อธิฐานรักข้ามภพ
เรื่องย่อบุพเพอาละวาดข้ามภพ (อธิฐานรักข้ามภพ)
ผู้แต่ง : อัปสรา

“วิลันดา ”หญิงสาวสวยผู้มีรูปร่างอรชร ใบหน้าอ่อนหวานดุจนางในวรรณคดี เธอต้องเจอมรสุมครั้งใหญ่ในชีวิตเมื่อ ชัชวาล คนรักซึ่งวางแผนกำลังจะแต่งงานกัน แอบปันใจให้กับสาวในที่ทำงานเดียวกัน เธอจึงพาหัวใจอันบอบช้ำไปยัง “โบสถ์ปรกโพธิ์ “และอธิฐานจิตต่อหน้าองค์หลวงพ่อนิลมณีอันศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ได้พบกับคู่แท้ และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น “ขุนไกร” ทหารกล้าแห่งกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร ด้วยบุปเพสันนิวาส หรือบุปเพอาละวาดก็ไม่รู้ เขาพลัดหลงยุคมาพบกับเธอ เธอจึงจำเป็นต้องรับภาระดูแลเขา จนกว่าจะหาวิธีส่งเขากลับไปสู่ยุคกรุงธนบุรี เพียงเวลาไม่นานความรักเริ่มก่อตัวขึ้นแต่มิมีใครยอมพูดออกมา ปู่เจ้าแนะนำวิธีส่งขุนไกรกลับไปในคืนพระจันทร์เต็มดวงและนั่นเองทำให้ชีวิตของหล่อนเปลี่ยนไปตลอดกาล เธอได้หลุดเข้าไปในยุคกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร และได้พบกับ “จมื่นราชภักดี” หรือพ่อเพ็ง เขาตกหลุมรักแม่หญิงวิลันดาตั้งแต่แรกพบและเข้าใจผิดคิดว่าเป็นน้องสาวของขุนไกร ขุนไกรพาวิลันดาไปฝากไว้ที่คุ้มพระยามิตรไมตรี พ่อของเขา และขุนท้าวเฟื่องแม่ของขุนไกรรักใคร่เอ็นดูเธอมาก
ขุนไกรเคยช่วยยะโมหนั่ย สาวพม่าตาคมที่มีเชื้อไทยอยู่ครึ่งหนึ่งเธอเป็นกองสอดแนมฝีมือฉกาจที่พม่าส่งมาสอดส่องหาความเคลื่อนไหว ขุนไกรได้ช่วยเธอไว้จากการถูกงูกัดเธอตกหลุมรักเขาทันทีทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้และไม่ได้คิดหวังจะครองคู่ขอเพียงได้รักเขาเท่านั้น นั่นสร้างความไม่พอใจกับโบ๊ด๊ะฮูศิษย์ผู้พี่เป็นอันมากที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อเธอ มีหญิงสาวมากมายมาหลงรักขุนไกรรวมถึงแม่ชบาลูกครึ่งแขกตาคมที่มีแม่เป็นอนุและร่วมพ่อเดียวกับขุนศรีเพื่อนรักของขุนไกรแต่ก็ไม่มีใครที่จะพิชิตใจขุนไกรได้สักคน
ระหว่างที่ขุนไกรอยู่ที่คุ้มจมื่นราชภักดีมาที่เรือนบ่อยครั้ง สร้างความไม่พอใจให้ขุนไกรเป็นอันมากเพราะเริ่มรู้ตัวเองแล้วว่าหลงรักแม่หญิงวิลันดาจนหมดหัวใจ แต่แม่หญิงวิลันดาปากหนักไม่ยอมรับรักขุนไกร เขาจึงรุกหล่อนหนักจนทั้งคู่ยอมสารภาพรักต่อกัน ขุนไกรตั้งใจให้เสร็จศึกจากค่ายบางกุ้งจะให้แม่ไปขอยกเลิกการหมั้นหมายแก่แม่ดาวเรืองเพราะเขาไม่เคยมีใจให้นาง ขุนท้าวเฟื่องยอมตามใจเพราะรู้ว่าขุนไกรแต่งกับแม่หญิงดาวเรืองไปก็คงไม่มีความสุข
แต่เมื่อมีคนรักย่อมมีคนเกลียดชังเช่นกัน “แม่หญิงดาวเรือง” คู่หมั้นคู่หมายของขุนไกร ซึ่งแม่ของขุนไกรเคยหมั้นหมายนางไว้ให้ เพราะคิดว่านางเป็นหญิงที่ดีมีคุณสมบัติเพียบพร้อม หล่อนสงสัยในตัวแม่หญิงวิลันดาจนให้บ่าวคนสนิทไปสืบและรู้ว่ามิใช่หลานขุนท้าวเฟื่องจึงหาทางกำจัดนาง ปุโรหิตศรีวิชัยได้มาที่คุ้มเล่าถึงอดีตชาติของวิลันดาให้ฟังและเขาคอยช่วยหล่อนในหลายเรื่องเพราะที่แท้แล้วเขาเคยเป็นบิดาของหล่อนในอดีตชาติสมัยทวารวดี
ในระหว่างที่ขุนไกรต้องกลับไปฝึกซ้อมให้ทหารที่ค่ายจีนบางกุ้งยะโมหน่าย สายลับสาวของพม่าที่มีเลือดไทยอยู่ครึ่งหนึ่งและขุนไกรได้เคยช่วยชีวิตเอาไว้หล่อนหลงรักขุนไกร ได้มาเตือนไม่ให้ขุนไกรกลับไปที่ค่ายบางกุ้งแต่ขุนไกรไม่เชื่อเขาไม่คิดหนีเอาตัวรอดละทิ้งพี่น้องร่วมชาติ
