โซ่พิสุทธิ์
มรสุมข่าวฉาวว่าซุกลูกเมียทำให้พระเอกหนุ่มอย่าง 'ธีธัช' ต้องหวนกลับไปหาอดีตคนรักอีกครั้งเพื่อขอความร่วมมือจากเธอกอบกู้ภาพลักษณ์คืนมา เขาหวังใช้ความน่ารักของลูกสาวเรียกคะแนนนิยมจากประชาชน

แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นดังคิด ยิ่งรับรู้ความจริง ธีธัชกลับไม่ต้องการแค่ภาพครอบครัวจอมปลอม แต่ต้องการมัทรีและลูกในชีวิตนับแต่นี้ไป

เธอบอกว่าความรักเหมือนดอกไม้ที่โรยรา แต่เขาคิดว่าความรักไม่ต่างจากดอกไม้ที่จะผลิบานได้ด้วยการรดน้ำใส่ปุ๋ยที่ชื่อความจริงใจอีกครั้งหนึ่ง

fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๙



อัมพรย่องกลับขึ้นข้างบนให้เงียบเสียงที่สุด หลังจากลงมาเห็นบุตรสาวของตนและชายหนุ่มต่างก็นั่งก้มหน้า เสียงลมหายใจของพวกเขาบอกว่าทั้งสองกำลังแบ่งปันความทุกข์ในฐานะพ่อและแม่ด้วยกัน

"ยัยปลายเอ๊ย มีแต่คนรักหนูนะลูก" แกเอ่ยกับเด็กน้อยที่ลืมตามองคว้างมาจากบนเตียง

น้ำตาซึมหัวตาของผู้สูงวัย กระนั้นก็มีรอยยิ้มบนใบหน้าให้หลาน ก่อนจะแว่วเสียงเปิดประตูเข้ามา

"อ้าวแม่ ตื่นแล้วหรือจ๊ะ" มัทรีแสร้งถามเสียงใส

เธอเก้อไปเหมือนกันเมื่อมารดาหันมองพร้อมพรายยิ้มบาง รู้สึกเหมือนเด็กทำผิดแล้วถูกจับได้อย่างไรอย่างนั้น

หญิงสาวเสไปกดรีโมตปิดเครื่องปรับอากาศ ขณะเอ่ยปรึกษาท่านต่อไป

"มัทคิดว่าจะให้เขาเข้ามานอนที่โซฟาข้างล่าง แม่โอเคไหมอ่ะ"

"โอเคสิ" อัมพรรีบตอบรับก่อนที่ลูกจะเปลี่ยนใจ "แม่ดีใจนะที่มัทคุยกับพี่เขาดีๆ ถึงยังไง..."

"ถึงยังไงเขาก็เป็นพ่อยัยปลาย" มัทรีรีบต่อประโยคนั้นราวย้ำกับตนเอง "มัทก็คิดอย่างนั้นแหละแม่ มัทไม่อยากเหนื่อย ปวดหัวเพราะตั้งแง่อีกแล้วล่ะ ถ้าเขารักลูกตอนนี้จริงๆ ก็เป็นโชคดีของน้องปลาย"

อัมพรขยับปากจะเอ่ยบางสิ่ง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจกลืนเก็บถ้อยคำเหล่านั้นลงไป เธอเพียงพยักหน้าพลางยิ้มให้ลูก

"แม่ลงไปดูต้นไม้ก่อนนะ"

"จ้ะ เดี๋ยวมัทตามไป"

มัทรีมองตามแผ่นหลังของมารดาที่เดินสวนออกไป ก่อนตนจะก้าวไปใกล้เตียงมากขึ้น เพียงผู้เป็นแม่ยื่นมือไปสัมผัสเนื้อตัวลูก ใบหน้ากลมของหนูน้อยก็คล้ายจะเปื้อนยิ้มขึ้นมา

น้องปลาย ปลายฟ้า แม่รักหนูเท่าแผ่นฟ้านะลูก ไม่อย่างนั้นชีวิตนี้แม่คงไม่มีวันเปิดประตูให้เขากลับเข้ามา

.....................

