อาลัว...กลัวรัก
รักแรก ทำให้หัวใจของอาลัวเต็มไปด้วยความสุขและเศร้า
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
Tags: อาลัว ดรัล นวีน ชมนาด

ตอน: บทที่ 2 : เก็บหัวใจไว้ในที่ที่ปลอดภัย

สัมปันนีจ่ายเงินให้กับมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่เธอยอมลงจากรถแท็กซี่มาขึ้น หลังจากพบรถบรอนซ์เงินจอดอยู่ด้านหน้า เธอจึงรีบมาดักรออยู่ที่ทำงาน เก็บความเศร้าและหงอยไว้ในใจเงียบๆ เธอสงสัยมาตลอดว่าทุกเช้าที่นวีนมารับเธอไม่ได้จะมีเหตุผลนี้ แต่ไม่เคยยอมรับความจริงได้สักที

รถบรอนซ์เงินที่เธอขึ้นมาหลายปีจอดหน้าที่ทำงาน ให้ชมนาดลงมาก่อน รถจึงวนไปจอดที่จอด ใบหน้าของชมนาดมีแววไม่พอใจอยู่ ท่าทางหงุดหงิดอะไรมา กระทั่งเข้าไปภายในอาคารสูงที่มีออฟฟิศอยู่ ภาพที่เห็นตอบทุกความสงสัยของสัมปันนีได้ดี และทิ้งหนองเน่าไว้เมื่อเธอรู้ว่าเรื่องสำคัญขนาดนี้นวีนกลับไม่ยอมบอกเธอ

“มาถึงนานหรือยัง” นวีนมีสีหน้าตกใจหลังจากเห็นสัมปันนีโผล่ออกมาจากตัวตึก

ใบหน้าตื่นตะลึง และอาการไม่อยากให้เธอรู้ความลับของนวีนทำให้หญิงสาวกลืนรสชาติขมปร่านี้ไว้ในปาก ไม่อยากไปขุดคุ้ยในสิ่งที่เขาไม่อยากให้รู้ เธอต้องคุ้ยรอยยิ้มออกมารับศึกหนักแทนอาการอยากร้องไห้เต็มแก่

“เพิ่งมาถึง กำลังลงมาคอยว่าเมื่อไหร่นายจะมาไง”

นวีนมีสีหน้าโล่งอก รอยยิ้มเดิมๆ ที่เขาเคยใช้สั่นคลอนจิตใจประดับบนหน้าเขา แต่ครั้งนี้ดวงตาของเธอกับพร่าไปด้วยหยาดน้ำ เธอมองหน้าเขาแล้วรู้สึกเจ็บปวดกว่าทุกครั้ง อยากจะถามนวีนเป็นร้อยๆ ครั้งว่าทำไมจึงต้องปิด และทำตัวเหมือนไม่มีใคร ทำไมถึงไม่แสดงอะไรออกมาให้ชัดเจน ให้เธอรู้ และเตรียมใจแต่เนิ่นๆ ยังจะทำเหมือนเธอเป็นเพื่อนคนสำคัญที่เขาต้องใส่ใจไปเพื่ออะไร

“กินอะไรหรือยัง”

“กินมานิดหน่อยแล้ว”

“แต่เรายังหิวอยู่เลย ไปกินอะไรเป็นเพื่อนหน่อยสิ” นวีนโอบรอบคอเพื่อนสนิทไปอย่างเป็นธรรมชาติ มีแต่คนถูกโอบที่เกิดความไม่สบายใจคับอก เธอรู้สึกว่านวีนทำไม่ถูกต้อง ยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่ เรื่องสำคัญอย่างการที่เขาคบใครยิ่งจำเป็นต้องบอกกล่าวให้ทราบกัน ชมนาดใช่คนไกลที่ไหน

“พวกเราเป็นเพื่อนกันมานานแล้วเนอะ” รอจนนวีนหยิบเกาเหลามาวางบนโต๊ะเรียบร้อยสัมปันนีจึงพูดออกไป

“สามปีพอดี”

“เราเป็นเพื่อนสนิทกันใช่ไหม”

