ปฏิญญาปฏิพัทธ์
บางคน...ทำทุกสิ่งเพียงเพื่อลบ ‘ใครสักคน’ ออกจากความทรงจำ
บางคน...ทำทุกวิถีทางเพียงเพื่อเป็น ‘บางสิ่ง’ ในความทรงจำของใครสักคน
ทว่าเมื่อนางกลายเป็นเพียงความว่างเปล่าในสายตาของบุรุษผู้นั้น
วิถีทางใดเล่าที่จะทำให้นางได้มีตัวตนในดวงตาคู่นั้นอีกครา...
‘ทุกอย่าง’ ที่พร้อมยอมกระทำเพียงให้เขาหันกลับมาอีกครั้ง รวมไปถึงการหลอกลวง หักหลัง หรือแม้แต่กำจัดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางอยู่หรือไม่?
‘ทุกอย่าง’ ที่พร้อมจะเสียสละ รวมไปถึงการละทิ้งทุกความดี ละทิ้งมิตรสหาย หรือละทิ้งได้กระทั่งตัวตนที่แท้จริง?
เมื่อรักคือนิยามของทุกสิ่ง เช่นนั้น...การที่นางยอมทิ้งทุกอย่าง
ใช่เป็นการทิ้งความรักของนางไปด้วยหรือไม่หนอ...
บางคน...ทำทุกวิถีทางเพียงเพื่อเป็น ‘บางสิ่ง’ ในความทรงจำของใครสักคน
ทว่าเมื่อนางกลายเป็นเพียงความว่างเปล่าในสายตาของบุรุษผู้นั้น
วิถีทางใดเล่าที่จะทำให้นางได้มีตัวตนในดวงตาคู่นั้นอีกครา...
‘ทุกอย่าง’ ที่พร้อมยอมกระทำเพียงให้เขาหันกลับมาอีกครั้ง รวมไปถึงการหลอกลวง หักหลัง หรือแม้แต่กำจัดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางอยู่หรือไม่?
‘ทุกอย่าง’ ที่พร้อมจะเสียสละ รวมไปถึงการละทิ้งทุกความดี ละทิ้งมิตรสหาย หรือละทิ้งได้กระทั่งตัวตนที่แท้จริง?
เมื่อรักคือนิยามของทุกสิ่ง เช่นนั้น...การที่นางยอมทิ้งทุกอย่าง
ใช่เป็นการทิ้งความรักของนางไปด้วยหรือไม่หนอ...
Tags: จีนโบราณ,แฟนตาซี,เทพเซียน,สวรรค์,โลกมนุษย์,รัก, คน, เทพ, เวทย์มนต์
ตอน: บทที่ 1 : แรกพบ [1/2]
บทที่ ๑
แรกพบ
ข้าเคยเกลียดแสงสว่าง...
แสงสว่างนั้นเจิดจ้าจนแสบตา...อบอุ่นจนร้อนแรง
ขับไล่ความมืดเฉกข้าให้ถอยร่นจนจางหายไปหมดสิ้น
ยามนี้ข้ารักแสงสว่าง
แต่จะมีหนทางใดเล่า...ที่ความมืดเช่นข้า จะเคียงข้างแสงสว่างได้
โดยที่ไม่สูญสลายตัวตนของตนเอง...
วสันตวิษุวัต มาเยือนอีกคราแล้ว
อากาศเริ่มอบอุ่นมากขึ้น ทว่าจิ้งจอกจอมอุตุอย่างนางก็ยังไม่อยากจะออกจากโพรงเย็นๆ นี้ไปข้างนอกป่าอย่างที่สัตว์อื่นทำกัน
ธรรมชาติของจิ้งจอกอย่างนาง ไม่เคยพิศมัยไออุ่นจากแสงตะวันนี่ล่ะ
ทว่าแสงจากอีกาสามขา ส่องสว่างจนแสบตา ยิ่งเจ้านกอัปลักษณ์นั่นลอยสูงสู่ท้องนภามากขึ้นเท่าไหร่ แสงสว่างจากมันก็ยิ่งเจิดจ้าจนแสบตา ทั้งยังทำให้รู้สึกร้อนแทบขาดใจ จนในบางฤดูร้อนนางแทบจะถลกหนังตนเองออกให้รู้แล้วรู้รอดเสียดีกว่า
ดังนั้นนางจึงเลือกออกมาดูโลกในยามราตรี ยามที่ท้องฟ้าดารดาษไปด้วยดารา หรืออย่างมากก็มีเพียงแสงจากเจ้ากระต่ายหยก ที่มัวแต่บดยาบนนภาอันแสนห่างไกลเท่านั้น
สายลมยามรัตติกาลโชยกระทบผิวกาย ส่งสัมผัสเย็นสบายให้กระทบผิวกายนางอีกครา พร้อมกับท้องที่เริ่มหิวขึ้นมาอีกครั้ง
ปกติแล้วนางจะกินเพียงผลไม้ แต่หลายวันนี้นางเริ่มกระหายในเลือดเนื้อขึ้นมาบ้างแล้ว อาจจะเป็นเพราะนางบำเพ็ญตบะมาได้ครบห้าร้อยปี สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่ทุกครั้งที่อยู่ในร่างอันแสนสะดวกสบายนั้น กลับต้องแลกมาด้วยความหิวโหยแทบขาดใจ
ผลไม้ในยามปกติไม่อาจดับหิวให้นางได้ แต่จะให้นางฆ่าสัตว์ตัดชีวิต...นั่นก็หมายถึงการทำลายตบะที่ตนเองเพียรบำเพ็ญมาจนถึงห้าร้อยปีนี้ให้สูญสิ้นไปเช่นเดียวกัน
โชคดี...ทางบำเพ็ญของนางนั้นมิได้เป็นไปเพื่อบรรลุเป็นเซียน แต่เพื่อเป็นมาร...
