ดวงจิตสื่อรัก

Tags: ไม่ใช่แนวตบจูบเป็นเรื่องที่แต่งจากประสบการณ์เรื่องจิตวิญญาณ

ตอน: ตอนที่ 6

ตอนที่ 6
“วิวเองเหรอลูก แล้วพ่อคนนี้เป็นใคร มาทำอะไรกันดึกๆดื่นๆในบ้านเรา” เสียงวันทาไม่ค่อยพอใจนัก

ปฏิภาณมองเจ้าของเสียงซึ่งเป็นหญิงสูงวัย อายุคงราวๆห้าสิบกว่า รูปร่างค่อนข้างท้วมแต่ไม่ถึงกับ
อ้วนและดูแข็งแรงอีกต่างหาก ใบหน้าบ่งบอกเค้าความงามอยู่ไม่น้อยในสมัยสาวๆ เขารีบยกมือไหว้

“ผมขอแนะนำตัวเองครับ คุณป้า ผมชื่อปฏิภาณ เป็น...เอ่อ เพื่อนคุณวิวครับ” เขาตัดสินใจบอกไปเช่น
นั้น ไม่อยากให้ผู้ใหญ่ต้องกังวล เขารู้ การกระทำของเขากับนิศาชลคงไม่เหมาะสมนักในสายตาผู้ใหญ่ หญิงชาย
อยู่กันตามลำพังในยามค่ำคืนและสภาพเขาในตอนนี้ยิ่งชวนให้เข้าใจผิดได้ อีกทั้งนิศาชลเป็นหญิงมีเจ้าของแล้ว
ยิ่งทำให้ผู้ใหญ่ตำหนิได้แม้เบื้องหลังจะเป็นแค่การแต่งงานหลอกๆก็ตาม

“หวังว่าคงเป็นแค่เพื่อนอย่างที่ว่านะ” สายตาผู้สูงวัยกว่าจ้องมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

“แล้วไปอัดกับใครมาล่ะ ถึงได้ปากแตก ช้ำไปทั้งตัว หรือริอาจเป็นนักเลงโต ป้าคิดไม่ถึงจริงๆ วิวจะมี
เพื่อนเป็นอันธพาลแบบนี้” วันทาหันมาดุนิศาชลที่นั่งนิ่งเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดีก่อนบอกความจริงให้ทราบ

“คุณต้น ไม่ใช่นักเลงค่ะ คุณป้า คุณต้นช่วยวิวจากคน....ช่างเถอะค่ะคุณป้าไว้วิวจะเล่าให้ฟังทีหลัง”
แล้วเธอก็หันไปพูดกับปฏิภาณต่อ “คุณต้นดึกมากแล้ว กลับไปก่อนเถอะค่ะ ไว้วิวจะโทรไปคุย”

คิ้วหนาเข้มได้รูปของปฏิภาณขมวดเข้าหากันอย่างมึนงง อยู่ดีๆนิศาชลก็รีบไล่ให้เขากลับแต่พอเห็นเธอ
ขยิบตาให้ก็เข้าใจ เขาจึงติดกระดุมเสื้อและลุกขึ้นยกมือไหว้ป้าของเธออีกครั้ง

“ดึกอย่างที่คุณวิวว่า ผมขอตัวกลับก่อน คุณวิวขอบคุณครับที่ช่วยทำแผลให้” ร่างสูงใหญ่ลุกเดินไปที่
ประตูและกำลังเปิดประตูออกไปเสียงวันทาก็ดังขึ้นห้ามไว้ก่อน

“เดี๋ยว รอสักครู่ วิว ไปหยิบน้ำมันไพลทาแก้ฟกช้ำดำเขียวที่ได้จากวัดมาให้พ่อคนนี้หน่อย จะได้หาย
เจ็บเร็วๆ”
ปฏิภาณยิ้ม ‘คิดว่าจะดุ ที่แท้ก็ใจดี’
สักพักนิศาชลก็นำขวดน้ำมันไพลในขวดแก้วขนาดกลางยื่นให้ “นี่ค่ะคุณต้น ได้ผลดีกว่ายานอกอีก
รับรองไม่เกินพรุ่งนี้แผลหายแน่ค่ะ ปกติคุณป้าไม่ค่อยให้ใคร คุณต้นโชคดีมากนะคะ” เธอบอกเขาเป็นนัยๆว่า
คุณป้าของเธอเอ็นดูเขาเหมือนกัน

“ขอบคุณครับคุณป้า” เขายกมือไหว้วันทาอีกครั้ง

“ใครป้าเรา ฉันไม่เคยมีหลานชายนะพ่อคุณ” วันทายังคงพูดจาไร้ไมตรี ทำหน้าเคร่งขรึม

“ไม่มีไม่เป็นไรครับ ผมขอสมัครเป็นก็แล้วกันครับ ขอตัวกลับก่อนครับคุณป้า” แล้วเขาก็รีบไปทันที
ขืนชักช้าอาจเจอคุณป้าดุได้

“ยัยวิว บอกป้ามาเดี๋ยวนี้นะ ผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนหรือเป็นมากกว่านั้น ห้ามปิดบังหรือโกหก” วันทาคาด
คั้นเอากับหลานสาวหลังปฏิภาณไปแล้ว

“อาจ...อาจเป็นมากกว่าเพื่อนค่ะคุณป้า” นิศาชลพูดได้ไม่เต็มปากนัก เธอรู้โดยสถานะแล้วเธอไม่อาจ
พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเขาเป็นคนพิเศษของเธอ กับคนอื่นเธออาจไม่พูดอะไรเลยนอกจากบอกว่า เป็นเพื่อน
แต่กับวันทาผู้เลี้ยงดูมา เป็นยิ่งกว่ามารดาบังเกิดเกล้าเสียอีกเธอจึงไม่ปิดบัง วันทาจ้องมองใบหน้าหลานสาว
ที่รักเหมือนลูกแล้วถอนใจ