นวีนมองคนถามอย่างค้นคว้า เอื้อมมือมายีศีรษะบ็อบตีผมให้ยุ่ง ตบท้ายด้วยการดีดหน้าผากยับย่นของสัมปันนีที่เห็นแล้วไม่สบายใจ “ไม่สนิทคงเล่นหัวเล่นหน้าไม่ได้”

“นั่นสินะ”

สัมปันนีตอบรับอย่างเหม่อลอย หลุบตาซ่อนความผิดหวังไว้

“เป็นอะไร ใครทำอาลัวไม่สบายใจ บอกเรานี่ เดี๋ยวแล่นไปจัดการให้”

“แน่ใจ”

“บอกมา”

หญิงสาวยิ้มตาหยี ลบเลือนความไม่สบายใจชั่วคราวทิ้งไป เธอรู้สึกเป็นกันเอง และมีนวีนที่เธอรู้จักอยู่เบื้องหน้าแล้ว ยังไม่อยากเสียเขาไป ไม่ว่าเบื้องหลังเขาจะมีใคร แต่ในฐานะเพื่อน สำหรับเขาเธอยังเป็นได้ถึงเพื่อนสนิท

“หิว...ขอแจมด้วยได้ไหม” แย่งส้อมในจานข้าวของนวีนมีจิ้มตับในชามเกาเหลา เคี้ยวทานตาเป็นประกาย มีนวีนใช้ช้อนตักแย่งชิงไส้อ่อน และเป็นสงครามเกาเหลาย่อมๆ ที่มีเสียงหัวเราะของเพื่อนซี้ดังขึ้น เป็นช่วงเวลาสบายใจที่พวกเขาร่วมมีต่อกันในทุกวันเป็นเวลาหลายปี

และเป็นภาพที่ดรัลเห็นแล้วได้แต่มองอย่างสงบตรงกรอบประตูห้องอาหาร เขาพอจะเข้าใจคำว่า ‘ถึงมันจะทุกข์มาก แต่เวลาสุขที่ดิฉันมีก็มากพอ’ ที่ผู้หญิงคนนั้นเคยพูดถึง เพราะทั้งเสียงหัวเราะที่ดังลั่น ประกายตาสดใส ทุกอย่างเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างที่ว่าไว้จริง



ประตูลิฟต์เปิดออก เสียงหัวเราะคุยเล่น มีของสัมปันนีที่ล็อกคอของนวีนอยู่ก็ถึงคราวตกลงข้างตัว นวีนทำท่าบ่นอุบ หลบตาขณะเดินออกไป มีสายตาของคนที่รอลิฟต์อยู่ก่อนส่งประกายไม่พอใจไล่ตามมา

“จะออกมาไหม” ชมนาดถามเสียงห้วน

สัมปันนีได้สติ แผ่นหลังร้อนผ่าว รู้สึกว่าการละเล่นของเธอกับนวีนกำลังกลายเป็นสิ่งต้องห้ามที่ทำไม่ได้อีกต่อไป

“ที่นี่คือที่ทำงาน จะทำอะไรก็หัดเกรงใจสถานที่บ้าง”

ร่างสูงตั้งใจหมุนกายกลับไปแก้ไขข้อเข้าใจผิด แต่ประตูลิฟต์กลับปิดและพาร่างของชมนาดลับไปแล้ว หญิงสาวกลืนความคับข้องในใจเก็บเข้าที่

เวลานี้ความรักของเธอมีแต่ความเป็นไปไม่ได้...เจ้าแม่คุมนวีนโหดจนเธอเองยังต้องหวั่นเกรงให้

มาก่อนเป็นแค่เพื่อน สู้มาทีหลังที่เป็นทั้งแฟน และแม่ไว้คุมไม่ได้หรอก สัมปันนีเดินเข้ามาในห้องเจอหน้าหงอยๆ ของนวีนก็พอเข้าใจ สิ่งเดียวที่เธอยังไม่เข้าใจก็คือ...เมื่อไหร่คนคู่นี้จะเปิดตัวสักที

“ชมดุเนอะ”

“เขาไม่กระโดดกัดอาลัวใช่ไหม”

“ต่อให้กัดจริงก็ไม่ต้องกลัว เราฉีดยากันแล้ว” สัมปันนีชูนิ้วโป้งบอกให้เพื่อนสนิทคลายใจ แสร้งทำท่าปกติไม่สงสัยในความสัมพันธ์ของนวีน อย่างน้อยการแกล้งโง่ก็ทำให้เธอรักษานวีนคนที่มองเธอเป็นเพื่อนสนิท และนึกถึงเธอเป็นคนแรกไว้ได้เสมอ แม้ว่านั่นจะเท่ากับว่าเธอกำลังหลอกตัวเอง...เธอก็พร้อมยอมรับ

“อาลัว คือ...”