ชุดเครื่องนอนเท่าที่จำเป็นถูกหอบหิ้วลงมาจากชั้นบน ก่อนธีธัชจะรีบถลาไปรับต่อจากหญิงสาวเมื่อในอ้อมแขนเธอมีทั้งหมอน ผ้าห่ม และหมอนข้างอันยาว

เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ เป็นรอยยิ้มแรกที่ไม่ต้องฝืนปั้นแต่งในรอบหลายวันมานี้ มันเกิดขึ้นพร้อมกับหัวใจซึ่งพองโต

"มัทยังจำได้ว่าพี่ติดหมอนข้าง"

มัทรีชะงักฝีเท้า เธอไม่ได้ต้องการให้เขาคิดเข้าข้างตัวเองไปเช่นนั้น แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าเธอจำได้...จึงเผลอหยิบติดมือมา

"ค่ะ"

หญิงสาวไม่อยากโกหกให้ตนดูสิ้นท่าไปกว่านี้อีก ก่อนธีธัชจะหันมายิ้มใส่ตาอย่างที่เขาชอบทำ

หากเป็นคนอื่นคงหลงใหลไปกับเสน่ห์ของเขา หรือถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงใจอ่อนเช่นที่เคยเปิดใจให้เขาเข้ามาโดยง่าย แต่ตอนนี้มัทรีคิดว่าตนมีภูมิคุ้มกันอย่างดีเชียวล่ะ

"ฉันเอาแปรงสีฟันใหม่ไว้ในห้องน้ำนะ"

ชายหนุ่มละมือจากการจัดข้าวของไว้ข้างเก้าอี้ยาวให้เรียบร้อย เขาเงยขึ้นยืนตรง จ้องมองผู้ที่ก้าวออกมาจากห้องน้ำด้วยแววตาซาบซึ้ง

"ขอบคุณนะมัท ขอบคุณจริงๆ"

มัทรียิ้มบางยังมุมปาก เธอพยักหน้ารับคำขอบคุณนั้นก่อนจะเดินออกนอกบ้านไป หากไม่มีเสียงเรียกรั้งไว้เสียก่อน

"เดี๋ยวมัท"

ร่างระหงหันกลับมาจากกรอบประตู เธอเลิกคิ้วมองเขา ดวงตาฉายแววอ่อนอกอ่อนใจ

"ต่อไปมัทก็ทำงานอย่างสบายใจได้เลยนะ พี่จะดูลูกให้เอง"

"ค่ะ" หญิงสาวตอบสั้นอย่างไม่รู้จะเอ่ยคำใด

เขาพูดเหมือนจะทำเช่นนี้ไปทุกวัน เธอเองก็อยากจะรู้ว่าเขาจะอยู่ที่นี่ไปได้นานเท่าไร เขาคงมีเวลาพักมาตอแยพวกตนเมื่อเธออ่านเจอจากหนังสือพิมพ์ว่าละครเรื่องล่าสุดเพิ่งถ่ายทำเสร็จสิ้น แต่ต่อไปล่ะ ธีธัชยังมีมูลค่า ผลประโยชน์ให้ใครต่างวิ่งเข้าหา และเธอก็ไม่เคยต้องการเก็บดาวบนฟ้ามาเป็นของตน

มัทรียิ้มเยาะตนเองเมื่อแว่วเสียงโทรศัพท์มือถือของคนในบ้านดังขึ้น เธอแสร้งไม่รู้ไม่เห็นพร้อมกับรีบสวมรองเท้าออกไปช่วยแม่ทำงาน หารู้ไม่ว่าชายหนุ่มคอยมองตามและกรอกเสียงลงไปก็ต่อเมื่อร่างบางเดินห่างออกไป

"ผมบอกพี่แล้วไงว่าขอเวลาส่วนตัว" ธีธัชบ่นว่าแทนคำทักทาย

"มีคนบอกว่าเห็นนายที่คอนโดฯ ในเมือง ฉันก็เลยลองโทร. มานี่ล่ะ ไหนบอกว่าไปญี่ปุ่นไงธีร์"

คนโกหกเพิ่งนึกได้ว่าเขาเคยบอกปุ้มปุ้ยไปอย่างนั้นเพื่อตัดรำคาญ

"นี่นายโกหกใช่ไหม แล้วนั่นคอนโดฯ ใคร ดีนะที่เป็นข่าวจากนักข่าวที่รู้จักกันเขาถึงมาเช็คกับพี่ก่อน"

"ใช่ ผมโกหก"

นับวันเขาชักจะเหลือทนกับความจู้จี้ของผู้จัดการของตนแล้ว บางทีเขาอาจคิดทบทวนเรื่องสัญญาฉบับใหม่หลังสัญญาเดิมกับผู้จัดการจะสิ้นสุดลงกลางปี