ส่วนแม่หญิงดาวเรืองนำผงเสน่ห์จันทร์ ซึ่งเป็นยาปลุกกำหนัดชนิดหนึ่งมาให้จมื่นราชภักดี แต่เขาปฎิเสธน้องสาวไม่ยอมใช้วิธีสกปรกเช่นนั้นกับแม่หญิงวิลันดาเพราะเขาอยากได้หัวใจของนางมากกว่า แม่หญิงดาวเรืองจึงวางแผนกับบ่าวคนสนิทชวนพี่ชายและแม่หญิงวิลันดาไปชมผ้าที่ตลาดท่าจันทร์หวังให้วิลันดาต้องอับอายและรีบแต่งงานกับพี่ชายของนาง แต่บ่าวทีใช้ให้วางยากับหยิบยานอนหลับไปใส่แทนทำให้จมื่นราชภักดีมิได้ทำอะไรกับแม่หญิงวิลันดา ขุนท้าวเฟื่องและบ่าวไพร่ตามหาแม่หญิงและจมื่นราชภักดี
และมาพบในสภาพที่คิดเป็นอื่นไม่ได้ จมื่นราชภักดีรู้ว่าเขาโดนน้องสาววางแผนจัดฉาก แต่หากเขาไม่ยอมรับก็กลัวแม่หญิงวิลันดาจะเสียหายจึงยอมรับผิดเสียเอง ขุนไกลขอลาราชการกลับมาและตามไปจนพบภาพบาดตาบาดใจขาแทบจะฆ่าจมื่นราชภักดีให้ตายต่อหน้า แต่เชื่อมั่นในตัวแม่หญิงวิลันดาว่านางมิรู้เรื่องนี้ด้วย เขาเข้าใจผิดว่าจมื่นราชภักดีวางยานางและมิคิดรังเกียจในตัวแม่หญิงสักน้อยนิด
จมื่นราชภักดีให้พระยาสีหเดโชมาสู่ขอแม่หญิงวิลันดากับขุนท้าวเฟื่องและพระยามิตรไมตรีท่ามกลางความยินดีของแม่หญิงดาวเรืองคิดว่าจะหมดเสี้ยนหนาม แต่ขุนไกรโวยวายมิยอมให้แม่ยกให้เขาบอกแก่ทุกคนว่าหากแม่ยกให้ตัวเขาก็ต้องคงชิงแม่หญิงวิลันดาคืนมา วิลันดาไม่อยากให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคุ้มบาดหมางกันเพราะเรืองของเธอ จึงยอมตกลงแต่งงานกันโดยบอกว่าตนเองมีใจให้แก่จมื่นราชภักดี ขุนไกรเสียใจมากกลับไปที่ค่ายบางกุ้งแต่รับปากจะกลับมาให้ทันงานแต่งแม่หญิงวิลันดากับจมื่นราชภักดี ระหว่างทางพบคนถูกทำร้ายที่แท้คือยายแดงเจ้าของเพิงพักวันนั้นที่แม่หญิงดาวเรืองบังคับให้ช่วยเหลือในแผนการครั้งนั้น นางซึ้งในน้ำใจของขุนไกรจึงเล่าเรื่องราวที่แม่หญิงดาวเรืองเป็นผู้วางแผนทั้งหมดให้ขุนไกรฟัง ขุนไกรพานางแดงไปที่งานแต่งเขาไม่ยอมเสียแม่หญิงยายแดงเล่าความจริงให้ทุกคนฟัง ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายโกรธแม่หญิงดาวเรืองมากจึงตำหนินงอย่างมิไว้หน้า ขุนไกรก็มิไยดีนาง แทนที่แม่หญิงดาวเรืองจะสำนึกในความผิด นางกับแค้นแม่หญิงวิลันดามากขึ้นและรู้ว่านางคงจะไม่มีทางได้หัวใจของขุนไกรเป็นแน่ จึงหยิบมีดสำหรับเจียนหมากพลูที่อยู่ในงาน แทงเข้าหมายจะให้ทิ่มแทงเข้าที่ขั้วหัวใจแม่หญิงวิลันดา แต่ด้วยความรักจมื่นราชภักดีเอาร่างเขาเข้ามาขวางไว้มีดของแม่หญิงดาวเรืองปักเข้าที่ร่างของเขางานมงคลจึงถูกเลื่อนออกไป จมื่นราชภักดีเป็นผู้ชายแม้นจะรักแม่หญิงมากเพียงไรแต่ก็รู้ซึ้งอยู่แก่ใจว่านางกับขุนไกรรักกันมากเขาจึงยอมยกเลิกงานแต่งงาน ส่วนแม่หญิงดาวเรืองทำชั่วไว้มากกรรมจึงสนองนาง นางเสียใจมากจึงหยิบขวดยาขึ้นมาหารู้ไม่ว่ายาขวดนั้นมิใช่ขวดยานอนหลับ กับเป็นผงว่านเสน่ห์จันทร์ซึ่งเป็นยาปลุกกำหนัด ยังโชคดีที่ผู้ชายที่พบนางในคืนนั้นคือขุนศรีซึ่งแอบมีใจให้นางทั้งสองจึงตกเป็นของกันและกัน ส่วนขุนไกรหลังจากเสร็จศึกที่ค่ายบางกุ้งและได้รับชัยชนะกลับมาเขาและแม่หญิงวิลันดาตัดสินใจแต่งงานกัน แม้นว่าประตูกาลเวลาจะให้โอกาสแม่หญิงวิลันดาได้เลือกอีกครั้ง แต่เธอเลือกที่จะอยู่เคียงข้างขุนไกรอยู่ที่กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรแม้นภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แม้นกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร จะไม่ได้มีอายุที่ยืนยาวนับร้อยปี แต่ความรักของขุนไกรและวินดากลับยืนยาวไปชั่วกัลปวสาน