“วิว ป้ารู้ วิวคิดอย่างไรกับผู้ชายคนนี้ แต่วิวก็รู้นี่ลูก ตราบใดที่วิวยังไม่เป็นอิสระจากนายก้องเกียรติ
วิวกับเขาไม่มีวันทำอะไรได้ตามใจปรารถนา ป้าเคยเตือนวิวให้คิดให้ดีก่อนตัดสินใจทำตามที่แม่อรสาขอเพราะมัน
หมายถึงชีวิตทั้งชีวิตของวิวแต่วิวก็แพ้ทางแม่อรสาจนได้ เฮ่อ! เวรกรรมจริงๆ คิดแล้วก็น่าเจ็บใจนัก หากตอนนั้นป้า
ห้ามวิว ไม่ให้ทำตามแม่อรสาขอร้องก็ดี วิวจะได้ไม่ต้องทนทุกข์อย่างนี้ ป้าไม่น่าสอนวิวให้กตัญญูกับผู้หญิงที่ไม่
เคยทำหน้าที่แม่เลย ไม่รู้ว่าใจแม่อรสาทำด้วยอะไรถึงไม่เคยเห็นใจลูกสาว มีอย่างที่ไหนให้ลูกสาวแต่งงานเพื่อ
ให้พวกวิปริตผิดเพศได้สมหวัง” วันทามักโทษตัวเองบ่อยๆที่ทำให้หลานสาวต้องตกอยู่ในสภาพถูกบีบคั้นตลอด
เวลาและไร้ซึ่งอิสระภาพที่จะทำตามใจปรารถนา อีกทั้งรับไม่ได้กับการกระทำของกุมภากับก้องเกียรติ

นิศาชลรู้ดี คนเป็นป้านั้นรับไม่ค่อยได้กับพวกเพศที่สามแม้ว่าพระท่านจะเทศน์สอนบ่อยๆว่าเป็นกรรม
ของการผิดศีลข้อกาเมมาก่อน ชาติที่แล้วเคยประพฤติผิดลูกเมียเขา เป็นชู้กับสามีหรือภรรยาคนอื่น หรือไม่ก็เคย
ไปข่มขืนหญิงอื่นมาก่อน ทั้งหมดเป็นไปตามบทลงโทษของกรรม แต่ท่านยังรังเกียจอยู่ดี ปลงไม่ค่อยได้แม้จะไป
วัดบ่อยๆก็ตาม ยิ่งมีตัวอย่างคนใกล้ชิดให้เห็นตำตายิ่งทำใจเป็นกลางไม่ได้ ถ้าว่ากันตามวิชาการสมัยใหม่ก็จะ
ว่าเกิดจากการเลี้ยงดูของบิดามารดาและสภาพแวดล้อมรอบข้าง เธอเชื่อว่าส่วนหนึ่งของพฤติกรรมเบี่ยงแบน
ของน้องชายต่างบิดานั้นมาจากการเลี้ยงดูอย่างที่ว่าจริงๆเพราะใกล้ชิดมารดามากไป ตอนเล็กๆมารดาชอบจับ
กุมภาแต่งตัวเป็นเด็กผู้หญิงบ่อยๆแล้วชมว่าสวยน่ารักกว่าเด็กผู้หญิงจริงๆเสียอีกเลยทำให้กุมภาฝังจิตฝังใจกับ
การเป็นหญิงมากกว่าชาย

“ช่างเถอะค่ะ คุณป้า วิวจะพยายามทนให้ถึงที่สุด อย่างน้อยก็ได้ใช้หนี้เลือดที่แม่อุตส่าห์อุ้มท้องมา
แต่ถ้าถึงวันที่วิวหมดความอดทน วิวจะไม่ขอทนค่ะ” นิศาชลบอกด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว

“ตอนนี้วิวก็พูดได้เพราะยังไม่ถึงเวลาจริงๆ ถ้าเวลานั้นมาถึงจริงๆ ป้าเชื่อว่าวิวคงขัดขืนแม่อรสาไม่ได้
อยู่ดี แม่คนนี้ฉลาด รู้วิธีบีบวิวทางอ้อม ช่างเถอะไว้ถึงเวลาที่วิวอยากเป็นอิสระเมื่อไหร่ ขอให้ป้ามีส่วนร่วมด้วย
ก็แล้วกัน มีป้าอยู่ทั้งคนแม่อรสาไม่กล้าทำอะไรมากหรอก” วันทารู้จักหลานสาวดี ว่ามักใจอ่อนกับมารดา

นิศาชลเองก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ ว่าเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ เธอจะใจแข็งพอที่จะทำให้มารดาเสียใจและทน
ต่อคำบ่นว่าคร่ำครวญของท่านได้หรือไม่ คิดแล้วน่าอึดอัดแท้ๆ มองไม่เห็นแสงสว่างในชีวิตเลยมีเพียงวันทาที่
รู้ว่าเธอกดดันมากแค่ไหน เธอกอดร่างท้วมของวันทาเหมือนต้องการที่พักพิงทางใจ และกำลังใจจากผู้ใหญ่ที่รัก
และเคารพดุจมารดาอีกคน

“คุณป้าไม่ต้องห่วงนะคะ ตราบใดที่สองคนนั้นไม่มายุ่งกับเรื่องของวิว วิวจะอดทนให้ถึงที่สุดค่ะ”

