แค้นรักแค้นเสน่หา
“ผมไม่วิปริตเหมารวมทั้งครอบครัวหรอกจ้ะ เอาแค่คุณคนเดียวแต่ไม่ใช่ครั้งเดียว โอเค้?” พูดหน้าตายแล้วแนบฝ่ามือเข้าหา ในขณะที่เจ้าตัวไม่รู้จะปกปิดส่วนไหนของร่างกายที่ถูกเขาคุกคามอย่างหนัก “อีกอย่าง... คุณต้องทรีตร่างกายผมให้หนักกว่านี้สักหน่อย ไม่ใช่เงอะงะ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ถ้าผมไม่กำไรอย่างน้อยก็เท่าทุนยังดี”

เมื่ออสังหาริมทรัพย์หลายแปลงถูกโกงไปอย่างน่าโมโห มีหรือที่CEO แห่งติโมชุก อินดัสตรี ซึ่งมีผลประกอบการสูงติดอันดับโลกจะยอมถูกลูบคม “ฮาร์คิฟ ติโมชุก” จึงต้องมาทวงคืนจากผู้เป็น “พ่อบุญธรรม” ด้วยตัวเอง

หากรูปร่างน่าปรารถนาและแววตาที่ใช้เชิญชวนเพศตรงข้ามของลูกสาวพ่อบุญธรรม ก็ทำให้เขาอยากสั่งสอนสองพ่อลูกได้ตระหนักว่า... การฉกเอาทรัพย์สินคนอื่นไปเป็นของตนนั้นต้องชดใช้ทั้งต้นและดอกเบี้ยให้ครบถ้วน

“อภินรา” ไม่เคยระแวงใจในดวงตาสีเขียวอมฟ้าแสนเซ็กซี่คู่นั้นเลยสักครั้ง เขามีเสน่ห์ ดึงดูดใจจนทำให้โลกของเธอสั่นสะเทือน เขากำลังใช้เสน่ห์ทางกายล่อลวงให้เธอ “เผลอใจ” และคิดดอกเบี้ยอย่างหฤโหดด้วยการทำให้เธอ “เผลอตัว” แม้จะรู้แก่ใจว่ากำลังใช้หนี้ แต่ดอกเบี้ยแห่งปรารถนาที่เขาทวงจากเธอทุกค่ำคืนก็เริงร้อน วาบหวามน่าหลงใหล

เขากำลังทำสงครามบนเตียงกับลูกหนี้สาว ที่ไม่เคยใจดียอมให้ใครรีเควสได้อย่างเธอ ไม่ว่าจะ... ดับเบิ้ล ทริปเปิ้ลหรือนอนสต็อป เขาก็ไม่เคยเกี่ยงที่จะเก็บหนี้เลยสักวินาทีทั้งยังติดอกติดใจจนคิดแผนการเหนือชั้นเพื่อ “ตลบหลัง” ลูกหนี้สาว ด้วยการ... ทำให้เธออยู่บนเตียงของเขาตลอดไป

“ฉันไม่นิยมความสัมพันธ์แบบ วัน ไนท์ สแตนด์ หรอกค่ะ คุณคงมาหาผิดคนแล้ว”
เขาเงียบและจ้องหน้าเธอชั่วครู่ จากนั้นก็หัวเราะร่วนอย่างชอบใจ “เอลก้าที่รัก... แน่นอนว่าผมคิดกับคุณมากกว่าหนึ่งคืน อันที่จริงผมคิดทุกวินาทีด้วยซ้ำ แต่ถ้าพูดออกไปตรงๆกลัวว่าคุณจะรังเกียจ พานเกลียดขี้หน้าผมน่ะสิ”
อภินราทำตาโต มองค้อนเขาตาเขียวปัด ไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดเปิดเผย ตรงเสียจนกลายเป็นแข็งทื่อเช่นนี้
“คนเหลือทน! คุณพูดมันออกมาแล้วต่างหาก”

Tags: ฮาร์คิฟ - อภินรา

ตอน: ตอนที่ 12 50%

อภินราค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วก็ต้องหลับตาลงอีกครั้ง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นคลึงขมับหนักศีรษะราวกับมีหินก้อนใหญ่วางทับ หากการเคลื่อนไหวร่างการของเธอทำให้คนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ ละสายตาจากเอกสารในมือ

