ร้ายรักสลับเล่ห์
ในชีวิตสายลับสุดหล่ออย่างเขา ‘มิณปรานต์’ ไม่เคยหนักใจเรื่องผู้หญิงมาก่อน...

จนกระทั่งมาเจอเธอคนนี้!

ปินญาภัส สาวนักอนุรักษ์ธรรมชาติคนสวย เธอทั้งดื้อ อวดดี เชื่อมั่นในความดีจนน่าตลก
แต่ให้ตายเถอะ! หน่วยที่คอยขจัดอันตรายระดับชาติอย่างหน่วยเทวาพิทักษ์ ถึงกับต้องส่งสายลับระดับพระกาฬแบบเขา
เพื่อมาคุ้มครองเธอและสืบหาผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมระดับชุมชนอย่างลับๆ เนี่ยนะ ไม่ว่าคิดจนหัวแตกก็หาเหตุผลไม่เจอ

แต่มิณปรานต์จำต้องยอมรับ มันคือภารกิจ มันคือหน้าที่

ทว่าเรื่องวุ่นๆ ชวนอิ่มอุ่นหัวใจก็ถือกำเนิดขึ้นจนได้ เมื่อม่านหมอกแห่งกระสุนปืนโรยตัวลงปกคลุมอำเภอฟ้าศักดิ์ พร้อมๆ กับที่ปัญหาระดับชุมชนได้ลุกลามจนกำลังจะเป็นสาเหตุใหญ่ระดับประเทศ มิณปรานต์พบว่าเขาไม่ได้ปกป้องยัยหัวแข็งตามหน้าที่อีกแล้ว แต่เขากำลังโอบกอดเธอ เขากำลังคุ้มครองเธอจากอันตรายทั้งคนใกล้ตัวไกลตัวตามคำสั่ง... จากหัวใจของเขาเอง!

Tags: โรแมนติก แอ็คชั่น ดราม่า สายลับ กุ๊กกิ๊ก

ตอน: บทที่ 5

บทที่ 5





“เฮ้ ใครอนุญาตให้นายถ่ายรูป”

แทนไทก้าวปราดๆ เข้ามาปัดกล้องในมือมิณปรานต์ สายลับหนุ่มพลิ้วกายหลบอย่างคล่องแคล่ว ยศกรเข้ามาดึงหลังเสื้อยืดของบุตรชาย แต่หันมาพูดกับมิณปรานต์ด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“เราไม่เคยมีปัญหากับนักข่าว เพราะนักข่าวทุกคนมักให้เกียรติพวกเราอย่างดี ผมหวังว่าคุณจะทำตามคนอื่นๆ นะ” ยศกรเขม้นตามองบัตรนักข่าวที่มิณปรานต์ห้อยคออยู่ “คุณภาริทช์”

ขาดคำพูดของนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ การ์ดรักษาความปลอดภัยก็เดินอ้อมมาขนาบข้างมิณปรานต์ ทำท่าจะจับเขาล็อคแขนอีกครั้ง สายลับหนุ่มก็รีบชิงยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้

“เอาละๆ ผมขอโทษ ผมแค่มีข้อมูลบางอย่างที่พวกคุณอาจจะอยากรู้”

แทนไทพูดห้วนสั้น “ผมว่าผมมีข้อมูลมากพอแล้ว”

แต่ปินญาภัสที่มองหน้านักข่าวภาริทช์เขม็งพูดขึ้น “คุณมีข้อมูลอะไรคะ แล้วทำไมพวกเราถึงต้องอยากรู้ด้วย”

“มันอาจจะกลายเป็นข้อมูลสำคัญหรือไม่สำคัญก็ได้” มิณปรานต์หัวเราะกระหยิ่ม “แต่ก่อนอื่น เลี้ยงข้าวผมหน่อยสิ แล้วผมจะบอก”





