ลองรัก
ศิญาดา...หญิงสาวโลกส่วนตัวสูง

กับ

เจค...หนุ่ม(ที่เคย)มาดขึม

เมื่อสวิตซ์หัวใจถูกเปิดเพียงแค่สบตา ชายหนุ่มพยายามทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองหัวใจเธอ ส่วนหญิงสาวกลับตั้งมั่นที่จะรักษากำแพงโลกส่วนตัวเอาไว้ให้ตลอด

...สุดท้าย ระหว่าง "เขา" กับ "เธอ" จะลงเลยกันได้อย่างไร ติดตามได้ใน...

~~~~ ลองรัก~~~~
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 1. ชีวิตในเมืองกรุง

เสียงที่ดังมาจากโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกให้รู้ถึงการเริ่มวันใหม่ วันใหม่ที่เหมือนเดิมกับทุกๆวันของศิญาดา หญิงสาวเอื้อมมือไปยังที่มาของเสียงที่จำได้ดีแม้ไม่ต้องลืมตาดู เพราะมันจะวางอยู่ที่เดิมทุกวัน เธอเกลียดเสียงนี้ที่สุด เพราะมันเปรียบเหมือนมารความสุขในการนอนของเธอนั่นเอง พอหยิบโทรศัพท์เจ้าของเสียงที่เธอเกลียดมาได้ก็ปรือตามองเพื่อกดปุ่มเลื่อน ใช่! ปุ่มเลื่อน คนอย่างศิญาดาซะอย่างนาฬิกาปลุกแค่ครั้งเดียวไม่มีพลังมากพอที่จะทำให้เธอยอมลุกจากที่นอนเด็ดขาด
เวลาผ่านไป 10 นาที เสียงดังกล่าวก็ดังขึ้นอีกครั้ง ปฏิกิริยาตอบรับที่ไม่ได้แตกต่างจากครั้งแรกเลยเกิดขึ้นอีกครั้ง...และอีกครั้งจนเวลาที่หญิงสาวยอมลุกจากที่นอนอย่างงัวเงียก็ผ่านเวลาที่ตั้งไว้ครั้งแรกไปครึ่งชั่วโมง หญิงสาวเดินไปเสียบกระติกน้ำร้อนเพื่อดื่มกาแฟ จัดการเปิดโน้ตบุ๊กคู่ใจ เปิดประตูหลังห้องเพื่อเพิ่มความสว่างในห้องไม่ให้มืดจนเกินไปเพราะกลัวอดใจไม่ไหวต้องล้มตัวลงนอนอีกครั้ง จากนั้นจึงคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างอาการงัวเงียที่ยังค้างอยู่ หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยก็เดินมายังโน้ตบุ๊กเพื่อเปิดเพลงฟัง เพลงลูกทุ่งคือสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอคลายความคิดถึงบ้านได้บ้าง อย่างน้อยถ้าเธอยังฟังและชื่นชอบเพลงลูกทุ่งอยู่นั่นก็ทำให้เธอรู้ว่า เธอยังไม่ลืมบ้านเกิด! ความจริงแล้วศิญาดาฟังเพลงแทบทุกแนว ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นอยู่ในอารมณ์ไหน
เสียงเพลงลูกทุ่งเพราะๆ กับกาแฟดำอุ่นๆ แถมด้วยขนมปังโฮลวีทที่ถืออยู่ในมือช่างเข้ากันนักในความคิดของหญิงสาว หลายคนที่มักจะว่าเธอว่า ‘กาแฟน่ะมันไม่ได้มีประโยชน์ขนาดนั้น ไม่ต้องกินมากก็ได้’ หรือ ‘กินกาแฟแก่ขนาดนี้ไม่กลัวหน้าแก่ก่อนวัยหรือ’ แม้กระทั่ง ‘ถ้าจะกินแก่ขนาดนี้ ทำไมไม่เอาเมล็ดกาแฟมาเคี้ยวกินเลยล่ะ’ และอีกสารพัดคำที่ทุกคนที่รู้จักเธอดีเอามาพูด แต่หญิงสาวก็หาได้สนใจไม่ แถมยังหัวเราะให้กับคำที่แต่ละคนพูดเพราะเธอเชื่อว่าเธอไม่ได้กินเยอะขนาดนั้น
กว่าจะได้ออกจากห้องก็ใช้เวลาพอสมควร แต่เวลานับชั่วโมงที่ศิญาดาต้องอยู่บนถนนนี่สิคือสิ่งที่หญิงสาวหงุดหงิดใจที่สุด รถติด!...เพราะแบบนี้นี่เองเธอจึงตั้งสโลแกนให้กรุงเทพจากป้ายโฆษณาป้ายหนึ่งที่เธอนั่งรถผ่าน จากเดิมที่บอกว่า ‘กรุงเทพฯ เมืองน่าเที่ยว’ เป็น ‘กรุงเทพฯ เมืองรถติด’ เพราะเธอคิดว่าอย่างหลังน่าจะเหมาะมากกว่า และกว่าจะฝ่ารถติดก็เล่นเอาเธอเพลียใจไปพักหนึ่ง
