ดวงจิตสื่อรัก
Tags: ไม่ใช่แนวตบจูบเป็นเรื่องที่แต่งจากประสบการณ์เรื่องจิตวิญญาณ
ตอน: ตอนที่ 11
ตอนที่ 11
“พี่อามทำไมพาข้าวมาคอนโดไม่พาไปโรงพยาบาล” กีรกันตาโวยลั่นเมื่ออมรินทร์ไม่พาเธอไปทำแผลที่
โรงพยาบาล
“วันนี้ไม่เหมาะที่จะให้ข้าวอยู่โรงพยาบาล พี่กลัวข้าวจะก่อเรื่องอีก แผลแค่นี้หมออามรักษาได้” ความ
จริงคือเขาไม่อยากให้กีรกันตามีเรื่องอีกเพราะถ้าเข้าโรงพยาบาลทำแผลหมอที่รักษาคือแฟนของคู่กรณีเธอ
“พี่อามเห็นข้าวเป็นคนชอบหาเรื่องไปได้ ความจริงข้าวไม่อยากมีเรื่องหรอกแต่ยัยคนนั้นทำผิดแล้วยัง
ลอยหน้าลอยตายั่วอยู่ได้ ไม่สำนึกเลย ข้าวถึงต้องเอาเรื่อง” เธออารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยจึงพูดจาดูมีเหตุผลมากขึ้น
“ขอร้องล่ะอย่าอวดเก่งนักเลย ตัวแค่เนี่ย คนคุ้มกันก็ไม่มี ข้าวกำลังสู้กับลูกสาวคนโปรดของผู้ทรงอิทธิ
พลของบ้านเมืองที่ใครๆต่างพากันเกรงใจ” สิ่งที่เขาบอกทำให้เธอได้คิด เธอไม่เคยสนใจหรือยกย่องคนพวกนี้
สำหรับเธอคนดีในคราบนักการเมืองหายาก มีแต่คนที่เลวน้อยที่สุดเท่านั้นแต่วงการนี้กลับวนเวียนใกล้เธอ
พี่ชายก็เป็นหนึ่งที่ต้องไปพัวพันอย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะเกรงใจเจ้านายเก่าที่เคยสนับสนุนกันมาและรู้ว่าพี่ชาย
ต้องการช่วยชาติจากใจจริง อย่างน้อยก็ช่วยยับยั้งบางเรื่องได้
“เข้าใจแล้ว เอาเป็นว่าจะพยายามไม่พาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับยัยคนนี้อีก แต่ข้าวไม่อยู่เฉยแน่ถ้าถูกหาเรื่อง
ก่อน” เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมถึงกลายเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นไปได้ ถ้าเป็นคนอื่นทำกับเธอแบบนี้
เธอจะตามไปเอาคืนมั้ย กีรกันตาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง และคำตอบที่ได้คือ ‘ไม่’ แต่ทำไมกับผู้หญิงคนนี้แค่พบ
หน้ากันครั้งแรกก็รู้สึกไม่ถูกชะตา มันอะไรกัน เธอคิดทบทวนกลับไปมาพลันก็มีเสียงดังจากจิตส่วนลึกดังขึ้น
‘ผกาแก้ว หล่อนช่างชั่วร้ายนัก ทำเกินไปแล้ว ฉันจะไม่ยอมผู้หญิงมากเล่ห์อย่างหล่อนอีกต่อไป’
กีรกันตาตกใจทำไมอยู่ดีๆก็มีเสียงนี้ผุดขึ้นมาในใจและรู้สึกชิงชังคนชื่อผกาแก้วมากแต่อมรินทร์รู้
มันเป็นความทรงจำจากอดีตชาติที่ฝังแน่นอยู่ในดวงจิตและยามจิตสงบเป็นสมาธิโดยไม่รู้ตัวจะปรากฏให้เห็นหรือได้ยิน
เขารู้แล้วเรื่องของกรรมวิบากเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกพ้นได้และไม่มีใครเข้าไปขวางเส้นทางกรรมของใครได้นอก
จากเจ้าของกรรมจะเปลี่ยนเส้นทางเอง วันนี้เขาพยายามถ่วงเวลาไม่ให้เธอพบเจอเรื่องเลวร้ายแต่มันก็เกิดจนได้
“เลิกพูดถึงคู่กัดข้าวได้แล้ว ไปทำแผลก่อน แล้วอย่าอวดเก่งเดินลงจากรถเองนะ รอพี่ประคองไปก่อน”
เขาเปลี่ยนเรื่องและเดินมาเปิดประตูให้เธอพร้อมประคองตัวพาขึ้นลิฟต์ไปที่ห้อง กีรกันตาไม่ขัดขืนเพราะยอม
รับสภาพตัวเอง เข้ามาในห้องเขาก็พาไปนั่งที่มุมรับแขก บนโซฟาตัวยาว
“นั่งรอตรงนี้นะ พี่ขอไปเอาอุปกรณ์ทำแผลก่อน” เขาสั่งก่อนเดินหายเข้าไปในห้องและกลับออกมา
พร้อมกล่องเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทำแผล พอเธอเห็นเข้าก็รู้สึกแหยงๆ โดยเฉพาะเจ้าแอลกอฮอล์กับยา
ใส่แผลสดและเบตาดีน แค่คิดก็แทบจะร้องซี๊ดแล้ว
“พี่อาม ไม่ใช้แอลกอฮอล์ไม่ได้เหรอ ใช้อย่างอื่นที่ไม่แสบเช่นน้ำเกลือก็ได้” เธอขอตัวเลือกอื่นขืนใช้
แอลกอฮอล์มีหวังปวดแสบจนน้ำตาร่วงแน่
“ไม่ได้ แผลครูดกับพื้นถนน สกปรกใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อจะดีที่สุด ทนเจ็บนิดหนึ่งนะ” เขาปฏิเสธ
เสียงเข้มหากนัยน์ตาพราวระยับแถมต้องกลั้นยิ้มเต็มที่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าสยดสยองยามจ้องมองขวด
แอลกอฮอล์ราวกับเป็นยาพิษที่ต้องรีบกำจัดทิ้ง
“พี่อาม ข้าวแค่ถลอกเล็กน้อย ไม่ติดเชื้อมากมายหรอก เอาแค่น้ำเกลือล้างแผลตามด้วยเบตาดีนก็พอ
แผลข้าวไม่ได้ลึกถึงขั้นติดเชื้อรุนแรงจนต้องใช้แอลกอฮอล์สักหน่อย” เธอหาเหตุผลมาสนับสนุน
“ตามใจนะ ถ้าแผลเน่า ต้องไปขูดหนองออกราดด้วยแอลกอฮอล์จะปวดแสบยิ่งกว่านี้อีก อยากเป็นอย่าง
นั้นก็ตามใจ” เขาแกล้งขู่ไปอย่างนั้นเอง เห็นคนสวยน่ารักทำหน้าสยดสยองแล้วตลกดี
“ไว้เน่าค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้ขอเลือกที่เจ็บน้อยที่สุดก่อน วันนี้เจ็บมามากพอแล้ว” เธอเลือกความ
สบายเฉพาะหน้ามากกว่ายอมเจ็บอีก
“ที่นี้รู้แล้วใช่มั้ยทำไมพี่ไม่พาข้าวไปทำแผลที่โรงพยาบาล นางพยาบาลไม่ตามใจข้าวแน่ ยิ่งถ้าเจอคน
โหดล่ะก็ อาจราดแอลกอฮอล์ทั้งขวดลงไปที่แผลก็ได้ เห็นความดีของพี่หรือยัง” เขาอ้างความดีความชอบหน้าตา
เฉย เธอถึงรู้ว่าถูกเขาหลอก ที่แท้ก็เอาแอลกอฮอล์มาขู่เธอเล่น ไม่น่าโง่เลย เสียทีจบเภสัชมา
“หมอใจร้าย ข้าวเจ็บจะแย่ยังแกล้งได้ลงคออีก เกลียดนักเชียว” เธอกลับมองไม่เห็นความดีในตัวเขา
แถมทำหน้าหงิกงอใส่เขาอีก
“เกลียดลงเหรอ หมออามออกจะเป็นคนดี น่ารัก ใครเห็นใครก็ชอบ” เขายังอดแหย่เธอเล่นไม่ได้
“พี่อามถ้ายังไม่เลิกยั่วข้าวเล่นอีก ข้าวโกรธจริงๆด้วย” ดวงตาคู่สวยจ้องมองเขาอย่างเอาเรื่อง
“ เอาล่ะพี่ไม่แกล้งข้าวแล้ว แผลแค่นี้ไม่ต้องถึงขั้นแอลกอฮอล์หรอก ใช้น้ำเกลือขวดนี้และตามด้วยเบตา
ดีนก็เอาอยู่ แต่..ขาสวยๆอาจหมดสวยนะ ทนได้รึเปล่า”
“พี่อาม !! รีบๆทำแผลสิ ข้าวไม่มีเวลามากนักหรอก ต้องกลับไปรายงานตัวอีก เลทมาเกือบสองชั่วโมง
แล้ว ข้าวยังไม่อยากชวดงานนี้นะ”
“วันนี้ไม่ต้องไปแล้ว รอให้แผลหายก่อน พี่โทรไปบอกเพื่อนหมอด้วยกันให้ช่วยบอกหัวหน้าฝ่ายเภสัช
กรรมให้เลื่อนวันรายงานตัวข้าวออกไปอีกสองสามวัน เป็นไงสบายใจได้หรือยัง” เขาทำให้เธอแปลกใจอีกแล้ว
“พี่อามโทรตั้งแต่เมื่อไหร่” เธอไม่เห็นว่าเขาจะมีเวลาไปโทรศัพท์หาใครเลยตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว
พาเธอมาที่ห้องของเขา
“ความลับบอกไม่ได้ ข้าวทำแผลก่อนดีกว่า” เขาบอกพลางมองดูช่วงขาเรียวสวยมีแผลถลอกเลือดซึม
เป็นทางยาวตั้งแต่เหนือเข่าเล็กน้อยจนถึงน่อง ข้อศอกและแขนทั้งสองก็มีสภาพไม่ต่าง แต่พอเห็นข้อเท้าบอบบาง
ก็พูดว่า “ข้าวดูสิมีใครมายืนกวักมือเรียกที่ประตู” กีรกันตารีบหันไปดูแล้วรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ข้อเท้าจนเผลอส่งเสียง
แว้ดดังๆออกมา
“หมอบ้า เจ็บนะ” แต่หมอบ้ากลับสั่งว่า
“ลองลุกขึ้นเดินสิ ว่ายังเจ็บข้อเท้าอยู่อีกมั้ย” เธอจึงค่อยๆลุกขึ้นยืนลองเดินแล้วยิ้มออก ตะโกนออกมา
อย่างดีใจ “ไม่เจ็บแล้ว ไชโยเดินได้แล้ว”
“เอ เมื่อกี้หูแว่วๆใครว่า หมอบ้านะ” เขาเปรยมาให้ได้ยิน
“ของมันพลาดกันได้น่ะ เอาเป็นว่าข้าวขอโทษก็แล้วกันนะ” เธอหาข้ออ้างจนได้
“ตกลงยอมยกประโยชน์ให้จำเลยไป นอนลงได้แล้ว ได้เวลาทำแผลแล้ว” เธอทำตามเขาบอก สายตาจ้อง
