อาลัว...กลัวรัก
รักแรก ทำให้หัวใจของอาลัวเต็มไปด้วยความสุขและเศร้า
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
Tags: อาลัว ดรัล นวีน ชมนาด
ตอน: บทที่ 1 : หวั่นรัก
บทที่ 1
เสียงกระทะกับตะหลิวดังเป็นเวลาทุกวันตั้งแต่หกโมงเช้า กลิ่นหอมโชยลอยไปถึงชั้นสองของบ้านปลุกให้มนุษย์ขี้เซาทั้งหลายต้องตื่น รวมถึงสัมปันนี หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตตัวหลวมโคร่ง กับกางเกงผ้ายืดสีน้ำเงินลายทางหลับตาเดินลงมา จมูกฟุดฟิด หน้ายิ้มถูกใจ จนเกือบจะมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายเท้าบังเอิญเดินชนเข้ากับร่างนุ่มนิ่ม จนเธอเซหน้าทิ่มเกือบตกบันได ลืมตาขึ้นมาจึงพบกับผมฟูฟ่องสยายเต็มแผ่นหลัง และใบหน้าตายด้าน ไร้ความรู้สึกเหลือบมองเธออยู่
“ดั้น!”
“อืม” บุหลันขานรับในลำคอ เขยิบก้นชิดราวบันได พิงศีรษะ และหลับตาต่อ ไม่ยี่หระกับการบังทางลงไปชั้นล่างกว่าครึ่งทางนี้สักนิด
สัมปันนีลดมือที่เตรียมไปประเคนใส่ร่างบอบบางกว่าเธออย่างหมั่นไส้ ส่ายหน้าให้กับผู้หญิงที่มักทำตัวอยู่คนละโลกกันอย่างเข้าใจ นี่ก็คงนั่งทอดอารมณ์หาแรงบันดาลใจในชีวิตอยู่ตรงนี้มาหลายชั่วโมงแล้ว ทางที่ดีเธอควรปล่อยให้น้องอยู่ในโลกตัวเองต่อไปจะดีกว่า มีหลายคนที่เคยพยายามเข้าไปทำลายโลกของบุหลันไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่จะถูกปล่อยทิ้งคว้างกลางอวกาศอยู่เป็นประจำ
หญิงสาวร่างสูงเดินอ้อมร่างของบุหลันมาอย่างเงียบเชียบจนถึงชั้นล่าง พบร่างพี่สาวคนโตนั่งไขว่ห้าง จิบชาร้อนอยู่บริเวณโต๊ะอาหาร
“อาลัว นวีนโทรมา บอกว่ามารับไม่ได้” มัศกอดช้อนตาขึ้นมองอากัปกิริยาของน้องสาวอย่างแนบเนียนเสี้ยววินาที มุมปากมีรอยยิ้มบางเบาไม่ทันให้ใครจับสังเกต เธอถูกใจรอยตาวูบไหวของน้องที่เกิดขึ้น คนแกร่งเป็นมนุษย์เหล็กพลังช้างสารอย่างสัมปันนีมีมุมนี้ให้เห็นบ่อยนักหรือไงกัน
คนพลังเยอะลากเก้าอี้ครูดกับพื้นเสียงดังก่อนนั่งแปะลงไป ส่งเสียงถอนหายใจเล็กน้อย “น่าจะโทรมาบอกให้เร็วกว่านี้”
“น้อยใจหรือไง”
“เปล่าค่ะ” สัมปันนีบอกเสียงดังฟังชัดจนเกินเหตุ หันไปรับจานไข่เจียว หมูบะฉ่อจากมารดามาวางเรียงบนโต๊ะ มัศกอดลุกไปตักข้าวต้มใส่ถ้วยเล็กมาวางเรียงให้ครบคน ไม่วายกวักมือเรียกมนุษย์เหม่อตรงบันไดให้ลงมาร่วมโต๊ะกันอย่างพร้อมเพรียง
ผู้ชายผิวสีแทนเปลือยอก เอวคาดผ้าขาวม้าเดินอาดเข้ามาในบ้าน นั่งลงตำแหน่งข้างลูกสาวคนโต เว้นหัวโต๊ะให้ภรรยาที่รักได้เข้ามานั่งหลังปลดผ้ากันเปื้อนออกจากตัวเรียบร้อย
“ไม่รีบไปล่ะอาลัว รถติดจะสายเอา” เรไรถามมาจากหัวโต๊ะ ดวงหน้าเป็นแม่พิมพ์แบบลูกสาวคนโตมาอย่างกับแกะ ต่างจากลูกสาวคนกลางที่มีหน้าและหุ่นสูงใหญ่คล้ายสามีอยู่หลายส่วน แต่พอพูดถึงลูกสาวคนเล็ก ทั้งลักษณะทางกายภาพ และนิสัยต่างไม่เหมือนทั้งพ่อและแม่เลยสักกระผีกเดียว
สัมปันนีไหวไหล่ หยิบช้อนตักข้าวอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ว่าเธอจะรีบเร่งในการไปทำงานแต่เช้าเพื่ออะไร เมื่อนึกถึงระยะเวลากว่าสามปีที่ได้ทำงานอยู่ในบริษัทส่งออกกล้วยไม้รายใหญ่ของประเทศ นวีนคือคู่หูคู่ทำงานที่ดีที่สุดของเธอ เพื่อนคนนี้จะคอยห่วงใย ถามไถ่ ช่วยเหลือเธอโดยไม่สนว่าใครจะแซว หรือว่าอย่างไร รอยยิ้มของเขาค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในหัวใจของเธอ และการมีเขาอยู่ทำให้ชีวิตของเธอเคยชิน จนลืมไปว่าสักวันความเคยชินอันไม่จีรังนี้จะหมดลงไป
“สายสักวันคงไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“แปลก” บุหลันหลุดวิจารณ์ออกมาเสียงเบา ใช้สายตาว่างเปล่ามองสำรวจพี่สาวคนกลางอย่างถ้วนถี่ “อกหักเหรอ”
“เปล่า!” สัมปันนีผุดลุกขึ้น วางช้อนลืมมารยาท ถ้าเธอยั้งมือไม่ทันมือของเธออาจเผลอตบเสียงดังลงบนโต๊ะไปอีกที ใครใช้ให้น้องสาวหน้าตายมองเธอทะลุไปถึงหัวใจขนาดนี้ “เดี๋ยวหารถไปทำงานลำบาก หนูไปก่อนนะคะ”
เสียงหัวเราะ และบทวิเคราะห์เกี่ยวกับเธอจากคนในครอบครัวทำให้สัมปันนีกัดฟันกรอด หน้าร้อนผ่าว นึกโกรธตัวเองที่ไม่เคยเก็บซ่อนความรู้สึกในใจได้เลย ใครต่อใครถึงได้มองออก และอ่านความรู้สึกของเธอออกกันหมด เว้นแต่...เขา ผู้ชายที่วางเธอไว้ในตำแหน่งของเพื่อน ลงกาวชนิดเหนียวหนึบ จนเธอเขยื้อนสถานะไม่ได้