“ที่ผ่านมา พวกเขาเคยปล่อยวิวอยู่อย่างสุขสงบรึ ป้ารู้วิวทนได้ แต่พ่อคนนั้นของวิวท่าทางจะไม่ยอม
ทนสักเท่าไหร่ ออกกล้าอย่างนั้น ป้าแกล้งทำเป็นดุยังกล้าแนะนำตัวให้รู้จักโดยไม่กลัวเกรง วิวคิดว่าเขาจะทน
เห็นวิวอยู่ในสภาพนี้ได้นานเรอะ ป้าไม่คิดอย่างนั้น นี่สิที่ป้ากลัว กลัวว่า..สักวันจะมีข่าวเสื่อมเสียเกิดขึ้น
คนภายนอกไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่างไรเสียผู้หญิงก็เสียเปรียบอยู่ดี ยิ่งได้แม่อรสาช่วยอีกแรง ป้ารับรอง
เรื่องจะไม่ง่ายอย่างที่วิวคิด นะลูก”

ใช่ว่านิศาชลจะไม่เข้าใจในสิ่งที่วันทาเตือน เธอเองก็คิดเช่นนั้น แล้วจะทำอย่างไรดี ยิ่งคิดยิ่งมอง
ไม่เห็นอนาคตเลย เธอถอนใจอย่างหนักหน่วง

“วิวเข้าใจค่ะ คุณป้า แต่คงห้ามคุณต้นไม่ได้ วิวกลัวว่าสักวันจะกระเทือนถึงหน้าที่การงานของเขา
วิวไม่อยากให้ตัวเองต้องมาทำลายอนาคตเขาค่ะ คุณป้า” เธอสารภาพกับวันทาตรงๆ

“เรื่องยังไม่เกิดอย่าเพิ่งไปกังวลเลยลูก อีกอย่างหน้าที่การงานของเขาจะกระเทือนหรือไม่ มันขึ้นกับ
การกระทำของเขาเองมากกว่า ต่อให้คนภายนอกมีอิทธิพลเพียงไรก็ไม่สู้เราทำตัวเอง ที่ป้าห่วงมากกว่า
คืออารมณ์รักหลงจะทำให้ขาดความยับยั้งชั่งใจ รับปากป้านะลูก อย่าทำอะไรเกินขอบเขตที่ควรจะเป็น
ผู้หญิงเรานะยังไงก็เสียเปรียบผู้ชายวันยันค่ำ ต่อให้ผู้ชายคนนั้นเป็นคนดีในสายตาวิวก็ตาม” วันทาผ่านอะไร
มามากจึงเตือนหลานสาวด้วยความหวังดี เข้าใจอารมณ์รักของหนุ่มสาวว่าเป็นอย่างไร ความรักเมื่อเข้าใกล้
ใครมักจะตามมาด้วยความประมาทพลั้งเผลอเสมอ และมีหนุ่มสาวหลายคู่ที่ปล่อยตัวปล่อยใจตามอารมณ์รัก
ใคร่ปรารถนาจนเกิดปัญหาสังคมมากมายตามมา ยิ่งนิศาชลมีข้อจำกัดมากกว่าคนอื่นยิ่งต้องระวังมากขึ้น

“วิวไม่ขอรับปากค่ะ แต่วิวรู้อยู่อย่างหนึ่ง คือตราบใดที่วิวยังไม่เป็นอิสระจากพันธะทางกฎหมาย
วิวไม่มีวันยอมทำตัวให้สังคมประณามจนเสื่อมเสียมาถึงนามสกุลของคุณพ่อหรอกค่ะ” เธอรับรองแข็งขัง

“ขอบใจลูก เอาล่ะดึกมากแล้ว ไปอาบน้ำเตรียมตัวนอนเถอะ ป้าเองก็เหนื่อยเหมือนกัน รบกับอาเรามา
จนหมดแรงกว่าจะตะล่อมให้กินข้าวผสมยานอนหลับได้”

“คุณป้าทนอีกสักสองสามวันนะคะ รอให้หมออามหาห้องให้คุณอาได้ก่อน วิวจะพาไปรักษาที่โรงพยา
บาลให้หมอกับพยาบาลคอยดูแลใกล้ชิด อาการจะได้ดีขึ้น คุณป้าไปนอนเถอะค่ะ” เธอประคองวันทาไปห้อง
ก่อนแยกตัวเข้าห้องตัวเอง อยากพักเต็มที เหนื่อยใจเหนื่อยกายอย่างบอกไม่ถูกกับเรื่องของตัวเองที่ยังหาทาง
ออกไม่เจอ
====================================

สายมากแล้วอมรินทร์ยังไม่มีทีท่าว่าจะไปทำงาน ทานอาหารเช้าเสร็จก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งมานั่งอ่าน
ไปเรื่อยๆ การกระทำของเขาทำเอาคนร่วมห้องที่ไม่มีใครเห็นนอกจากเขาเริ่มมีคำถาม

“พี่อาม สายมากแล้วนะยังไม่รีบไปทำงานอีก เดี๋ยวคนไข้รอหง่าวหรอก” กีรกันตาเตือน

“วันนี้พักสักวัน มีธุระสำคัญต้องไปทำ รอคนนำทางมาแล้วจะไป เดี๋ยวคงมา” เขาบอกอย่างใจเย็น

“พี่อามจะไปไหนเหรอคะ ข้าวไปด้วยได้มั้ย” เห็นทีเธอคงเป็นเงาตามตัวเขาไปแล้วมั้ง

“แน่นอน งานนี้ขาดข้าวไม่ได้ เพราะข้าวเป็นคนสำคัญที่สุดเชียวล่ะ“ เขามองเธอแล้วยิ้ม

