แค้นรักแค้นเสน่หา
“ผมไม่วิปริตเหมารวมทั้งครอบครัวหรอกจ้ะ เอาแค่คุณคนเดียวแต่ไม่ใช่ครั้งเดียว โอเค้?” พูดหน้าตายแล้วแนบฝ่ามือเข้าหา ในขณะที่เจ้าตัวไม่รู้จะปกปิดส่วนไหนของร่างกายที่ถูกเขาคุกคามอย่างหนัก “อีกอย่าง... คุณต้องทรีตร่างกายผมให้หนักกว่านี้สักหน่อย ไม่ใช่เงอะงะ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ถ้าผมไม่กำไรอย่างน้อยก็เท่าทุนยังดี”
เมื่ออสังหาริมทรัพย์หลายแปลงถูกโกงไปอย่างน่าโมโห มีหรือที่CEO แห่งติโมชุก อินดัสตรี ซึ่งมีผลประกอบการสูงติดอันดับโลกจะยอมถูกลูบคม “ฮาร์คิฟ ติโมชุก” จึงต้องมาทวงคืนจากผู้เป็น “พ่อบุญธรรม” ด้วยตัวเอง
หากรูปร่างน่าปรารถนาและแววตาที่ใช้เชิญชวนเพศตรงข้ามของลูกสาวพ่อบุญธรรม ก็ทำให้เขาอยากสั่งสอนสองพ่อลูกได้ตระหนักว่า... การฉกเอาทรัพย์สินคนอื่นไปเป็นของตนนั้นต้องชดใช้ทั้งต้นและดอกเบี้ยให้ครบถ้วน
“อภินรา” ไม่เคยระแวงใจในดวงตาสีเขียวอมฟ้าแสนเซ็กซี่คู่นั้นเลยสักครั้ง เขามีเสน่ห์ ดึงดูดใจจนทำให้โลกของเธอสั่นสะเทือน เขากำลังใช้เสน่ห์ทางกายล่อลวงให้เธอ “เผลอใจ” และคิดดอกเบี้ยอย่างหฤโหดด้วยการทำให้เธอ “เผลอตัว” แม้จะรู้แก่ใจว่ากำลังใช้หนี้ แต่ดอกเบี้ยแห่งปรารถนาที่เขาทวงจากเธอทุกค่ำคืนก็เริงร้อน วาบหวามน่าหลงใหล
เขากำลังทำสงครามบนเตียงกับลูกหนี้สาว ที่ไม่เคยใจดียอมให้ใครรีเควสได้อย่างเธอ ไม่ว่าจะ... ดับเบิ้ล ทริปเปิ้ลหรือนอนสต็อป เขาก็ไม่เคยเกี่ยงที่จะเก็บหนี้เลยสักวินาทีทั้งยังติดอกติดใจจนคิดแผนการเหนือชั้นเพื่อ “ตลบหลัง” ลูกหนี้สาว ด้วยการ... ทำให้เธออยู่บนเตียงของเขาตลอดไป
“ฉันไม่นิยมความสัมพันธ์แบบ วัน ไนท์ สแตนด์ หรอกค่ะ คุณคงมาหาผิดคนแล้ว”
เขาเงียบและจ้องหน้าเธอชั่วครู่ จากนั้นก็หัวเราะร่วนอย่างชอบใจ “เอลก้าที่รัก... แน่นอนว่าผมคิดกับคุณมากกว่าหนึ่งคืน อันที่จริงผมคิดทุกวินาทีด้วยซ้ำ แต่ถ้าพูดออกไปตรงๆกลัวว่าคุณจะรังเกียจ พานเกลียดขี้หน้าผมน่ะสิ”
อภินราทำตาโต มองค้อนเขาตาเขียวปัด ไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดเปิดเผย ตรงเสียจนกลายเป็นแข็งทื่อเช่นนี้
“คนเหลือทน! คุณพูดมันออกมาแล้วต่างหาก”
เมื่ออสังหาริมทรัพย์หลายแปลงถูกโกงไปอย่างน่าโมโห มีหรือที่CEO แห่งติโมชุก อินดัสตรี ซึ่งมีผลประกอบการสูงติดอันดับโลกจะยอมถูกลูบคม “ฮาร์คิฟ ติโมชุก” จึงต้องมาทวงคืนจากผู้เป็น “พ่อบุญธรรม” ด้วยตัวเอง
หากรูปร่างน่าปรารถนาและแววตาที่ใช้เชิญชวนเพศตรงข้ามของลูกสาวพ่อบุญธรรม ก็ทำให้เขาอยากสั่งสอนสองพ่อลูกได้ตระหนักว่า... การฉกเอาทรัพย์สินคนอื่นไปเป็นของตนนั้นต้องชดใช้ทั้งต้นและดอกเบี้ยให้ครบถ้วน