มองดูมือใหญ่แข็งแรงทำความสะอาดแผลให้อย่างเบามือ คนเจ็บแทบไม่รู้สึกว่าเจ็บและสิ้นสุดการทำแผลโดยที่
ไม่น่าเกลียดนัก จากนั้นเขาก็หยิบยาแก้อักเสบมาให้เธอทานกันไว้ก่อน ถ้าวันนี้ไม่มีเขาอยู่ด้วยจะเป็นอย่างไรก็
ไม่รู้ สิ่งที่เธอไม่รู้อีกอย่างคือวิบากของเธอยังไม่จบแค่นี้ ยังต้องผจญต่อไปอีกหลังไปทำงาน ทุกอย่างไม่ได้สวย
หรูอย่างที่คิด
======================
ณ คฤหาสน์หลังงามของคณิน ตั้งสกุลวานิช นักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองเพราะเป็นกระเป๋าหลัก
ของพรรคการเมืองและมีนักการเมืองมาขอพึ่งบารมีหลายคน นอกจากนี้เขายังขยันสร้างภาพเป็นคนดีเรียกคะแนน
นิยมจากคนในสังคม เพื่อรอคอยจังหวะงามๆขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลในสมัยหน้า
ศวิตากลับมาด้วยท่าทีหงุดหงิดจนเป็นที่สังเกตของ ชายสูงวัยอายุหกสิบห้าทว่าหน้าตายังดูอ่อนกว่า
วัยเกือบหลายปีรูปร่างแม้จะไม่สูงนักแต่ก็จัดเป็นคนสูงวัยที่แข็งแรงและดูยังหนุ่มกว่าวัยมาก
“เป็นอะไรไปจุง บอกป๋าซิ” คณินถามบุตรสาวคนโปรด
“เปล่าค่ะ ป๋า แค่มียัยบ้าคนหนึ่งมากวนอารมณ์จุงแต่เช้า” เสียงศวิตาหงุดหงิดไม่น้อย
“ใครกัน กล้ามามีเรื่องกับลูกรักของป๋าบอกมา ป๋าจะให้คนสั่งสอนให้รู้สำนึก” แทนที่คนเป็นพ่อจะสอบ
ถามให้รู้เรื่องก่อน กลับเป็นเดือดเป็นแค้นแทนแต่ทำให้บุตรสาวคนสวยยิ้มได้และเดินเข้าไปหอมแก้มบิดา
อย่างประจบ
“ป๋าน่ารักจัง แต่ไม่ต้องดีกว่า เรื่องนี้จุงจัดการเองได้ ถ้าป๋าอยากช่วย ก็ให้ใครหาข้อมูลจิตแพทย์ที่ชื่อ
อมรินทร์ ให้จุงหน่อย ขอประวัติอย่างละเอียด เร็วๆด้วยนะคะป๋า” ศวิตาเริ่มแผนชิงตัวอมรินทร์มาเป็นของเธอ
ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงอยากแย่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของผู้หญิงคนนั้นมาเป็นของตัวเองนักพลันก็เหมือนมีเสียงหนึ่ง
แว่วเข้ามาในหูของเธอ
‘หล่อนไม่มีวันได้คุณหลวงมาครองไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันเพราะหัวใจคุณหลวงมีแต่คุณนิ่มเท่านั้น’
และมันก็ทำให้เธอรู้สึกแค้นจนแสดงออกทางสีหน้าและแววตาโดยไม่รู้ตัว
คณินขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ เมื่อครู่บุตรสาวยังอารมณ์ดีอยู่เมื่อเอ่ยถึงจิตแพทย์ชื่ออมรินทร์ อยู่ดีๆสีหน้า
กับแววตาก็แปรเปลี่ยนเป็นดุดันน่ากลัวได้อย่างประหลาด แต่ก็ไม่ถามอะไร
“ไว้ป๋าจะให้คนหาข้อมูลให้ คงไม่เกินสองวัน แล้วจะเอาหมอภีมไปทิ้งไว้ที่ไหน” คณินรู้ทันบุตรสาว
และฉลาดพอไม่ถามเรื่องที่สงสัย
“ก็เอาไว้ควงเล่นเหมือนเดิม บื่อเมื่อไหร่ค่อยเขี่ยทิ้งค่ะป๋า ป๋าก็รู้นี่จุงเป็นโรคขี้เบื่อ แต่ถ้าใครคิดตีจากจุง
ก่อน จุงไม่เอาไว้แน่” แต่ไหนแต่ไรมาศวิตาต้องเป็นผู้ชนะเท่านั้น เธอไม่ยอมเป็นผู้แพ้เด็ดขาดไม่ว่าเรื่องอะไร
คณินมองบุตรสาวคนสวยแล้วนึกโทษตัวเองที่เป็นคนเพาะนิสัยแบบนี้ให้ลูก ทำให้ศวิตากลายเป็นคน
ร้ายกาจ อยากได้อะไรต้องได้ไม่เคยสักครั้งที่จะผิดหวัง แม้หลายๆเรื่องอาจไม่ถูกต้องนักแต่ด้วยความรักอย่าง
ขาดสติคนเป็นพ่อจึงยอมทำเพื่อลูก เรื่องนี้ภรรยาเคยติงบ่อยๆ แต่เขาก็ไม่เคยใจแข็งกับบุตรสาวคนนี้ได้สักที
อาจเป็นเพราะมีแต่ลูกชายก็ว่าได้ ถึงตอนนี้คิดได้ก็สายเกินแก้แล้ว สู้ให้บุตรสาวมีความสุขดีกว่า เขาไม่รู้ว่าได้
ช่วยศวิตาก่อกรรมบ่อยๆจนเป็นเรื่องปกติ หากเขารู้จักกลัวเวรกรรมบ้างเขาจะไม่ทำเช่นนี้เพราะลำพังความชั่ว
ร้ายที่ตัวเองทำก็นับว่ามากพอแล้ว เพียงแต่บุญเก่ายังเกื้อหนุนอยู่เท่านั้นจึงทำให้ยังอยู่ดีมีสุข
========================
นิศาชลทำใจอยู่นานกว่าจะตัดสินใจมาหามารดาที่บ้านสามีตามกฎหมายได้ หากเธอไม่เป็นฝ่ายมาหา
เองมารดาก็ต้องไปหาอยู่ดี เธอไม่อยากให้ท่านไปหาที่บ้านเพราะอาจมีเรื่องกับวันทาได้และจะนำพาความอึดอัด
มาให้ทุกคนในบ้าน จริงอยู่เธออาจไม่รักและเคารพมารดาเท่าวันทาแต่คำว่า ‘หนี้ชีวิตที่ให้เธอเกิดมานั้นมันยิ่งใหญ่
เหนือสิ่งใด’ คงเป็นเพราะหนี้กรรมมั้งจึงทำให้ต้องมาคอยชดใช้ให้กับมารดาและคนพวกนั้นไม่จบสิ้น
แต่เธอได้ตัดสินใจแล้ว เธอจะทำตามคำขอร้องของมารดาเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าสองคนนั้นยังคิดอาศัยท่าน
มาบีบบังคับเธออีกก็อย่าหวังว่าเธอจะยอมง่ายๆ หญิงสาวคิดทบทวนดีแล้วไม่อยากให้วันทาและคนที่เธอรัก
ต้องคอยห่วงกังวลเรื่องของเธออีก เธอจะพยายามทำให้อรสาเห็นความเลวร้ายของคนพวกนั้นเองและเป็น
การพิสูจน์น้ำใจของคนเป็นแม่ด้วยซึ่งเธอไม่หวังมากนัก
“คิดว่าแกจะแน่กล้าขัดคำสั่งฉันเสียอีกนับว่าแกยังเห็นแก่ความเป็นแม่ของฉันอยู่บ้าง” อรสาทั้งต่อว่า
ทั้งประชดบุตรสาว ไม่เข้าใจเหมือนกัน เห็นหน้านิศาชลทีไรจะพานหงุดหงิดทุกทีเพราะหญิงสาวไม่เคยเข้าข้าง
หรือเอาใจนางสักครั้ง
“แม่คะ ที่วิวมาวันนี้ วิวอยากมาขอร้องและตกลงกับแม่ วิวหวังว่าแม่จะกรุณาวิวบ้าง” นิศาชลวิงวอน
และพยายามกล้ำกลืนความน้อยใจไว้
“แกหาว่าฉันเป็นแม่ที่ใจร้ายชอบรังแกลูกใช่มั้ยยัยวิว ขอถามหน่อยตั้งแต่แกเกิดมาฉันเคยตีแกสักทีมั้ย”
ผิดคาดนอกจากอรสาจะไม่เห็นใจแล้วยังตีความหมายในทางที่ผิดอีก
นิศาชลพยายามสะกดกลั้นอารมณ์น้อยใจ คับแค้นใจอย่างเต็มที่ภายใต้สีหน้าอันเรียบเฉยไร้ความรู้สึก
“แม่คะ เราอย่าพูดเรื่องอดีตเลยดีกว่า วิวขอเพียงแม่รับปาก ถ้าวิวยอมไปเที่ยวพัทยากับคุณปีเตอร์ตามที่
ลูกเขยกับลูกชายแม่ต้องการ วิวขอแลกกับอิสระภาพทางกฎหมายจากคุณก้องเกียรติ วิวไม่อยากให้ชีวิตทั้งชีวิต
ถูกจองจำด้วยข้อผูกมัดทางกฎหมาย หลังกลับจากพัทยาวิวจะขอหย่า” เธอรู้สึกโล่งใจที่ได้พูดในสิ่งที่ใจร่ำร้องมา
เป็นเวลานาน
อรสาอ้าปากค้าง นึกไม่ถึงว่านิศาชลจะกล้าพูดเรื่องนี้ สักพักก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแกมขอร้องกรายๆ
“ใช่ว่าแม่จะไม่รู้ว่าคุณปีเตอร์เป็นคนอย่างไร ไม่ต้องห่วง คุณก้องเกียรติกับตาอั้มก็ไปด้วย พวกเขารับปาก
แม่จะดูแลวิวเป็นอย่างดี ถือว่าแม่ขอร้องครั้งสุดท้าย ทำให้คุณปีเตอร์พอใจและยอมเซ็นสัญญาก็พอ จากนั้นแม่
จะไม่บังคับวิวอีก ส่วนเรื่องหย่าแม่ขอให้รอไปอีกสักพัก ให้คุณก้องเกียรติเปิดธุรกิจตัวใหม่ได้ก่อน จากนั้นเรา
ค่อยพูดกันอีกที อดทนเพื่อแม่เป็นครั้งสุดท้ายนะลูกนะ” อรสาฉลาดนัก นางรู้ว่าใช้ไม้แข็งกับนิศาชลไม่ได้
เพราะบุตรสาวกำลังมีความรักจึงทำให้ความอดทนเหลือน้อย
เป็นครั้งแรกที่นิศาชลได้ยินมารดาพูดดีด้วยแต่เธอกลับรู้สึกว่าท่านแสแสร้งมากกว่า เธอรู้ดีหากน้องชาย
อ้อนหน่อยเดียว มารดาจะใจอ่อนและบังคับเธออีกเพราะตราบใดที่ยังหาทางออกให้น้องชายไม่ได้ เรื่องหย่าคง
ยากเช่นกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอจะหาทางวางแผนให้นายนั่นเป็นฝ่ายมาขอหย่าเองโดยที่มารดาว่าเธอไม่ได้
“ก็ได้ค่ะแม่ แต่เรื่องหย่าวิวคงไม่มีความอดทนรอนานมากนักหรอกค่ะ” เธอยังยืนยันจุดยืนเดิม
