โซ่พิสุทธิ์
มรสุมข่าวฉาวว่าซุกลูกเมียทำให้พระเอกหนุ่มอย่าง 'ธีธัช' ต้องหวนกลับไปหาอดีตคนรักอีกครั้งเพื่อขอความร่วมมือจากเธอกอบกู้ภาพลักษณ์คืนมา เขาหวังใช้ความน่ารักของลูกสาวเรียกคะแนนนิยมจากประชาชน

แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นดังคิด ยิ่งรับรู้ความจริง ธีธัชกลับไม่ต้องการแค่ภาพครอบครัวจอมปลอม แต่ต้องการมัทรีและลูกในชีวิตนับแต่นี้ไป

เธอบอกว่าความรักเหมือนดอกไม้ที่โรยรา แต่เขาคิดว่าความรักไม่ต่างจากดอกไม้ที่จะผลิบานได้ด้วยการรดน้ำใส่ปุ๋ยที่ชื่อความจริงใจอีกครั้งหนึ่ง

fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๘ + ตัวอย่างนิยายเล่มใหม่ค่า



ติ๊งหน่อง... ติ๊งหน่อง ติ๊งหน่องๆๆ

ชายหนุ่มกดออดระรัวโดยไม่เกรงใจเจ้าของห้องพักในคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง เขาอาจบ้าได้กว่านี้อีกหากบานประตูไม่เปิดออกเสียก่อน พร้อมด้วยร่างสันทัดของชายผิวขาวเชื้อสายจีนเลิกคิ้วแปลกใจ

"เฮ้ย ไอ้ธีร์"

ไม่ต้องรอให้เชื้อเชิญ ธีธัชรีบแทรกตัวเข้าไปโดยที่อนุวัฒน์ได้แต่ปิดประตูตามหลังอย่างงุนงง

"มีอะไรหรือเปล่าวะ ดาราดังอย่างแกถึงมาหาฉันได้ นี่ไม่เจอกันมากี่เดือนแล้ว เกือบปีล่ะมั้ง"

นายแพทย์หนุ่มขยับแว่นอย่างติดเป็นนิสัย เขาเพิ่งได้สังเกตสีหน้าเครียดขึ้งของเพื่อนที่เรียนด้วยกันสมัยมัธยม ซ้ำธีธัชยังเดินไปมาอยู่กลางห้อง แล้วรอยยิ้มก่อนหน้านี้จึงค่อยเลือนหายไป

"เฮ้ย นั่งก่อนไอ้ธีร์"

เจ้าของห้องตบลงบนโซฟาผ้าสีน้ำเงิน เมื่อเขานั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวหนึ่ง เพื่อนของตนจึงนั่งลงตาม

"เอาน้ำอะไรดี แต่ไม่มีเหล้านะ อันนั้นต้องเรียกไอ้โบ้มาแล้วล่ะ"

เขาหมายถึงบุรินทร์ เพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกันอีกคน แม้ภายหลังพวกตนจะแยกย้ายไปศึกษาต่อกันคนละทาง แต่ก็ยังกลมเกลียวและติดต่อกันเสมอ คงเว้นแต่ธีธัชที่เขาพบเจอน้อยครั้งกว่าเพื่อน เพราะหน้าที่รับผิดชอบของตนที่หนักหนาจนแทบไม่มีเวลาส่วนตัวเช่นกัน

เมื่อเพื่อนสั่นศีรษะปฏิเสธ ทั้งยังไม่คลายท่าทางคิดหนัก อนุวัฒน์จึงเสถามเรื่องอื่นแทน

"นั่นอะไรน่ะ"

นายแพทย์หนุ่มนิ่วหน้ามองม้วนกระดาษที่อีกฝ่ายกำไว้ในมือแน่น ราวกับคำถามนั้นปลดเปลื้องความอัดอั้นตันใจ ธีธัชส่งมันให้เพื่อนดู

"หน้าสิบสอง ลูกฉันเป็นโรคในหน้าสิบสอง"

"เฮ้ย! นี่แก..."