“เง็งค่ะ ข้าวเกี่ยวอะไรกับธุระของพี่อามด้วย” เธอไม่เข้าใจจริงๆ

“เกี่ยวสิเพราะพี่อยากให้ข้าวเข้าร่างได้เร็วๆ พี่จะได้ขายขนมจีบได้เต็มที่ ไม่อย่างนั้นจะไม่สนิทใจ
เหมือนเรากำลังหลงชอบผีสางนางไม้ยังไงไม่รู้” เท่านั้นแหละกีรกันตาแทบอยากมีฤทธิ์แปลงร่างเป็นซุปเปอร์
เกิร์ดแล้วชกปากคนพูดข้อหาพูดจาไม่สร้างสรรค์แต่ทำได้แค่แสยะยิ้มให้และโวยกลับเป็นชุด

“หมอเจ้าเล่ห์ คิดอกุศลทำดีหวังผล ข้าวไม่มีวันชอบแน่“

“จริงเหรอ ดี..จะคอยดู อย่าเพิ่งมีน้ำโหเลยนะน้องข้าวคนสวยคนน่ารักคนดี ขอพี่ไปเปิดประตูก่อน
แขกมาแล้ว”

กีรกันตายิ่งงงไปใหญ่ ‘แขกที่ไหนมา ไม่เห็นมีใครมากดกริ่งเลย’ แต่พอเห็นหน้าแขกที่มาก็ส่งยิ้มดีใจ
แล้วก้าวพรวดไปหาทันที

“พี่ต้น ข้าวดีใจจังที่พี่ต้นมาหา ข้าวขอฟ้อง พี่อามดีกับข้าวเพราะหวังผล” เธอทำตัวเป็นเด็กช่างฟ้อง
เมื่อเห็นหน้าพี่ชายเลยทำให้ปฏิภาณกับอมรินทร์ทำหน้าเหวออยู่พักหนึ่ง

“เดี๋ยวข้าว พี่เห็นหมออามดีกับข้าวออก แถมดูแลข้าวอย่างดี แล้วทำไมต้องพูดจาให้ร้ายหมออามด้วย
ทำอย่างนี้ไม่ดีมั้ง” ปฏิภาณเข้าข้างอีกฝ่ายเฉย กีรกันตาหน้าง้ำ ไม่พอใจ ขณะที่คนถูกใส่ไฟยิ้มขำ

“ผมว่ารีบไปกันดีกว่า ขืนชักช้าคุณปู่คุณต้นอาจไม่อยู่ก็ได้” อมรินทร์เตือนพลางยกมือขึ้นมองนาฬิกา

“จริงสิ ลืมไป เมื่อคืนท่านบอกให้พาร่างของข้าวไปถึงวัดก่อนห้าโมงเย็น เรารีบไปกันเถอะ” ปฏิภาณเพิ่ง
นึกถึงคำเตือนของคนเป็นปู่ที่ติดต่อสื่อกันทางจิตหลังทำจิตให้สงบเป็นสมาธิแล้ว

จากนั้นสองหนุ่มก็ช่วยกันพาร่างของกีรกันตาที่หลับเป็นเจ้าหญิงนิทราบนเตียงไปขึ้นรถและขับไป
วัดป่าแห่งหนึ่งที่ระยองแถวๆสี่แยกวังจันทร์ ทางไปวัดเปลี่ยวพอควร มีแต่สวนยางและท้องนาแต่ถนนกลับราด
ยางอย่างดี นานๆจะมีรถสวนมาสักคัน

ในที่สุดชายหนุ่มสองคนกับร่างไร้วิญญาณพร้อมเจ้าของร่างในสภาพวิญญาณก็มาอยู่บนบ้านไม้สองชั้น
หลังหนึ่งริมสระน้ำคล้ายรีสอร์ตปลูกอยู่โดดเดี่ยวห่างจากกุฏิพระ พวกเขาทั้งหมดนั่งอยู่ตรงหน้าชายชราในชุดขาว
ผู้มีใบหน้าผ่องใสคล้ายผู้ทรงศีลอันบริสุทธิ์ ดวงตาชายชราฉายแววเมตตาอันสูงส่ง

“มากันแล้วสินะ หมออาม ต้น ข้าว ปู่คิดว่าจะมาไม่ทันเสียแล้ว อีกสักครู่ผู้ที่ทำให้ชีวิตข้าวต้องประสบ
ความยุ่งยากจะมาปรากฏตัวที่นี่ เรื่องที่เกิดกับข้าวจะ ถือเป็นความผิดพลาดของยมโลกก็ได้เพราะดวงวิญญาณ
ที่ต้องการนั้นชื่อเดียวกับข้าวแต่จิตใจสั่งสมอกุศลกรรมไว้มากถึงอายุสั้น จังหวะเดียวกับวงล้อแห่งกรรมเก่าใน
อดีตชาติที่ข้าวเคยทำไว้ส่งผลพอดี ข้าวจึงต้องตกในสภาพวิญญาณเร่ร่อนชั่วคราว อีกไม่กี่นาทีข้าวจะได้กลับไปใช้
ชีวิตอย่างคนธรรมดาอีกครั้ง แต่ต้องรอให้ท่านผู้นั้นมาก่อน” ชายชราในชุดขาวบอกให้ทุกคนรู้ถึงสาเหตุที่กีรกันตา
ต้องตกอยู่ในสภาพวิญญาณเร่ร่อน

“ทำอย่างนี้ได้ไง ข้าวไม่ยอมหรอก คอยดูนะมาเมื่อไหร่ข้าวจะต่อว่าให้เข็ด” กีรกันตาโวยลั่นเมื่อรู้ถึงสาเหตุ

