ดวงจิตสื่อรัก
Tags: ไม่ใช่แนวตบจูบเป็นเรื่องที่แต่งจากประสบการณ์เรื่องจิตวิญญาณ
ตอน: ตอนที่ 10
ตอนที่ 10
“ข้าวให้โอกาสคิดอีกที จะเปลี่ยนใจหรือไม่” กีรกันตาถามย้ำก็จริงหากนัยน์ตาบอกว่าถ้าไม่เปลี่ยนใจ
ระวังจะได้รางวัลหนักๆจนแบกรับไม่ไหว
“ติดไว้ก่อนก็ได้ ไว้ค่อยคิดดอกทบต้นทีหลัง ขืนพี่รับรางวัลจากข้าวตอนนี้พี่คงไม่รอดแน่” อมรินทร์ไม่
หลงกลเธอ คนให้รางวัลนึกฉุนที่ทำอะไรหมอเจ้าเล่ห์ไม่ได้สักที รู้ทันอยู่เรื่อย
“ดีที่คิดถูก ไม่อย่างนั้นพี่อามไปไม่ถึงจุดหมายแน่” เธอไม่วายขู่ เขาไม่ตอบกลับเร่งความเร็วรถจนเธอ
แปลกใจ เมื่ออดรนทนไม่ไหวก็ถามตรงๆ
“พี่อามจะรีบไปไหน”
“ไปวัด”
“ไปวัด ไปทำไมป่านนี้ มันเกือบบ่ายสามแล้ว ไปถึงวัดไม่ปิดก่อนเหรอคะพี่อาม”
“นั่นสิ พี่ถึงได้รีบ ข้าวจะเริ่มงานพี่อยากพาข้าวไปถวายสังฆทานกับพระสุปฎิปันโน ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี”
“พี่อามชอบทำอะไรที่ข้าวคิดไม่ถึงอยู่เรื่อย แต่เอ๊ะ เรายังไม่ได้ไปซื้อของสังฆทานกันเลยนะ”
“พี่เตรียมไว้แล้ว” แล้วเขาก็ยื่นมือไปหยิบกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งจากช่องเก็บของในรถข้างคนขับมายื่น
ให้เธอ “ข้าวจ่ายพี่มา ทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อยบาท รายการดูตามใบเสร็จนี้” คนถูกทวงหนี้โดยไม่รู้ตัวทำท่ายิ้มแฮะๆ
“ข้าวขอแปะโป้งไว้ก่อนนะ ตอนนี้มีติดตัวไม่ถึงห้าร้อย พี่อามนั่นแหละทำให้ข้าวรีบจนหยิบกระเป๋าผิด”
เธอโทษเขาตามระเบียบ
“ได้ไว้พี่จะทวงคืนตอนไปส่งข้าว ห้ามเบี้ยวนะ ของทำบุญพี่ถือ” ท่าทางเขาจะเป็นเจ้าหนี้ที่โหดพอควร
“ของทำบุญใครกล้าเบี้ยวล่ะ บาปแย่ ขอดูก่อนว่าซื้อของถวายได้ถูกใจมั้ย” เธออ่านรายการในใบเสร็จ
แล้วยิ้มพอใจเพราะตรงกับที่คิด มีเทียนธูป จีวร สบู่ ยาสีฟัน ยาแก้ฟกช้ำดำเขียว ปวดเมื่อย ยาแก้ไข้ ผงซักฟอก
น้ำยาล้างห้องน้ำพร้อมแปรงขัด ยาสระผม สมุดโน๊ต ปากกา หลากหลายอย่างทีเดียว
“อย่ามัวแต่ยิ้มอยู่เลย ถึงวัดแล้ว” เขาพารถมาจอดในวัดแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่
พื้นวัดสะอาดสะอ้าน เธอสัมผัสได้ถึงความสุขสงบของสถานที่ทันทีที่ก้าวลงจากรถ
อมรินทร์เปิดท้ายรถ หยิบถังสังฆทานกับผ้าไตรอีกชุดแยกต่างหากจากจีวรในถังสังฆทานแล้วเดินนำ
กีรกันตาไปในโบสถ์
ภายในโบสถ์มีพระประธานองค์ใหญ่ทำจากหยกสีขาว สวยงามมาก ปางสมาธิประดิษฐานอยู่ พื้นโบสถ์
เป็นหินอ่อน บริเวณโบสถ์ทั้งสองฝั่งมีหน้าต่างหลายบานเปิดโล่งไว้ให้ลมพัด ดูแล้วเย็นสบายโปร่งโล่งสวยงาม
กีรกันตาถอดร้องเท้าวางไว้หน้าโบสถ์ เดินเข้าไปใกล้องค์พระประธาน แล้วกราบเบญจางคประดิษฐ์อย่างสวย
งามหน้าผากจรดพื้นอย่างนอบน้อม กิริยาที่ก้มลงกราบองค์พระปฏิมาอกให้รู้ว่าคนกราบมีใจเคารพนับถือ
ศรัทธาเพียงใร เขาเห็นแล้วอดชื่นชมไม่ได้ก่อนก้มลงกราบเช่นเดียวกัน
“ข้าว กราบได้สวยมากเหมือนกราบด้วยใจที่เคารพอันเต็มเปี่ยมทีเดียว” เขาชมพลางมองเธออย่างชื่นชม
กีรกันตายิ้มบางๆ ดูเธอเรียบร้อยกลายเป็นคนละคนก็ว่าได้
“ปู่ กับ แม่ สอนข้าวมาแต่เล็กค่ะ เวลากราบพระให้กราบทั้งกายทั้งใจด้วยความเคารพ น้อมใจระลึกถึง
คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใหม่ๆก็ทำแบบขอไปที พอแม่ทำเป็นตัวอย่างให้ดูบ่อยๆ ก็ซึมซับไปในตัว
แม่ไม่เคยบ่นว่าลูกๆเวลาทำอะไรผิด แต่ท่านจะทำเป็นตัวอย่างให้ดู ข้าวกับพี่ต้นรักแม่มาก เสียดายที่ท่านอายุสั้น
ทิ้งข้าวกับพี่ต้นไปสิบกว่าปีแล้ว” เธอพูดถึงมารดาด้วยความรักและอาลัย
“ท่านไปดีแล้ว ข้าวไม่ต้องห่วง ใกล้เวลาพระท่านจะมารับสังฆทานแล้ว ข้าวตั้งใจถวายและอธิษฐานดีๆ
การที่เราได้ทำบุญกับพระที่ประพฤติดี ปฎิบัติชอบ มีศีลบริสุทธิ์ นับว่าโชคดีมาก ได้บุญมหาศาล” พอเขาพูด
จบก็มีพระภิกษุชรารูปหนึ่งเดินเข้ามาในโบสถ์ด้วยท่าทีสงบ ใบหน้าผ่องใสแม้จะชราภาพแล้วก็ตาม เธอกับเขา
รีบขยับหลีกทางให้ท่านเดินผ่านไปนั่งลงบนอาสนะในท่าขัดสมาธิ ก่อนก้มลงกราบด้วยกิริยานอบน้อม
“หมอ วันนี้ว่างมาพบหลวงพ่อรึ” ภิกษุชราทักอย่างคุ้นเคยกันดี
“ครับหลวงพ่อ ผมพาเพื่อนมาทำสังฆทานกับหลวงพ่อเพื่อให้ผลบุญนำพาสิ่งดีๆมาให้ครับ” เขาตอบ
อย่างนอบน้อม
ภิกษุชราพิจารณาหญิงสาวที่นั่งข้างอมรินทร์แล้วท่านก็รับรู้ด้วยจิต ว่าคู่กันถึงได้ห่วงกัน ฝ่ายชายคงรู้
ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฝ่ายหญิงในไม่ช้าเพราะมีวิบากต้องชดใช้ ยังดีที่มีจิตใจดีงามใฝ่ในเรื่องบุญกุศลอยู่เนืองๆ
จึงพอจะช่วยผ่อนปรนให้ไม่ถึงขั้นรุนแรงนักหากยังหนีวิบากกรรมไม่พ้นอยู่ดี ไม่มีใครหลีกพ้นผลของกรรมที่ตัวเอง
ได้ก่อไว้และท่านจะเข้าไปก้าวก่ายไม่ได้ ทำได้แค่ช่วยแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรของหญิงสาวผู้นี้ ส่วนจะได้
รับหรือไม่ก็สุดแล้วแต่เวรแต่กรรม สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ไม่มีใครไปช่วยตัดกรรมของใครได้นอกจากเจ้า
ของกรรมจะยอมรับและชดใช้หรือยุติกรรมนั้นเอง
“ถ้าอย่างนั้นเริ่มเลย หลวงพ่อมีธุระต้องทำต่ออีก” ภิกษุชราปูผ้าผืนเล็กสีเดียวกับจีวรเรียกว่าผ้ากราบ
เป็นการบอกให้รู้ว่าท่านพร้อมจะรับสังฆทานแล้ว
กีรกันตายกถังสังฆทานโดยมีมือใหญ่แข็งแรงช่วยประคองวงลงบนผ้ากราบ จากนั้นภิกษุชราก็ให้เธอ
กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ภิกษุชรานึกชื่นชมเมื่อเห็นหนุ่มสาวทั้งคู่กรวดน้ำได้ถูกต้อง
ฝ่ายหญิงใช้สองมือเรียวสวยประคองคนโทกรวดน้ำสายตาจ้องมองสายน้ำที่รินลงบนขันด้วยตั้งใจอุทิศเต็มที่
ขณะที่ฝ่ายชายแทนที่จะใช้มือแตะตัวหญิงสาวกลับนั่งประนมมือและตั้งใจอุทิศบุญกุศลให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ซึ่งถือเป็นการกรวดน้ำอุทิศบุญกุศลที่ถูกต้องหากเอานิ้วไปรองน้ำเท่ากับไปขวางการอุทิศบุญนั้น
อันที่จริงความสำคัญของการอุทิศบุญกุศลอยู่ที่จิตใจเป็นสำคัญไม่ได้ขึ้นกับน้ำหรือแตะตัวผู้ถือคนโท
กราดน้ำแต่ประการใดแต่ที่ใช้น้ำเพราะช่วยให้จิตจดจ่อที่น้ำจะได้เป็นสมาธิไม่วอกแวกและการอุทิศบุญก็จะได้
ผลโดยอาศัยน้ำเป็นสื่อส่งผ่านไปยังผู้ที่ตั้งใจอุทิศให้โดยเลียนแบบจากพวกพราหมณ์ จากนั้นทั้งคู่ก็เอาน้ำไปเท
ใต้ต้นไม้ใหญ่ขณะที่ภิกษุชรานั่งหลับตาทำสมาธิ พอทั้งสองกลับมาท่านก็ลืมตาขึ้น หันไปพูดกับอมรินทร์
“หมอาจต้องช่วยเอง แต่หมอจะมีส่วนร่วมในวงจรกรรมนั้น จำไว้นะกรรมใดใครก่อคนนั้นรับเอง ให้ใช้ๆ
เขาไป จะได้ตัดหนี้เวรที่ผูกกันมา ทำดีไปเรื่อยอย่าท้อนะหมอ”
“ครับหลวงพ่อ ผมจะพยายามทำให้ได้ครับ” เขารับรองหนักแน่น ภิกษุชราจึงหันไปพูดกับกีรกันตาต่อ
“หนูข้าว หลวงพ่ออยากเตือนอย่าง ถ้าใครคิดร้ายต่อเราให้แผ่เมตตาให้เขา อย่าไปแค้นตอบจะได้ไม่ผูกเวรต่อกัน
แล้วหนูจะไม่ทุกข์”
กีรกันตามีสีหน้าแปลกใจ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเธอมีชื่อเล่นว่าข้าว คิดอีกทีก็ไม่แปลกเพราะดูจากท่าทีอัน
สงบใบหน้าผ่องใสแม้จะชราภาพมากแล้วบอกให้รู้ว่าภิกษุชรารูปนี้ต้องเป็นพระวิปัสสนาจารย์ผู้มีคุณธรรมสูง
และฝึกจิตได้ถึงระดับอภิญญา เธอไม่เคยสงสัยเรื่องพวกนี้เพราะใกล้ชิดกับปู่ที่ฝึกสมาธิมาตลอดกับประสบ
การณ์ของตัวเองที่กลายเป็นคนไร้ร่างอยู่พักหนึ่งจึงทำให้เชื่อโดยไม่มีข้อสงสัย หากเป็นคนอื่นจะคิดว่าเป็นเรื่อง
เหลวใหล หรือสงสัยก็ได้เพราะยุคนี้คนส่วนใหญ่เชื่อในสิ่งที่วิทยาศาสตร์ทดลองอธิบายออกมาเป็นทฤษฎีได้เท่า
นั้นซึ่งเป็นขีดจำกัดของวิทยาศาสตร์ทำให้พัฒนาไปได้ไม่ก้าวไกลนัก เพราะมีหลายอย่างในโลกนี้ที่วิทยาศาสาตร์
หาข้อสรุปไม่ได้
“ขอบคุณค่ะหลวงพ่อ ข้าวจะทำตามค่ะ” เธอรับปากพลางยกมือขึ้นไหว้
“ดีแล้ว ไม่มีใครช่วยเราได้เท่าเราช่วยตัวเอง จำไว้นะหนูข้าว เอาล่ะหลวงพ่อต้องขอตัวไปพบญาติ
โยมที่กุฎิก่อน” ภิกษุชราลุกขึ้นเดินออกจากโปสถ์