ปลายสายเงียบไปอึดใจราวข่มอารมณ์ ก่อนปุ้มปุ้ยจะสงบใจถามมาตามสายอีกครั้ง

"ตกลงคอนโดฯ ใคร"

"เพื่อน" เขาตอบห้วนสั้น

"สั้นๆ ง่ายๆ แค่นี้น่ะหรือธีร์"

"ผมโตแล้วนะพี่ ป๊ากับแม่ยังไม่จู้จี้ผมขนาดนี้เลย เราเป็นคนเท่ากันนะฮะ อย่าลืม ไม่ใช่ตัวเงินตัวทอง ผมมีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้เท่าที่ไม่เดือดร้อนใคร"

"นายเปลี่ยนไปมากนะ นี่ฉันดันคนผิดใช่ไหม" ผู้จัดการย้อนกลับอย่างผิดหวัง

ธีธัชยกมือกดขมับอย่างสับสนเต็มกำลัง เขาลอบถอนใจพร้อมกับเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

"เอาเป็นว่าเจอกันวันแถลงข่าวแล้วกันฮะ ตอนนี้ผมอยากมีเวลาส่วนตัว...หมายถึงส่วนตัวจริงๆ"

ชายหนุ่มเป็นฝ่ายกดตัดสายก่อน เขาแลเลยออกไปข้างนอก ได้เห็นสองแม่ลูกซึ่งทำงานกลางแดด และยังมีเด็กตัวเล็กๆ อีกหนึ่งคนข้างบน แกต้องใช้เวลาทั้งหมดของชีวิตอยู่บนเตียง แล้วเขาซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวเล่า เขาได้ทำสิ่งใดบ้างเพื่อให้ทุกคนสุขสบาย

ความละอาย รู้สึกผิด และความโกรธที่มีต่อตนเองจึงถูกแบ่งไปยังปุ้มปุ้ยเสียครึ่งหนึ่ง เขาผิด แต่ก็อดกล่าวโทษว่าผู้จัดการก็มีส่วนสำคัญที่เปลี่ยนตัวตนของเขาให้กลายเป็นเครื่องจักรทำเงิน

ธีธัชบอกตัวเองว่าเขาไม่ได้เปลี่ยนไปดังคำบอกของผู้จัดการสาวหล่อ แต่เขากำลังเปลี่ยนกลับมาเป็นตัวเขาคนเดิมต่างหากล่ะ

.............................

มัทรีซ่อนยิ้มในหน้าภายหลังมอบหมายภารกิจแรกให้พระเอกหนุ่มที่กระตือรือร้นอยากทำหน้าที่พ่อเสียเหลือเกิน แต่ครั้นเธอบอกให้เขาเปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จให้ลูก ใบหน้าหล่อเหลาก็พลอยเจื่อนลง

"ของลูกยังรังเกียจ" หญิงสาวเปรยลอยๆ

ได้ยินคำสบประมาทดังนั้น คนเป็นพ่อจึงก้าวไปประชิดเตียง เขาปลดราวกั้นลงข้างหนึ่ง ก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วกลั้นหายใจ รีบลงมือถอดผ้าอ้อมสำเร็จออกให้แกในอึดใจ

"ม้วนดีๆ ด้วยค่ะ แล้วค่อยทิ้งใส่ถุง"

"ฮะ!" ธีธัชเผลออุทาน อารามลืมตัวทำให้สูดหายใจเอากลิ่นเข้าไปเต็มๆ

แม้ไม่เหม็นอย่างที่คิดแต่ก็ไม่หอมล่ะนะ เขารู้ตัวว่าถูกแกล้งเข้าให้ก็เมื่อแว่วเสียงพ่นลมผ่านจมูกจากคนใกล้ตัว

"เอาไปเลย แกล้งพี่เหรอ เอาไปๆ"

ชายหนุ่มยื่นผ้าอ้อมสำเร็จที่ม้วนดีแล้วไปใกล้อดีตคนรัก หญิงสาวปัดป้องพัลวัน พร้อมกับหลุดเสียงหัวเราะออกมาจริงๆ

"โอ๊ย ทิ้งดีๆ มัทไม่เล่นนะ"

