ละลายใจรัก
สายลมในฤดูใบไม้ผลิ จะละลายน้ำแข็งในหัวใจของเธอได้หรือไม่...ริสาเดินทางมาเกาหลีเพื่อหนีปัญหาทางบ้าน และเธอก็ได้พบกับจงจิน...ชายหนุ่มนัยน์ตาสวยเจ้าของร้านไอศกรีมบนถนนคารูโซ กิล ปารีส อิน โซล...
Tags: คารูโซ กิล, ร้านไอศกรีม, ละลายใจรัก

ตอน: แรกพบ

1.
การเปิดร้านไอศกรีมไม่ได้หวานเย็นอย่างที่จงจินเคยคิด...

เขามาตระหนักข้อนี้ก็หลังจากเริ่มธุรกิจเล็กๆ ในคาโรซู กิล ชื่อที่แปลได้ว่า “ถนนที่มีต้นไม้เรียงรายสองข้างทาง” ดูสวยราวกับเมืองฝรั่งเศสจำลองกลางกรุงโซล

ต้นกิงโกะเริ่มผลิใบตามฤดูกาล บรรยากาศสดใสด้วยไม้ดอกและสีสันเครื่องแต่งกายของสาวๆ ที่เดินช้อปปิ้ง เลือกซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับสวยหวานจากร้านของดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่ รวมถึงงานศิลปะร่วมสมัย เครื่องเขียนและสินค้านำเข้าแปลกๆ เก๋ๆ ในบูติก

ลมเย็นต้นฤดูใบไม้ผลิทำให้พวกเธอยังต้องสวมเสื้อกันหนาวไหมพรม บู๊ตส้นสูง และผ้าพันคอ แน่นอนว่า ร้านที่สาวๆ เหล่านี้เลือกที่จะเข้าไปนั่งพักเหนื่อย ก็ย่อมเป็นร้านกาแฟแสนอบอุ่น ที่ยิ่งดูเป็นฝรั่งเศสเพราะขายคู่กับเครปและขนมเค้กขนาดจิ๋ว

ชายหนุ่มนั่งมองตาละห้อย เมื่อลูกค้าคนแล้วคนเล่าเดินผ่านร้านสวยสีขาวของเขาไป ร้านนี้อยู่ในซอยแยกจากถนนใหญ่ แต่ก็ยังมีคนเดินผ่านมากพอดู นักท่องเที่ยวหลายคนหยุดยืนถ่ายรูปที่ประตูกระจกใสในกรอบไม้ขาว บ้างก็โพสท่ากับจักรยานเหล็กคันเก่า ที่เขาใส่ดอกไม้ไว้ในตะกร้า หรือไม่ก็นั่งตรงเก้าอี้เหล็กดัด ซึ่งวางอยู่บนพื้นหญ้าเทียมเขียวขจีที่หน้าร้าน โต๊ะปูผ้าลูกไม้ขาว กับเก้าอี้หวายวางหมอนอิงลายดอกน่ารัก น่าจะดึงดูดใจสาวๆ ได้มาก

แต่ไม่มีใครแวะเข้ามา...

นัยน์ตาสวยของจงจินสลดลงไปอีก เมื่อหญิงสาวคนที่ห้าเดินผ่านไปเข้าร้านกาแฟ

ผู้ช่วยหนึ่งเดียวของเขาเพิ่งลาออกไป หลังจากไม่พอใจกับค่าทิป จงจินต้องติดป้ายรับคนใหม่ ถึงแม้ตอนที่ร้านเพิ่งเปิดใหม่อย่างนี้ ลูกค้าจะมีไม่มากนัก แต่ต่อไปเมื่อถึงฤดูร้อน คนคงมากขึ้น และเขาก็อยากได้ผู้ช่วยที่ฝึกมาจนคล่อง ก็ต้องรับกันตั้งแต่เดี๋ยวนี้...