“รอด้วยค่ะ” รองเท้าผ้าใบเก่าๆ ข้างหนึ่งขวางยื่นประตูลิฟต์ไว้ได้ทันในวินาทีสุดท้ายอย่างน่าหวาดเสียว ก่อนจะทะลึ่งพรวดดันร่างสูงของตัวเอง พร้อมสัมภาระเหล่าแฟ้มหลายสิบแฟ้มในอ้อมแขนตามเข้ามา สัมปันนีหันมายิ้มเผล่ขอโทษหนุ่มสวมสูททางการที่อาจเป็นหนึ่งในลูกค้าของบริษัทอย่างขอโทษในอากัปกิริยาทโมนนี้ “ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะคะ”
“ผู้ชายไปไหนหมด” ผู้ชายหน้าดุเอื้อมมือมาหยิบแฟ้มครึ่งหนึ่งไปถือให้
“นี่เป็นหน้าที่ของดิฉันอยู่แล้วค่ะ ไม่ลำบากอะไรหรอก”
รอยยิ้มไม่ถือสา กอปรเสียงหัวเราะของสัมปันนีไม่มีรอยยิ้มตอบรับ ตรงกันข้ามคนฟังกลับใช้สีหน้าดุจัดมองตอบกลับมา และยังกราดมองรูปร่างของเธออย่างไร้ความปราณี เขาอยากจะด่าว่าหุ่นเก้งก้างอย่างเธอไม่เหมาะมาถือของเหล่านี้หรือเปล่า สัมปันนีเลิกสนใจเขา และเบี่ยงสายตามองหมายเลขชั้นที่จะไป จึงพบว่าชั้น 37 ถูกกดอยู่ก่อนแล้ว อีกครั้งที่สัมปันนีต้องหันมาสนใจผู้ชายน้ำใจงามคนเดิมอีกครั้ง
“เป็นลูกค้าของกล้วยไม้ดิเรกเหรอคะ” หน้าที่อย่างหนึ่งของพนักงานทุกคนในบริษัทกล้วยไม้ดิเรกคือการต้อนรับขับสู้บรรดาคู่ค้าของบริษัทให้ดีเยี่ยมที่สุดไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหน
“คุณคือพนักงานที่กล้วยไม้ดิเรกใช่ไหม” ดรัลไม่ตอบแต่กลับถามคำถามอีกฝ่ายกลับแทน
“ค่ะ ดิฉันอยู่ฝ่ายการเงิน มีอะไรให้ช่วยเหลือคุณสามารถเรียกหาดิฉันได้ค่ะ ไม่มีอะไรที่คนอย่างดิฉันทำไม่ได้” สัมปันนียิ้มอย่างมั่นใจ ส้วมตัน กระเบื้องหลุด หลอดไฟเสีย ทิ้งขยะ ถ่ายเอกสาร ซ่อมคอมพิวเตอร์ หลากหลายหน้าที่ที่ที่นี่สอนให้เธอทำเป็น
“มั่นใจจังเลยนะ”
“มนุษย์เราทุกคนเรียนรู้ได้ทุกสิ่งค่ะ สิ่งไหนที่ทำไม่ได้ก็เท่ากับเรายังพยายามเรียนรู้ไม่มากพอ...จริงไหมคะ”
ดรัลจ้องหน้าคนตอบคำถามเขาอย่างจริงจัง สีหน้าคนพูดไม่ได้รู้สึกถึงวาจากระทบกระเทียบของเขาเลย จนเขาไปต่อไม่ถูก ทำได้เพียงคืนแฟ้มในอ้อมแขนคืนให้เมื่อลิฟต์เดินทางมาถึงที่หมาย
“ไม่มาด้วยกันเหรอคะ” สัมปันนีชะโงกหน้าจากกองแฟ้มสูงในมือมาถาม
“ผมกดผิดชั้น” ชายหนุ่มกดหมายเลขชั้นที่อยู่สูงขึ้นไปห้าชั้น หน้าตาเรียบเฉย
คนแบกเอกสารเดินออกมานอกลิฟต์ กล่าวขอบคุณเขาก่อนประตูลิฟต์จะปิด “ขอบคุณความกรุณาของคุณมากค่ะ”
หญิงสาวเม้มปากกับการปั้นรอยยิ้มมากมายกลับเข้าที่ เธอโฆษณาสรรพคุณตัวเองไปกี่กระบุงก็ตามแต่ สุดท้ายก็จะถูกเมินเฉยไม่มีใครสนใจเหมือนเดิม รูปลักษณ์แสนธรรมดา ไม่มีแรงดึงดูด เวลาออกงานข้างนอกทุกคนก็พร้อมจะเก็บเธอให้เฝ้าสำนักงานไป บางคนถึงกับเรียกเธอแบบค่อนแคะว่าเหมือนเป็ด...ทำทุกอย่างได้หมด แต่ไม่มีอะไรที่โดดเด่นสักอย่าง ไม่มีเสน่ห์ที่น่าดึงดูดพอ ไม่มีความสามารถที่สูงพอจนจะเลื่อนขั้นต่อไป
“ตั้งเยอะแยะทำไมไม่เรียกเราไปช่วย” เสียงต่อว่าไม่จริงจังดังขึ้นเบื้องหลัง ก่อนที่แฟ้มในมือทั้งหมดจะถูกถ่ายเทไปอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายที่มีส่วนสูงน้อยกว่าเธอสองนิ้ว รอยยิ้มรับอรุณของนวีนทำให้คนมองยิ้มตอบโดยทันที “วันนี้เจ้านายใหม่มาแล้ว เสียดายที่อาลัวยังไม่ได้เจอ”
“เดี๋ยวก็คงได้เจอ ถ้าเจ้านายใหม่พวกเรามีนิสัยไม่ดี ไม่น่าเข้าใกล้”
นวีนส่ายหน้าไม่เห็นด้วย เขารู้ว่าหลายต่อหลายครั้งแล้วที่สัมปันนีกลายเป็นหนังหน้าไฟที่พร้อมรับเรื่องเดือดร้อนจุกจิกภายในบริษัท เวลาเจอปัญหาสิ่งที่ทุกคนนึกถึงคือเรียกให้สัมปันนีไปช่วยแก้ไขให้ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงเพื่อนเขาคนนี้ก็จะรับหน้าไม่มีอิดออด ถ้าเธอจะบ่นไม่พอใจบ้างเขาจะไม่ว่า ตรงกันข้ามเลยสัมปันนียิ้มรับหน้าที่นี้ และยังหัวเราะเสียงดังใส่หน้าทุกคนที่ว่าเธอ
“วันนี้ตอนเที่ยงไปกินอะไรกันดี” คนเดินตามไร้ภาระในมือถามขึ้นอย่างอารมณ์ดี
คนฟังมีสีหน้าอึดอัดเมื่อเลี้ยวเข้ามาภายในห้องที่แบ่งเป็นคอกกั้นซอยเล็กๆ จึงวางไปบนโต๊ะที่มีสัมภาระกองพะเนินมากที่สุด เงยหน้าลำบากใจขึ้นมา “เที่ยงนี้เราไม่ว่าง”
“เย็นล่ะ”
“ยิ่งไม่ว่าง”