“ดา อยากกินก๋วยเตี๋ยวร้านเดิมอีกน่ะ วันนี้เราไปกินกันมั๊ย” รมิตาเอ่ยชวนเมื่อมองนาฬิกาแล้วเห็นว่าเลิกเวลาเลิกงานแล้ว
“ไปไม่ได้หรอก วันนี้เรามีนัดกับเพื่อนว่าจะไปงานหนังสือไง” หญิงสาวบอกกลับไปเรื่องที่เธอเคยบอกรมิตาเอาไว้ว่าวันนี้เธอมีนัดไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์กับเพื่อนอีกคน
“เออ..จริงด้วย เราลืมไป” รมิตาบอกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนเคยบอกเรื่องนี้ไว้แล้ว
“ไว้อาทิตย์หน้านะ”
“ได้ๆ ตามนั้น แล้วดาจะออกไปตอนไหนล่ะ ไปตอนนี้มั๊ย” รมิตาถาม
“ได้” ตอบหลังจากยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเห็นว่าเลยเวลาเลิกงานมาได้สักพักแล้ว “งั้นเก็บของๆ ไปช้ากว่านี้เดี๋ยวคนจะเยอะ” พูดแล้วก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ย่ะ คุณหญิง ซื้อมาเยอะๆ เลยนะคะ เหมามาให้หมด เวลาไม่มีตังค์จะซื้อข้าวกินก็กินหนังสือนั่นล่ะแทนข้าว” รมิตาพูดอย่างหมั่นไส้ เธอรู้ว่าศิญาดาชื่นชอบการอ่านนิยายแค่ไหน เรียกได้ว่าเป็นคอนิยายเลยล่ะ ถามเรื่องไหน ของนักเขียนนามปากกาอะไรเป็นรู้หมด แต่พอถามเรื่องละครทีวีกลับไม่รู้เรื่องซะอย่างนั้น เธอจำได้ว่าเธอเคยถามศิญาดาว่า ‘อ่านนิยายแล้วทำไมไม่ชอบดูละคร’ และคำตอบที่ได้กลับมาก็คือ ‘ก็ในละครมันไม่เหมือนกับในนิยายน่ะสิ บางทีเห็นพระนางเล่นแล้วมันรู้สึกน้ำเน่ายังไงไม่รู้ สู้อ่านนิยายก็ไม่ได้ อินกว่ากันเยอะ’ จนเธอได้แต่งงว่าในละครมันก็มาจากนิยายไม่ใช่หรือ แต่จะถามเซ้าซี้ไปก็เท่านั้น คนอย่างศิญาดาเหมือนใครซะที่ไหน สิ่งที่คนทั่วไปคิดกันเธอมักจะคิดไปอีกแบบ แถมยังบอกว่าอีกว่าตัวเองเป็นไม่เหมือนคนปกติทั่วไปเสียอีก
“แหม...เกินไปแล้วหวาน ถ้าเราซื้อหมดแล้วคนอื่นเค้าจะได้ซื้อกันหรอ เราไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวขนาดนั้นนะ เราจะเหลือให้คนอื่นได้ซื้อบ้าง จะได้อ่านกันทุกคนไง” พูดแล้วก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดีอีกครั้ง
นี่แหละศิญาดา หญิงสาวที่คนมองข้างนอกดูน่านับถือเพราะถ้าไม่สนิทแล้วเธอจะไม่ค่อยพูดคุย ให้นั่งด้วยกันทั้งวันโดยไม่คุยกันเลยเธอก็ทำได้ แต่ถ้าคนไหนที่เธอสนิทด้วยแล้วล่ะก็..ทุกคนลงความเห็นว่าพูดมากกันทั้งนั้น แต่เวลาที่ขรึมก็นิ่งจนน่ากลัว จนไม่มีใครอยากเข้าใกล้ คล้ายๆเป็นคนมีสองบุคลิกอย่างนั้นแหละ
“เออๆ ตามใจละกัน” รมิตาพูดอย่างอ่อนใจกับอารมณ์ขันของเพื่อนสาว “เจอกันวันจันทร์นะ เราไปล่ะ” พูดจบรมิตาก็เดินออกจากออฟฟิศไป

บรรยากาศในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินในเวลา 17.00 น. ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาเลิกงานแต่ก็ยังมีคนไม่แน่นหนามากนัก อาจจะเป็นเพราะหลายคนเลือกที่จะเลี่ยงช่วงเวลาที่มนุษย์เงินเดือนเดินทางกลับที่พักช่วงเลิกงานจึงออกจากที่ทำงานช้าบ้าง อีกทั้งเส้นทางที่ศิญาดาจะไปนั้นการเดินทางเข้าในเมืองจึงทำให้ผู้คนไม่มากเท่าไหร่ ยังมีที่ให้ยืนโดยไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คนเหมือนช่วงเวลาเร่งด่วน เสียงประกาศบอกชื่อสถานีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษบอกให้หญิงสาวรู้ว่าถึงที่ที่เธอจะลงแล้ว ศิญาดาจึงขยับมาใกล้กับประตูเพื่อสะดวกในการออกจากรถไฟฟ้า ทันทีที่ออกจากรถไฟฟ้าก็ต้องพบเจอกับผู้คนจำนวนมากที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามีจุดหมายเดียวกันคือมางานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ และก็เป็นแบบนี้ทุกปีเพราะศิญาดามางานหนังสือทุกครั้งที่มีการจัดงาน เธอไม่ใช่หนอนหนังสือ เธอเป็นแค่คนที่ชอบอ่านหนังสือในสิ่งที่ตัวเองสนใจเท่านั้นซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือหนังสือนวนิยายนั่นเอง แต่ใช่หญิงสาวจะอ่านแค่นวนิยายเธอยังชอบอ่านหนังสือทั่วไปอีกเพียงแต่จะไม่เลือกหนังสือที่มีเนื้อหาหนักเกินไป เพราะในความคิดของศิญาดา การอ่านหนังสือก็คือการพักผ่อนจากการทำงานที่เคร่งเครียดถ้ายังต้องมาอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาหนักๆ เข้าไปอีกก็คงจะยิ่งเพิ่มความเครียดให้กับตัวเอง หญิงสาวจึงเลือกที่จะซื้อหนังสือแนวจิตวิทยาที่มีเนื้อหาในเชิงคิดบวกและหนังสือแนวธรรมมะที่ทุกวันนี้เรื่องธรรมมะไม่ใช่เรื่องของคนแก่เสมอไป นักเขียนหลายท่านหรือแม้แต่พระภิกษุสงฆ์หลายท่านก็ยังเขียนหนังสือเช่นกันและได้รับความนิยมจากนักอ่านวัยหนุ่มสาวมากขึ้นอีกด้วย
“ดา! ทางนี้” ทันทีที่มาถึงหน้างานเสียงร้องเรียกจากเพื่อนสาวที่นัดกันไว้ก่อนหน้านี้ก็เรียกให้ศิญาดาหันไปตามเสียง พอมองเห็นเพื่อนสาวก็ส่งยิ้มให้ทันที
“อรมาถึงนายรึยัง โทษทีนะมาช้าไปหน่อย” หญิงสาวเอ่ยขอโทษเพื่อนสาวที่เธอมาช้าไป 10 นาที
อร หรือ อรอุมา เป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันกับศิญาดา ถึงแม้จะเรียนจบแล้วแต่ด้วยความสนิทกันสองสาวจึงยังติดต่อกันเรื่อยมาก นัดทานข้าวด้วยกันบ้างในเวลาที่ว่างในวันหยุดงานเพราะทั้งสองต่างก็ต้องทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ เหมือนกัน
“ไม่เป็นไรหรอก เราก็พึ่งมาถึงเหมือนกัน แล้วนี่ดากินอะไรมารึยัง”
“ยังเลย หิวแล้วเนี้ย” มือที่ลูบท้องประกอบคำพูดมันฟ้องว่าคนพูดกำลังหิวจริงๆ
“งั้นไปหาอะไรกินกันก่อนเนอะ จะได้มีแรงเดิน” อรอุมาออกความเห็น
“เยี่ยมเลย งั้นเราไปกันเถอะ” พูดจบสองสาวก็พากันเดินเข้าไปในตัวอาคารที่ภายในมีศูนย์อาหารให้บริการอยู่
ภายในตัวอาคารที่จัดงานสัปดาห์หนังสือมีผู้คนมากมายที่มาเลือกหาหนังสือที่ตัวเองต้องการ หลังจากที่เพิ่มพลังด้วยการรับประทานอาหารแล้ว ตอนนี้สองสาวต่างแยกกันเดินเลือกซื้อหนังสือที่ตัวเองต้องการโดยนัดหมายเวลาและสถานที่ที่จะเจอกันหลังจากต่างฝ่ายต่างเลือกซื้อหนังสือเสร็จ
ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันศุกร์แต่ก็เป็นช่วงเวลาเลิกงานจึงทำให้มีผู้คนที่มาเลือกซื้อหนังสือจำนวนมากแต่ก็ยังดีกว่าวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ศิญาดาเคยมาในวันอาทิตย์ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นแทบจะไม่มีที่ให้ยืนเลยทั้งเด็กผู้ใหญ่เต็มงานไปหมด นั่นเป็นครั้งเดียวที่เธอมาในวันหยุดหลังจากนั้นศิญาดาก็เลือกที่จะมาช่วงเย็นของวันธรรมดา ถึงแม้จะมีคนเยอะเหมือนกันแต่ก็น้อยกว่าวันหยุดเสาร์อาทิตย์ บรรยากาศตามบูธของสำนักพิมพ์หรือร้านต่างๆ ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ที่มาเลือกซื้อหาหนังสือที่ตนเองชื่นชอบ ศิญาดาเองก็เช่นกัน เธอเดินบูธโน้นออกบูธนี้จนตอนนี้ได้หนังสือแล้วสิบกว่าเล่มจนรู้สึกเริ่มหนักจนต้องมองหาที่พัก เดินออกมาจากบูธได้สักพักเธอก็มองเห็นเก้าอี้กระดาษที่ว่างอยู่จึงรีบเดินเข้าไปนั่งพักทันที

จากที่เคยได้ยินมาว่าคนไทยอ่านหนังสือน้อยแต่ดูจากคนที่เดินอยู่ในงานสัปดาห์หนังสือวันนี้ช่างขัดกับผลการสำรวจที่ได้ยินมานัก ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คนไม่ว่าจะเป็นบูธไหนก็แน่น ยิ่งบูทไหนที่เขาดูแล้วเหมือนจะมีนักเขียนมาแจกลายเซ็นเองยิ่งทำให้ผู้คนแน่นบูธเข้าไปอีก เจค เลาท์เนอร์ หนุ่มอมริกันวัย 36 ปี เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รวมถึงบริษัทรับเหมาก่อสร้างมากมายในสหรัฐอเมริกายืนมองดูผู้คนที่เนืองแน่นด้วยความสงสัยตัวเอง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ เขาก็อยากอ่านหนังสือขึ้นมาซะอย่างนั้นทั้งๆ ที่เขามาเมืองไทยก็เพียงเพราะต้องการพักผ่อน อาจจะเป็นเพราะเขามาพักผ่อนแบบไม่วางแผนไว้ก่อนซึ่งก็เป็นเรื่องปกติเหมือนที่เขาเคยมาประเทศที่สวยงามแห่งนี้ และทุกครั้งเขาจะไม่วางแผนการเที่ยวไว้ล่วงหน้าแต่จะเที่ยวตามที่อยากจะไป ณ ตอนนั้นซึ่งเขารู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้นดี และผลจากการที่เขาต้องการอ่านหนังสือของวันนี้ก็ทำให้เขาต้องนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมายังงานสัปดาห์หนังสือแห่งนี้จนได้ เพียงแค่เดินเข้ามาเห็นผู้คนเขาก็ชักจะหวาดกับการที่จะต้องเดินเบียดเสียดผู้คนเพื่อเข้าไปดูหนังสือซะแล้ว ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินไปยังโซนที่มีคนไม่แน่นมากหน่อยเพื่อจะได้สะดวกในการเลือกหาหนังสือ ชายหนุ่มเดินดูหนังสือไปเรื่อยๆหนังสือทั้งเก่าทั้งใหม่โดยส่วนมากจะเป็นภาษาไทย ก็แน่อยู่แล้วแหละเพราะว่าเขาเดินอยู่ในประเทศไทยนี่ ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจ เดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้มาร่วมสองชั่วโมงสุดท้ายเขาก็ได้มาแค่หนังสืออ่านเล่นฉบับภาษาอังกฤษมา 2 เล่ม จนเขาก็ได้แต่คิดอย่างเซ็งๆ เป็นรอบที่สองว่าทำไมเขาถึงต้องอยากอ่านหนังสือในวันนี้เพื่อแลกกับการเดินท่ามกลางฝูงชนมากมายเพื่อให้ได้มาแค่หนังสือ 2 เล่ม!



ศิริรตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ก.ค. 2558, 20:03:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.ค. 2558, 20:03:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 1066





<< บทนำ   2. แค่สบตา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account