ตราบฟ้าไร้ดาว
พี่หิน หนุ่มน้อยนิรนาม ผู้มามอบโลกใบใหม่ที่สดใสสวยงามให้น้องเอ๋ย และจากไปพร้อมกับโลกใบนั้น
ทิ้งไว้แต่โลกมืด โลกไร้สุขและสิ้นหวังเอาไว้ให้
น้องสาวที่เขาเองก็รักปานดวงใจ
‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’
‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’
‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
วรินรำไพ หรือ เอ๋ย หญิงสาวผู้ไม่หลงเหลือหัวใจให้ใครได้แล้ว
นอกจาก 'พี่หิน' คนเดียวเท่านั้น
“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”
น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”
“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”
ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน
“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”
ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”
กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย
และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”
ชลธิป จิระธนานนท์ หรือ คุณร๊อค
ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ผู้ที่หวนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักปานดวงใจ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งวินาทีสุดท้าย
“นรกสำหรับคุณไง!”
เขาคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วกระชากตามตัวไปอย่างแรง
“เงียบทำไม! ถึงเวลาที่คุณจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้แล้ว ว่าคุณทำยังไงถึงได้รอดจากการติดคุก ถ้าเหตุผลเพียงเพราะคุณอยากได้ตัวผม เงินผม คุณก็บอกมาดีๆ สิ ผมจะจัดให้!”
“...”
“เงียบทำไม! คุณบอกผมมาสิว่าทำไม! ตอบผมมาให้ได้! ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณเอง! ตอบผมมา!!!”
ประตูห้องเปิดออกได้ ร่างผอมบางก็ถูกกระชากแขนอย่างแรงเข้าไปในห้องจนกระแทกกับตู้เสื้อผ้า ทว่าวริญรำไพก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา นอกจากมีน้ำตาไหลรินอาบสองแก้มเท่านั้น
“คุณพูดไม่ออกเหรอ! หรือบอกผมไม่ถูกว่าคุณใช้วิธีไหน ถึงได้รอดคุกมา!”
“ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
“ผมไม่โง่พอที่จะเชื่อคำของคุณ เหมือนพ่อผม เหมือนพ่อตาผม เหมือนทนายนั่น หรือเหมือนไอ้หน้าโง่คนไหนทั้งนั้น เพราะผมรู้ดีว่าคุณมันแผนสูง คุณมันเก่งเรื่องมารยาสาไถจนผมเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้ว บอกผมมาสิ ว่าคุณไปทำอีท่าไหนทุกคนถึงได้เชื่อคุณนัก คุณลงทุนเอาตัวไปประเคนให้ถึงเตียง เหมือนที่ประเคนให้ไอ้ล่ำนั่นหรือเปล่า!!!”
“ฉันเปล่า คุณกำลังเข้าในฉันผิด”
“ใช่! ผมเข้าใจคุณผิด ผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าคุณมันเป็นคนดี! คนซื่อ คนสะอาดบริสุทธิ์! แต่ตอนนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคุณมันเลวยังไง! คดยังไง! สปรกแค่ไหน! ในตัวคุณมันเต็มไปด้วยคราบคาวของผู้ชายรวยๆ กี่สิบคนแล้ว หรือกี่เที่ยวแล้วล่ะ คุณถึงได้พ้นผิด คุณไปแบให้ตั้งแต่ร้อยเวรที่โรงพักยันไอ้ทนายมือหนึ่งนั่นเลยหรือเปล่า! พวกเขาถึงได้เชื่อ จนปล่อยให้คุณออกมายืนหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะทำให้ผมเชื่อเหมือนคนพวกนั้นบ้างแล้วล่ะ”
“ไม่จริง! ฉันไม่เคยทำอะไร คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น!”
“ผมไม่เชื่อ!!! หรือถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ก็ให้ผมพิสูจน์สิ! ว่าคุณมันบริสุทธิ์จริง! อย่าดีแต่เสแสร้ง!” เขาเข้าไปจับสองไหล่เหวี่ยงไปหาเตียง
“โอ๊ย!!!”