“ตื่นแล้วเหรอ เอลก้า” วางเอกสารอย่างไม่ใส่ใจแล้วขยับตัวชะโงกมองคนที่สะลึมสะลือเหมือนยังตื่นไม่เต็มตาดีนัก

“ปวดหัว ไม่... หนักหัว” บอกความรู้สึกของตัวเองออกมา ยังไม่มีสติสัมปชัญญะพอที่จะนึกถึงเหตุการณ์สุดท้ายที่มีสติครบถ้วน เพียงแค่จบคำพูดก็มีมือคู่หนึ่งเลื่อนเข้ามาคลึงขมับทั้งสองข้าง หว่างคิ้ว เรื่อยไปจนทั่วทั้งศีรษะอย่างรู้จังหวะทั้งน้ำหนักก็ยังพอดีที่สามารถขับไล่อาการหนักอึ้งนั้นให้ทุเลาลงได้

เสียงครางอย่างพึงพอใจที่รอดออกมาจากริมฝีปากอิ่มทำให้ฮาร์คิฟมองอย่างเสน่หา เขาเคยลิ้มลองรสชาติความหอมหวานของริมฝีปากคู่นี้มาแล้ว รู้ดีว่ามันอดเยี่ยมเพียงใด หากตอนนี้ต้องสะกดกลั้นอารมณ์ดิบเถื่อนที่เกิดขึ้นในร่างกายเพราะอยากรู้ว่าเธอรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่ “ค่อยยังชั่วไหมเอลก้า จะเอายาดมรึเปล่า หืม?...”

หากตัดหรือลืมเรื่องบาดหมางที่เกิดขึ้น พูดได้เต็มปากว่าเขาไม่เคยพูดคุย ถามไถ่ผู้หญิงหน้าไหนด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร ห่วงใยเช่นนี้

“ค่ะ...” อภินราตอบรับน้ำเสียงอบอุ่นหัวใจนั้นทันที แม้ว่าอาการเหล่านั้นมันจะไม่ได้หายไปเป็นปลิดทิ้งแต่เธอก็สามารถลืมตาขึ้นมองฝ้าเพดานจากนั้นก็กวาดมองสิ่งแวดล้อมรอบตัว หากห้องที่เห็นช่างดูแปลกตาและไม่ใช่ที่ที่เธอเคยอยู่อาศัยมาก่อน เมื่อกะพริบตาถี่ๆมองใบหน้าคร้ามคมที่ชะโงกเข้ามาใกล้ก็ทำให้อภินราอ้าปากค้าง เหตุการณที่เกิดขึ้นระหว่างกันไหลบ่าเข้ามาจนสามารถลำดับสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี “ถอยไปไกลๆนะ อย่าเข้ามาใกล้ฉัน”

ฮาร์คิฟผงะตามแรงผลักเล็กน้อยแต่ก็ยังขยับเข้าไปไถ่ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าเธอล้มตัวลงบนเตียงอีกครั้ง “พอดีขึ้นหน่อยก็แผลงฤทธิ์เชียวนะ”

“ฉันน่าจะตายๆไปด้วยซ้ำ คุณจะได้ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้” ประชดเขาพลางชันตัวขึ้นพิงกับหัวเตียง กวาดสายตามองผนังด้านข้างที่โค้งไปจนถึงด้านบน หน้าต่างทรงเดียวกันกับเครื่องบิน เพียงเท่านี้ก็ทำให้อภินราจุดประสงค์ที่เขาใช้ยาสลบแล้ว

“ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ผมเลวแค่ไหนผมก็ไม่เคยคิดเอาเปรียบใคร ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน” โต้กลับทันควัน

“ลักพาตัวฉันมาแบบนี้ คุณมันก็อาชญากรดีๆนั่นแหละ”

“อา... ขอบคุณอีกครั้งที่ยังเห็นว่าผมดีอยู่บ้าง” ฮาร์คิฟไม่อยากทำให้บรรยากาศตึงเครียด เพราะรู้ว่าเธอยังมึนหัวอยู่