อนุวัฒน์ยั้งคำพูดว่าอีกฝ่ายไปมีลูกตั้งแต่เมื่อไรไว้ได้ทัน คำว่า 'โรค' น่าจะเป็นสิ่งที่เพื่อนอยากพูดคุยกับเขามากกว่า คิดได้ดังนั้นตนจึงหลุบตามองหน้าปกสมุดบางเหมือนคู่มืออะไรสักอย่าง

"โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดต่างๆ" เขาอ่านชื่อบนหน้าปก

นายแพทย์หนุ่มรีบพลิกเปิดไปที่หน้าสิบสอง ชื่อโรคซึ่งเป็นภาษาทางการแพทย์พิมพ์ด้วยตัวหนาเด่นหราอยู่กึ่งกลาง พร้อมภาพประกอบของผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคนี้

ข้างใต้และในหน้าถัดไปอีกสามหน้าคือคำอธิบายถึงสาเหตุ อาการ ตลอดจนวิธีการดูแลผู้ป่วย ทั้งหมดถูกพิมพ์มาเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจแก่คนอ่าน

"แว่น นายรักษาได้ใช่ไหม หรือไม่ก็อาจารย์ของนาย หรือที่เมืองนอกมีวิจัยว่ารักษาได้แล้ว ใช่ไหมวะ" ธีธัชเพิ่งเอ่ยยาวเป็นครั้งแรก

อนุวัฒน์มองสีหน้าสีตาคาดหวังของเพื่อนแล้วก็ให้ปฏิเสธไม่ลง

"คือฉันเป็นหมอสูติฯ นะเว่ย ฉันก็ไม่ได้เรียนมาทางโรคหายาก*** พวกนี้เป็นพิเศษ เท่าที่รู้ตอนนี้ก็คือรักษาตามอาการเท่านั้น แต่ฉันจะถามอาจารย์ให้ก็ได้"

"รักษาตามอาการ หมายถึงลูกฉันอาจดีขึ้นได้ใช่ไหม"

"หมายถึงรักษาตามอาการที่แสดงน่ะ อย่างเช่นเท้าบิดก็ต้องใส่รองเท้าดัด หลังคดก็ใส่เสื้อเกราะ..."

คนฟังสั่นศีรษะ กำลังจะปฏิเสธว่าที่เพื่อนพูดมาทั้งหมดไม่ใช่โรคเดียวกับลูกเขาก็เป็นได้ ทว่าสิ่งที่อนุวัฒน์เอ่ยต่อไปทำให้เขาต้องกลืนคำพูดกลับลงไป

"ถ้าเป็นหวัดหรือติดเชื้อที่ปอดก็อาจอันตรายได้ ในบางรายต้องเจาะคอเพื่อรักษาชีวิต"

ธีธัชไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน พอกับที่ยังทำใจยอมรับความจริงไม่ได้ว่าหมดสิ้นหนทางรักษาจริงๆ

คนเป็นหมอมองเพื่อนยกมือกุมขมับอย่างสะท้อนใจ ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยมีสักครั้งที่อีกฝ่ายแสดงความอ่อนแอออกมาเช่นนี้เลย

"ทำไมวะ ตอนเกิดมาแกยังปกติดีแท้ๆ" ชายหนุ่มโอดครวญอย่างไม่เข้าใจ

"นายยังไม่ได้อ่านหนังสือนี่หรอกหรือ"

ธีธัชสั่นศีรษะพลางยกมือลูบหน้า

"ยัง ฉันอ่านมันไม่รู้เรื่องหรอกตอนนี้"

อนุวัฒน์พยักหน้าเข้าใจ "แต่เมื่อไรนายพร้อม นายควรอ่านมันนะธีร์ ส่วนฉันก็จะถามอาจารย์ให้เหมือนกัน"

พระเอกหนุ่มผงกศีรษะรับความหวังดีนั้น เขาเอ่ยขอบใจก่อนลุกขึ้นเมื่อหมดธุระ หากท่าทางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็ทำให้เพื่อนที่ลุกไปส่งอดเป็นห่วงไม่ได้ ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายฝืนยิ้มพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงขื่น

"ทำไมมึงไม่เป็นหมอด้านนี้วะไอ้แว่น"

อนุวัฒน์หน้าเหวอพร้อมกับยกมือดันแว่นเก้อๆ ทว่าผู้พูดกลับหลุบตาซ่อนความรู้สึกข้างใน หากธีธัชคงเป็นนักแสดงที่ตีบทไม่แตก ความเจ็บปวดใจที่พยายามเก็บงำนั้นถ่ายทอดออกมาชัดเจน

