่างออกไปทางประตูห้อง

"หยก โบ้" มัทรีเอ่ยเรียกเพื่อนแผ่วเบา

บุรินทร์และโยษิตาหันขวับ สีหน้าคร่ำเคร่งเลือนหายไปกลายเป็นรอยยิ้มยินดี

"เป็นไงบ้างมัท แกทำหัวใจฉันแทบวาย"

มัทรียิ้มขัน แต่เพียงพ่นเสียงหัวเราะก็เจ็บแผลขึ้นมา

"เจ็บสิถามได้ เจ็บที่สุดในชีวิตเลยแก"

"อึ๋ย น่ากลัวอ่ะ ขนาดหมอกับพยาบาลชมกันใหญ่ว่าแกคลอดง่ายนะ"

ไม่สำคัญว่าง่ายหรือยาก กระทั่งว่าเจ็บปวดเพียงไร เมื่อความเจ็บปวดนั้นแลกมาด้วยของขวัญที่คุ้มค่าที่สุด

"ลูกฉันล่ะ ผู้ชายหรือผู้หญิง"

"ผู้หญิงแก โอ๊ย ตื่นเต้นอ่ะ ฉันอยากเลี้ยงหลานแล้ว"

มัทรีหันไปยิ้มกับบุรินทร์อย่างขบขัน ท่าทางของโยษิตาดูจะเห่อหลานมากกว่าแม่อย่างเธอเสียอีก

บทสนทนาถูกขัดจังหวะเมื่อพยาบาลสาวเข้ามาดูอาการคุณแม่ลูกอ่อน ครั้นเห็นเธอรู้สึกตัวแล้วเจ้าหล่อนจึงอาสาพาทารกน้อยมาที่นี่ มัทรีกุมมือเพื่อนไว้ด้วยความตื่นเต้นยินดี เธอกำลังจะได้เห็นหน้าลูกชัดๆ อีกครั้ง ของขวัญล้ำค่าที่เธอต้องแลกด้วยอะไรมากมายเหลือเกิน

"นี่มีใครเห็นลูกฉันหรือยัง เออ แกได้โทร. บอกแม่ฉันหรือเปล่าหยก"

"บอกแล้วๆ คืนนี้แม่แกจะมาอยู่เฝ้าแกนะ พี่อาร์มอาสาไปรับท่าน"

"เกรงใจพี่อาร์มว่ะ"

"ไม่ต้องเกรงใจหรอกมัท ทุกคนเต็มใจทำเพื่อมัทนะ" บุรินทร์เอ่ยขึ้นบ้าง

ท่าทางเคร่งขรึมของเพื่อนเรียกให้หญิงสาวย่นคิ้วมอง ทว่าชายหนุ่มกลับหลบตามองมาที่มือของเธอแทน ครั้นหันมองโยษิตาซึ่งยืนอยู่อีกข้างของเตียงก็เห็นนัยน์ตาหลุกหลิกที่เพื่อนใช้มองคนรัก

"มีอะไรหรือเปล่า" เธอถามทั้งที่พอคาดเดาได้ "โบ้ แกโทร. หาพี่ธีร์เหรอ"

"มัท ยังไงเขาก็สมควรต้องรู้" บุรินทร์สารภาพ

เขากุมมือเย็นชืดของคนเจ็บไว้ มองท่าทางที่เพื่อนพยายามข่มใจแล้วก็ให้สะท้อนในหัวอก ขนาดเขาเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังแทบแบกรับเรื่องเหล่านี้ไม่ไหวเลย

"แกบอกไปแล้ว ฉันจะทำอะไรได้ เขาคงไม่มาหรอกจริงไหม"

มัทรีไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำเสียงที่เอ่ยแฝงไว้ด้วยความหวัง บุรินทร์และโยษิตาได้แต่ลอบสบตากัน ก่อนพวกเขาจะขยับหลบเมื่อพยาบาลเข็นเตียงเด็กเข้ามาหาถึงข้างเตียงแม่

เพียงได้เห็นหน้าลูก มัทรีก็ลืมความสุขความทุกข์ใดๆ สิ้น และเมื่อพยาบาลอุ้มส่งทารกน้อยเข้าสู่อ้อมกอดของคนเป็นแม่ หญิงสาวก็ได้รู้ว่าโลกที่เคยกว้างใหญ่กลับแคบลงเพียงอ้อมแขนเธอเท่านั้น

.....................