อภินราร้อนใจเกินกว่าจะมาต่อปากต่อคำเรื่องไร้สาระกับเขานัก “จะพาฉันไปไหน คุณทำอย่างนี้ทำไมฮาร์คิฟ ไหนบอกว่าจะให้เวลาฉันคุยกับคุณพ่อค้นหาความจริง”

“ความจริงก็เห็นๆกันอยู่ พ่อคุณพูดเองว่าไม่มีทางยอมรับ ผมก็ต้องจัดการตามวิธีการของผม”

อภินรายังไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น เธอต้องการคำตอบที่ชัดเจนถึงจุดหมายของเครื่องบินลำนี้เท่านั้น “จะพาฉันไปไหน บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”

“ยูเครน” ฮาร์คิฟตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ไม่ไป ฉันจะกลับบ้าน”

“คุณมาแล้วเอลก้า อีกหกชั่วโมงเราจะถึงยูเครน” เขาย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาสีเขียวอมฟ้าจ้องเธอนิ่งราวกับจะบอกว่าความต้องการของเธอมันช้าไปราวสี่ชั่วโมงที่เครื่องเทกออฟเหนือน่านฟ้าประเทศไทยแล้ว

“ไม่ ฉันจะกลับบ้าน ไปถึงยูเครนเมื่อไหร่ฉันจะแจ้งความ ฉันจะบอกตำรวจว่าคุณลักพาตัวฉันมา คุณพาฉันออกนอกประเทศมาแบบผิดกฎหมาย ฉันจะไม่มีวันให้คุณทำเรื่องบ้าบอแบบนี้แน่ๆ” อภินรารวบแรงเรี่ยวแรงที่มีอยู่ลุกขึ้นจากเตียงควีนไซส์ซึ่งนับว่ากว้างมากถ้าอยู่บนเครื่องบินลำหนึ่ง หากมือยังไม่ได้แตะคันโยกประตู ท่อนแขนแข็งแรงก็รัดเข้าที่เอวคอดยกเธอจนเท้าลอยเหนือพ้นแล้วทิ้งลงบนเตียงเช่นเดิม

“อย่าโวยวายนักได้ไหม ทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามนี้ เราจะอยู่ยูเครนด้วยกันสักระยะหนึ่ง”

“ไม่!” อภินราตวาดกลับอย่างไม่เกรงกลัว “คุณลักพาตัวฉันออกนอกประเทศแบบนี้จะให้อยู่นิ่งๆได้ไง มันผิดกฎหมาย”

“เปล่าเลย ผมพาคุณออกจากประเทศไทยอย่างถูกต้อง หลักฐานทุกอย่างถูกต้อง ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น” คำพูดของเขาหยุดการอาละวาดของเธอได้พักหนึ่ง หากการส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อก็ทำให้ฮาร์คิฟต้องย้ำให้ชัดเจนอีกครั้ง “เงินมันซื้ออะไรๆได้เกือบทั้งโลกนั่นแหละ เอลก้า คุณน่าจะรู้ว่าเงินของผมมันทำให้เรื่องพวกนี้กลายเป็นเรื่องขี้ผง”

“หึ! ทั้งรวยทั้งเห็นแก่ตัวสินะ” พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน หากคนฟังไหวไหล่รับอย่างไม่ยี่หระ

“ก็ธรรมดา... ดูอย่างพ่อคุณสิ ฮุบได้กระทั่งสมบัติหลาน อยากรวยจนเห็นแก่ตัว ไม่สนใจคนอื่นไง”

เพียะ!...