พอพ้นจากการบำเพ็ญตบะห้าร้อยปีแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องหาวิธีคงร่างมนุษย์เอาไว้ให้ได้นานที่สุด
นั่นคือการได้รับปราณหยางจากบุรุษ
เบื้องหน้าเป็นลำธารใส มีจื่อเถิง ต้นใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่ว ณ ที่ตรงนั้นมีบ้านไม้เก่าผุพังปลูกไว้อยู่ข้างๆ
บุรุษผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้นล่วงเข้าวัยชราแล้ว แต่ทุกวันๆ นางก็ยังเห็นเขาเดินกระย่องกระแย่งไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีบุปผาม่วงระย้าหอมกรุ่นเป็นพวงอยู่อย่างนั้น บางวันเขาก็เอากู่ฉินมาดีดที่นั่นด้วย
นางชอบเสียงกู่ฉินยิ่งนัก แต่...จะบอกว่าชอบที่สุดก็คงมิใช่ เพราะจนบัดนี้นางยังมิเคยได้ยินเสียงจากเครื่องดนตรีอื่นใดนอกจากที่ชายชราผู้นั้นบรรเลงเลยสักที
แต่ถึงแม้จะชอบเพลงที่เขาบรรเลงสักเพียงไร หรือจะเกิดความเห็นใจอย่างน้อยครั้งยิ่งต่อบุรุษผู้นั้นมากเพียงไหน นางก็ไม่อาจเข้าใกล้เขาได้ เมื่อก่อนยามที่นางยังไม่ประสาและยังไร้ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น นางเคยเดินเข้าไปใกล้เขา หมายจะดึงปราณหยางออกมาจากบุรุษผู้นั้นสักหน่อย
กลับเป็นนางเองที่ต้องหน้ามืด มิอาจสูดปราณของเขามาได้สักนิด ซ้ำยังถูกปราการไร้รูปร่างที่แผ่ออกจากต้นจื่อเถิงสะท้อนออกมาจนนางต้องกลับคืนสู่ร่างเดิม
ตอนนั้นเองนางจึงรู้ว่าจื่อเถิงต้นนี้มีภูตสิงสู่ และภูตตนนั้นก็คอยปกปักรักษาบุรุษผู้นั้นเป็นอย่างดี
นางคิดถึงเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาถึงตำนานของภูตจื่อเถิงต้นหนึ่ง และจักรพรรดิผู้ยอมสละราชย์เพื่อนางอันเป็นที่รักผู้จากไป ไม่คิดเลยว่าตำนานจะกลับมีชีวิตอยู่ตรงหน้าโพรงจิ้งจอกของนาง!
แต่จะว่าไป ม่านปราการไร้รูปที่นางกระทบถูกในวันนั้นทำให้นางรู้ว่าภูตจื่อเถิงยังสามารถคงเสี้ยววิญญาณของตนเองเอาไว้ได้ แต่กำลังจะบำเพ็ญเพียรเพื่อกลับเป็นภูตอีกครา
คิดมาถึงตรงนี้ นางก็ได้แต่นั่งลงแล้วหัวเราะราวกับเป็นคนบ้า
ภูตตนนั้นไม่นึกบ้างเลยหรือ ว่ากว่าตนเองจะสามารถคืนร่างเป็นมนุษย์ได้ บุรุษผู้นั้นก็เข้าสู่สังสารวัฎ ดื่มน้ำแกงลืมภพแล้วเวียนว่ายตายเกิดไปไม่รู้กี่ชาติแล้ว
ช่างเป็นความรักที่งมงายกันทั้งคู่!