มัทรียื่นถุงไปใกล้เขา คราวนี้ธีธัชยอมทิ้งมันลงไปพลางรับถุงมาผูกอีกชั้น เขาพอใจแล้วแค่ได้ยินเธอกลับมาใช้สรรพนามแทนตัวเองอย่างเคย แม้จะเป็นเพราะลืมตัวก็เถอะ

"ต่อไปถ้ามัทเรียกแทนตัวว่าฉันอีกล่ะก็ พี่จะบอกให้ลูกผลิตระเบิดมาแกล้งมัท เนอะลูกเนอะ" เขาหันไปพยักพเยิดกับลูกน้อยในประโยคหลัง

"ประสาท" หญิงสาวอุบอิบก่อนขยับไปหยิบผ้าอ้อมผืนใหม่มาสวมให้แก

เธอมองค้อนใส่แผ่นหลังของคนที่นำขยะไปทิ้ง เสียงเตือนร้องดังในใจว่าอย่าหวั่นไหวไปกับความเป็นกันเองที่เขาหยิบยื่นให้ เพราะเขาเคยพรากความสุขของเธอไปแล้วครั้งหนึ่ง

............................

ธีธัชกลับขึ้นมาอีกครั้งขณะมัทรีกำลังเช็ดตัวให้ลูก แทนที่จะเป็นมารดาของเธอซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยในทุกวันตั้งแต่เด็กหญิงปลายฟ้าลืมตาดูโลกมา ทว่าเย็นวันนี้ดูเหมือนท่านจะลืมหน้าที่นั้นเพื่อเปิดโอกาสให้ใครบางคนเสียเหลือเกิน

เขาสอดเสื้อไว้ใต้หลังลูกอย่างรู้งานเมื่อหญิงสาวจับแกตะแคง ไวกว่าที่เธอจะทำได้คนเดียว และเมื่อตวัดมองร่างที่ก้าวมายืนข้างๆ หญิงสาวจึงได้รู้ว่าเขามายืนใกล้ชิดจนไหล่แทบจะชนกัน ดวงตาคู่คมเข้มจ้องลึกเข้ามาในดวงตาเธอเช่นกัน

มัทรีดึงสติกลับมาพลางพลิกตัวลูกนอนหงาย เห็นจากหางตาว่าคนข้างๆ ถอยห่างไปก้าวหนึ่ง

เสียงโทรศัพท์มือถือของมัทรีดังขึ้น ทำลายบรรยากาศอึดอัด กระอักกระอ่วนใจระหว่างหนุ่มสาวลงได้ชั่วขณะ

"สวัสดีค่ะคุณหมอ" เธอรับสายภายหลังออกมาจากห้อง

"แม่น้องปลายนะครับ พอดีหมอก็ลืมคุยกับคุณแม่เรื่องงานวันโรคหายากที่จะมีขึ้นวันเสาร์นี้ อยากให้คุณแม่มาร่วมงาน เพราะปีนี้ก็เป็นปีแรก..."

เกื้อคุณไม่ได้เอ่ยต่อไปว่านี่เป็นปีแรกที่หญิงสาวได้เข้ามาสู่กลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้ ในฐานะแม่ของเด็กที่ป่วยนั่นเอง

"เสาร์นี้หรือคะ ค่ะ มัทอยากไป"

"หมอก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ ถ้าอย่างนั้นไว้พบกัน"

มัทรีเผลอพยักหน้าทั้งที่อีกฝ่ายไม่มีทางมองเห็น เธอนึกบางสิ่งขึ้นมาได้และรีบเรียกเขาไว้ก่อนสายจะถูกตัดไป

"คุณหมอคะ"

"ครับ"

"มัทขอโทษนะคะที่เคยพูดจาไม่ดีกับคุณหมอ ตั้งแต่ตอนที่น้องปลายเข้าไอซียู คุณหมออาจลืมไปแล้ว แต่ว่ามัทอยากขอโทษจริงๆ ค่ะ" เธอเอ่ยกลั้วหัวเราะเก้อๆ ท้ายประโยค

ปลายสายเงียบไปอึดใจ เพราะแท้จริงแล้วเขายังจำคำพูดของเธอวันนั้นได้ดี มันกระตุ้นเตือนเสมอทุกครั้งที่เขาต้องบอกข่าวร้ายกับครอบครัวใด หรือเสนอทางเลือกสุดท้ายให้พวกเขาเหล่านั้น คำพูดอันบอกความเจ็บปวดของผู้หญิงที่เป็นแม่คนนี้ก็มักหวนกลับมาในความทรงจำ