คำพูดที่เขาตอกกลับมาทำให้อภินราโกรธจัดจนใช้ความรุนแรง เธอตบหน้าเขาสุดแรงเกิดและคิดขั้นมาได้ว่าพ่อของเธอยังไม่แข็งแรงดี จิตใจก็ยังไม่เป็นปกติ

“ฮาร์คิฟๆ ฉันขอร้อง พาฉันกลับบ้านเถอะนะ” อภินราเข้าไปเกาะแขนเขา อ้อนวอนอย่างน่าสงสาร “พ่อฉันไม่สบาย ตอนที่ฉันออกมารับซีโลท่านก็ยังหลับไปเพราะฤทธิ์ยา แล้วไหนจะซีโลอีก ป่านนี้แกคงร้องไห้หาฉันแล้ว”

ปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของเธอทำให้คนที่โกรธจัดเพราะถูกผู้หญิงตบหน้าเป็นครั้งแรกต้องหัวใจอ่อนยวบเพราะดวงตาที่มองมาอย่างขอความเห็นใจ เขาจะโกรธก็โกรธไม่ลง “ซีโลหลับอยู่ห้องข้างๆ เสียงเอะอะของคุณอาจจะทำให้แกตื่น”

“อะไรนะ?” อภินราตกใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าหลานชายอยู่ห้องข้างๆ

ฮาร์คิฟถอนหายใจ ไม่ได้พูดย้ำในสิ่งที่รู้ว่าเธอได้ยินอย่างชัดเจน “ส่วนพ่อคุณก็มีหมอคอยดูแลอยู่แล้ว คนเจ้าเล่ห์ ขี้โกงแบบนั้นไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก”

“คนปากพล่อย นั่นพ่อของฉันนะ คุณจะเกลียดจะแค้นเห็นว่าท่านเป็นคนเลวร้ายยังไงมันก็เรื่องของคุณ แต่คุณไม่มีสิทธิ์มาว่าให้พ่อฉันแบบนี้ ถอนคำพูดแล้วขอโทษฉันเดี๋ยวนี้” ไม่พูดเปล่าแต่ยังระดมทุบที่อกกว้างหนักๆไม่ยั้ง

หากเขายังคงยืนนิ่งให้เธอระบายความโกรธจนหนำใจ “ไม่ คุณต้องไปเห็นมาร่ากับตาตัวเองแล้วจะรู้ว่าสภาพของมาร่าเมื่อเทียบกับพ่อของคุณแล้ว ใครน่าสงสารกว่ากัน”

อภินราหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน การปะทะกับคนที่ร่างกายใหญ่โตกว่าตนเป็นสองเท่าสูบเรี่ยวแรงของเธอไปจนหมดสิ้น “คุณยังรักยังเป็นห่วงพ่อแม่ตัวเอง ทำไมไม่คิดถึงความรู้สึกของฉันบ้าง ทิ้งท่านให้อยู่คนเดียวแบบนั้นได้ยังไง ไหนจะหน้าที่การงานของฉันอีก ซีโลก็ต้องเรียนหนังสือ คุณรู้ไหมว่ากำลังทำลายทุกคนเพราะความแค้นบ้าๆนั่น”

“หยุดบ้าได้แล้วเอลก้า” ฮาร์คิฟดุเสียงเข้ม เพราะเธอเสียงของเธอดังขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง เขาบีบต้นแขนทั้งสองข้างเอาไว้แน่น เขย่าราวกับจะเรียกสติ “ลองไปดูให้เห็นกับตาว่าภาพน่าเวทนาที่มาร่ากอดรูปของวาเรียมันบีบคั้นหัวใจยังไง ลองไปฟังหน่อยเถอะว่ามาร่ายังเทิดทูนพูดถึงพ่อคุณยังไงทั้งที่พ่อคุณทำร้ายความรู้สึกของมาร่าแบบนั้น”

“แต่ฉันทิ้งท่านไว้คนเดียวไม่ได้ ท่านจะอยู่ยังไง ใครจะดูแล จะร้อนใจแค่ไหนที่ฉันกับซีโลหายมาไม่บอกกล่าวแบบนี้” เมื่อเธอยกเอาเหตุผลของตัวเองขึ้นมาบ้างเขาก็เงียบไปชั่วอึดใจ สุดท้ายก็ตอบแบบกำปั้นทุบดินทั้งประชดและพานพาโลจนน่าโมโห
“ก็... ไอ้ตฤณคนโปรดไง ตอนคุณออกมาผมก็เห็นรถมันจอดอยู่ในบ้านนี่ ก็ให้มันนั่นแหละดูแล”