ปินญาภัสนั่งหลังตรงยกมือกอดอก ขึงตามองอีตานักข่าวภาริทช์ใช้ตะเกียบคีบจุ่มจ้วงจิ้มหมูกุ้งไก่และผักเครื่องเคียงบนโต๊ะอาหารยัดใส่ปากราวกับคนที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องมาหลายวัน แก้มของเขายังป่องขณะเคี้ยวตุ้ยๆ พลางคีบเนื้อหมูชิ้นใหม่วางลงบนเตาปิ้งย่างไฟฟ้าในร้านสุกี้กลางห้างสรรพสินค้าชื่อดัง

แทนไทกับอายศกรลอบสบตามองกันด้วยสายตาเอือมระอา ปินญาภัสรู้สึกอับอายที่เป็นคนออกหน้าพานักข่าวหนุ่มมาทานอาหาร เพราะนึกว่าจะมีข้อมูลดีๆ มาบอกให้พวกเธอรู้ แต่ทันทีที่มาถึงร้านสุกี้ ภาริทช์กลับไม่เอ่ยถึงหลักฐานอะไรของเขาอีกเลย

ในที่สุด หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวของโต๊ะก็อดทนรอต่อไปไม่ไหว เมื่อนักข่าวหนุ่มหน้าหล่อทวีความหน้าหมั่นไส้มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการเงยหน้ามาพยักเพยิดให้พวกเธอร่วมทานอาหารด้วยกัน

“นี่ คุณภาริชท์ คุณมีข้อมูลอะไรจะบอกเราก็รีบบอกมาซะทีเถอะ อย่าให้ฉันนึกเสียใจที่หลงเชื่อคำพูดของคุณเลย” ปินญาภัสแค่นเสียงหน้าบึ้ง

“โอ้ โทษทีๆ พอเห็นของกินก็พลอยทำให้ลืมทุกอย่างไปหมด” ภาริทช์หัวเราะขบขันแบบไร้เหตุผล เอี้ยวตัวหยิบกล้องถ่ายภาพคู่กายออกมาจากกระเป๋าเป้ด้านข้าง และยื่นส่งข้ามหม้อสุกี้มาให้เธอ “ข้อมูลอยู่ในนี้ พวกคุณเปิดดูได้ตามสบาย”

ปินญาภัสรับกล้องมาถือหน้านิ่ง แต่พอกดปุ่มเปิดหน้าจอและเข้าไปดูในคลังรูปภาพเท่านั้น เธอก็อุทานลั่นด้วยความตกใจ

“นี่มัน... คุณเอาอะไรมาให้เราดูฮะ!”

พูดแล้วก็เบือนหน้าหนีจากหน้าจอของกล้องถ่ายรูป แทนไทฉวยกล้องไปจากมือเธอ ก่อนจะรีบปิดและกระแทกกล้องลงบนโต๊ะอย่างที่ไม่กลัวว่าอุปกรณ์หาเลี้ยงชีพของอีกฝ่ายจะได้รับความเสียหาย หลังดูรูปภาพได้แค่สองสามรูปเท่านั้น

แทนไทลุกพรวดขึ้นยืน “พอกันที เลิกเล่นตลกบ้าบอคอแตกนี่ซะ แล้วอย่ามายุ่งกับพวกเราอีก”

“มีอะไรกัน ไหนดูซิ” ยศกรเอื้อมมือมาหยิบกล้องไปเปิดดูหน้าจอ ดวงตาคมกล้าเบิ่งโตเมื่อเห็นรูปที่อยู่ในคลังภาพ เขาเงยหน้ามองไปที่ภาริทช์ ยศกรกระซิบอย่างข่มอารมณ์โมโหว่า

“ข้อมูลอะไรกัน มีแต่รูปศพ!”

ภาริทช์ยกมือเป็นเชิงบอกพวกเขาให้ใจเย็นไว้ก่อนขณะรอให้ตนเองกลืนอาหารลงคอไปให้หมด นักข่าวหนุ่มเอื้อมหยิบแก้วน้ำกระดกดื่มล้างปาก ก็เรอลากยาวแล้วพูดว่า

“ก็นั่นแหละครับ ข้อมูลชั้นดี”

“เสียเวลาจริงๆ” แทนไทส่ายหน้าดิก หันมาทางหญิงสาว “เรากลับกันเถอะปิน อาหารมื้อนี้คิดเสียว่ามาทำบุญ”