ชายหนุ่มถามตัวเองอีกครั้งว่า นึกอย่างไรถึงได้ลาออกจากงานในบริษัทที่มั่นคง ออกมาเปิดร้านไอศกรีมขนาดแค่ห้าโต๊ะ

และเป็นอีกหนที่เขาไม่มีคำตอบอื่น นอกจาก...ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าจะฝืนใจทำอะไรทีใจไม่รัก...

งานในธนาคาร กับการคิดแต่เรื่องเงินและตัวเลขทำให้เขาเครียดแทบบ้า ยิ่งต้องหาเงินฝากเข้ามา เขาก็เบื่อที่จะต้องอ้อนวอนงอนง้อบรรดาท่านผู้ยิ่งใหญ่

อย่างรายหนึ่ง บังคับให้เขาออกเดทกับลูกสาว แลกกับการทำยอด แค่เพราะคุณหนูเอาแต่ใจคนนั้นนึกชอบรูปลักษณ์ของเขา เหมือนกับจงจินเป็นของเล่นใหม่ที่จะได้เอาไปอวดเพื่อนๆ

เมื่อคุณพ่อของหล่อนประกาศก้องว่าจะไม่ยอมทำยอดให้ถ้าหากว่าเขาไม่ยอมไปงานเลี้ยงกับยายคุณหนูนั่น จงจินก็รู้สึกคล้ายกลายเป็นผู้ชายบาร์โฮส เขาลุกขึ้นโค้งลาท่านประธานคุณพ่อของหล่อน และเดินจากมาโดยไม่สนใจเสียงโวยวาย

ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เขาต้องลาออกจากธนาคารที่ทำงานอยู่ด้วย

ที่จริง จงจินจะไปสมัครงานการเงินที่อื่นก็ย่อมได้ แต่เขาเหนื่อยหน่ายกับเรื่องเงินๆ ทองๆ อยู่แล้ว และอยากลองเป็นนายตัวเองดูสักครั้ง พอดีกับที่พี่สาว ซึ่งวางโครงการร้านไอศกรีมในฝันเกิดจะวางมือทิ้งงานกลางคัน ชายหนุ่มจึงเข้ามารับช่วงต่อ

สูตรไอศกรีมรสผลไม้และดอกไม้ที่พี่ฮานึนพัฒนาไว้แตกต่างจากเจ้าอื่นพอที่จะมี “จุดขาย” ของตัวเอง ตรงที่ไขมันต่ำแต่รสชาติหอมหวานถูกใจสาวๆ และเขายังเพิ่มกลุ่มที่เป็นรสนม ชา กาแฟ ช็อกโกแลต รสชาติเข้มข้นแบบทำเองไว้สำหรับ ชายหนุ่มที่เป็นคู่เดทของพวกเธอ จงจินเชื่อมั่นว่าร้าน “ไอศกรีมคลับ” ของเขาจะต้องมีอนาคตดีแน่นอน

ความฝันของนักการเงินอย่างเขา ไม่ได้อยู่แค่ร้านขนาดห้าโต๊ะ แต่จงจินคิดว่า หากทำให้ดีๆ ก็มีสิทธิ์ขยายสาขา หาผู้ร่วมธุรกิจในแบบ “แฟรนไชส์” ไปทั่วเมือง

แต่ทดลองก้าวแรก ก็ทำท่าจะเซเสียแล้ว จงจินถอนใจ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเสียงกระดิ่งหน้าร้านดัง นัยน์ตากลมสวยมองไปที่ประตูอย่างมีความหวัง เมื่อร่างเล็กๆ ของหญิงสาวคนหนึ่งผลักประตูเข้ามาพร้อมกับสายลมเย็นต้นฤดูใบไม้ผลิ

เธอสวมกางเกงยีนส์กับแจ็คเก็ตผ้ายืดสีเทาที่มีฮู้ดติดเฟอร์สีเดียวกันคลุมศีรษะทำให้มองเห็นหน้าไม่ชัดนัก