จนร่างผอมๆ ร้องด้วยความจุก “คุณเจ็บเหรอ! แค่นี้มันยังน้อยไป! มันยังไม่สาสมที่คุณทำให้ผมเจ็บ! ต่อไปนี้คุณก็เชิญมีชีวิตอยู่ในขุมนรกกับผมก็แล้วกัน!”
ร่างเล็กๆ ถูกร่างใหญ่ๆ ล็อกไว้กับเตียงทันที ปากก็ร้องขอ อ้อนวอนต่อเขาทั้งน้ำตา “อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่า!!!”
“นี่เป็นคือคำพิพากษาสูงสุดจากผมสำหรับผู้หญิงชั่วอย่างคุณ!!!”
“อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำ...”
เรี่ยวแรงในกายที่เคยมีตอนนี้หดหายไปหมดแล้ว เมื่อถูกอีกกายตรึงไว้กับเตียงใหญ่ แล้วระดมจูบอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จนเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเขายื่นความจำนงค์ให้รู้อย่างโจ่งแจ้ง
“อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่าทำอย่างนี้กับฉัน!!!”
“อย่ามาขอชีวิตจากยมบาลอย่างผม! เพราะไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรแน่!!! คุณต้องตาย! และต้องตายทั้งเป็นด้วย!!!”
ดลยา นิติพงษ์พาณิชย์ หรือ คุณย่า
สาวผู้เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และมีเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เพราะเธอนั้นแสนดีจนเป็นที่เลื่องชื่อ
จนได้หัวใจของชลธิปไปครอบครอง
“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”
พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน
“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”
ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”
“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”
ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน
อติรัตน์ จิระธนานนท์
ผู้หญิงที่กุมชะตากรรมทุกคนไว้ในมือ
ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น
นอกจากหน้าตาทางสังคม ความเหมาะสม และผลประโยชน์
“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนกับฉันให้มากความหรอก!! เท่าไหร่บอกมา!!!”
“ห้าล้านพอมั้ย!!!” อติรัตน์รีบยื่นข้อเสนอ
“ถ้าน้อยไปก็สิบล้าน!!! แล้วเธอก็ต้องปิดปากให้เงียบ!!! อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!!!”
“งั้นก็ยี่สิบล้าน! ค่าช่วยชีวิตลูกฉัน อีกสิบล้าน! สำหรับเธอที่ต้องปิดปากเงียบ อีกสิบล้าน! สำหรับการเดินไปจากชีวิตลูกฉันซะ และอีกสิบล้าน! สำหรับการไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาหาลูกฉันอีก ทั้งหมดห้าสิบล้าน!!! ฉันว่าเธอรวมคนทั้งเกาะหาไปตลอดชาติก็ไม่มีทางได้เห็นเงินก้อนนี้ด้วยซ้ำ”
“ว่าไง!! จะเอาหรือไม่เอา! อย่ามาลีลาเพื่อจะขึ้นค่าปิดปากนะฉันไม่ชอบ! หรืออยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา! ฉันจะชดใช้ให้!!!”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกมาอยากได้เท่าไหร่ฉันจะจ่าย!!!”
“อย่ามาตีฝีปากกับฉัน!!! เธออยากได้อะไรฉันจะชดใช้ให้!!!”
“บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่! ฉันจะจ่ายให้!!! แล้วรีบไสหัวออกไปจากชีวิตพวกฉันสักที!!! ฉันเบื่อที่จะต้องตามแก้ปัญหาที่เธอคอยตามสร้างให้เต็มทีแล้ว!!!”
“ทำไมฉันต้องสนด้วย!!!”