"กูก็เหมือนกันว่ะ อุตส่าห์จบวิศวะมา ทำไมไม่คิดประดิษฐ์อุปกรณ์ช่วยเหลือชีวิตคน กูมาเป็นดาราทำไมวะแว่น ลูกทั้งคนก็ไม่เคยได้ดูแล"

โดยไม่รอคำตอบซึ่งคงเป็นคำปลอบโยน ชายหนุ่มหันหลังเดินจากมาจากตรงนั้น พร้อมกับยกนิ้วมือกดหัวตา

.....................

บ้านหลังน้อยกลับมาเงียบสงบอีกครา แต่เป็นความสงบที่ทำให้มัทรีรู้สึกวังเวงใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอนอนไม่หลับทั้งคืนและตัดสินใจลุกลงมาหุงข้าวตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง

หญิงสาวเปิดประตูไม้หลังบ้านให้อากาศถ่ายเท แต่แล้วหัวใจที่เย็นเยียบก็กลับมาเต้นผิดจังหวะอีกครั้ง รถที่แล่นจากไปเมื่อคืนกลับมาจอดอยู่ที่เดิม อีกทั้งชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ท้ายกระโปรงรถก็กำลังรูดซิปปิดกระเป๋าเสื้อผ้า ธีธัชคงเพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าของเขาเองก่อนหน้านี้ไม่นาน

อีกฝ่ายหันมาเห็นตนแล้วเช่นกัน ใบหน้าที่เปี่ยมเสน่ห์ให้ผู้คนหลงใหลยังคงหมองเศร้าเมื่อสบตาเธอ มัทรีปั้นหน้าเฉย ก่อนจะกลับเข้าไปจัดการภารกิจยามเช้าของตน เธอเพียงปิดประตูมุ้งลวดไว้ให้เขาผลักเข้ามาเมื่อไรก็ย่อมได้

หญิงสาวเพิ่งตระหนักรู้ การที่เขากลับมามันมีความหมายต่อเธอ...อาจมากเสียกว่าเมื่อเขาเลือกจากไปด้วยซ้ำ

"ตื่นเช้าจัง" ธีธัชก้าวเข้ามาทักทายอย่างลังเล

เจ้าของบ้านส่งเสียงตอบในลำคอ เธอกำลังซาวข้าวไปพลาง

"พี่นอนไม่หลับ"

เธอก็เหมือนกัน...

"มัท มัททำใจได้ยังไง มันยากมากนะมัท"

มัทรีล้างมือกับน้ำสะอาดก่อนนำหม้อหุงข้าวไปเสียบปลั๊ก เธอหันมองท่าทางสับสนหรืออาจเรียกได้ว่าทุกข์ทนของเขาเต็มตา เหมือนเห็นตัวเธอเองในอดีตซ้อนทับขึ้นมา

"ค่ะ มันยาก"

หญิงสาวประหวัดไปนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต อาจถึงเวลาที่เธอควรเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาร่วมรับรู้อีกคน

.....................

หนึ่งปีก่อน

"แน่ใจนะว่าไปคนเดียวได้" เสียงแม่ถามด้วยความเป็นห่วงขณะเธออุ้มลูกน้อยวัยสี่เดือนวางลงบนเบาะที่นั่งพิเศษสำหรับเด็ก

"โธ่ ได้สิแม่ แล้วเดี๋ยวมัทจะรีบมาช่วยแม่ขนกระถางนะ"

มัทรีหันมายิ้มร่า ยกมือเล็กของลูกโบกลาคุณยาย ก่อนเธอจะขึ้นนั่งประจำที่คนขับและขับออกไป

จุดหมายในวันนี้คือโรงพยาบาลที่เด็กหญิงปลายฟ้ามีนัดฉีดวัคซีน เธอจับลูกแต่งตัวด้วยชุดสีหวานที่โยษิตาซื้อมาให้ เข้ากันกับหมวกปีกกว้างลายลูกไม้ใบจิ๋วซึ่งมีเชือกผูกใต้คาง มั่นใจว่าลูกของตนจะต้องเป็นที่รักที่เอ็นดูอย่างแน่นอน