คนฟังหน้าเก้อไป ดวงตายิ้มแย้มเลือนหายไป เหลือแค่ริมฝีปากที่ประดับยิ้มให้คนมองไม่รู้สึกว่าได้ทำร้ายจิตใจเธอ “ช่างเถอะน่า คนเราก็มีธุระปะปังกันได้จริงไหม นวีนไม่ต้องคิดมาก” สัมปันนีตบไหล่เล็กของเพื่อนไปทีหนึ่ง จึงหมุนกายนั่งบนเก้าอี้ของตัวเอง เริ่มคัดแยกแฟ้มเพื่อส่งแจกจ่ายไปตามแผนกต่างๆ ที่จริงหน้าที่นี้เป็นของกุหลาบ ผู้ดำรงตำแหน่งเลขานุการของประธานใหญ่ และยังควบตำแหน่งหัวหน้าเอกสาร แต่เพราะว่าท้องแก่ใกล้คลอด ทำให้การทำหน้าที่หนักหนานี้จำต้องพักชั่วคราว เรื่องแบกเอกสารถ่ายงานเธอจึงรับมาดูแลให้ชั่วคราวก่อน
“พรุ่งนี้เราว่างแน่นอน จะไปรับอาลัวที่บ้านด้วย”
มือที่กำลังค้นเอกสารชะงัก ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ รู้สึกว่าเธอมีสิทธิ์อะไรไปช่วงชิงพื้นที่ส่วนตัวของนวีนมากมายขนาดนี้ “นวีน เราว่านายไม่ต้องตีรถไปรับเราตั้งไกลอีกแล้วล่ะ ลำบากนายเปล่าๆ”
“เกิดอะไรขึ้น หรืองอนเรา” นวีนอาศัยพื้นที่ว่างตรงมุมขวาของโต๊ะสัมปันนีนั่งลง เผชิญหน้ากับเพื่อนสนิทที่ร่วมงานกันมานานหลายปี พยายามจ้องตาของอีกฝ่ายที่เอาแต่ก้มหน้าจดจ่อกับงานทำให้เขาไม่รู้ว่าอาการที่เป็นอยู่นี้งอน หรืออยากให้เขาสบายตัวมากขึ้น
“ไม่ได้งอน แต่เรามองถึงความจำเป็นต่างหาก เราว่าเรามาเองสะดวกกว่า เดือนหน้ารถไฟฟ้าก็เปิดสายเพิ่ม ผ่านบ้านเราพอดี สะดวกจะตาย”
“จริงด้วย จากนี้สงสัยไม่ต้องใช้บริการเราแล้วสิ”
อยากใช้ตลอดไปต่างหาก...ถึงรีบห้ามความเคยชินนี้ สัมปันนีผลักร่างของเพื่อนลงจากโต๊ะ ปั้นหน้าขรึมจริงจัง “เราทำงานก่อนนะ”
“ครับ ไม่กวนแล้วครับ” นวีนวางกล่องขนมอาลัวกล่องเล็กเจ้าโปรดของหญิงสาวลงบนโต๊ะ ประกายตาคนได้รับยินดีขึ้นฉับพลัน “ของมาง้อ อย่าทำหน้านิ่งอีกล่ะ” คนรู้จุดอ่อนของสัมปันนีดีหัวเราะเริงร่าจากไป ปล่อยให้คนได้รับขนมอาลัวกอดกล่องกระดาษแนบอก ในใจไพล่ตำหนิเขากรายๆ ที่เขาบังอาจซื้อขนมร้าน ไทย...แท้ ฝากลูกสาวร้าน ไทย...แท้ เสียได้
คงจะหวานกว่าที่เธอเคยกิน สัมปันนียิ้มใส่กล่องสีเขียว อยากจะมั่นใจอีกนิดว่าเรื่องที่เธอกังวลทั้งหมดเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด บางทีอาจเป็นเธอเองที่เลิกสนใจพิธีมากความที่คนชอบเชื่อว่าคนที่บอกรักก่อนต้องเป็นผู้ชาย ทำไมผู้หญิงจะบอกรักก่อนบ้างไม่ได้ นวีนเป็นคนดีออกอย่างนี้ เธอไม่พร้อมเสียเขาไปให้ใคร ตราบใดที่หัวใจของเขายังว่าง
“ขนมไทยพวกนี้อร่อยจัง ใครซื้อมาให้ชมกันล่ะตั้งเยอะแยะ” เสียงล้อของเพื่อนที่เดินเข้ามาใหม่ในห้องทำให้สัมปันนีรีบเก็บกล่องขนมลงในลิ้นชัก ยืดกายชะโงกหน้ามองคนที่ถือขนมไทยหลายชนิดในถุงมาแจกจ่ายเพื่อนในที่ทำงานอย่างใจกว้าง รอยยิ้มเบิกบานของชมนาดได้ดูดรอยยิ้มมีชีวิตชีวาเมื่อครู่ของสัมปันนีไป เสียงหัวใจครึกโครมที่เธอรู้สึกเมื่อครู่ค่อยๆ เต้นช้าลง
เพราะขนมทุกชิ้นนั้นมาจากร้านไทย...แท้ ขอแค่ชมนาดจะถือขนมพวกนี้เข้ามาในวันอื่น เธอจะไม่คิดมาก ไม่ว้าวุ่นใจ แต่วันนี้ วันที่ตอนเช้านวีนไม่ได้อยู่กับเธอ เขากลับมีขนมร้านบ้านเธอมาที่ออฟฟิศพร้อมกัน
“อาลัว เธออยากกินอะไรดี อาลัวไหม มีคนแนะนำฉันว่าร้านนี้อร่อย แล้วยังบอกว่าเป็นร้านโปรดของเธอด้วย” ผู้หญิงผมยาวสลวย แต่งหน้าสวยเนียน ปากแดง กับชุดทำงานที่ดูดีเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน กลายเป็นจุดเปรียบเทียบชัดเจนของสัมปันนี หญิงสาวรู้สึกตัวเองเป็นสีหม่นหมอง และชมนาดคือสีจัดจ้านที่ใครก็ชื่นชม
กล่องขนมอาลัวแบบเดียวกันวางลงบนโต๊ะสัมปันนีอีกครั้ง หญิงสาวมองมันอย่างเหม่อลอย ลืมมารยาทที่ต้องกล่าวขอบคุณไปหมด สิ่งนี้ตอกย้ำว่านวีนกำลังเผื่อแผ่พื้นที่ในหัวใจให้กับใครอื่น ที่ไม่ใช่เพื่อนสนิทอย่างเธอ
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของนวีน แต่เป็นเธอเองที่ไม่รู้จักควบคุมหัวใจให้ดี
ดาดฟ้า สถานที่เงียบๆ ที่ครั้งหนึ่งนวีนเป็นคนหามันไว้เพื่อเธอ ไว้หลบบรรดาพี่ๆ ในสำนักงานที่คอยตามจิกให้เธอไปทำงานอื่นมากมายเกินกำลังจนไม่มีเวลาหาข้าวเที่ยงใส่ท้อง สัมปันนีหยิบอาลัวฝีมือแม่ตัวเองเข้าปากทานเป็นมื้อเที่ยง รสชาตินุ่มหวานกรอบนอกหอมกลิ่นเทียนทำให้เธอซึ้งจนขอบตามีน้ำตาซึม
ร่มสดใสที่นวีนหามากันแดดยามเที่ยงยังทำหน้าของมันได้ดี แต่เธอก็ยังระคายตาจนปล่อยให้น้ำตาหยดแรกร่วงลงมา หญิงสาวยกมือปาดน้ำตาออกไปทันทีที่รู้ตัว สูดจมูกเสียงดังฟืดเรียกสติที่มักเหม่อลอยให้กลับเข้าที่เข้าทาง ไม่ต้องจินตนาการไปไกลว่าในเวลานี้นวีนกับชมนาดจะกำลังไปทานข้าวกันอยู่ที่ไหน และนวีนจะรู้สึกปลอดโปร่งเพียงใดที่ไม่มีเธอไปเป็นก้าง
“อาลัวอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ” น้ำเสียงเบื่อหน่ายดังขึ้นขัดอารมณ์เศร้าของสัมปันนี หญิงสาวหันไปมองร่างสูงคนเดียวกันกับที่พบในลิฟต์ที่เดินออกมาจากมุมดาดฟ้าอีกฝั่ง ดูท่าเขาคงมาถึงก่อนเธอ แต่เธอกลับไม่ทันสังเกต
“ลองชิมดูไหมคะ อร่อยมาก”
“ไม่ล่ะ กลัวทำให้คุณร้องไห้เพราะถูกแย่งขนม”
สัมปันนีสะอึก ถึงรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจเสียดสีชีวิตเธอ แต่ในยามนี้ที่เธอจวนจะเสียเพื่อนสนิทไปให้เขามีชีวิตคู่ เธอกลับรู้สึกถูกแย่งขนมชิ้นโปรดไปจริงๆ เธอยังไม่พร้อม และยังไม่ทันปรับหัวใจที่มันถลำลึกกลับคืนมาเลย นวีนยังไม่ได้ลองพิจารณาเธอเป็นหนึ่งในตัวเลือกของเขา เธอยังไม่ได้พยายามสะกิดเตือนความรู้สึกให้เขารู้ว่าเธอคิดกับเขาอย่างไร
เขาไม่เคยรู้...ในขณะที่ใครๆ ต่างก็รู้
“ดูจากความบึกบึน ทนทายาดของคุณ ไม่น่ามีโหมดอ่อนไหวกับเขาเลยนะ” ดรัลถือวิสาสะมาหลบร้อนใต้ร่มคันใหญ่
คนถูกวิจารณ์ไม่ถือสาหาความนั้น กลับหัวเราะเสียงดังออกมาถูกใจ ใครๆ ก็มองว่าเธอเป็นเช่นนั้น บึกบึน แข็งแรง และแข็งแกร่ง ไม่ว่าสิ่งใดก็ทำร้ายจิตใจเธอไม่ได้ แต่เธอกลับมาตกม้าตายเอาง่ายๆ ด้วยเรื่องของเพื่อนสนิท คนที่คอยกางปีกปกป้องเธอ ไม่ก็รับภาระงาน เหนื่อยไปด้วยกันเสมอ เขานั่นล่ะ...สาเหตุของความอ่อนไหว
“คุณเคยชอบใครไหม” เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่น่าจะพบกันอีกง่ายๆ สัมปันนีจึงลดเกราะตัวเองลง
“ไม่เคยคิดเสียเวลา” ดรัลตอบชัดเจน
“คุณควรจะลองชอบใครสักคนดูนะ จะได้เรียนรู้ถึงความสุข เศร้า เหงา และทรมานใจ”
“ทุกข์มากกว่าสุข มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะจมปลักอยู่กับมัน”
สัมปันนีเม้มปากแน่น “มีแต่ตอไม้ที่ไร้ความรู้สึกค่ะ ความรัก ความชอบ ทำให้คนเราอ่อนโยนขึ้น ถึงมันจะทุกข์มาก แต่เวลาสุขที่ดิฉันมีก็มากพอ สิ่งเดียวที่ดิฉันแก้ไม่ได้คือความคับแคบของใจดิฉัน ทั้งที่ยังไม่มีสิทธิ์ไปครอบครองเขา หัวใจของดิฉันก็ทนไม่ได้ที่เห็นเขาไปรักคนอื่น เขายังไม่มีโอกาสรู้เลยว่าดิฉันรักเขา”
“พิลึกคน” ดรัลมองคนมีปัญหาช้ำรัก แล้วออกปากวิจารณ์ “ไม่คิดจะเปลี่ยนการแต่งตัว ทำผม แต่งหน้าให้มันดีขึ้นกว่านี้หรือไง”
“ดิฉันไม่ชอบแต่งตัวเพื่อเอาใจใคร ถ้าคนๆ หนึ่งจะรักใครสักคนเพราะสวย ดิฉันว่าผู้ชายคนนั้นคงไม่เหมาะกับดิฉัน”
“เขาอาจชอบ...”
“อย่าดูถูกนวีนนะคะ!” สัมปันนีลุกพรวดจากม้านั่งยาวอย่างทนไม่ไหว เธอรู้จักนวีนดีพอจนรู้ว่าเขาไม่มีทางปุบปับจะมารักเธอเพราะเธอสวยขึ้นเด็ดขาด นวีนคบเธออย่างบริสุทธิ์ใจมาตลอด เขาเป็นคนดีที่ไม่ควรถูกคนแปลกหน้าคนหนึ่งมองเขาไปในแง่ร้าย
ดรัลหัวเราะไม่เห็นด้วย เขากลับนั่งไขว่ห้างสบายบนเก้าอี้ยาวประจำของอีกฝ่าย การขึ้นมาสูบบุหรี่แก้เบื่อในยามนี้ทำให้เขาพบเจอบุคคลประหลาดเข้าอย่างจังจริงๆ
“ดิฉันขอตัวค่ะ”
“แล้วเจอกันใหม่”
“ใครอยากเจอ...” สัมปันนีบ่นอุบ แต่เกือบสะดุดหน้าทิ่มเพราะคำสวนกลับมาของอีกฝ่าย
“ผมได้ยินนะ”
.................................
ไม่มีอะไรมากนอกจากสารภาพว่านักดองแห่งชาติหาเรื่องดองเรื่องใหม่(อีกแล้ว) อารมณ์งานราษฎร์ขาดช่วงอยู่บ่อยครั้งเพราะโดนเวลางานหลวงแทรก ส่วนเรื่องนี้ที่ขุดมาเขียนได้เพราะกำลังอินความรู้สึกที่ใกล้เคียงกัน อิอิ อยากตั้งชื่อตัวละครเป็นชื่อขนมไทยค่ะ หลังจากเห็นเพื่อนที่เรียนทำอาหารโพสต์ภาพขนมไทยอย่างอลังการ และชื่อก็เพราะๆ ทั้งนั้น เลยปิ๊งไอเดียขึ้นมา (ขนมอีกแล้ว) แต่เกี่ยวกับขนมน้อยมากค่ะ เหตุเกิดเพราะชอบชื่อ ฝากด้วยนะคะ ติชมกันได้ค่ะ
เสียงกระทะกับตะหลิวดังเป็นเวลาทุกวันตั้งแต่หกโมงเช้า กลิ่นหอมโชยลอยไปถึงชั้นสองของบ้านปลุกให้มนุษย์ขี้เซาทั้งหลายต้องตื่น รวมถึงสัมปันนี หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตตัวหลวมโคร่ง กับกางเกงผ้ายืดสีน้ำเงินลายทางหลับตาเดินลงมา จมูกฟุดฟิด หน้ายิ้มถูกใจ จนเกือบจะมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายเท้าบังเอิญเดินชนเข้ากับร่างนุ่มนิ่ม จนเธอเซหน้าทิ่มเกือบตกบันได ลืมตาขึ้นมาจึงพบกับผมฟูฟ่องสยายเต็มแผ่นหลัง และใบหน้าตายด้าน ไร้ความรู้สึกเหลือบมองเธออยู่
“ดั้น!”