“ไปทำงานกันดีกว่า”

เพียงนวีนอ้าปาก เธอก็พอจะรู้ว่าเขาจะพูดอะไร หญิงสาวกำมือแน่น ในใจประท้วงรอนๆ ว่าเธอจะไม่มีวันหนีความจริงของนวีนได้พ้น...ตราบใดที่หูยังไม่ได้ยิน ภาพตรงหน้าตำตาอย่างไรเธอก็จะโง่ต่อไป



เพื่อน...ไม่ใช่แฟน

สัมปันนีมองออฟฟิศอันเงียบเหงาร้างคนอย่างเศร้าใจ บัญชีที่เธอยังจัดการไม่เสร็จทำให้ต้องล่วงเวลางานออกมาจนค่ำมืดดึกดื่น หญิงสาวต้องโกหกนวีนว่าใกล้เสร็จแล้ว จึงจะอีกฝ่ายกลับไป(ส่งแฟน)ได้ ถ้าเป็นนวีนเมื่อก่อนเขามักจะอยู่เฝ้า และช่วยเธอเคลียร์งานจนกว่าจะเสร็จ มีเสบียงพร้อมสรรพที่เขาลงไปหามาให้เธอไม่ต้องทนหิวจนท้องกิ่วแบบนี้

คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นขึ้นหญิงสาวก็น้ำตาริน ปิดแฟ้มงานที่สะสางจนเสร็จอย่างทรมาน ได้แต่ฟุบหน้าลงไปบนกองแฟ้ม หลายครั้งที่เธอหลับตาภาวนาจะดีแค่ไหนถ้ามนุษย์เราย้อนเวลาได้ เธออยากกลับไปแก้ไข และทำให้นวีนหลงรักเธอ

เวลานี้นวีนไม่ได้อยู่ไกลจากเธอ แต่เธอกลับคิดถึงเขามากกว่าตลอดสามปีที่อยู่ใกล้กัน เพราะเธอกำลังสูญเสียเขาไป ทั้งที่ไม่เคยเป็นแฟนกันมาก่อน

ห้องของผู้บริหารยังมีไฟส่องสว่างอยู่ สัมปันนีนึกทึ่งกับผู้จัดการคนใหม่ที่เข้ามารับงานต่อชายแก่วัยเกษียณคนเดิม ลุงดิเรก เป็นผู้จัดการที่เป็นกันเอง และให้ทุกคนในองค์กรรักกันเหมือนพี่น้อง เป็นคนติดดิน ไม่ถือตัว เธอยังอาลัยอาวรณ์ลุงดิเรก ตอนที่เขาบอกว่าจะขอไปดูแลสวนกล้วยไม้ที่ต่างจังหวัด และยกงานบริหารในออฟฟิศทั้งหมดให้เจ้าลูกชายที่วันๆ เอาแต่แยกเขี้ยวทำหน้ายักษ์ใส่คนงานในสวนกล้วยไม้

น่าแปลกที่เธอยังไม่เคยพบเขา และไม่มีใครคิดแนะนำเขาให้เธอรู้จัก ทุกคนในบริษัทมักนึกถึงเธอเป็นคนสุดท้าย เป็นตัวแถมที่จะมีหรือไม่ก็ได้ เพราะสามวันก่อนเธอมาสายจึงพลาดที่จะพบเขา หลายช่วงเวลาที่เธอและเขาสวนกันไปมา ทุกวันที่เธอเลิกงานก่อน เจ้านายก็ยังนั่งทำงานอยู่ในห้องจนถึงมืดค่ำเสมอ