มัทรีจอดรถกลางแสงแดดแรงกล้าอย่างไม่มีทางเลือกมากนัก แล้วจึงอ้อมมาอุ้มลูกไว้ในอ้อมแขน รีบพาแกหลบร่มเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ คงเพราะสัญชาตญาณของแม่ย่อมคิดคำนึงถึงความสุขสบายของลูกนั่นเอง

หญิงสาวเดินไปตามทางเดินคุ้นเคยของโรงพยาบาล เมื่อใกล้ถึงแผนกที่พ่อแม่พาลูกมาฉีดวัคซีนก็ได้ยินเสียงร้องไห้จ้าของทารกน้อย เธอยิ้มออกมาพลางลูบหลังลูกที่คงผวาไปเหมือนกัน

"น้องปลาย วันนี้คุณยายไม่มาด้วยเหรอคะ" พยาบาลสาวถามอย่างจำได้ดี

"ไม่มาค่า" มัทรีตอบเสียงเล็กแทนลูกพลางหัวเราะ ก่อนจะรับบัตรคิวที่อีกฝ่ายส่งให้

นานจนลูกน้อยผล็อยหลับในอ้อมแขนแม่ เสียงประกาศเรียกคิวของเด็กหญิงปลายฟ้าจึงดังขึ้น

หญิงสาวอุ้มลูกไปยังห้องเล็กเสมือนกั้นฉากเอาไว้ เรียงเป็นแถวติดกันหลายห้องไปตามทางเดิน และดูเหมือนหนูน้อยจะรู้ว่าต้องเจ็บตัว แกขยับตัวตื่นเมื่อพยาบาลสาวใหญ่ป้ายสำลีชุบแอลกอฮอล์ไปบนผิวบอบบาง

"แง้ แง้..."

คนเป็นแม่เจ็บแทนลูก เธอลูบหลังปลอบโยนแกเมื่อพยาบาลแทงเข็มเข้าไป แล้วก็ต้องยิ้มบางพลางเลิกคิ้วฉงนเมื่อพยาบาลผู้ใหญ่ท่านนั้นเงยหน้าสบตาเธออย่างแปลกใจ

"เก่งจัง ไม่ค่อยร้องนะคะ"

"ค่ะ" มัทรียิ้มกว้างรับคำชมแทนลูก

"ปกติแกร้องเบาอย่างนี้หรือคะ"

"ค่ะ แกจะสะอึกสะอื้นมากกว่า"

นางพยาบาลผงกศีรษะ เมื่อจัดเสื้อผ้าที่เลิกขึ้นให้ทารกน้อยดีแล้ว มืออวบอูมก็จับเนื้อตัวเด็กหญิงจนผู้เป็นแม่นิ่วหน้าแปลกใจ

"ขอโทษนะคะ"

แกดันตัวเด็กที่เอาแต่ซบบ่าแม่ให้ออกห่าง มือหนึ่งคอยรองหลังท้ายทอย แล้วก็เป็นดังคาดเมื่อคออ่อนนั้นโอนเอนจนต้องจับตัวหนูน้อยพิงแม่ดังเดิม

"เคยได้พบคุณหมอเด็กท่านไหนไหมคะ"

"เปล่าค่ะ น้องปลายแข็งแรงดี ส่วนมากแค่มาฉีดวัคซีนนี่ล่ะค่ะ"

"งั้นรอตรงนี้สักครู่นะคะ"

มัทรีไม่เข้าใจจนแล้วจนรอด ทว่าเธอไม่ทันเอ่ยถามว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ ร่างท้วมของสตรีวัยกลางคนก็ออกจากห้องไปเสียก่อน

ครู่หนึ่งประตูห้องจึงเลื่อนเปิดอีกครั้ง นางพยาบาลท่านนั้นกลับเข้ามาพร้อมนายแพทย์หนุ่มท่าทางภูมิฐาน เขาสวมเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงสแล็คสีดำ มีหูฟังตรวจพาดคล้องคอ

หญิงสาวก้มศีรษะแทนการไหว้ทักทายเมื่อเธอต้องอุ้มลูกนอนหงายในอ้อมแขนตน

"ให้แกนอนบนเตียงก็ได้ครับ ขอหมอตรวจหน่อยนะคะคนเก่ง" นายแพทย์เกื้อคุณเอ่ยประโยคหลังกับทารกน้อยที่มองเขาตาแป๋ว