“แม่รู้จ้ะ เอาเป็นว่าพาคุณปีเตอร์ไปเที่ยวพัทยาก่อน กลับมาค่อยพูดกันอีกที” ถ้าเป็นเมื่อก่อนอรสา
คงด่าว่านิศาชลไปแล้วแต่เวลานี้ต้องสะกดกลั้นความไม่พอใจไว้เพื่อให้บุตรสาวตายใจ จึงทำเป็นแบ่งรับแบ่งสู้
กลัวนิศาชลเปลี่ยนใจไม่ไปพัทยาแล้วจะเดือดร้อนถึงกุมภากับก้องเกียรติ
“ขอบคุณค่ะแม่ที่เข้าใจ วิวขอตัวกลับก่อนค่ะ” นิศาชลยกมือไหว้มารดาก่อนจากไป เธอไม่เชื่อว่ามารดา
จะยอมง่ายๆกับเรื่องหย่าของเธอ ต้องมีอะไรมากกว่านั้น และจริงดังคาดคล้อยหลังเธอกุมภาก็ออกจากที่ซ่อน
เดินเข้ามากอดมารดา หอมแก้มอย่างประจบ
“แม่ฮะ แม่ยอดจริงๆ ตีบทแตกจนพี่วิวเชื่อ แต่เรื่องหย่าแม่อย่ายอมนะฮะ อั้มกลัวไม่ได้อยู่กับคุณก้อง
ถ้าพี่วิวหย่า เราก็อยู่บ้านนี้ไม่ได้ อั้มกับคุณก้องก็ต้องแอบไปมาหาสู่กันอีก แม่ก็รู้นี่ฮะว่ามันทรมานแค่ไหน
อั้มคงอึดอัดและทนไม่ได้แน่ฮะแม่” กุมภาอ้อนมารดาตามเคย
อรสาลูบหลังบุตรชายอย่างรักใคร่ “ไม่ต้องห่วงอั้ม แม่รับรองพี่สาวอั้มต้องอยู่เป็นกันชนให้อั้มไปอีกนาน
แม่ไม่ยอมให้อั้มต้องทนทุกข์แบบเมื่อก่อนอีกแล้ว” นางกลัวบุตรชายคิดฆ่าตัวตายเหมือนเมื่อสามปีก่อนที่นิศาชล
ปฎิเสธการแต่งงานลวงโลกเพื่อให้น้องชายได้สมหวังอยู่กินกับคนรักได้แม้จะผิดธรรมชาติก็ตาม แต่ถือเป็นเรื่อง
ธรรมดาไปแล้วในสังคมปัจจุบันทว่านักธุรกิจสุภาพบุรุษอย่างก้องเกียรติกลับไม่กล้าเปิดเผยเพราะกลัวกระเทือน
ถึงสถานะทางสังคม อรสาถูกความรักความหลงบดบังจนมองไม่เห็นความจริงในข้อนี้จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือใน
การบีบบังคับทำร้ายนิศาชลโดยไม่รู้ตัว
===================
ปฏิภาณอยู่กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามลำพังในห้องทำงานส่วนตัว แววตาของมือเศรษฐกิจ
ของรัฐบาลบอกให้รู้ถึงปัญหาหนักอกอย่างเห็นได้ชัด สายตาผู้สูงวัยกว่าทอดมองที่ปรึกษหนุ่มด้วยความหวัง
บรรพตรู้ว่าคนที่จะช่วยเขาได้คือชายหนุ่มผู้นี้
“คุณต้น เรื่องกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่กนง คณะกรรมการนโยบายการเงินเสนอมา คุณเห็นว่ายังไง”
บรรพตต้องการหยั่งความเห็นของที่ปรึกษาหนุ่มคนเก่งมากกว่าต้องการคำตอบจริงๆ
“ผมคิดว่าภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน กำหนดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลง จะดีกว่าครับจะได้กระตุ้นให้เกิดการ
กู้ยืมเพื่อลงทุนทางธุรกิจ อีกอย่างทั่วโลกต่างพากันประกาศลดดอกเบี้ยลงเรื่อยๆ และอาจต้องลดมากขึ้นหากภาวะ
เศรษฐกิจทั่วโลกยังไม่ฟื้น อาจต่ำกว่า 0% ก็ได้ครับ ลดดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่พอควรมีมาตราการเสริมออกมาเป็น
ระยะๆเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจควบคุ่กันไปจะดีกว่าครับ” ปฏิภาณให้ความเห็นส่วนตัว และไม่หวังให้คนมีอำ
นาจเห็นชอบ
บรรพตเป็นรัฐมนตรีที่ทำงานรอบคอบและมักเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัวและนี่คือสาเหตุที่เขารับ
ปากมาช่วยงานในตำแหน่งที่ปรึกษานอกเหนือจากงานประจำ
“คิดตรงกับผม แต่มีอีกเรื่องที่อยากถามความเห็นคุณ ถ้าผมต้องย้ายไปดูกระทรวงพาณิชย์ คุณเห็นว่า
อย่างไร” คราวนี้บรรพตต้องการความเห็นจริงๆ
ปฏิภาณนิ่ง ความจริงเขารู้ล่วงหน้าถึงสาเหตุที่คนเป็นนายถูกบีบให้ย้ายไปกระทรวงอื่นเพราะเรื่อง
เสนอจัดเก็บภาษีของพวกนักค้ากำไรในตลาดหุ้นกับภาษีมรดก จึงมีคำสั่งจากผู้มีอำนาจจริงในพรรคให้เปลี่ยน
แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้อยู่ดีเพราะคนเป็นนายกรัฐมนตรีเห็นแก่ชาติบ้านเมืองมากกว่าจะทำตามนายทุนพรรค
“สถานการณ์แบบนี้ไม่มีใครเหมาะสมกับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเท่าท่าน ผมเชื่อว่า
ท่านได้นั่งทำงานในห้องนี้อีกนานครับ” บรรพตยิ้มออกเมื่อได้ฟังคำตอบของที่ปรึกษาหนุ่ม หลายอย่างในตัว
ชายหนุ่มผู้นี้ทำให้เขาทึ่ง พูดอะไรมักเป็นไปตามนั้น
“ก็จริงของคุณ ผมไม่ใช่พ่อค้าแต่เป็นนักการเงิน คงไม่เหมาะที่จะไปดูแลพ่อค้า ว่ากันตามจริงผมอยาก
ลาออกไปอยู่บ้านเลี้ยงหลานมากกว่า ตำแหน่งพวกนี้ก็หัวโขนดีๆนี่เอง ทำไมผมต้องชื่นชมกับมัน ถึงเวลาผมก็ไป
อาจไม่มีใครยกย่องนับถือผมก็ได้เมื่อผมจากไป” คนพูดผ่านร้อนผ่านหนาวมามากจึงรู้ถึงสัจธรรมของชีวิตดี
ไม่มีอะไรยั่งยืน ไม่ควรไปยึดติด
“ครับ” ปฏิภาณตอบสั้นๆ ใจนั้นนับถือนักการเมืองผู้นี้พอควร บนถนนการเมืองน้อยคนนักที่จะปลงได้
และไม่หลงมัวเมาในอำนาจที่ได้มา ส่วนใหญ่จะคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องมากกว่าประเทศชาติ
ผิดกับผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้า มักคำนึงถึงประเทศชาติและผลประโยชน์ส่วนรวมเหนือสิ่งอื่น
“ผมอยากถามคุณเรื่องหนึ่ง ถ้าไม่เป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวเกินไป ผมอยากรู้เรื่องผู้หญิงชื่อ
นิศาชลกับคุณ อยากรู้จากปากคุณก่อนที่คนอื่นจะมาบอกผมแบบผิดๆ” คำถามนี้ไม่ได้เหนือความคาดหมาย
คงเป็นฝีมือนายวรพจน์กับพวก ที่ต้องการบังคับท่านรัฐมนตรีให้บีบเขาออกโดยเอาเรื่องที่เขาคบกับนิศาชล
มาเป็นข้ออ้าง
“แล้วท่านคิดยังไงกับเรื่องนี้ครับ” แทนคำตอบเขาถามกลับ อยากรู้ใจผู้บังคับบัญชา
“ผมเชื่อใจคนที่ผมเชิญมาร่วมงานทุกคน โดยเฉพาะคุณ ปฏิภาณ ถ้าผมไม่มั่นใจว่าคุณเป็นคนดีมี
คุณธรรม ผมคงไม่เชิญคุณมาเป็นที่ปรึกษา ที่ผมกลัวคือคุณจะทิ้งผมไปก่อนมากกว่าข่าวไร้สาระพวกนี้”
คำพูดอันหนักแน่มั่นคงของบรรพตทำให้ปฏิภาณไม่ผิดหวังที่ได้ร่วมงานด้วย
“ตราบใดที่ท่านยังเห็นผมมีประโยชน์ต่อประเทศชาติ ผมยินดีช่วยเหลืองานของบ้านเมืองครับ”
เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงเช่นกัน รู้สึกสบายใจที่ได้ร่วมงานกับผู้ชายคนนี้
“คุณไม่เคยทำให้ผมผิดหวังจริงๆ เอาล่ะ ผมรบกวนเวลาคุณมากพอแล้ว เชิญคุณตามบาย
ผมขอเตรียมเรื่องเข้าประชุมครมก่อน” เจ้าของห้องได้คำตอบพอใจแล้วจึงยุติข้อสนทนา
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนครับท่าน “ พูดจบก็เดินออกจากห้องไปยังลานจอดรถ ระหว่างทาง จิตเขาก็
สัมผัสถึงคลื่นจิตของนิศาชลเข้าและต่อมาเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
“คุณต้น พอมีเวลาว่างแวะมาหาวิวที่บ้านได้มั้ยคะ” เป็นนิศาชลจริงดังคาด
“เกิดอะไรขึ้น คุณวิวบอกผมมา” เสียงเขาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ไว้ถึงก่อนแล้ววิวจะบอกไม่ต้องรีบค่ะ วันนี้วิวอยู่บ้านทั้งวัน” เธอพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่เขารู้
เธอเกรงใจเขา จึงพูดไปอย่างนั้น
“ถ้างั้นผมขอไปทานข้าวกลางวันด้วย”
“คุณต้นอยากทานอะไรค่ะ วิวจะทำให้”
“อะไรก็ได้ครับผม ถ้าเป็นฝีมือคุณวิว”
“ถ้าอย่างนั้นวิวทำข้าวคลุกน้ำปลาให้ทานก็แล้วกันค่ะ”
“ว๊า แค่ข้าวคลุกน้ำปลาเองเหรอ เค็มแย่ น่าจะมีอะไรหอมๆเช่น...”