“อภินรา” ไม่เคยระแวงใจในดวงตาสีเขียวอมฟ้าแสนเซ็กซี่คู่นั้นเลยสักครั้ง เขามีเสน่ห์ ดึงดูดใจจนทำให้โลกของเธอสั่นสะเทือน เขากำลังใช้เสน่ห์ทางกายล่อลวงให้เธอ “เผลอใจ” และคิดดอกเบี้ยอย่างหฤโหดด้วยการทำให้เธอ “เผลอตัว” แม้จะรู้แก่ใจว่ากำลังใช้หนี้ แต่ดอกเบี้ยแห่งปรารถนาที่เขาทวงจากเธอทุกค่ำคืนก็เริงร้อน วาบหวามน่าหลงใหล
เขากำลังทำสงครามบนเตียงกับลูกหนี้สาว ที่ไม่เคยใจดียอมให้ใครรีเควสได้อย่างเธอ ไม่ว่าจะ... ดับเบิ้ล ทริปเปิ้ลหรือนอนสต็อป เขาก็ไม่เคยเกี่ยงที่จะเก็บหนี้เลยสักวินาทีทั้งยังติดอกติดใจจนคิดแผนการเหนือชั้นเพื่อ “ตลบหลัง” ลูกหนี้สาว ด้วยการ... ทำให้เธออยู่บนเตียงของเขาตลอดไป
“ฉันไม่นิยมความสัมพันธ์แบบ วัน ไนท์ สแตนด์ หรอกค่ะ คุณคงมาหาผิดคนแล้ว”
เขาเงียบและจ้องหน้าเธอชั่วครู่ จากนั้นก็หัวเราะร่วนอย่างชอบใจ “เอลก้าที่รัก... แน่นอนว่าผมคิดกับคุณมากกว่าหนึ่งคืน อันที่จริงผมคิดทุกวินาทีด้วยซ้ำ แต่ถ้าพูดออกไปตรงๆกลัวว่าคุณจะรังเกียจ พานเกลียดขี้หน้าผมน่ะสิ”
อภินราทำตาโต มองค้อนเขาตาเขียวปัด ไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดเปิดเผย ตรงเสียจนกลายเป็นแข็งทื่อเช่นนี้
“คนเหลือทน! คุณพูดมันออกมาแล้วต่างหาก”
Tags: ฮาร์คิฟ - อภินรา
ตอน: ตอนที่ 12 50%
อภินราค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วก็ต้องหลับตาลงอีกครั้ง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นคลึงขมับหนักศีรษะราวกับมีหินก้อนใหญ่วางทับ หากการเคลื่อนไหวร่างการของเธอทำให้คนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ ละสายตาจากเอกสารในมือ
“ตื่นแล้วเหรอ เอลก้า” วางเอกสารอย่างไม่ใส่ใจแล้วขยับตัวชะโงกมองคนที่สะลึมสะลือเหมือนยังตื่นไม่เต็มตาดีนัก
“ปวดหัว ไม่... หนักหัว” บอกความรู้สึกของตัวเองออกมา ยังไม่มีสติสัมปชัญญะพอที่จะนึกถึงเหตุการณ์สุดท้ายที่มีสติครบถ้วน เพียงแค่จบคำพูดก็มีมือคู่หนึ่งเลื่อนเข้ามาคลึงขมับทั้งสองข้าง หว่างคิ้ว เรื่อยไปจนทั่วทั้งศีรษะอย่างรู้จังหวะทั้งน้ำหนักก็ยังพอดีที่สามารถขับไล่อาการหนักอึ้งนั้นให้ทุเลาลงได้
เสียงครางอย่างพึงพอใจที่รอดออกมาจากริมฝีปากอิ่มทำให้ฮาร์คิฟมองอย่างเสน่หา เขาเคยลิ้มลองรสชาติความหอมหวานของริมฝีปากคู่นี้มาแล้ว รู้ดีว่ามันอดเยี่ยมเพียงใด หากตอนนี้ต้องสะกดกลั้นอารมณ์ดิบเถื่อนที่เกิดขึ้นในร่างกายเพราะอยากรู้ว่าเธอรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่ “ค่อยยังชั่วไหมเอลก้า จะเอายาดมรึเปล่า หืม?...”