“อันยองฮาเซโย” จงจินร้องทัก ก่อนจะชะงักเมื่อเธอเงยหน้าขึ้น และผลักฮู้ดที่คลุมศีรษะออก ปล่อยให้ผมยาวสีน้ำตาลแดงหยิกสลวยสยายลงประบ่า

ใบหน้ารูปหัวใจที่เผยให้เห็นนั้นสวยคม ผิวน้ำผึ้งเนียนระเรื่อสีส้มจางของเลือดฝาด จมูกโด่งแหลมและริมฝีปากอิ่มสวย แต่ที่เด่นที่สุด คือดวงตารีรูปเมล็ดอัลมอนด์ที่แม้จะเขียนอายลายเนอร์ไว้เฉี่ยว ก็ยังมีแววอ้างว้างราวกับเด็กหลงทาง ชวนให้ปกป้องดูแล

เป็นความคมคายที่แตกต่างจากสาวเกาหลีทั่วไป จนเขาบอกได้ว่า เธอเป็นชาวต่างชาติ...

จงจินมัวแต่ตะลึงงัน จนไม่ทันอ่านสายตาของอีกฝ่าย ที่พินิจพิจารณาเขาเช่นกัน

จะไม่ให้เธอชะงักได้อย่างไร คนที่แนะนำมาไม่เห็นบอกเลยว่าเจ้าของร้านรูปหล่อขนาดนี้! แม้ร่างในชุดเชิ้ตขาวกางเกงยีนส์และบู๊ตหุ้มข้อสีดำจะค่อนข้างสันทัดตามมาตรฐานหนุ่มเกาหลีทั่วไป แต่ก็แกร่งแน่นด้วยกล้ามเนื้อ ใบหน้าเกือบจะเรียกได้ว่าหวาน เพราะนัยน์ตากลมโตฉายประกายแจ่มใส หากเมื่อรวมเข้ากับคิ้วเข้มสันจมูกโด่งตรง ริมฝีปากหยักและแนวกรามแกร่ง ก็กลับกลายเป็นความหล่อเหลาอย่างผู้ชายแท้ๆ ที่แม้แต่เอี๊ยมกันเปื้อนสีครีมก็ไม่สามารถลดทอนความเป็นบุรุษเพศลงไปได้

ท่าทางเขาใจดี คงพูดไม่ยากนัก...หญิงสาวคิดก่อนจะโค้งตัวรับคำทักทาย ทำให้เขารู้สึกตัว นัยน์ตากลมโตกะพริบนิดหนึ่ง ก่อนจะถามว่า “รับอะไรดีครับ” แล้วก้าวยาวๆ ไปที่ตู้ไอศกรีม

“ฉันชื่อริสา” เธอโค้งอีกครั้ง “ยินดีที่ได้รู้จัก” ภาษาเกาหลีที่พูดออกมานั้นถูกต้องและสุภาพดีเลยทีเดียว

“ครับ” เขารับคำอย่างงุนงง นึกไปว่าในวัฒนธรรมของเธออาจะต้องแนะนำตัวให้เจ้าของร้านรู้จักก่อนจะสั่งอาหารกระมัง...ก็แปลกดี...สาวน้อยคนนี้มาจากประเทศอะไรกันแน่นะ...