==========================================================
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย
หนึ่งคอมเม้นต์คือหนึ่งแรกผลักดันและกำลังใจของคนเขียนนะคะ
แต่ยินดีต้อนรับนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ
นิยายของกันเกราเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับ สนพ. ยินดีจะลงให้อ่านจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนทำสัญญาแล้ว ขออนุญาตลงแค่ครึ่งเดียวนะคะ
ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้เรื่อยมา
ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม
ทิ้งไว้แต่โลกมืด โลกไร้สุขและสิ้นหวังเอาไว้ให้
น้องสาวที่เขาเองก็รักปานดวงใจ
‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’
‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’
‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
วรินรำไพ หรือ เอ๋ย หญิงสาวผู้ไม่หลงเหลือหัวใจให้ใครได้แล้ว
นอกจาก 'พี่หิน' คนเดียวเท่านั้น
“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”
น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”
“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”
ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน
“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”
ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”
กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย
และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”
ชลธิป จิระธนานนท์ หรือ คุณร๊อค
ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ผู้ที่หวนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักปานดวงใจ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งวินาทีสุดท้าย
“นรกสำหรับคุณไง!”
เขาคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วกระชากตามตัวไปอย่างแรง
“เงียบทำไม! ถึงเวลาที่คุณจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้แล้ว ว่าคุณทำยังไงถึงได้รอดจากการติดคุก ถ้าเหตุผลเพียงเพราะคุณอยากได้ตัวผม เงินผม คุณก็บอกมาดีๆ สิ ผมจะจัดให้!”
“...”
“เงียบทำไม! คุณบอกผมมาสิว่าทำไม! ตอบผมมาให้ได้! ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณเอง! ตอบผมมา!!!”
ประตูห้องเปิดออกได้ ร่างผอมบางก็ถูกกระชากแขนอย่างแรงเข้าไปในห้องจนกระแทกกับตู้เสื้อผ้า ทว่าวริญรำไพก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา นอกจากมีน้ำตาไหลรินอาบสองแก้มเท่านั้น
“คุณพูดไม่ออกเหรอ! หรือบอกผมไม่ถูกว่าคุณใช้วิธีไหน ถึงได้รอดคุกมา!”
“ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
“ผมไม่โง่พอที่จะเชื่อคำของคุณ เหมือนพ่อผม เหมือนพ่อตาผม เหมือนทนายนั่น หรือเหมือนไอ้หน้าโง่คนไหนทั้งนั้น เพราะผมรู้ดีว่าคุณมันแผนสูง คุณมันเก่งเรื่องมารยาสาไถจนผมเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้ว บอกผมมาสิ ว่าคุณไปทำอีท่าไหนทุกคนถึงได้เชื่อคุณนัก คุณลงทุนเอาตัวไปประเคนให้ถึงเตียง เหมือนที่ประเคนให้ไอ้ล่ำนั่นหรือเปล่า!!!”
“ฉันเปล่า คุณกำลังเข้าในฉันผิด”
“ใช่! ผมเข้าใจคุณผิด ผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าคุณมันเป็นคนดี! คนซื่อ คนสะอาดบริสุทธิ์! แต่ตอนนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคุณมันเลวยังไง! คดยังไง! สปรกแค่ไหน! ในตัวคุณมันเต็มไปด้วยคราบคาวของผู้ชายรวยๆ กี่สิบคนแล้ว หรือกี่เที่ยวแล้วล่ะ คุณถึงได้พ้นผิด คุณไปแบให้ตั้งแต่ร้อยเวรที่โรงพักยันไอ้ทนายมือหนึ่งนั่นเลยหรือเปล่า! พวกเขาถึงได้เชื่อ จนปล่อยให้คุณออกมายืนหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะทำให้ผมเชื่อเหมือนคนพวกนั้นบ้างแล้วล่ะ”
“ไม่จริง! ฉันไม่เคยทำอะไร คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น!”
“ผมไม่เชื่อ!!! หรือถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ก็ให้ผมพิสูจน์สิ! ว่าคุณมันบริสุทธิ์จริง! อย่าดีแต่เสแสร้ง!” เขาเข้าไปจับสองไหล่เหวี่ยงไปหาเตียง
“โอ๊ย!!!”