“พี่อาม หลวงพ่อพูดแปลก ข้าวรู้สึกว่าท่านอยากเตือนข้าว เหมือนท่านรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับข้าว
บอกข้าวได้ไหมคะ จะเกิดอะไรขึ้นกับข้าว” กีรกันตาถามหลังภิกษุชราไปแล้ว
“ข้าวโชคดีนะที่ท่านเตือน ทำตามที่ท่านบอกแล้วจะดีเอง ได้เวลากลับแล้ว เดี๋ยวดึกไป พี่กลัวคุณต้น
ทำร้ายเอา” เขาไม่ตอบแต่พูดเรื่องอื่นแทน กีรกันตารู้ว่ารบเร้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ถึงเวลาคงรู้เอง
“พี่ต้นไม่โหดอย่างนั้นหรอกค่ะ แค่ฝากรอยช้ำเล็กๆน้อยๆไว้เป็นที่ระลึกเท่านั้น” เธอแกล้งขู่และเดิน
ตามร่างสูงใหญ่ไปขึ้นรถกลับบ้าน
==================
เช้าวันรุ่งขึ้นกีรกันตาตื่นแต่เช้าเพราะเสียงปลุกจากนาฬิกาข้อมือที่ได้รับจากหมอเจ้าเล่ห์ เธอวางไว้
บนหัวเตียงหลังจากเอาออกมาชื่นชมก่อนนอน ที่แท้มันเป็นนาฬิกาปลุกในตัว ช่างร้ายนักหลอกเธอแต่ครั้งนี้จะ
ยกโทษให้เพราะช่วยให้เธอไปรายงานตัวทัน หลังแต่งตัวเสร็จเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
“พี่อามไม่ต้องโทรมาปลุกหรอกค่ะ ข้าวเรียบร้อยแล้วกำลังจะไปทำงาน” เธอชิงพูดดักคออีกฝ่ายไว้ก่อน
“อะไรกัน ยังไม่ทันกินข้าวเช้าจะไปทำงานแล้วเหรอ เดี๋ยวเป็นลมไม่รู้ด้วยนะ รีบออกมาพี่มีโจ๊กสามย่าน
มาฝาก สนใจมั้ย” เธออึ้งไปเลย มาได้ไง ใครอนุญาตให้เข้ามาในคอนโด พี่ต้นรู้หรือเปล่า
“อย่าบอกนะว่าพี่อามมารอข้าวที่ห้องรับแขกแล้ว ไม่เชื่อหรอก” เธอถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“ไม่ใช่หรอก ขืนเข้าไปมีหวังถูกคุณต้นทำร้ายแน่ ข้อหาบุกรุกห้องคนอื่น พี่รอที่ร้านข้าวแกงใต้คอนโด
รีบลงมาเร็ว วันนี้อาสาพาไปส่งที่โรงพยาบาล”
“แล้วไป ทีหลังไม่ต้องค่ะ พี่ต้นให้รถข้าวใช้” เธอปด ความจริงรถของเธอที่ปฏิภาณให้เป็นของขวัญวัน
สำเร็จการศึกษานั้นถูกเพื่อนซื้อต่อไปแล้วหลังเธอเกิดอุบัติจนเข้าร่างไม่ได้ ไม่รู้ชอบอะไรนักหนากับรถมือสอง
“อ้าว ไม่ใช่เพื่อนขอซื้อไปแล้วเหรอเพราะถูกโฉลกกับรถคันนี้” อีกฝ่ายรู้อีกจนได้
‘คบกันหมอเสียมารยาทนี่น่ากลัว คิดอะไรรู้หมด’
“แค่นี้ก่อนนะ พี่ต้นมาเคาะเรียก” เธอรีบวางสายและเดินไปเปิดประตู ปฏิภาณยืนยิ้มชูกระเป๋า
สะพายแบบน่ารัก เก๋ ดูดีให้
“ของขวัญสำหรับเริ่มงานวันแรกจากพี่ชายแสนดี เป็นไงถูกใจมั้ยเอ่ยน้องสาวจอมจุ้น”
กีรกันตารีบโผเข้าหา กอดร่างสูงใหญ่ของพี่ชายไว้ แขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มพี่ชาย
“พี่ต้นน่ารักที่สุดเลย รู้ใจข้าวที่สุด ถูกใจมากค่ะ ข้าวจะใช้วันนี้เลย ขอตัวไปเปลี่ยนกระเป๋าก่อน”
ว่าจบก็เดินไปหยิบกระเป๋าอีกใบและย้ายของใส่กระเป๋าใบใหม่ซึ่งเป็นกระเป๋าผ้าแบบเก๋มาก
“ไม่เบอร์ห้าเลยนะเรา ไปได้แล้ว ไม่อย่างนั้นหมออามจะคอยนาน อุตส่าห์มาแต่เช้า” พี่ชายแซวแล้วไล่
“พี่ต้นรู้ได้ไง พี่อามบอกเหรอ” เธอมองหน้าพี่ชายแล้วทำหน้าไม่เข้าใจ
“เปล่าพี่รู้ก็แล้วกัน รีบไปเถอะแต่ระวังตัวด้วยนะวันนี้ จะข้ามถนน ดูรถราให้ดี เรายิ่งซุ่มซ่ามอยู่ด้วย”
ปฏิภาณไม่รู้ว่าทำไมถึงเตือนน้องสาวไปอย่างนั้น หวั่นๆจะเกิดเรื่องกับน้องสาว อีกใจก็คิดว่ามีอมรินทร์
อยู่ด้วยคงไม่เป็นไรหรอก เขาไม่รู้ว่าวงจรกรรมกำลังเริ่มทำงานแล้ว
กีรกันตามาพบอมรินทร์ที่ร้านข้าวแกงใต้คอนโดฯ ร้านนี้ช่วยให้หลายชีวิตในคอนโดฯไม่อดตาย กับข้าว
แต่ละอย่างสะอาดน่ารับประทานแถมมีอาหารตามสั่งด้วยนอกนั้นยังมีอาหารเช้าประเภทโจ๊กข้าวต้มเครื่องให้
เลือกอีกเมนูหนึ่ง และเพื่อนๆของเธอแอบตั้งฉายาให้ร้านนี้ว่า ‘ข้าวแกงไฮโซ’ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้มาทาน ก็คงจะ
จริงเพราะราคาแพงกว่าข้าวแกงทั่วไป การจัดร้านกับอุปกรณ์แต่งร้านก็เลิศหรูและทำอย่างสะอาดถูกหลักอนา
มัยเหมาะกับคอนโดฯหรูสำหรับผู้มีรายได้มากเกินมนุษย์เงินเดือนทั่วไป
“ไหนคะ โจ๊กสามย่านของพี่อาม” มาถึงเธอก็ถามหาของกินทันที
“ใจเย็นๆเดี๋ยวเขายกมาให้” อมรินทร์ไม่รีบร้อนนัก ความจริงอยากถ่วงเวลามากกว่าเพราะถ้าเธอไปถึง
ก่อนเก้าโมงจะเกิดเรื่องกับเธอเพียงแต่เขาไม่รู้ว่าเรื่องอะไร
“พี่อามทำยังไงเขาถึงยอมให้เอาอาหารจากที่อื่นเข้าร้าน ร้านนี้มีกฎอยู่ว่าห้ามนำอาหารจากที่อื่นเข้ามา
ทานในร้านเพราะถือเป็นการดูถูกอาหารในร้านอย่างแรง”
“หมออามขอร้องเสียอย่างใครจะใจร้ายลงคอ”
“พี่อามคงไม่ไปสะกดจิตให้เขาทำตามคำสั่งนะ” เธอรีบดักทางเขา
“ขืนเที่ยวสะกดจิตใครต่อใครพร่ำเพรื่อไปหมดพี่ก็เหนื่อยแย่ การสะกดจิตแต่ละครั้งต้องใช้พลังงานมาก
เหนื่อยยิ่งกว่านักฟุตบอลที่ลงแข่งในสนามตลอดเวลาเก้าสิบนาทีเสียอีก ต้องพักผ่อนฟื้นฟูพลังงานคืนให้ร่างกาย
เช่นการทำสมาธิเป็นต้น” เขาแก้ข้อกล่าวหาของเธอโดยยกเหตุผลเชิงวิชาการมาชี้แจงซึ่งเธอคงไม่เข้าใจหรอก
เพราะไม่ได้ฝึกพลังจิตเหมือนเขา
“พูดมาเสียยืดยาว ที่แท้ก็หาข้อแก้ตัวให้ตัวเองเวลาแอบงีบขณะตรวจคนไข้” เธอไม่เชื่อ
“เป็นงั้นไป เชื่อเถอะ พี่ไม่ชอบโกหก” เขายืนยัน
“เอ...จะเชื่อดีมั้ยน้อ เอาอย่างนี้ดีกว่าพี่อามบอกข้าวมาตรงๆ ทำไมเจ้าของร้านถึงยอม” เธอเท้าคาง
ถามพลางจ้องหน้าเขาแล้วยิ้มเอาใจเพราะอยากรู้คำตอบที่แท้จริงมากกว่า
“คำตอบมาแล้ว”
พอเขาพูดจบกีรกันตาก็เห็นหญิงเจ้าของร้านซึ่งเป็นชาวจีนใบหน้าบอกว่าอายุเข้าหลักสี่อัพ รูปร่างท้วม
ขาว แต่งตัวดีมีรสนิยม เดินยิ้มยกชามโจ๊กมาให้สองชามพร้อมปลาท่องโก๋อีกจานมาที่โต๊ะ
“หมออาม เจ๊แถมปลาท่องโก๋ให้ คิดว่าหมอจะเลี้ยงใคร ที่แท้ก็น้องข้าวนี่เอง เจ๊ไม่แปลกใจแล้วค่ะหมอ
น้องข้าวโชคดีมากนะที่ได้หมออามเป็นแฟน” หญิงเจ้าของร้านทักตามที่เข้าใจเลยทำให้กีรกันตาเขินจัดแล้วขยับ
ปากจะแก้ความเข้าใจผิดถ้าไม่ถูกแย่งซีนก่อน
“เจ๊ฉลาดจัง ผมยังไม่ทันแนะนำก็รู้แล้ว” กีรกันตาตาโตเกือบเท่าตัวเมื่อได้ยินไม่คิดว่าจะถูกมัดมือชก
แบบนี้ ‘มากไปแล้วนะ เขายังไม่ทันรับปากเลย’ เธอเกือบจะแยกเขี้ยวใส่เขาแต่พอเห็นหน้าเจ๊เจ้าของร้านยิ้ม
ชอบใจและมองทั้งคู่ด้วยสายตาชื่นชมก็ทำหน้าเฉยเสีย
“ของแบบนี้ดูง่ายนิดเดียว พูดแล้วจะหาว่าคุย เจ๊มีประสบการณ์เยอะ สมัยสาวๆมีหนุ่มมาจีบหัวบันได
แทบไม่แห้ง แหมถ้าเจ๊อายุน้อยกว่านี้สักยี่สิบปี น้องข้าวมีคู่แข่งแน่” เจ้าของร้านดูไม่หลงตัวเองเท่าไรนัก
“เจ๊หมออามล้อเจ๊เล่น อย่าจริงจังเลยนะเจ๊จ๋า ไว้ข้าวมีแฟนเมื่อไหร่จะบอกเจ๊เป็นคนแรกดีมั้ย ไม่แน่นะ
แฟนข้าวอาจเป็นหมออามของเจ๊ หรือคนอื่นก็ได้นา ตอนนี้ข้าวยังโสดค่ะ” พอเธอบอก เจ้าของร้านก็มีสีหน้าผิด
หวังทันที
อมรินทร์ยิ้มขำ ส่งคำพูดผ่านกระแสจิตไปหาคนปากแข็ง ‘รับรองข้าวหนีพี่ไม่พ้น สารภาพไปกับเจ๊เถอะ
ว่าใช่’
“พี่อามบ้า” เธออเผลอแว้ดออกมาดังๆใบหน้าแดงเล็กน้อยเลยทำให้เจ๊เจ้าของร้านตกใจคิดว่าจะมีเรื่อง
“เจ๊ขอตัวไปดูเด็กๆก่อนนะ เชิญหมออามกับน้องข้าวตามสบาย” เจ๊รีบเผ่นก่อนเมื่อเห็นท่าไม่ดี
“ดูสิเจ๊กลัวข้าวจนเผ่นไปแล้ว พี่กำลังจะถามว่าลูกชายหายดีหรือยัง ลูกชายแกเครียดเรื่องสอบเข้ามหา
วิทยาลัยปีหน้า พี่ช่วยรักษาให้อยู่พักหนึ่ง ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว อยากมาดูอาการหน่อย ข้าวทำพี่ผิดแผนหมด”
เขาพูดไปอีกเรื่องเลยทำให้เธอรู้ถึงที่มาของความสนิทคุ้นเคยกับเจ้าของร้านแต่ที่ทำให้ไม่พอใจคือมาตำหนิเธอ
นี่แหละ
“จะมากไปแล้วนะพี่อามมาว่าข้าว พี่อามอยากมาตู่เรื่องข้าวก่อนทำไมล่ะ” เธอไม่ยอมให้ใครมากล่าว
หาโดยไม่ผิดเป็นอันขาด
“ไม่ได้ตู่ ข้าวปากแข็งเอง ยอมรับว่าเป็นแฟนพี่ก็หมดเรื่อง ไม่เห็นเสียหายตรงไหน หมออามรูปหล่อ
เก่งรวยน้ำใจ ใครๆก็อยากเป็นแฟนทั้งนั้น มีแต่ข้าวนี่แหละที่พี่ยกตำแหน่งนี้ให้กลับไม่พอใจ” เขาทำหน้าไม่เข้า
ใจได้ใสซื่อนักทว่ากีรกันตารู้ เขาต้องการยั่วเธอมากกว่า
“ง่ายไปข้าวไม่รับหรอก แม่สอนไว้ ของอะไรที่ได้มาง่าย เรามักไม่เห็นคุณค่าของมัน” เธอช่างร้ายนัก
