ลองรัก
ศิญาดา...หญิงสาวโลกส่วนตัวสูง

กับ

เจค...หนุ่ม(ที่เคย)มาดขึม

เมื่อสวิตซ์หัวใจถูกเปิดเพียงแค่สบตา ชายหนุ่มพยายามทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองหัวใจเธอ ส่วนหญิงสาวกลับตั้งมั่นที่จะรักษากำแพงโลกส่วนตัวเอาไว้ให้ตลอด

...สุดท้าย ระหว่าง "เขา" กับ "เธอ" จะลงเลยกันได้อย่างไร ติดตามได้ใน...

~~~~ ลองรัก~~~~
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 2. แค่สบตา


หลังจากพักเหนื่อยแล้วศิญาดาก็เดินเลือกซื้อหนังสือต่อ ถึงแม้จะเหนื่อยแต่ถ้าเป็นเรื่องการซื้อหนังสือที่ชื่นชอบแล้วศิญาดาสู้ตายอยู่แล้ว ต่อให้ไม่ต้องซื้อ เพียงแค่ได้เดินสูดบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยหนังสือก็รู้สึกดีแล้ว เดินซื้อหนังสือต่ออีกร่วมชั่วโมงก็ได้หนังสือเพิ่มอีกสิบกว่าเล่ม เมื่อรู้สึกว่าตนเองเดินมาได้นานแล้วจึงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็พบว่าเป็นเวลาจะ 3 ทุ่มแล้วจึงหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กในกระเป๋ากดหมายเลขไปยังเบอร์ของเพื่อนสาวที่นัดกันไว้ทันที
“อรอยู่ไหนหรอ” ทันทีที่เพื่อนรับสายศิญาดาก็เอ่ยถามทันที
“เรากำลังเดินออกไปหน้างานน่ะ แล้วดาอยู่ไหน ซื้อหนังสือเสร็จรึยัง”
“เสร็จแล้วล่ะ กำลังจะเดินไปหน้างานเหมือนกัน งั้นเจอกันที่หน้างานนะ”
“โอเคจ้า” ทันทีที่พูดจบอรอุมาก็กดวางสาย
เพราะไม่ได้เอากระเป๋าลางมาด้วยจึงทำให้วันนี้ศิญาดาต้องหอบหนังสือเต็มสองมือ ไหล่ขวาที่ยกขึ้นเพื่อใช้แทนมือในการถือโทรศัพท์ทำให้เดินไม่ค่อยถนัดนัก มุมบันไดที่ศิญาดากำลังจะเลี้ยวกับโทรศัพท์ที่ใช้ไหล่ถือแทนกำลังจะตกอยู่รอมร่อทำให้หญิงสาวเสียหลัก
“โอ๊ะ!!/โอ๊ย!!” สองเสียงที่ดังขึ้นพร้อมกันทำให้ศิญาดารู้ทันทีว่าที่เธอชนนั้นไม่ใช่ผนังแน่นอน
“ขอโทษค่ะ..ขอโทษค่ะ” เพราะมันแต่ก้มลมเก็บหนังสือที่ร่วงออกมาจากถุงจึงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองคนที่เธอเดินชน แต่ปากก็เอ่ยขอโทษขอโพยไปด้วย
“Sorry” ภาษาอังกฤษที่ออกจากปากของคนที่เธอเดินชนทำให้ศิญาดาชะงักมือที่กำลังเก็บหนังสือและเงยหน้าขึ้นมองยังเจ้าของเสียงก็ทำให้โลกของศิญาดาถึงกับหยุดหมุนเสียงพูดคุยของผู้คนหรือแม้กระทั่งเสียงประกาศต่างๆ เงียบหายไปชั่วขณะ
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลหยักโสกเล็กน้อย คิ้วหนาสีเดียวกับผม จมูกโด่งเป็นสันไล่ลงมาคือหนวดที่ถูกตัดเล็มไม่ให้รกรุงรังจนเกินไปล้อมรอบริมฝีปากหนาสีอ่อน แถบเคราที่เขียวครึ้มขึ้นมานิดคล้ายๆ กับว่าเช้านี้เจ้าของมันยังไม่ได้จัดการโกนออกไปหรือไม่ก็เป็นเจตนาของเจ้าตัวที่จงใจจะปล่อยไว้เพื่อให้ดูเข้มขึ้น แต่ที่ดึงสายตาของศิญาดาได้มากที่สุดก็คือดวงตาสีน้ำเงินใสคู่นั้นต่างหากที่ตอนนี้กำลังทำให้เธอแย่ ก็เพราะมันทำให้เธอรู้สึกว่าเธอลืมหายใจไปชั่วขณะและตอนนี้เธอก็กำลังรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจ ‘หล่อ หล่อมาก’ นี่คือคำที่ผุดขึ้นในหัวของเธอ