“ผมจงจินครับ” เขาถือเป็นมารยาทที่จะต้องบอกชื่อกลับเช่นกัน ก่อนจะถามซ้ำ “รับอะไรดีครับ ไอศกรีมผลไม้มีหลายอย่างเลย หรือชอบพวกรสนมเราก็มีนะครับ จะเลือกที่ตู้ หรือนั่งดูเมนูก่อนก็ได้”

“เอ้อ...” ในเมื่อเขาเลื่อนเก้าอี้หวายที่โต๊ะปูผ้าลูกไม้ให้ ริสาก็เลยนั่งลง

ชายหนุ่มวางเมนูสีสวยพร้อมแก้วน้ำเปล่า แล้วถอยไปยืนรอ

ริสาเหลือบมอง เม้มปากคิดนิดหนึง แล้วรวบรวมความกล้าบอกไปว่า “ฮานึนออนนี่ส่งฉันมาทำงานที่นี่ค่ะ”

นัยนตากลมสวยเหลือบมองหล่อนอย่างแปลกใจ “คุณว่าไงนะ”

“คุณก็รับสมัครคนงานอยู่นี่คะ พี่ฮานึนบอกว่า เมื่อมาถึงเกาหลีแล้ว ก็ให้ฉันมาหาคุณ เพื่อจะได้ทำงานที่ร้านนี้”

“พี่สาวไม่เคยบอกผมเลย...”

“พี่เขาเขียนอีเมล์มาหาคุณแน่นอน” ริสายืนยัน

“งั้นคุณรอเดี๋ยวนะ” เขาเดินไปหลังเคาน์เตอร์ กดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คอย่างว่องไว แล้วก้มลงจ้องไปที่จออย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

มือแข็งแรงยกขึ้นลูบต้นคอด้วยความเก้อเขิน เมื่อเขาบอกเธอด้วยน้ำเสียงลุแก่โทษว่า “ผมลืมเช็คเมล์ พี่ฮานึนส่งมาตั้งหลายวันแล้วนะนี่”

“ฉันรู้จักกับฮานึนออนนี่ที่เมืองไทย” เธอเริ่มเล่า

“แทกุก...อ้อ คุณมาจากประเทศไทยนั่นเอง...” เขาพยักหน้า สาเหตุใหญ่ที่ฮานึนทิ้งโครงการนี้ ก็เพราะต้องย้ายตามสามีที่เป็นวิศวกรไปทำงานในเมืองไทย พี่สาวของเขาไม่อยากให้ครอบครัวต้องแยกจากกัน ยิ่งมีลูกเล็ก ก็รู้สึกว่าควรอยู่ใกล้พ่อ และเขาก็เข้าใจในข้อนี้

“ฉันสอนภาษาไทยให้พี่เขยของคุณ” ริสาให้ข้อมูลเพิ่มเติม “แล้วก็เป็นพี่เลี้ยงให้จงฮยอนด้วย เขาน่ารักมากเลย ฉันคิดถึงจัง”

“ใช่ เขาน่ารัก” จงจินยิ้มเมื่อพูดถึงหลานชายวัยสองขวบ

“ที่ฉันมานี่ ก็เพื่อเรียนภาษาเกาหลีต่อ พี่ฮานึนเลยบอกว่า ในเมื่อฉันพอพูดได้ในระดับหนึ่งแล้ว ก็ควรหางานทำ และน้องชายของเธอเปิดร้านไอศกรีม คงจะอยากได้คนช่วยบ้าง”

“แต่ผมอยากได้คนที่อยู่นานๆ” เขาส่ายหน้า “ไม่ใช่มาพักเดียวก็ไป”

“ฉันอยู่หลายเดือนเลยแหละ” ริสาย้ำด้วยการพยักหน้า

“ผมอยากได้คนที่อยู่หลายๆ ปี ผมขี้เกียจฝึกใหม่” จงจินไม่ยอมสบตาเศร้าอ้อนวอนคู่นั้น ถ้ามองเธออีกแค่วินาทีเดียว เขาต้องใจอ่อนแน่ๆ

“ร้านของคุณ ไม่มีคนเลยนะ” ริสาพูดกับแผ่นหลังของเขา

“ช่วงนี้เงียบหน่อย” เขายอมรับ “แต่ก็มีเข้ามาบ้างแหละ”

“ฉันเห็นเดินไปร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามกันเกือบหมด” เสียงใสๆ ยังคงตอกย้ำให้เขาเจ็บปวดต่อไป จงจินหลับตานับหนึ่งถึงสิบ ก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าหล่อน

เขาพลาดไปเสียแล้ว นัยน์ตาเศร้าคู่นั้นเมื่อคลอด้วยหยาดน้ำก็ยิ่งสวยและน่าสงสารหนักขึ้นอีก!