ปฏิเสธหน้าตาย เขายิ้มเพราะรู้ว่าเธอคิดอย่างไรกับเขา
“พี่จะจำไว้ ต้องทำตัวให้ยากเข้าไว้ ข้าวจะได้เห็นค่า รีบมาสมัครเป็นแฟนพี่ ตอนนี้รีบทานโจ๊กดีกว่า
เดี๋ยวไปรายงานตัวในฐานะเภสัชกรคนใหม่ของโรงพยาบาลไม่ทันนะ” เขาเตือนเพราะเลยเวลาที่จะเกิดเรื่อง
กับเธอแล้ว สิ่งที่เขาสัมผัสได้ถ้ากีรกันตาไปถึงที่ทำงานก่อนเก้าโมงจะเกิดเหตุร้ายกับเธอ เขาจึงหาเรื่องถ่วงเวลา
เธอไม่ให้ไปถึงที่ทำงานก่อนเก้าโมง
“ถ้าข้าวไปไม่ทัน ถูกตำหนิ เย็นนี้ข้าวจะเอาเรื่องพี่อาม โทษฐานทำให้ข้าวลืม” เธอขู่ฮึ่มๆไม่จริงจังนักและ
ลงมือรับประทานโจ๊กเพราะกลัวไปรายงานตัวไม่ทันนั่นเอง
เก้านาฬิกาเลยไปสิบนาที อมรินทร์ก็ขับรถมาส่งกีรกันตาถึงหน้าโรงพยาบาลมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งซึ่งเป็น
สถานที่ทำงานของเธอ
“ขอบคุณค่ะสำหรับโจ๊กอร่อยๆกับช่วยเป็นสารถีขับมาส่ง ข้าวไปก่อนนะคะเดี๋ยวไม่ทันรายงานตัว
พี่อามเดือดร้อนแน่” เธอขู่พร้อมยิ้วหวานยกมือทำท่าบ๊ายบาย
“เย็นนี้พี่จะมารับนะ ระวังตัวด้วย พี่ไปล่ะ“ เขาเตือนก่อนขับรถจากไป
กีรกันตาอดแปลกใจไม่ได้ เช้านี้พี่ชายก็พูดเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอก่อนออกจากห้อง พอมาเจอ
อมรินทร์เขาก็พูดเตือนอีก มันจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธออีกหรือ ที่ผ่านมาก็นับว่าสาหัสแล้วนะ เธอคิดวกไปเวียนมา
กับคำพูดของสองหนุ่มไปตลอดหลังเดินผ่านประตูทางเข้าเขตโรงพยาบาลไปตามทางรถวิ่งเพราะอาคารที่เธอ
ต้องรายงานตัวอยู่คนละฝั่งกับทางเข้าและถ้าเดินไปตามทางจะไกลพอควรเพราะต้องผ่านหลายอาคารดังนั้น
เมื่อเดินมาได้สักพักเธอจึงตัดสินใจข้ามฝั่งเพื่อประหยัดเวลาและไม่เมื่อยขาด้วยแต่ต้องคอยระวังรถที่เข้ามาใน
โรงพยาบาล เธอหยุดรอดูจังหวะรถไม่ค่อยมีแล้วค่อยข้าม
“เฮ้อ! คิดว่าในโรงพยาบาลรถคงไม่มาก ที่ไหนได้ผิดคาดแฮะ คนไทยรวยกันจริง หรือรถมันถูกกันแน่
ถึงไม่มีเว้นช่วงให้คนสวยข้ามเลย” เมื่อยืนรอนานเข้ากีรกันตาก็ขอบ่นหน่อย แล้วเหมือนเทวดาเห็นใจเธอพลัน
รถที่เลี้ยวเข้ามาในโรงพยาบาลก็น้อยลง เธอจึงตัดสินใจรีบวิ่งข้ามทว่าสิ่งที่ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น จู่ๆก็มีรถสปอร์ต
สีแดงคันหนึ่งแล่นเข้ามาอย่างเร็วจนเธอหลบไม่ทันเลยถูกเฉี่ยวชนล้มคะมำครูดไปกับผิวถนนจนเจ็บไปทั้งตัว
ส่วนกระเป๋าสะพายก็กระเด็นไปอีกทาง
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างหยุดดูอย่างตกใจที่เห็นหญิงสาวร่างระหงกลมกลึงในชุดกระโปรงกับเสื้อเชิ้ต
แขนตุ๊กตาลายดอกเล็กๆน่ารักล้มคะมำลงไปนอนกับพื้นถนน จึงคิดเดินเข้าไปช่วยแต่พอเห็นเจ้าของรถเดินมา
ก็หยุดดูต่อ เจ้าของรถเป็นสาวสวยแต่งตัวเปรี้ยวจัด ผิวขาวสวมแว่นกันแดด เดินตรงมาหาคนเจ็บด้วยใบหน้า
บึ้งตึง พอมาถึงก็ถอดแว่นกันแดดออกส่งเสียงตวาดแว้ดออกไปดังๆอย่างหงุดหงิด
“นี่เธอ เดินยังไง ไม่รู้จักดูทาง ไม่เห็นหรือว่ารถกำลังมา ทำฉันซวยแต่เช้าเลย”
กีรกันตาเจ็บจนไม่มีแรงขยับตัวลุกขึ้น หัวเข่ากับแขนครูดกับพื้นถนนจนผิวถลอก เลือดซิบๆโดยเฉพาะ
แขนขา อีกทั้งขาก็ขยับไม่ค่อยได้ เธอเจ็บไปทั้งตัวก็ว่าได้ โชคดีที่เธอไม่ได้เอาหน้าลงในจังหวะที่ล้มลงไม่อย่าง
นั้นเธอต้องไปขอพึ่งหมอศัลยกรรมแน่ แต่อะไรก็ไม่น่าเจ็บใจเท่าเธอเป็นฝ่ายถูกเฉี่ยวชนจนเจ็บไปทั้งตัวยังถูกด่า
ฉอดๆอีก คิดแล้วมันชวนปรี๊ดแตกนัก ไม่ทนแล้ว และด้วยความโกรธพุ่งจี๊ด อาการเจ็บทางกายเลยถูกพักชั่วขณะ
เธอค่อยๆดันตัวขึ้นนั่งฝืนทนเจ็บจ้องมองเจ้าของเสียงอย่างเอาเรื่อง เหล่าไทยมุงถึงได้เห็นใบหน้าหญิงสาว
ผู้โชคร้ายซึ่งสวยน่ารักมากทว่านัยน์ตาคู่สวยที่จ้องมองสาวสวยคู่กรณีนั้นดั่งมีกองเพลิงก็ว่าได้
“มันจะมากไปแล้วนะ ชนฉันจนเจ็บทั้งตัวยังกล้ามาว่าฉันผิดอีก ฉันเคยไปสร้างความเจ็บแค้นให้คุณ
แต่ชาติปางไหนถึงจงใจขับรถมาเฉี่ยวชนหรือว่าตาบอดมองไม่เห็นคนเดินอยู่ริมถนน” กีรกันตายามเลือดขึ้นหน้า
ปากจัดจ้านไม่น้อย
“แล้วไงล่ะ ก็ไม่ถึงตายนี่” สาวสวยเจ้าของรถสวนกลับแรงพอกัน
“ก็ไม่ทำไมหรอก แค่อยากบอกว่า ถ้าคุณไม่ขอโทษและพาฉันไปหาหมอ ออกค่ารักษาพยาบาลให้ พร้อม
ค่าชดเชยที่ฉันต้องเจ็บไปทำงานไม่ได้ ฉันเอาเรื่องคุณแน่” กีรกันตากลายเป็นคนร้ายกาจไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ รู้แต่
ว่าความโกรธพุ่งปรี๊ดสุดๆและไม่มีวันยอมผู้หญิงคนนี้แน่ เธอยอมรับกับตัวเอง ว่าไม่ถูกชะตากับคู่กรณีอย่างแรง
ตั้งแต่เห็นหน้า
‘คงใหญ่จนชิน ทำคนบาดเจ็บยังไม่สำนึก ยังหน้าด้านมาด่าว่าเราอีก เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น
ผู้หญิงอะไรหน้าตาก็สวยดี แต่ใจดำ ขาดน้ำใจอย่างแรง’ เธอตำหนิคู่กรณีต่อในใจ ดูจากท่าทางคงอายุมากกว่า
เธอสักสองสามปี ซึ่งความรู้สึกนี้ไม่ต่างจากสาวสวยคู่กรณีเธอสักนิด สายตาสวยคมมองกีรกันตาอย่างชิงชังโดย
ไม่ปิดบังและรู้สึกเกลียดตั้งแต่นาทีแรกที่เห็นหน้าโดยไม่รู้ว่าทำไม
“เธอรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร คิดเรียกร้องค่าเสียหาย ช่างไม่เจียมตัวเลยนะ กล้าก็ไปแจ้งความสิ” คนผิดยักไหล่
อย่างไม่แคร์
“ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าเป็นใครแล้วฉันจะไปรู้เรอะ ต่อให้ใหญ่โตแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะอยู่เหนือกฎหมายได้”
กีรกันตาสวนกลับทันควัน อีกฝ่ายแทบปรี๊ดแตกจนอยากเข้าตบใบหน้าสวยน่ารักสักสองสามฉาดเอาให้เจ็บหนัก
ตั้งแต่หัวจรดเท้าแต่คงไม่เหมาะที่จะทำท่ามกลางไทยมุงกลัวเป็นข่าวใหญ่จึงระงับเสีย
“ถ้างั้นก็เชิญไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเอาเองนะ ฉันจะรอ” ว่าแล้วก็ตั้งท่าจะเดินกลับไปที่รถอย่างไม่
แคร์แต่พอเห็นชายหนุ่ม แต่งกายสุภาพ หน้าตาดีทีเดียว รูปร่างสูงเพรียวเดินจากรถ มาหาก็หยุด
“เป็นไงเรียบร้อยมั้ยจุง” ชายหนุ่มถามเอาใจ
“เรียบร้อยบ้าอะไรล่ะ แม่นี่จะเอาเรื่อง” เสียงเกรี้ยวกราดตอบกลับพลางชี้มือเรียวสวยไปยังกีรกันตาซึ่ง
มีพยาบาลเข้าไปช่วยดูแล้วเพราะมีคนหวังดีไปตามมาให้
“ใจเย็นๆ ช่างมันเถอะ ผมต้องรีบด้วย บอกแล้วไม่ต้องมาส่งก็ยังมา” ชายหนุ่มบ่นอย่างหงุดหงิด
“ภีมนะไว้ใจได้ที่ไหน จุงต้องมาคุมบ้างสิ” คราวนี้สาวสวยหันมาหาเรื่องเขาแทนแต่ต้องหงุดหงิดมาก
ขึ้นเมื่อกีรกันตาพยายามเดินขากะเผลกเกาะไหล่พยาบาลมาจะเอาเรื่องพร้อมทั้งไทยมุงอีกหลายคนที่ตามมา
คอยลุ้น
กีรกันตายอมรับว่าปกติไม่ชอบมีเรื่องกับใคร อะไรยอมได้ก็ยอมแต่กับผู้หญิงใจร้ายคนนี้ยอมไม่ได้
เธอขอกัดไม่ปล่อย ชนคนบาดเจ็บจนเกือบถึงชีวิตยังไม่ขอโทษแถมทำตัวใหญ่โตเย้ยกฎหมายเล่น ต่อให้ใหญ่
แค่ไหนเธอก็ไม่ยอมง่ายๆ จะทำให้รู้ว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายได้
“คิดจะหนีไปเฉยๆเหรอไง มันไม่ง่ายไปหน่อยรึ” กีรกันตาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมถึงได้บ้าดีเดือด
ได้ขนาดนี้ ตามจิกคนไม่ปล่อยไม่ใช่นิสัยเธอและไม่เคยทำ แต่วันนี้กลับทำต่อหน้าผู้คนให้เห็นเป็นครั้งแรก
“ง่ายไม่ง่ายฉันไม่สน แน่จริงก็ไปแจ้งความสิ ฉันไม่ได้ห้ามนี่ สถานนีตำรวจอยู่ไม่ไกล อยากรู้เหมือนกัน
ว่าใครจะกล้าเอาเรื่องฉัน” สาวสวยคู่กรณีท้าโดยไม่กลัวเกรงขณะที่สายตาจ้องมองพยาบาลอย่างหงุดหงิด
“นี่หนู หน้าตาก็สวยดี ทำไมนิสัยแย่” ในที่สุดไทยมุงคนหนึ่งที่ยืนดูมานานก็ทนไม่ไหวจึงขอมีส่วนร่วม
“นั่นสิ คนอะไรใจร้ายจัง” เมื่อมีคนเริ่มอีกคนก็ตาม ผิดกับพยาบาลที่วางตัวเฉยเสีย
คนผิดจ้องมองทุกคนอย่างเอาเรื่องแต่ที่แค้นจัดคือคู่กรณีของเธอ ดูร้ายไม่เบา ที่ผ่านมาไม่เคยมีใคร
กล้ากับเธอ ผู้หญิงคนนี้เป็นใครถึงได้กล้ามีเรื่องกับเธอ
“ก็ฉันบอกแล้วไง ว่าอยากเอาผิดกับก็ไปแจ้งความซิ ไม่ได้ห้าม” พูดจบก็เดินไปที่รถโดยไม่สนใจ