เขาระลึกทุกครั้งว่าประโยคซ้ำๆ ที่ตนเคยพูดกับหลายครอบครัวที่ผ่านมา แต่นั่นคือการรับฟัง รับรู้เป็นครั้งแรกของอีกครอบครัวหนึ่ง นั่นทำให้นายแพทย์เกื้อคุณเปลี่ยนมาคิดเสมือนว่าตนเป็นสมาชิกครอบครัวคนหนึ่งของผู้ป่วยเอง

"หมอจำได้ครับ คุณแม่ไม่จำเป็นต้องขอโทษ มันทำให้หมอได้คิดเสียด้วยซ้ำ หมอควรจะขอบคุณมากกว่า"

"อุ้ย งั้นเราหยวนๆ กันดีกว่านะคะ"

มัทรีหัวเราะแหะไปตามสาย โดยมีเสียงทุ้มกังวานหัวเราะกลับมา

"งั้นมัทไม่รบกวนแล้วค่ะ ขอบคุณที่กรุณาโทร. มาบอกข่าวนะคะ"

"อันที่จริงผมส่งอีเมลไปแต่ไม่เห็นแม่น้องปลายตอบมาน่ะครับ"

"โอ้ ขอโทษค่ะ มัทยุ่งๆ นิดหน่อย" เธอเอ่ยพร้อมกับปรายตามองประตูห้องนอนซึ่งเปิดแง้มไว้ "แต่เสาร์นี้ไปแน่ๆ ขอบคุณนะคะ"

หญิงสาววางสายหลังจากนั้น หากพรายยิ้มยังไม่จางไปจากใบหน้า กระทั่งเข้ามาพบธีธัชเปิดการ์ตูนบนแท็บเล็ตให้ลูกดู แต่สายตาของเขากลับมองมาที่เธอ

"หยกโทร. มาเหรอ" ชายหนุ่มคาดเดาเสียงอ่อน ทั้งอยากรู้แต่ก็เกรงเธออยู่ในที

ว่าไปเขาก็ไม่เคยใส่ใจมาก่อนเลยว่ามัทรีจะมีคนรักใหม่หรือไม่ มาฉุกคิดได้เอาตอนนี้เอง

"เปล่าค่ะ"

"โบ้หรือเปล่า" เขาทายต่อ

"ไม่ใช่" หญิงสาวตอบแกนๆ ก่อนเอ่ยไล่ทางอ้อม "คุณยังไม่ลงไปอีกเหรอ แม่จะได้ขึ้นมานอน"

แม่นะแม่ แทนที่จะขึ้นมาพักผ่อนก็กลับโอ้เอ้ทำงานอยู่ข้างล่าง คนที่ไม่ไล่ไม่ไปจึงไม่ยอมไปไหนเสียที

ธีธัชขยับตัวอย่างอ้อยอิ่ง เขาหันมองลูกที่ยังลืมตาแป๋วดูการ์ตูน หากยังไม่ทันฉวยโอกาสนำมาเป็นข้ออ้าง แม่ของแกก็ดักคออย่างรู้เท่าทัน

"แล้วก็อย่าเปิดการ์ตูนให้แกดูบ่อยนักเลยค่ะ เด็กอายุเท่านี้ไม่ควรใช้สายตามาก"

"พี่ทำอะไรก็ผิดหมดเลยสินะ"

ชายหนุ่มก้มหน้าถอนใจ เขาปรายตามองเธออย่างตัดพ้อ แต่ก็ยอมกดปิดหน้าจอโดยดี

"ทีนี้พี่อยู่ต่อได้หรือยัง ขอแค่รอลูกหลับ"

มัทรีไม่ตอบ เลี่ยงที่จะสบดวงตาคู่คมซึ่งสะท้อนอารมณ์ออกมา เธอนั่งลงบนขอบเตียงข้างเขาทว่าเว้นระยะห่างพอสมควร มือบางลูกบนอกและหน้าท้องของลูกน้อยเพื่อกล่อมนอน

คืนนี้แม่ไม่ได้พูดคุยหยอกล้อกับลูกเหมือนวันวาน ช่วงเวลาที่เคยมีแค่เราสองคน มาบัดนี้มีพ่อของแกมาร่วมแบ่งปัน และเธอยังทำตัวทำใจเหมือนตอนไม่มีเขาไม่ได้เสียที

.......................