“ติ๊งหน่อง....” เสียงประกาศตามหาเด็กพลัดหลงในงานที่ดังขึ้นเรียกสติของศิญาดาให้กลับคืนมาครึ่งหนึ่ง
“คุณ คุณครับ คุณครับ” ภาษาอังกฤษเสียงสุดท้ายที่ดังขึ้นกว่าสองครั้งแรกทำให้สติของศิญาดากลับมาเต็มที่
“เอ่อ...” ภาษาอังกฤษที่ได้ยินยิ่งทำให้หญิงสาวพูดไม่ออกเข้าไปอีก ความรู้ภาษาอังกฤษที่เธอมีแค่พอเอาตัวรอด แต่ตอนนี้มันกำลังทำให้เธอจะเอาตัวไม่รอดซะแล้ว
“ให้ผมช่วยดีกว่านะครับ” ชายหนุ่มอาสาเก็บหนังสือที่ยังหล่นอยู่นอกถึงใส่ถุงเมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าเขาคล้ายๆ กับคนที่สติไม่อยู่กับตัว
“เอ่อ ค่ะ..ค่ะ” เสียงตอบแบบตะกุกตะกักแล้วก็ก้มลงช่วยเขาเก็บหนังสือ ชายหนุ่มรวบถุงหนังสือที่ทั้งหมดมาถือแล้วเอ่ยถามหญิงสาวด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นเธอนั่งอยู่ท่าเดิมมาได้สักพัก
“คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”
“เปล่าค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ อุ๊ย!!” ตอบไปพร้อมกันการยืนขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้เธอถึงกับเซ และเขาก็เป็นฝ่ายที่คว้าตัวเธอไว้ก่อนที่จะชนกับผนังห้องซะก่อน
“คุณโอเคนะครับ” ถามอย่างเป็นห่วงอีกครั้งแต่มือก็ยังคงไม่ปล่อยจากแขนเธอ
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“ของของคุณครับ” ชายหนุ่มยื่นถุงหนังสือคืนให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ” ยืนมือมารับถุงหนังสือคืน “คุณเป็นอะไรรึป่าวคะ ขอโทษนะคะที่เดินชนคุณ” เป็นประโยคยาวประโยคแรกที่เธอพูดตั้งแต่เจอกับเขา
“ไม่เป็นไรครับ” รอยยิ้มที่ส่งกลับมาให้เธอนั้นทำให้ศิญาดาทำตัวไม่ถูก
“เอ่อ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” เอ่ยขอบคุณพร้อมค้อมศีรษะให้กับชายหนุ่มเล็กน้อยเป็นการขอโทษ “ขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบศิญาดาก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับกำลังหนีอะไรสักอย่าง
“คุณ เดี๋ยวก่อนคับคุณ” เสียงเรียกจากชายหนุ่มเพื่อรั้งตัวเธอไว้
เพราะสายตาคู่นั้นยังคงติดตาเธออยู่ เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน มันทำให้เธอรู้สึกแปลกใจตัวเองจนไม่กล้าหันกลับไปมองเขาอีกครั้งแม้จะได้ยินเสียงเรียกจากเขาก็ตาม
เจคกำลังจะก้าวเท้าเดินตามเธอไปแต่กลับมากลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินมาพอดีทำให้เขาไม่สามารถแทรกตัวผ่านไปได้