...หรือเธอจะแอบดูหน้าเขาตอนนี้ดี

เสียงประหลาดดังขึ้นในความเงียบ คล้ายเสียงผู้ชายกำลังร้องครวญทำให้ขนคอสัมปันนีลุกชัน ตาเบิกโตด้วยความตระหนก พร้อมจ้องไปยังห้องที่มาของเสียง ในหัวจินตนาการไปว่าบอสคนใหม่นั้นจะมีรสนิยมทางเพศเช่นไร

แสงไฟในคอกเล็กๆ ของเธอดับลง ความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองชนะเลิศ สัมปันนีเก็บของเงียบเชียบ ค่อยๆ ย่องผ่านคอกทำงานของคนอื่นไปยังสุดทางที่เป็นห้องของผู้จัดการ เงาของกระจกทำให้เธอเห็นเงาของผู้ชายสองคนวูบไหวอยู่ในห้อง และหนึ่งในนั้นส่งเสียงแหลมเล็กประหลาดออกมา ร่างสูงกว่าของผู้ชายเสื้อเทาหันหลังให้กับบานประตู นั่งอยู่บนพื้น ตรงพอดีกับช่วงหว่างขาของหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้ม ตามคำเรียกว่าหนุ่มหน้าสวย

มือขาวยกขึ้นปิดปาก กลัวตัวเองจะหลุดเสียงร้องตกใจออกไปให้ไก่ตื่น ได้แต่รวบรวมร่างของตัวเองออกมา หน้าตาเห่อร้อน ไม่คิดสานต่อว่าคนในห้องทั้งสองคนกำลังทำอะไรกันอยู่ต่อ เท่านี้สติของเธอก็เตลิดด้วยภาพสุดสยิวกิ้วนั่นแล้ว ขนาดชุดของพวกเขาครบถ้วน แต่เสียงร้องนั่น... สัมปันนีตบแก้มร้อนแดงก่ำของตัวเอง นึกดีใจที่สติของเธอแกร่งพอจนเดินมาถึงลิฟต์ได้ และคนในห้องพวกนั้นจับไม่ได้ว่าเธอเป็นผู้รู้เห็นในงานนี้

“เรื่องของเจ้านาย จะเลือกทำที่ไหน เมื่อไหร่ เขาจะแคร์ทำไม” หญิงสาวตะเบ๊ะใส่ห้องของเจ้านาย หน้าตาเสียดาย “บ๊ายบายผู้ชายสองคนบนโลก”

...ว่าแต่ระหว่างหนุ่มหน้าสวย กับหนุ่มนั่งตรงหว่างขา ใครคือเจ้านายของเธอล่ะ สัมปันนีส่ายหน้าขับไล่ภาพนั้น และสั่งตัวเองให้เลิกคิด!



ภาพยนตร์ดังที่กล่าวถึงเพื่อนแอบรักเพื่อนทิ่มตาทิ่มใจคนดูเข้าอย่างจัง สัมปันนีมองหน้าคนเปิดภาพยนตร์เรื่องนี้ดูอย่างหมั่นไส้ บุหลันจ้องดูเรื่องราวของเรื่องนี้โดยน้ำตาไม่กระเด็นสักหยด แววตานิ่งไม่สั่นคลอนเฉกเช่นเธอ ที่ได้แต่หยิบกระดาษทิชชู่ม้วนที่สองออกมาซับน้ำตา

“ทำไมไม่คู่กับอีกคน”

“ให้ไปถามคนเขียนบท” ศิลปินหญิงตอบเสียงเนือย ถึงฉากที่ตัวเอกในเรื่องเลือกอยู่กับปัจจุบัน และปล่อยให้ความรักในอดีตของเพื่อนอยู่ในความทรงจำเท่านั้น

“ถ้าเป็นดั้นจะเลือกแบบไหน”

บุหลันกลับมาสนใจพี่สาวที่ห่างจากตัวเองไม่ถึงปี แต่นิสัยขี้แยอย่างกับเด็กเล็ก ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่เลือกใครเลยสักคน”