หากตัดหรือลืมเรื่องบาดหมางที่เกิดขึ้น พูดได้เต็มปากว่าเขาไม่เคยพูดคุย ถามไถ่ผู้หญิงหน้าไหนด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร ห่วงใยเช่นนี้
“ค่ะ...” อภินราตอบรับน้ำเสียงอบอุ่นหัวใจนั้นทันที แม้ว่าอาการเหล่านั้นมันจะไม่ได้หายไปเป็นปลิดทิ้งแต่เธอก็สามารถลืมตาขึ้นมองฝ้าเพดานจากนั้นก็กวาดมองสิ่งแวดล้อมรอบตัว หากห้องที่เห็นช่างดูแปลกตาและไม่ใช่ที่ที่เธอเคยอยู่อาศัยมาก่อน เมื่อกะพริบตาถี่ๆมองใบหน้าคร้ามคมที่ชะโงกเข้ามาใกล้ก็ทำให้อภินราอ้าปากค้าง เหตุการณที่เกิดขึ้นระหว่างกันไหลบ่าเข้ามาจนสามารถลำดับสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี “ถอยไปไกลๆนะ อย่าเข้ามาใกล้ฉัน”
ฮาร์คิฟผงะตามแรงผลักเล็กน้อยแต่ก็ยังขยับเข้าไปไถ่ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าเธอล้มตัวลงบนเตียงอีกครั้ง “พอดีขึ้นหน่อยก็แผลงฤทธิ์เชียวนะ”
“ฉันน่าจะตายๆไปด้วยซ้ำ คุณจะได้ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้” ประชดเขาพลางชันตัวขึ้นพิงกับหัวเตียง กวาดสายตามองผนังด้านข้างที่โค้งไปจนถึงด้านบน หน้าต่างทรงเดียวกันกับเครื่องบิน เพียงเท่านี้ก็ทำให้อภินราจุดประสงค์ที่เขาใช้ยาสลบแล้ว
“ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ผมเลวแค่ไหนผมก็ไม่เคยคิดเอาเปรียบใคร ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน” โต้กลับทันควัน
“ลักพาตัวฉันมาแบบนี้ คุณมันก็อาชญากรดีๆนั่นแหละ”
“อา... ขอบคุณอีกครั้งที่ยังเห็นว่าผมดีอยู่บ้าง” ฮาร์คิฟไม่อยากทำให้บรรยากาศตึงเครียด เพราะรู้ว่าเธอยังมึนหัวอยู่
อภินราร้อนใจเกินกว่าจะมาต่อปากต่อคำเรื่องไร้สาระกับเขานัก “จะพาฉันไปไหน คุณทำอย่างนี้ทำไมฮาร์คิฟ ไหนบอกว่าจะให้เวลาฉันคุยกับคุณพ่อค้นหาความจริง”
“ความจริงก็เห็นๆกันอยู่ พ่อคุณพูดเองว่าไม่มีทางยอมรับ ผมก็ต้องจัดการตามวิธีการของผม”
อภินรายังไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น เธอต้องการคำตอบที่ชัดเจนถึงจุดหมายของเครื่องบินลำนี้เท่านั้น “จะพาฉันไปไหน บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”
“ยูเครน” ฮาร์คิฟตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่ไป ฉันจะกลับบ้าน”
“คุณมาแล้วเอลก้า อีกหกชั่วโมงเราจะถึงยูเครน” เขาย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาสีเขียวอมฟ้าจ้องเธอนิ่งราวกับจะบอกว่าความต้องการของเธอมันช้าไปราวสี่ชั่วโมงที่เครื่องเทกออฟเหนือน่านฟ้าประเทศไทยแล้ว
“ไม่ ฉันจะกลับบ้าน ไปถึงยูเครนเมื่อไหร่ฉันจะแจ้งความ ฉันจะบอกตำรวจว่าคุณลักพาตัวฉันมา คุณพาฉันออกนอกประเทศมาแบบผิดกฎหมาย ฉันจะไม่มีวันให้คุณทำเรื่องบ้าบอแบบนี้แน่ๆ” อภินรารวบแรงเรี่ยวแรงที่มีอยู่ลุกขึ้นจากเตียงควีนไซส์ซึ่งนับว่ากว้างมากถ้าอยู่บนเครื่องบินลำหนึ่ง หากมือยังไม่ได้แตะคันโยกประตู ท่อนแขนแข็งแรงก็รัดเข้าที่เอวคอดยกเธอจนเท้าลอยเหนือพ้นแล้วทิ้งลงบนเตียงเช่นเดิม
“อย่าโวยวายนักได้ไหม ทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามนี้ เราจะอยู่ยูเครนด้วยกันสักระยะหนึ่ง”
“ไม่!” อภินราตวาดกลับอย่างไม่เกรงกลัว “คุณลักพาตัวฉันออกนอกประเทศแบบนี้จะให้อยู่นิ่งๆได้ไง มันผิดกฎหมาย”
“เปล่าเลย ผมพาคุณออกจากประเทศไทยอย่างถูกต้อง หลักฐานทุกอย่างถูกต้อง ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น” คำพูดของเขาหยุดการอาละวาดของเธอได้พักหนึ่ง หากการส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อก็ทำให้ฮาร์คิฟต้องย้ำให้ชัดเจนอีกครั้ง “เงินมันซื้ออะไรๆได้เกือบทั้งโลกนั่นแหละ เอลก้า คุณน่าจะรู้ว่าเงินของผมมันทำให้เรื่องพวกนี้กลายเป็นเรื่องขี้ผง”
“หึ! ทั้งรวยทั้งเห็นแก่ตัวสินะ” พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน หากคนฟังไหวไหล่รับอย่างไม่ยี่หระ
“ก็ธรรมดา... ดูอย่างพ่อคุณสิ ฮุบได้กระทั่งสมบัติหลาน อยากรวยจนเห็นแก่ตัว ไม่สนใจคนอื่นไง”
เพียะ!...