“ยังไม่ได้รู้จักชื่อเลย” ชายหนุ่มบนอย่างเสียดาย เขายอมรับว่าท่าทางของเธอเมื่อสักครู่นี้ทำให้เขาติดใจ ใช่! มันน่ารักมากในสายตาเขา
พอกลุ่มคนที่ขวางทางอยู่เดินผ่านไปแล้วเขาก็รีบเดินไปตามทางที่เธอเดินไปเผื่อจะทันเธอที่ตรงหน้างาน แต่เขาก็คิดผิด เพราะทันทีที่เขามาถึงหน้างานก็มองหาเธออยู่สักพัก หวังในใจว่าอาจจะได้เจอเธออีกครั้งแต่ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาหวัง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจกลับที่พัก

“จะรีบอะไรขนาดนี้เนี้ยดา” อรอุมาบ่นอย่างไม่เข้าใจเพื่อนสาว มีอย่างที่ไหนพอมาถึงหน้างานที่นัดกันไว้ศิญาดาก็พูดแค่คำว่า ‘ไปกันเถอะ’ จากนั้นก็ยืนมือที่มีถุงหนังสือเต็มไปหมดมาคว้ามือเธอ กึ่งจูงกึ่งลากให้เธอเดินตามทำราวกับกำลังหนีอะไรสักอย่าง
“แกเป็นอะไรวะดา” อรอุมาชักหงุดหงิดที่เพื่อนสาวไม่ยอมบอกถึงสาเหตุที่กึ่งจูงกึ่งลากเธอจนมาถึงข้างล่างของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน “ตกลงแกจะบอกฉันมั๊ยว่าแกเป็นอะไร ทำไมอยู่ๆ แกก็ลากฉันมาแบบนี้น่ะ” น้ำเสียงเข้มขึ้นอีกเมื่อเพื่อนยังไม่ตอบคำถามเธอ
“ปวดฉี่น่ะ” สรรพนามที่ใช้เรียกเธอเปลี่ยนไปทำให้ศิญาดารู้ทันทีว่าอรอุมากำลังหงุดหงิดกับเรื่องนี้ให้ศิญาดาต้องปดออกไปแบบนั้น
“ปวดฉี่! แล้วทำไมแกไม่เข้าห้องน้ำข้างบนวะแกจะกลั้นไปจนถึงห้องรึไง บ้าป่าวเนี้ยแก” บ่นแบบไม่เข้าใจ
“ก็ไม่อยากฝ่าคนไปเข้าข้างในนี่นา ขืนเข้าไปก็คงได้กลับดึกกว่านี้แน่” หญิงสาวพูดไปตามความเป็นจริง เพราะกว่าจะฝ่าคนเข้าไปถึงห้องน้ำแล้วยังจะต้องต่อคิวเข้าห้องน้ำอีกคงใช้เวลาพอสมควร
“แล้วแกทำอะไรอยู่ วางสายจากฉันตั้งนานแต่ก็ยังไม่เห็นแกออกมาซะที” คำถามของเพื่อนทำให้ศิญาดารู้สึกราวกับคนที่กำลังทำความผิดแล้วต้องมากล่าวคำรับสารภาพอย่างไรอย่างนั้น
“อ๋อ แวะดูหนังสือนิดหน่อยน่ะ แต่มันแพงก็เลยไม่ซื้อ” ปดอีกเป็นครั้งที่สอง
“แล้วดาทนไหวมั๊ยล่ะ จะไปเข้าห้องน้ำห้องเราก่อนมั๊ย” อรอุมาออกความเห็นเมื่อเห็นว่าห้องของเธอใกล้กว่าห้องของศิญาดา
“ไม่เป็นไร ยังไหว” ศิญาดายิ้มให้เพื่อนอย่างขอบใจ
และในตอนนั้นเองรถไฟฟ้าก็มาพอดี สองสาวจึงก้าวเข้าไปข้างในเพื่อกลับห้องพักของตนเอง แต่ในความคิดของอรอุมาแล้วเธอรู้ว่าศิญาดามีอะไรบางอย่างที่ไม่ได้บอกเธอ เธอรู้ดีเพราะเธอสนิทกับศิญาดามาหลายปีถ้าไม่สนิทและรู้ใจกันจริงก็คงไม่คบกันมาได้ถึงทุกวันนี้ เห็นได้จากเพื่อนในกลุ่มตอนที่ยังเรียนอยู่บางคนก็ห่างๆ กันไปก็ยังมี เพราะอย่างนี้เองเธอถึงได้รู้จักนิสัยใจคอของศิญาดาเป็นอย่างดี แต่คนอย่างศิญาดาแล้วถ้าไม่อยากพูดหรือบอกอะไรใครต่อให้บังคับยังไงก็ไม่มีทางที่เธอจะยอมพูดเด็ดขาด มีทางเดียวเท่านั้นคือ รอให้เธอเป็นคนพูดออกมาเอง!

ณ คอนโดมิเนียมหรูริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ชายหนุ่มเจ้าของเรือนร่างสูงแข็งแรงแบบคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำเดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีผ้าเช็ดตัวสีขายพันเอวสอบไว้อย่างหลวมๆ หยดน้ำที่เกาะพราวไปทั้งตัวน่าจะทำให้ร่างการเย็นสบายแต่ในใจของชายหนุ่มกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ตอนนี้ในหัวของเขามีเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง คนที่เดินชนเขาในงานสัปดาห์หนังสือเมื่อตอนกลางวันเท่านั้น หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวเลยบ่าไม่มาก ดวงตาสีดำกลมโตเป็นประกายตอนที่เธอมองเขามันช่างตรึงใจเขานัก รูปร่างออกจะอวบถ้าเทียบกับบรรดาผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขาแต่ก็ไม่ถึงกับอ้วน จะให้เขานิยามยังไงดีล่ะ อืม...ไม่รู้สินะ แต่ที่แน่ๆ ตอนอนี้เขาติดใจหญิงสาวคนนี้จนสลัดไม่หลุดจากความคิดเอาซะเลย เขาจะทำยังไงดีถึงจะได้เจอเธออีกครั้ง จะตามหาเธอได้ที่ไหน แม้แต่เธอชื่ออะไรเขายังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ แค่คิดชายหนุ่มก็ต้องถอนใจออกมาเบาๆ นี่เขาเป็นอะไรไป ไม่หรอกนะ! เขาไม่ใช่หนุ่มๆ ที่พึ่งจะมีความรักซะหน่อย ถ้าอย่างนั้นเขาจะปล่อยเรื่องนี้ให้มันผ่านไปอย่างนั้นหรือ “ไม่!” คำตอบที่เขาเผลอพูดออกมาทำให้ชายหนุ่มถึงกับแปลกใจตัวเอง
“นี่เราเป็นอะไรไปเนี้ย ท่าจะบ้าแล้ว” บ่นให้กับตัวเองพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ในลำคอ แต่ยังไงซะตอนนี้เขาก็ยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เลยว่า เขาติดใจผู้หญิงคนนั้นจริงๆ
หลังจากพยายามเลิกคิดถึงเธอแล้วพยายามมีสมาธิกับงานที่ต้องคุยกับลูกน้องที่อยู่อีกซีกหนึ่งของโลกแล้วร่วมสองชั่วโมง สุดท้ายพอคุยงานเสร็จภาพของเธอก็ปรากฏเข้ามาในความคิดเขาอีกจนได้ จนสุดท้ายแล้วเจคก็ต้องยอมรับใจตัวเองว่าอยากเจอเธออีกครั้ง เขาจะไปงานสัปดาห์หนังสืออีก จะไปทุกวันจนกว่าจะได้เจอเธอถึงแม้ระยะทางจากคอนโดมิเนียมที่เขาพักอยู่จะไกลกันมากกับสถานที่จัดงานแต่เขาก็จะไปและเขาก็หวังว่าเธอจะมางานสัปดาห์หนังสืออีกครั้ง

ผ่านมาแล้ว 5 วันหลังจากวันที่ศิญาดาไปงานสัปดาห์หนังสือ และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของการจัดงาน โดยปกติแล้วหญิงสาวมักจะไปงานอีกครั้งในวันสุดท้ายเนื่องจากเธอให้เหตุผลว่า “ก็วันสุดท้ายมันมีหนังสือลดราคาเยอะนี่ ช่วยประหยัดตังค์ได้เยอะเลย” แต่ครั้งนี้เธอกลับไม่กล้าไปเพราะเหตุผลลึกๆ แล้วเธอกลัวที่จะเจอกับเขาอีกครั้ง แม้ในความเป็นจริงแล้วเขาอาจจะไม่มางานอีกก็ได้แต่เธอก็ยังไม่กล้าไปอยู่ดี
“ดา!!”