ยามบ่ายอันเงียบสงบมีเพียงเธอและลูกอยู่ในห้องพักพิเศษด้วยกันลำพังเท่านั้น โยษิตาและบุรินทร์อาสาไปส่งแม่ของเธอแต่เช้า เมื่อหมออนุญาตให้เธอและลูกกลับบ้านได้ในวันพรุ่งนี้

มัทรีพยายามลุกเดินตามคำแนะนำของแพทย์ทั้งที่ยังเจ็บท้อง เธอแง้มม่านเมื่อแสงแรงจ้ายามบ่ายสาดส่องเข้ามา เมื่อหันมองลูกน้อยตัวแดงๆ ยังคงหลับตาพริ้มในเตียงเด็กก็อดโน้มไปแตะปลายจมูกกับหน้าผากแกไม่ได้

หญิงสาวค่อยยืดตัวขึ้นเชื่องช้าเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา รอยยิ้มยังไม่จางไปจากใบหน้า กระทั่งเห็นว่าผู้ที่เข้ามาเป็นใคร

ปุ้มปุ้ยปรี่ไปประคองร่างอวบอิ่มที่เซถอยจนสะโพกกระแทกขอบเตียงไว้ได้ทัน ขณะผู้ที่มาพร้อมกันมัวแต่เบิกตากว้างมองทารกในเตียง

"คุณมัท นั่งก่อนฮะ"

เธอไม่อยากนั่ง อยากจะอุ้มลูกมาเก็บไว้กับตัว ทว่าตัวเธอในตอนนี้มัวตกตะลึงที่คนทั้งสองมาปรากฏตัวจนแทบสิ้นไร้เรี่ยวแรง มัทรีต้องยอมนั่งเก้าอี้ข้างเตียง

"พี่กับธีร์มาเยี่ยมฮะ ขอโทษที่ไม่ได้โทร. มาบอกก่อน ธีร์มันไม่ยอมโทร. น่ะ"

หญิงสาวปรายตามองพระเอกหนุ่ม เขาคงกำลังรับบทบาทใหม่ๆ เมื่อผมดำขลับยาวขึ้น เขาเหลือบมองเธอเช่นกัน ก่อนจะดึงสายตากลับมามองลูกน้อยอย่างไม่อาจละสายตา

"ครั้งล่าสุดมัทไม่รับโทรศัพท์พี่ไม่ใช่หรือไง" เขาแก้ตัวอ้อมแอ้ม

มัทรีกลอกตาพลางถอนใจ ครั้งล่าสุดที่เขาติดต่อมาคือตอนที่เธอตั้งครรภ์ได้สี่เดือน เธอไม่คิดว่ามีอะไรต้องพูดกันอีกหลังจากเซ็นสัญญาฉบับนั้น

"นายอย่าหาเรื่องน่ะธีร์" ปุ้มปุ้ยปรามอย่างหวั่นเกรงว่าจะเสียบรรยากาศ "ไหนดูเจ้าตัวเล็กซิ หน้าตาจิ้มลิ้มเหมือนใครเนี่ย"

"ต้องบอกว่าน่าเกลียดน่าชังสิพี่" ธีธัชแย้ง

เขาล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาเก็บภาพตนและลูก ทั้งจุมพิตหมัดเล็กๆ ที่พยายามปัดป้องคนรบกวน แล้วสายตาก็เหลือบเห็นป้ายชื่อที่ข้อมือเล็กข้างหนึ่ง

"ปลายฟ้า" ชายหนุ่มเผลอเรียกชื่อนั้นพลางหันมองอดีตคนรักของตน "มัทเป็นคนตั้งชื่อลูกเหรอ"

มัทรีพยักหน้า เธอไม่กล้าสบตาเขา กลัวเหลือเกินว่าแววตาตนจะเฉลยที่มาของชื่อนั้น เมื่อความหมายของปลายฟ้าในความคิดเธอคือที่ที่คู่ควรกับดวงดาวอย่างเขานั่นเอง

"แล้วนามสกุล..."

"คืออย่างนี้ฮะคุณมัท" ปุ้มปุ้ยเอ่ยแทรกขึ้นมา "อย่างที่พี่เคยบอกว่าเราพร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง ธีร์เขาก็อยากจดทะเบียนรับรองบุตร พี่เลยทำหนังสือยินยอมมาให้คุณมัทช่วยเซ็น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อประโยชน์ต่อคุณมัทและหลานเองนะฮะ"

จดทะเบียนรับรองบุตรหรือ... เธอควรดีใจใช่หรือไม่ที่เขายินดีรับยัยหนูเป็นลูกตามกฎหมาย แล้วยังจะส่งเสียเลี้ยงดูแกตามหน้าที่พ่ออันสมควร

แต่ทำไมในใจเธอกลับร้องบอกว่าเรื่องนี้ง่ายดายเกินไป หากมัทรีก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดที่ติดค้างในใจตน

"มัท ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อสิทธิ์ในตัวลูก แต่พี่ต้องการให้ลูกรู้ว่าแกมีสิทธิ์ในตัวพี่ต่างหากนะ และถ้าเกิดพี่เป็นอะไรไปในวันข้างหน้า มัทไม่คิดว่าผลประโยชน์ทุกอย่างสมควรเป็นของแกหรือ"

มัทรีผงกศีรษะยอมรับความจริงใจนั้น เธอมีลูกเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่ตัวเองอีกแล้ว จึงจำต้องเก็บทิฐิมานะไว้ข้างใน