“ถ้าต้องเลือกล่ะ” สัมปันนีคาดคั้นไม่ยอมให้คำตอบของเรื่องครั้งนี้บิดพลิ้วง่ายๆ

“เลือกหัวใจตัวเองสิ ถ้าวัดจากความสุขไม่ได้ ก็ให้วัดว่าอยู่กับใครมันทุกข์น้อยกว่า”

วิธีวิเคราะห์ในสมองนักเขียนสาวทำให้คนฟังชะงัก หญิงสาวถอนหายใจเฮือกยาวอย่างเศร้าซึม เวลานี้ชีวิตของเธอมีแต่นวีน ผู้ชายคนเดียวที่ไม่รู้ว่าเธอจะเอาเขาไปเปรียบกับใครหน้าไหน จึงรู้สึกแค่สุขที่มากมาย และทุกข์ที่มากกว่า ความสุขที่คล้ายฝัน แต่เป็นฝันที่ต้องตื่น

“ไม่มีความสุขเหรอ” บุหลันถามด้วยน้ำเสียงโทนเดียว ดวงตาจ้องพี่สาวหน้าแว่นอย่างอยากรู้ “เล่าให้ฟังได้นะ”

“เธอจะเอาชีวิตฉันไปเขียนเป็นนิยายน่ะสิ”

“เบื่อคนรู้ทัน” ร่างเล็กบอบบางชันเข่าขึ้นมากอด และจ้องจอทีวีต่อไป รำพึงออกมาคล้ายเหลืออีกทางหนึ่งที่เธอลืมบอกพี่สาว “ถ้าไม่มีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ ทำไมไม่ลองถอยออกมาสักก้าวหนึ่ง เอาหัวใจไปเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัยก่อน”

“พล็อตใหม่เธอหรือไง”

บุหลันส่งเสียงหึ “แยกหัวใจออกจากร่าง เป็นพล็อตสยองขวัญที่น่าสนใจไม่เบา” ว่าจบก็หยิบสมุดบนโต๊ะพร้อมดินสอขึ้นมาขีดเขียนเรื่องราวในหัวลงไป และกีดกันสัมปันนีให้ออกจากโลกของตัวเอง

...เธอควรทำใจกับอาการผีเข้าผีออกของน้องได้แล้ว

การเก็บหัวใจไว้ในที่ที่ปลอดภัย จะทำให้เธอมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงๆ เหรอ สัมปันนีไม่ได้ทิ้งหนทางที่จะทำให้หัวใจเธอแข็งแรงขึ้นไปสักทาง



ดรัลมองเห็นร่างสูงเด่น กับเสื้อเชิ้ตหลวมโครกแต่ไกลแล้ว แต่ไม่ทันคิดว่าอีกฝ่ายจะเดินถือจานข้าวมานั่งตรงข้ามเขา แทนที่จะเป็นพื้นที่ว่างข้างกายของนวีนที่มีสีหน้าเก้อทันทีที่ถูกเมินใส่ ชายหนุ่มลอบประเมินความคิดของสัมปันนีเงียบๆ

“เจอกันอีกแล้ว” หญิงสาวเอ่ยทักเพื่อนใหม่ที่เธอเจอเป็นครั้งที่สามด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร นึกถึงความลับที่หลุดเล่าให้เขาฟังไปแล้วทำให้เธอกังวลจนต้องวิ่งแจ้นมาดักเขาตรงนี้ “คุณทำงานที่ตึกนี้เหรอ”

“ใช่”

“ชั้นไหนล่ะคะ” สัมปันนีเหล่มองนวีนที่มีบ้างที่เหลือบมองมาทางนี้ แต่ไม่ได้ลุกมาหาเธออย่างที่นึกกังวล

“คุณลองเดาสิ” ดรัลเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของอีกฝ่ายก็พอเดาออก เธอคงอยากมาปิดปากเขาห้ามพูดความลับที่แอบรักเพื่อนร่วมงานหลุดไป

“ฉันไม่มีเวลามาเล่นเดาเลขกับคุณนะคะ” หญิงสาวลดความเป็นทางการอย่างที่เคยใช้ลงอย่างไม่รู้ตัว

“เขาอยู่ที่นี่ใช่ไหม”

สัมปันนีกัดปากแน่น สายตาขอความเมตตามาที่เขาทันที “คุณรู้เหรอคะ”