มัทรีเล่าเรื่องที่นายแพทย์เกื้อคุณโทร. มาชวนไปร่วมงานวันโรคหายากให้มารดาฟังด้วยความตื่นเต้น ขณะที่ทั้งสองแม่ลูกกำลังช่วยกันย้ายกระถางต้นกระบองเพชรซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของตลาดเวลานี้

"โชคดีของยัยปลายแล้วล่ะที่เจอหมอดีๆ แม่เห็นตาเอก พ่อค้าแผงหมูแกบ่นว่าหมอคนอื่นของแกจนพานไม่ไปโรงพยาบาลอีกแล้ว เมื่อก่อนแม่ก็เคยผสมโรงด่าตามแก มาคิดๆ ดูก็ไม่รู้ตานั่นจะพูดจริงแค่ไหน"

"คงเพราะมองต่างมุมแบบสุดขั้วมั้งแม่ นี่ถ้าหมอของน้องปลายเขาขยาดที่มัทว่าจนพลอยเหม็นขี้หน้ามัท เราก็คงไม่รู้ว่าเขาดีเนอะ"

อัมพรพยักหน้าเห็นด้วยกับลูก แต่เมื่อแลเลยไปจึงได้เห็นว่าพวกตนไม่ได้อยู่ลำพัง ร่างสูงของพระเอกหนุ่มก้าวมาเมื่อรู้ว่าเธอเห็นเขาแล้วเช่นกัน

"มีอะไรเปล่าจ๊ะธีร์"

มัทรีหันมองตามเสียงถามของแม่ แล้วก็รีบหันขวับมองรอบตัวอย่างหวาดระแวงว่าจะมีใครเห็นเขาออกมา โชคดีที่ไม่มีลูกค้าหรือคนรู้จักผ่านไปมา

"โทรศัพท์มัทดังน่ะ"

หญิงสาวลืมคำต่อว่าก่อนจะลุกไปล้างมือ ทว่าแทนที่เขาจะตามเธอกลับเข้าไปในบ้าน ธีธัชกลับนั่งลงบนตั่งที่มัทรีเพิ่งลุกไปแทน เขาเห็นเป็นโอกาสที่จะถามเรื่องติดค้างในใจตนกับมารดาเจ้าหล่อนนั่นเอง

"วันเสาร์มัทจะไปไหนหรือฮะ ผมว่าจะชวนโบ้กับหยกมาพอดี" เขาเสริมต่อท้ายเพื่อเป็นข้ออ้าง

ได้ผล... หญิงชราให้คำตอบที่ไขข้อข้องใจให้เขา คงเพราะเกรงว่าเขาจะชวนเพื่อนทั้งสองมาเสียเที่ยว

"อุ๊ย มัทจะไปงานที่โรงพยาบาลน่ะจ้ะ มีกิจกรรมของผู้ป่วยและครอบครัว คุณหมอเขาโทร. มาชวน"

"เหรอครับ"

มัทรีคงปักใจว่าหมอคนนี้ดีมากเพราะเหตุผลนี้กระมัง เธอจึงไม่เคยสนใจแม้เมื่อเขาจะยืนยันว่าตนสามารถพาลูกไปพบหมอชื่อดังคนไหนก็ได้ทุกเมื่อ

"ธีร์น่าจะไปด้วยนะ คุณหมอคนนี้แกดีมาก แม่ต้องบอกว่าแม่เป็นหนี้แก ที่มัทตั้งสติกลับมาดูแลลูกได้ส่วนหนึ่งก็เพราะหมอเกื้อคุณนี่ล่ะจ้ะ แกพูดจาให้แม่กับมัทเข้าใจโรคของน้องปลาย แล้วยังแนะนำให้รู้จักกับพ่อแม่ของเด็กคนอื่นที่ลูกเขาเป็นโรคเดียวกัน"

"แต่มัทไม่ให้ไป" มัทรีขัดขึ้นพร้อมกับก้าวมายืนจังก้า

ธีธัชลอบกลืนน้ำลายเมื่อถูกเธอจับได้ว่าตนแอบมาถามความเอากับผู้เป็นแม่ ไหนจะดวงตาขุ่นเขียวที่เจ้าหล่อนใช้มองเขาอีกเล่า เขาแทบไม่เชื่อว่าตนจะเกรงใครได้อีกตั้งแต่พ้นวัยเด็กมา

"มัทคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วเหรอ" ชายหนุ่มถามแก้เก้อ