ตำนานที่ว่านั่นมิได้ทำให้นางรู้สึกเห็นใจคนทั้งสองสักนิด ตรงกันข้าม จิ้งจอกอย่างนางถือคติที่ว่า “มีแค้นต้องชำระ” ดังนั้นนางจึงรอจังหวะที่ชายชราออกมานอกม่านปราการไร้รูปของภูตจื่อเถิง แล้วบอกกับเขาว่าชะตามังกรที่ไหลเวียนอยู่ในหยาดโลหิตของเขานั้นหากอยู่ใกล้กับต้นจื่อเถิงก็จะถ่วงการบำเพ็ญเพียรของนางให้ยาวนานมากขึ้น เพราะภูตผีปีศาจไม่ถูกกับปราณมังกรอยู่แล้ว
นางไม่ได้โกหก การที่ผู้มีชะตามังกรเข้าใกล้ภูตตนใด มีแต่ทำให้ภูตตนนั้นต้องอายุสั้น นอกจากฆ่าแล้วกินเนื้อเขาให้สิ้นซากไปเลยเท่านั้น จึงจะเป็นการเพิ่มพูนพลังวัตรของปีศาจได้
สิ่งที่นางทำมิใช่การพรากคู่รักให้แยกจาก แต่เป็นการดึงพวกเขาให้ออกมาสู่โลกความเป็นจริงต่างหาก
ตั้งแต่วันนั้น ชายชราที่ชื่อหลี่เพ่ยจวินก็เอาแต่อยู่หน้ากระท่อม ดวงตาที่ยังคงแจ่มกระจ่างไม่พร่ามัวไปตามกาลเวลาจับจ้องอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่อย่างโหยหา และทำท่าว่าจะอยู่เช่นนั้นไปตลอดชั่วชีวิต อยู่เป็นตัวตลกให้นางหัวเราะเยาะไปตลอดกาล...
ใช่...นางคิดเช่นนั้น
ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้น
มันเปลี่ยนไป...ในวันที่เขาผู้นั้นปรากฎตัวขึ้นมา
นางออกจากโพรงมาด้วยรูปลักษณ์ของสตรีเลอโฉมนางหนึ่ง
วันนี้เป็นวันแรกที่นางจะลงจากเขาด้วยร่างมนุษย์ ไปตามหาบุรุษสักคน ลงมือยั่วยวนสักเล็กน้อย แล้วเสพปราณหยางจากร่างกายของคนโชคร้ายผู้นั้นให้เต็มอิ่ม
ทว่านางกลับหันไปเจอภาพแปลกตาภาพหนึ่ง
หลี่เพ่ยจวิน – ตาเฒ่าผู้นั้นยังไม่นอน
เขากำลังนั่งอยู่ห่างจากกระท่อมเล็กน้อย เบื้องหน้าของเขามีร่างสูงโปร่งในชุดสีขาวยืนอยู่ นางไม่เห็นหน้าของคนผู้นั้น แต่ก็คิดว่าอาจจะเป็นบุตรชาย...ไม่สิ บุตรชายของหลี่เพ่ยจวินยามนี้ล่วงเข้าวัยกลางคน ทว่าเงาร่างในชุดสีขาวตรงหน้านางกลับให้ความรู้สึกว่าคนผู้นี้ยังอยู่ในวัยหนุ่มแน่น ทั้งยังมีท่วงท่างามสง่ายิ่งนัก
อะไรบางอย่างบอกให้นางซ่อนตัวโดยพลัน
เงาร่างบอบบางกลายเป็นกลุ่มควันสายหนึ่งพลิ้วเข้าไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่ทันควัน ดวงตาสุกใสน้ำตาลอมทองจับจ้องไปยังบุรุษทั้งคู่ที่กำลังยืนคุยกันอีกฟากฝั่งแม่น้ำอย่างไม่ให้คลาดสายตา
กลิ่นอายบางอย่างจากร่างบุรุษผู้มาใหม่โชยพัดมาจนถึงอีกฝั่งของแม่น้ำ นางพลันสูดลมหายใจเข้าลึก ปล่อยให้กลิ่นหอมอ่อนจางค่อยๆ ซึมเข้าไปในร่างอย่างเชื่องช้า รู้สึกได้ถึงขุมพลังสายหนึ่งที่ค่อยๆ ผสานเข้าไปในร่างกาย ปลุกให้ทุกอณูเนื้อของนางเต้นระริกอย่างยินดี
ช่างเป็นความรู้สึกที่ดียิ่งนัก...
นางตัดสินใจแล้ว นางจะให้บุรุษผู้นี้เป็นคนแรกที่นางจะเสพปราณหยางจากเขา!