คำพูดที่เขาตอกกลับมาทำให้อภินราโกรธจัดจนใช้ความรุนแรง เธอตบหน้าเขาสุดแรงเกิดและคิดขั้นมาได้ว่าพ่อของเธอยังไม่แข็งแรงดี จิตใจก็ยังไม่เป็นปกติ
“ฮาร์คิฟๆ ฉันขอร้อง พาฉันกลับบ้านเถอะนะ” อภินราเข้าไปเกาะแขนเขา อ้อนวอนอย่างน่าสงสาร “พ่อฉันไม่สบาย ตอนที่ฉันออกมารับซีโลท่านก็ยังหลับไปเพราะฤทธิ์ยา แล้วไหนจะซีโลอีก ป่านนี้แกคงร้องไห้หาฉันแล้ว”
ปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของเธอทำให้คนที่โกรธจัดเพราะถูกผู้หญิงตบหน้าเป็นครั้งแรกต้องหัวใจอ่อนยวบเพราะดวงตาที่มองมาอย่างขอความเห็นใจ เขาจะโกรธก็โกรธไม่ลง “ซีโลหลับอยู่ห้องข้างๆ เสียงเอะอะของคุณอาจจะทำให้แกตื่น”
“อะไรนะ?” อภินราตกใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าหลานชายอยู่ห้องข้างๆ
ฮาร์คิฟถอนหายใจ ไม่ได้พูดย้ำในสิ่งที่รู้ว่าเธอได้ยินอย่างชัดเจน “ส่วนพ่อคุณก็มีหมอคอยดูแลอยู่แล้ว คนเจ้าเล่ห์ ขี้โกงแบบนั้นไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก”
“คนปากพล่อย นั่นพ่อของฉันนะ คุณจะเกลียดจะแค้นเห็นว่าท่านเป็นคนเลวร้ายยังไงมันก็เรื่องของคุณ แต่คุณไม่มีสิทธิ์มาว่าให้พ่อฉันแบบนี้ ถอนคำพูดแล้วขอโทษฉันเดี๋ยวนี้” ไม่พูดเปล่าแต่ยังระดมทุบที่อกกว้างหนักๆไม่ยั้ง
หากเขายังคงยืนนิ่งให้เธอระบายความโกรธจนหนำใจ “ไม่ คุณต้องไปเห็นมาร่ากับตาตัวเองแล้วจะรู้ว่าสภาพของมาร่าเมื่อเทียบกับพ่อของคุณแล้ว ใครน่าสงสารกว่ากัน”
อภินราหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน การปะทะกับคนที่ร่างกายใหญ่โตกว่าตนเป็นสองเท่าสูบเรี่ยวแรงของเธอไปจนหมดสิ้น “คุณยังรักยังเป็นห่วงพ่อแม่ตัวเอง ทำไมไม่คิดถึงความรู้สึกของฉันบ้าง ทิ้งท่านให้อยู่คนเดียวแบบนั้นได้ยังไง ไหนจะหน้าที่การงานของฉันอีก ซีโลก็ต้องเรียนหนังสือ คุณรู้ไหมว่ากำลังทำลายทุกคนเพราะความแค้นบ้าๆนั่น”
“หยุดบ้าได้แล้วเอลก้า” ฮาร์คิฟดุเสียงเข้ม เพราะเธอเสียงของเธอดังขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง เขาบีบต้นแขนทั้งสองข้างเอาไว้แน่น เขย่าราวกับจะเรียกสติ “ลองไปดูให้เห็นกับตาว่าภาพน่าเวทนาที่มาร่ากอดรูปของวาเรียมันบีบคั้นหัวใจยังไง ลองไปฟังหน่อยเถอะว่ามาร่ายังเทิดทูนพูดถึงพ่อคุณยังไงทั้งที่พ่อคุณทำร้ายความรู้สึกของมาร่าแบบนั้น”
“แต่ฉันทิ้งท่านไว้คนเดียวไม่ได้ ท่านจะอยู่ยังไง ใครจะดูแล จะร้อนใจแค่ไหนที่ฉันกับซีโลหายมาไม่บอกกล่าวแบบนี้” เมื่อเธอยกเอาเหตุผลของตัวเองขึ้นมาบ้างเขาก็เงียบไปชั่วอึดใจ สุดท้ายก็ตอบแบบกำปั้นทุบดินทั้งประชดและพานพาโลจนน่าโมโห
“ก็... ไอ้ตฤณคนโปรดไง ตอนคุณออกมาผมก็เห็นรถมันจอดอยู่ในบ้านนี่ ก็ให้มันนั่นแหละดูแล”
“พูดอะไรไม่เข้าท่า ตฤณเขาก็มีงานต้องทำมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ พ่อฉันไม่ใช่พ่อเขาสักหน่อย เขาจะมาดูแลแทนได้ยังไง” อภินราพยายามข่มอารมณ์ชี้แจง
“ไม่ดีหรือไง จะได้พิสูจน์ด้วยว่ามันรักคุณจริงแค่ไหน”
“พูดบ้าๆ ฉันไม่อยู่เขาจะไปหาพ่อทำไม”