ปินญาภัสขึงตามองภาริทช์ด้วยความเจ็บใจ ปกติเธอไม่ค่อยถือโทษโกรธใครง่ายๆ แต่ความรู้สึกที่เธอเกลียดมากที่สุดก็คือการรู้ว่าตนเองถูกหลอกปั่นหัว ปินญาภัสลุกขึ้นยืน ยอมรับอย่างยอมจำนนว่าเธอมองเขาผิดไป ก็พอดีนักข่าวหนุ่มพึมพำออกมาว่า

“ไม่อยากรู้หรือครับว่าคนร้ายคนนั้นฆ่าตัวตายจริงๆ หรือถูกอำพรางให้ดูเหมือนฆ่าตัวตายกันแน่”

ยศกรซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับภาริทช์คำรามเสียงต่ำ “ผมให้เวลาคุณอธิบายห้านาที ถ้าผมพบว่ามันเป็นแค่เรื่องตลก คุณจะเป็นนักข่าวคนแรกที่จะติดแบล็คลิสต์ห้ามเข้ามาทำข่าวในการเคลื่อนไหวครั้งต่อๆ ไปของมูลนิธิเม็ดธุลี”

ภาริทช์หลิ่วตามองพลางอมยิ้มราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่ “ผมว่าพวกคุณจะเปลี่ยนให้ผมเป็นนักข่าวกิตติมศักดิ์ซะมากกว่านะ”

“นายรู้อะไรก็รีบๆ พูดมา” แทนไทท้าวมือกับขอบโต๊ะ “อย่าให้ฉันหมดความอดทนไปมากกว่านี้”

“ถ้าอยากฟัง งั้นอย่างแรกก็เชิญนั่งกันก่อนสิครับ นะ” นักข่าวหนุ่มแว่นผายมือทั้งสองข้างให้แก่สองหนุ่มสาวคนสำคัญแห่งมูลนิธิเม็ดธุลี แทนไทชำเลืองมองมาที่ปินญาภัส หญิงสาวตวัดสายตามาจ้องหน้าภาริทช์ คนยียวนเอียงคอยิ้มกว้างตอบกลับมา ปินญาภัสถอนหายใจยาวแรงก็เหลียวหน้าไปผงกศีรษะให้หนุ่มรุ่นพี่ข้างกาย

“ปินจะให้โอกาสเขา” เธอหันขวับมาถลึงตามองภาริทช์ “เป็นครั้งสุดท้าย”

“ดีครับดี” นักข่าวหนุ่มหยิบกระดาษทิชชู่มาซับริมฝีปาก “รับรองว่าพวกคุณจะไม่ผิดหวัง”





หนึ่งชั่วโมงต่อมา ณ ชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้า มิณปรานต์เดินแยกจากปินญาภัส แทนไทและยศกรไปยังจุดที่เขาจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ อาหารกลางวันกับสมาชิกคนสำคัญของมูลนิธิเม็ดธุลีผ่านไปแล้ว ในความเห็นของมิณปรานต์ นี่ถือเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลว เขาทำให้พวกนั้นมาให้ความสนใจเขาได้ และได้รับสิทธิที่พิเศษมาก หากจะเทียบว่าเขาคือนักข่าวหน้าใหม่เพิ่งมาปรากฏตัวในอำเภอฟ้าศักดิ์ครั้งแรก

แต่ขณะที่กำลังจะเดินเลี้ยวไปยังพื้นที่จอดมอเตอร์ไซค์ มิณปรานต์ก็สัมผัสได้ว่ามีคนกำลังแอบเดินสะกดรอยเขาจากด้านข้าง โดยใช้ลักษณะการเดินแบบคู่ขนานจากแถวรถอีกฝั่งหนึ่ง แม้จะมีฝีเท้าเงียบกริบอย่างไร แต่ก็คงไม่อาจรอดพ้นการสังเกตของผู้ที่สะกดรอยตามคนมานับพันๆ ครั้งอย่างเขาได้อยู่ดี