หญิงสาวหลับตา ภาพตรงหน้ากลายเป็นสีดำสนิท ในใจคิดถึงกระท่อมร้างหลังเก่าที่เชิงเขาซึ่งนางเคยไปพบโดยบังเอิญเมื่อครั้งที่ยังใช้ร่างจิ้งจอกวิ่งโลดแล่นไปทั่วป่า
เมื่อลืมตาอีกครั้ง นางก็มาถึงกระท่อมน้อยหลังนั้นแล้ว
เงาร่างในชุดผ้าโปร่งบาง สีชมพูอ่อนจางจนเกือบขาวโบกมือคราหนึ่ง เปลี่ยนกระท่อมเก่าผุ ผนังหลุดหายไปแถบหนึ่งให้กลายเป็นกระท่อมชายป่าที่พอจะสามารถอาศัยได้บ้าง นางก้าวเข้าไปในบ้าน เสกข้าวของที่พึงมีในกระท่อมของมนุษย์ผู้หนึ่งขึ้นมาทีละอย่างๆ ด้วยสีหน้าราวกับกำลังเล่นสนุก
เครื่องเรือนชิ้นสุดท้ายคือเตียงเล็กที่ปูลาดด้วยฟูกนอนนุ่มหนา
อย่างน้อยๆ คืนแรกของนาง...ก็ควรสบายเสียหน่อยมิใช่หรือ?
หญิงสาวเตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงค่อยกลายร่างเป็นหมอกควันสายหนึ่ง ปล่อยกายไปกับสายลมระเรื่อยที่พัดผ่านไปจนถึงหุบเขา จวบจนมาถึงต้นจื่อเถิงใหญ่อีกครั้ง
เรียวปากอิ่มสีแดงระเรื่อประดับรอยยิ้มงดงามฉายแววสมใจ ยามที่ได้ยินบุรุษชุดขาวที่นางยังไม่เคยเห็นหน้าเอ่ยกับหลี่เพ่ยจวินว่า “ไม่คิดเลยว่าข้าจะคุยกับท่านผู้เฒ่าได้ถูกคอเช่นนี้ สนทนากันจนใกล้ยามเหมา แล้ว พระอาทิตย์ใกล้ขึ้นเต็มที สมควรแก่การเอ่ยลาได้แล้ว”
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอกๆ” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของหลี่เพ่ยจวินบ่งบอกว่าเขาอารมณ์ดีนัก “ไม่ค่อยมีใครมาหาข้าหรอก อีกอย่าง วันๆ ตาแก่อย่างข้าก็ไม่ได้ทำอะไรมากมาย นานๆ ครั้งจะได้สนทนาอย่างออกรสเช่นนี้สักทีชวนให้รู้สึกดีไม่น้อยทีเดียว”
“อย่างไรเสียท่านก็ควรพักผ่อนมากๆ ข้าว่า...” ประโยคนั้นสะดุดลงเล็กน้อย ขณะที่ศีรษะคนพูดเหลียวไปทางจื่อเถิงต้นใหญ่อย่างลังเล ก่อนเอ่ยต่อ “หากท่านย้ายไปอยู่ในเมืองก็อาจจะ...”
หลี่เพ่ยจวินยังคงแย้มยิ้ม ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับสาดประกายกร้าวขึ้นทันควัน “ข้าไม่ย้าย อยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว ทิวทัศน์งดงาม ลำธารไหลริน ได้กลิ่นหอมของบุปผาเช่นนี้ ยังจะมีที่ไหนดีกว่าอีกหรือ?”
คนผู้นั้นนิ่งไปนานราวกับกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้า เปลี่ยนเรื่องโดยพลัน “เช่นนั้น ข้าต้องขอลาท่านผู้เฒ่าก่อน วันหน้าหากผ่านมาทางนี้อีก ก็จะขอมาเยี่ยมคารวะท่านอีกครั้ง”
“ดี ข้าจะรอเจ้ามาสนทนากันเช่นนี้อีก” เมื่อเขาเปลี่ยนเรื่อง ชายชราก็หัวเราะร่วน กลับมาอารมณ์ดีเช่นเดิม “คุณชายไป๋เดินทางระวังตัวด้วย”
ร่างเล็กที่หลบฟังอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ลอบจดจำเอาไว้อย่างรวดเร็ว
อ้อ...แซ่ไป๋ ช่างเข้ากับชุดและบุคลิกของเขายิ่งนัก
“ท่านผู้เฒ่าก็ต้องรักษาสุขภาพด้วย ข้าขอลา”
ชายหนุ่มค้อมศีรษะลงเล็กน้อยพลางประสานมือคารวะ ก่อนจะหันหลังเดินจากมา...