“ข้าวไม่อยากเข้าร่างใช่มั้ยถึงโวยวายลั่นวัด ดีไว้ท่านมาเมื่อไหร่พี่จะบอกท่านว่าให้ข้าวอยู่อย่างนี้ตลอด
ไป” แทนที่ปฏิภาณจะเข้าข้างน้องสาวกลับขู่แทน

“พี่ต้น มีความสุขนักใช่ไหมที่เห็นข้าวเป็นแบบนี้ หรือว่าลมเสียจากเรื่องอื่นแล้วมาลงที่ข้าแทน น้องนะ
ไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์” กีรกันตาก็ใช่ย่อยสวนกลับโดยไม่เกรงใจใครทั้งนั้น ก็เธอไม่สนุกด้วยนี่กับการอยู่ในสภาพ
คนไร้ร่าง

ปฏิภาณนิ่งอึ้งให้กับเสียงโวยของน้องสาวและมันก็จริงด้วยเพราะเขากำลังหัวเสียกับข่าวซุบซิบระหว่าง
เขากับนิศาชลมาสองวันแล้ว มันเป็นข่าวปล่อยและคนที่อยู่เบื้องหลังคงเป็นวรพจน์เพราะนักธุรกิจมือเปื้อนเลือด
คนนี้ชอบใช้วิธีสกปรกเล่นงานคนอื่น เรื่องนี้อาจกระเทือนถึงงานของนิศาชลด้วย เขาไม่ห่วงตัวเองแต่ห่วงนิศาชล
กลัวเธอต้องเดือดร้อนอีก แม้ภายนอกเขาทำเหมือนไม่สนใจข่าวพวกนี้แต่จริงๆแล้วเขาหงุดหงิดพอควร อารมณ์
ต่างๆที่เคยควบคุมได้ดีเริ่มคุมไม่อยู่

“ใช่ ข้าวพูดถูก พี่ลมเสีย แต่ข้าวก็อย่าซ่าส์ให้มากนัก ตัวเองเป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กริอาจไปท้าทายเทพผู้
เป็นใหญ่ในยมโลก คุณปู่เคยเล่าให้ฟังบ่อยๆ เราไม่สามารถขัดขืนฤทธิ์ของพวกเทพได้หากท่านสั่งให้เราทำอะไร
เราก็ต้องทำตามอย่างเดียว ตราบใดที่เรายังฝึกสติและบารมีสู้พวกเทพไม่ได้” ปฏิภาณเบี่ยงเบนความสนใจของ
ทุกคน ไม่อยากให้ใครใส่ใจเรื่องของเขามากนัก เขารู้อมรินทร์กับคุณปู่ของเขาต้องรู้แน่ว่าเขามีเรื่องอะไรในใจ
เพราะทั้งสองต่างมีอำนาจจิตเหนือคนทั่วไป

“คุณต้นโชคดีมากนะครับที่มีคุณปู่มากบารมี มากปัญญา สำหรับคนทั่วไปถ้าไม่ประสบด้วยตัวเองคง
เชื่อยาก แต่สำหรับผู้ฝึกจิตมาดีแล้วอย่างคุณปู่คงเห็นเป็นเรื่องธรรมดา จริงมั้ยครับคุณปู่” อมรินทร์ถือโอกาส
เรียกปู่ตามสองพี่น้อง

“หมอเองก็เรียนรู้และฝึกฝนทดลองเพื่อพิสูจน์เรื่องพวกนี้มาหลายปี หมอคงรู้อะไรไม่น้อยเหมือนกันเพียง
แต่บอกคนอื่นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะหาว่าหมอเพี้ยน ที่จริงหมอไม่ได้เพิ่งปฏิบัติเพียงชาตินี้ชาติเดียวแต่หมอทำต่อ
เนื่องกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว ของเก่าที่ติดตัวหมอมามีส่วนช่วยให้หมอทำสมาธิได้ก้าวหน้ากว่าคนอื่น
เราเลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า ทุกคนเตรียมตัวได้แล้ว ท่านกำลังมา ปู่ขอเตือนทุกคน รู้เห็นอะไรก็อย่าตกใจขอให้ทำตัวเป็น
แค่คนดู ห้ามเข้าไปยุ่งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างปล่อยเป็นหน้าที่ของปู่เอง ข้าวด้วยนะลูก ทำตามที่ท่านบอก
ก็พอ นี่ก็จวนได้เวลาแล้วทุกคนทำจิตให้สงบเตรียมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดต่อจากนี้ไป”

จากนั้นชายชราก็หลับตานิ่ง สักพักก็มีแสงสว่างสีทองอร่ามกระจายไปทั่วบริเวณบ้านก่อนชายร่างสูงใหญ่
ผิวกายละเอียดงดงามเกินกว่าคนทั่วไปเป็นพันๆเท่า สวมชุดสีทองรอบกายมีรัศมีสีทองงดงามไปทั้งตัวจะมาปรากฏ
กายให้เห็นจังหวะเดียวกับที่ชายชราลืมตาขึ้นยิ้มต้อนรับ

“รบกวนท่านจริงๆ” ชายชราเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ

“ไม่เป็นไรท่าน เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของคนของเราเอง เราต้องรับผิดชอบ เวลามีน้อยเริ่มกันดีกว่า”
ชายร่างสูงใหญ่ในชุดสีทองหันมาทางอมรินทร์กับปฏิภาณก่อนจ้องมองกีรกันตาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
เต็มไปด้วยพลังจนยากที่ผู้ใดจะขัดขืนได้