“บ้าจังคุณต้น แค่นี้ก่อนนะ คุณป้ามา” นิศาชลตัดขาดการติดต่อทันทีเมื่อเห็นวันทาเดินเข้ามา
“คุยกับใครวิว” วันทาถามแทรกขึ้นเมื่อเห็นหลานสาวมีท่าทีเขินเล็กน้อย
“คุณต้นค่ะบอกจะมาทานกลางวันด้วย คือ...วิวชวนเองค่ะ” นิศาชลบอกคนเป็นป้าตรงๆ
“วิวจะให้พ่อคนนี้ช่วยเรื่องพานายปีเตอร์ไปเที่ยวพัทยาใช่มั้ยลูก” วันทานึกถึงเรื่องที่หลานสาวเล่าให้ฟัง
แล้วรู้สึกโกรธน้องสะใภ้อย่างบอกไม่ถูก รักหลงลูกชายจนไม่สนใจว่าลูกสาวจะเป็นอย่างไร จะถูกรังแกหรือไม่
นี่คงไม่รู้ว่ากำลังจะทำร้ายลูกสาวด้วยมั้ง ทางโน้นอ้อนหน่อยเชื่อหมด ประแคนให้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่อาจไปห้ามได้
ถึงอย่างไรก็แม่ลูกกัน ทำได้แค่เตือนเท่านั้น
“วิวไม่จำเป็นต้องทำตามแม่อรสาบอกก็ได้ วิวก็รู้ว่าพวกนั้นไม่เคยหวังดีกับวิว ทำไมยังยอมอีก
ถ้าวิวกลัวแม่อรสาไม่พอใจ ป้าจะโทรไปบอกเองว่าป้ามีธุระจะใช้ ไม่ให้วิวไป” วันทาช่วยหาทางออกให้
“ขอบคุณค่ะคุณป้า ไม่ต้องห่วงนะคะ วิวบอกแม่ไปแล้ว ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย กลับจากพัทยาเมื่อไหร่
วิวจะขอหย่าทันที” นิศาชลดูมั่นใจในสิ่งที่ตัดสินใจหากคำพูดต่อมาของวันทาก็ทำให้เธอรู้ว่าไม่ง่ายนัก
“พูดนะพูดได้ แต่แม่อรสาจะยอมตามที่วิวขอหรือ น้องชายวิวคงไม่ปล่อยวิวไปง่ายๆ ป้ากลัววิวจะสลัด
ไม่หลุดจากคนพวกนั้นตราบใดที่แม่อรสายังไม่รู้ตัวว่ากำลังทำร้ายลูกสาวตัวเอง”
“วิวทราบค่ะ แม่ไม่มีวันยอม วิวจะทำให้ทางโน้นเป็นฝ่ายขอหย่าจากวิวเอง แล้วแม่ก็บังคับวิวไม่ได้อีก“
วันทายิ้มอย่างพอใจ ที่แล้วมาเข้าใจผิดคิดว่าหลานสาวจะยอมตกเป็นทาสของคำว่าหนี้ชีวิตไปจนกว่าผู้ให้
กำเนิดจะเข้าใจและเห็นใจโดยไม่คิดจะสู้เพื่อตัวเอง
“ป้าดีใจที่วิวคิดสู้ คนเราหากรู้จักใช้ปัญญาแก้ปัญหา ป้าเชื่อว่าไม่มีปัญหาอะไรที่ไม่มีทางออก แต่ป้าไม่
แน่ใจ คิดจะบีบบังคับให้นายก้องเกียรติเป็นฝ่ายมาขอหย่าเอง ไม่ใช่เรื่องง่ายนะลูก วิวก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้เจ้าเล่ห์
แค่ไหน ยังมีน้องชายวิวอีกคน ป้ายังมองไม่เห็นทาง” แม้วันทาจะเห็นด้วยที่หลานสาวคิดสู้แต่ก็อดเป็นกังวล
แทนไม่ได้
“ไม่ลองก็ไม่รู้นี่ค่ะคุณป้า วิวทำเพื่อพวกเขามามากแล้วถึงเวลาที่จะทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง” นิศาชล
ทอดสายตาไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง
วันทารู้สึกเห็นใจหลานสาวนัก หากไม่ใช่เพราะมารดาบังเกิดเกล้ามีรึ นิศาชลจะยอมให้ผู้อื่นบีบบังคับ
มองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยอุปสรรค ฝ่ายนั้นถือไพ่เหนือกว่าทุกด้านยิ่งได้อรสาเป็นแรงหนุนยิ่งยากเป็นทวีคุณ
นิศาชลคงทำอะไรมากไม่ได้ ประมาทนิดเดียวเท่ากับแบกรับคำว่าลูกอกตัญญูไปชั่วชีวิตเพราะอรสานั้นมีนิสัย
ชอบเอาชนะอย่างโง่ๆด้วยความเจ้าทิฐินั่นเอง
“ป้าขออวยพรให้วิวชนะ ป้าจะไปดูร้านหน่อย ถ้าวิวยังหางานไม่ได้ ไปช่วยงานป้าที่ร้านเบเกอรี่ก็ได้นะ”
วันทาอยากเปิดโอกาสให้หลานสาวอยู่ตามลำพังกับคนรักมากกว่าจะตั้งใจไปที่ร้านจริงจัง วันทาเป็นคนเก่ง
มีฝีมือด้านการทำขนม และขยายกิจการร้านเบเกอรี่กับกาแฟได้หลายสาขาโดยมีนิศาชลช่วยบ้างในบางครั้ง
แต่หญิงสาวก็อยากทำงานบริษัทหาประสบการณ์แปลกๆมากกว่าจะอยู่ช่วยกิจการของครอบครัวเต็มตัว
“ไว้วิวหางานไม่ได้จริงๆ ค่อยคิดอีกทีค่ะ ระหว่างนี้วิวขอเป็นลูกจ้างรายวันไปพลางๆก่อน”
“สงสัยชาตินี้ป้าคงไม่มีผู้สืบทอดกิจการแน่ ป้าไปดีกว่า ไม่อยากปะทะคารมกับพ่อคนนั้นของวิว
เออฝากบอกด้วยนะ น้ำมันไพลที่ให้ไปถ้าใช้ไม่หมดให้เอามาคืนด้วย” วันทาอดยั่วคนพิเศษของหลานสาวไม่ได้
นิศาชลขำ รู้ว่าท่านเอ็นดูปฏิภาณแต่อดตั้งแง่ไม่ได้
“ไว้วิวจะทวงให้ค่ะ ไม่นึกว่าคุณป้าจะหวงของเป็นกับเขาด้วย” นิศาชลแซวขณะเดินมาส่งที่รถ
“กับคนอื่นป้ายินดี แต่กับพ่อคนนี้ของวิวป้าไม่อยากให้อะไรทั้งนั้นถ้าไม่จำเป็น” วันทาพูดด้วยความ
หมั่นไส้ ใจจริงนั้นท่านไม่อยากเสียหลานสาวไปเท่าไรนัก ไม่ทันไรปฏิภาณก็ได้หัวใจหลานสาวไปครองทั้งที่รู้จัก
ได้ไม่นานนัก
“สวัสดีครับคุณป้า จะไปไหนเหรอครับ” เสียงปฏิภาณทักขึ้นพร้อมยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า
“อายุยืนจริงนะ พูดถึงก็มา สงสัยจะตายยาก เชิญตามสบายย่ะ ฉันขอตัว หวังว่าคงไม่อยู่จนฉันต้อง
กลับมาไล่นะ” วันทาประชดก่อนขึ้นรถขับออกไป
ปฏิภาณทำหน้างงๆแล้วหันไปมองนิศาชลที่ทำหน้ากลั้นยิ้มเต็มที่
“คุณวิว ผมทำอะไรผิดเหรอ คุณป้าถึงพูดเหมือนโกรธผมมาแต่ชาติปางไหน”
“อยากรู้ไว้ถามท่านเอง ตอนนี้ไปช่วยวิวทำอาหารก่อน ถ้าไม่อยากหิวจนกระเพาะประท้วง”
“แล้วกัน คิดว่าจะได้กินข้าวคลุกน้ำปลา กลับต้องมาช่วยทำอีกแน่ะ” เขามีโวยเล็กน้อย
“อยากกินจริงๆเหรอคะ ข้าวคลุกน้ำปลาได้เลยจะจัดให้ ตามมาค่ะ” ว่าแล้วเธอก็เดินนำเขาไปที่ครัว
ซึ่งแยกจากตัวบ้านแต่เดินทะลุกันได้เพราะมีเตาอบขนมอยู่แต่ไม่มีคนอยู่สักคน เขามองอย่างแปลกใจ
“คุณวิว ครัวกว้างใหญ่อย่างนี้ไม่มีคนดูแล ผมว่ามันแปลกๆนะ”
“ไม่แปลกหรอกค่ะ เพราะคุณป้าไล่ออกหมด เราทำกันเอง มีแค่เด็กช่วยทำความสะอาดครัวเท่านั้น
มีไว้ก็รังแต่จะยักยอกเงินค่ากับข้าว เป็นไงเหตุผลฟังเข้าท่ามั้ยคะ” เธอพูดเหมือนกำลังประชดอะไรสักอย่าง
“ฟังไม่เข้าท่าเลย บอกผมมาตรงๆก็ได้ ถ้าให้ผมเดา สาเหตุคงมาจากแม่ครัวคนเก่าช่างพูดและเป็น
พวกเดียวกับน้องชายคุณ แถมยังชอบมีเรื่องกับคุณอาที่มีปัญหาทางจิต คุณป้าเลยไล่ออกและไม่ยอมรับคน
ใหม่ ผมเดาถูกมั้ยครับ” นิศาชลทำหน้าเหวอมองหน้าเขาอย่างทึ่ง เขารู้ได้อย่างไร เรื่องพวกนี้ไม่มีใครรู้
นอกจากเธอกับป้าและคนเก่าแก่ในบ้าน เขายิ้มและดึงตัวเธอเข้ามากอดไว้
“ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าผมรู้ได้อย่างไร เอาเป็นว่าผมรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับตัวคุณ รู้ด้วยว่าวันนี้คุณชวนผมมา
ทานข้าวเพราะมีเรื่องอยากให้ผมช่วย ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ได้ทานกับข้าวฝีมือคุณแน่”
“ค..คุณต้น คุณรู้ได้ไง” นิศาชลทั้งประหลาดใจและสับสนในเวลาเดียวกัน ไม่เข้าใจ ทำไมเขาถึงรู้ความ
ลับเธอมากมายจนอดสงสัยไม่ได้ว่าเขามีตาทิพย์หูทิพย์หรือไร ถึงได้รู้ความในใจเธอด้วย ยิ่งเห็นเขายิ้มก็ยิ่งแปลก
ใจหนักเข้าไปอีก
====================================
๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕**********************************************
คนเรามักทุกข์กับความผูกพันมากมาย ทั้งรัก ทั้งเกลียด ชิงชัง จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
แต่สิ่งที่คนลืมไปคือ ไม่มีใครทุกข์ได้ตลอด อย่างน้อยก็ต้องมีช่วงเวลาหนึ่งในใจที่ยิ้มได้
และที่สำคัญเวลานั้นมันไม่มีอยู่จริงแต่ทุกวันนี้คนก็ยังทุกข์เครียดเพราะเวลาที่ถูกกำหนดขึ้น
ในชีวิตประจำวัน เช่นอีกนาทีเดียวแล้วจะเข้าสอบไม่ทัน จะเข้าประชุมไม่ทัน ไปทำงานไม่ทัน