จนร่างผอมๆ ร้องด้วยความจุก “คุณเจ็บเหรอ! แค่นี้มันยังน้อยไป! มันยังไม่สาสมที่คุณทำให้ผมเจ็บ! ต่อไปนี้คุณก็เชิญมีชีวิตอยู่ในขุมนรกกับผมก็แล้วกัน!”
ร่างเล็กๆ ถูกร่างใหญ่ๆ ล็อกไว้กับเตียงทันที ปากก็ร้องขอ อ้อนวอนต่อเขาทั้งน้ำตา “อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่า!!!”
“นี่เป็นคือคำพิพากษาสูงสุดจากผมสำหรับผู้หญิงชั่วอย่างคุณ!!!”
“อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำ...”
เรี่ยวแรงในกายที่เคยมีตอนนี้หดหายไปหมดแล้ว เมื่อถูกอีกกายตรึงไว้กับเตียงใหญ่ แล้วระดมจูบอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จนเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเขายื่นความจำนงค์ให้รู้อย่างโจ่งแจ้ง
“อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่าทำอย่างนี้กับฉัน!!!”
“อย่ามาขอชีวิตจากยมบาลอย่างผม! เพราะไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรแน่!!! คุณต้องตาย! และต้องตายทั้งเป็นด้วย!!!”
ดลยา นิติพงษ์พาณิชย์ หรือ คุณย่า
สาวผู้เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และมีเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เพราะเธอนั้นแสนดีจนเป็นที่เลื่องชื่อ
จนได้หัวใจของชลธิปไปครอบครอง
“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”
พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน
“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”
ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”
“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”
ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน
อติรัตน์ จิระธนานนท์
ผู้หญิงที่กุมชะตากรรมทุกคนไว้ในมือ
ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น
นอกจากหน้าตาทางสังคม ความเหมาะสม และผลประโยชน์
“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนกับฉันให้มากความหรอก!! เท่าไหร่บอกมา!!!”
“ห้าล้านพอมั้ย!!!” อติรัตน์รีบยื่นข้อเสนอ
“ถ้าน้อยไปก็สิบล้าน!!! แล้วเธอก็ต้องปิดปากให้เงียบ!!! อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!!!”
“งั้นก็ยี่สิบล้าน! ค่าช่วยชีวิตลูกฉัน อีกสิบล้าน! สำหรับเธอที่ต้องปิดปากเงียบ อีกสิบล้าน! สำหรับการเดินไปจากชีวิตลูกฉันซะ และอีกสิบล้าน! สำหรับการไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาหาลูกฉันอีก ทั้งหมดห้าสิบล้าน!!! ฉันว่าเธอรวมคนทั้งเกาะหาไปตลอดชาติก็ไม่มีทางได้เห็นเงินก้อนนี้ด้วยซ้ำ”
“ว่าไง!! จะเอาหรือไม่เอา! อย่ามาลีลาเพื่อจะขึ้นค่าปิดปากนะฉันไม่ชอบ! หรืออยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา! ฉันจะชดใช้ให้!!!”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกมาอยากได้เท่าไหร่ฉันจะจ่าย!!!”
“อย่ามาตีฝีปากกับฉัน!!! เธออยากได้อะไรฉันจะชดใช้ให้!!!”
“บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่! ฉันจะจ่ายให้!!! แล้วรีบไสหัวออกไปจากชีวิตพวกฉันสักที!!! ฉันเบื่อที่จะต้องตามแก้ปัญหาที่เธอคอยตามสร้างให้เต็มทีแล้ว!!!”
“ทำไมฉันต้องสนด้วย!!!”