มัทรีจำต้องวางลูกลงบนเตียงสั้น ห้องเล็กคับแคบลงไปอีกเมื่อมีผู้ใหญ่ยืนอยู่รอบเตียงถึงสามคน

"มีอะไรหรือเปล่าคะคุณหมอ"

เกื้อคุณถอดหูฟังออก เขาจับเนื้อตัวหนูน้อย ก่อนจะลองยื่นนิ้วมือไปแทรกฝ่ามือเล็กให้แกกำ แต่ก็รู้สึกถึงสัมผัสเพียงแผ่วเบา

"หมอก็ไม่แน่ใจนะครับ แกอาจมีพัฒนาการช้าเองหรือไม่ก็ได้"

พัฒนาการช้า... คำคำนี้ทำเอาสมองผู้เป็นแม่เบลอไปหมด

"หมายความว่ายังไงหรือคะ มัทคิดว่าแกก็ปกติดี"

"ปกติเด็กวัยนี้จะเริ่มชันคอ คอแข็งแล้วน่ะครับ แล้วเท่าที่หมอสังเกตแกก็ไม่ค่อยถีบ ไม่ค่อยแกว่งแขนด้วย" เขาอธิบายอย่างใจเย็น "ถ้าคุณแม่อนุญาต หมอขอเจาะเลือดน้องกับคุณพ่อคุณแม่ไปตรวจน่าจะได้คำตอบดีที่สุด"

มัทรีพยักหน้ารับอย่างเต็มใจยิ่ง ถ้านั่นจะทำให้รู้ว่าจะดูแลรักษาลูกของเธออย่างไรต่อไป

"ใช้เลือดของแม่กับลูกได้ไหมคะ"

เกื้อคุณงันไปเล็กน้อย คำถามนั้นบอกอะไรหลายๆ อย่าง เขาเกลื่อนความรู้สึกผิดแปลกของตนพลางยิ้มรับ แล้วหันไปบอกพยาบาลให้นำอุปกรณ์เข้ามา

"เดี๋ยวหมอจะทำนัดให้ วันฟังผลเลือดคุณแม่มาคนเดียวก็ได้ครับ"

หญิงสาวฝืนยิ้มทั้งที่ใจไม่สู้ดี เธอมองนายแพทย์หนุ่มยืนเขียนใบนัดกับเตียงง่ายๆ ขณะที่ใจลอยลิ่วไปถึงวันที่จะทราบผลตรวจเลือดอย่างวิตกกังวล

....................

"แล้วผลก็ออกมาว่าน้องปลายเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่ใช่พัฒนาการช้า" มัทรีเอ่ยเล่าตามความทรงจำ

กลิ่นข้าวเดือดหอมอวลภายในบ้านหลังน้อย ขณะที่หนุ่มสาวกำลังตกอยู่ในห้วงทุกข์ในฐานะพ่อแม่ ธีธัชกดนิ้วหัวแม่มือกับหัวตาก่อนเขาจะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ แต่ลำคอฝืดเฝือจนต้องวางแก้วลงกับโต๊ะอีกครา

"ทำไมมัทไม่เคยบอกพี่เลย"

หญิงสาวมองตอบตัดพ้อ เขากำลังรุ่งโรจน์กับหน้าที่การงาน อีกทั้งตั้งแต่วันที่เขาขอตรวจดีเอ็นเอลูก เธอก็คิดว่าควรตัดผู้ชายคนนี้ออกจากชีวิตเสียที

มัทรีไม่ได้ตอบความรู้สึกในใจเหล่านั้น เธอเล่าเรื่องราวในอดีตต่อไป

"ตอนแรกที่รู้ว่าแกเป็นอะไรก็ไม่คิดว่ามันจะหนักหนาขนาดนี้ เพราะลูกก็ดูปกติดีทุกอย่าง กระทั่งตอนอายุห้าเดือนแกสำลักนม ตัวซีดเขียวไปหมด เราตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูก มัทกับแม่รีบขับรถพาแกไปโรงพยาบาล..."

ภาพความทรงจำในอดีตเรียงลำดับย้อนกลับมาชัดเจน

............................