“อะไรหวาน เรียกซะเสียงดังเชียว”
“จะไม่ให้เสียงดังได้ไงล่ะ เรียกไปตั้งสองครั้งแล้วก็ไม่ตอบ ถามจริงเป็นอะไรเนี้ย” รมิตาอดสงสัยไม่ได้เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยเห็นเพื่อนเป็นแบบนี้สักครั้ง
“อ้าวหรอ” ศิญาดาทำหน้าแหย “โทษทีเรามัวแต่คิดอะไรเพลินๆ น่ะ”
“มีอะไรรึป่าว” รมิตาถามเพื่อนอย่างเป็นห่วง
“เปล่าหรอก สงสัยเมื่อคนนอนไม่ค่อยหลับน่ะเลยเบลอๆ เอ๋อๆ ” เมื่อเห็นสีหน้าเป็นห่วงของเพื่อนศิญาดาก็ตอบแบบกวนตามสไตล์ของเธอ
“เออ! เดี๋ยวก็ได้เอ๋อถาวรหรอก” พอเพื่อนตอบมาแบบนี้ก็อดกวนตอบไม่ได้ ถ้าลองว่าศิญาดาได้ตอบแบบนี้แล้วแสดงว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง “ทำงานได้แล้วย่ะ เดี๋ยวงานไม่เสร็จทีนี้ล่ะได้โดนไล่ออกถาวรแน่”
“โห ขู่ซะเห็นภาพเลย” ทันทีที่ศิญาดาพูดจบสองสาวก็ประสานเสียงหัวเราะกันอย่างอารมณ์ดี ทั้งสองรู้ดีว่าไม่มีทางที่เธอสองคนจะโดนไล่ออกแน่นอน ไม่ใช่เพราะหลงตัวเองหรือถือว่าตัวเองอยู่มานานแต่อย่างได้แต่ที่สองสาวมั่นใจก็เพราะว่าเธอกับรมิตาทำงานได้ตรงเวลาตลอดจึงทำให้ผู้เป็นหัวหน้ารักใคร่เอ็นดูพอควร
“แล้ววันนี้ไม่ไปงานหนังสือหรอ วันสุดท้ายแล้วนี่” เพราะไม่เห็นเพื่อนพูดถึงการไปงานหนังสืออีกจึงเอ่ยถามเพราะตลอด 3 ปีที่ทำงานด้วยกันมาศิญาดาจะไปงานหนังสือวันสุดท้ายทุกปี
“ไม่ล่ะ ช้อปวันนั้นก็กรอบจะแย่อยู่แล้ว ขืนไปอีกคงได้แทะเสากินแทนข้าวแน่”
“หนังสือนั่นไง ต้มกินสิ”
“ได้ไงล่ะ ยอมอดข้าวดีกว่า” ไม่มีทางซะล่ะที่เธอจะยอมต้มหนังสือที่เธอทั้งรักทั้งหวงกิน
“ทีดายังจะให้เราต้มรองเท้ากินเลย” เมื่อโดนย้อนคืนแบบนี้ศิญาดาถึงกับขำ
“แหม ได้ทีเอาคืนใหญ่เลยนะ”
“อย่าพลาดละกัน รออยู่ตลอดแหละ” แล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงาน
เป็นที่รู้กันดีว่าในออฟฟิศนี้สองสาวบัญชีคู่ซี้เป็นคู่ที่คุยกันได้สนุกที่สุด เรียกว่ามวยถูกคู่เลยล่ะเพราะไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรสองสาวก็ทันกันหมด ถ้าหากว่าออฟฟิศนี้ต้องขาดคนใดคนหนึ่งไปคงขาดสีสันน่าดู

ทางด้านชายหนุ่มที่ตอนนี้กำลังเดินออกมาจากตัวอาคารที่จัดงานสัปดาห์หนังสือย่างเซ็งๆ ตลอด 5 วันที่ผ่านมาเขามางานทุกวันเพียงเพื่อว่าอาจจะได้เจอเธออีกสักครั้ง แต่จนถึงตอนนี้ทุกบูธที่มาจำหน่ายหนังสือต่างพากันเตรียมเก็บข้าวของรวมถึงหนังสือที่จำหน่ายไม่หมด นี่เขาหมดโอกาสที่จะได้เจอเธอจริงๆ หรือนี่ สุดท้ายแล้วชายหนุ่มก็ตัดสินใจเดินทางกลับคอนโดมิเนียมที่พักอย่างเสียดาย