“เจ้าจงเดินไปเข้าร่างของเจ้าได้แล้ว แต่จงจำไว้เรื่องที่เกิดกับเจ้าห้ามเล่าให้ใครฟัง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะไม่
มีโอกาสได้ใช้ชีวิตในโลกมนุษย์อีกต่อไป ส่วนเจ้าสองคนข้าไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไรให้มากความ พวกเจ้าคงรู้จะ
ทำตัวอย่างไร เอาล่ะได้เวลาของเจ้าแล้ว ไปเข้าร่างได้แล้วมนุษย์ผู้มีดวงจิตงดงาม” สิ้นเสียงทรงอำนาจกีรกันตา
ก็เดินไปยังร่างของเธอที่นอนหงายอยู่ตรงหน้าคนเป็นปู่ เธอต้องทำตามคำสั่งโดยไม่มีทางขัดขืนได้ พอถึงก็ล้มตัว
ลงไปนอนทับร่างที่นอนอยู่เหมือนต้องมนต์สะกด จากนั้จึงค่อยๆรับรู้ถึงการเต้นของหัวใจ และขยับแขนขาเป็น
อันดับแรก ก่อนเปลือกตาบางใสจะลืมขึ้น มองไปรอบๆ แล้วจึงลุกขึ้นนั่ง หยิกตัวเองที่แขนเพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจ
ว่าไม่ได้ฝันไป

“ไชโย เรากลับเป็นคนเหมือนเดิมแล้ว” ด้วยความดีใจกีรกันตาลืมตัวร้องตะโกนออกมาดังๆ ก่อนมอง
หน้าทุกคนซึ่งกำลังยิ้มขำในอาการหลุดของเธอ และหนึ่งในนั้นคือหมอร้ายกาจเลยทำให้เธอรู้สึกไม่ชอบใจนัก

“มีอะไรน่าขำนัก พี่ต้น พี่อาม” เธอถามเสียงขุ่นจัด ใบหน้าหงิกงอ

“พอเข้าร่างได้ก็เริ่มอาละวาดเลยนะเรา นี่ถ้าท่านรู้เข้าคงไม่คิดช่วยหรอก“ ปฏิภาณขู่เล็กน้อยแต่น้ำเสียง
กับสีหน้าของเขานั้นบอกให้รู้ว่ารักและเอ็นดูน้องสาวมากแค่ไหน

“จริงสิ ข้าวลืมท่านไปเลย แล้วท่านไปไหน ว่าจะขอบคุณเสียหน่อย จะได้ผูกสัมพันธ์ไมตรีไว้ก่อนเผื่อ
ตายจริงจะได้ต่อรองกับท่านได้ ไม่ต้องถูกท่านลงโทษให้ไปชดกรรมใช้ในนรก” กีรกันตาคิดอย่างคนเจ้าเล่ห์ แต่ก็
จริงของเธอ ใครๆก็กลัวตายแล้วต้องไปเฝ้ายมบาลให้ท่านสำเร็จโทษตามกรรมที่ได้ไว้เพราะเป็นความเชื่อที่บอกเล่า
กันต่อๆมาในขณะที่คนอีกไม่น้อยที่ไม่เชื่อเพราะมันพิสูจน์ไม่ได้นั่นเองว่ายมบาลมีจริงตามที่ปู่ย่าตายายเล่าสืบๆ
กันมาหรือไม่ อีกทั้งไม่เชื่อด้วยว่าเวรกรรมมีจริง และก็มีคนไม่น้อยที่เชื่อเพราะกลัวบาปกรรม

“คุณต้นผมว่าน้องสาวคุณยังไม่โตสักเท่าไหร่มั้ง ถึงคิดซุกซนเหมือนเด็กอยู่เรื่อย” อมรินทร์จงใจยั่ว

กีรกันตาค้อนเข้าให้ นึกฉุนหมอปากดีจึงคิดสวนกลับให้เจ็บแสบแต่พอได้ยินเสียงคนเป็นปู่จึงยอมระงับ
ไว้ก่อนและตั้งใจฟังท่าน

“ปู่จะบอกให้ เทพที่มาปรากฎกายให้เห็นนั้นเป็นองค์ใหญ่ เป็นเจ้าครองยมโลก เป็นเพราะท่านมาเองปู่
จึงขอร้องให้ช่วยเหลือผ่อนผันให้ข้าวได้ ถ้าเป็นลูกน้องของท่านที่เราเรียกกันว่ายมทูต สวมผ้าแดงมา ป่านนี้ข้าว
คงถูกพาตัวไปอยู่รอวันพิพากษาในนรกแล้ว ท่านมาเองถือว่าให้เกียรติและเมตตาข้าวมากนะลูก ต่อนี้ไปหมั่น
ทำความดีสร้างบุญสร้างกุศลและอย่าลืมอุทิศให้ท่านบ้าง ถือเป็นการทดแทนคุณท่าน ส่วนท่านจะรับหรือไม่รับ
ก็อีกเรื่องหนึ่งถือว่าเราได้ตอบแทนท่านแล้ว เข้าใจมั้ยลูก”

“เข้าใจแล้วค่ะคุณปู่ ถ้าจะเปรียบคงเหมือนลูกน้องไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจนอกจากเจ้านายเท่านั้น งานนี้ท่าน
CEO จากยมโลกมาเอง มีหรือจะไม่ได้ นี่ถ้าข้าวไม่ได้เส้นคุณปู่ข้าวแย่เลยค่ะ ข้าวโชคดีจังที่ได้เกิดเป็นหลานคุณปู่
ข้าวให้สัญญาค่ะจะทำตามที่คุณปู่บอก ข้าวขอกราบขอบพระคุณคุณปู่ที่รักและเมตตาหลานสาวแย่ๆคนนี้มา
ตลอดค่ะ” กีรกันตาก้มลงกราบท่านจนศีรษะจรดพื้นอย่างงดงาม ชายชราจ้องมองหลานสาวด้วยความเอ็นดู