+++++++++++++++++++++++++++++++

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่6 (คนที่เคยอ่านผ่านได้เลยค่ะ)

ตอนที่ 6

วิลันดามองไปรอบๆตัวของหล่อน สระน้ำลักษณะเหมือนสระโบราณทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดไม่กว้างนักมีน้ำใสจนเห็นพื้นดินอยู่จนเต็มสระ และเบื้องหน้าของหล่อนมีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นปรกคุมอยู่ทั่วอาณาบริเวณ หล่อนจึงค่อยๆเอามือละกิ่งไม้แหวกมันออกจนหล่อนเห็นสิ่งก่อสร้างที่ตั้งโดดเด่นตระหง่านอยู่เบื้องหน้า

โบสถ์ปรกโพธิ์!

หล่อนมั่นใจว่าเป็นโบสถ์ปรกโพธิ์อย่างแน่นอน แต่ที่น่าแปลกใจก็คือคือต้นโพธิ์ยังไม่ได้ครอบคลุมตัวโบสถ์ทั้งหลังไว้อย่างที่เคยเห็นเพียงแต่ยืนต้นอยู่รอบๆบ้างก็ปกคลุมให้ร่มเงาแก่โบสถ์เพียงเท่านั้น

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้วิลันดาต้องแปลกประหลาดใจก็คืออาณาบริเวณโดยรอบโบสถ์เปลี่ยนแปลงไปมากไม่เหมือนที่หล่อนเคยเห็น อนุเสาวรีย์พระเจ้าตากซึ่งจะอยู่ใกล้ๆกับโบสถ์ก็หายไปอย่างไร้วี่แวว รูปปั้นทหารซ้อมมวยที่หล่อนเคยไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วยหลายครั้งกับไม่มีให้เห็น
“หายไปไหนหมด” หล่อนตั้งคำถามกับตนเอง รู้สึกประหลาดใจและกลัวว่าตนเองกำลังจะเผชิญกับสิ่งที่ขุนไกรเคยประสบมาแล้ว

“แย่แล้วหรือว่าเราจะหลงยุคมา” หล่อนลำดับภาพเหตุการณ์ต่างๆก่อนหน้านี้

“นั่นใคร” เสียงหนึ่งดังขึ้นนุ่มทุ้มจนหล่อนเดาได้ว่าคงเป็นผู้ชาย แต่เสียงนั้นกับไม่ใช่เสียงของขุนไกร เขาเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่และกำลังเดินตรงเข้ามาหาหล่อน

บุรุษหนึ่งรูปร่างสันทัดผิวขาวแลดูสะอาดสะอ้าน นุ่งผ้าโจงกระเบนสีน้ำตาลกับเสื้อแขนยาวเนื้อดีสีเข้มกว่าโจงกระเบน ในมือถือดาบผมของเขาไว้ทรงเดียวกับที่หล่อนเจอขุนไกรครั้งแรก หรือเรียกอีกอย่างว่าทรงมหาดไทยใบหน้าของเขาช่างดูคุ้นตาเสียเหลือเกิน ก็วิลันดาพึ่งจะพบกับเขาที่ตลาดน้ำอัมพวา

“คุณพล คุณนั่นเอง” วิลันดายิ้มหน้าบานอย่างน้อยหล่อนก็เจอคนรู้จักคงจะขอความช่วยเหลือเขาได้บ้างไม่มากก็น้อยเขามองหล่อนด้วยความสงสัยอีกทั้งเครื่องแต่งกายประหลาด เขาเองเป็นคนพื้นเพแถวนี้กับไม่เคยพบหล่อนมาก่อน เพราะเขาเข้ามากราบหลวงพ่อในโบสถ์แห่งนี้อีกทั้งยังได้รับบัญชาจากเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ให้นำเสบียงมามอบแก่เหล่าทหารอาสาเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ เสร็จภาระกิจแล้วเขาจึงเดินดูบริเวณรอบๆและเห็นแสงวาบๆอยู่ตรงใกล้สระน้ำศักด์สิทธิ์เขาจึงเข้ามาดูและได้พบกับหล่อน

“เราคือจมื่นราชภักดี มิได้มีนามเยี่ยงที่แม่หญิงเรียกขานดอก”

“คุณพูดจาเหมือนกับขุนไกรเลย นี่อย่าบอกนะว่าที่นี่คือสมัยกรุงธนบุรี”

เขายิ้มเอ็นดูให้หล่อนพลางนึกแปลกใจกับกิริยาท่าทางตลอดจนการแต่งตัวของหล่อน
“แม่หญิงถามเราแปลกนักก็หลังจากกรุงศรีอยุทธยาล้างไปแล้ว พระเจ้าตากท่านก็รวบรวมไพร่พลสร้างเมืองกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรขึ้นมาใหม่แลเจ้าจักให้เป็นเมืองใดไปเสียได้”
วิลันดารูสึกว่าหล่อนหายใจไม่ทั่วท้อง ราวกับจะเป็นลมไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดกับตนเอง เขาเรียกหล่อนว่าแม่หญิงวิลันดาด้วย บางอย่างเริ่มชัดเจนขึ้น

“ว่าแต่เจ้ามาจากที่ใดรึ ไยแต่งตัวประหลาดนัก”

วิลันดาอึกอักตอบไม่ถูกเขาไม่ใช่คุณพลที่หล่อนรู้จักที่ตลาดน้ำอัมพวาแต่บังเอิญหน้าตาเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว อีกทั้งหล่อนยังหลงมายุคของเขา ถ้าจะให้หล่อนอธิบายอีกสามวันก็คงจะไม่เข้าใจกันง่ายๆหล่อนจะทำยังไงดี หล่อนคิดจนคิ้วเรียวงามขมวดเข้าหากัน