ดังนั้น สายลับหนุ่มในคราบนักข่าวจึงก้าวเท้าเอื่อยเฉื่อยผิวปากอารมณ์ดีผ่านเลยมอเตอร์ไซค์ของตัวเองไป มิณปรานต์เดินไปเรื่อยๆ ควักโทรศัพท์ออกมาทำเป็นกดข้อความ พอเลี้ยวมุมมาได้ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่รถกระบะของร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้ากำลังเคลื่อนออกจากที่จอดพอดี

รถยนต์แล่นเลี้ยวมาทางเขา มิณปรานต์ฉวยโอกาสนั้น กระโดดเกาะด้านข้างของตัวรถ ซึ่งครอบหลังคาไฟเบอร์สีขาว สายตาของผู้สะกดรอยจึงเห็นเพียงรถแล่นสวนมา และมิณปรานต์ก็หายวับไปกับตาราวกับการหายตัวของนักมายากล

มือเกาะแน่นอย่างแข็งแรง รถยนต์เคลื่อนแช่มช้ามายังทิศทางที่รถมอเตอร์ไซค์ของมิณปรานต์จอดอยู่อีกครั้ง ชายหนุ่มเกาะอยู่ข้างซ้ายของตัวรถ ส่วนผู้สะกดรอยเขาวิ่งเลิ่กลักหน้าตาตื่นอยู่ทางด้านขวา เมื่อรถอ้อมหัวมุมลานจอดรถ มิณปรานต์ก็ปล่อยมือและม้วนตัวไปหลบหลังเสาต้นหนึ่งด้วยความเงียบงันและรวดเร็ว ในขณะที่ผู้สะกดรอยยืนเกาหัวแกรกๆ อย่างไม่เข้าใจว่าเขาหายไปไหน

มิณปรานต์ก้มตัวลงต่ำเคลื่อนกายผ่านรถยนต์ที่จอดเรียงรายอยู่ไปหลบยังหลังเสาอีกต้นหนึ่งในลานจอดรถด้วยความเจนสนามสายลับ ไม่รอช้าที่จะขยิบตาขวาถ่ายรูปของผู้สะกดรอย ผู้เป็นชายวัยรุ่น ตัดผมสั้นเกรียน มีรอยสักพราวทั่วตัว แต่งกายด้วยเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสามส่วน รอจนผู้สะกดรอยเดินหงุดหงิดหายไปอีกทางเรียบร้อยก็ค่อยเดินออกจากที่ซ่อนกลับมายังรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง

มิณปรานต์สวมหมวกกันน็อค สตาร์ทเครื่องยนต์ ขี่ออกจากห้างสรรพสินค้ามาจอดในซอยที่ห่างออกมาสามกิโลเมตร จึงจัดการติดต่อหน่วยเทวาพิทักษ์ให้ตรวจสอบรูปภาพผู้สะกดรอย ก่อนหาร้านกาแฟติดแอร์นั่งพักเพื่อรอการติดต่อกลับ

รอไม่ถึงนาที ‘ตาลุง’ ก็ติดต่อเข้ามา

“ไปทำอะไรเข้า ทำไมถึงมีสายตำรวจมาตามรอยได้”

น้ำเสียงแห้งแล้งไร้อารมณ์ดังผ่านหูฟังชนิดไร้สายที่เสียบอยู่กับหูขวาของสายลับหนุ่ม

“ผมก็ทำตามที่ลุงสั่งไง พยายามเข้าหาคนของมูลนิธิให้ได้” มิณปรานต์บ่นอุบอิบ ”แล้วอย่ามาบอกไม่รู้เลยว่าผมทำอะไร”

กล่าวจบ มิณปรานต์ก็กลอกตามองเพดาน แต่พอเห็นเด็กเสิร์ฟนำกาแฟมาให้ หนุ่มหล่อก็รีบปรับท่าทีกลับมานั่งให้ดูดีเหมือนเดิม จนกระทั่งเด็กเสิร์ฟเดินกลับไปยืนประจำการณ์หลังเคาน์เตอร์ มิณปรานต์ก็กลับมากระซิบกระซาบต่อ “ตกลงลุงว่าหมอนั่นที่ตามผมมันเป็นสายตำรวจเรอะ”