จิ้งจอกน้อยอ้าปากค้าง น้ำลายแทบหยาดหยดเมื่อเห็นรูปโฉมคนตรงหน้า
แสงจันทราหรุบหรู่ในสายหมอกยามใกล้รุ่งขับเน้นร่างสูงโปร่งตรงหน้านางให้งามสง่า ราวกับเซียนผู้ละเว้นกิเลสในทางโลกสิ้นแล้ว ใบหน้าคมคายเกินบุรุษในใต้หล้าดูนิ่งสงบ นัยน์ตาสีดำสนิทราวรัตติกาลในคืนเดือนมืดเปล่งประกายงดงาม ระยิบระยับราวกับพรายน้ำที่สะท้อนในยามราตรี ยามที่เขาก้าวตรงมาเรื่อยๆ ก็คล้ายกับว่าคนผู้นี้...กำลังเลื่อนลอยอยู่บนเมฆาดั่งเทพเซียนผู้หนึ่ง
นี่...บุรุษคนแรกของนาง...รูปโฉมงดงามได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
นางตกตะลึงจนลืมกะพริบตา จวบจนเขาเดินผ่านหน้าไปแล้วนั่นล่ะ กลิ่นหอมอ่อนจาง เย็นรื่น ชวนให้จิตใจสงบลงของเขาจึงค่อยปลุกนางให้ตื่นจากภวังค์
อ๊ะ! ไม่ได้สิ ข้าจะต้องไปดักเขา ล่อลวง แล้วลากเขาขึ้นเตียงซะ!
เรียวปากสีแดงระเรื่อดุจกลีบเหมยแย้มออกเป็นรอยยิ้มหวานล้ำ ทว่าดวงตากลับเปล่งประกายเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก
นางโบกมือคราหนึ่ง ร่างน้อยในชุดสีชมพูอ่อนจางก็กลายเป็นสายลมหอบหนึ่ง พัดตามร่างสูงของ ‘ผู้ชายคนแรก’ ไปอย่างรวดเร็ว
แรกพบ
ข้าเคยเกลียดแสงสว่าง...
แสงสว่างนั้นเจิดจ้าจนแสบตา...อบอุ่นจนร้อนแรง
ขับไล่ความมืดเฉกข้าให้ถอยร่นจนจางหายไปหมดสิ้น
ยามนี้ข้ารักแสงสว่าง
แต่จะมีหนทางใดเล่า...ที่ความมืดเช่นข้า จะเคียงข้างแสงสว่างได้
โดยที่ไม่สูญสลายตัวตนของตนเอง...
วสันตวิษุวัต มาเยือนอีกคราแล้ว
อากาศเริ่มอบอุ่นมากขึ้น ทว่าจิ้งจอกจอมอุตุอย่างนางก็ยังไม่อยากจะออกจากโพรงเย็นๆ นี้ไปข้างนอกป่าอย่างที่สัตว์อื่นทำกัน
ธรรมชาติของจิ้งจอกอย่างนาง ไม่เคยพิศมัยไออุ่นจากแสงตะวันนี่ล่ะ
ทว่าแสงจากอีกาสามขา ส่องสว่างจนแสบตา ยิ่งเจ้านกอัปลักษณ์นั่นลอยสูงสู่ท้องนภามากขึ้นเท่าไหร่ แสงสว่างจากมันก็ยิ่งเจิดจ้าจนแสบตา ทั้งยังทำให้รู้สึกร้อนแทบขาดใจ จนในบางฤดูร้อนนางแทบจะถลกหนังตนเองออกให้รู้แล้วรู้รอดเสียดีกว่า
ดังนั้นนางจึงเลือกออกมาดูโลกในยามราตรี ยามที่ท้องฟ้าดารดาษไปด้วยดารา หรืออย่างมากก็มีเพียงแสงจากเจ้ากระต่ายหยก ที่มัวแต่บดยาบนนภาอันแสนห่างไกลเท่านั้น
สายลมยามรัตติกาลโชยกระทบผิวกาย ส่งสัมผัสเย็นสบายให้กระทบผิวกายนางอีกครา พร้อมกับท้องที่เริ่มหิวขึ้นมาอีกครั้ง
ปกติแล้วนางจะกินเพียงผลไม้ แต่หลายวันนี้นางเริ่มกระหายในเลือดเนื้อขึ้นมาบ้างแล้ว อาจจะเป็นเพราะนางบำเพ็ญตบะมาได้ครบห้าร้อยปี สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่ทุกครั้งที่อยู่ในร่างอันแสนสะดวกสบายนั้น กลับต้องแลกมาด้วยความหิวโหยแทบขาดใจ
ผลไม้ในยามปกติไม่อาจดับหิวให้นางได้ แต่จะให้นางฆ่าสัตว์ตัดชีวิต...นั่นก็หมายถึงการทำลายตบะที่ตนเองเพียรบำเพ็ญมาจนถึงห้าร้อยปีนี้ให้สูญสิ้นไปเช่นเดียวกัน
โชคดี...ทางบำเพ็ญของนางนั้นมิได้เป็นไปเพื่อบรรลุเป็นเซียน แต่เพื่อเป็นมาร...