“อืม” บุหลันขานรับในลำคอ เขยิบก้นชิดราวบันได พิงศีรษะ และหลับตาต่อ ไม่ยี่หระกับการบังทางลงไปชั้นล่างกว่าครึ่งทางนี้สักนิด
สัมปันนีลดมือที่เตรียมไปประเคนใส่ร่างบอบบางกว่าเธออย่างหมั่นไส้ ส่ายหน้าให้กับผู้หญิงที่มักทำตัวอยู่คนละโลกกันอย่างเข้าใจ นี่ก็คงนั่งทอดอารมณ์หาแรงบันดาลใจในชีวิตอยู่ตรงนี้มาหลายชั่วโมงแล้ว ทางที่ดีเธอควรปล่อยให้น้องอยู่ในโลกตัวเองต่อไปจะดีกว่า มีหลายคนที่เคยพยายามเข้าไปทำลายโลกของบุหลันไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่จะถูกปล่อยทิ้งคว้างกลางอวกาศอยู่เป็นประจำ
หญิงสาวร่างสูงเดินอ้อมร่างของบุหลันมาอย่างเงียบเชียบจนถึงชั้นล่าง พบร่างพี่สาวคนโตนั่งไขว่ห้าง จิบชาร้อนอยู่บริเวณโต๊ะอาหาร
“อาลัว นวีนโทรมา บอกว่ามารับไม่ได้” มัศกอดช้อนตาขึ้นมองอากัปกิริยาของน้องสาวอย่างแนบเนียนเสี้ยววินาที มุมปากมีรอยยิ้มบางเบาไม่ทันให้ใครจับสังเกต เธอถูกใจรอยตาวูบไหวของน้องที่เกิดขึ้น คนแกร่งเป็นมนุษย์เหล็กพลังช้างสารอย่างสัมปันนีมีมุมนี้ให้เห็นบ่อยนักหรือไงกัน
คนพลังเยอะลากเก้าอี้ครูดกับพื้นเสียงดังก่อนนั่งแปะลงไป ส่งเสียงถอนหายใจเล็กน้อย “น่าจะโทรมาบอกให้เร็วกว่านี้”
“น้อยใจหรือไง”
“เปล่าค่ะ” สัมปันนีบอกเสียงดังฟังชัดจนเกินเหตุ หันไปรับจานไข่เจียว หมูบะฉ่อจากมารดามาวางเรียงบนโต๊ะ มัศกอดลุกไปตักข้าวต้มใส่ถ้วยเล็กมาวางเรียงให้ครบคน ไม่วายกวักมือเรียกมนุษย์เหม่อตรงบันไดให้ลงมาร่วมโต๊ะกันอย่างพร้อมเพรียง
ผู้ชายผิวสีแทนเปลือยอก เอวคาดผ้าขาวม้าเดินอาดเข้ามาในบ้าน นั่งลงตำแหน่งข้างลูกสาวคนโต เว้นหัวโต๊ะให้ภรรยาที่รักได้เข้ามานั่งหลังปลดผ้ากันเปื้อนออกจากตัวเรียบร้อย
“ไม่รีบไปล่ะอาลัว รถติดจะสายเอา” เรไรถามมาจากหัวโต๊ะ ดวงหน้าเป็นแม่พิมพ์แบบลูกสาวคนโตมาอย่างกับแกะ ต่างจากลูกสาวคนกลางที่มีหน้าและหุ่นสูงใหญ่คล้ายสามีอยู่หลายส่วน แต่พอพูดถึงลูกสาวคนเล็ก ทั้งลักษณะทางกายภาพ และนิสัยต่างไม่เหมือนทั้งพ่อและแม่เลยสักกระผีกเดียว
สัมปันนีไหวไหล่ หยิบช้อนตักข้าวอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ว่าเธอจะรีบเร่งในการไปทำงานแต่เช้าเพื่ออะไร เมื่อนึกถึงระยะเวลากว่าสามปีที่ได้ทำงานอยู่ในบริษัทส่งออกกล้วยไม้รายใหญ่ของประเทศ นวีนคือคู่หูคู่ทำงานที่ดีที่สุดของเธอ เพื่อนคนนี้จะคอยห่วงใย ถามไถ่ ช่วยเหลือเธอโดยไม่สนว่าใครจะแซว หรือว่าอย่างไร รอยยิ้มของเขาค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในหัวใจของเธอ และการมีเขาอยู่ทำให้ชีวิตของเธอเคยชิน จนลืมไปว่าสักวันความเคยชินอันไม่จีรังนี้จะหมดลงไป
“สายสักวันคงไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“แปลก” บุหลันหลุดวิจารณ์ออกมาเสียงเบา ใช้สายตาว่างเปล่ามองสำรวจพี่สาวคนกลางอย่างถ้วนถี่ “อกหักเหรอ”
“เปล่า!” สัมปันนีผุดลุกขึ้น วางช้อนลืมมารยาท ถ้าเธอยั้งมือไม่ทันมือของเธออาจเผลอตบเสียงดังลงบนโต๊ะไปอีกที ใครใช้ให้น้องสาวหน้าตายมองเธอทะลุไปถึงหัวใจขนาดนี้ “เดี๋ยวหารถไปทำงานลำบาก หนูไปก่อนนะคะ”
เสียงหัวเราะ และบทวิเคราะห์เกี่ยวกับเธอจากคนในครอบครัวทำให้สัมปันนีกัดฟันกรอด หน้าร้อนผ่าว นึกโกรธตัวเองที่ไม่เคยเก็บซ่อนความรู้สึกในใจได้เลย ใครต่อใครถึงได้มองออก และอ่านความรู้สึกของเธอออกกันหมด เว้นแต่...เขา ผู้ชายที่วางเธอไว้ในตำแหน่งของเพื่อน ลงกาวชนิดเหนียวหนึบ จนเธอเขยื้อนสถานะไม่ได้
“รอด้วยค่ะ” รองเท้าผ้าใบเก่าๆ ข้างหนึ่งขวางยื่นประตูลิฟต์ไว้ได้ทันในวินาทีสุดท้ายอย่างน่าหวาดเสียว ก่อนจะทะลึ่งพรวดดันร่างสูงของตัวเอง พร้อมสัมภาระเหล่าแฟ้มหลายสิบแฟ้มในอ้อมแขนตามเข้ามา สัมปันนีหันมายิ้มเผล่ขอโทษหนุ่มสวมสูททางการที่อาจเป็นหนึ่งในลูกค้าของบริษัทอย่างขอโทษในอากัปกิริยาทโมนนี้ “ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะคะ”
“ผู้ชายไปไหนหมด” ผู้ชายหน้าดุเอื้อมมือมาหยิบแฟ้มครึ่งหนึ่งไปถือให้