“นางมาจากพระนคร นางเป็นน้องสาวของข้าเอง” เสียงหนึ่งมาพร้อมกับกายกำยำล่ำสันต์สมกับใบหน้าหล่อคม ดังมาจากด้านหลังของสระน้ำอีกฝากเขาเดินตรงเข้ามาหาวิลันดา

“ขุนไกร” หล่อนดีใจเหลือเกินที่เห็นหน้าของเขาอย่างน้อยหล่อนก็ไม่ต้องอยู่ที่นี่แบบไม่รู้จักใคร
จมื่นราชภักดีหันหลังกับไปมองเสียงนั้นก็พบชายรูปร่างสูงใหญ่คมเข้มแต่งตัวไม่เหมือนคนสมัยของเขาแต่ใบหน้านั้นคุ้นเหมือนจะเคยพบกันมาก่อน

“พวกท่านมาจากที่ใดกันรึ ดูจากผ้าที่ท่านนุ่งข้ามีเคยพบเห็นมาก่อน”
“ข้าชื่อขุนไกร ส่วนนางเป็นน้องสาวของข้านางขอติดตามข้ามาเพราะได้ยินความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อซึ่งประดิษฐานในโบสถ์ นางจักมาขอกราบไหว้สักครั้ง

“ใช่ค่ะ” วิลันดาช่วยสนับสนุนอีกแรง

“หลวงพ่อโบสถ์น้อยนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างมากชาวละแวกนี้มิมีผู้ใดมิรู้จัก ชาวพระนครเยี่ยงพวกท่านก็ได้ยินคำล่ำลือด้วยกระนั้นรึ”

“ใช่แล้ว ส่วนที่พวกข้าแต่งกายเยี่ยงนี้เนื่องจากกาเดินทางมาครั้งนี้เรามิได้ให้บ่าวไพร่ติดตามมาด้วยเพราะเป็นช่วงเกี่ยวข้าวบ่าวไพร่จักได้ทำงานอย่างเต็มกำลัง เพลานี้ข้าวปลาในพระนครนั้นก็ขาดแคลนนัก ระหว่างการเดินทางห่อผ้าของพวกข้าถูกคนขโมยไป ดีสียแต่ว่าได้พบชาวโปรตุเกสมีน้ำใจช่วยเราไว้ แลให้เสื้อผ้าของพวกเขาแก่เรา”

วิลันดาอึ้งกับคำตอบของขุนไกร ไม่คิดเลยว่าคนหน้าตาซื่ออย่างขุนไกร เวลาเขาโกหกจะสามารถแต่งเรื่องขึ้นมาเป็นช่องเป็นฉากแต่ก็แอบดีใจที่เขามาช่วยหล่อนไว้ทันไม่เช่นนั้นหล่อนก็ไม่รู้จะบอกย่างไรกับ
จมื่นรูปหล่อคนนี้

“ที่แท้ก็เป็นเยี่ยงนี้เอง”

“ข้าเองก็รู้สึกคุ้นหน้าท่านนัก ราวจักเคยพบท่านที่ใดมาก่อน” ขุนไกรเอ่ย และนึกขึ้นได้ว่าเขาพบชายคนนี้ตอนที่พระยามิตรไมตรีพาไปเยี่ยมเพื่อนรัก พระยาสีหเดโชตอนที่ท่านป่วย

“ข้านึกได้แล้วที่แท้ท่านเป็นบุตรชายของพระยาสีหเดโช พี่ชายของแม่หญิงดาวเรืองใช่รึไม่”

“ใช่ ข้าก็จำได้ว่าที่แท้ท่านก็คือขุนไกรคู่หมั้นแม่หญิงดาวเรืองน้องข้านี่เอง ” ตอนนี้จมื่นราชภักดีคิดในใจทันทีว่า หากคราวหน้ากลับไปเยี่ยมพ่อที่พระนคร จะต้องให้ท่านไปทาบทามบุตรสาวของพระยามิตรไมตรี มาเป็นคู่หมายให้เขาให้ได้เพราะเขารู้สึกรักแรกพบกับน้องสาวของขุนไกรผู้นี้เสียแล้ว

“ถ้าเยี่ยงนั้นเพลานี้ท่านคงจักมิมีที่พัก ไปพักยังเรือนของข้าก่อนเถิด”จมื่นรูปงามชักชวนด้วยความเต็มใจ

“เกรงจักเป็นการลำบากท่าน ข้ากับน้องสาวกำลังจักเดินทางกลับพระนครกันในเพลานี้”

“หาต้องเกรงใจไม่ ในเมื่อเรากับท่านก็จักเกี่ยวดองกัน พูดไปก็เปรียบเสมือนญาติมิตร”เขาพยามจะหาข้ออ้างชักชวน เพราะเขาอยากจะทำความรู้จักกับแม่หญิงน้องสาวของขุนไกรนัก

เอ่อ !ขุนไกรพยามจะปัดแต่ดูท่าแล้วจมื่นราชภักดีคนนี้ จะไม่ยอมง่ายๆ สายตาของผู้ชายด้วยกันเขาดูออกว่าพี่ชายของแม่หญิงดาวเรืองคงจะแอบชอบวิลันดาเข้าให้แล้ว ถ้าเขามาคนเดียวจริงแล้วเขามีพวกพ้องที่นี่มากมายหลังจากก่อนที่จะเกิดเรื่องหลงยุคไปนั้น เขาก็วางแผนว่าหลังจากได้ทำงานที่ได้รับมอบหมายให้มาสำรวจแล้วจะไปพักบ้านเพื่อนซึ่งอยู่ในละแวกนี้ แต่คราวนี้มีหล่อนมาด้วยเขาคิดจะเอาหล่อนไปฝากไว้กับแม่ที่พระนครก่อน แต่การเดินทางกว่าจะถึงคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็เป็นวันและหล่อนเองก็เป็นหญิงอีกทั้งมีรูปงามเสียด้วยคงต้องยอมรับความช่วยเหลือของจมื่นผู้นี้ไปก่อน