ว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อ ชายหนุ่มที่มาด้วยยิ้มเจื่อนๆต่อหน้ากีรกันตา
“ผมขอโทษด้วยนะครับ เพื่อนผมอารมณ์ไม่ดี ไว้ผมจะชดใช้ให้นะครับคุณ...เอ่อ...” เขาพูดกับกีรกันตา
อย่างสุภาพพลางมองสำรวจไปทั่วร่างระหงกลมกลึง แล้วบอกตัวเองว่า หญิงสาวคนนี้สวยน่ารักน่าสนใจมาก
จนอยากทำความรู้จัก
“ฉันชื่อกีรกันตาค่ะ คุณไม่ผิด แต่เพื่อนคุณผิด ขอโทษแทนกันไม่ได้หรอก” กีรกันตายังไม่ยอมง่ายๆ
“คิดว่าเห็นแก่หมอภีมนะคะ อย่ามีเรื่องกันในโรงพยาบาลเลยค่ะ” พยาบาลวัยกลางคนพูดแทรกขึ้น
ทุกคนถึงรู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นหมอ มิน่าเล่าถึงได้ดูสุภาพ แต่กีรกันตากลับรู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้องนัก ยอมเพราะ
เห็นแก่อีกคนมันอาจก่อเกิดค่านิยมที่ไม่ถูกต้องในสังคม คนผิดต้องรับผิดหรือเป็นฝ่ายกล่าวคำขอโทษเอง
เจ็บกายเธอยอมได้แต่เจ็บใจนี่สิ เธอไม่ยอม ถ้าคนผิดยอมขอโทษตั้งแต่ต้นก็จบ เวลานี้เธอลืมคำพูดของภิกษุ
ชราเสียสิ้นเพราะอยากจองเวรมากกว่าและกระแสคลื่นจิตนี้ก็แรงมากจนไปกระทบจิตของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่
ที่กำลังเดินใกล้เข้ามา ด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“ข้าวเป็นยังไงบ้าง รีบไปทำแผลก่อนดีกว่า” กีรกันตาหันไปมองตามเสียงแล้วยิ้มอย่างดีใจ รู้สึกอุ่นใจ
ที่เห็นอมรินทร์มา
“พี่อาม มาได้ไง” เธอแทบจะโผเข้าหาเขาแต่ติดที่เจ็บอยู่
“อย่าเพิ่งถามเลย ข้าวเจ็บไม่เบายังจะอวดเก่งอีก ไปทำแผลก่อนดีกว่า รบกวนหมอภานุช่วยบอกคุณ
ศวิตา ว่าเราไม่เอาเรื่อง” พออมรินทร์บอกก็ทำเอาเหล่าไทยมุงทั้งหลายทำหน้ามึนไปชั่วขณะเพราะไม่คิดว่าชาย
หนุ่มหน้าตาหล่อบาดตาบาดใจซึ่งอาจเป็นญาติของสาวสวยน่ารักผู้เสียหายจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นถึงพูดราวกับเห็น
เหตุการณ์ตั้งแต่ต้นก็พวกเขายังไม่เห็นหญิงสาวผู้เสียหายหยิบโทรศัพท์โทรหาใครเลยตั้งแต่ถูกรถเฉี่ยชนจนล้ม
ขณะที่เหล่าไทยมุงพากันสงสัยกับคำพูดของอมรินทร์ กีรกันตากลับรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาตะหงิดๆ เห็นเธอ
เจ็บหนัก ยังบอกไม่เอาเรื่องอีก เขายอมแต่เธอไม่ยอม ก็เขาไม่ได้เจ็บ ก็ยอมได้สิ แต่เธอเจ็บ เรื่องอะไรจะยอม
อารมณ์เธอเริ่มเดือดปุดๆอีกครั้งและแล้วก็เย็นลงเพราะเสียงของอมรินทร์ดังขึ้นในใจ
‘อย่าเพิ่งโกรธ ไว้พี่จะบอกเหตุผลให้ฟังทีหลัง คู่กรณีข้าวเป็นลูกสาวผู้ทรงอิทธิพลในสังคมแม้แต่นักการ
เมืองใหญ่บางคนยังต้องเกรงใจ เวลานี้ข้าวทำอะไรผู้หญิงคนนี้ไม่ได้หรอก’
“ที่แท้ก็รู้จักกับหมออาม หมอภีมคะ คงไม่เป็นไรแล้วค่ะ หมออามมาเคลียร์เอง” พยาบาลอาวุโสรีบยุติ
เรื่อง ไม่อยากปล่อยให้ยืดยาวต่อไป ไม่เช่นนั้นจะกระเทือนถึงโรงพยาบาล ทว่าเรื่องกลับไม่ยุติง่ายๆเมื่อคู่กรณี
ของกีรกันตาเดินกลับมาหาหน้าตาเอาเรื่อง มาถึงก็คล้องแขนเพื่อนหนุ่มทันทีเพื่อประกาศความเป็นเจ้าของ
“มีอะไรอีกล่ะ หรือว่าเธอคิดจะเอาเรื่องหมอภีมอีกคน” สาวสวยยังคงวางอำนาจเหมือนเดิม
“ไม่มีใครคิดหาเรื่องหมอภีมหรอก เพราะไม่ใช่คนผิด คุณน่าจะดีใจนะที่หมอภีมช่วยไว้ ไม่อย่างนั้นฉันเอา
เรื่องคุณแน่ ต่อให้คุณใหญ่แค่ไหนก็เถอะ” กีรกันตาร้ายกว่าที่คิด เธอเรียนรู้ว่าใครเป็นใครได้ไวมากแถมพูดถึง
ชายหนุ่มที่เพิ่งรู้จักได้อย่างสนิทสนมด้วย เธอต้องการยั่วอีกฝ่ายเล่นไปอย่างนั้นเอง
อมรินทร์ส่ายหน้าให้กับความเหลือเกินของเธอ ทำตัวเป็นเด็กไม่โต น่าจะจับตีสักที เตือนแล้วไม่เชื่อ
ถึงตอนนี้เขาเชื่อแล้วไม่มีใครหนีพ้นกรรมได้จริงๆ
“ข้าวเลิกหาเรื่องได้แล้ว ไปทำแผลก่อนดีกว่า อาการไม่เบาเลยนะ” อมรินทร์รีบเตือนไม่อยากให้เรื่องไป
กันใหญ่แต่เสียงของเขากลับทำให้คู่กรณีของกีรกันตาให้ความสนใจในตัวเขาจนอยากได้มาครอบครอง
‘ผู้ชายอะไรหล่อได้ใจ รูปร่างสูงใหญ่ เห็นแล้วอยากโผเข้าไปซบอก รอให้เบื่อภานุเมื่อไหร่ เขาจะเป็น
เหยื่อรายต่อไปของเธอ ยิ่งเป็นคนรักของยัยคนนี้ยิ่งน่าแย่ง ผู้หญิงอย่างเธอผ่านผู้ชายมามากมีหรือจะไม่รู้
ว่าทั้งคู่ไม่ได้เป็นแค่เพื่อน ลองหยั่งเชิงดูก่อน’ คิดดังนั้นจึงพูดกับอมรินทร์ด้วยน้ำเสียงที่น่าฟัง
“ดูคุณมีเหตุผลมากกว่าเพื่อนคุณอีกนะคะ ความจริงฉัน เอ่อ..ขอเรียกตัวเองว่าจุงดีกว่าค่ะ จุงก็อยาก
ขอโทษและพาไปทำแผลให้ แต่เพื่อนคุณสิคะ พอพบหน้าก็ต่อว่าจุงฉอดๆ ก็เลยต้องปล่อยค่ะ ลองว่าจุงได้
ฉอดๆ คงไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกค่ะ คุณ...” ทุกคนในที่นั่นอ้าปากค้างไปตามๆกันกับคำพูดอันหาความจริงไม่ได้
ของหญิงสาวผู้นี้ โดยเฉพาะกีรกันตาแต่คราวนี้เธอเฉยไม่คิดจะตอบโต้อยากรู้ว่าอมรินทร์จะตอบอย่างไร
แม้เธอจะไม่ใช่ผู้หญิงที่มีจริตมากนัก แต่ก็พอดูออกว่าอีกฝ่ายเริ่มสนใจ หมอเจ้าเล่ห์ของเธอแล้ว
‘ผู้หญิงอะไรไร้ยางอายที่สุด มองพี่อามราวกับขนมหวานชวนลิ้มลองโดยไม่ปิดบังทั้งที่ตัวเองมีแฟนอยู่
แล้ว ยังคิดแย่งแฟนคนอื่นอีก’ กีรกันตาเริ่มตกใจเมื่อคิดมาถึงตอนนี้ ‘นี่เรายอมรับพี่อามเป็นแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่’ พลันก็มีเสียงตอบมาในใจ
‘ตั้งแต่ยังไม่เข้าร่างมั้ง อย่าเพิ่งหึงนะ รับรองพี่ไม่เปลี่ยนใจแน่ เชื่อใจพี่ได้’ เธอถลึงตาใส่เขาพร้อมสวน
กลับ ‘อย่ามั่ว ใครๆแฟนใคร ถ้าคิดหลงเสน่ห์ยัยคนนี้ล่ะก็ ระวังเขาจะงอกบนหัวไม่รู้ตัว’ อมรินทร์ถึงรู้ผู้หญิงทุก
คนร้ายเหมือนกันหมด ปกติกีรกันตาดูน่ารักสดใสแต่พอเจอคู่อริจากอดีตชาติที่วงล้อของกรรมชักนำให้มาพบกัน
ก็แสดงความร้ายออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ต้องรีบพาไปจากนี่ก่อนไม่อย่างนั้นเรื่องจะไปกันใหญ่ คู่กรณีของเธอ
ไม่ใช่คนที่จะสู้รบปรบมือด้วยได้ง่ายและเขาก็รู้อีก ที่กีรกันตาไม่ยอมเพราะอยากทำให้คนในสังคมเห็นว่าคนทำ
ผิดต้องรับผิดไม่ใช่ปล่อยไปเฉยๆและการตามจิกไม่ปล่อยก็ไม่ใช่นิสัยแท้จริงของเธอแต่มันเป็นผลจากการวางอำ
นาจของอีกฝ่ายต่างหากที่ทำให้เธอกลายเป็นคนไม่ยอมคน
“ผม อมรินทร์ครับ คุณศวิตา ผมขอตัวพาเพื่อนผมไปตรวจและทำแผลก่อน ขอตัวก่อนครับ” ร่างสูงใหญ่
ประคองกีรกันตาไปโดยไม่ปล่อยให้เธอมีโอกาสพูด เธอเลยจิกเล็บลงบนแขนเขาแทน
“พี่อาม เรื่องอะไรให้ข้าวไปยอมคนนิสัยแย่ๆด้วย มันต้องเอาคืนให้เข็ดถึงจะถูก”
“อย่าอวดเก่งนักเลยข้าว ห่วงตัวเองก่อนเถอะ เจ็บจะแย่อยู่แล้วยังอวดเก่งจะไปเอาเรื่องคนอื่นอีก เมื่อวาน
เพิ่งรับปากรับคำหลวงพ่อท่านว่าจะไม่จองเวรใครจะให้อภัย ไม่ทันไรก็ลืมแล้ว” เขาดุเหมือนพี่ชายที่กำลังสั่ง
สอนน้อง
“ก็ข้าวหมั่นไส้นี่ คนอะไรผิดแล้วยังไม่สำนึกอีก แถมวางกล้ามทำตัวใหญ่เหลือเกิน ข้าวขอเตือนนะ
พี่อามจะชอบใครก็ได้ แต่ถ้าเป็นยัยจุงนี่ ข้าวเลิกคบจริงๆด้วย เป็นคนนิสัยแย่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา” กีรกันตา
ไม่ยอมเป็นน้องที่ดีเชื่อฟังคำสอนของพี่ชายสักนิด ซ้ำร้ายยังมีขู่อีก ก็เธอยังหัวเสียกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่หายนี่
“แต่พี่ว่าตอนนี้ข้าวแย่กว่าอีก” เขาไม่ฟังคำขู่แต่กลับตำหนิเธอแทน
“พี่อาม!! ข้าวถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ ยังมาว่าข้าวแย่อีก” เธอโวยลั่นอย่างฉุนจัด
“หรือไม่จริง ดูแขนขาสิ ผิวถลอกหมด เลือดซิบๆ เดินขากะเผลกอยู่อย่างนี้ยังมีแรงว่าคนอื่นได้ฉอดๆ”
พอเขาบอกเธอถึงรู้สึกเจ็บต่อ มัวแต่โมโหคนอื่นจนลืมเจ็บ
‘เอ๊ะ...พี่อามรู้ได้ไงว่าเกิดเรื่องกับเรา’
*********************************************************************
***************ตามอ่านมาถึงตอนนี้แล้ว อยากรู้มีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องแนวนี้บ้างคะ**************************
“ข้าวให้โอกาสคิดอีกที จะเปลี่ยนใจหรือไม่” กีรกันตาถามย้ำก็จริงหากนัยน์ตาบอกว่าถ้าไม่เปลี่ยนใจ