ไม่รู้ทำไมเมื่อพูดถึงไอ้บ้านี่ทีไรเขาเลือดขึ้นหน้าทุกที “ทำไม มันจะไปหาพ่อคุณเฉพาะตอนที่คุณอยู่เท่านั้นเหรอ ถ้ามันรักคุณจริงมันก็ต้องดูแลพ่อคุณแทนได้ ถ้าไม่หวังเคลมอย่างเดียว”
อภินราผลักเขาออกไปสุดแรง ทั้งโกรธทั้งอายที่เขาพูดในทำนองนั้น “ตฤณเขาไม่ใช่คนร้ายกาจที่จะคิดแต่เรื่องพรรค์นั้นหรอก อย่าเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานเทียบกับคนอื่นหน่อยเลย”
“แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เชียวนะ ถ้ารักมันมากแล้วไอ้ที่เผลอมีใจให้ผมเนี่ย เรียกว่าอะไร” หน็อย! มันชักจะมากไปแล้ว พูดถึงนิดๆหน่อยๆนี่ต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแทนกัน
อภินรากำมือแน่น ความใจง่ายที่เผลอไผลไปกับเขา มันกำลังย้อนกลับมาทำให้เจ็บใจแต่ต้องกลั้นใจตอบออกไปด้วยต้องการเอาชนะ “ก็เผลอให้ทุกคนนั่นแหละ คุณคิดว่าฉันจะหลงเสน่ห์คุณจนโงหัวไม่ขึ้นอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ใช่แค่หลง แต่จูบวันนั้นมันฟ้องว่าคุณหลงรักเลยล่ะ อย่ามาพูดจาเหมือนผู้หญิงกร้านโลกเพราะอยากเอาชนะผมหน่อยเลย” ฮาร์คิฟโต้ มันคือความรู้สึกที่เขารับรู้ได้แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคำพูดของเธอทำให้ความมั่นใจหดหายไปจนสิ้น
อภินรายิ้มเยาะและมองเขาด้วยสายตาเย้ยหยัน “ฉันอายุยี่สิบหกปีแล้ว จะแต่งงานอยู่อีกไม่กี่วัน คุณคิดว่าฉันเป็นสาวน้อยไร้เดียงสา ทำงานเลี้ยงหลานไปวันๆอย่างนั้นเหรอ?”
“อภินรา” ฮาร์คิฟกดเสียงต่ำปรามเธออย่างคนกำลังระงับอารมณ์อย่างหนัก
“คุณมันก็แค่ผู้ชายหลอกลวงคนหนึ่งที่เข้ามาหว่านเสน่ห์ให้ฉันหลงกล แต่แค่รู้ว่าทุกอย่างมันเป็นแค่แผนการเลวร้าย ฉันก็แทบจะลืมจูบไร้รสชาติของคุณไปแล้ว” อภินราโต้กลับด้วยคำพูดที่ตรงกันข้ามกับความรู้สึก โดยหารู้ไม่ว่านั่นเป็นการจุดระเบิดไฟโทสะของเขาให้ลุกไหม้ ดวงตาสีเขียวอมฟ้าที่มองมาอย่างเกรี้ยวกราดทำให้อภินรารู้ตัวว่าต้องพาตัวเองออกไปให้ไกลเขาที่สุด “กรี้ด... ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!”
“ตื่นแล้วเหรอ เอลก้า” วางเอกสารอย่างไม่ใส่ใจแล้วขยับตัวชะโงกมองคนที่สะลึมสะลือเหมือนยังตื่นไม่เต็มตาดีนัก
“ปวดหัว ไม่... หนักหัว” บอกความรู้สึกของตัวเองออกมา ยังไม่มีสติสัมปชัญญะพอที่จะนึกถึงเหตุการณ์สุดท้ายที่มีสติครบถ้วน เพียงแค่จบคำพูดก็มีมือคู่หนึ่งเลื่อนเข้ามาคลึงขมับทั้งสองข้าง หว่างคิ้ว เรื่อยไปจนทั่วทั้งศีรษะอย่างรู้จังหวะทั้งน้ำหนักก็ยังพอดีที่สามารถขับไล่อาการหนักอึ้งนั้นให้ทุเลาลงได้
เสียงครางอย่างพึงพอใจที่รอดออกมาจากริมฝีปากอิ่มทำให้ฮาร์คิฟมองอย่างเสน่หา เขาเคยลิ้มลองรสชาติความหอมหวานของริมฝีปากคู่นี้มาแล้ว รู้ดีว่ามันอดเยี่ยมเพียงใด หากตอนนี้ต้องสะกดกลั้นอารมณ์ดิบเถื่อนที่เกิดขึ้นในร่างกายเพราะอยากรู้ว่าเธอรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่ “ค่อยยังชั่วไหมเอลก้า จะเอายาดมรึเปล่า หืม?...”