“นี่คือเหตุผลที่คุณไม่รับผู้ช่วย หรือว่าคุณเห็นหน้าฉันแล้วไม่ถูกชะตา”

“เปล่า” เขาส่ายหน้า “ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”

“แล้วทำไมล่ะ”

“ผมแค่อยากได้คนประจำที่อยู่นานๆ” เขาไม่กล้าบอกว่าตั้งใจจะขยายสาขา เพราะแค่ร้านนี้ ก็ยังไม่มีลูกค้าเลย

“หาคนที่ช่วยคุณได้ในตอนนี้ ไม่ดีหรือคะ คุณเองก็ติดประกาศรับสมัครอยู่นี่นา” ริมฝีปากอิ่มเม้มดื้อดึง

“ทำไมคุณอยากทำงานที่นี่ล่ะ” เขาย้อนถาม

“ก็แค่หารายได้พิเศษ ฉันมีเงินติดตัวมาไม่มากนักหรอก จ่ายค่าเทอม ค่าหอแล้ว ก็คงอยู่ได้สักเดือนละมั้ง” เธอตอบหน้าตาเฉย

“อะไรนะ!” เขาเผลอตัวอุทานเสียงดัง “แล้วกล้ามาได้ยังไง”

“ฉันอยากมาเรียนต่อ” น้ำตาเอ่อขึ้นมาอีก “ก็แค่ทำตามความฝัน...” เสียงหวานอ้อนวอน “แล้วฮานึนออนนี่ก็บอกว่ามาทำงานกับคุณได้ ฉันกินไม่เปลือง เสื้อผ้าก็ขนมาแล้ว นอกเหนือจากค่าเทอมกับค่าหอ ก็ไม่มีอะไรต้องใช้จ่ายมากนัก ค่าแรงจากการทำงานคงจะพอใช้”

“ถ้าหางานไม่ได้ล่ะ” เขาเริ่มปวดหัว พี่ฮานึนส่งเด็กคนนี้มาแบบมัดมือชกแท้ๆ ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ชอบถูกบังคับ พี่สาวของเขานี่เผด็จการไม่หายเลย...

“ก็อดข้าว...” เธอทำตาละห้อย “กินบะหมี่ถ้วยทุกมื้อ...จนกว่าจะมีงาน...”

“คุณพูดเกาหลีคล่อง คงหางานที่อื่นไม่ยาก” เขาพยายามทำใจแข็งเข้าไว้

“ขนาดคุณ ยังไม่รับฉันเลย” เธอซบหน้าลงกับโต๊ะ “ฮือ...”

“โอ๊ะ...อย่าร้องๆ” จงจินละล้าละลัง จนไม่ทันสังเกตว่านัยน์ตาเรียวแอบเหลือบมองปฏิกิริยาของเขา

“ฮานึนออนนี่ฝากมา และคุณก็หาคนช่วย แต่ก็ไม่รับ” น้ำเสียงกล่าวหาเจือสะอื้น “คนเกาหลีอื่นๆ ที่ไม่รู้จักจะรับฉันเหรอ”

“ก็...เดี๋ยวผมช่วยหาให้ไหม”

จู่ๆ เธอก็เงยหน้าขึ้นจ้องตา จนเขาไม่ทันตั้งตัว “เอางี้ดีกว่า”

“อะไร” จงจินแทบสะดุ้ง ไม่รู้ว่าเจ้าหล่อนจะมาไม้ไหนอีก

“ฉันลองทำงานให้คุณฟรีๆ อาทิตย์นึง ถ้าคนไม่เยอะ ฉันให้เหยียบ...เอ๊ย...ไม่ใช่...ให้คุณไล่ฉันได้เลย...แล้วฉันจะไม่มารบกวนคุณอีก”

“ทำยังไง”

“รับฉันก่อนสิ แล้วฉันจะบอก” เธอต่อรอง ยังคงพยายามทำสีหน้าเศร้าสลด

“รับคุณ...”