==========================================================
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย
หนึ่งคอมเม้นต์คือหนึ่งแรกผลักดันและกำลังใจของคนเขียนนะคะ
แต่ยินดีต้อนรับนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ
นิยายของกันเกราเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับ สนพ. ยินดีจะลงให้อ่านจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนทำสัญญาแล้ว ขออนุญาตลงแค่ครึ่งเดียวนะคะ
ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้เรื่อยมา
ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: หนุ่มน้อยนิรนาม ๑๐๐%
“พี่สินอิ่มแล้วเหรอจ้ะ”
“ใช่ พี่ไปดูของลงเรือก่อนนะ”
แล้วทุกคนก็ต้องรีบกินรีบแยกย้ายไปช่วยกันหอบข้าวของไปลงเรือ พอเสร็จสรรพตรงฝั่งก็มีเพียงหินกับวริญรำไพเท่านั้นที่ยืนส่งพ่อแม่แล้วก็ใหญ่ ส่วนยายยวงเข้านอนก่อนเพราะปวดหัว
“เป็นห่วงลูกจังพี่” และทั้งสองไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่ามีผู้แม่ห่วงใยมากแค่ไหน
“จะห่วงทำไมล่ะไพ อีกไม่กี่วันเราก็กลับแล้ว ดีซะอีกจะได้มีหินคอยดูแลเวลาเราไม่อยู่ พี่ว่ามันปลอดภัยกว่าให้ลูกอยู่กับยายแค่สองคนเท่านั้นนะ อีกอย่างบ้านเราก็ไม่มีอะไรสักหน่อย ขโมยขโจนก็ไม่เคยมี รีบไปเข้านอนเอาแรงเถอะจะได้ตื่นมาช่วยพี่กับใหญ่มัน”
อีกครั้งที่วสินเห็นว่าเมียวิตกกังวลมากไป เลยไม่ได้ให้ความสนใจมากไปกว่าท้องทะเลกว้างเบื้องหน้าที่เขาควบเรือตรงไป เป้าหมายคือแหล่งที่มีปลาชุกชุม และแข่งขันกับเรือเพื่อนบ้านคนอื่นๆ
เพื่อให้ได้กุ้งหอยปูปลากลับบ้านไปให้ได้มากที่สุด จะได้เอาไปขายแล้วมีเงินมาใช้จ่ายในบ้าน และเก็บไว้ยามฉุกเฉินบ้างเล็กๆ น้อยๆ
แล้วเขาก็ไม่ผิดหวังเลยสักนิด ที่เวลาอวนขึ้นแต่ละครั้งก็มีสิ่งที่อยากได้ติดมาด้วยเป็นกอบเป็นกำทำให้หายเหนื่อย และยิ่งหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเรือเทียบท่าแล้วนำมาซึ่งเงินเป็นของแลกเปลี่ยนกับปลาในเรือ
“พี่จ๊ะ ไพอยากซื้อเสื้อผ้ากับของกินเข้าบ้านด้วยจังเลย”
รำไพหันไปหาสามี “เอาสิ พี่ก็ว่าจะไปหาซื้อของไว้ปะอวนเหมือนกัน งั้นอีกชั่วโมงเรามาเจอกันที่เรือนะ ใหญ่ไปกับป้านะจะได้ช่วยหิ้วของ”
“จ้ะลุง”
หนุ่มร่างใหญ่สมชื่อทำตามอย่างว่าง่าย ส่วนวสินก็เดินลัดเลาะไปหาร้านประจำ แต่ระหว่างทางก็เห็นสองชายหนุ่มแต่งกายด้วยกางเกงยีนส์สีเข้ม เสื้อยืดสีดำ หมวกดำและแว่นตาดำกำลังเดินไปถามผู้คนในตลาดอย่างเอาเป็นเอาตาย และตรงดิ่งมาหาเขาทันทีเมื่อทั้งสองหันมาเห็น
“พี่ครับขอโทษทีนะครับ ไม่ทราบว่าเคยเห็นคนในรูปนี้บ้างหรือเปล่าครับ”
ทั้งสองยื่นรูปให้ดู วสินแทบไม่ต้องคิดนานก็รู้ว่านั่นคือ ‘หิน’ คนที่เขาช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อสองเดือนก่อนนั่นเอง แต่ด้วยความหวาดระแวงในตัวสองหนุ่มแปลกหน้า