พอพ้นจากการบำเพ็ญตบะห้าร้อยปีแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องหาวิธีคงร่างมนุษย์เอาไว้ให้ได้นานที่สุด
นั่นคือการได้รับปราณหยางจากบุรุษ
เบื้องหน้าเป็นลำธารใส มีจื่อเถิง ต้นใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่ว ณ ที่ตรงนั้นมีบ้านไม้เก่าผุพังปลูกไว้อยู่ข้างๆ
บุรุษผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้นล่วงเข้าวัยชราแล้ว แต่ทุกวันๆ นางก็ยังเห็นเขาเดินกระย่องกระแย่งไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีบุปผาม่วงระย้าหอมกรุ่นเป็นพวงอยู่อย่างนั้น บางวันเขาก็เอากู่ฉินมาดีดที่นั่นด้วย
นางชอบเสียงกู่ฉินยิ่งนัก แต่...จะบอกว่าชอบที่สุดก็คงมิใช่ เพราะจนบัดนี้นางยังมิเคยได้ยินเสียงจากเครื่องดนตรีอื่นใดนอกจากที่ชายชราผู้นั้นบรรเลงเลยสักที
แต่ถึงแม้จะชอบเพลงที่เขาบรรเลงสักเพียงไร หรือจะเกิดความเห็นใจอย่างน้อยครั้งยิ่งต่อบุรุษผู้นั้นมากเพียงไหน นางก็ไม่อาจเข้าใกล้เขาได้ เมื่อก่อนยามที่นางยังไม่ประสาและยังไร้ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น นางเคยเดินเข้าไปใกล้เขา หมายจะดึงปราณหยางออกมาจากบุรุษผู้นั้นสักหน่อย
กลับเป็นนางเองที่ต้องหน้ามืด มิอาจสูดปราณของเขามาได้สักนิด ซ้ำยังถูกปราการไร้รูปร่างที่แผ่ออกจากต้นจื่อเถิงสะท้อนออกมาจนนางต้องกลับคืนสู่ร่างเดิม
ตอนนั้นเองนางจึงรู้ว่าจื่อเถิงต้นนี้มีภูตสิงสู่ และภูตตนนั้นก็คอยปกปักรักษาบุรุษผู้นั้นเป็นอย่างดี
นางคิดถึงเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาถึงตำนานของภูตจื่อเถิงต้นหนึ่ง และจักรพรรดิผู้ยอมสละราชย์เพื่อนางอันเป็นที่รักผู้จากไป ไม่คิดเลยว่าตำนานจะกลับมีชีวิตอยู่ตรงหน้าโพรงจิ้งจอกของนาง!
แต่จะว่าไป ม่านปราการไร้รูปที่นางกระทบถูกในวันนั้นทำให้นางรู้ว่าภูตจื่อเถิงยังสามารถคงเสี้ยววิญญาณของตนเองเอาไว้ได้ แต่กำลังจะบำเพ็ญเพียรเพื่อกลับเป็นภูตอีกครา
คิดมาถึงตรงนี้ นางก็ได้แต่นั่งลงแล้วหัวเราะราวกับเป็นคนบ้า
ภูตตนนั้นไม่นึกบ้างเลยหรือ ว่ากว่าตนเองจะสามารถคืนร่างเป็นมนุษย์ได้ บุรุษผู้นั้นก็เข้าสู่สังสารวัฎ ดื่มน้ำแกงลืมภพแล้วเวียนว่ายตายเกิดไปไม่รู้กี่ชาติแล้ว
ช่างเป็นความรักที่งมงายกันทั้งคู่!
ตำนานที่ว่านั่นมิได้ทำให้นางรู้สึกเห็นใจคนทั้งสองสักนิด ตรงกันข้าม จิ้งจอกอย่างนางถือคติที่ว่า “มีแค้นต้องชำระ” ดังนั้นนางจึงรอจังหวะที่ชายชราออกมานอกม่านปราการไร้รูปของภูตจื่อเถิง แล้วบอกกับเขาว่าชะตามังกรที่ไหลเวียนอยู่ในหยาดโลหิตของเขานั้นหากอยู่ใกล้กับต้นจื่อเถิงก็จะถ่วงการบำเพ็ญเพียรของนางให้ยาวนานมากขึ้น เพราะภูตผีปีศาจไม่ถูกกับปราณมังกรอยู่แล้ว
นางไม่ได้โกหก การที่ผู้มีชะตามังกรเข้าใกล้ภูตตนใด มีแต่ทำให้ภูตตนนั้นต้องอายุสั้น นอกจากฆ่าแล้วกินเนื้อเขาให้สิ้นซากไปเลยเท่านั้น จึงจะเป็นการเพิ่มพูนพลังวัตรของปีศาจได้
สิ่งที่นางทำมิใช่การพรากคู่รักให้แยกจาก แต่เป็นการดึงพวกเขาให้ออกมาสู่โลกความเป็นจริงต่างหาก
ตั้งแต่วันนั้น ชายชราที่ชื่อหลี่เพ่ยจวินก็เอาแต่อยู่หน้ากระท่อม ดวงตาที่ยังคงแจ่มกระจ่างไม่พร่ามัวไปตามกาลเวลาจับจ้องอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่อย่างโหยหา และทำท่าว่าจะอยู่เช่นนั้นไปตลอดชั่วชีวิต อยู่เป็นตัวตลกให้นางหัวเราะเยาะไปตลอดกาล...