“ถ้าเยี่ยงนั้นแล้ว ข้ากับน้องเห็นทีจักต้องรบกวนท่านจมื่นแล้วกระมัง”

“ข้าเต็มใจให้ท่านกับน้องไปพักที่เรือนหาได้ต้องเกรงใจ”จมื่นราชภักดีรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเผลอไปสบตากับน้องสาวขุนไกร

“แม่หญิงน้องท่านนางมีนามว่ากระไรรึ” เขาเอ่ยถามขุนไกรแต่สายตากับจับจ้องไปที่แม่หญิงคนงาม

“ฉันชื่อวิลันดาค่ะ เรียกชื่อเล่นดิฉันว่าวิก็ได้ค่ะ” หล่อนยิ้มตอบเขาแทนขุนไกร โดยไม่ได้มองว่าขุนไกรมีแววตาไม่พอใจแวบหนึ่ง

“เจ้าว่ากระไรรึ” เขาทำหน้างง ๆเพราะทั้งชื่อและการพูดจาของหล่อนช่างดูผิดหู

“เอ่อคือ… ท่านจมื่นน้องของข้านางมิใคร่จักสบาย นี่รึก็กำลังจับไข้อยู่อาจจักพูดจาอันใดผิดแผกไปบ้างขอท่านอย่าได้ถือสานาง” ขุนไกรรีบแก้ต่างให้หล่อน

วิลันดาได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ความรู้สึกนี้กระมังที่ตอนขุนไกรไปอยู่ในยุคของหล่อน ทำตัวไม่ถูก
“ว่าแต่ไยข้ามิรู้มาก่อนเลยว่าท่านมีน้องสาว”

เขายังจำได้ว่าคราวที่แล้วไปงานหมั้นของขุนไกรกับแม่หญิงดาวเรืองน้องเขาก็ไม่เคยพบนางผู้งดงามนี้มาก่อน
“นางเป็นลูกพี่ลูกน้องกับข้าหาใช่น้องสาวร่วมมารดากับข้าไม่ นางพึ่งจักเดินทางมาจากพิษณุโลกมินานนักท่านจึงมิเคยได้พบกับนาง”

“อืม! เป็นเยี่ยงนี้เอง” แม้จะรู้สึกแปลกกับพี่น้องคู่นี้แต่เขาก็เก็บความสงสัยนั้นไว้กับตัวมิได้เอ่ยซักถามต่อ

“ข้าว่าเรารีบเดินทางกลับเรือนข้าดีกว่าก่อนจะย่ำค่ำ” จมื่นราชภักดีนำสองพี่น้องที่ถูกอุปโลกขึ้น ไปพักโดยมีบ่าวไพร่เดินตามคอยระแวดระวังภัยให้

++++++++++++
ความมืดเริ่มโรยตัวลงมา บนเรือนไทยลักษณะหลังคาทรงมนิลาสูงมีปั้นลม กันสาดและใต้ถุนถูกยกสูง ตั้งอยู่กลางสวนซึ่งแวดล้อมไปด้วยผลไม้ ดอกไม้หลากหลายชนิด อาทิ ส้มโอ ลิ้นจี่ บัดนี้บ่าวรับใช้บนเรือนเริ่มมองเป็นตาเดียวกันเมื่อผู้เป็นนายได้พาชายหนุ่มและหญิงสาวซึ่งมีลักษณะหน้าตางดงามแต่แต่งตัวผิดแปลกจากคนทั่วไปขึ้นมาบนเรือน

“แช่ม จงนำพาแม่หญิงวิลันดาไปอาบน้ำอาบท่าเสีย แลจัดแจงหาเสื้อผ้าอย่างดีให้นางเปลี่ยนด้วย จักได้มารับข้าวพร้อมกัน” น้ำเสียงเสียงผู้เป็นนายสั่งบ่าวไพร่อย่างนุ่มนวล

จมื่นราชภักดีเรียกนางแช่ม วัย 50 ปีคนเก่าแก่ซึ่งเป็นบ่าวที่ท่านหญิงแย้มแม่ของเขาส่งมารับใช้ใกล้ชิดที่เรื่อนหลังนี้ซึ่งเรือนที่บางช้างนี้เป็น มรดกตกทอดจากคุณยายของเขาซึ่งส่วนมากจมื่นราชภักดีมักจะขอมาอยู่ที่นี่แต่เขาก็แวะเวียนไปเยี่ยมบิดามารดามิได้ขาด

“ขอบคุณมากค่ะ” หล่อนยิ้มหวานให้เขาเดินตามแม่แช่มไปทางเรือนปลีกขวา
“มิเป็นอันใดดอกเจ้า แม่หญิงเป็นน้องขุนไกรเปรียบไปก็เสมอเหมือนน้องของพี่” เขามองตามร่างบางนั้นไปนึกอยากให้เจ้าของร่างงามนั้นมาเป็นนายหญิงของเรือนหลังนี้

ขุนไกรมองตามวิลันดาด้วยสายตาเป็นห่วง หล่อนคงตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับเขาก่อนหน้านี้ หล่อนคงจะต้องปรับตัวให้คุ้นเคยกับการเป็นสาวยุคธนบุรีศรีมหาสมุทรเสียแล้ว นึกแล้วเขาก็แอบขำหล่อนอยู่เหมือนกันเมื่อก่อนชอบแกล้งเขาดีนัก