หากตัดหรือลืมเรื่องบาดหมางที่เกิดขึ้น พูดได้เต็มปากว่าเขาไม่เคยพูดคุย ถามไถ่ผู้หญิงหน้าไหนด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร ห่วงใยเช่นนี้
“ค่ะ...” อภินราตอบรับน้ำเสียงอบอุ่นหัวใจนั้นทันที แม้ว่าอาการเหล่านั้นมันจะไม่ได้หายไปเป็นปลิดทิ้งแต่เธอก็สามารถลืมตาขึ้นมองฝ้าเพดานจากนั้นก็กวาดมองสิ่งแวดล้อมรอบตัว หากห้องที่เห็นช่างดูแปลกตาและไม่ใช่ที่ที่เธอเคยอยู่อาศัยมาก่อน เมื่อกะพริบตาถี่ๆมองใบหน้าคร้ามคมที่ชะโงกเข้ามาใกล้ก็ทำให้อภินราอ้าปากค้าง เหตุการณที่เกิดขึ้นระหว่างกันไหลบ่าเข้ามาจนสามารถลำดับสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี “ถอยไปไกลๆนะ อย่าเข้ามาใกล้ฉัน”
ฮาร์คิฟผงะตามแรงผลักเล็กน้อยแต่ก็ยังขยับเข้าไปไถ่ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าเธอล้มตัวลงบนเตียงอีกครั้ง “พอดีขึ้นหน่อยก็แผลงฤทธิ์เชียวนะ”
“ฉันน่าจะตายๆไปด้วยซ้ำ คุณจะได้ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้” ประชดเขาพลางชันตัวขึ้นพิงกับหัวเตียง กวาดสายตามองผนังด้านข้างที่โค้งไปจนถึงด้านบน หน้าต่างทรงเดียวกันกับเครื่องบิน เพียงเท่านี้ก็ทำให้อภินราจุดประสงค์ที่เขาใช้ยาสลบแล้ว
“ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ผมเลวแค่ไหนผมก็ไม่เคยคิดเอาเปรียบใคร ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน” โต้กลับทันควัน
“ลักพาตัวฉันมาแบบนี้ คุณมันก็อาชญากรดีๆนั่นแหละ”
“อา... ขอบคุณอีกครั้งที่ยังเห็นว่าผมดีอยู่บ้าง” ฮาร์คิฟไม่อยากทำให้บรรยากาศตึงเครียด เพราะรู้ว่าเธอยังมึนหัวอยู่
อภินราร้อนใจเกินกว่าจะมาต่อปากต่อคำเรื่องไร้สาระกับเขานัก “จะพาฉันไปไหน คุณทำอย่างนี้ทำไมฮาร์คิฟ ไหนบอกว่าจะให้เวลาฉันคุยกับคุณพ่อค้นหาความจริง”
“ความจริงก็เห็นๆกันอยู่ พ่อคุณพูดเองว่าไม่มีทางยอมรับ ผมก็ต้องจัดการตามวิธีการของผม”
อภินรายังไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น เธอต้องการคำตอบที่ชัดเจนถึงจุดหมายของเครื่องบินลำนี้เท่านั้น “จะพาฉันไปไหน บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”
“ยูเครน” ฮาร์คิฟตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่ไป ฉันจะกลับบ้าน”
“คุณมาแล้วเอลก้า อีกหกชั่วโมงเราจะถึงยูเครน” เขาย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาสีเขียวอมฟ้าจ้องเธอนิ่งราวกับจะบอกว่าความต้องการของเธอมันช้าไปราวสี่ชั่วโมงที่เครื่องเทกออฟเหนือน่านฟ้าประเทศไทยแล้ว
“ไม่ ฉันจะกลับบ้าน ไปถึงยูเครนเมื่อไหร่ฉันจะแจ้งความ ฉันจะบอกตำรวจว่าคุณลักพาตัวฉันมา คุณพาฉันออกนอกประเทศมาแบบผิดกฎหมาย ฉันจะไม่มีวันให้คุณทำเรื่องบ้าบอแบบนี้แน่ๆ” อภินรารวบแรงเรี่ยวแรงที่มีอยู่ลุกขึ้นจากเตียงควีนไซส์ซึ่งนับว่ากว้างมากถ้าอยู่บนเครื่องบินลำหนึ่ง หากมือยังไม่ได้แตะคันโยกประตู ท่อนแขนแข็งแรงก็รัดเข้าที่เอวคอดยกเธอจนเท้าลอยเหนือพ้นแล้วทิ้งลงบนเตียงเช่นเดิม
“อย่าโวยวายนักได้ไหม ทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามนี้ เราจะอยู่ยูเครนด้วยกันสักระยะหนึ่ง”
“ไม่!” อภินราตวาดกลับอย่างไม่เกรงกลัว “คุณลักพาตัวฉันออกนอกประเทศแบบนี้จะให้อยู่นิ่งๆได้ไง มันผิดกฎหมาย”
“เปล่าเลย ผมพาคุณออกจากประเทศไทยอย่างถูกต้อง หลักฐานทุกอย่างถูกต้อง ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น” คำพูดของเขาหยุดการอาละวาดของเธอได้พักหนึ่ง หากการส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อก็ทำให้ฮาร์คิฟต้องย้ำให้ชัดเจนอีกครั้ง “เงินมันซื้ออะไรๆได้เกือบทั้งโลกนั่นแหละ เอลก้า คุณน่าจะรู้ว่าเงินของผมมันทำให้เรื่องพวกนี้กลายเป็นเรื่องขี้ผง”
“หึ! ทั้งรวยทั้งเห็นแก่ตัวสินะ” พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน หากคนฟังไหวไหล่รับอย่างไม่ยี่หระ
“ก็ธรรมดา... ดูอย่างพ่อคุณสิ ฮุบได้กระทั่งสมบัติหลาน อยากรวยจนเห็นแก่ตัว ไม่สนใจคนอื่นไง”
เพียะ!...