“ใช่ ทำงานในพื้นที่ฟ้าศักดิ์ เป็นสายให้กับตำรวจที่ชื่อหมวดศราวุธ”

“หมวดศราวุธ” มิณปรานต์พึมพำ จดจำได้ว่าเป็นชื่อของนายตำรวจผู้อยู่ในที่เกิดเหตุมือปืนสมัครเล่นยิงตัวตายเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา

“เขาส่งคนมาตามผมทำไม”

“อาจจะส่งมาตามนาย แล้วก็ตามคนของมูลนิธิด้วยนั่นแหละ” หัวหน้าหน่วยเทวาพิทักษ์ให้คำตอบ

มิณปรานต์ยกกาแฟขึ้นจิบ “แล้วรู้ไหมนักข่าวที่ส่งปืนให้คนร้ายคือใคร”

“ฉันยังบอกไม่ได้” วิษณุตอบ “นายรู้ไว้แค่นี้จะดีกว่า ทางที่ดีอย่าทำให้เขาเจอนายอีกจะดีที่สุด”

“ทำไมล่ะ”

“กฎข้อที่สามจุดหนึ่งของเจ้าหน้าที่ในหน่วยเทวาพิทักษ์ ห้ามตั้งคำถามกับผู้บังคับบัญชา”

“เฮ้อ จริงๆ เลยน้า” สายลับหนุ่มเมินหน้ามองผนังร้าน เขาเป็นสายลับให้หน่วยเทวาพิทักษ์มาหลายปี แต่เคยเข้าไปที่ตึกบัญชาการของทหารบกเพียงหนึ่งครั้ง และเพราะกฎข้อบังคับสุดแสนประหลาดพวกนี้ มิณปรานต์จึงยังไม่เคยพบหน้าผู้ร่วมงาน หรือไม่แม้แต่จะทราบชื่อเสียงเรียงนามของผู้บังคับบัญชาโดยตรงอย่างชายผู้มีรหัสว่าวิษณุคนนี้ด้วยซ้ำ

“จำไว้ว่านายต้องอย่าให้ใครรู้ตัวตน” เจ้าหน้าที่วิษณุกำชับ

“รู้แล้วละน่า แค่นี้แหละนะ” มิณปรานต์ยกมือแตะหูฟัง สัญญาณสื่อสารตัดขาดไป ทุกครั้งที่ออกปฏิบัติภารกิจ เขาต้องสื่อสารกับตาลุงนี่แทบตลอดเวลา ดังนั้น การวางสายอย่างห้วนสั้นรวบรัดตัดบท จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ประการใด

มิณปรานต์นั่งตากแอร์อยู่ในร้านกาแฟอีกสิบนาทีก็กลับออกมาและเหวี่ยงขาขึ้นมอเตอร์ไซค์ มันมีระบบเทคโนโลยีเหมือนหลุดออกมาจากภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่สักเรื่อง แต่สายลับหนุ่มฉงนใจนักว่า เอาเข้าจริงเขาจะได้ใช้ประโยชน์อะไรจากบิ๊กไบค์สุดไฮเทคคันนี้บ้าง ก่อนอื่น ก็ลองป้อนที่อยู่บ้านพัก ซึ่งทางหน่วยจัดเตรียมไว้ให้ลงไปบนหน้าปัดมอเตอร์ไซค์ก่อนก็แล้วกัน

ในหน้าจอเล็กๆ ที่ปรากฏให้เห็น คือเส้นทางสามสายที่เขาสามารถใช้เดินทางไปได้ โดยมันระบุความหนาแน่นของการจราจรแบบเรียลไทม์ให้ด้วย ที่พิเศษคือบอกความแตกต่างว่า เส้นทางไหนมีความเหมาะสมต่อการเดินทางที่เร่งด่วน หรือเหมาะต่อการขับรถชมเมืองสองข้างทาง แถมยังมีตัวเลขอุบัติเหตุที่เคยเกิดขึ้นบนถนนบอกไว้อีกด้วยต่างหาก