“พูดอะไรไม่เข้าท่า ตฤณเขาก็มีงานต้องทำมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ พ่อฉันไม่ใช่พ่อเขาสักหน่อย เขาจะมาดูแลแทนได้ยังไง” อภินราพยายามข่มอารมณ์ชี้แจง

“ไม่ดีหรือไง จะได้พิสูจน์ด้วยว่ามันรักคุณจริงแค่ไหน”

“พูดบ้าๆ ฉันไม่อยู่เขาจะไปหาพ่อทำไม”

ไม่รู้ทำไมเมื่อพูดถึงไอ้บ้านี่ทีไรเขาเลือดขึ้นหน้าทุกที “ทำไม มันจะไปหาพ่อคุณเฉพาะตอนที่คุณอยู่เท่านั้นเหรอ ถ้ามันรักคุณจริงมันก็ต้องดูแลพ่อคุณแทนได้ ถ้าไม่หวังเคลมอย่างเดียว”

อภินราผลักเขาออกไปสุดแรง ทั้งโกรธทั้งอายที่เขาพูดในทำนองนั้น “ตฤณเขาไม่ใช่คนร้ายกาจที่จะคิดแต่เรื่องพรรค์นั้นหรอก อย่าเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานเทียบกับคนอื่นหน่อยเลย”

“แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เชียวนะ ถ้ารักมันมากแล้วไอ้ที่เผลอมีใจให้ผมเนี่ย เรียกว่าอะไร” หน็อย! มันชักจะมากไปแล้ว พูดถึงนิดๆหน่อยๆนี่ต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแทนกัน

อภินรากำมือแน่น ความใจง่ายที่เผลอไผลไปกับเขา มันกำลังย้อนกลับมาทำให้เจ็บใจแต่ต้องกลั้นใจตอบออกไปด้วยต้องการเอาชนะ “ก็เผลอให้ทุกคนนั่นแหละ คุณคิดว่าฉันจะหลงเสน่ห์คุณจนโงหัวไม่ขึ้นอย่างนั้นเหรอ”

“ไม่ใช่แค่หลง แต่จูบวันนั้นมันฟ้องว่าคุณหลงรักเลยล่ะ อย่ามาพูดจาเหมือนผู้หญิงกร้านโลกเพราะอยากเอาชนะผมหน่อยเลย” ฮาร์คิฟโต้ มันคือความรู้สึกที่เขารับรู้ได้แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคำพูดของเธอทำให้ความมั่นใจหดหายไปจนสิ้น

อภินรายิ้มเยาะและมองเขาด้วยสายตาเย้ยหยัน “ฉันอายุยี่สิบหกปีแล้ว จะแต่งงานอยู่อีกไม่กี่วัน คุณคิดว่าฉันเป็นสาวน้อยไร้เดียงสา ทำงานเลี้ยงหลานไปวันๆอย่างนั้นเหรอ?”

“อภินรา” ฮาร์คิฟกดเสียงต่ำปรามเธออย่างคนกำลังระงับอารมณ์อย่างหนัก

“คุณมันก็แค่ผู้ชายหลอกลวงคนหนึ่งที่เข้ามาหว่านเสน่ห์ให้ฉันหลงกล แต่แค่รู้ว่าทุกอย่างมันเป็นแค่แผนการเลวร้าย ฉันก็แทบจะลืมจูบไร้รสชาติของคุณไปแล้ว” อภินราโต้กลับด้วยคำพูดที่ตรงกันข้ามกับความรู้สึก โดยหารู้ไม่ว่านั่นเป็นการจุดระเบิดไฟโทสะของเขาให้ลุกไหม้ ดวงตาสีเขียวอมฟ้าที่มองมาอย่างเกรี้ยวกราดทำให้อภินรารู้ตัวว่าต้องพาตัวเองออกไปให้ไกลเขาที่สุด “กรี้ด... ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!”



ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.ค. 2558, 12:25:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ค. 2558, 12:25:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1327





<< ตอนที่ 11 100%   ตอนที่ 12 100% ((แค้นรักแค้นเสน่หาวางแผงแล้วนะคะ)) >>
konhin 8 ก.ค. 2558, 12:29:52 น.
นางจะเถียงไปทำไม กำลังเป็นรองอยู่เห็นๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account