ห้างจะปิดแล้วยังซื้อไม่เสร็จเลย เครืองจะออกแล้วยังไปไม่ถึงสนามบินเลย ชีวิตเลยทุกข์เพราะ
เวลาที่สมมุตขึ้น มีใครเคยนับเวเลาได้ตรงไหม เช่นบอกว่า 9:30 น ตอนเราบอกมันก็เดินเลยไปแล้ว
ฉะนั้นอย่าให้เวลามาทำให้เราทุกข์ทั้งอดีตและปัจจุบัน....เพลงใบไม้
“พี่อามทำไมพาข้าวมาคอนโดไม่พาไปโรงพยาบาล” กีรกันตาโวยลั่นเมื่ออมรินทร์ไม่พาเธอไปทำแผลที่
โรงพยาบาล
“วันนี้ไม่เหมาะที่จะให้ข้าวอยู่โรงพยาบาล พี่กลัวข้าวจะก่อเรื่องอีก แผลแค่นี้หมออามรักษาได้” ความ
จริงคือเขาไม่อยากให้กีรกันตามีเรื่องอีกเพราะถ้าเข้าโรงพยาบาลทำแผลหมอที่รักษาคือแฟนของคู่กรณีเธอ
“พี่อามเห็นข้าวเป็นคนชอบหาเรื่องไปได้ ความจริงข้าวไม่อยากมีเรื่องหรอกแต่ยัยคนนั้นทำผิดแล้วยัง
ลอยหน้าลอยตายั่วอยู่ได้ ไม่สำนึกเลย ข้าวถึงต้องเอาเรื่อง” เธออารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยจึงพูดจาดูมีเหตุผลมากขึ้น
“ขอร้องล่ะอย่าอวดเก่งนักเลย ตัวแค่เนี่ย คนคุ้มกันก็ไม่มี ข้าวกำลังสู้กับลูกสาวคนโปรดของผู้ทรงอิทธิ
พลของบ้านเมืองที่ใครๆต่างพากันเกรงใจ” สิ่งที่เขาบอกทำให้เธอได้คิด เธอไม่เคยสนใจหรือยกย่องคนพวกนี้
สำหรับเธอคนดีในคราบนักการเมืองหายาก มีแต่คนที่เลวน้อยที่สุดเท่านั้นแต่วงการนี้กลับวนเวียนใกล้เธอ
พี่ชายก็เป็นหนึ่งที่ต้องไปพัวพันอย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะเกรงใจเจ้านายเก่าที่เคยสนับสนุนกันมาและรู้ว่าพี่ชาย
ต้องการช่วยชาติจากใจจริง อย่างน้อยก็ช่วยยับยั้งบางเรื่องได้
“เข้าใจแล้ว เอาเป็นว่าจะพยายามไม่พาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับยัยคนนี้อีก แต่ข้าวไม่อยู่เฉยแน่ถ้าถูกหาเรื่อง
ก่อน” เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมถึงกลายเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นไปได้ ถ้าเป็นคนอื่นทำกับเธอแบบนี้
เธอจะตามไปเอาคืนมั้ย กีรกันตาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง และคำตอบที่ได้คือ ‘ไม่’ แต่ทำไมกับผู้หญิงคนนี้แค่พบ
หน้ากันครั้งแรกก็รู้สึกไม่ถูกชะตา มันอะไรกัน เธอคิดทบทวนกลับไปมาพลันก็มีเสียงดังจากจิตส่วนลึกดังขึ้น
‘ผกาแก้ว หล่อนช่างชั่วร้ายนัก ทำเกินไปแล้ว ฉันจะไม่ยอมผู้หญิงมากเล่ห์อย่างหล่อนอีกต่อไป’
กีรกันตาตกใจทำไมอยู่ดีๆก็มีเสียงนี้ผุดขึ้นมาในใจและรู้สึกชิงชังคนชื่อผกาแก้วมากแต่อมรินทร์รู้
มันเป็นความทรงจำจากอดีตชาติที่ฝังแน่นอยู่ในดวงจิตและยามจิตสงบเป็นสมาธิโดยไม่รู้ตัวจะปรากฏให้เห็นหรือได้ยิน
เขารู้แล้วเรื่องของกรรมวิบากเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกพ้นได้และไม่มีใครเข้าไปขวางเส้นทางกรรมของใครได้นอก
จากเจ้าของกรรมจะเปลี่ยนเส้นทางเอง วันนี้เขาพยายามถ่วงเวลาไม่ให้เธอพบเจอเรื่องเลวร้ายแต่มันก็เกิดจนได้
“เลิกพูดถึงคู่กัดข้าวได้แล้ว ไปทำแผลก่อน แล้วอย่าอวดเก่งเดินลงจากรถเองนะ รอพี่ประคองไปก่อน”
เขาเปลี่ยนเรื่องและเดินมาเปิดประตูให้เธอพร้อมประคองตัวพาขึ้นลิฟต์ไปที่ห้อง กีรกันตาไม่ขัดขืนเพราะยอม
รับสภาพตัวเอง เข้ามาในห้องเขาก็พาไปนั่งที่มุมรับแขก บนโซฟาตัวยาว
“นั่งรอตรงนี้นะ พี่ขอไปเอาอุปกรณ์ทำแผลก่อน” เขาสั่งก่อนเดินหายเข้าไปในห้องและกลับออกมา
พร้อมกล่องเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทำแผล พอเธอเห็นเข้าก็รู้สึกแหยงๆ โดยเฉพาะเจ้าแอลกอฮอล์กับยา
ใส่แผลสดและเบตาดีน แค่คิดก็แทบจะร้องซี๊ดแล้ว
“พี่อาม ไม่ใช้แอลกอฮอล์ไม่ได้เหรอ ใช้อย่างอื่นที่ไม่แสบเช่นน้ำเกลือก็ได้” เธอขอตัวเลือกอื่นขืนใช้
แอลกอฮอล์มีหวังปวดแสบจนน้ำตาร่วงแน่
“ไม่ได้ แผลครูดกับพื้นถนน สกปรกใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อจะดีที่สุด ทนเจ็บนิดหนึ่งนะ” เขาปฏิเสธ
เสียงเข้มหากนัยน์ตาพราวระยับแถมต้องกลั้นยิ้มเต็มที่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าสยดสยองยามจ้องมองขวด
แอลกอฮอล์ราวกับเป็นยาพิษที่ต้องรีบกำจัดทิ้ง
“พี่อาม ข้าวแค่ถลอกเล็กน้อย ไม่ติดเชื้อมากมายหรอก เอาแค่น้ำเกลือล้างแผลตามด้วยเบตาดีนก็พอ
แผลข้าวไม่ได้ลึกถึงขั้นติดเชื้อรุนแรงจนต้องใช้แอลกอฮอล์สักหน่อย” เธอหาเหตุผลมาสนับสนุน
“ตามใจนะ ถ้าแผลเน่า ต้องไปขูดหนองออกราดด้วยแอลกอฮอล์จะปวดแสบยิ่งกว่านี้อีก อยากเป็นอย่าง
นั้นก็ตามใจ” เขาแกล้งขู่ไปอย่างนั้นเอง เห็นคนสวยน่ารักทำหน้าสยดสยองแล้วตลกดี
“ไว้เน่าค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้ขอเลือกที่เจ็บน้อยที่สุดก่อน วันนี้เจ็บมามากพอแล้ว” เธอเลือกความ
สบายเฉพาะหน้ามากกว่ายอมเจ็บอีก
“ที่นี้รู้แล้วใช่มั้ยทำไมพี่ไม่พาข้าวไปทำแผลที่โรงพยาบาล นางพยาบาลไม่ตามใจข้าวแน่ ยิ่งถ้าเจอคน
โหดล่ะก็ อาจราดแอลกอฮอล์ทั้งขวดลงไปที่แผลก็ได้ เห็นความดีของพี่หรือยัง” เขาอ้างความดีความชอบหน้าตา
เฉย เธอถึงรู้ว่าถูกเขาหลอก ที่แท้ก็เอาแอลกอฮอล์มาขู่เธอเล่น ไม่น่าโง่เลย เสียทีจบเภสัชมา
“หมอใจร้าย ข้าวเจ็บจะแย่ยังแกล้งได้ลงคออีก เกลียดนักเชียว” เธอกลับมองไม่เห็นความดีในตัวเขา
แถมทำหน้าหงิกงอใส่เขาอีก
“เกลียดลงเหรอ หมออามออกจะเป็นคนดี น่ารัก ใครเห็นใครก็ชอบ” เขายังอดแหย่เธอเล่นไม่ได้
“พี่อามถ้ายังไม่เลิกยั่วข้าวเล่นอีก ข้าวโกรธจริงๆด้วย” ดวงตาคู่สวยจ้องมองเขาอย่างเอาเรื่อง
“ เอาล่ะพี่ไม่แกล้งข้าวแล้ว แผลแค่นี้ไม่ต้องถึงขั้นแอลกอฮอล์หรอก ใช้น้ำเกลือขวดนี้และตามด้วยเบตา
ดีนก็เอาอยู่ แต่..ขาสวยๆอาจหมดสวยนะ ทนได้รึเปล่า”
“พี่อาม !! รีบๆทำแผลสิ ข้าวไม่มีเวลามากนักหรอก ต้องกลับไปรายงานตัวอีก เลทมาเกือบสองชั่วโมง
แล้ว ข้าวยังไม่อยากชวดงานนี้นะ”
“วันนี้ไม่ต้องไปแล้ว รอให้แผลหายก่อน พี่โทรไปบอกเพื่อนหมอด้วยกันให้ช่วยบอกหัวหน้าฝ่ายเภสัช
กรรมให้เลื่อนวันรายงานตัวข้าวออกไปอีกสองสามวัน เป็นไงสบายใจได้หรือยัง” เขาทำให้เธอแปลกใจอีกแล้ว
“พี่อามโทรตั้งแต่เมื่อไหร่” เธอไม่เห็นว่าเขาจะมีเวลาไปโทรศัพท์หาใครเลยตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว
พาเธอมาที่ห้องของเขา
“ความลับบอกไม่ได้ ข้าวทำแผลก่อนดีกว่า” เขาบอกพลางมองดูช่วงขาเรียวสวยมีแผลถลอกเลือดซึม
เป็นทางยาวตั้งแต่เหนือเข่าเล็กน้อยจนถึงน่อง ข้อศอกและแขนทั้งสองก็มีสภาพไม่ต่าง แต่พอเห็นข้อเท้าบอบบาง
ก็พูดว่า “ข้าวดูสิมีใครมายืนกวักมือเรียกที่ประตู” กีรกันตารีบหันไปดูแล้วรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ข้อเท้าจนเผลอส่งเสียง
แว้ดดังๆออกมา
“หมอบ้า เจ็บนะ” แต่หมอบ้ากลับสั่งว่า
“ลองลุกขึ้นเดินสิ ว่ายังเจ็บข้อเท้าอยู่อีกมั้ย” เธอจึงค่อยๆลุกขึ้นยืนลองเดินแล้วยิ้มออก ตะโกนออกมา
อย่างดีใจ “ไม่เจ็บแล้ว ไชโยเดินได้แล้ว”
“เอ เมื่อกี้หูแว่วๆใครว่า หมอบ้านะ” เขาเปรยมาให้ได้ยิน
“ของมันพลาดกันได้น่ะ เอาเป็นว่าข้าวขอโทษก็แล้วกันนะ” เธอหาข้ออ้างจนได้