“คนข้างหลังคุณสามนาฬิกา สวมเสื้อสีฟ้าอ่อน”

เป๊ะ...หญิงสาวกรีดร้องในใจ ไม่คิดว่าเขาที่เธอไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้ประวัติของเขาเลยสักนิดกลับอ่านท่าทาง และรู้ถึงคนที่เธอกล่าวถึง เธอโง่ไม่รู้จักปิดบังท่าทาง หรือเขาฉลาดเกินคนกันแน่

“นั่นแหละค่ะ คุณอย่าแฉความลับฉันเด็ดขาด”

“ทำไมถึงคิดว่าผมจะแฉคุณ ผมไม่ได้รู้จักคุณมากมายนักนี่” ดรัลตักข้าวมันไก่ทานไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ตรงข้ามกับคนเบื้องหน้าเขาที่ทำท่าตัวสั่น เดี๋ยวเหลียวหลัง สักพักก็มองหน้าเขา ไม่มีความมั่นใจหลงเหลือ “ผมจะได้อะไรกับการเก็บความลับคุณล่ะ”

“ห้าพัน” สัมปันนีชูมือห้านิ้วใจป้ำ

“ถ้าเงินหมด ผมก็มาขอเพิ่มได้ใช่ไหม”

“คุณ!” สัมปันนีมองคนบีบเธอไปในกำมืออย่างเคืองแค้น

“เวลาจะต่อรองอะไรกับใคร อย่าใช้เงิน นอกจากคุณจะเสียเปล่า คุณยังวัดไม่ได้ด้วยว่าคนๆ นั้นโลภมากหรือน้อย” ดรัลถือโอกาสสอนคนที่ไม่รู้เรื่องราวให้ฉลาดขึ้นมาบ้าง “ทางที่ดีคุณควรจะบอกความลับในใจคุณให้คนๆ นั้นรู้ไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว”

“ฉันไม่ได้มีความกล้าขนาดนั้น แล้วตอนนี้เขาเองกำลังจะมีความรักที่ดีที่เขาเลือกเอง ฉันทำลายไม่ลงหรอกค่ะ เป็นเพื่อนกันต่อไป น่าจะสบายใจกว่า”

“สบายใจเขา แต่ไม่ได้สบายใจคุณ”

สีหน้ากลัดกลุ้ม ทุกข์ใจของสัมปันนีทำให้เขารู้ซึ้งว่าการมีความรักถือเป็นเรื่องโง่และเสียเวลาขนาดไหน นอกจากทุกข์ใจกับการเห็นเขาไปรักคนอื่น ยังต้องมานั่งระแวงกลัวความลับในใจแตกอีก

“คุณเห็นแก่ตัวบ้างไม่เป็นหรือไง”

“ถ้าคุณรักใครสักคน คุณจะรู้ว่าการที่เราอยากเห็นเขามีความสุข มันสำคัญกว่าความสุขของตัวเอง ถึงฉันจะทุกข์ จะทรมานใจก็ช่างสิ ขอแค่เขายังยิ้มได้ มีความสุข และฉันไม่ไปเป็นภาระ หรืออุปสรรคในความรักเขา...ฉันยินดี”

“พวกบูชาความรัก” ดรัลใช้สายตาเย็นชามองตอบสัมปันนีแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มลงทานอาหารต่อ

สัมปันนีอยากจะเร่งเอาคำสัญญาว่าเขาจะไม่แพร่งพรายความรักของเธอออกไป ต่อให้เขาด่าว่าว่าเธอเป็นคนประเภทงมงาย โง่เง่า ไร้สมองในเรื่องนี้ เธอจะก้มหน้ารับทุกสิ่งอย่างไว้ ขอแค่เขารับปากว่าจะช่วยเธอ

เมื่อถูกสายตากดดันอีกรอบ หญิงสาวจึงจำต้องตักข้าวราดแกงในจานตัวเองเข้าปากไปเงียบๆ มีหลายครั้งที่ส่งสายตาอ้อนวอนขอให้เขาทบทวนข้อเสนอข้องเธอ แต่ก็สูญเปล่าจนเขาอิ่ม และเธอวางช้อน เขาจึงพูดสิ่งที่เธอต้องคิดให้ดีก่อนตอบออกมา