มิณปรานต์เลือกเส้นทางที่จะไปถึงจุดหมายได้เร็วที่สุด

เขาไม่เคยลืมว่าตนเองมาที่นี่เพื่อทำงาน ไม่ใช่พักผ่อน

ดังนั้น เขาจึงห้อตะบึงเจ้าสองล้อไปถึงจุดหมายในเวลายี่สิบนาทีต่อมา

ตลอดทางนึกสงสัยว่าที่พักของเขาจะเป็นแบบไหนกัน มิณปรานต์เคยพักทั้งแบบโรงแรมห้าดาวสุดหรูหรือภารกิจธรรมดาก็ต้องคอนโดมิเนียมเครื่องมืออำนวยความสะดวกครบครัน นั่นถือเป็นการตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ที่ทางหน่วยมอบแก่เจ้าหน้าที่สายลับเสี่ยงชีวิตอย่างเขา

เมื่อถอดหมวกกันน็อคและเหวี่ยงขาลงจากรถ มิณปรานต์ก็มั่นใจว่าเขามาไม่ผิดที่ และระบบนำทางดาวเทียมของรถมอเตอร์ไซค์คงไม่มีปัญหา แต่สภาพบ้านไม้สองชั้นโกโรโกโสในซอยที่เต็มไปด้วยอึสุนัขเกลื่อนพื้นถนน มิณปรานต์จึงเกิดความไม่แน่ใจ หลังเกาะรั้วบ้านชะเง้อคอมองซ้ายขวาอยู่ครู่ใหญ่ ก็ตัดสินใจติดต่อกลับไปหาตาลุงวิษณุ

คำถามแรกที่กล่าวไปคือ “นี่ลุงหาบ้านอะไรให้ผมอยู่เนี่ย”

และคำตอบที่ได้รับกลับมา ทำให้มิณปรานต์แทบโมโหตาย

“งบที่มีสำหรับภารกิจนี้ ฉันทุ่มให้กับงบยานพาหนะของนายหมดแล้ว กุญแจบ้านซ่อนอยู่ในตู้ไปรษณีย์ ถ้าอยู่ไม่ได้ ก็ไปนอนข้างถนนแล้วกัน”

กริ๊ก

สัญญาณขาดหาย

“โอ๊ย ให้มันได้แบบนี้สิ” สายลับหนุ่มกระชากหูฟังออกจากหู แล้วชำเลืองมองไปที่บ้านไม้โย้เย้อย่างเพลียหัวใจ





แม้สภาพบ้านภายนอกบ้านจะไม่ค่อยน่าอยู่อาศัยสักเท่าไหร่ แต่สภาพภายในนั้นแทบเหมือนก้าวเข้าสู่คนละโลก มิณปรานต์ผิวปากหวือมองสมาร์ททีวีหน้าจอใหญ่ พัดลมไอเย็นขนาดห้าฟุต ตู้เย็นและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน มีแม้กระทั่งคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเตรียมไว้ให้พร้อมอินเตอร์เนตความเร็วสูงที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่าง ส่วนห้องนอนชั้นบนนั้นก็มีเตียงใหญ่นุ่มสบาย ตกแต่งอย่างเรียบง่ายสบายตา เหมาะสำหรับการพักผ่อนอย่างยิ่ง

เมื่อเดินเอื่อยๆ ลงบันไดกลับมาที่ห้องนั่งเล่น มิณปรานต์ก็ถอดแว่นตาคอมพิวเตอร์ออก เหลือบตามองเพดานของห้องนั่งเล่น มีกล้องวงจรปิดเท่าที่เห็นอย่างน้อยสองตัว และคงมีอีกหลายตัวทั่วบ้านหลังนี้ เขาเม้มริมฝีปากผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ ปลดเป้วางไว้บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา เปิดพัดลมแล้วหยิบโน้ตบุ๊กมาบู๊ทเครื่อง

ป่านนี้ยายนั่นจะอยู่ที่ไหนแล้วนะ

สายลับหนุ่มคิดถึงใบหน้าจิ้มลิ้มแต่บึ้งตึงของปินญาภัสตอนที่เขาอธิบายว่า รูปศพของมือปืนสมัครเล่นที่เขาให้พวกเธอดูนั้น มีรอยแผลที่ระบุได้ว่า มันคงลำบากมากสำหรับผู้ต้องหาที่ถูกใส่กุญแจมือในการยกปืนขึ้นไปยิงขมับตัวเอง ซึ่งเป็นขมับทางด้านซ้ายเสียด้วย