+++++++++++++++++++++++
“เดี๋ยวป้าจะทำอะไรฉันคะ” หญิงสาวเอามือปัดป้องเมื่อแม่แช่มกำลังจะอาบน้ำให้กับหล่อน หญิงสาวเขินอายเพราะไม่เคยต้องมีใครมาอาบน้ำให้มาก่อน

“โอ๊ย แม่หญิงแจ้าขามิต้องอายบ่าวดอก บ่าวจักช่วยอาบน้ำขัดขมิ้นให้เจ้าค่ะ”

“ไม่เอานะ ไม่ต้องค่ะฉันทำเองได้” วิลันดาปัดป้องเป็นพัลวัน

ภายในห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านหลังเรือนไทยบัดน้ำกำลังวุ่นวายเพราะอีกคนหนึ่งพยามจะช่วย ส่วนอีกคนก็ไม่ยอมกว่าวิลันดาจะอาบน้ำเปลี่ยนผ้านุ่งเสร็จเรียบร้อยจึงต้องใช้เวลานานนับชั่วโมง

ขณะที่สองหนุ่มกำลังคุยเรื่องราวต่างของบ้านเมืองกันอย่างออกรสที่หน้าชาญ ลมเย็นๆพัดมาซึ่งตอนนี้ขุนไกรก็ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในชุดลำลองแบบผู้ชายทั่วไปในกรุงธนสวมใส่กัน พลันสายตาจมื่นราชภักดีก็ตะลึงกับบางอย่างเหมือนต้องมนต์สะกด จนทำให้ ขุนไกรผู้ที่นั่งยังฝั่งตรงข้ามต้องหันไปมองตามว่ากิดอะไรขึ้น

เจ้างามเหลือเกิน!

จมื่นราชภักดีอุทานเบาๆแต่ก็ทำให้คู่สนทนานั้นได้ยินและเริ่มรู้ตัวเสียแล้วว่าตอนนี้ได้เจอคู่แข่งหัวใจที่สมน้ำสมเนื้ออีกคนเป็นแน่ศึกรบนั้นยากนักแต่ศึกรักนั้นยากยิ่งกว่า

จมื่นราชภักดีมองวิลันดาอย่างมิวางตาขณะหล่อนกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับนางแช่มผู้ที่ช่วยแต่งตัวให้วิลันดาจนหล่อนงามจับตา ใบหน้าขาวนวลเนียนแม้แค่ผัดแป้งกระแจะจันทร์หอมกรุ่น ปล่อยผมสวยสยายเต็มแผ่นหลัง หล่อนสวมผ้าถุงแทบสีชมพูปลายผ้าถุงนั้นปักด้วยไหมทองงามนักหนา ห่มสไบสีชมพูซึ่งอ่อนกว่าสีของผ้านุ่งขับให้ผิวขาวลออของหล่อนงามผุดผาดมีสร้อยสังวาลคาดทับอีกที และคาดเข็มขัดเงินมันวาวมีหัวประกอบด้วยพลอยหลากสี ซึ่งเครื่องแต่งตัวทั้งหมดเป็นของแม่หญิงดาวเรืองผู้เลือกเฟ้นแต่เครื่องแต่งกายงดงามให้ตนเสนมอซึ่งนานๆที่หล่อนจะตามมารดามาพักยังเรือนที่บางช้างนี่สักทีแต่ยังดีที่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ของหล่อนอยู่ที่นี่อยู่บ้าง


“เผื่อนเอ็งไปยกสำรับกับข้าวมาได้แล้วหนา แม่หญิงกับท่านขุนไกรคงจักหิวแล้วกระมัง”
“เจ้าค่ะนายท่าน”

นางเผื่อนบ่าวสาววัยละอ่อนหลานของแม่แช่ม รีบลงเรือนไปยกสำรับกับข้าวตามนายสั่งอย่างรวดเร็วซึ่งอาหารวันนี้มีเนื้อเค็มต้มกะทิ ,ผัดฝักทอง , น้ำพริกกะปิ ,ปลาทูทอด ผักต้มราดหัวกระทิอีกทั้งของหวานคือสละลอยแก้ว

“ไม่มีช้อนกับส้อมหรือคะ” หล่อนถามอย่างลืมตัวไปว่าคนยุคนี้ใช้มือเปิบข้าวกัน

“แม่หญิงอยากทานส้มเดี๋ยวพีจักให้บ่าวไพร่จัดมาให้” แต่จมื่นราชภักดีนั้นมัวแต่มองโฉมนางจนได้ยินประโยคหลังเป็นส้มไปเสีย

“นางคงอยากกินส้มคนมิใคร่สบาย คงมิอยากรับข้าวปลาสักเท่าใดกระมัง” ขุนไกรก็พลอยช่วยแก้ต่างให้วิลันดาไปด้วยเพื่อไม่ให้จมื่นรูปงามผู้นี้เกิดข้อสงสัย

ขุนไกรนั้นส่งสายตาและท่าทางเป็นการบุ้ยใบ้ให้หล่อนกินข้าวด้วยมือแบบเขา และเอามือชุบน้ำในถ้วยเคลือบอีกใบตรงหน้าเสียก่อน คนหัวไวอย่างวิลันดาก็ทำตามเขาแม้จะยากสักหน่อยกับการต้องกินข้าวแบบใช้มือแทนช้อนครั้งแรก