“แล้วคุณจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองยังไง คาราคาซังอย่างนี้?” ดรัลไม่คิดว่าตัวเองจะทำตัวยุ่งเรื่องชาวบ้านจนได้ แต่เขาอยากเห็นว่าผู้หญิงซื่อๆ คนหนึ่งนี้จะฉลาดพอที่เขาจะยื่นมือยุ่งไหม

“เอาหัวใจไปเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัยก่อน” สัมปันนียินดีเป็นคนหน้าไม่อายที่คัดลอกคำตอบสวยหรูจากปากน้องสาว

สีหน้าประหลาดใจของเขาทำให้หญิงสาวนึกดีใจ “ดูฉลาดเหลือเชื่อ คุณแน่ใจว่าคุณคิดเองนะ”

“คิดเองสิ!” ยืนยันแบบกระต่ายขาเดียว

ดรัลกลั้นหัวเราะให้กับท่าทางตื่นตัวจนเขารู้ว่าอีกฝ่ายโกหก ปล่อยให้สัมปันนีภูมิใจที่รู้ว่าหลอกเขาสำเร็จต่อไป “ถ้าทำได้อย่างที่พูด ผมก็จะไม่ยุ่งเรื่องของคุณ”

“หมายความว่า?”

“ถ้าคุณเก็บหัวใจไว้ในที่ปลอดภัยได้จริง ความลับของคุณจะไม่มีวันหลุดรอดออกไป”

สัมปันนีทำหน้าเหลือเชื่อที่บทสนทนนาครั้งนี้จบลงอย่างง่ายดายเกินคาด พอเธอจะคลายใจได้หน่อย สาวร่างอุ้ยอ้ายท้องแก่เจ็ดเดือนเลขานุการท่านประธานก็มาหยุดตรงหน้าโต๊ะเธอ กุหลาบมองหน้าเธอสลับกับหน้านิ่งๆ ของชายสูทเนี้ยบอย่างกับเห็นผี

“คุณดรัลรู้จักอาลัวแล้วใช่ไหมคะ”

“พี่กุหลาบรู้จักเขาด้วยเหรอคะ” สัมปันนีถามไปตามสมองคิด ก่อนจะชะงัก เมื่อสมองคำนวณว่าเธอเคยได้ยินชื่อดรัลมาจากไหน ตาภายใต้กรอบแว่นใสค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น นิ้วชี้ยกขึ้นไปยังหน้าของดรัล ภาพในห้องประธานกับเสียงพิลึกที่ได้ยินลอยเข้ามาในหัวพานให้เธอหน้าแดงก่ำ...ที่แท้คนที่นั่งตรงหว่างคนนั้นก็คือเขา!

“ขอโทษค่ะ” หญิงสาวพนมมือลวกๆ ทีหนึ่ง พาหน้าแดงจัดของตัวเองลุกพรวดจากเก้าอี้นั่งยาวจนเซล้ม แต่ก็ยังมีแรงตะกายลุกขึ้นยืนออกวิ่งหนีหายไปจากบริเวณห้องอาหาร นึกถึงอากัปกิริยาของตัวเองที่ผ่านมาแล้วได้แต่เขกกะโหลกตัวเองหลายๆ ที ที่สำคัญสุดคือเขาอยู่ใกล้เธอกับนวีนกว่าที่คิด

“โง่ไหมล่ะไอ้อาลัว!”

ดรัลได้ยินเสียงบ่นไม่เบาลอยมาแต่ไกล จึงได้แสร้งขรึมทั้งที่อยากหัวเราะให้กับอาการแตกตื่นเกินเหตุของสัมปันนี

เธอเป็นผู้หญิงที่มีตาแต่ไร้แววที่สุดที่เขาเคยพบ!

.............................

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ^_^ จะมีวันหยุดเกือบสัปดาห์มาเขียนเรื่องแล้ว :D



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.ค. 2558, 09:15:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ก.ค. 2558, 09:15:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1501





<< บทที่ 1 : หวั่นรัก   บทที่ 3 : เส้นประสาทที่ขาดผึง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account