“นี่เป็นหน้าที่ของดิฉันอยู่แล้วค่ะ ไม่ลำบากอะไรหรอก”
รอยยิ้มไม่ถือสา กอปรเสียงหัวเราะของสัมปันนีไม่มีรอยยิ้มตอบรับ ตรงกันข้ามคนฟังกลับใช้สีหน้าดุจัดมองตอบกลับมา และยังกราดมองรูปร่างของเธออย่างไร้ความปราณี เขาอยากจะด่าว่าหุ่นเก้งก้างอย่างเธอไม่เหมาะมาถือของเหล่านี้หรือเปล่า สัมปันนีเลิกสนใจเขา และเบี่ยงสายตามองหมายเลขชั้นที่จะไป จึงพบว่าชั้น 37 ถูกกดอยู่ก่อนแล้ว อีกครั้งที่สัมปันนีต้องหันมาสนใจผู้ชายน้ำใจงามคนเดิมอีกครั้ง
“เป็นลูกค้าของกล้วยไม้ดิเรกเหรอคะ” หน้าที่อย่างหนึ่งของพนักงานทุกคนในบริษัทกล้วยไม้ดิเรกคือการต้อนรับขับสู้บรรดาคู่ค้าของบริษัทให้ดีเยี่ยมที่สุดไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหน
“คุณคือพนักงานที่กล้วยไม้ดิเรกใช่ไหม” ดรัลไม่ตอบแต่กลับถามคำถามอีกฝ่ายกลับแทน
“ค่ะ ดิฉันอยู่ฝ่ายการเงิน มีอะไรให้ช่วยเหลือคุณสามารถเรียกหาดิฉันได้ค่ะ ไม่มีอะไรที่คนอย่างดิฉันทำไม่ได้” สัมปันนียิ้มอย่างมั่นใจ ส้วมตัน กระเบื้องหลุด หลอดไฟเสีย ทิ้งขยะ ถ่ายเอกสาร ซ่อมคอมพิวเตอร์ หลากหลายหน้าที่ที่ที่นี่สอนให้เธอทำเป็น
“มั่นใจจังเลยนะ”
“มนุษย์เราทุกคนเรียนรู้ได้ทุกสิ่งค่ะ สิ่งไหนที่ทำไม่ได้ก็เท่ากับเรายังพยายามเรียนรู้ไม่มากพอ...จริงไหมคะ”
ดรัลจ้องหน้าคนตอบคำถามเขาอย่างจริงจัง สีหน้าคนพูดไม่ได้รู้สึกถึงวาจากระทบกระเทียบของเขาเลย จนเขาไปต่อไม่ถูก ทำได้เพียงคืนแฟ้มในอ้อมแขนคืนให้เมื่อลิฟต์เดินทางมาถึงที่หมาย
“ไม่มาด้วยกันเหรอคะ” สัมปันนีชะโงกหน้าจากกองแฟ้มสูงในมือมาถาม
“ผมกดผิดชั้น” ชายหนุ่มกดหมายเลขชั้นที่อยู่สูงขึ้นไปห้าชั้น หน้าตาเรียบเฉย
คนแบกเอกสารเดินออกมานอกลิฟต์ กล่าวขอบคุณเขาก่อนประตูลิฟต์จะปิด “ขอบคุณความกรุณาของคุณมากค่ะ”
หญิงสาวเม้มปากกับการปั้นรอยยิ้มมากมายกลับเข้าที่ เธอโฆษณาสรรพคุณตัวเองไปกี่กระบุงก็ตามแต่ สุดท้ายก็จะถูกเมินเฉยไม่มีใครสนใจเหมือนเดิม รูปลักษณ์แสนธรรมดา ไม่มีแรงดึงดูด เวลาออกงานข้างนอกทุกคนก็พร้อมจะเก็บเธอให้เฝ้าสำนักงานไป บางคนถึงกับเรียกเธอแบบค่อนแคะว่าเหมือนเป็ด...ทำทุกอย่างได้หมด แต่ไม่มีอะไรที่โดดเด่นสักอย่าง ไม่มีเสน่ห์ที่น่าดึงดูดพอ ไม่มีความสามารถที่สูงพอจนจะเลื่อนขั้นต่อไป
“ตั้งเยอะแยะทำไมไม่เรียกเราไปช่วย” เสียงต่อว่าไม่จริงจังดังขึ้นเบื้องหลัง ก่อนที่แฟ้มในมือทั้งหมดจะถูกถ่ายเทไปอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายที่มีส่วนสูงน้อยกว่าเธอสองนิ้ว รอยยิ้มรับอรุณของนวีนทำให้คนมองยิ้มตอบโดยทันที “วันนี้เจ้านายใหม่มาแล้ว เสียดายที่อาลัวยังไม่ได้เจอ”
“เดี๋ยวก็คงได้เจอ ถ้าเจ้านายใหม่พวกเรามีนิสัยไม่ดี ไม่น่าเข้าใกล้”
นวีนส่ายหน้าไม่เห็นด้วย เขารู้ว่าหลายต่อหลายครั้งแล้วที่สัมปันนีกลายเป็นหนังหน้าไฟที่พร้อมรับเรื่องเดือดร้อนจุกจิกภายในบริษัท เวลาเจอปัญหาสิ่งที่ทุกคนนึกถึงคือเรียกให้สัมปันนีไปช่วยแก้ไขให้ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงเพื่อนเขาคนนี้ก็จะรับหน้าไม่มีอิดออด ถ้าเธอจะบ่นไม่พอใจบ้างเขาจะไม่ว่า ตรงกันข้ามเลยสัมปันนียิ้มรับหน้าที่นี้ และยังหัวเราะเสียงดังใส่หน้าทุกคนที่ว่าเธอ
“วันนี้ตอนเที่ยงไปกินอะไรกันดี” คนเดินตามไร้ภาระในมือถามขึ้นอย่างอารมณ์ดี
คนฟังมีสีหน้าอึดอัดเมื่อเลี้ยวเข้ามาภายในห้องที่แบ่งเป็นคอกกั้นซอยเล็กๆ จึงวางไปบนโต๊ะที่มีสัมภาระกองพะเนินมากที่สุด เงยหน้าลำบากใจขึ้นมา “เที่ยงนี้เราไม่ว่าง”
“เย็นล่ะ”
“ยิ่งไม่ว่าง”
คนฟังหน้าเก้อไป ดวงตายิ้มแย้มเลือนหายไป เหลือแค่ริมฝีปากที่ประดับยิ้มให้คนมองไม่รู้สึกว่าได้ทำร้ายจิตใจเธอ “ช่างเถอะน่า คนเราก็มีธุระปะปังกันได้จริงไหม นวีนไม่ต้องคิดมาก” สัมปันนีตบไหล่เล็กของเพื่อนไปทีหนึ่ง จึงหมุนกายนั่งบนเก้าอี้ของตัวเอง เริ่มคัดแยกแฟ้มเพื่อส่งแจกจ่ายไปตามแผนกต่างๆ ที่จริงหน้าที่นี้เป็นของกุหลาบ ผู้ดำรงตำแหน่งเลขานุการของประธานใหญ่ และยังควบตำแหน่งหัวหน้าเอกสาร แต่เพราะว่าท้องแก่ใกล้คลอด ทำให้การทำหน้าที่หนักหนานี้จำต้องพักชั่วคราว เรื่องแบกเอกสารถ่ายงานเธอจึงรับมาดูแลให้ชั่วคราวก่อน