อีกทั้งความไม่อยากเสียหิน ที่ดูเหมือนจะกลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้คนในบ้าน และอาจจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญถ้าถึงเวลาที่วสินพาออกเรือไปหาปลาแทนเมียในเที่ยวหน้าตามที่ตั้งใจไว้แล้ว
“ไม่เคยเลยครับ”
ทำให้วสินตอบออกไปอย่างไม่ยากเย็นนัก “ไม่เคยเห็นเลยเหรอครับพี่ ลองคิดดีๆ หน่อยสิครับ เผื่อจะเคยผ่านหูผ่านตา หรือเคยมีใครรู้จักบ้าง” สองหนุ่มไม่ยอมแพ้
วสินทำเป็นเอารูปขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้ง ทำท่าพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ย “เกาะนี้ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย แล้วผมก็รู้จักคนทุกคนบนเกาะนี้ ถ้ามีคนแปลกหน้ามาอยู่ผมหรือทุกคนในเกาะจะต้องรู้”
สองหนุ่มหันหน้าไปมองกันอย่างครุ่นคิด วสินเลยรีบสร้างความไขว้เขวให้อีกด้วยกัน “ผมว่าคุณลองไปดูเกาะอื่นดีกว่า อย่าเสียเวลาเลย ต่อให้คุณสองคนเที่ยวไปถามคนทั่วเกาะ ก็จะได้คำตอบแบบเดียวกับผมนี่ล่ะ”
แล้วก็เดินผละไปจากสองหนุ่ม โดยไม่เหลียวหลังกลับมามองอีก กระทั่งสองหนุ่มตัดสินใจเดินเคียงคู่กันไปทางท่าเรือ วสินจังหันไปยิ้มน้อยๆ ให้กับไหวพริบตัวเอง
“พี่หินเสร็จหรือยัง เร็วๆ เข้า เดี๋ยวจะไม่ทันพ่อกับแม่เอาเรือเข้าฝั่งนะ”
สาวน้อยวริญรำไพที่กำลังถูบ้านอยู่ ตะโกนลงไปหาอีกคนที่กำลังตักน้ำใส่โอ่งอย่างเร่งรีบไม่แพ้กัน
“ใกล้เสร็จแล้วๆ ว่าแต่เอ๋ยเถอะถูกบ้านใกล้เสร็จหรือยังล่ะมาเร่งพี่น่ะ”
“เอ๋ยเสร็จแล้วต่างหากล่ะ ว่าแต่พี่หินเหอะตักน้ำเต็มโอ่งหรือยัง” สาวน้อยเดินลงมาตามบันไดเล็กๆ แล้วยืนเอามือท้าวสะเอวอยู่ตรงใต้ถุนบ้าน ปากก็ร้องไปหาคนที่ยืนอยู่ตรงโอ่ง
“เสร็จเรียบร้อย” หินเทน้ำถังสุดท้ายเสร็จก็เต็มพอดิบพอดี
“งั้นเรารีบไปกัน เดี๋ยวไม่ทันพ่อกับแม่ แล้วเราก็จะได้กินขนมอร่อยๆ ด้วย” มือเล็กๆ ควักเรียกผู้พี่ไปอย่างเร่งรีบ “รู้ได้ยังไงว่าจะมีขนมน่ะ”
ผู้พี่ที่กำลังเอามือวิดน้ำในโอ่งล้างหน้าตา แขนขาอยู่ถามน้องอย่างไม่กระตือรือล้นนัก เพราะขนมกับวัยของเขาดูเหมือนจะห่างไกลกันยังไงไม่รู้
“อ้าว! ก็แม่จะต้องซื้อมาฝากเอ๋ยเวลาขึ้นฝั่งเอาปลาไปขายที่ตลาดทุกทีเลยไงล่ะ เร็วเข้าๆ มัวแต่ล้างตัวอยู่นั่นล่ะ” มือเล็กๆ กวักเรียกพี่อย่างระอาในความช้าไม่ทันใจ
“รู้แล้วๆ เร่งจริงเราน่ะ”
“ยายจ๋าเอ๋ยกับพี่หินจะไปรับพ่อกับแม่กับพี่ใหญ่นะจ๊ะ เดี๋ยวมาจ้า”
สาวน้อยร้องสั่งยายที่นั่งเลือกปลาแห้งอยู่ใต้ถุนอีกบ้านทันที และไม่รอให้ยายตอบรับใดๆ ก็รีบวิ่งนำหน้าผู้พี่ไปหาชายหาดแล้ว ทั้งสองเดินลัดเลาะไปตามแนวต้นไม้ใหญ่น้อยไม่นาน
ก็ถึงจุดที่พ่อจะต้องเอาเรือขึ้นเรียบร้อยแล้ว วริญรำไพใช้มือป้องแสงแดดแล้วมองออกไปหาทะเลกว้างอยู่ครู่หนึ่ง “พี่หิน! โน่นไง! พ่อกับแม่มาแล้ว!!!”