เมื่อถึงคอนโดมิเนียมเขาก็ติดต่อกับลูกน้องที่อยู่อีกซีกโลกทันทีเพื่อทำงานเพราะเขามาประเทศไทยร่วมสัปดาห์แล้ว ถึงแม้ที่โน้นจะมีลูกน้องคนสนิทที่ไว้ใจได้คอยดูแลงานให้ถึง 3 คน ทั้งนิค ที่เป็นเลขามือหนึ่งของเขาและอีก 2 คนคือ เจมส์กับทอม ซึ่งเป็นผู้ช่วยของนิคอีกที เพราะมี 3 คนสนิทคอยดูแลงานที่โน้นให้เจอคอบถึงได้กล้าทิ้งงานมาพักผ่อนที่ประเทศไทยได้อย่างสบายใจ แต่ถึงแม้จะไว้ใจแค่ไหนก็ยังต้องติดต่อกันตลอดเพราะบางงานก็ยังต้องได้รับการตัดสินใจจากเขา
“ที่นั่นเป็นยังไงบ้างนิค”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับคุณเจค” เสียงของลูกน้องคนสนิทตอบมาตามสาย
“อืม” ตอบรับรู้เพียงสั้นๆ ตามสไตล์ของเขา
“ผมจะให้เจมส์กับทอมไปรับคุณเจคตามเวลาเดิมที่แจ้งไว้นะครับ” นิคแจ้งกำหนดการเดิมที่เคยคุยกันไว้เพราะว่าเจคมีกำหนดเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้
“โอเค งั้นแค่นี้แหละ”
“ครับ” ทันทีที่มีเสียงตอบรับเจคก็วางสายจากลูกน้อง
พรุ่งนี้แล้วที่เขาต้องเดินทางกลับอเมริกาตามกำหนดเดิมที่วางไว้ ทั้งที่การมาพักผ่อนครั้งนี้เขากะจะใช้เวลาท่องเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ อย่างเช่น วัด พระราชวังที่เขาเคยมาแล้วติดใจในความงดงามและความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่นี่ ทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่พุทธศาสนิกชนแต่พอมาได้เห็นแล้วกลับรู้สึกเลื่อมในศรัทธาไปด้วยแถมยังทำให้เขารู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก แต่สุดท้ายแล้วการมาพักผ่อนครั้งนี้เขากลับไม่ได้ไปยังที่ที่เคยไปแม้แต่ที่เดียว แต่ที่เดียวที่เขาได้ไปก็คืองานสัปดาห์หนังสือเท่านั้น แต่พรุ่งนี้เขาก็ต้องเดินทางกลับแล้วโอกาสที่จะได้เจอเธออีกครั้งคงไม่มีอีกแล้ว ขนาดว่ามีงานสัปดาห์หนังสือเป็นที่ที่พอจะมีโอกาสได้เจอเธอบ้างก็ยังไม่ได้เจอแล้วการที่เขาต้องเดินทางกลับโอกาสที่จะได้เจอกันคงเป็นศูนย์ คิดแล้วชายหนุ่มก็ได้แต่ถอนหายใจจนสุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายแล้วพักผ่อนซะที



ศิริรตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.ค. 2558, 21:08:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.ค. 2558, 21:08:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 992





<< 1. ชีวิตในเมืองกรุง   ตอนที่ 3 ไม่อยากจะเชื่อสายตา 50% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account