เท่ากับว่ามือปืนปลิดชีพตัวเองด้วยมือซ้าย ทั้งๆ ที่มิณปรานต์เห็นกับตาว่าตอนที่ชักปืนหมายยิงปินญาภัสบนเวที มือปืนถือปืนด้วยมือขวา ซึ่งหมายถึงเป็นคนถนัดขวา

มิณปรานต์คือนักข่าวคนแรกๆ ที่ไปถึงที่เกิดเหตุ เพราะโชคช่วยเหลือเกินที่ขณะนั้นเขากำลังจะเดินกลับไปยังจุดจอดรถมอเตอร์ไซค์พอดี เขาเห็นรถตำรวจติดฟิล์มดำเคลื่อนผ่านไปช้าๆ มิณปรานต์มองตามด้วยความสนใจว่าจะใช่รถที่เคลื่อนย้ายตัวมือปืนหรือไม่ ฉับพลันนั้น เสียงปืนก็ก้องกังวานจากในห้องโดยสารของรถตำรวจหนึ่งครั้ง รถตำรวจหยุดจอดหน้าทางออก มิณปรานต์วิ่งตามไปหยุดข้างรถทันที และเมื่อประตูรถฝั่งผู้โดยสารเปิดออก เขาก็ไม่ลังเลที่จะรัวชัตเตอร์กล้องถ่ายภาพบันทึกหลักฐานทุกอย่าง

ร้อยตำรวจโทศราวุธผู้เป็นคนเปิดประตูลงมาคนแรกผงะไปไม่น้อยกับการปรากฏตัวที่ไม่คาดฝันของเหยี่ยวข่าวหนุ่มหล่อ วินาทีนั้นมิณปรานต์เก็บภาพที่เป็นหลักฐานสำคัญได้หลายภาพ ก่อนที่หมวดศราวุธจะกางแขนยืดแผงอกบังช่องประตูรถไว้ไม่ให้มิณปรานต์ถ่ายภาพเพิ่มเติมได้อีก

แล้วรถยนต์อีกคันหนึ่งก็แล่นมาจอดต่อท้าย ผู้ที่ก้าวลงมาจากรถคือนายเมฆ คนสนิทของจ่าจรล อดีตตำรวจผู้เป็นสมาชิกของมูลนิธิเม็ดธุลี เสียงปืนที่กังวานแม้จะแค่นัดเดียว แต่มันก็ดึงดูดให้บรรดาเหยี่ยวข่าวสิบชีวิตมุ่งตรงมายังจุดเกิดเหตุราวกับฝูงไฮยีน่าที่ได้กลิ่นซากสัตว์

จากนั้นก็เกิดความเอะอะชุลมุนกันครู่ใหญ่ มิณปรานต์แยกตัวออกมายืนสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ในวงนอก เขาเห็นพวกของปินญาภัสสาวเท้าหน้าตาตื่นไปยังรถตำรวจ เมื่อเธอกับแทนไทและยศกรเดินกลับออกมาในอีกอึดใจให้หลังพร้อมด้วยสีหน้าเคลือบแคลงใจ มิณปรานต์ก็ก้มมองกล้องถ่ายภาพของตนเอง และตัดสินใจใช้โอกาสนี้เข้าหาพวกเขา

“ฮะ ยังจะมีอารมณ์ไปมิตติ้งดาราอีกเรอะ” สายลับหนุ่มอุทานออกมาเมื่อเชื่อมสัญญาณดูตำแหน่งจีพีเอสที่เขาแอบหย่อนใส่กระเป๋าสะพายของปินญาภัสตอนที่กลับออกมาจากร้านสุกี้ ขณะนี้เธอกำลังอยู่ที่โรงแรมสุดหรูซึ่งจัดงานพบปะแฟนคลับของดาราพระเอกหนุ่มที่ชื่อว่าเบลนด์ ธนกิจ การชุมนุมต่อต้านเหมืองทองคำเลิกไปแล้วก่อนกำหนดสองชั่วโมงเพราะความไม่สงบที่เกิดขึ้น เขาคิดว่าเธออาจจะกลับบ้านพักเสียอีก แต่นี่อะไร เพิ่งรอดตายมาแท้ๆ ยังจะมีอารมณ์ไปกรี๊ดผู้ชาย