คำพูดที่เขาตอกกลับมาทำให้อภินราโกรธจัดจนใช้ความรุนแรง เธอตบหน้าเขาสุดแรงเกิดและคิดขั้นมาได้ว่าพ่อของเธอยังไม่แข็งแรงดี จิตใจก็ยังไม่เป็นปกติ
“ฮาร์คิฟๆ ฉันขอร้อง พาฉันกลับบ้านเถอะนะ” อภินราเข้าไปเกาะแขนเขา อ้อนวอนอย่างน่าสงสาร “พ่อฉันไม่สบาย ตอนที่ฉันออกมารับซีโลท่านก็ยังหลับไปเพราะฤทธิ์ยา แล้วไหนจะซีโลอีก ป่านนี้แกคงร้องไห้หาฉันแล้ว”
ปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของเธอทำให้คนที่โกรธจัดเพราะถูกผู้หญิงตบหน้าเป็นครั้งแรกต้องหัวใจอ่อนยวบเพราะดวงตาที่มองมาอย่างขอความเห็นใจ เขาจะโกรธก็โกรธไม่ลง “ซีโลหลับอยู่ห้องข้างๆ เสียงเอะอะของคุณอาจจะทำให้แกตื่น”
“อะไรนะ?” อภินราตกใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าหลานชายอยู่ห้องข้างๆ
ฮาร์คิฟถอนหายใจ ไม่ได้พูดย้ำในสิ่งที่รู้ว่าเธอได้ยินอย่างชัดเจน “ส่วนพ่อคุณก็มีหมอคอยดูแลอยู่แล้ว คนเจ้าเล่ห์ ขี้โกงแบบนั้นไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก”
“คนปากพล่อย นั่นพ่อของฉันนะ คุณจะเกลียดจะแค้นเห็นว่าท่านเป็นคนเลวร้ายยังไงมันก็เรื่องของคุณ แต่คุณไม่มีสิทธิ์มาว่าให้พ่อฉันแบบนี้ ถอนคำพูดแล้วขอโทษฉันเดี๋ยวนี้” ไม่พูดเปล่าแต่ยังระดมทุบที่อกกว้างหนักๆไม่ยั้ง
หากเขายังคงยืนนิ่งให้เธอระบายความโกรธจนหนำใจ “ไม่ คุณต้องไปเห็นมาร่ากับตาตัวเองแล้วจะรู้ว่าสภาพของมาร่าเมื่อเทียบกับพ่อของคุณแล้ว ใครน่าสงสารกว่ากัน”
อภินราหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน การปะทะกับคนที่ร่างกายใหญ่โตกว่าตนเป็นสองเท่าสูบเรี่ยวแรงของเธอไปจนหมดสิ้น “คุณยังรักยังเป็นห่วงพ่อแม่ตัวเอง ทำไมไม่คิดถึงความรู้สึกของฉันบ้าง ทิ้งท่านให้อยู่คนเดียวแบบนั้นได้ยังไง ไหนจะหน้าที่การงานของฉันอีก ซีโลก็ต้องเรียนหนังสือ คุณรู้ไหมว่ากำลังทำลายทุกคนเพราะความแค้นบ้าๆนั่น”
“หยุดบ้าได้แล้วเอลก้า” ฮาร์คิฟดุเสียงเข้ม เพราะเธอเสียงของเธอดังขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง เขาบีบต้นแขนทั้งสองข้างเอาไว้แน่น เขย่าราวกับจะเรียกสติ “ลองไปดูให้เห็นกับตาว่าภาพน่าเวทนาที่มาร่ากอดรูปของวาเรียมันบีบคั้นหัวใจยังไง ลองไปฟังหน่อยเถอะว่ามาร่ายังเทิดทูนพูดถึงพ่อคุณยังไงทั้งที่พ่อคุณทำร้ายความรู้สึกของมาร่าแบบนั้น”
“แต่ฉันทิ้งท่านไว้คนเดียวไม่ได้ ท่านจะอยู่ยังไง ใครจะดูแล จะร้อนใจแค่ไหนที่ฉันกับซีโลหายมาไม่บอกกล่าวแบบนี้” เมื่อเธอยกเอาเหตุผลของตัวเองขึ้นมาบ้างเขาก็เงียบไปชั่วอึดใจ สุดท้ายก็ตอบแบบกำปั้นทุบดินทั้งประชดและพานพาโลจนน่าโมโห
“ก็... ไอ้ตฤณคนโปรดไง ตอนคุณออกมาผมก็เห็นรถมันจอดอยู่ในบ้านนี่ ก็ให้มันนั่นแหละดูแล”