ก็ร้องตะโกนให้คนข้างๆ มองไปยังทิศทางที่มือชี้ไป เพราะเรือของพ่อแล่นอ้อมเกาะเล็กๆ เข้ามาพอดี รองเท้าแตะที่สวมอยู่ถูกสาวน้อยสบัดทิ้งทันที
“พ่อจ๋า แม่จ๋า! เอ๋ยอยู่นี่!!!”
แล้ววิ่งออกไป ปากก็ตะโกนเรียก แม้เรือของพ่อแม่จะอยู่ไกลยังไงแต่สาวน้อยก็ตะโกนอยู่ดี เพราะคิดถึงพ่อกับแม่ไม่น้อย หินเห็นแล้วก็อดยิ้มออกมาอย่างเป็นสุขใจไม่ได้
จนอดวิ่งไปยืนข้างๆ สาวน้อยไม่ได้ แต่ไม่ได้ตะโกนออกไปเท่านั้น เพราะรู้ดีว่าคนในเรือไม่มีทางจะได้ยินแน่ และก็อดสงสัยไม่ได้จนต้องหันไปถามเจ้าของใบหน้าเล็กๆ น่ารักๆ
“เอ๋ยมารอรับพ่อกับแม่ทุกครั้งเหรอ”
“ถ้าตรงกับวันที่เอ๋ยไม่ได้ไปเรียน เอ๋ยก็จะมาทุกครั้งจ้ะ พ่อกับแม่แล้วก็พี่ใหญ่จะดีใจเวลาเห็นเอ๋ยมารอรับแบบนี้ บางทียายก็มาเป็นเพื่อนด้วย”
ทำเอาคนพี่นึกสนุกขึ้นมาครามครัน เพราะนี่น่าจะเป็นประสบการณ์ใหม่ ที่ตัวเองอาจจะไม่เคยเจอมา หรือถ้าเจอก็อาจจะจำไม่ได้ “พี่อยากออกเรือไปหาปลาบ้างจัง”
“พี่ก็ขอพ่อสิจ๊ะ แล้วพี่หาปลาเป็นเหรอ” ปากตอบพี่ แต่ตามองเรือพ่อกับแม่ มือก็โบกไปมารอด้วยความดีใจ
“ไม่เป็นเลย” ส่วนพี่ทำเสียงอ่อย หน้าจ๋อย เพราะตัวเองไม่รู้วิธีออกเรือหาปลาสักนิดเดียว
น้องหันมาหาแล้วยิ้มให้พี่ พร้อมกับเสนอในสิ่งที่คิดว่าพี่จะต้องได้จากพ่อเป็นแน่ เพราะรู้ว่าพ่อใจดี “ก็ให้พ่อกับพี่ใหญ่สอนสิจ๊ะ”
“ลุงจะสอนพี่เหรอ ใหญ่ด้วย ท่าทางดุจะตายพี่ไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้”
“พ่อสอนพี่หินอยู่แล้ว พี่ใหญ่ก็เป็นแบบนั้นล่ะ ปากร้ายแต่ใจดีนะ” เพราะบ่อยครั้งที่มักจะเล่นกับใหญ่แล้วทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ใหญ่ก็ต้องยอมน้องทุกครั้งในตอนท้าย นั่นเลยทำให้น้องไม่คิดถือโทษโกรธพี่นัก
“ก็คงจะอย่างนั้น”
“ว่าแต่พี่จะอยากออกเรือไปหาปลาทำไมล่ะ”