“ใช่ คุณมีอะไรต้องเสียเหรอ” เธอเผลอถามเสียงดัง ก่อนจะกลับไปทำท่าน่าสงสารอีก

“นั่นสิ...ผมมีอะไรต้องเสีย...” ชายหนุ่มพึมพำ “ก็ได้ มาลองงานอาทิตย์เดียวนะ ผมให้คุณกินไอศกรีมกับเครื่องดื่มฟรีวันละถ้วย กับรับทิปไปได้ ถ้าผ่านโปรค่อยมาว่ากันเรื่องเงินเดือน ดีไหม”

“ขอบคุณ” เธอโค้งแล้วโค้งอีก “คัมซา...ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ”

“จะเริ่มงานเมื่อไหร่” เขาถามแก้เขิน นัยน์ตากลมใสกระพริบประกายหัวเราะกับท่าทางกระตือรือร้นของหญิงสาว

“เดี๋ยวนี้เลย” เธอลุกขึ้นเดินสำรวจร้าน....ระหว่างที่เขายืนงง เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอรับหญิงสาวเข้าทำงานไปแล้ว!

“ก่อนอื่นนะ” ร่างเล็กหันขวับมาประกาศ “คุณต้องไปหากระดานดำมา ตั้งขวางทางเท้าข้างหน้านั่นไว้”

“ผมเขียนรายการไอศกรีมไว้หน้าร้านแล้วนี่”

“บอร์ดติดกำแพงใช้ไม่ได้ คุณต้องขวางให้คนสะดุด เขาจะได้สนใจ เป็นหลักการตลาด”

“สำนักไหนเหรอ”

“สำนักริสานี่ละ...” เธอยกแขนกอดอก ยืดตัวขึ้นจนสุดความสูง แต่ก็ยังเลยไหล่เขามานิดเดียว “บางคนเขาอาจไม่ได้สังเกตร้านไอศกรีม ต้องเงยหน้าถึงจะเห็นป้าย ส่วนกระบุงตะกร้าจักรยานอะไรของคุณนั่น มันก็น่ารักดี แต่มีอะไรสื่อถึงความเป็นไอศกรีม หรือชวนเชิญให้เข้ามาบ้างไหม...ไม่มี... เก้าอี้ยาวทำให้คนนั่งพักขาได้ฟรีๆ แทนที่จะเข้ามาจ่ายเงินให้คุณ” เธอย่นจมูก “ต้องเอากระดานดำเขียนรายการใหม่ๆ ขวางทางไว้ ไปสังเกตสิ ร้านอื่นๆ เขาก็ทำกันนะ”

“โอเค” เขาเปิดสมุดโน้ตเล็กๆ ที่มีไว้รับออเดอร์ แล้วจดคำแนะนำของเธอลงไป “ลองดู ก็ไม่เสียหาย”

“ข้อสอง” ปลายจมูกแหลมๆ ยื่นเข้าไปหาสมุดในมือของเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เอาไอศกรีมมาให้ฉันชิมหน่อย”

“อะไรนะ”

“ฉันต้องชิมดู ว่าอร่อยจริงหรือมีอะไรต้องแก้ไข” ริสาวางท่าราวกับนักการตลาดใหญ่ และท่าทางน่ารักน่าขันนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มเดินไปตักไอศกรีมมาโดยดี

“อร่อย!” หญิงสาวอุทาน “แบบนี้ขายได้ไม่ยากหรอก” คำพูดของเธอเรียกรอยยิ้มกว้างจากเขา