ระวังจะได้รางวัลหนักๆจนแบกรับไม่ไหว
“ติดไว้ก่อนก็ได้ ไว้ค่อยคิดดอกทบต้นทีหลัง ขืนพี่รับรางวัลจากข้าวตอนนี้พี่คงไม่รอดแน่” อมรินทร์ไม่
หลงกลเธอ คนให้รางวัลนึกฉุนที่ทำอะไรหมอเจ้าเล่ห์ไม่ได้สักที รู้ทันอยู่เรื่อย
“ดีที่คิดถูก ไม่อย่างนั้นพี่อามไปไม่ถึงจุดหมายแน่” เธอไม่วายขู่ เขาไม่ตอบกลับเร่งความเร็วรถจนเธอ
แปลกใจ เมื่ออดรนทนไม่ไหวก็ถามตรงๆ
“พี่อามจะรีบไปไหน”
“ไปวัด”
“ไปวัด ไปทำไมป่านนี้ มันเกือบบ่ายสามแล้ว ไปถึงวัดไม่ปิดก่อนเหรอคะพี่อาม”
“นั่นสิ พี่ถึงได้รีบ ข้าวจะเริ่มงานพี่อยากพาข้าวไปถวายสังฆทานกับพระสุปฎิปันโน ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี”
“พี่อามชอบทำอะไรที่ข้าวคิดไม่ถึงอยู่เรื่อย แต่เอ๊ะ เรายังไม่ได้ไปซื้อของสังฆทานกันเลยนะ”
“พี่เตรียมไว้แล้ว” แล้วเขาก็ยื่นมือไปหยิบกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งจากช่องเก็บของในรถข้างคนขับมายื่น
ให้เธอ “ข้าวจ่ายพี่มา ทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อยบาท รายการดูตามใบเสร็จนี้” คนถูกทวงหนี้โดยไม่รู้ตัวทำท่ายิ้มแฮะๆ
“ข้าวขอแปะโป้งไว้ก่อนนะ ตอนนี้มีติดตัวไม่ถึงห้าร้อย พี่อามนั่นแหละทำให้ข้าวรีบจนหยิบกระเป๋าผิด”
เธอโทษเขาตามระเบียบ
“ได้ไว้พี่จะทวงคืนตอนไปส่งข้าว ห้ามเบี้ยวนะ ของทำบุญพี่ถือ” ท่าทางเขาจะเป็นเจ้าหนี้ที่โหดพอควร
“ของทำบุญใครกล้าเบี้ยวล่ะ บาปแย่ ขอดูก่อนว่าซื้อของถวายได้ถูกใจมั้ย” เธออ่านรายการในใบเสร็จ
แล้วยิ้มพอใจเพราะตรงกับที่คิด มีเทียนธูป จีวร สบู่ ยาสีฟัน ยาแก้ฟกช้ำดำเขียว ปวดเมื่อย ยาแก้ไข้ ผงซักฟอก
น้ำยาล้างห้องน้ำพร้อมแปรงขัด ยาสระผม สมุดโน๊ต ปากกา หลากหลายอย่างทีเดียว
“อย่ามัวแต่ยิ้มอยู่เลย ถึงวัดแล้ว” เขาพารถมาจอดในวัดแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่
พื้นวัดสะอาดสะอ้าน เธอสัมผัสได้ถึงความสุขสงบของสถานที่ทันทีที่ก้าวลงจากรถ
อมรินทร์เปิดท้ายรถ หยิบถังสังฆทานกับผ้าไตรอีกชุดแยกต่างหากจากจีวรในถังสังฆทานแล้วเดินนำ
กีรกันตาไปในโบสถ์
ภายในโบสถ์มีพระประธานองค์ใหญ่ทำจากหยกสีขาว สวยงามมาก ปางสมาธิประดิษฐานอยู่ พื้นโบสถ์
เป็นหินอ่อน บริเวณโบสถ์ทั้งสองฝั่งมีหน้าต่างหลายบานเปิดโล่งไว้ให้ลมพัด ดูแล้วเย็นสบายโปร่งโล่งสวยงาม
กีรกันตาถอดร้องเท้าวางไว้หน้าโบสถ์ เดินเข้าไปใกล้องค์พระประธาน แล้วกราบเบญจางคประดิษฐ์อย่างสวย
งามหน้าผากจรดพื้นอย่างนอบน้อม กิริยาที่ก้มลงกราบองค์พระปฏิมาอกให้รู้ว่าคนกราบมีใจเคารพนับถือ
ศรัทธาเพียงใร เขาเห็นแล้วอดชื่นชมไม่ได้ก่อนก้มลงกราบเช่นเดียวกัน
“ข้าว กราบได้สวยมากเหมือนกราบด้วยใจที่เคารพอันเต็มเปี่ยมทีเดียว” เขาชมพลางมองเธออย่างชื่นชม
กีรกันตายิ้มบางๆ ดูเธอเรียบร้อยกลายเป็นคนละคนก็ว่าได้
“ปู่ กับ แม่ สอนข้าวมาแต่เล็กค่ะ เวลากราบพระให้กราบทั้งกายทั้งใจด้วยความเคารพ น้อมใจระลึกถึง
คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใหม่ๆก็ทำแบบขอไปที พอแม่ทำเป็นตัวอย่างให้ดูบ่อยๆ ก็ซึมซับไปในตัว
แม่ไม่เคยบ่นว่าลูกๆเวลาทำอะไรผิด แต่ท่านจะทำเป็นตัวอย่างให้ดู ข้าวกับพี่ต้นรักแม่มาก เสียดายที่ท่านอายุสั้น
ทิ้งข้าวกับพี่ต้นไปสิบกว่าปีแล้ว” เธอพูดถึงมารดาด้วยความรักและอาลัย
“ท่านไปดีแล้ว ข้าวไม่ต้องห่วง ใกล้เวลาพระท่านจะมารับสังฆทานแล้ว ข้าวตั้งใจถวายและอธิษฐานดีๆ
การที่เราได้ทำบุญกับพระที่ประพฤติดี ปฎิบัติชอบ มีศีลบริสุทธิ์ นับว่าโชคดีมาก ได้บุญมหาศาล” พอเขาพูด
จบก็มีพระภิกษุชรารูปหนึ่งเดินเข้ามาในโบสถ์ด้วยท่าทีสงบ ใบหน้าผ่องใสแม้จะชราภาพแล้วก็ตาม เธอกับเขา
รีบขยับหลีกทางให้ท่านเดินผ่านไปนั่งลงบนอาสนะในท่าขัดสมาธิ ก่อนก้มลงกราบด้วยกิริยานอบน้อม
“หมอ วันนี้ว่างมาพบหลวงพ่อรึ” ภิกษุชราทักอย่างคุ้นเคยกันดี
“ครับหลวงพ่อ ผมพาเพื่อนมาทำสังฆทานกับหลวงพ่อเพื่อให้ผลบุญนำพาสิ่งดีๆมาให้ครับ” เขาตอบ
อย่างนอบน้อม
ภิกษุชราพิจารณาหญิงสาวที่นั่งข้างอมรินทร์แล้วท่านก็รับรู้ด้วยจิต ว่าคู่กันถึงได้ห่วงกัน ฝ่ายชายคงรู้
ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฝ่ายหญิงในไม่ช้าเพราะมีวิบากต้องชดใช้ ยังดีที่มีจิตใจดีงามใฝ่ในเรื่องบุญกุศลอยู่เนืองๆ
จึงพอจะช่วยผ่อนปรนให้ไม่ถึงขั้นรุนแรงนักหากยังหนีวิบากกรรมไม่พ้นอยู่ดี ไม่มีใครหลีกพ้นผลของกรรมที่ตัวเอง
ได้ก่อไว้และท่านจะเข้าไปก้าวก่ายไม่ได้ ทำได้แค่ช่วยแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรของหญิงสาวผู้นี้ ส่วนจะได้
รับหรือไม่ก็สุดแล้วแต่เวรแต่กรรม สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ไม่มีใครไปช่วยตัดกรรมของใครได้นอกจากเจ้า
ของกรรมจะยอมรับและชดใช้หรือยุติกรรมนั้นเอง
“ถ้าอย่างนั้นเริ่มเลย หลวงพ่อมีธุระต้องทำต่ออีก” ภิกษุชราปูผ้าผืนเล็กสีเดียวกับจีวรเรียกว่าผ้ากราบ
เป็นการบอกให้รู้ว่าท่านพร้อมจะรับสังฆทานแล้ว
กีรกันตายกถังสังฆทานโดยมีมือใหญ่แข็งแรงช่วยประคองวงลงบนผ้ากราบ จากนั้นภิกษุชราก็ให้เธอ
กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ภิกษุชรานึกชื่นชมเมื่อเห็นหนุ่มสาวทั้งคู่กรวดน้ำได้ถูกต้อง
ฝ่ายหญิงใช้สองมือเรียวสวยประคองคนโทกรวดน้ำสายตาจ้องมองสายน้ำที่รินลงบนขันด้วยตั้งใจอุทิศเต็มที่
ขณะที่ฝ่ายชายแทนที่จะใช้มือแตะตัวหญิงสาวกลับนั่งประนมมือและตั้งใจอุทิศบุญกุศลให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ซึ่งถือเป็นการกรวดน้ำอุทิศบุญกุศลที่ถูกต้องหากเอานิ้วไปรองน้ำเท่ากับไปขวางการอุทิศบุญนั้น
อันที่จริงความสำคัญของการอุทิศบุญกุศลอยู่ที่จิตใจเป็นสำคัญไม่ได้ขึ้นกับน้ำหรือแตะตัวผู้ถือคนโท
กราดน้ำแต่ประการใดแต่ที่ใช้น้ำเพราะช่วยให้จิตจดจ่อที่น้ำจะได้เป็นสมาธิไม่วอกแวกและการอุทิศบุญก็จะได้
ผลโดยอาศัยน้ำเป็นสื่อส่งผ่านไปยังผู้ที่ตั้งใจอุทิศให้โดยเลียนแบบจากพวกพราหมณ์ จากนั้นทั้งคู่ก็เอาน้ำไปเท
ใต้ต้นไม้ใหญ่ขณะที่ภิกษุชรานั่งหลับตาทำสมาธิ พอทั้งสองกลับมาท่านก็ลืมตาขึ้น หันไปพูดกับอมรินทร์
“หมอาจต้องช่วยเอง แต่หมอจะมีส่วนร่วมในวงจรกรรมนั้น จำไว้นะกรรมใดใครก่อคนนั้นรับเอง ให้ใช้ๆ
เขาไป จะได้ตัดหนี้เวรที่ผูกกันมา ทำดีไปเรื่อยอย่าท้อนะหมอ”
“ครับหลวงพ่อ ผมจะพยายามทำให้ได้ครับ” เขารับรองหนักแน่น ภิกษุชราจึงหันไปพูดกับกีรกันตาต่อ
“หนูข้าว หลวงพ่ออยากเตือนอย่าง ถ้าใครคิดร้ายต่อเราให้แผ่เมตตาให้เขา อย่าไปแค้นตอบจะได้ไม่ผูกเวรต่อกัน
แล้วหนูจะไม่ทุกข์”
กีรกันตามีสีหน้าแปลกใจ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเธอมีชื่อเล่นว่าข้าว คิดอีกทีก็ไม่แปลกเพราะดูจากท่าทีอัน
สงบใบหน้าผ่องใสแม้จะชราภาพมากแล้วบอกให้รู้ว่าภิกษุชรารูปนี้ต้องเป็นพระวิปัสสนาจารย์ผู้มีคุณธรรมสูง
และฝึกจิตได้ถึงระดับอภิญญา เธอไม่เคยสงสัยเรื่องพวกนี้เพราะใกล้ชิดกับปู่ที่ฝึกสมาธิมาตลอดกับประสบ
การณ์ของตัวเองที่กลายเป็นคนไร้ร่างอยู่พักหนึ่งจึงทำให้เชื่อโดยไม่มีข้อสงสัย หากเป็นคนอื่นจะคิดว่าเป็นเรื่อง
เหลวใหล หรือสงสัยก็ได้เพราะยุคนี้คนส่วนใหญ่เชื่อในสิ่งที่วิทยาศาสตร์ทดลองอธิบายออกมาเป็นทฤษฎีได้เท่า
นั้นซึ่งเป็นขีดจำกัดของวิทยาศาสตร์ทำให้พัฒนาไปได้ไม่ก้าวไกลนัก เพราะมีหลายอย่างในโลกนี้ที่วิทยาศาสาตร์
หาข้อสรุปไม่ได้
“ขอบคุณค่ะหลวงพ่อ ข้าวจะทำตามค่ะ” เธอรับปากพลางยกมือขึ้นไหว้
“ดีแล้ว ไม่มีใครช่วยเราได้เท่าเราช่วยตัวเอง จำไว้นะหนูข้าว เอาล่ะหลวงพ่อต้องขอตัวไปพบญาติ
โยมที่กุฎิก่อน” ภิกษุชราลุกขึ้นเดินออกจากโปสถ์
“พี่อาม หลวงพ่อพูดแปลก ข้าวรู้สึกว่าท่านอยากเตือนข้าว เหมือนท่านรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับข้าว
บอกข้าวได้ไหมคะ จะเกิดอะไรขึ้นกับข้าว” กีรกันตาถามหลังภิกษุชราไปแล้ว