“พรุ่งนี้เราว่างแน่นอน จะไปรับอาลัวที่บ้านด้วย”
มือที่กำลังค้นเอกสารชะงัก ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ รู้สึกว่าเธอมีสิทธิ์อะไรไปช่วงชิงพื้นที่ส่วนตัวของนวีนมากมายขนาดนี้ “นวีน เราว่านายไม่ต้องตีรถไปรับเราตั้งไกลอีกแล้วล่ะ ลำบากนายเปล่าๆ”
“เกิดอะไรขึ้น หรืองอนเรา” นวีนอาศัยพื้นที่ว่างตรงมุมขวาของโต๊ะสัมปันนีนั่งลง เผชิญหน้ากับเพื่อนสนิทที่ร่วมงานกันมานานหลายปี พยายามจ้องตาของอีกฝ่ายที่เอาแต่ก้มหน้าจดจ่อกับงานทำให้เขาไม่รู้ว่าอาการที่เป็นอยู่นี้งอน หรืออยากให้เขาสบายตัวมากขึ้น
“ไม่ได้งอน แต่เรามองถึงความจำเป็นต่างหาก เราว่าเรามาเองสะดวกกว่า เดือนหน้ารถไฟฟ้าก็เปิดสายเพิ่ม ผ่านบ้านเราพอดี สะดวกจะตาย”
“จริงด้วย จากนี้สงสัยไม่ต้องใช้บริการเราแล้วสิ”
อยากใช้ตลอดไปต่างหาก...ถึงรีบห้ามความเคยชินนี้ สัมปันนีผลักร่างของเพื่อนลงจากโต๊ะ ปั้นหน้าขรึมจริงจัง “เราทำงานก่อนนะ”
“ครับ ไม่กวนแล้วครับ” นวีนวางกล่องขนมอาลัวกล่องเล็กเจ้าโปรดของหญิงสาวลงบนโต๊ะ ประกายตาคนได้รับยินดีขึ้นฉับพลัน “ของมาง้อ อย่าทำหน้านิ่งอีกล่ะ” คนรู้จุดอ่อนของสัมปันนีดีหัวเราะเริงร่าจากไป ปล่อยให้คนได้รับขนมอาลัวกอดกล่องกระดาษแนบอก ในใจไพล่ตำหนิเขากรายๆ ที่เขาบังอาจซื้อขนมร้าน ไทย...แท้ ฝากลูกสาวร้าน ไทย...แท้ เสียได้
คงจะหวานกว่าที่เธอเคยกิน สัมปันนียิ้มใส่กล่องสีเขียว อยากจะมั่นใจอีกนิดว่าเรื่องที่เธอกังวลทั้งหมดเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด บางทีอาจเป็นเธอเองที่เลิกสนใจพิธีมากความที่คนชอบเชื่อว่าคนที่บอกรักก่อนต้องเป็นผู้ชาย ทำไมผู้หญิงจะบอกรักก่อนบ้างไม่ได้ นวีนเป็นคนดีออกอย่างนี้ เธอไม่พร้อมเสียเขาไปให้ใคร ตราบใดที่หัวใจของเขายังว่าง
“ขนมไทยพวกนี้อร่อยจัง ใครซื้อมาให้ชมกันล่ะตั้งเยอะแยะ” เสียงล้อของเพื่อนที่เดินเข้ามาใหม่ในห้องทำให้สัมปันนีรีบเก็บกล่องขนมลงในลิ้นชัก ยืดกายชะโงกหน้ามองคนที่ถือขนมไทยหลายชนิดในถุงมาแจกจ่ายเพื่อนในที่ทำงานอย่างใจกว้าง รอยยิ้มเบิกบานของชมนาดได้ดูดรอยยิ้มมีชีวิตชีวาเมื่อครู่ของสัมปันนีไป เสียงหัวใจครึกโครมที่เธอรู้สึกเมื่อครู่ค่อยๆ เต้นช้าลง
เพราะขนมทุกชิ้นนั้นมาจากร้านไทย...แท้ ขอแค่ชมนาดจะถือขนมพวกนี้เข้ามาในวันอื่น เธอจะไม่คิดมาก ไม่ว้าวุ่นใจ แต่วันนี้ วันที่ตอนเช้านวีนไม่ได้อยู่กับเธอ เขากลับมีขนมร้านบ้านเธอมาที่ออฟฟิศพร้อมกัน
“อาลัว เธออยากกินอะไรดี อาลัวไหม มีคนแนะนำฉันว่าร้านนี้อร่อย แล้วยังบอกว่าเป็นร้านโปรดของเธอด้วย” ผู้หญิงผมยาวสลวย แต่งหน้าสวยเนียน ปากแดง กับชุดทำงานที่ดูดีเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน กลายเป็นจุดเปรียบเทียบชัดเจนของสัมปันนี หญิงสาวรู้สึกตัวเองเป็นสีหม่นหมอง และชมนาดคือสีจัดจ้านที่ใครก็ชื่นชม
กล่องขนมอาลัวแบบเดียวกันวางลงบนโต๊ะสัมปันนีอีกครั้ง หญิงสาวมองมันอย่างเหม่อลอย ลืมมารยาทที่ต้องกล่าวขอบคุณไปหมด สิ่งนี้ตอกย้ำว่านวีนกำลังเผื่อแผ่พื้นที่ในหัวใจให้กับใครอื่น ที่ไม่ใช่เพื่อนสนิทอย่างเธอ
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของนวีน แต่เป็นเธอเองที่ไม่รู้จักควบคุมหัวใจให้ดี
ดาดฟ้า สถานที่เงียบๆ ที่ครั้งหนึ่งนวีนเป็นคนหามันไว้เพื่อเธอ ไว้หลบบรรดาพี่ๆ ในสำนักงานที่คอยตามจิกให้เธอไปทำงานอื่นมากมายเกินกำลังจนไม่มีเวลาหาข้าวเที่ยงใส่ท้อง สัมปันนีหยิบอาลัวฝีมือแม่ตัวเองเข้าปากทานเป็นมื้อเที่ยง รสชาตินุ่มหวานกรอบนอกหอมกลิ่นเทียนทำให้เธอซึ้งจนขอบตามีน้ำตาซึม
ร่มสดใสที่นวีนหามากันแดดยามเที่ยงยังทำหน้าของมันได้ดี แต่เธอก็ยังระคายตาจนปล่อยให้น้ำตาหยดแรกร่วงลงมา หญิงสาวยกมือปาดน้ำตาออกไปทันทีที่รู้ตัว สูดจมูกเสียงดังฟืดเรียกสติที่มักเหม่อลอยให้กลับเข้าที่เข้าทาง ไม่ต้องจินตนาการไปไกลว่าในเวลานี้นวีนกับชมนาดจะกำลังไปทานข้าวกันอยู่ที่ไหน และนวีนจะรู้สึกปลอดโปร่งเพียงใดที่ไม่มีเธอไปเป็นก้าง
“อาลัวอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ” น้ำเสียงเบื่อหน่ายดังขึ้นขัดอารมณ์เศร้าของสัมปันนี หญิงสาวหันไปมองร่างสูงคนเดียวกันกับที่พบในลิฟต์ที่เดินออกมาจากมุมดาดฟ้าอีกฝั่ง ดูท่าเขาคงมาถึงก่อนเธอ แต่เธอกลับไม่ทันสังเกต
“ลองชิมดูไหมคะ อร่อยมาก”
“ไม่ล่ะ กลัวทำให้คุณร้องไห้เพราะถูกแย่งขนม”
สัมปันนีสะอึก ถึงรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจเสียดสีชีวิตเธอ แต่ในยามนี้ที่เธอจวนจะเสียเพื่อนสนิทไปให้เขามีชีวิตคู่ เธอกลับรู้สึกถูกแย่งขนมชิ้นโปรดไปจริงๆ เธอยังไม่พร้อม และยังไม่ทันปรับหัวใจที่มันถลำลึกกลับคืนมาเลย นวีนยังไม่ได้ลองพิจารณาเธอเป็นหนึ่งในตัวเลือกของเขา เธอยังไม่ได้พยายามสะกิดเตือนความรู้สึกให้เขารู้ว่าเธอคิดกับเขาอย่างไร
เขาไม่เคยรู้...ในขณะที่ใครๆ ต่างก็รู้
“ดูจากความบึกบึน ทนทายาดของคุณ ไม่น่ามีโหมดอ่อนไหวกับเขาเลยนะ” ดรัลถือวิสาสะมาหลบร้อนใต้ร่มคันใหญ่
คนถูกวิจารณ์ไม่ถือสาหาความนั้น กลับหัวเราะเสียงดังออกมาถูกใจ ใครๆ ก็มองว่าเธอเป็นเช่นนั้น บึกบึน แข็งแรง และแข็งแกร่ง ไม่ว่าสิ่งใดก็ทำร้ายจิตใจเธอไม่ได้ แต่เธอกลับมาตกม้าตายเอาง่ายๆ ด้วยเรื่องของเพื่อนสนิท คนที่คอยกางปีกปกป้องเธอ ไม่ก็รับภาระงาน เหนื่อยไปด้วยกันเสมอ เขานั่นล่ะ...สาเหตุของความอ่อนไหว
“คุณเคยชอบใครไหม” เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่น่าจะพบกันอีกง่ายๆ สัมปันนีจึงลดเกราะตัวเองลง
“ไม่เคยคิดเสียเวลา” ดรัลตอบชัดเจน
“คุณควรจะลองชอบใครสักคนดูนะ จะได้เรียนรู้ถึงความสุข เศร้า เหงา และทรมานใจ”
“ทุกข์มากกว่าสุข มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะจมปลักอยู่กับมัน”
สัมปันนีเม้มปากแน่น “มีแต่ตอไม้ที่ไร้ความรู้สึกค่ะ ความรัก ความชอบ ทำให้คนเราอ่อนโยนขึ้น ถึงมันจะทุกข์มาก แต่เวลาสุขที่ดิฉันมีก็มากพอ สิ่งเดียวที่ดิฉันแก้ไม่ได้คือความคับแคบของใจดิฉัน ทั้งที่ยังไม่มีสิทธิ์ไปครอบครองเขา หัวใจของดิฉันก็ทนไม่ได้ที่เห็นเขาไปรักคนอื่น เขายังไม่มีโอกาสรู้เลยว่าดิฉันรักเขา”
“พิลึกคน” ดรัลมองคนมีปัญหาช้ำรัก แล้วออกปากวิจารณ์ “ไม่คิดจะเปลี่ยนการแต่งตัว ทำผม แต่งหน้าให้มันดีขึ้นกว่านี้หรือไง”
“ดิฉันไม่ชอบแต่งตัวเพื่อเอาใจใคร ถ้าคนๆ หนึ่งจะรักใครสักคนเพราะสวย ดิฉันว่าผู้ชายคนนั้นคงไม่เหมาะกับดิฉัน”
“เขาอาจชอบ...”
“อย่าดูถูกนวีนนะคะ!” สัมปันนีลุกพรวดจากม้านั่งยาวอย่างทนไม่ไหว เธอรู้จักนวีนดีพอจนรู้ว่าเขาไม่มีทางปุบปับจะมารักเธอเพราะเธอสวยขึ้นเด็ดขาด นวีนคบเธออย่างบริสุทธิ์ใจมาตลอด เขาเป็นคนดีที่ไม่ควรถูกคนแปลกหน้าคนหนึ่งมองเขาไปในแง่ร้าย
ดรัลหัวเราะไม่เห็นด้วย เขากลับนั่งไขว่ห้างสบายบนเก้าอี้ยาวประจำของอีกฝ่าย การขึ้นมาสูบบุหรี่แก้เบื่อในยามนี้ทำให้เขาพบเจอบุคคลประหลาดเข้าอย่างจังจริงๆ
“ดิฉันขอตัวค่ะ”
“แล้วเจอกันใหม่”
“ใครอยากเจอ...” สัมปันนีบ่นอุบ แต่เกือบสะดุดหน้าทิ่มเพราะคำสวนกลับมาของอีกฝ่าย
“ผมได้ยินนะ”
.................................
ไม่มีอะไรมากนอกจากสารภาพว่านักดองแห่งชาติหาเรื่องดองเรื่องใหม่(อีกแล้ว) อารมณ์งานราษฎร์ขาดช่วงอยู่บ่อยครั้งเพราะโดนเวลางานหลวงแทรก ส่วนเรื่องนี้ที่ขุดมาเขียนได้เพราะกำลังอินความรู้สึกที่ใกล้เคียงกัน อิอิ อยากตั้งชื่อตัวละครเป็นชื่อขนมไทยค่ะ หลังจากเห็นเพื่อนที่เรียนทำอาหารโพสต์ภาพขนมไทยอย่างอลังการ และชื่อก็เพราะๆ ทั้งนั้น เลยปิ๊งไอเดียขึ้นมา (ขนมอีกแล้ว) แต่เกี่ยวกับขนมน้อยมากค่ะ เหตุเกิดเพราะชอบชื่อ ฝากด้วยนะคะ ติชมกันได้ค่ะ
ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.ค. 2558, 00:13:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.ค. 2558, 00:13:21 น.
จำนวนการเข้าชม : 1697
บทที่ 2 : เก็บหัวใจไว้ในที่ที่ปลอดภัย >> |