“รีบทำคะแนนกับคุณปู่เชียว นิสัยขี้เล่นของเราไม่เคยหายสักที พี่ว่าเป็นโชคของหมออามนะที่ไม่ต้อง
ปวดหัวกับเรา ถ้าข้าวยังเข้าร่างไม่ได้พี่รับรองหมออามต้องประสาทกินแน่” ปฎิภาณแกล้งว่าน้องสาว

“ไม่เป็นไรครับคุณต้น มีข้าวอยู่ด้วยผมคลายเครียดได้เยอะ เป็นเรื่องดีสำหรับผม แต่น่าเสียดายนะ
ที่ไม่มีเด็กสาวขี้เล่นมาช่วยคลายเครียดอีกแล้ว” อมรินทร์ปรายตามองกีรกันตาแล้วยิ้มเล็กน้อย

“พี่ต้น มาว่าข้าวแบบนี้ได้ไง ข้าวออกจะเป็นน้องสาวที่ดีน่ารักสุดๆ พี่อามก็อีกคนแทนที่จะนึกถึงบุญคุณ
ของข้าวที่ช่วยให้จิตแพทย์สุดหล่อไม่เครียดจนเป็นโรคจิตเอง กลับมองว่าข้าวเป็นเด็กแล้วยิ้มขำอีก” ปฏิภาณกับ
อมรินทร์ต่างพากันขำท่าทางกระเง้ากระงอดของกีรกันตา อย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่าเด็กได้ไงกัน

“โอ๋ๆ น้องสาวคนดีของพี่ ไม่ว่าแล้ว พี่ว่าเรารบกวนคุณปู่มานานแล้ว ลากลับกันดีกว่า ไว้ว่างๆค่อยแวะ
มาเยี่ยมใหม่ คุณปู่ครับผมลาเลยนะครับ” ปฏิภาณดูรีบร้อนชอบกล ที่จริงเขาอยากรีบกลับกรุงเทพฯ รู้สึกสังหรณ์
ใจชอบกลว่านิศาชลต้องการให้เขาช่วย แต่พอทุกคนทำท่าจะกราบลาชายชรา ท่านกลับเตือนเขาแทน

“ต้น ปู่อยากเตือนสักอย่าง คิดจะทำอะไรให้ใช้สติไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน อย่าตัดสินด้วยอารมณ์รัก
จำไว้นะลูก ความรักของต้นไม่ง่ายอย่างที่ต้นคิด ยังมีวิบากที่ต้นต้องเผชิญ อย่าประมาทเป็นอันขาด ศัตรูบางครั้ง
ก็ไม่ได้มาให้เราเห็นชัดเจนนัก”

“ไม่ต้องห่วงครับคุณปู่ ผมรู้ว่ากำลังทำอะไร และขอบเขตข้อจำกัดมีมากแค่ไหน แต่ผมไม่ยอมแพ้หรอก”
น้ำเสียงกับแววตาแน่วแน่ของหลานชายนั้นบอกให้ชายชรารู้ว่าหลานชายไม่มีวันถอยหรือยอมแพ้แน่ดังนั้นท่าน
จึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ ในเมื่อเป็นคู่กันเคยช่วยเหลือกันมาตั้งแต่อดีตชาติคงไม่แคล้วต้องเกื้อกูลกันอีก แม้ชาตินี้
จะมีวิบากกรรมมาขวางกั้นก็ไม่อาจไปขวางความรักของทั้งคู่ได้ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรสุดแล้วแต่เวรแต่กรรมที่
ทำกันมาท่านไม่มีสิทธิ์จะไปก้าวก่ายได้

“ปู่เชื่อ หลานปู่ฉลาดพอ แต่อย่าลืมความโลภและกิเลสของมนุษย์มันไม่เคยมีคำว่าพอ ถ้าไม่ไปขวางเส้น
ทางทำมาหากินของใครก็แล้วไปแต่ถ้าขวางก็เท่ากับเรามีศัตรูเพิ่มโดยไม่ตั้งใจ” ท่านเตือนอีกครั้ง

“ขอบคุณครับคุณปู่ เอาเป็นว่าผมจะคิดให้รอบคอบและไม่ประมาท หากผมจนหนทางจริงๆผมจะมา
ขอคำปรึกษาจากคุณปู่ ผมลาล่ะครับ” ปฏิภาณรับรองหนักแน่น

กีรกันตาเริ่มสงสัยและเป็นกังวลกับสิ่งที่ชายชราเตือนพี่ชาย ไว้อยู่กันตามลำพังจะค่อยๆแซะออกจากปาก
ของพี่ชาย เธอรู้ว่าพี่ชายแม้จะช่างยั่วก็จริงแต่นั่นเป็นการกลบเกลื่อนไม่ให้คนรอบข้างพลอยเป็นทุกข์กับปัญหา
ต่างๆของเขา ขณะที่อมรินทร์ทำเป็นไม่สนใจ แต่พอจะลุกตามสองพี่น้องไปเสียงชายชราก็รั้งเขาไว้

“เดี๋ยวก่อนหมอ ปู่มีอะไรอยากคุยด้วย ต้นกับข้าวไปรอที่รถก่อน” ปฏิภาณกับกีรกันตาแม้จะสงสัยและ
อยากรู้แต่ก็ไม่กล้าขัดต่างคนต่างก้าวเดินลงจากบ้านไปยังรถที่จอดอยู่

“ที่ปู่เรียกหมอให้อยู่ก่อนเพราะปู่มีเรื่องอยากบอกเกี่ยวกับข้าว หลานสาวที่ปู่ห่วงมากที่สุดและปู่ก็คิดว่า
มีเพียงหมอเท่านั้นที่ช่วยได้” ชายชราดูจริงจังมากจนอมรินทร์แปลกใจ