“ลูกค้าที่เคยชิม มักจะกลับมาอีก” เขาบอกด้วยแววตาเปี่ยมความหวัง “ถ้าอากาศร้อนกว่านี้อีกนิด ก็คงจะมีคนเยอะ”

“บางที การกินไอศกรีมก็ไม่ใช่เพื่อแก้ร้อนหรอก” ริสาแย้ง “คุณเคยไปเมียงดงไหม”

“มีใครไม่เคยไปเมียงดงบ้าง” เขาถาม ย่านที่เปรียบได้กับสยามสแควร์ของไทย เป็นศูนย์กลางของนักช้อปปิ้งหลากหลายวัย และเต็มไปด้วยอาหารอร่อยมากมาย ที่ใครๆ ก็รู้จัก ทำไมจงจินถึงจะไม่เคยไป

“แล้วทำไมคุณไม่ทำอย่างเขา” เธอย้อนถาม

“ทำอะไร” เขาลงนั่งตรงข้ามเธอ ด้วยท่าทางพร้อมจด

“คุณเห็นร้านเครื่องสำอางไหม” ริสาชะโงกเข้าไปหา จ้องตาเขาอย่างจริงจัง “ไม่ว่าจะร้านไหนในเมียงดง เขาจะมีพริตตี้แต่งตัวสวยๆ มายืนเรียกลูกค้า เอาสำลีล่อให้เข้าร้านไงล่ะ”

“แล้วเกี่ยวอะไรกับไอศกรีม” ชายหนุ่มงง

“อ้าว...ในเมื่อเราเป็นแบรนด์ใหม่ คนยังไม่กล้าลอง คุณก็ควรจะมีพริตตี้ ยืนแจกไอศกรีมหน้าร้าน ลงทุนหน่อยให้คนชิม อย่างน้อยต้องมีคนเกรงใจ...เอ๊ย...ติดใจแล้วเข้ามานั่งในร้านเพิ่มแน่นอน”

“ไอเดียดีแฮะ” เขาเอียงคอมอง “แล้วยังไงอีก”

“สำหรับช่วงที่อากาศยังเย็น เราควรจะมีอะไรที่อบอุ่นโรแมนติก ไว้ดึงดูดใจสาวๆ ด้วย”

“พูดเป็นเล่น” เจ้าของร้านถอนใจ “ไอศกรีมอุ่นๆ มีด้วยหรือ”

“เจ้านาย...” ริสาโมเมเรียกก่อนเขาจะเปลี่ยนใจ “ฉันหมายถึง เราอาจจะทำไอศกรีมฟองดูว์ ตักไอศกรีมรสต่างๆ เป็นก้อนเล็ก เสิร์ฟบนจานเย็นเฉียบ กับช็อกโกแลตละลายในหม้อที่จุดไฟไว้ข้างใต้ ความเรืองรองของแสงไฟ และไออุ่นจากช็อกโกแลต เคลือบบนไอศกรีมหวานหอมให้ดูอบอุ่นขึ้นมาได้ เราไม่ต้องการของร้อนอะไรมากมายหรอกในอากาศแบบนี้ แค่ความรู้สึกดีๆ ที่ชวนให้อยากทานก็พอ”

คราวนี้ สมุดโน้ตของจงจินมีภาพสเก็ตช์จานไอศกรีมกับหม้อช็อกโกแลตฟองดูว์ประกอบข้อความด้วย

“แล้วเราก็ควรจะเพิ่มเครื่องดื่มร้อนเข้ามาบ้าง ง่ายๆ กาแฟ ชา ก่อนในขั้นต้น โดยให้มีรสพิเศษสำหรับรับฤดูใบไม้ผลิ เลือกชาให้เข้ากันกับไอศกรีมดอกไม้ผลไม้ของคุณ ขายเป็นชุด ชวนให้สาวๆ มาทานแทนที่จะเข้าร้านเค้ก เราอาจจะบอกว่า ไขมันต่ำกว่าขนมอบ และไม่ได้เย็นจนเกินไปในอากาศแบบนี้”