ปุ้มปุ้ยยิ้มบางด้วยความพึงพอใจเมื่อหญิงสาวจรดปากกาลงนามในหนังสือยินยอม เพราะนั่นแลกมาด้วยข้อแลกเปลี่ยนที่เธอต้องการให้นักแสดงในสังกัดตนและมัทรีตรวจดีเอ็นเอ

"เดี๋ยวพี่มานะฮะ"

มัทรีงุนงงเล็กน้อยเมื่อผู้จัดการสาวหล่อขอตัวออกไป ครั้นหันมองธีธัชก็เห็นเขาเสหลบตาเธอ

ไม่นานประตูห้องพักผู้ป่วยก็เปิดเข้ามาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้มีพยาบาลสาวตามปุ้มปุ้ยเข้ามาพร้อมถาดสแตนเลสที่มีเข็มและหลอดแก้ววางอยู่บนนั้น

"ธีร์" สาวมาดทอมกดเสียงเรียกคนของตน

พระเอกหนุ่มเม้มปากสะกดกลั้นความเจ็บปวดพลางพับถกแขนเสื้อขึ้น ความเจ็บจากเข็มแหลมที่เจาะลงมายังข้อพับแขนไม่เท่าความเจ็บปวดใจเมื่อรู้สึกถึงแสงตารวดร้าวมองมา

"พี่ธีร์..." มัทรีเอ่ยเสียงสะท้าน

บัดนี้เธอรู้แล้วว่าสิ่งที่ติดค้างในใจก่อนหน้านี้คือเรื่องใด หนังสือรับรองบุตรเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อได้ตรวจดีเอ็นเอเท่านั้น หญิงสาวรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า เขาเห็นเธอเป็นผู้หญิงประเภทไหนกันจึงได้คิดตรวจหาความเป็นพ่อลูก คิดว่าเธอจะง่ายกับใครเหมือนที่เขาได้ตัวเธอไปง่ายๆ หรือไร

ความโกรธ น้อยใจ ตลอดจนความรักที่เหลืออยู่น้อยนิดในใจมัทรีหมดสิ้นลงตรงนั้น ไม่เหลือความรู้สึกใดต่อผู้ชายคนนี้อีกแล้ว ไม่เหลือแม้ความเป็นคนเคยรู้จักกัน สมองเธอว่างเปล่า ไม่หลงเหลือความทรงจำใดๆ ให้เก็บไว้อีกต่อไป

...จบตอน...

ปิดฉากเรื่องราวในอดีตที่บทนี้นะคะ คนอ่านคงได้เห็นความเป็นมาของคู่นี้แล้ว
บทหน้าว่ากันด้วยเรื่องง้อ(อดีต)เมียต่อนะนายธีร์ 5555



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 มิ.ย. 2558, 15:47:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 มิ.ย. 2558, 15:47:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 1542





<< บทที่ ๔   บทที่ ๖ >>
กาซะลองพลัดถิ่น 21 มิ.ย. 2558, 16:29:17 น.
ถ้าเป็นมัท จะไม่ให้ลูกใช้นามสกุลของพ่อเลว ๆ อย่างธีร์เลย.....
เพราะที่ทำกับมัทตั้งแต่รู้ว่าท้องก็น่าอดสูมากพอแล้ว และมัทก็ยอมทำทุกอย่างตามที่พวกเขาต้องการแล้ว
แต่ถ้ามองจากความเป็นจริง มัทก็ผิดที่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับผู้ชายคนนี้ตั้งแต่แรก .....สู้ ๆ มัท


pkka 21 มิ.ย. 2558, 17:12:21 น.
คือ..เอาในชีวิตจริง..จะไม่เดินย้อนกลับทางเดิมเลยมัท..ทิ้งโลด! คนแบบนี้! 555 อินจัด


ภาพิมล_พิมลภา 21 มิ.ย. 2558, 17:15:35 น.
คุณกาซะลองพลัดถิ่น - ทีแรกมัทดีใจด้วยค่ะที่ธีร์มาเยี่ยม หวังเล็กๆประสาผู้หญิงว่าผู้ชายจะรับผิดชอบ แต่ก็... แหะๆ


ภาพิมล_พิมลภา 21 มิ.ย. 2558, 17:16:45 น.
คุณpkka - 5555 ตัดให้ขาดเลยชับๆๆ


ปิ่นนลิน 21 มิ.ย. 2558, 17:33:16 น.
เกลียดโกรธพี่ธีร์อะะะะ!!!

โหดร้ายเกินไปแล้วหรือเปล่า มัทรีก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดูแล้วจะคบใครหลายคนสักหน่อย
สัญญาก็ทำแล้วอะไรก็ทำแล้ว ยังทำแบบนี้อีกกก
โอ้ยยยยยย


ภาพิมล_พิมลภา 25 มิ.ย. 2558, 15:43:39 น.
คุณปิ่นนลิน - ธีร์หัวอ่อนเชื่อผจก.ด้วยค่ะ เขาแค่ไม่อยากมีปัญหา ทั้งที่ก็เชื่อมัทนั่นล่ะค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account