“ตกลงยอมยกประโยชน์ให้จำเลยไป นอนลงได้แล้ว ได้เวลาทำแผลแล้ว” เธอทำตามเขาบอก สายตาจ้อง
มองดูมือใหญ่แข็งแรงทำความสะอาดแผลให้อย่างเบามือ คนเจ็บแทบไม่รู้สึกว่าเจ็บและสิ้นสุดการทำแผลโดยที่
ไม่น่าเกลียดนัก จากนั้นเขาก็หยิบยาแก้อักเสบมาให้เธอทานกันไว้ก่อน ถ้าวันนี้ไม่มีเขาอยู่ด้วยจะเป็นอย่างไรก็
ไม่รู้ สิ่งที่เธอไม่รู้อีกอย่างคือวิบากของเธอยังไม่จบแค่นี้ ยังต้องผจญต่อไปอีกหลังไปทำงาน ทุกอย่างไม่ได้สวย
หรูอย่างที่คิด
======================
ณ คฤหาสน์หลังงามของคณิน ตั้งสกุลวานิช นักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองเพราะเป็นกระเป๋าหลัก
ของพรรคการเมืองและมีนักการเมืองมาขอพึ่งบารมีหลายคน นอกจากนี้เขายังขยันสร้างภาพเป็นคนดีเรียกคะแนน
นิยมจากคนในสังคม เพื่อรอคอยจังหวะงามๆขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลในสมัยหน้า
ศวิตากลับมาด้วยท่าทีหงุดหงิดจนเป็นที่สังเกตของ ชายสูงวัยอายุหกสิบห้าทว่าหน้าตายังดูอ่อนกว่า
วัยเกือบหลายปีรูปร่างแม้จะไม่สูงนักแต่ก็จัดเป็นคนสูงวัยที่แข็งแรงและดูยังหนุ่มกว่าวัยมาก
“เป็นอะไรไปจุง บอกป๋าซิ” คณินถามบุตรสาวคนโปรด
“เปล่าค่ะ ป๋า แค่มียัยบ้าคนหนึ่งมากวนอารมณ์จุงแต่เช้า” เสียงศวิตาหงุดหงิดไม่น้อย
“ใครกัน กล้ามามีเรื่องกับลูกรักของป๋าบอกมา ป๋าจะให้คนสั่งสอนให้รู้สำนึก” แทนที่คนเป็นพ่อจะสอบ
ถามให้รู้เรื่องก่อน กลับเป็นเดือดเป็นแค้นแทนแต่ทำให้บุตรสาวคนสวยยิ้มได้และเดินเข้าไปหอมแก้มบิดา
อย่างประจบ
“ป๋าน่ารักจัง แต่ไม่ต้องดีกว่า เรื่องนี้จุงจัดการเองได้ ถ้าป๋าอยากช่วย ก็ให้ใครหาข้อมูลจิตแพทย์ที่ชื่อ
อมรินทร์ ให้จุงหน่อย ขอประวัติอย่างละเอียด เร็วๆด้วยนะคะป๋า” ศวิตาเริ่มแผนชิงตัวอมรินทร์มาเป็นของเธอ
ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงอยากแย่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของผู้หญิงคนนั้นมาเป็นของตัวเองนักพลันก็เหมือนมีเสียงหนึ่ง
แว่วเข้ามาในหูของเธอ
‘หล่อนไม่มีวันได้คุณหลวงมาครองไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันเพราะหัวใจคุณหลวงมีแต่คุณนิ่มเท่านั้น’
และมันก็ทำให้เธอรู้สึกแค้นจนแสดงออกทางสีหน้าและแววตาโดยไม่รู้ตัว
คณินขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ เมื่อครู่บุตรสาวยังอารมณ์ดีอยู่เมื่อเอ่ยถึงจิตแพทย์ชื่ออมรินทร์ อยู่ดีๆสีหน้า
กับแววตาก็แปรเปลี่ยนเป็นดุดันน่ากลัวได้อย่างประหลาด แต่ก็ไม่ถามอะไร
“ไว้ป๋าจะให้คนหาข้อมูลให้ คงไม่เกินสองวัน แล้วจะเอาหมอภีมไปทิ้งไว้ที่ไหน” คณินรู้ทันบุตรสาว
และฉลาดพอไม่ถามเรื่องที่สงสัย
“ก็เอาไว้ควงเล่นเหมือนเดิม บื่อเมื่อไหร่ค่อยเขี่ยทิ้งค่ะป๋า ป๋าก็รู้นี่จุงเป็นโรคขี้เบื่อ แต่ถ้าใครคิดตีจากจุง
ก่อน จุงไม่เอาไว้แน่” แต่ไหนแต่ไรมาศวิตาต้องเป็นผู้ชนะเท่านั้น เธอไม่ยอมเป็นผู้แพ้เด็ดขาดไม่ว่าเรื่องอะไร
คณินมองบุตรสาวคนสวยแล้วนึกโทษตัวเองที่เป็นคนเพาะนิสัยแบบนี้ให้ลูก ทำให้ศวิตากลายเป็นคน
ร้ายกาจ อยากได้อะไรต้องได้ไม่เคยสักครั้งที่จะผิดหวัง แม้หลายๆเรื่องอาจไม่ถูกต้องนักแต่ด้วยความรักอย่าง
ขาดสติคนเป็นพ่อจึงยอมทำเพื่อลูก เรื่องนี้ภรรยาเคยติงบ่อยๆ แต่เขาก็ไม่เคยใจแข็งกับบุตรสาวคนนี้ได้สักที
อาจเป็นเพราะมีแต่ลูกชายก็ว่าได้ ถึงตอนนี้คิดได้ก็สายเกินแก้แล้ว สู้ให้บุตรสาวมีความสุขดีกว่า เขาไม่รู้ว่าได้
ช่วยศวิตาก่อกรรมบ่อยๆจนเป็นเรื่องปกติ หากเขารู้จักกลัวเวรกรรมบ้างเขาจะไม่ทำเช่นนี้เพราะลำพังความชั่ว
ร้ายที่ตัวเองทำก็นับว่ามากพอแล้ว เพียงแต่บุญเก่ายังเกื้อหนุนอยู่เท่านั้นจึงทำให้ยังอยู่ดีมีสุข
========================
นิศาชลทำใจอยู่นานกว่าจะตัดสินใจมาหามารดาที่บ้านสามีตามกฎหมายได้ หากเธอไม่เป็นฝ่ายมาหา
เองมารดาก็ต้องไปหาอยู่ดี เธอไม่อยากให้ท่านไปหาที่บ้านเพราะอาจมีเรื่องกับวันทาได้และจะนำพาความอึดอัด
มาให้ทุกคนในบ้าน จริงอยู่เธออาจไม่รักและเคารพมารดาเท่าวันทาแต่คำว่า ‘หนี้ชีวิตที่ให้เธอเกิดมานั้นมันยิ่งใหญ่
เหนือสิ่งใด’ คงเป็นเพราะหนี้กรรมมั้งจึงทำให้ต้องมาคอยชดใช้ให้กับมารดาและคนพวกนั้นไม่จบสิ้น
แต่เธอได้ตัดสินใจแล้ว เธอจะทำตามคำขอร้องของมารดาเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าสองคนนั้นยังคิดอาศัยท่าน
มาบีบบังคับเธออีกก็อย่าหวังว่าเธอจะยอมง่ายๆ หญิงสาวคิดทบทวนดีแล้วไม่อยากให้วันทาและคนที่เธอรัก
ต้องคอยห่วงกังวลเรื่องของเธออีก เธอจะพยายามทำให้อรสาเห็นความเลวร้ายของคนพวกนั้นเองและเป็น
การพิสูจน์น้ำใจของคนเป็นแม่ด้วยซึ่งเธอไม่หวังมากนัก
“คิดว่าแกจะแน่กล้าขัดคำสั่งฉันเสียอีกนับว่าแกยังเห็นแก่ความเป็นแม่ของฉันอยู่บ้าง” อรสาทั้งต่อว่า
ทั้งประชดบุตรสาว ไม่เข้าใจเหมือนกัน เห็นหน้านิศาชลทีไรจะพานหงุดหงิดทุกทีเพราะหญิงสาวไม่เคยเข้าข้าง
หรือเอาใจนางสักครั้ง
“แม่คะ ที่วิวมาวันนี้ วิวอยากมาขอร้องและตกลงกับแม่ วิวหวังว่าแม่จะกรุณาวิวบ้าง” นิศาชลวิงวอน
และพยายามกล้ำกลืนความน้อยใจไว้
“แกหาว่าฉันเป็นแม่ที่ใจร้ายชอบรังแกลูกใช่มั้ยยัยวิว ขอถามหน่อยตั้งแต่แกเกิดมาฉันเคยตีแกสักทีมั้ย”
ผิดคาดนอกจากอรสาจะไม่เห็นใจแล้วยังตีความหมายในทางที่ผิดอีก
นิศาชลพยายามสะกดกลั้นอารมณ์น้อยใจ คับแค้นใจอย่างเต็มที่ภายใต้สีหน้าอันเรียบเฉยไร้ความรู้สึก
“แม่คะ เราอย่าพูดเรื่องอดีตเลยดีกว่า วิวขอเพียงแม่รับปาก ถ้าวิวยอมไปเที่ยวพัทยากับคุณปีเตอร์ตามที่
ลูกเขยกับลูกชายแม่ต้องการ วิวขอแลกกับอิสระภาพทางกฎหมายจากคุณก้องเกียรติ วิวไม่อยากให้ชีวิตทั้งชีวิต
ถูกจองจำด้วยข้อผูกมัดทางกฎหมาย หลังกลับจากพัทยาวิวจะขอหย่า” เธอรู้สึกโล่งใจที่ได้พูดในสิ่งที่ใจร่ำร้องมา
เป็นเวลานาน
อรสาอ้าปากค้าง นึกไม่ถึงว่านิศาชลจะกล้าพูดเรื่องนี้ สักพักก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแกมขอร้องกรายๆ
“ใช่ว่าแม่จะไม่รู้ว่าคุณปีเตอร์เป็นคนอย่างไร ไม่ต้องห่วง คุณก้องเกียรติกับตาอั้มก็ไปด้วย พวกเขารับปาก
แม่จะดูแลวิวเป็นอย่างดี ถือว่าแม่ขอร้องครั้งสุดท้าย ทำให้คุณปีเตอร์พอใจและยอมเซ็นสัญญาก็พอ จากนั้นแม่
จะไม่บังคับวิวอีก ส่วนเรื่องหย่าแม่ขอให้รอไปอีกสักพัก ให้คุณก้องเกียรติเปิดธุรกิจตัวใหม่ได้ก่อน จากนั้นเรา
ค่อยพูดกันอีกที อดทนเพื่อแม่เป็นครั้งสุดท้ายนะลูกนะ” อรสาฉลาดนัก นางรู้ว่าใช้ไม้แข็งกับนิศาชลไม่ได้
เพราะบุตรสาวกำลังมีความรักจึงทำให้ความอดทนเหลือน้อย
เป็นครั้งแรกที่นิศาชลได้ยินมารดาพูดดีด้วยแต่เธอกลับรู้สึกว่าท่านแสแสร้งมากกว่า เธอรู้ดีหากน้องชาย
อ้อนหน่อยเดียว มารดาจะใจอ่อนและบังคับเธออีกเพราะตราบใดที่ยังหาทางออกให้น้องชายไม่ได้ เรื่องหย่าคง
ยากเช่นกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอจะหาทางวางแผนให้นายนั่นเป็นฝ่ายมาขอหย่าเองโดยที่มารดาว่าเธอไม่ได้
“ก็ได้ค่ะแม่ แต่เรื่องหย่าวิวคงไม่มีความอดทนรอนานมากนักหรอกค่ะ” เธอยังยืนยันจุดยืนเดิม