“ข้าวโชคดีนะที่ท่านเตือน ทำตามที่ท่านบอกแล้วจะดีเอง ได้เวลากลับแล้ว เดี๋ยวดึกไป พี่กลัวคุณต้น
ทำร้ายเอา” เขาไม่ตอบแต่พูดเรื่องอื่นแทน กีรกันตารู้ว่ารบเร้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ถึงเวลาคงรู้เอง
“พี่ต้นไม่โหดอย่างนั้นหรอกค่ะ แค่ฝากรอยช้ำเล็กๆน้อยๆไว้เป็นที่ระลึกเท่านั้น” เธอแกล้งขู่และเดิน
ตามร่างสูงใหญ่ไปขึ้นรถกลับบ้าน
==================
เช้าวันรุ่งขึ้นกีรกันตาตื่นแต่เช้าเพราะเสียงปลุกจากนาฬิกาข้อมือที่ได้รับจากหมอเจ้าเล่ห์ เธอวางไว้
บนหัวเตียงหลังจากเอาออกมาชื่นชมก่อนนอน ที่แท้มันเป็นนาฬิกาปลุกในตัว ช่างร้ายนักหลอกเธอแต่ครั้งนี้จะ
ยกโทษให้เพราะช่วยให้เธอไปรายงานตัวทัน หลังแต่งตัวเสร็จเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
“พี่อามไม่ต้องโทรมาปลุกหรอกค่ะ ข้าวเรียบร้อยแล้วกำลังจะไปทำงาน” เธอชิงพูดดักคออีกฝ่ายไว้ก่อน
“อะไรกัน ยังไม่ทันกินข้าวเช้าจะไปทำงานแล้วเหรอ เดี๋ยวเป็นลมไม่รู้ด้วยนะ รีบออกมาพี่มีโจ๊กสามย่าน
มาฝาก สนใจมั้ย” เธออึ้งไปเลย มาได้ไง ใครอนุญาตให้เข้ามาในคอนโด พี่ต้นรู้หรือเปล่า
“อย่าบอกนะว่าพี่อามมารอข้าวที่ห้องรับแขกแล้ว ไม่เชื่อหรอก” เธอถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“ไม่ใช่หรอก ขืนเข้าไปมีหวังถูกคุณต้นทำร้ายแน่ ข้อหาบุกรุกห้องคนอื่น พี่รอที่ร้านข้าวแกงใต้คอนโด
รีบลงมาเร็ว วันนี้อาสาพาไปส่งที่โรงพยาบาล”
“แล้วไป ทีหลังไม่ต้องค่ะ พี่ต้นให้รถข้าวใช้” เธอปด ความจริงรถของเธอที่ปฏิภาณให้เป็นของขวัญวัน
สำเร็จการศึกษานั้นถูกเพื่อนซื้อต่อไปแล้วหลังเธอเกิดอุบัติจนเข้าร่างไม่ได้ ไม่รู้ชอบอะไรนักหนากับรถมือสอง
“อ้าว ไม่ใช่เพื่อนขอซื้อไปแล้วเหรอเพราะถูกโฉลกกับรถคันนี้” อีกฝ่ายรู้อีกจนได้
‘คบกันหมอเสียมารยาทนี่น่ากลัว คิดอะไรรู้หมด’
“แค่นี้ก่อนนะ พี่ต้นมาเคาะเรียก” เธอรีบวางสายและเดินไปเปิดประตู ปฏิภาณยืนยิ้มชูกระเป๋า
สะพายแบบน่ารัก เก๋ ดูดีให้
“ของขวัญสำหรับเริ่มงานวันแรกจากพี่ชายแสนดี เป็นไงถูกใจมั้ยเอ่ยน้องสาวจอมจุ้น”
กีรกันตารีบโผเข้าหา กอดร่างสูงใหญ่ของพี่ชายไว้ แขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มพี่ชาย
“พี่ต้นน่ารักที่สุดเลย รู้ใจข้าวที่สุด ถูกใจมากค่ะ ข้าวจะใช้วันนี้เลย ขอตัวไปเปลี่ยนกระเป๋าก่อน”
ว่าจบก็เดินไปหยิบกระเป๋าอีกใบและย้ายของใส่กระเป๋าใบใหม่ซึ่งเป็นกระเป๋าผ้าแบบเก๋มาก
“ไม่เบอร์ห้าเลยนะเรา ไปได้แล้ว ไม่อย่างนั้นหมออามจะคอยนาน อุตส่าห์มาแต่เช้า” พี่ชายแซวแล้วไล่
“พี่ต้นรู้ได้ไง พี่อามบอกเหรอ” เธอมองหน้าพี่ชายแล้วทำหน้าไม่เข้าใจ
“เปล่าพี่รู้ก็แล้วกัน รีบไปเถอะแต่ระวังตัวด้วยนะวันนี้ จะข้ามถนน ดูรถราให้ดี เรายิ่งซุ่มซ่ามอยู่ด้วย”
ปฏิภาณไม่รู้ว่าทำไมถึงเตือนน้องสาวไปอย่างนั้น หวั่นๆจะเกิดเรื่องกับน้องสาว อีกใจก็คิดว่ามีอมรินทร์
อยู่ด้วยคงไม่เป็นไรหรอก เขาไม่รู้ว่าวงจรกรรมกำลังเริ่มทำงานแล้ว
กีรกันตามาพบอมรินทร์ที่ร้านข้าวแกงใต้คอนโดฯ ร้านนี้ช่วยให้หลายชีวิตในคอนโดฯไม่อดตาย กับข้าว
แต่ละอย่างสะอาดน่ารับประทานแถมมีอาหารตามสั่งด้วยนอกนั้นยังมีอาหารเช้าประเภทโจ๊กข้าวต้มเครื่องให้
เลือกอีกเมนูหนึ่ง และเพื่อนๆของเธอแอบตั้งฉายาให้ร้านนี้ว่า ‘ข้าวแกงไฮโซ’ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้มาทาน ก็คงจะ
จริงเพราะราคาแพงกว่าข้าวแกงทั่วไป การจัดร้านกับอุปกรณ์แต่งร้านก็เลิศหรูและทำอย่างสะอาดถูกหลักอนา
มัยเหมาะกับคอนโดฯหรูสำหรับผู้มีรายได้มากเกินมนุษย์เงินเดือนทั่วไป
“ไหนคะ โจ๊กสามย่านของพี่อาม” มาถึงเธอก็ถามหาของกินทันที
“ใจเย็นๆเดี๋ยวเขายกมาให้” อมรินทร์ไม่รีบร้อนนัก ความจริงอยากถ่วงเวลามากกว่าเพราะถ้าเธอไปถึง
ก่อนเก้าโมงจะเกิดเรื่องกับเธอเพียงแต่เขาไม่รู้ว่าเรื่องอะไร
“พี่อามทำยังไงเขาถึงยอมให้เอาอาหารจากที่อื่นเข้าร้าน ร้านนี้มีกฎอยู่ว่าห้ามนำอาหารจากที่อื่นเข้ามา
ทานในร้านเพราะถือเป็นการดูถูกอาหารในร้านอย่างแรง”
“หมออามขอร้องเสียอย่างใครจะใจร้ายลงคอ”
“พี่อามคงไม่ไปสะกดจิตให้เขาทำตามคำสั่งนะ” เธอรีบดักทางเขา
“ขืนเที่ยวสะกดจิตใครต่อใครพร่ำเพรื่อไปหมดพี่ก็เหนื่อยแย่ การสะกดจิตแต่ละครั้งต้องใช้พลังงานมาก
เหนื่อยยิ่งกว่านักฟุตบอลที่ลงแข่งในสนามตลอดเวลาเก้าสิบนาทีเสียอีก ต้องพักผ่อนฟื้นฟูพลังงานคืนให้ร่างกาย
เช่นการทำสมาธิเป็นต้น” เขาแก้ข้อกล่าวหาของเธอโดยยกเหตุผลเชิงวิชาการมาชี้แจงซึ่งเธอคงไม่เข้าใจหรอก
เพราะไม่ได้ฝึกพลังจิตเหมือนเขา
“พูดมาเสียยืดยาว ที่แท้ก็หาข้อแก้ตัวให้ตัวเองเวลาแอบงีบขณะตรวจคนไข้” เธอไม่เชื่อ
“เป็นงั้นไป เชื่อเถอะ พี่ไม่ชอบโกหก” เขายืนยัน
“เอ...จะเชื่อดีมั้ยน้อ เอาอย่างนี้ดีกว่าพี่อามบอกข้าวมาตรงๆ ทำไมเจ้าของร้านถึงยอม” เธอเท้าคาง
ถามพลางจ้องหน้าเขาแล้วยิ้มเอาใจเพราะอยากรู้คำตอบที่แท้จริงมากกว่า
“คำตอบมาแล้ว”
พอเขาพูดจบกีรกันตาก็เห็นหญิงเจ้าของร้านซึ่งเป็นชาวจีนใบหน้าบอกว่าอายุเข้าหลักสี่อัพ รูปร่างท้วม
ขาว แต่งตัวดีมีรสนิยม เดินยิ้มยกชามโจ๊กมาให้สองชามพร้อมปลาท่องโก๋อีกจานมาที่โต๊ะ
“หมออาม เจ๊แถมปลาท่องโก๋ให้ คิดว่าหมอจะเลี้ยงใคร ที่แท้ก็น้องข้าวนี่เอง เจ๊ไม่แปลกใจแล้วค่ะหมอ
น้องข้าวโชคดีมากนะที่ได้หมออามเป็นแฟน” หญิงเจ้าของร้านทักตามที่เข้าใจเลยทำให้กีรกันตาเขินจัดแล้วขยับ
ปากจะแก้ความเข้าใจผิดถ้าไม่ถูกแย่งซีนก่อน
“เจ๊ฉลาดจัง ผมยังไม่ทันแนะนำก็รู้แล้ว” กีรกันตาตาโตเกือบเท่าตัวเมื่อได้ยินไม่คิดว่าจะถูกมัดมือชก
แบบนี้ ‘มากไปแล้วนะ เขายังไม่ทันรับปากเลย’ เธอเกือบจะแยกเขี้ยวใส่เขาแต่พอเห็นหน้าเจ๊เจ้าของร้านยิ้ม
ชอบใจและมองทั้งคู่ด้วยสายตาชื่นชมก็ทำหน้าเฉยเสีย
“ของแบบนี้ดูง่ายนิดเดียว พูดแล้วจะหาว่าคุย เจ๊มีประสบการณ์เยอะ สมัยสาวๆมีหนุ่มมาจีบหัวบันได
แทบไม่แห้ง แหมถ้าเจ๊อายุน้อยกว่านี้สักยี่สิบปี น้องข้าวมีคู่แข่งแน่” เจ้าของร้านดูไม่หลงตัวเองเท่าไรนัก
“เจ๊หมออามล้อเจ๊เล่น อย่าจริงจังเลยนะเจ๊จ๋า ไว้ข้าวมีแฟนเมื่อไหร่จะบอกเจ๊เป็นคนแรกดีมั้ย ไม่แน่นะ
แฟนข้าวอาจเป็นหมออามของเจ๊ หรือคนอื่นก็ได้นา ตอนนี้ข้าวยังโสดค่ะ” พอเธอบอก เจ้าของร้านก็มีสีหน้าผิด
หวังทันที
อมรินทร์ยิ้มขำ ส่งคำพูดผ่านกระแสจิตไปหาคนปากแข็ง ‘รับรองข้าวหนีพี่ไม่พ้น สารภาพไปกับเจ๊เถอะ
ว่าใช่’
“พี่อามบ้า” เธออเผลอแว้ดออกมาดังๆใบหน้าแดงเล็กน้อยเลยทำให้เจ๊เจ้าของร้านตกใจคิดว่าจะมีเรื่อง
“เจ๊ขอตัวไปดูเด็กๆก่อนนะ เชิญหมออามกับน้องข้าวตามสบาย” เจ๊รีบเผ่นก่อนเมื่อเห็นท่าไม่ดี
“ดูสิเจ๊กลัวข้าวจนเผ่นไปแล้ว พี่กำลังจะถามว่าลูกชายหายดีหรือยัง ลูกชายแกเครียดเรื่องสอบเข้ามหา
วิทยาลัยปีหน้า พี่ช่วยรักษาให้อยู่พักหนึ่ง ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว อยากมาดูอาการหน่อย ข้าวทำพี่ผิดแผนหมด”
เขาพูดไปอีกเรื่องเลยทำให้เธอรู้ถึงที่มาของความสนิทคุ้นเคยกับเจ้าของร้านแต่ที่ทำให้ไม่พอใจคือมาตำหนิเธอ
นี่แหละ
“จะมากไปแล้วนะพี่อามมาว่าข้าว พี่อามอยากมาตู่เรื่องข้าวก่อนทำไมล่ะ” เธอไม่ยอมให้ใครมากล่าว
หาโดยไม่ผิดเป็นอันขาด
“ไม่ได้ตู่ ข้าวปากแข็งเอง ยอมรับว่าเป็นแฟนพี่ก็หมดเรื่อง ไม่เห็นเสียหายตรงไหน หมออามรูปหล่อ
เก่งรวยน้ำใจ ใครๆก็อยากเป็นแฟนทั้งนั้น มีแต่ข้าวนี่แหละที่พี่ยกตำแหน่งนี้ให้กลับไม่พอใจ” เขาทำหน้าไม่เข้า
ใจได้ใสซื่อนักทว่ากีรกันตารู้ เขาต้องการยั่วเธอมากกว่า
“ง่ายไปข้าวไม่รับหรอก แม่สอนไว้ ของอะไรที่ได้มาง่าย เรามักไม่เห็นคุณค่าของมัน” เธอช่างร้ายนัก
ปฏิเสธหน้าตาย เขายิ้มเพราะรู้ว่าเธอคิดอย่างไรกับเขา
“พี่จะจำไว้ ต้องทำตัวให้ยากเข้าไว้ ข้าวจะได้เห็นค่า รีบมาสมัครเป็นแฟนพี่ ตอนนี้รีบทานโจ๊กดีกว่า
เดี๋ยวไปรายงานตัวในฐานะเภสัชกรคนใหม่ของโรงพยาบาลไม่ทันนะ” เขาเตือนเพราะเลยเวลาที่จะเกิดเรื่อง