“คุณปู่ครับ ผมไม่เห็นน้องข้าวจะมีอะไรน่าเป็นห่วงนี่ครับ เธอมีพี่ชายกับปู่ที่รักและเป็นห่วงคอยดูแล”
อมรินทร์พูดตามที่เห็น

“หมอลืมพูดถึงตัวเองไปอีกคนหรือเปล่า หมอเองก็รักและห่วงหลานสาวปู่เหมือนกันจริงมั้ย”
ไม่มีอะไรปิดบังท่านได้จริงๆ

“ครับ” อมรินทร์ยอมรับตรงๆ

“ดีแล้วที่ตอบตามตรง ถ้าอย่างนั้นปู่ก็วางใจ ปู่ขอบอกตามตรงนะ วิบากกรรมของข้าวยังไม่หมด
มันเป็นวิบากจากชาติก่อน จากนี้ไปข้าวจะต้องผจญกับเจ้ากรรมของตัวเองอย่างเลี่ยงไม่ได้”

“คุณปู่ครับ ใครครับเจ้ากรรมของข้าว ข้าวพบหรือยัง”

“ไม่ช้าจะได้พบ เพียงแรกพบก็ไม่ถูกชะตาและรู้สึกเกลียด ส่วนข้าวเพียงแค่รู้สึกไม่ชอบเท่านั้น หากวัน
หนึ่งศัตรูของหมอกับเจ้ากรรมของข้าวร่วมมือกันก็อย่าแปลกใจ คลื่นจิตแบบเดียวกันย่อมจูนเข้าหากันง่าย
เหมือนคนชั่วยอมเข้ากันได้ดีในหมู่คนชั่ว ขณะที่คนดีก็อยู่ในหมู่คนชั่วไม่ได้”

อมรินทร์ไม่ได้สนใจคำพูดอื่นของชายชรานอกจากคำว่า “ศัตรู” ใช่ศัตรูของเขา เขารู้เพียงแต่ไม่อยาก
ยุ่งด้วย แล้วศัตรูของกีรกันตาล่ะ เป็นใคร คุณปู่น่าจะรู้

“คุณปู่พอจะบอกผมได้ไหมครับว่าคนๆนั้นเป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำงานอะไร จะพบกับข้าวในลักษณะไหน”

“ไม่ช้าหมอจะรู้เอง ปู่บอกมากกว่านี้ไม่ได้ ปู่ไม่อาจไปขวางทางกรรมวิบากของใครได้ อย่างน้อยเวลานี้
หมอก็รู้ว่าศัตรูของหมอเป็นใคร จริงมั้ย” ชายชราถามกลับ

“ครับ แต่คุณปู่ครับ ข้าวอยู่กับคุณต้น คงไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ” อมรินทร์รู้ว่าปฏิภาณเก่งพอตัว
ทำไมจะช่วยน้องสาวไม่ได้ และทำไมต้องให้เขาทำหน้าที่นี้แทน

“เพราะหมอเป็นผู้ที่มีความผูกพันกับข้าวมาแต่อดีตและทำกรรมร่วมกันมา ฉะนั้นจึงต้องช่วยเหลือเกื้อ
กูลกัน ส่วนต้นช่วยได้บางครั้ง เขาเองก็มีวิบากที่ต้องเผชิญ ผู้ใดก่อกรรมไว้ผู้นั้นต้องชดใช้ ไม่มีทางหลีกเลี่ยง
สักวันหมอจะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไร เหตุในอดีตเป็นอย่างไรจึงก่อกำเนิดผลในปัจจุบันแล้วแต่ว่าใครจะจองเวรกัน
ต่อหรือยุติเวรกรรมที่มีต่อกันเสีย” เอ่ยจบชายชราก็หลับตาลงเหมือนต้องการยุติการสนทนาทั้งหมด ปล่อยให้
อมรินทร์ไปขบคิดเอง

‘แล้วจะทำอย่างไรถึงช่วยข้าวได้ จะบอกให้รู้ก็ไม่ได้ เกิดคิดมากหรือหาว่าเขาหลอกเพื่อหาทางใกล้ชิด
จะยุ่งกันไปใหญ่ เฮ่อ! น่ากลุ้มดีแท้’

**********************************************
คคคคคค อยากบอกว่าที่หายไปนานเพราะติดเรื่องยุ่งๆ อยู่ค่ะ เรื่องนี้จะมาลงให้จบ ถือเป็นของฝากแฟนๆที่ยังตามอยู่
เนื่องจากสนพ บอกว่าเนื้อหาแรงไป อาจไปกระเทือนใครบางคนเข้ามั้ง เลยไม่ผ่าน แต่เป็นเรื่องที่ใช้เวลาหาข้อมูลเยอะมาก คนอ่านจะได้ประโยชน์
คงไม่ใช่แนวนิยมทางตลาด แต่คนเขียนชอบเลยเอามาลงให้อ่าน เพื่อสืบทอดเจตนาของตัวเอง ให้มันรู้ไปจะไม่มี
ใครชอบอ่านแนวนี้ ไม่คิดตังส์ใดๆทั้งสิ้น เพื่อความสะใจของตัวเอง และถ้าอ่านแล้วได้ข้อคิดดีๆในการดำรงชีวิตหรือ
อาจช่วยใครฉุกคิดอะไรได้บ้างก็ถือคนเขียนได้บุญก็แล้วกัน ถ้ารักกันจริงก็อย่าทิ้งกันนะ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕



เพลงใบไม้
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 มิ.ย. 2558, 21:37:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 มิ.ย. 2558, 21:37:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 1237





<< ตอนที่ 5   ตอนที่ 7 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account