“แม่รู้จ้ะ เอาเป็นว่าพาคุณปีเตอร์ไปเที่ยวพัทยาก่อน กลับมาค่อยพูดกันอีกที” ถ้าเป็นเมื่อก่อนอรสา
คงด่าว่านิศาชลไปแล้วแต่เวลานี้ต้องสะกดกลั้นความไม่พอใจไว้เพื่อให้บุตรสาวตายใจ จึงทำเป็นแบ่งรับแบ่งสู้
กลัวนิศาชลเปลี่ยนใจไม่ไปพัทยาแล้วจะเดือดร้อนถึงกุมภากับก้องเกียรติ
“ขอบคุณค่ะแม่ที่เข้าใจ วิวขอตัวกลับก่อนค่ะ” นิศาชลยกมือไหว้มารดาก่อนจากไป เธอไม่เชื่อว่ามารดา
จะยอมง่ายๆกับเรื่องหย่าของเธอ ต้องมีอะไรมากกว่านั้น และจริงดังคาดคล้อยหลังเธอกุมภาก็ออกจากที่ซ่อน
เดินเข้ามากอดมารดา หอมแก้มอย่างประจบ
“แม่ฮะ แม่ยอดจริงๆ ตีบทแตกจนพี่วิวเชื่อ แต่เรื่องหย่าแม่อย่ายอมนะฮะ อั้มกลัวไม่ได้อยู่กับคุณก้อง
ถ้าพี่วิวหย่า เราก็อยู่บ้านนี้ไม่ได้ อั้มกับคุณก้องก็ต้องแอบไปมาหาสู่กันอีก แม่ก็รู้นี่ฮะว่ามันทรมานแค่ไหน
อั้มคงอึดอัดและทนไม่ได้แน่ฮะแม่” กุมภาอ้อนมารดาตามเคย
อรสาลูบหลังบุตรชายอย่างรักใคร่ “ไม่ต้องห่วงอั้ม แม่รับรองพี่สาวอั้มต้องอยู่เป็นกันชนให้อั้มไปอีกนาน
แม่ไม่ยอมให้อั้มต้องทนทุกข์แบบเมื่อก่อนอีกแล้ว” นางกลัวบุตรชายคิดฆ่าตัวตายเหมือนเมื่อสามปีก่อนที่นิศาชล
ปฎิเสธการแต่งงานลวงโลกเพื่อให้น้องชายได้สมหวังอยู่กินกับคนรักได้แม้จะผิดธรรมชาติก็ตาม แต่ถือเป็นเรื่อง
ธรรมดาไปแล้วในสังคมปัจจุบันทว่านักธุรกิจสุภาพบุรุษอย่างก้องเกียรติกลับไม่กล้าเปิดเผยเพราะกลัวกระเทือน
ถึงสถานะทางสังคม อรสาถูกความรักความหลงบดบังจนมองไม่เห็นความจริงในข้อนี้จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือใน
การบีบบังคับทำร้ายนิศาชลโดยไม่รู้ตัว
===================
ปฏิภาณอยู่กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามลำพังในห้องทำงานส่วนตัว แววตาของมือเศรษฐกิจ
ของรัฐบาลบอกให้รู้ถึงปัญหาหนักอกอย่างเห็นได้ชัด สายตาผู้สูงวัยกว่าทอดมองที่ปรึกษหนุ่มด้วยความหวัง
บรรพตรู้ว่าคนที่จะช่วยเขาได้คือชายหนุ่มผู้นี้
“คุณต้น เรื่องกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่กนง คณะกรรมการนโยบายการเงินเสนอมา คุณเห็นว่ายังไง”
บรรพตต้องการหยั่งความเห็นของที่ปรึกษาหนุ่มคนเก่งมากกว่าต้องการคำตอบจริงๆ
“ผมคิดว่าภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน กำหนดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลง จะดีกว่าครับจะได้กระตุ้นให้เกิดการ
กู้ยืมเพื่อลงทุนทางธุรกิจ อีกอย่างทั่วโลกต่างพากันประกาศลดดอกเบี้ยลงเรื่อยๆ และอาจต้องลดมากขึ้นหากภาวะ
เศรษฐกิจทั่วโลกยังไม่ฟื้น อาจต่ำกว่า 0% ก็ได้ครับ ลดดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่พอควรมีมาตราการเสริมออกมาเป็น
ระยะๆเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจควบคุ่กันไปจะดีกว่าครับ” ปฏิภาณให้ความเห็นส่วนตัว และไม่หวังให้คนมีอำ
นาจเห็นชอบ
บรรพตเป็นรัฐมนตรีที่ทำงานรอบคอบและมักเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัวและนี่คือสาเหตุที่เขารับ
ปากมาช่วยงานในตำแหน่งที่ปรึกษานอกเหนือจากงานประจำ
“คิดตรงกับผม แต่มีอีกเรื่องที่อยากถามความเห็นคุณ ถ้าผมต้องย้ายไปดูกระทรวงพาณิชย์ คุณเห็นว่า
อย่างไร” คราวนี้บรรพตต้องการความเห็นจริงๆ
ปฏิภาณนิ่ง ความจริงเขารู้ล่วงหน้าถึงสาเหตุที่คนเป็นนายถูกบีบให้ย้ายไปกระทรวงอื่นเพราะเรื่อง
เสนอจัดเก็บภาษีของพวกนักค้ากำไรในตลาดหุ้นกับภาษีมรดก จึงมีคำสั่งจากผู้มีอำนาจจริงในพรรคให้เปลี่ยน
แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้อยู่ดีเพราะคนเป็นนายกรัฐมนตรีเห็นแก่ชาติบ้านเมืองมากกว่าจะทำตามนายทุนพรรค
“สถานการณ์แบบนี้ไม่มีใครเหมาะสมกับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเท่าท่าน ผมเชื่อว่า
ท่านได้นั่งทำงานในห้องนี้อีกนานครับ” บรรพตยิ้มออกเมื่อได้ฟังคำตอบของที่ปรึกษาหนุ่ม หลายอย่างในตัว
ชายหนุ่มผู้นี้ทำให้เขาทึ่ง พูดอะไรมักเป็นไปตามนั้น
“ก็จริงของคุณ ผมไม่ใช่พ่อค้าแต่เป็นนักการเงิน คงไม่เหมาะที่จะไปดูแลพ่อค้า ว่ากันตามจริงผมอยาก
ลาออกไปอยู่บ้านเลี้ยงหลานมากกว่า ตำแหน่งพวกนี้ก็หัวโขนดีๆนี่เอง ทำไมผมต้องชื่นชมกับมัน ถึงเวลาผมก็ไป
อาจไม่มีใครยกย่องนับถือผมก็ได้เมื่อผมจากไป” คนพูดผ่านร้อนผ่านหนาวมามากจึงรู้ถึงสัจธรรมของชีวิตดี
ไม่มีอะไรยั่งยืน ไม่ควรไปยึดติด
“ครับ” ปฏิภาณตอบสั้นๆ ใจนั้นนับถือนักการเมืองผู้นี้พอควร บนถนนการเมืองน้อยคนนักที่จะปลงได้
และไม่หลงมัวเมาในอำนาจที่ได้มา ส่วนใหญ่จะคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องมากกว่าประเทศชาติ
ผิดกับผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้า มักคำนึงถึงประเทศชาติและผลประโยชน์ส่วนรวมเหนือสิ่งอื่น
“ผมอยากถามคุณเรื่องหนึ่ง ถ้าไม่เป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวเกินไป ผมอยากรู้เรื่องผู้หญิงชื่อ
นิศาชลกับคุณ อยากรู้จากปากคุณก่อนที่คนอื่นจะมาบอกผมแบบผิดๆ” คำถามนี้ไม่ได้เหนือความคาดหมาย
คงเป็นฝีมือนายวรพจน์กับพวก ที่ต้องการบังคับท่านรัฐมนตรีให้บีบเขาออกโดยเอาเรื่องที่เขาคบกับนิศาชล
มาเป็นข้ออ้าง
“แล้วท่านคิดยังไงกับเรื่องนี้ครับ” แทนคำตอบเขาถามกลับ อยากรู้ใจผู้บังคับบัญชา
“ผมเชื่อใจคนที่ผมเชิญมาร่วมงานทุกคน โดยเฉพาะคุณ ปฏิภาณ ถ้าผมไม่มั่นใจว่าคุณเป็นคนดีมี
คุณธรรม ผมคงไม่เชิญคุณมาเป็นที่ปรึกษา ที่ผมกลัวคือคุณจะทิ้งผมไปก่อนมากกว่าข่าวไร้สาระพวกนี้”
คำพูดอันหนักแน่มั่นคงของบรรพตทำให้ปฏิภาณไม่ผิดหวังที่ได้ร่วมงานด้วย
“ตราบใดที่ท่านยังเห็นผมมีประโยชน์ต่อประเทศชาติ ผมยินดีช่วยเหลืองานของบ้านเมืองครับ”
เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงเช่นกัน รู้สึกสบายใจที่ได้ร่วมงานกับผู้ชายคนนี้
“คุณไม่เคยทำให้ผมผิดหวังจริงๆ เอาล่ะ ผมรบกวนเวลาคุณมากพอแล้ว เชิญคุณตามบาย
ผมขอเตรียมเรื่องเข้าประชุมครมก่อน” เจ้าของห้องได้คำตอบพอใจแล้วจึงยุติข้อสนทนา
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนครับท่าน “ พูดจบก็เดินออกจากห้องไปยังลานจอดรถ ระหว่างทาง จิตเขาก็
สัมผัสถึงคลื่นจิตของนิศาชลเข้าและต่อมาเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
“คุณต้น พอมีเวลาว่างแวะมาหาวิวที่บ้านได้มั้ยคะ” เป็นนิศาชลจริงดังคาด
“เกิดอะไรขึ้น คุณวิวบอกผมมา” เสียงเขาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ไว้ถึงก่อนแล้ววิวจะบอกไม่ต้องรีบค่ะ วันนี้วิวอยู่บ้านทั้งวัน” เธอพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่เขารู้
เธอเกรงใจเขา จึงพูดไปอย่างนั้น
“ถ้างั้นผมขอไปทานข้าวกลางวันด้วย”
“คุณต้นอยากทานอะไรค่ะ วิวจะทำให้”
“อะไรก็ได้ครับผม ถ้าเป็นฝีมือคุณวิว”
“ถ้าอย่างนั้นวิวทำข้าวคลุกน้ำปลาให้ทานก็แล้วกันค่ะ”
“ว๊า แค่ข้าวคลุกน้ำปลาเองเหรอ เค็มแย่ น่าจะมีอะไรหอมๆเช่น...”