“ปลาทูนี้แถวนี้รสดีนักเจ้าลองชิมดูเสียหน่อยเถิด” ผู้เป็นเจ้าของบ้านแกะเนื้อปลาทูตัวใหญ่อวบอ้วนมาวางบนชามกระเบื้องเคลือบลายโบตั๋นซึ่งเป็นชามใส่ข้าวของวิลันดาขุนไกรจึงชะงักมือซึ่งกำลังจะตักน้ำพริกให้หล่อนเปลี่ยนมาตักให้ตัวเองแทน

“ขอบคุณค่ะท่านจมื่นราชภักดี” หล่อนยิ้มตอบขอบคุณเขา แม้การพูดจาของหล่อนจะดูแปลกหูแต่ในยามนี้จมื่นราชภักดีก็ยังไม่ได้สงสัยเพราะมัวแต่ชมโฉมนางและคิดว่าการพูดแปลกๆ คงจะมาจากการจับไข้

“พี่ขอให้เจ้าเรียกพี่ว่าพี่เพ็ง จักดีกว่าเรียกท่านหนาแม่หญิง” แววตาเป็นประกายหวานส่งให้หล่อนผู้งามพิชิตใจเขา เขาเต็มใจให้หล่อนเรียกชื่อเล่นของเขา

ขุนไกรนั้นแอบขุ่นใจกับกิริยาของจมื่นราชภักดีที่ทำท่าทางว่าชอบหล่อนออกหน้าออกตาแต่ได้แต่เก็บงำไว้ในใจ

“มิทราบว่าอาหารมื้อนี้จักถูกปากท่านขุนไกรรึไม่”

“อาหารนี้รสชาติดีนักหนาเสียแต่อาจจักหวานไปเสียหน่อยกระมังท่าน” แท้จริงแล้วคำว่าหวานนั้นของขุนไกรนั้นไม่ใช่อาหารที่รสชาติหวานแต่ประชดพ่อเพ็งผู้นี้ที่มาบังอาจทำตาหวานใส่หล่อนอย่างไม่เกรงใจเขาสักนิด

“แลเจ้าล่ะอาหารสำรับนี้คงหวานไปเยี่ยงเดียวกับขุนไกรกระมัง คราวหน้าพี่จักสั่งบ่าวไพร่ในครัวให้ทำอาหารรสมิหวานนักจักได้ถูกปากแม่หญิงกับขุนไกร” เขาพูดอย่างจริงใจคิดว่าสองพี่น้งคงไม่ชอบอาหารรสหวาน

“อย่าลำบากเลยค่ะฉันคิดว่ารสชาติก็ไม่หวานนะกำลังดี” หล่อนคิดเช่นที่พูดและรู้สึกเกรงใจเจ้าของเรือนเป็นอย่างมากที่ขุนไกรไปติว่าอาหารของเขามีรสหวานไป

ขุนไกรแอบมองหล่อนด้วยสายตาคาดโทษ พลางคิดในใจว่าหล่อนคงจะชอบคำพูดหวานๆสายตาหยาดเยิ้มยามมองหล่อนของจมื่นราชภักดีเสียแล้วกระมัง แต่วิลันดาและเจ้าของเรือนกับไม่เห็นสายตานั้นเพราะกำลังสนทนากันถึงเรื่องอาหารอยู่

“คืนนี้ข้าจักให้แม่หญิงวิลันดาพักห้องแม่หญิดาวเรืองน้องข้าไปก่อน ส่วนท่านข้าได้ให้บ่าวไพร่ไปจัดห้องหับไว้เรียบร้อยดีแล้ว” เขาบอกกับแขกพิเศษด้วยเสียงนุ่มนวล

“ต้องรบกวนท่านจมื่นแล้วขอรับ”

“เรียกข้าว่าพี่เพ็งตามน้องของท่านจักดีกว่าหนา จงอย่าเรียกตามยศให้ยุ่งยากไปไย อีกมินานเราก็จักเกี่ยวดองกันแล้ว” คำว่าเกี่ยวดองของพ่อเพ็งใช่เพียงแต่ว่าเขาจะอยากได้ขุนไกรมาเป็นน้องเขยเท่านั้นแต่หมายมั่นตั้งใจแล้วว่าเขาเองก็จะสมัครไปเป็นน้องเขยของขุนไกรเช่นกัน หลังร่วมทานของหวานกันเสร็จสรรพแล้วพ่อเพ็งเองก็เห็นว่าขุนไกรกับวิลันดาคงจะเพลียมากจึงให้บ่าวไพร่พาแขกไปยังห้องพัก วิลันดาพึ่งรู้ว่าในยุคก่อนนี้ถ้าเกิดเป็นคุณหนูลูกผู้ดีก็จะมีความเป็นอยู่สบายกว่าคนธรรมดามากห้องของแม่หญิงดาวเรืองถูกตกแต่งอย่างงดงามไม่แพ้รีสอร์ทบางแห่งที่ตกแต่งเลียนแบบเลยพลางคิดว่า เจ้าของห้องคงจักงามน่าดูเพราะโต๊ะเครื่องแป้งซึ่งมีครรช่องไม้แกะสลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจงนั้นมีเครื่งประทินโฉมวางอยู่อย่างเป็นระเบียบเต็มโต๊ะแม้หญิงสาวจะยังไม่ทราบว่าแต่ละอย่างใช้อย่างไรบ้าง

“คุณหนูเจ้าขา หากตอนกลางคืนคุณหนูอยากไปเว็จบอกบ่าวหนาเจ้าคะ บ่าวจักนำทางให้เจ้าค่ะ”
“เว็จคืออะไรหรือคะป้า” หล่อนไม่เข้าใจจริงๆจึงถามออกไปเช่นนั้น

“ก็ที่สำหรับปลดหนักปลดเบาอย่างไรเจ้าคะ” แม่แช่มคิดว่าแม่หญิงผู้นี้คงเป็นไข้ไม่สบายอย่างที่ท่านจมื่นว่าเพราะจะมีใครบ้างไม่รู้จักเว็จ อีกทั้งการพูดจาก็ดูแปลกเหลือเกิน