มัทรีอุ้มลูกที่นอนแน่นิ่งในอ้อมแขนเข้าไปในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล เห็นสภาพอย่างนั้นทั้งพยาบาลและนักศึกษาแพทย์ต่างก็มารุมล้อมตัวเธอ กระทั่งเสียงของใครคนหนึ่งร้องบอกให้วางร่างลูกน้อยบนเตียง

พยาบาลรูดม่านปิดรอบเตียงขณะที่อัมพรต้องรั้งตัวบุตรสาวออกมา มัทรีร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจ เธอทรุดกองกับพื้นตรงนั้น มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อมีสำลีชุบแอมโมเนียมาแกว่งอยู่ปลายจมูกตน คงมีใครพาเธอมานั่งยังม้านั่งแทน

"แม่ น้องปลายล่ะแม่ ลูกมัทเป็นไงบ้าง" เธอถามเอากับมารดาทันทีที่รู้สึกตัว

หญิงสาวเหลียวมองรอบกาย ภายในห้องฉุกเฉินนี้ราวกับสถานที่ตัดสินชีวิต คัดสรรว่าใครจะอยู่หรือไป บางคนแพทย์กำลังยื้อชีวิต บางชีวิตไม่อาจยื้อเอาไว้ได้ เธอไม่ต้องการเป็นอย่างญาติใครคนนั้นที่กำลังร้องไห้ขอชีวิตญาติตนกลับคืนต่อหน้าแพทย์คนหนึ่ง

"มัท มัทจะไปไหน"

อัมพรรีบลุกตามลูกที่เดินลิ่วไปยังห้องซึ่งมีประตูบานเลื่อนปิดไว้ เธอตามไปดึงแขนลูกได้ทันก่อนที่แกจะบุ่มบ่ามเข้าไป ทว่ายังไม่ทันพูดจาให้เย็นลง ประตูกระจกสีขุ่นก็เลื่อนเปิดออกพอดี

"คุณแม่เด็กหญิงปลายฟ้าหรือเปล่าคะ"

"ค่ะ ใช่ค่ะ ลูกมัทเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ"

"งั้นเดี๋ยวเชิญทางนี้หน่อยนะคะคุณแม่" แพทย์ฝึกหัดเอ่ยพร้อมกับเดินนำไปยังห้องตรวจขนาดเล็กที่เรียงติดกันหลายห้อง

มัทรีกุมมือมารดาไว้แน่นขณะเดินไปด้วยกัน น้ำตาเหือดแห้งไปด้วยความหวั่นวิตก ก่อนสองแม่ลูกจะนั่งลงบนเก้าอี้กลมตรงข้ามแพทย์สาวที่มีสีหน้าเครียดขรึม

"ก่อนอื่น...ตอนนี้น้องปลอดภัยแล้วค่ะคุณแม่ คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ"

คนเป็นแม่ยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อได้ยินเช่นนั้น รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกก็ว่าได้ หากไม่มีประโยคต่อไปตามมา

"แต่เนื่องจากน้องได้หยุดหายใจชั่วขณะ เราก็เลยต้องสอดท่อช่วยหายใจผ่านทางปากแก และจำเป็นต้องให้น้องพักฟื้นในห้องไอซียูเพื่อดูอาการ"

สอดท่อช่วยหายใจ... มัทรีนึกภาพไม่ออกเลยว่าลูกจะทนความเจ็บปวดนั้นได้อย่างไร ปากของแกเล็กเพียงดูดนมเท่านั้น แล้วท่อนั่นจะสร้างความทรมานให้แกเพียงใด

"ในแฟ้มบอกว่าน้องรักษากับอาจารย์เกื้อคุณ พรุ่งนี้เช้าหมอจะรีบบอกให้อาจารย์ไปดูน้องที่ไอซียูนะคะ"

หญิงสาวพยักหน้า น้ำตาหลั่งรินลงมาอีกครา เธอขยับปากจะเอ่ยสิ่งที่ตนคิด แต่มันก็ยากเหลือเกิน เร็วเกินไปที่จะเชื่อว่าอาการของโรคพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง

"นี่...นี่เกี่ยวกับโรคที่แกเป็น ใช่ไหมคะคุณหมอ"

ริมฝีปากบางสั่นระริก และเมื่อแพทย์สาวกดศีรษะลงแทนคำตอบ มัทรีก็ต้องยกมือปิดหน้าร่ำไห้ สุดกลั้นอีกต่อไป

....................