"ผู้จัดการรีสอร์ตที่มัทไปจัดสวนให้น่ะจ้ะแม่ เขาโทร. มาให้มัทไปดูส่วนขยายรีสอร์ตแล้วทำแบบสวนให้เขาอีก" เธอเลือกบอกข่าวดีกับมารดาแทน

"ก็ดีสิ" อัมพรยิ้มกว้างตามลูก "มัทจะไปเมื่อไรล่ะ"

"ว่าจะไปเดี๋ยวนี้เลย มัทเลยมาบอกแม่ก่อน"

"อ๋อ ไปสิลูก ไปเถอะ"

ธีธัชนั่งฟังบทสนทนาของสองแม่ลูกอยู่เงียบๆ เขาอยากไปกับเธอ อยากเห็นมัทรีคนเก่งของเขาเวลาทำงาน แต่ก็รู้ว่าถึงตนขันอาสาก็ไม่วายถูกเธอปฏิเสธดังเดิม

เขามองตามร่างระหงก้าวทะมัดทะแมงไปที่รถ ทว่าดูจะเกิดปัญหาบางอย่างจึงมีเพียงเสียงแชะขณะคนบนรถพยายามติดเครื่องยนต์ ชายหนุ่มลุกเดินไปหยุดยืนข้างฝั่งคนขับ เขาเท้ามือกับกรอบประตูและเธอก็ลดกระจกลง

"ให้พี่ไปต้องส่งเถอะมัท สัญญาว่าจะไม่สร้างเรื่อง"

มัทรีก้มมองนาฬิกาข้อมือ เธอไม่อยากผิดนัดหลังจากเพิ่งสร้างความพึงพอใจให้นายจ้าง ในที่สุดจึงยอมปลดกุญแจพลางก้าวลงมา

"แม่จ๊ะ..."

"รู้แล้วน่า เดี๋ยวแม่ขึ้นไปอยู่กับหลานเอง มัทไปกับธีร์เถอะลูก"

หญิงสาวยิ้มรับ หากสีหน้าไม่สบายใจนัก เธอมัวแต่ห่วงงานและคิดว่าการที่เขาแค่ขับรถไปส่งที่รีสอร์ตเงียบสงบแห่งนั้นคงไม่เป็นที่สะดุดตาใคร

..........................

ขออนุญาตฝากผลงานอีกครั้งนะคะ
ตอนนี้จรดรักเคียงใจก็มีวางจำหน่ายในร้านหนังสือและเว็บไซต์แล้วค่ะ



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.ค. 2558, 15:43:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.ค. 2558, 15:43:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 1449





<< บทที่ ๘ + ตัวอย่างนิยายเล่มใหม่ค่า   
กาซะลองพลัดถิ่น 9 ก.ค. 2558, 18:16:58 น.
เข้าใจว่าธีร์อยากจะช่วยมัทบ้าง ....แต่ดู ๆ ไปแล้วเหมือนจะกลายเป็นนำปัญหามาให้มัทซะมากกว่า
เพราะตัวเองคือดารา ถ้ายังไม่เคลียร์และพร้อมที่จะเผชิญความจริง ก็อย่าออกนอกหน้ามากนักเลยนายธีร์


konhin 9 ก.ค. 2558, 19:00:28 น.
ธีร์ช้าไปไหมที่จะหึง ทิ้งกันไปนานมากกกแล้วพึ่งได้กลับมาเจอ(เพราะผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้)
มัทจะใจอ่อนง่ายๆได้จริงหรือ


ปิ่นนลิน 9 ก.ค. 2558, 20:19:42 น.
จะมีปัญหาไหมนะ พ่อธีร์ดาราดังนี่นา
แล้วยังจะเคืองหู สงสัยเขาอีกแหนะ หายไปเองตั้งนานนะ


ภาพิมล_พิมลภา 10 ก.ค. 2558, 16:29:25 น.
คุณกาซะลองพลัดถิ่น - ใจเขาอยากเปิดเผยมากค่ะ แต่จริงที่ว่ายังมีหลายคนมีผลปย.ให้ธีร์ต้องคิดมากกว่านี้

คุณkonhin - คุณหมอดีขนาดนี้ ถ้าธีร์งี่เง่าใส่ คนเขียนกับมัทยำเละแน่ค่ะ 55

คุณปิ่นนลิน - ดารามักมาคู่กับปาปารัซซ๊๋ด้วยจิคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account