“บนเรือนไม่มีเว็จ อะไรนั่นหรือคะป้าถึงจะต้องออกไปข้างนอกด้วย”

“คุณหนูเจ้าขามิทราบรึเจ้าคะ ว่าใครๆเขาก็ต่างสร้างเว็จไว้นอกบ้านกันทั้งนั้น ถ้าเป็นพวกบ่าวมิต้องใช้เว็จดอกวิ่งไปทุ่งกันเท่านั้น”

วิลันดายิ้มบางๆ ให้แม่แช่มเพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร หล่อนเข้าใจความรู้สึกขุนไกรแล้วว่ารู้สึกเช่นไรบ้างยามที่เขาหลงไปยังยุคของหล่อน ร่างบางล้มตัวลงนอนเพราะความอ่อนเพลี่ย พยายามข่มตาให้หลับลง ต่อไปนี้หล่อนคงต้องทำความคุ้นเคยกับชื่อเดิมที่จะถูกเติมคำนำหน้าลงไป แม่หญิงวิลันดา

ขุนไกรเองก็ข่มตาหลับยากนักเพราะยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรกับวิลันดาต่อไปเขาจะพาหล่อนไปยังกรุงธนบุรีและจะบอกกับท่านพระยาผู้เป็นพ่อ และขุนท้าวเฟื่องผู้เป็นแม่ว่านางนั้นเป็นใครกัน แต่คงไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าการเล่าความจริงถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องหน้าเหลือเชื่อและยากที่จะเชื่อก็ตาม

+++++++++++++++
ณ.ค่ายลับของกองสอดแนมพม่า ซึ่งตั้งซ่อนเล้นหลบตัวอยู่ มารหญ่าย ผู้อาวุโสกำลังมอบหมายงานให้กับเหล่าบรรดาพวกเสือหมอบแมวเซาให้ไปหาข่าวตลอดจนจับตาความเคลื่อนไหวของกรุงธนบุรี
“พวกเจ้าเข้าใจกันดีแล้ว ก็ไปกันได้แลอย่าให้พลาดเป็นอันขาด” มารญ่ายสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
อะแซก้าวขาออกกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้สูงราวกับนินจาล่องหนจากนั้นก็ไม่มีใครเห็นเขาอีกแล้ว ยะโมหนั่ยกระชับผ้าที่ปิดหน้าของหล่อนให้เข้าที่เตรียมจะไปหาข่าวที่ได้รับมอบหมายให้ติดตามทหารกล้าผู้มีหน้าที่เป็นครูฝึกทหาร
“เดี๋ยว ยะโมหนั่ย” มารญ่ายเรียกหล่อนไว้

“มีอันใดอีกรึเจ้าคะ” ยโมหนั่ยชะงักเท้า หยุดมองอาจารย์ผู้สั่งสอนมาแต่ยังเยาว์

“ครานี้อย่าให้พลาดอีก ข้ารู้ว่าเจ้าฝีมือดีนักแต่การพลาดหลายคราอาจนำพามาซึ่งภัยแก่ตัวเจ้า” ยะโมหนั่ยมั่นใจว่าคราวนี้หล่อนจะไม่พลาดอีก ขุนไกรจะหลบหล่อนราวกับหายตัวไปได้อีกไม่ได้แล้ว หล่อนจะต้องได้ข่าวความเป็นไปของค่ายบ้างกุ้งมาบอกแก่อาจารย์และท่านแม่ทัพพม่าเพ หลังจากหล่อนรับคำอาจารย์ก็กระโจนขึ้นต้นไม้ใหญ่อย่างง่ายดาย

“โบ๊ะด๊ะฮู เจ้าจะไปไหน”มารญ่ายเรียกหลานชายเอาไว้เพราะเห็นว่าเขากำลังจะตามยะโมหนั่ยไป
“ข้าเป็นห่วงนาง”

“มิต้องตามนางไปดอก แลเลิกคิดในสิ่งที่เจ้ากำลังคิดได้แล้วหากพ่อของนางรู้ความเข้า หัวของเจ้าอาจจักมิได้อยู่บนบ่าก็ย่อมได้”

มารญ่ายรู้ดีว่าหลานชายของเขาคิดอย่างไรกับหล่อน แม้ยะโมหนั่ยไม่ใช่ลูกเมียเอก เป็นเพียงลูกที่ท่านแม่ทัพมีกับเชลยสาวชาวสยาม แต่ถึงอย่างไรคนเป็นพ่อคงต้องการให้ลูกสาวได้ครองคู่กับผู้มีความเหมาะสม ไม่ใช่โบ๊ะด๊ะฮูลูกชายอดีตนายกองผู้เกรียงไกรแห่งกองทัพพม่าที่ไม่ได้มีชีวตอยู่แล้ว อำนาจจึงหมดตามไปด้วย เขาไม่อยากให้หลานชายที่เฝ้าฟูมฟักมาต้องเสียใจ

+++++++++++++++++++++++++++



อัปสรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ก.ค. 2554, 15:54:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ก.ค. 2554, 15:54:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 2255





<< ตอนที่ 5   
lovemuay 19 ก.ค. 2554, 19:57:19 น.
แอบงงๆกับภาษาโบราณนิดนึงอย่าง"เว็จ" ก็เพิ่งเคยได้ยิน แต่ก็ได้อรรถรสไปอีกแบบนะคะ ^^


nooyuhu 18 ส.ค. 2554, 14:12:40 น.
เมื่อไรจะมาอัพต่อล่ะจ้ะ อยากอ่านต่อ ใจจะขาดแล้ววว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account