“พูดอะไรไม่เข้าท่า ตฤณเขาก็มีงานต้องทำมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ พ่อฉันไม่ใช่พ่อเขาสักหน่อย เขาจะมาดูแลแทนได้ยังไง” อภินราพยายามข่มอารมณ์ชี้แจง
“ไม่ดีหรือไง จะได้พิสูจน์ด้วยว่ามันรักคุณจริงแค่ไหน”
“พูดบ้าๆ ฉันไม่อยู่เขาจะไปหาพ่อทำไม”
ไม่รู้ทำไมเมื่อพูดถึงไอ้บ้านี่ทีไรเขาเลือดขึ้นหน้าทุกที “ทำไม มันจะไปหาพ่อคุณเฉพาะตอนที่คุณอยู่เท่านั้นเหรอ ถ้ามันรักคุณจริงมันก็ต้องดูแลพ่อคุณแทนได้ ถ้าไม่หวังเคลมอย่างเดียว”
อภินราผลักเขาออกไปสุดแรง ทั้งโกรธทั้งอายที่เขาพูดในทำนองนั้น “ตฤณเขาไม่ใช่คนร้ายกาจที่จะคิดแต่เรื่องพรรค์นั้นหรอก อย่าเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานเทียบกับคนอื่นหน่อยเลย”
“แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เชียวนะ ถ้ารักมันมากแล้วไอ้ที่เผลอมีใจให้ผมเนี่ย เรียกว่าอะไร” หน็อย! มันชักจะมากไปแล้ว พูดถึงนิดๆหน่อยๆนี่ต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแทนกัน
อภินรากำมือแน่น ความใจง่ายที่เผลอไผลไปกับเขา มันกำลังย้อนกลับมาทำให้เจ็บใจแต่ต้องกลั้นใจตอบออกไปด้วยต้องการเอาชนะ “ก็เผลอให้ทุกคนนั่นแหละ คุณคิดว่าฉันจะหลงเสน่ห์คุณจนโงหัวไม่ขึ้นอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ใช่แค่หลง แต่จูบวันนั้นมันฟ้องว่าคุณหลงรักเลยล่ะ อย่ามาพูดจาเหมือนผู้หญิงกร้านโลกเพราะอยากเอาชนะผมหน่อยเลย” ฮาร์คิฟโต้ มันคือความรู้สึกที่เขารับรู้ได้แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคำพูดของเธอทำให้ความมั่นใจหดหายไปจนสิ้น
อภินรายิ้มเยาะและมองเขาด้วยสายตาเย้ยหยัน “ฉันอายุยี่สิบหกปีแล้ว จะแต่งงานอยู่อีกไม่กี่วัน คุณคิดว่าฉันเป็นสาวน้อยไร้เดียงสา ทำงานเลี้ยงหลานไปวันๆอย่างนั้นเหรอ?”
“อภินรา” ฮาร์คิฟกดเสียงต่ำปรามเธออย่างคนกำลังระงับอารมณ์อย่างหนัก
“คุณมันก็แค่ผู้ชายหลอกลวงคนหนึ่งที่เข้ามาหว่านเสน่ห์ให้ฉันหลงกล แต่แค่รู้ว่าทุกอย่างมันเป็นแค่แผนการเลวร้าย ฉันก็แทบจะลืมจูบไร้รสชาติของคุณไปแล้ว” อภินราโต้กลับด้วยคำพูดที่ตรงกันข้ามกับความรู้สึก โดยหารู้ไม่ว่านั่นเป็นการจุดระเบิดไฟโทสะของเขาให้ลุกไหม้ ดวงตาสีเขียวอมฟ้าที่มองมาอย่างเกรี้ยวกราดทำให้อภินรารู้ตัวว่าต้องพาตัวเองออกไปให้ไกลเขาที่สุด “กรี้ด... ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!”
ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.ค. 2558, 12:25:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ค. 2558, 12:25:48 น.
จำนวนการเข้าชม : 1327
<< ตอนที่ 11 100% | ตอนที่ 12 100% ((แค้นรักแค้นเสน่หาวางแผงแล้วนะคะ)) >> |
konhin 8 ก.ค. 2558, 12:29:52 น.
นางจะเถียงไปทำไม กำลังเป็นรองอยู่เห็นๆ
นางจะเถียงไปทำไม กำลังเป็นรองอยู่เห็นๆ