กับเธอแล้ว สิ่งที่เขาสัมผัสได้ถ้ากีรกันตาไปถึงที่ทำงานก่อนเก้าโมงจะเกิดเหตุร้ายกับเธอ เขาจึงหาเรื่องถ่วงเวลา
เธอไม่ให้ไปถึงที่ทำงานก่อนเก้าโมง
“ถ้าข้าวไปไม่ทัน ถูกตำหนิ เย็นนี้ข้าวจะเอาเรื่องพี่อาม โทษฐานทำให้ข้าวลืม” เธอขู่ฮึ่มๆไม่จริงจังนักและ
ลงมือรับประทานโจ๊กเพราะกลัวไปรายงานตัวไม่ทันนั่นเอง
เก้านาฬิกาเลยไปสิบนาที อมรินทร์ก็ขับรถมาส่งกีรกันตาถึงหน้าโรงพยาบาลมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งซึ่งเป็น
สถานที่ทำงานของเธอ
“ขอบคุณค่ะสำหรับโจ๊กอร่อยๆกับช่วยเป็นสารถีขับมาส่ง ข้าวไปก่อนนะคะเดี๋ยวไม่ทันรายงานตัว
พี่อามเดือดร้อนแน่” เธอขู่พร้อมยิ้วหวานยกมือทำท่าบ๊ายบาย
“เย็นนี้พี่จะมารับนะ ระวังตัวด้วย พี่ไปล่ะ“ เขาเตือนก่อนขับรถจากไป
กีรกันตาอดแปลกใจไม่ได้ เช้านี้พี่ชายก็พูดเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอก่อนออกจากห้อง พอมาเจอ
อมรินทร์เขาก็พูดเตือนอีก มันจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธออีกหรือ ที่ผ่านมาก็นับว่าสาหัสแล้วนะ เธอคิดวกไปเวียนมา
กับคำพูดของสองหนุ่มไปตลอดหลังเดินผ่านประตูทางเข้าเขตโรงพยาบาลไปตามทางรถวิ่งเพราะอาคารที่เธอ
ต้องรายงานตัวอยู่คนละฝั่งกับทางเข้าและถ้าเดินไปตามทางจะไกลพอควรเพราะต้องผ่านหลายอาคารดังนั้น
เมื่อเดินมาได้สักพักเธอจึงตัดสินใจข้ามฝั่งเพื่อประหยัดเวลาและไม่เมื่อยขาด้วยแต่ต้องคอยระวังรถที่เข้ามาใน
โรงพยาบาล เธอหยุดรอดูจังหวะรถไม่ค่อยมีแล้วค่อยข้าม
“เฮ้อ! คิดว่าในโรงพยาบาลรถคงไม่มาก ที่ไหนได้ผิดคาดแฮะ คนไทยรวยกันจริง หรือรถมันถูกกันแน่
ถึงไม่มีเว้นช่วงให้คนสวยข้ามเลย” เมื่อยืนรอนานเข้ากีรกันตาก็ขอบ่นหน่อย แล้วเหมือนเทวดาเห็นใจเธอพลัน
รถที่เลี้ยวเข้ามาในโรงพยาบาลก็น้อยลง เธอจึงตัดสินใจรีบวิ่งข้ามทว่าสิ่งที่ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น จู่ๆก็มีรถสปอร์ต
สีแดงคันหนึ่งแล่นเข้ามาอย่างเร็วจนเธอหลบไม่ทันเลยถูกเฉี่ยวชนล้มคะมำครูดไปกับผิวถนนจนเจ็บไปทั้งตัว
ส่วนกระเป๋าสะพายก็กระเด็นไปอีกทาง
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างหยุดดูอย่างตกใจที่เห็นหญิงสาวร่างระหงกลมกลึงในชุดกระโปรงกับเสื้อเชิ้ต
แขนตุ๊กตาลายดอกเล็กๆน่ารักล้มคะมำลงไปนอนกับพื้นถนน จึงคิดเดินเข้าไปช่วยแต่พอเห็นเจ้าของรถเดินมา
ก็หยุดดูต่อ เจ้าของรถเป็นสาวสวยแต่งตัวเปรี้ยวจัด ผิวขาวสวมแว่นกันแดด เดินตรงมาหาคนเจ็บด้วยใบหน้า
บึ้งตึง พอมาถึงก็ถอดแว่นกันแดดออกส่งเสียงตวาดแว้ดออกไปดังๆอย่างหงุดหงิด
“นี่เธอ เดินยังไง ไม่รู้จักดูทาง ไม่เห็นหรือว่ารถกำลังมา ทำฉันซวยแต่เช้าเลย”
กีรกันตาเจ็บจนไม่มีแรงขยับตัวลุกขึ้น หัวเข่ากับแขนครูดกับพื้นถนนจนผิวถลอก เลือดซิบๆโดยเฉพาะ
แขนขา อีกทั้งขาก็ขยับไม่ค่อยได้ เธอเจ็บไปทั้งตัวก็ว่าได้ โชคดีที่เธอไม่ได้เอาหน้าลงในจังหวะที่ล้มลงไม่อย่าง
นั้นเธอต้องไปขอพึ่งหมอศัลยกรรมแน่ แต่อะไรก็ไม่น่าเจ็บใจเท่าเธอเป็นฝ่ายถูกเฉี่ยวชนจนเจ็บไปทั้งตัวยังถูกด่า
ฉอดๆอีก คิดแล้วมันชวนปรี๊ดแตกนัก ไม่ทนแล้ว และด้วยความโกรธพุ่งจี๊ด อาการเจ็บทางกายเลยถูกพักชั่วขณะ
เธอค่อยๆดันตัวขึ้นนั่งฝืนทนเจ็บจ้องมองเจ้าของเสียงอย่างเอาเรื่อง เหล่าไทยมุงถึงได้เห็นใบหน้าหญิงสาว
ผู้โชคร้ายซึ่งสวยน่ารักมากทว่านัยน์ตาคู่สวยที่จ้องมองสาวสวยคู่กรณีนั้นดั่งมีกองเพลิงก็ว่าได้
“มันจะมากไปแล้วนะ ชนฉันจนเจ็บทั้งตัวยังกล้ามาว่าฉันผิดอีก ฉันเคยไปสร้างความเจ็บแค้นให้คุณ
แต่ชาติปางไหนถึงจงใจขับรถมาเฉี่ยวชนหรือว่าตาบอดมองไม่เห็นคนเดินอยู่ริมถนน” กีรกันตายามเลือดขึ้นหน้า
ปากจัดจ้านไม่น้อย
“แล้วไงล่ะ ก็ไม่ถึงตายนี่” สาวสวยเจ้าของรถสวนกลับแรงพอกัน
“ก็ไม่ทำไมหรอก แค่อยากบอกว่า ถ้าคุณไม่ขอโทษและพาฉันไปหาหมอ ออกค่ารักษาพยาบาลให้ พร้อม
ค่าชดเชยที่ฉันต้องเจ็บไปทำงานไม่ได้ ฉันเอาเรื่องคุณแน่” กีรกันตากลายเป็นคนร้ายกาจไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ รู้แต่
ว่าความโกรธพุ่งปรี๊ดสุดๆและไม่มีวันยอมผู้หญิงคนนี้แน่ เธอยอมรับกับตัวเอง ว่าไม่ถูกชะตากับคู่กรณีอย่างแรง
ตั้งแต่เห็นหน้า
‘คงใหญ่จนชิน ทำคนบาดเจ็บยังไม่สำนึก ยังหน้าด้านมาด่าว่าเราอีก เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น
ผู้หญิงอะไรหน้าตาก็สวยดี แต่ใจดำ ขาดน้ำใจอย่างแรง’ เธอตำหนิคู่กรณีต่อในใจ ดูจากท่าทางคงอายุมากกว่า
เธอสักสองสามปี ซึ่งความรู้สึกนี้ไม่ต่างจากสาวสวยคู่กรณีเธอสักนิด สายตาสวยคมมองกีรกันตาอย่างชิงชังโดย
ไม่ปิดบังและรู้สึกเกลียดตั้งแต่นาทีแรกที่เห็นหน้าโดยไม่รู้ว่าทำไม
“เธอรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร คิดเรียกร้องค่าเสียหาย ช่างไม่เจียมตัวเลยนะ กล้าก็ไปแจ้งความสิ” คนผิดยักไหล่
อย่างไม่แคร์
“ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าเป็นใครแล้วฉันจะไปรู้เรอะ ต่อให้ใหญ่โตแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะอยู่เหนือกฎหมายได้”
กีรกันตาสวนกลับทันควัน อีกฝ่ายแทบปรี๊ดแตกจนอยากเข้าตบใบหน้าสวยน่ารักสักสองสามฉาดเอาให้เจ็บหนัก
ตั้งแต่หัวจรดเท้าแต่คงไม่เหมาะที่จะทำท่ามกลางไทยมุงกลัวเป็นข่าวใหญ่จึงระงับเสีย
“ถ้างั้นก็เชิญไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเอาเองนะ ฉันจะรอ” ว่าแล้วก็ตั้งท่าจะเดินกลับไปที่รถอย่างไม่
แคร์แต่พอเห็นชายหนุ่ม แต่งกายสุภาพ หน้าตาดีทีเดียว รูปร่างสูงเพรียวเดินจากรถ มาหาก็หยุด
“เป็นไงเรียบร้อยมั้ยจุง” ชายหนุ่มถามเอาใจ
“เรียบร้อยบ้าอะไรล่ะ แม่นี่จะเอาเรื่อง” เสียงเกรี้ยวกราดตอบกลับพลางชี้มือเรียวสวยไปยังกีรกันตาซึ่ง
มีพยาบาลเข้าไปช่วยดูแล้วเพราะมีคนหวังดีไปตามมาให้
“ใจเย็นๆ ช่างมันเถอะ ผมต้องรีบด้วย บอกแล้วไม่ต้องมาส่งก็ยังมา” ชายหนุ่มบ่นอย่างหงุดหงิด
“ภีมนะไว้ใจได้ที่ไหน จุงต้องมาคุมบ้างสิ” คราวนี้สาวสวยหันมาหาเรื่องเขาแทนแต่ต้องหงุดหงิดมาก
ขึ้นเมื่อกีรกันตาพยายามเดินขากะเผลกเกาะไหล่พยาบาลมาจะเอาเรื่องพร้อมทั้งไทยมุงอีกหลายคนที่ตามมา
คอยลุ้น
กีรกันตายอมรับว่าปกติไม่ชอบมีเรื่องกับใคร อะไรยอมได้ก็ยอมแต่กับผู้หญิงใจร้ายคนนี้ยอมไม่ได้
เธอขอกัดไม่ปล่อย ชนคนบาดเจ็บจนเกือบถึงชีวิตยังไม่ขอโทษแถมทำตัวใหญ่โตเย้ยกฎหมายเล่น ต่อให้ใหญ่
แค่ไหนเธอก็ไม่ยอมง่ายๆ จะทำให้รู้ว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายได้
“คิดจะหนีไปเฉยๆเหรอไง มันไม่ง่ายไปหน่อยรึ” กีรกันตาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมถึงได้บ้าดีเดือด
ได้ขนาดนี้ ตามจิกคนไม่ปล่อยไม่ใช่นิสัยเธอและไม่เคยทำ แต่วันนี้กลับทำต่อหน้าผู้คนให้เห็นเป็นครั้งแรก
“ง่ายไม่ง่ายฉันไม่สน แน่จริงก็ไปแจ้งความสิ ฉันไม่ได้ห้ามนี่ สถานนีตำรวจอยู่ไม่ไกล อยากรู้เหมือนกัน
ว่าใครจะกล้าเอาเรื่องฉัน” สาวสวยคู่กรณีท้าโดยไม่กลัวเกรงขณะที่สายตาจ้องมองพยาบาลอย่างหงุดหงิด
“นี่หนู หน้าตาก็สวยดี ทำไมนิสัยแย่” ในที่สุดไทยมุงคนหนึ่งที่ยืนดูมานานก็ทนไม่ไหวจึงขอมีส่วนร่วม
“นั่นสิ คนอะไรใจร้ายจัง” เมื่อมีคนเริ่มอีกคนก็ตาม ผิดกับพยาบาลที่วางตัวเฉยเสีย
คนผิดจ้องมองทุกคนอย่างเอาเรื่องแต่ที่แค้นจัดคือคู่กรณีของเธอ ดูร้ายไม่เบา ที่ผ่านมาไม่เคยมีใคร
กล้ากับเธอ ผู้หญิงคนนี้เป็นใครถึงได้กล้ามีเรื่องกับเธอ
“ก็ฉันบอกแล้วไง ว่าอยากเอาผิดกับก็ไปแจ้งความซิ ไม่ได้ห้าม” พูดจบก็เดินไปที่รถโดยไม่สนใจ
ว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อ ชายหนุ่มที่มาด้วยยิ้มเจื่อนๆต่อหน้ากีรกันตา
“ผมขอโทษด้วยนะครับ เพื่อนผมอารมณ์ไม่ดี ไว้ผมจะชดใช้ให้นะครับคุณ...เอ่อ...” เขาพูดกับกีรกันตา