“นายควรไปคอยอารักขาเธอนะ” เสียงของวิษณุดังขึ้นเป็นเชิงดุจากลำโพงโทรทัศน์ ซึ่งเปิดขึ้นมาเองและฉายภาพโลโก้ของหน่วยเทวาพิทักษ์บนหน้าจอ

มิณปรานต์ชำเลืองมองโทรทัศน์ ก่อนหลับตาลง และเหยียดกายนอนบนโซฟา “โถ ลุง ผมเพิ่งมาถึงเองนะ นอนพักก็ยังไม่ได้นอน นี่ก็เพิ่งกลับจากงานชุมนุม อีกอย่างเธอมีบอดีการ์ดประจำกายอย่างแทนไทคอยคุ้มครองอยู่แล้ว ลุงน่าจะเห็นแววตาของหมอนั่นตอนที่เฝ้ามองเธอ เวลาไปไหนมาไหนนอกจากขึ้นเวที จะมีคนคอยติดตามรักษาความปลอดภัยไม่ต่ำกว่าสองคน ผมว่าขอหลับสักงีบก่อนเดี๋ยวจะไปสืบเรื่องฆาตกรรมที่สปาสักหน่อย อันนั้นน่าจะมีประโยชน์สำหรับภารกิจของผมมากกว่า”

กล่าวจบสายลับหนุ่มหล่อก็หันหลังให้กับสมาร์ททีวี แต่เสียงหัวเราะของวิษณุก็ดังตามมา

“หลับลงก็ให้มันรู้ไปซี่”

ฉับพลันนั้น เสียงเพลงแดนซ์จังหวะเร่งเร้าก็ก้องกระหึ่มออกมาจากโทรทัศน์และชุดเครื่องเสียงสเตอริโอ มันดังมากชนิดที่มิณปรานต์ต้องสะดุ้งขึ้นนั่งใบหน้าเหยเก บ้านทั้งหลังสั่นสะเทือนด้วยคลื่นเสียงทะลวงรูหู ชายหนุ่มเอื้อมมือคว้ารีโมทมากดปิดทุกอย่าง แต่รีโมทกลับไม่ตอบสนอง ไม่ว่าจะเปลี่ยนช่อง หรือลดระดับเสียง หรือกดปิดทีวี สุดท้ายมิณปรานต์ก็โยนรีโมททิ้ง ตะโกนกับอากาศธาตุ

“ก็ได้ๆ ผมจะไปคุ้มครองเธอเดี๋ยวนี้”

เสียงเพลงดับลงทันที ความเงียบทิ้งอาการหูอื้ออยู่ในหัวของชายหนุ่ม แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงของวิษณุที่กลับมาดังอีกครั้งว่า

“ขอย้ำสักนิดว่า ภารกิจของนายคือคุ้มครองปินญาภัสและตามหาฆาตกรที่ฆ่าประธานเหมันต์ให้ได้ ทั้งสองอย่างมีความสำคัญเท่ากัน ห้ามให้น้ำหนักกับภารกิจไหนมากกว่าน้อยกว่าเด็ดขาด เข้าใจไหม”

มิณปรานต์ยกมือขยี้หัว หน้ายุ่งพูดเสียงอ่อย “เข้าใจแล้วคร้าบ เข้าใจแล้ว จะดูแลไม่ให้คลาดสายตาเลย”

แม้จะบอกไปอย่างประชดประชัน แต่มิณปรานต์ไม่รู้ตัวเลยว่า เขากำลังจะต้องดูแลปินญาภัสแทบไม่ให้คลาดสายตาอย่างที่พูดจริงๆ







คิรัชทัชภ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ส.ค. 2558, 18:44:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ส.ค. 2558, 18:51:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 619





<< บทที่ 4   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account