เจ้าของร้านได้แต่พยักหน้ารับฟัง ก่อนจะมองตามเมื่อเจ้าหล่อนลุกขึ้นสำรวจตู้ไอศกรีม

“คุณควรมีท้อปปิ้งน่ารัก สีสวยๆ ให้ลูกค้าเลือกโรยหน้า แล้วเราก็คิดราคาเพิ่มได้อีก” ริสาบอก “ถ้าคุณซื้อเครื่องทำวาฟเฟิล ฉันมีสูตรอย่างหนาและบางกรอบ ม้วนเป็นกรวยไอศกรีมแบบทำเองได้ หอม อร่อย คุกกี้ไทยๆ อย่างทองม้วน ก็ใช้แต่งไอศกรีมได้เข้ากัน เราต้องมีอะไรเพิ่มเข้ามา”

“ผมจะไปหาพริตตี้ได้ที่ไหน” เขาถาม

“ก็ฉันนี่ไง คุณลงทุนซื้อชุดให้หน่อยแค่นั้นเอง”

ริสายิ้มหวานให้คุณเจ้าของร้านรูปหล่อ ไม่บอกให้รู้หรอกว่า ทั้งหมดที่พูดไปนั้น ฮานึนออนนี่แนะนำมา ตัวริสาเองรู้เรื่องจัดการร้านไอศกรีมเสียที่ไหน อย่างมากก็ซื้อใส่โคนกินเล่น ไม่เคยคิดอะไรไกลอยู่แล้ว

โชคดีที่เจ้านายรับฟัง และในที่สุด ริสาก็จะมีแหล่งรายได้ประจำ ทำให้ชีวิตในเกาหลีมั่นคงยิ่งขึ้น ซึ่งก็เป็นเรื่องดี เพราะตอนนี้ ริสาไม่อยากกลับบ้านเลย...

บ้าน...ที่มีแต่เรื่องชวนให้ปวดหัว และปวดใจ...จนอยากจะหนีไปให้ไกลที่สุด...







ภานินี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ค. 2554, 03:55:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 เม.ย. 2555, 21:05:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 1552





   เริ่มงาน >>
ptyks 21 ก.ค. 2554, 09:08:27 น.
น่าสนใจค่ะ จะคอยติดตามนะคะ


namon 21 ก.ค. 2554, 10:23:23 น.
พี่นุ่น...ไวมากๆอิอิ เพิ่งคุยกันว่าจะเอานิยายมาลง พี่นุ่นมาลงแล้วนะเนี่ย จะติดตามให้กำัลังใจนะคะ ^_^


ภานินี 21 ก.ค. 2554, 12:54:00 น.
@ptyks เม้นแรกของเรื่องนี้ ! ขอบคุณมากค่ะ
@namon ตามไปอ่านแล้วเพิ่งเห็นค่ะ ชื่อบทคล้ายกันเลย ไม่เป็นไรไว้พี่ค่อยเปลี่ยนทีหลังเนอะ


namon 21 ก.ค. 2554, 15:49:44 น.
พี่นุ่น..ไม่มีปัญหาค่า เพราะว่าตอนร่วมเล่มหนูไม่เคยใส่ชื่อบทอยู่แล้วค่ะ มีแค่บทที่1-2-3 อะไรประมาณนี้ ชื่อตอนชื่อบทไม่มี ดังนั้นพี่นุ่นเชียนตามสบายเลยจ้ะ ไม่ต้องเปลี่ยน ^_^ ..... ณ มน


แสนดี 22 ก.ค. 2554, 19:29:25 น.
กรี๊ดๆๆๆ พระเอกเป็นเกาหลี คนนี้สู่ขอไว้เลยนะพี่นุ่น อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account