อย่างสุภาพพลางมองสำรวจไปทั่วร่างระหงกลมกลึง แล้วบอกตัวเองว่า หญิงสาวคนนี้สวยน่ารักน่าสนใจมาก
จนอยากทำความรู้จัก
“ฉันชื่อกีรกันตาค่ะ คุณไม่ผิด แต่เพื่อนคุณผิด ขอโทษแทนกันไม่ได้หรอก” กีรกันตายังไม่ยอมง่ายๆ
“คิดว่าเห็นแก่หมอภีมนะคะ อย่ามีเรื่องกันในโรงพยาบาลเลยค่ะ” พยาบาลวัยกลางคนพูดแทรกขึ้น
ทุกคนถึงรู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นหมอ มิน่าเล่าถึงได้ดูสุภาพ แต่กีรกันตากลับรู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้องนัก ยอมเพราะ
เห็นแก่อีกคนมันอาจก่อเกิดค่านิยมที่ไม่ถูกต้องในสังคม คนผิดต้องรับผิดหรือเป็นฝ่ายกล่าวคำขอโทษเอง
เจ็บกายเธอยอมได้แต่เจ็บใจนี่สิ เธอไม่ยอม ถ้าคนผิดยอมขอโทษตั้งแต่ต้นก็จบ เวลานี้เธอลืมคำพูดของภิกษุ
ชราเสียสิ้นเพราะอยากจองเวรมากกว่าและกระแสคลื่นจิตนี้ก็แรงมากจนไปกระทบจิตของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่
ที่กำลังเดินใกล้เข้ามา ด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“ข้าวเป็นยังไงบ้าง รีบไปทำแผลก่อนดีกว่า” กีรกันตาหันไปมองตามเสียงแล้วยิ้มอย่างดีใจ รู้สึกอุ่นใจ
ที่เห็นอมรินทร์มา
“พี่อาม มาได้ไง” เธอแทบจะโผเข้าหาเขาแต่ติดที่เจ็บอยู่
“อย่าเพิ่งถามเลย ข้าวเจ็บไม่เบายังจะอวดเก่งอีก ไปทำแผลก่อนดีกว่า รบกวนหมอภานุช่วยบอกคุณ
ศวิตา ว่าเราไม่เอาเรื่อง” พออมรินทร์บอกก็ทำเอาเหล่าไทยมุงทั้งหลายทำหน้ามึนไปชั่วขณะเพราะไม่คิดว่าชาย
หนุ่มหน้าตาหล่อบาดตาบาดใจซึ่งอาจเป็นญาติของสาวสวยน่ารักผู้เสียหายจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นถึงพูดราวกับเห็น
เหตุการณ์ตั้งแต่ต้นก็พวกเขายังไม่เห็นหญิงสาวผู้เสียหายหยิบโทรศัพท์โทรหาใครเลยตั้งแต่ถูกรถเฉี่ยชนจนล้ม
ขณะที่เหล่าไทยมุงพากันสงสัยกับคำพูดของอมรินทร์ กีรกันตากลับรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาตะหงิดๆ เห็นเธอ
เจ็บหนัก ยังบอกไม่เอาเรื่องอีก เขายอมแต่เธอไม่ยอม ก็เขาไม่ได้เจ็บ ก็ยอมได้สิ แต่เธอเจ็บ เรื่องอะไรจะยอม
อารมณ์เธอเริ่มเดือดปุดๆอีกครั้งและแล้วก็เย็นลงเพราะเสียงของอมรินทร์ดังขึ้นในใจ
‘อย่าเพิ่งโกรธ ไว้พี่จะบอกเหตุผลให้ฟังทีหลัง คู่กรณีข้าวเป็นลูกสาวผู้ทรงอิทธิพลในสังคมแม้แต่นักการ
เมืองใหญ่บางคนยังต้องเกรงใจ เวลานี้ข้าวทำอะไรผู้หญิงคนนี้ไม่ได้หรอก’
“ที่แท้ก็รู้จักกับหมออาม หมอภีมคะ คงไม่เป็นไรแล้วค่ะ หมออามมาเคลียร์เอง” พยาบาลอาวุโสรีบยุติ
เรื่อง ไม่อยากปล่อยให้ยืดยาวต่อไป ไม่เช่นนั้นจะกระเทือนถึงโรงพยาบาล ทว่าเรื่องกลับไม่ยุติง่ายๆเมื่อคู่กรณี
ของกีรกันตาเดินกลับมาหาหน้าตาเอาเรื่อง มาถึงก็คล้องแขนเพื่อนหนุ่มทันทีเพื่อประกาศความเป็นเจ้าของ
“มีอะไรอีกล่ะ หรือว่าเธอคิดจะเอาเรื่องหมอภีมอีกคน” สาวสวยยังคงวางอำนาจเหมือนเดิม
“ไม่มีใครคิดหาเรื่องหมอภีมหรอก เพราะไม่ใช่คนผิด คุณน่าจะดีใจนะที่หมอภีมช่วยไว้ ไม่อย่างนั้นฉันเอา
เรื่องคุณแน่ ต่อให้คุณใหญ่แค่ไหนก็เถอะ” กีรกันตาร้ายกว่าที่คิด เธอเรียนรู้ว่าใครเป็นใครได้ไวมากแถมพูดถึง
ชายหนุ่มที่เพิ่งรู้จักได้อย่างสนิทสนมด้วย เธอต้องการยั่วอีกฝ่ายเล่นไปอย่างนั้นเอง
อมรินทร์ส่ายหน้าให้กับความเหลือเกินของเธอ ทำตัวเป็นเด็กไม่โต น่าจะจับตีสักที เตือนแล้วไม่เชื่อ
ถึงตอนนี้เขาเชื่อแล้วไม่มีใครหนีพ้นกรรมได้จริงๆ
“ข้าวเลิกหาเรื่องได้แล้ว ไปทำแผลก่อนดีกว่า อาการไม่เบาเลยนะ” อมรินทร์รีบเตือนไม่อยากให้เรื่องไป
กันใหญ่แต่เสียงของเขากลับทำให้คู่กรณีของกีรกันตาให้ความสนใจในตัวเขาจนอยากได้มาครอบครอง
‘ผู้ชายอะไรหล่อได้ใจ รูปร่างสูงใหญ่ เห็นแล้วอยากโผเข้าไปซบอก รอให้เบื่อภานุเมื่อไหร่ เขาจะเป็น
เหยื่อรายต่อไปของเธอ ยิ่งเป็นคนรักของยัยคนนี้ยิ่งน่าแย่ง ผู้หญิงอย่างเธอผ่านผู้ชายมามากมีหรือจะไม่รู้
ว่าทั้งคู่ไม่ได้เป็นแค่เพื่อน ลองหยั่งเชิงดูก่อน’ คิดดังนั้นจึงพูดกับอมรินทร์ด้วยน้ำเสียงที่น่าฟัง
“ดูคุณมีเหตุผลมากกว่าเพื่อนคุณอีกนะคะ ความจริงฉัน เอ่อ..ขอเรียกตัวเองว่าจุงดีกว่าค่ะ จุงก็อยาก
ขอโทษและพาไปทำแผลให้ แต่เพื่อนคุณสิคะ พอพบหน้าก็ต่อว่าจุงฉอดๆ ก็เลยต้องปล่อยค่ะ ลองว่าจุงได้
ฉอดๆ คงไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกค่ะ คุณ...” ทุกคนในที่นั่นอ้าปากค้างไปตามๆกันกับคำพูดอันหาความจริงไม่ได้
ของหญิงสาวผู้นี้ โดยเฉพาะกีรกันตาแต่คราวนี้เธอเฉยไม่คิดจะตอบโต้อยากรู้ว่าอมรินทร์จะตอบอย่างไร
แม้เธอจะไม่ใช่ผู้หญิงที่มีจริตมากนัก แต่ก็พอดูออกว่าอีกฝ่ายเริ่มสนใจ หมอเจ้าเล่ห์ของเธอแล้ว
‘ผู้หญิงอะไรไร้ยางอายที่สุด มองพี่อามราวกับขนมหวานชวนลิ้มลองโดยไม่ปิดบังทั้งที่ตัวเองมีแฟนอยู่
แล้ว ยังคิดแย่งแฟนคนอื่นอีก’ กีรกันตาเริ่มตกใจเมื่อคิดมาถึงตอนนี้ ‘นี่เรายอมรับพี่อามเป็นแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่’ พลันก็มีเสียงตอบมาในใจ
‘ตั้งแต่ยังไม่เข้าร่างมั้ง อย่าเพิ่งหึงนะ รับรองพี่ไม่เปลี่ยนใจแน่ เชื่อใจพี่ได้’ เธอถลึงตาใส่เขาพร้อมสวน
กลับ ‘อย่ามั่ว ใครๆแฟนใคร ถ้าคิดหลงเสน่ห์ยัยคนนี้ล่ะก็ ระวังเขาจะงอกบนหัวไม่รู้ตัว’ อมรินทร์ถึงรู้ผู้หญิงทุก
คนร้ายเหมือนกันหมด ปกติกีรกันตาดูน่ารักสดใสแต่พอเจอคู่อริจากอดีตชาติที่วงล้อของกรรมชักนำให้มาพบกัน
ก็แสดงความร้ายออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ต้องรีบพาไปจากนี่ก่อนไม่อย่างนั้นเรื่องจะไปกันใหญ่ คู่กรณีของเธอ
ไม่ใช่คนที่จะสู้รบปรบมือด้วยได้ง่ายและเขาก็รู้อีก ที่กีรกันตาไม่ยอมเพราะอยากทำให้คนในสังคมเห็นว่าคนทำ
ผิดต้องรับผิดไม่ใช่ปล่อยไปเฉยๆและการตามจิกไม่ปล่อยก็ไม่ใช่นิสัยแท้จริงของเธอแต่มันเป็นผลจากการวางอำ
นาจของอีกฝ่ายต่างหากที่ทำให้เธอกลายเป็นคนไม่ยอมคน
“ผม อมรินทร์ครับ คุณศวิตา ผมขอตัวพาเพื่อนผมไปตรวจและทำแผลก่อน ขอตัวก่อนครับ” ร่างสูงใหญ่
ประคองกีรกันตาไปโดยไม่ปล่อยให้เธอมีโอกาสพูด เธอเลยจิกเล็บลงบนแขนเขาแทน
“พี่อาม เรื่องอะไรให้ข้าวไปยอมคนนิสัยแย่ๆด้วย มันต้องเอาคืนให้เข็ดถึงจะถูก”
“อย่าอวดเก่งนักเลยข้าว ห่วงตัวเองก่อนเถอะ เจ็บจะแย่อยู่แล้วยังอวดเก่งจะไปเอาเรื่องคนอื่นอีก เมื่อวาน
เพิ่งรับปากรับคำหลวงพ่อท่านว่าจะไม่จองเวรใครจะให้อภัย ไม่ทันไรก็ลืมแล้ว” เขาดุเหมือนพี่ชายที่กำลังสั่ง
สอนน้อง
“ก็ข้าวหมั่นไส้นี่ คนอะไรผิดแล้วยังไม่สำนึกอีก แถมวางกล้ามทำตัวใหญ่เหลือเกิน ข้าวขอเตือนนะ
พี่อามจะชอบใครก็ได้ แต่ถ้าเป็นยัยจุงนี่ ข้าวเลิกคบจริงๆด้วย เป็นคนนิสัยแย่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา” กีรกันตา
ไม่ยอมเป็นน้องที่ดีเชื่อฟังคำสอนของพี่ชายสักนิด ซ้ำร้ายยังมีขู่อีก ก็เธอยังหัวเสียกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่หายนี่
“แต่พี่ว่าตอนนี้ข้าวแย่กว่าอีก” เขาไม่ฟังคำขู่แต่กลับตำหนิเธอแทน
“พี่อาม!! ข้าวถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ ยังมาว่าข้าวแย่อีก” เธอโวยลั่นอย่างฉุนจัด
“หรือไม่จริง ดูแขนขาสิ ผิวถลอกหมด เลือดซิบๆ เดินขากะเผลกอยู่อย่างนี้ยังมีแรงว่าคนอื่นได้ฉอดๆ”
พอเขาบอกเธอถึงรู้สึกเจ็บต่อ มัวแต่โมโหคนอื่นจนลืมเจ็บ
‘เอ๊ะ...พี่อามรู้ได้ไงว่าเกิดเรื่องกับเรา’
*********************************************************************
***************ตามอ่านมาถึงตอนนี้แล้ว อยากรู้มีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องแนวนี้บ้างคะ**************************
เพลงใบไม้
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.ค. 2558, 21:13:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.ค. 2558, 21:13:29 น.
จำนวนการเข้าชม : 1255
<< ตอนที่ 7 | ตอนที่ 11 >> |
Pat 16 ก.ค. 2558, 18:34:43 น.
สนุกค่ะ อ่านได้หลายแนวค่ะ
สนุกค่ะ อ่านได้หลายแนวค่ะ