“บ้าจังคุณต้น แค่นี้ก่อนนะ คุณป้ามา” นิศาชลตัดขาดการติดต่อทันทีเมื่อเห็นวันทาเดินเข้ามา
“คุยกับใครวิว” วันทาถามแทรกขึ้นเมื่อเห็นหลานสาวมีท่าทีเขินเล็กน้อย
“คุณต้นค่ะบอกจะมาทานกลางวันด้วย คือ...วิวชวนเองค่ะ” นิศาชลบอกคนเป็นป้าตรงๆ
“วิวจะให้พ่อคนนี้ช่วยเรื่องพานายปีเตอร์ไปเที่ยวพัทยาใช่มั้ยลูก” วันทานึกถึงเรื่องที่หลานสาวเล่าให้ฟัง
แล้วรู้สึกโกรธน้องสะใภ้อย่างบอกไม่ถูก รักหลงลูกชายจนไม่สนใจว่าลูกสาวจะเป็นอย่างไร จะถูกรังแกหรือไม่
นี่คงไม่รู้ว่ากำลังจะทำร้ายลูกสาวด้วยมั้ง ทางโน้นอ้อนหน่อยเชื่อหมด ประแคนให้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่อาจไปห้ามได้
ถึงอย่างไรก็แม่ลูกกัน ทำได้แค่เตือนเท่านั้น
“วิวไม่จำเป็นต้องทำตามแม่อรสาบอกก็ได้ วิวก็รู้ว่าพวกนั้นไม่เคยหวังดีกับวิว ทำไมยังยอมอีก
ถ้าวิวกลัวแม่อรสาไม่พอใจ ป้าจะโทรไปบอกเองว่าป้ามีธุระจะใช้ ไม่ให้วิวไป” วันทาช่วยหาทางออกให้
“ขอบคุณค่ะคุณป้า ไม่ต้องห่วงนะคะ วิวบอกแม่ไปแล้ว ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย กลับจากพัทยาเมื่อไหร่
วิวจะขอหย่าทันที” นิศาชลดูมั่นใจในสิ่งที่ตัดสินใจหากคำพูดต่อมาของวันทาก็ทำให้เธอรู้ว่าไม่ง่ายนัก
“พูดนะพูดได้ แต่แม่อรสาจะยอมตามที่วิวขอหรือ น้องชายวิวคงไม่ปล่อยวิวไปง่ายๆ ป้ากลัววิวจะสลัด
ไม่หลุดจากคนพวกนั้นตราบใดที่แม่อรสายังไม่รู้ตัวว่ากำลังทำร้ายลูกสาวตัวเอง”
“วิวทราบค่ะ แม่ไม่มีวันยอม วิวจะทำให้ทางโน้นเป็นฝ่ายขอหย่าจากวิวเอง แล้วแม่ก็บังคับวิวไม่ได้อีก“
วันทายิ้มอย่างพอใจ ที่แล้วมาเข้าใจผิดคิดว่าหลานสาวจะยอมตกเป็นทาสของคำว่าหนี้ชีวิตไปจนกว่าผู้ให้
กำเนิดจะเข้าใจและเห็นใจโดยไม่คิดจะสู้เพื่อตัวเอง
“ป้าดีใจที่วิวคิดสู้ คนเราหากรู้จักใช้ปัญญาแก้ปัญหา ป้าเชื่อว่าไม่มีปัญหาอะไรที่ไม่มีทางออก แต่ป้าไม่
แน่ใจ คิดจะบีบบังคับให้นายก้องเกียรติเป็นฝ่ายมาขอหย่าเอง ไม่ใช่เรื่องง่ายนะลูก วิวก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้เจ้าเล่ห์
แค่ไหน ยังมีน้องชายวิวอีกคน ป้ายังมองไม่เห็นทาง” แม้วันทาจะเห็นด้วยที่หลานสาวคิดสู้แต่ก็อดเป็นกังวล
แทนไม่ได้
“ไม่ลองก็ไม่รู้นี่ค่ะคุณป้า วิวทำเพื่อพวกเขามามากแล้วถึงเวลาที่จะทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง” นิศาชล
ทอดสายตาไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง
วันทารู้สึกเห็นใจหลานสาวนัก หากไม่ใช่เพราะมารดาบังเกิดเกล้ามีรึ นิศาชลจะยอมให้ผู้อื่นบีบบังคับ
มองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยอุปสรรค ฝ่ายนั้นถือไพ่เหนือกว่าทุกด้านยิ่งได้อรสาเป็นแรงหนุนยิ่งยากเป็นทวีคุณ
นิศาชลคงทำอะไรมากไม่ได้ ประมาทนิดเดียวเท่ากับแบกรับคำว่าลูกอกตัญญูไปชั่วชีวิตเพราะอรสานั้นมีนิสัย
ชอบเอาชนะอย่างโง่ๆด้วยความเจ้าทิฐินั่นเอง
“ป้าขออวยพรให้วิวชนะ ป้าจะไปดูร้านหน่อย ถ้าวิวยังหางานไม่ได้ ไปช่วยงานป้าที่ร้านเบเกอรี่ก็ได้นะ”
วันทาอยากเปิดโอกาสให้หลานสาวอยู่ตามลำพังกับคนรักมากกว่าจะตั้งใจไปที่ร้านจริงจัง วันทาเป็นคนเก่ง
มีฝีมือด้านการทำขนม และขยายกิจการร้านเบเกอรี่กับกาแฟได้หลายสาขาโดยมีนิศาชลช่วยบ้างในบางครั้ง
แต่หญิงสาวก็อยากทำงานบริษัทหาประสบการณ์แปลกๆมากกว่าจะอยู่ช่วยกิจการของครอบครัวเต็มตัว
“ไว้วิวหางานไม่ได้จริงๆ ค่อยคิดอีกทีค่ะ ระหว่างนี้วิวขอเป็นลูกจ้างรายวันไปพลางๆก่อน”
“สงสัยชาตินี้ป้าคงไม่มีผู้สืบทอดกิจการแน่ ป้าไปดีกว่า ไม่อยากปะทะคารมกับพ่อคนนั้นของวิว
เออฝากบอกด้วยนะ น้ำมันไพลที่ให้ไปถ้าใช้ไม่หมดให้เอามาคืนด้วย” วันทาอดยั่วคนพิเศษของหลานสาวไม่ได้
นิศาชลขำ รู้ว่าท่านเอ็นดูปฏิภาณแต่อดตั้งแง่ไม่ได้
“ไว้วิวจะทวงให้ค่ะ ไม่นึกว่าคุณป้าจะหวงของเป็นกับเขาด้วย” นิศาชลแซวขณะเดินมาส่งที่รถ
“กับคนอื่นป้ายินดี แต่กับพ่อคนนี้ของวิวป้าไม่อยากให้อะไรทั้งนั้นถ้าไม่จำเป็น” วันทาพูดด้วยความ
หมั่นไส้ ใจจริงนั้นท่านไม่อยากเสียหลานสาวไปเท่าไรนัก ไม่ทันไรปฏิภาณก็ได้หัวใจหลานสาวไปครองทั้งที่รู้จัก
ได้ไม่นานนัก
“สวัสดีครับคุณป้า จะไปไหนเหรอครับ” เสียงปฏิภาณทักขึ้นพร้อมยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า
“อายุยืนจริงนะ พูดถึงก็มา สงสัยจะตายยาก เชิญตามสบายย่ะ ฉันขอตัว หวังว่าคงไม่อยู่จนฉันต้อง
กลับมาไล่นะ” วันทาประชดก่อนขึ้นรถขับออกไป
ปฏิภาณทำหน้างงๆแล้วหันไปมองนิศาชลที่ทำหน้ากลั้นยิ้มเต็มที่
“คุณวิว ผมทำอะไรผิดเหรอ คุณป้าถึงพูดเหมือนโกรธผมมาแต่ชาติปางไหน”
“อยากรู้ไว้ถามท่านเอง ตอนนี้ไปช่วยวิวทำอาหารก่อน ถ้าไม่อยากหิวจนกระเพาะประท้วง”
“แล้วกัน คิดว่าจะได้กินข้าวคลุกน้ำปลา กลับต้องมาช่วยทำอีกแน่ะ” เขามีโวยเล็กน้อย
“อยากกินจริงๆเหรอคะ ข้าวคลุกน้ำปลาได้เลยจะจัดให้ ตามมาค่ะ” ว่าแล้วเธอก็เดินนำเขาไปที่ครัว
ซึ่งแยกจากตัวบ้านแต่เดินทะลุกันได้เพราะมีเตาอบขนมอยู่แต่ไม่มีคนอยู่สักคน เขามองอย่างแปลกใจ
“คุณวิว ครัวกว้างใหญ่อย่างนี้ไม่มีคนดูแล ผมว่ามันแปลกๆนะ”
“ไม่แปลกหรอกค่ะ เพราะคุณป้าไล่ออกหมด เราทำกันเอง มีแค่เด็กช่วยทำความสะอาดครัวเท่านั้น
มีไว้ก็รังแต่จะยักยอกเงินค่ากับข้าว เป็นไงเหตุผลฟังเข้าท่ามั้ยคะ” เธอพูดเหมือนกำลังประชดอะไรสักอย่าง
“ฟังไม่เข้าท่าเลย บอกผมมาตรงๆก็ได้ ถ้าให้ผมเดา สาเหตุคงมาจากแม่ครัวคนเก่าช่างพูดและเป็น
พวกเดียวกับน้องชายคุณ แถมยังชอบมีเรื่องกับคุณอาที่มีปัญหาทางจิต คุณป้าเลยไล่ออกและไม่ยอมรับคน
ใหม่ ผมเดาถูกมั้ยครับ” นิศาชลทำหน้าเหวอมองหน้าเขาอย่างทึ่ง เขารู้ได้อย่างไร เรื่องพวกนี้ไม่มีใครรู้
นอกจากเธอกับป้าและคนเก่าแก่ในบ้าน เขายิ้มและดึงตัวเธอเข้ามากอดไว้
“ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าผมรู้ได้อย่างไร เอาเป็นว่าผมรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับตัวคุณ รู้ด้วยว่าวันนี้คุณชวนผมมา
ทานข้าวเพราะมีเรื่องอยากให้ผมช่วย ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ได้ทานกับข้าวฝีมือคุณแน่”
“ค..คุณต้น คุณรู้ได้ไง” นิศาชลทั้งประหลาดใจและสับสนในเวลาเดียวกัน ไม่เข้าใจ ทำไมเขาถึงรู้ความ
ลับเธอมากมายจนอดสงสัยไม่ได้ว่าเขามีตาทิพย์หูทิพย์หรือไร ถึงได้รู้ความในใจเธอด้วย ยิ่งเห็นเขายิ้มก็ยิ่งแปลก
ใจหนักเข้าไปอีก
====================================
๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕**********************************************
คนเรามักทุกข์กับความผูกพันมากมาย ทั้งรัก ทั้งเกลียด ชิงชัง จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
แต่สิ่งที่คนลืมไปคือ ไม่มีใครทุกข์ได้ตลอด อย่างน้อยก็ต้องมีช่วงเวลาหนึ่งในใจที่ยิ้มได้
และที่สำคัญเวลานั้นมันไม่มีอยู่จริงแต่ทุกวันนี้คนก็ยังทุกข์เครียดเพราะเวลาที่ถูกกำหนดขึ้น
ในชีวิตประจำวัน เช่นอีกนาทีเดียวแล้วจะเข้าสอบไม่ทัน จะเข้าประชุมไม่ทัน ไปทำงานไม่ทัน
ห้างจะปิดแล้วยังซื้อไม่เสร็จเลย เครืองจะออกแล้วยังไปไม่ถึงสนามบินเลย ชีวิตเลยทุกข์เพราะ
เวลาที่สมมุตขึ้น มีใครเคยนับเวเลาได้ตรงไหม เช่นบอกว่า 9:30 น ตอนเราบอกมันก็เดินเลยไปแล้ว
ฉะนั้นอย่าให้เวลามาทำให้เราทุกข์ทั้งอดีตและปัจจุบัน....เพลงใบไม้
เพลงใบไม้
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ค. 2558, 21:34:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ค. 2558, 21:34:39 น.
จำนวนการเข้าชม : 1369
<< ตอนที่ 10 | ตอนที่ 12 >> |
ผักหวาน 21 ก.ค. 2558, 21:53:33 น.
คราวนี้คุณต้น จะเจ็บตัวอีกมั้ยคะเนี่ย
คราวนี้คุณต้น จะเจ็บตัวอีกมั้ยคะเนี่ย