คืนนั้น ไม่มีใครยอมจากโรงพยาบาลไปไหน ทั้งมัทรีและมารดาต่างเฝ้ารอวันพรุ่งนี้ที่จะมาถึงยังม้านั่งชั้นล่างของหอผู้ป่วยวิกฤต แม้จะอยู่ในชุดนอนตั้งแต่ออกจากบ้านมาก็ตาม

ไม่มีใครอยากจากเด็กหญิงปลายฟ้าไปไหน โดยเฉพาะผู้เป็นแม่ที่รอเวลาจะได้เข้าเยี่ยมลูกของตน

จวบจนฟ้าสาง ผู้คนทยอยเดินทางมาถึงโรงพยาบาลเพื่อรอรับการตรวจรักษาตามนัด สตรีทั้งสองจึงลุกไปล้างหน้าล้างตา ก่อนผู้เป็นลูกจะเกลี้ยกล่อมให้แม่ยอมไปทานข้าวได้สำเร็จ ฟากตนนั้นจะไปรอยังหน้าห้องไอซียู

หอผู้ป่วยวิกฤตเด็กใช่มีแต่เธอเท่านั้นที่รอเวลาเข้าเยี่ยมลูก แต่ยังมีพ่อแม่อีกหลายคนที่นั่งรอเวลา ต่างมีสายตาเห็นใจให้กันและกัน

หญิงสาวเลือกนั่งยังสุดปลายม้านั่งด้านหนึ่ง เธอเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเห็นจากหางตาว่าใครคนหนึ่งกำลังเดินตรงมา แล้วก็สบเข้ากับสายตาของนายแพทย์เกื้อคุณที่มองมาทางเธอวูบหนึ่ง เขามิได้หยุดทัก แต่ผลักประตูกระจกของห้องไอซียูเข้าไป

มัทรีลุกเดินไปมาพร้อมกับบีบมือเข้าด้วยกัน ยิ่งเมื่อนายแพทย์หนุ่มหายเข้าไปนานเท่าไร ใจก็ยิ่งหวาดหวั่นถึงอาการของลูกตน

"คุณหมอ..."

ร่างบางในชุดนอนกางเกงขายาวรีบก้าวไปหาทันทีที่เห็นแพทย์เจ้าของไข้ของลูกกลับออกมา แค่เพียงเห็นสีหน้าของเขา หัวใจแม่ก็แทบแหลกสลายอีกครั้ง

"ช่วยลูกมัทด้วย ช่วยน้องปลายด้วยนะคุณหมอ"

มัทรีร่ำไห้พลางฉวยมือหนามาเขย่าอย่างอ้อนวอน เกื้อคุณบีบมือเจ้าหล่อนนิดหนึ่ง ก่อนถอนมือออกมาและผายมือเชิญเจ้าหล่อนไปพูดคุยยังห้องของพยาบาล เขาเลื่อนเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งให้เธอนั่งลง

"ใจเย็นๆ ก่อนครับคุณแม่ ตอนนี้น้องปลายปลอดภัยดีแล้ว เพียงแต่ยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และหมอคิดว่าด้วยตัวโรคแล้วแกควรต้องใช้เครื่องช่วยหายใจต่อไป"

ดวงตาว่างเปล่ารื้นคลอด้วยหยาดน้ำตา เธอเงยขึ้นมองสบอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ

"ทำไมต้องใช้คะ ลูกมัทหายใจเองได้"

"แต่ในระยะยาวกล้ามเนื้อหายใจของแกจะอ่อนแรงลง รวมทั้งกล้ามเนื้อในการกลืนด้วย" นายแพทย์หนุ่มอธิบายอย่างใจเย็น เขาสังเกตสีหน้าผู้ฟังไปพร้อมกัน "สาเหตุที่แกสำลักก็เพราะอย่างนี้แหละครับ ผมไม่อยากเสี่ยงให้แกสำลักอีก คุณแม่ก็คงเหมือนกัน แต่ถ้าเจาะคอใช้เครื่องช่วยหายใจและใส่สายยางอาหาร หมอมั่นใจว่าน้องจะอยู่กับคุณแม่ได้อีกนาน"

มัทรีปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น เธอสั่นศีรษะอย่างไม่ยอมรับความจริงนั้น ไม่มีวัน...