ใช่...นางคิดเช่นนั้น
ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้น
มันเปลี่ยนไป...ในวันที่เขาผู้นั้นปรากฎตัวขึ้นมา
นางออกจากโพรงมาด้วยรูปลักษณ์ของสตรีเลอโฉมนางหนึ่ง
วันนี้เป็นวันแรกที่นางจะลงจากเขาด้วยร่างมนุษย์ ไปตามหาบุรุษสักคน ลงมือยั่วยวนสักเล็กน้อย แล้วเสพปราณหยางจากร่างกายของคนโชคร้ายผู้นั้นให้เต็มอิ่ม
ทว่านางกลับหันไปเจอภาพแปลกตาภาพหนึ่ง
หลี่เพ่ยจวิน – ตาเฒ่าผู้นั้นยังไม่นอน
เขากำลังนั่งอยู่ห่างจากกระท่อมเล็กน้อย เบื้องหน้าของเขามีร่างสูงโปร่งในชุดสีขาวยืนอยู่ นางไม่เห็นหน้าของคนผู้นั้น แต่ก็คิดว่าอาจจะเป็นบุตรชาย...ไม่สิ บุตรชายของหลี่เพ่ยจวินยามนี้ล่วงเข้าวัยกลางคน ทว่าเงาร่างในชุดสีขาวตรงหน้านางกลับให้ความรู้สึกว่าคนผู้นี้ยังอยู่ในวัยหนุ่มแน่น ทั้งยังมีท่วงท่างามสง่ายิ่งนัก
อะไรบางอย่างบอกให้นางซ่อนตัวโดยพลัน
เงาร่างบอบบางกลายเป็นกลุ่มควันสายหนึ่งพลิ้วเข้าไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่ทันควัน ดวงตาสุกใสน้ำตาลอมทองจับจ้องไปยังบุรุษทั้งคู่ที่กำลังยืนคุยกันอีกฟากฝั่งแม่น้ำอย่างไม่ให้คลาดสายตา
กลิ่นอายบางอย่างจากร่างบุรุษผู้มาใหม่โชยพัดมาจนถึงอีกฝั่งของแม่น้ำ นางพลันสูดลมหายใจเข้าลึก ปล่อยให้กลิ่นหอมอ่อนจางค่อยๆ ซึมเข้าไปในร่างอย่างเชื่องช้า รู้สึกได้ถึงขุมพลังสายหนึ่งที่ค่อยๆ ผสานเข้าไปในร่างกาย ปลุกให้ทุกอณูเนื้อของนางเต้นระริกอย่างยินดี
ช่างเป็นความรู้สึกที่ดียิ่งนัก...
นางตัดสินใจแล้ว นางจะให้บุรุษผู้นี้เป็นคนแรกที่นางจะเสพปราณหยางจากเขา!
หญิงสาวหลับตา ภาพตรงหน้ากลายเป็นสีดำสนิท ในใจคิดถึงกระท่อมร้างหลังเก่าที่เชิงเขาซึ่งนางเคยไปพบโดยบังเอิญเมื่อครั้งที่ยังใช้ร่างจิ้งจอกวิ่งโลดแล่นไปทั่วป่า
เมื่อลืมตาอีกครั้ง นางก็มาถึงกระท่อมน้อยหลังนั้นแล้ว
เงาร่างในชุดผ้าโปร่งบาง สีชมพูอ่อนจางจนเกือบขาวโบกมือคราหนึ่ง เปลี่ยนกระท่อมเก่าผุ ผนังหลุดหายไปแถบหนึ่งให้กลายเป็นกระท่อมชายป่าที่พอจะสามารถอาศัยได้บ้าง นางก้าวเข้าไปในบ้าน เสกข้าวของที่พึงมีในกระท่อมของมนุษย์ผู้หนึ่งขึ้นมาทีละอย่างๆ ด้วยสีหน้าราวกับกำลังเล่นสนุก
เครื่องเรือนชิ้นสุดท้ายคือเตียงเล็กที่ปูลาดด้วยฟูกนอนนุ่มหนา
อย่างน้อยๆ คืนแรกของนาง...ก็ควรสบายเสียหน่อยมิใช่หรือ?
หญิงสาวเตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงค่อยกลายร่างเป็นหมอกควันสายหนึ่ง ปล่อยกายไปกับสายลมระเรื่อยที่พัดผ่านไปจนถึงหุบเขา จวบจนมาถึงต้นจื่อเถิงใหญ่อีกครั้ง
เรียวปากอิ่มสีแดงระเรื่อประดับรอยยิ้มงดงามฉายแววสมใจ ยามที่ได้ยินบุรุษชุดขาวที่นางยังไม่เคยเห็นหน้าเอ่ยกับหลี่เพ่ยจวินว่า “ไม่คิดเลยว่าข้าจะคุยกับท่านผู้เฒ่าได้ถูกคอเช่นนี้ สนทนากันจนใกล้ยามเหมา แล้ว พระอาทิตย์ใกล้ขึ้นเต็มที สมควรแก่การเอ่ยลาได้แล้ว”
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอกๆ” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของหลี่เพ่ยจวินบ่งบอกว่าเขาอารมณ์ดีนัก “ไม่ค่อยมีใครมาหาข้าหรอก อีกอย่าง วันๆ ตาแก่อย่างข้าก็ไม่ได้ทำอะไรมากมาย นานๆ ครั้งจะได้สนทนาอย่างออกรสเช่นนี้สักทีชวนให้รู้สึกดีไม่น้อยทีเดียว”
“อย่างไรเสียท่านก็ควรพักผ่อนมากๆ ข้าว่า...” ประโยคนั้นสะดุดลงเล็กน้อย ขณะที่ศีรษะคนพูดเหลียวไปทางจื่อเถิงต้นใหญ่อย่างลังเล ก่อนเอ่ยต่อ “หากท่านย้ายไปอยู่ในเมืองก็อาจจะ...”
หลี่เพ่ยจวินยังคงแย้มยิ้ม ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับสาดประกายกร้าวขึ้นทันควัน “ข้าไม่ย้าย อยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว ทิวทัศน์งดงาม ลำธารไหลริน ได้กลิ่นหอมของบุปผาเช่นนี้ ยังจะมีที่ไหนดีกว่าอีกหรือ?”
คนผู้นั้นนิ่งไปนานราวกับกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้า เปลี่ยนเรื่องโดยพลัน “เช่นนั้น ข้าต้องขอลาท่านผู้เฒ่าก่อน วันหน้าหากผ่านมาทางนี้อีก ก็จะขอมาเยี่ยมคารวะท่านอีกครั้ง”
“ดี ข้าจะรอเจ้ามาสนทนากันเช่นนี้อีก” เมื่อเขาเปลี่ยนเรื่อง ชายชราก็หัวเราะร่วน กลับมาอารมณ์ดีเช่นเดิม “คุณชายไป๋เดินทางระวังตัวด้วย”
ร่างเล็กที่หลบฟังอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ลอบจดจำเอาไว้อย่างรวดเร็ว
อ้อ...แซ่ไป๋ ช่างเข้ากับชุดและบุคลิกของเขายิ่งนัก
“ท่านผู้เฒ่าก็ต้องรักษาสุขภาพด้วย ข้าขอลา”
ชายหนุ่มค้อมศีรษะลงเล็กน้อยพลางประสานมือคารวะ ก่อนจะหันหลังเดินจากมา...
จิ้งจอกน้อยอ้าปากค้าง น้ำลายแทบหยาดหยดเมื่อเห็นรูปโฉมคนตรงหน้า
แสงจันทราหรุบหรู่ในสายหมอกยามใกล้รุ่งขับเน้นร่างสูงโปร่งตรงหน้านางให้งามสง่า ราวกับเซียนผู้ละเว้นกิเลสในทางโลกสิ้นแล้ว ใบหน้าคมคายเกินบุรุษในใต้หล้าดูนิ่งสงบ นัยน์ตาสีดำสนิทราวรัตติกาลในคืนเดือนมืดเปล่งประกายงดงาม ระยิบระยับราวกับพรายน้ำที่สะท้อนในยามราตรี ยามที่เขาก้าวตรงมาเรื่อยๆ ก็คล้ายกับว่าคนผู้นี้...กำลังเลื่อนลอยอยู่บนเมฆาดั่งเทพเซียนผู้หนึ่ง
นี่...บุรุษคนแรกของนาง...รูปโฉมงดงามได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
นางตกตะลึงจนลืมกะพริบตา จวบจนเขาเดินผ่านหน้าไปแล้วนั่นล่ะ กลิ่นหอมอ่อนจาง เย็นรื่น ชวนให้จิตใจสงบลงของเขาจึงค่อยปลุกนางให้ตื่นจากภวังค์
อ๊ะ! ไม่ได้สิ ข้าจะต้องไปดักเขา ล่อลวง แล้วลากเขาขึ้นเตียงซะ!
เรียวปากสีแดงระเรื่อดุจกลีบเหมยแย้มออกเป็นรอยยิ้มหวานล้ำ ทว่าดวงตากลับเปล่งประกายเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก
นางโบกมือคราหนึ่ง ร่างน้อยในชุดสีชมพูอ่อนจางก็กลายเป็นสายลมหอบหนึ่ง พัดตามร่างสูงของ ‘ผู้ชายคนแรก’ ไปอย่างรวดเร็ว

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 มิ.ย. 2558, 00:30:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 มิ.ย. 2558, 00:30:39 น.
จำนวนการเข้าชม : 813
<< เทวทัณฑ์ |