"ยังไม่ต้องตัดสินใจตอนนี้หรอกครับ อาทิตย์หน้าค่อยให้คำตอบหมอก็ได้ เพราะถ้าสอดท่อช่วยหายใจไว้นานก็อาจเสี่ยงติดเชื้อที่ปอดได้"

"หมอพูดเหมือนมันเป็นเรื่องที่ตัดสินใจง่ายๆ" เธอเอ่ยเสียงสะท้าน "หมออาจบอกใครแบบนี้มาบ่อยแล้ว แต่สำหรับแม่ทุกคน...มันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาต้องรับฟัง"

เกื้อคุณนิ่งไปพักหนึ่ง เขาเข้าใจเธอ...และเห็นใจผู้หญิงที่อยู่ในชุดนอนคนนี้ที่สุด แต่สิ่งที่เขาบอกกับเธอ รวมทั้งกับพ่อแม่ของเด็กอีกหลายคน ก็เป็นหนทางเดียวที่จะต่อชีวิตของแก้วตาดวงใจของคนเหล่านั้นให้ได้ยืนยาวขึ้น

"พรุ่งนี้หมอจะเอาเอกสารเกี่ยวกับโรคของน้องปลายมาให้คุณแม่นะครับ อยากให้คุณแม่ได้อ่าน หรือถ้ายังไงหมอก็อยากให้คุณแม่ได้พูดคุยกับพ่อแม่ของเด็กที่เป็นเหมือนน้องปลาย พวกเขาก็ยังใช้ชีวิตกับโรคต่อไปได้อย่างมีความสุข"

มัทรีสั่นศีรษะรับความหวังดีนั้น เธอจะทำใจได้อย่างไร เมื่อวานเธอยังมีลูกที่น่ารัก ดูภายนอกเหมือนเด็กปกติทุกประการ แต่บัดนี้เธอกลับต้องทนรับฟังคนคนหนึ่งพิพากษาว่าชีวิตลูกของเธอจะไม่เหมือนเดิม

หญิงสาวร่ำไห้กับฝ่ามือ หูแว่วเสียงประตูถูกผลักออกไป ทว่าเธอไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะลุกตาม

.........................


ขอฝากนิยายเล่มใหม่ของแพรวที่กำลังจะออกด้วยนะคะ

โปรยจากเพจ love by jamsai ค่า

"มาแล้ววววววว ><
'จรดรักเคียงใจ' ผลงานเรื่องเด็ดจาก 'ภาพิมล' ที่เลิฟอ่านตัวอย่างแล้วลุ้นตามมากๆ ค่าาา...

อยากรู้แล้วสิคะว่าการผจญภัยของ 'เทียร่า ลัน' และ 'พันตรีลูโก้' จะดำเนินต่อไปอย่างไร ความสัมพันธ์ที่งอกงามขึ้นท่ามกลางหมู่กระโจมกลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ใต้แผ่นฟ้าพร่างพราวแสงดาวนี้จะเข้มข้น และซาบซ่านหัวใจแค่ไหน

เพื่อนๆ ต้องติดตามกันให้ได้นะคะ เลิฟคอนเฟิร์มว่าไม่ผิดหวังแน่นอนนนนน

ถ้าใครยังไม่ได้เข้าไปกดอ่านตัวอย่างหนังสือ
ตอนนี้สามารถเข้าไปอ่านชิมลางกันก่อนได้ที่ http://www.jamsai.com/product/3438 นะค้าาา"



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.ค. 2558, 16:14:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.ค. 2558, 16:14:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 1532





<< บทที่ ๗   บทที่ ๙ >>
ปิ่นนลิน 4 ก.ค. 2558, 23:32:35 น.
ยิ่งอ่านยิ่งสงสารสองแม่ลูก
T_T


ภาพิมล_พิมลภา 5 ก.ค. 2558, 16:37:41 น.
คุณปิ่นนลิน - แพรวคิดว่าเรื่องนี้จะฟีลกู๊ดซะอีกค่ะ แหะๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account