“อ้าว! ตอนกลับมาจะได้เห็นเอ๋ยมายืนรอรับอยู่ตรงนี้ไงล่ะ ว่าแต่เอ๋ยจะมารับพี่มั้ย”
“มารับสิจ๊ะ ใครออกเรือเอ๋ยก็มารับทั้งนั้นล่ะจ้ะ” เพราะมักจะมีของฝากมาใส่มือด้วยครั้งด้วย นั่นทำให้สาวน้อยตื่นเต้นได้ไม่เคยเบื่อ
“จริงนะ” ใบหน้าคมคายหันไปมองคนข้างๆ อย่างอยากรู้
“จริงสิจ๊ะ แต่พี่หินต้องสัญญาว่าจะซื้อขนมมาฝากเอ๋ยด้วยนะ” สาวน้อยเลยได้โอกาสขอข้อแลกเปลี่ยนทันที ทำเอาอีกฝ่ายยิ้มร่าออกมาอย่างเป็นสุขใจ
“ได้เลย เอ๋ยอยากจะกินอะไรบอกพี่เลย รับรองพี่ซื้อมาฝากแน่”
“แม่จ๋า! พ่อจ๋า! เอ๋ยอยู่ทางนี้”
สาวน้อยส่งยิ้มให้ผู้พี่แล้วหันไปโบกมือให้พ่อกับแม่ที่แล่นเรือเข้าฝั่งเรียบร้อยแล้วทันที หินรีบวิ่งลงไปช่วยลากเชือกมาล่ามไว้กับต้นไม้ใหญ๋อย่างไม่เกี่ยงงอน แล้วก็รีบช่วยขนของออกจากเรือโดยไม่ต้องรอให้ใครบอก
“เอ๋ย! คิดถึงจังเลยลูกสาวแม่”
รำไพอ้าแขนรอรับร่างลูกสาวคนเดียวที่โผเข้าไปหาอย่างเป็นสุขใจ รวมทั้งวสินและสองหนุ่มด้วยที่เป็นสุขไม่แพ้กัน กับภาพแม่ลูกผูกพันตรงหน้า
“แม่ซื้อขนมมาฝากเอ๋ยหรือเปล่าจ๊ะ”
“มีเยอะแยะเลยจ้ะลูก แม่ซื้อเสื้อผ้ามาฝากเอ๋ยฝากยายแล้วก็ฝากหินด้วยนะ งั้นเราหิ้วของขึ้นบ้านก่อนแล้วค่อยดูนะ”
“จริงเหรอจ๊ะแม่ ไชโย้! เห็นมั้ยพี่หิน บอกแล้วว่าจะมีของฝากก็ไม่เชื่อ” สาวน้อยหันไปหาพี่ที่หอบของเต็มอกเดินลุยน้ำจากเรือมาหาฝั่งพร้อมกับยิ้มให้น้องเป็นการยอมแพ้
“พี่ก็ซื้อขนมมาฝากเอ๋ยด้วยนะ”
ธนากรตะโกนบอกมา แม้ตัวจะยังอยู่บนเรือก็ตาม สาวน้อยที่มืออีกข้างจูงมือแม่อยู่รับหันไปหาแล้วยิ้มให้พี่ชายด้วยความดีใจ ที่ไม่ว่าจะกี่ปีกี่หน พี่ใหญ่ก็ไม่เคยลืมเรื่องของฝากให้น้องคนนี้เลย
“ขอบคุณจ้าพี่ใหญ่”
“รีบขนของลงมาเร็วเข้าใหญ่ ลุงจะได้รีบขึ้นไปจัดสรรส่วนแบ่งให้แก”
วสินที่เพิ่งขนของออกจากเก๋งเรือเสร็จหันไปหาธนากรที่เอาแต่โบกไม้โบกมือให้น้องท่าเดียว เพราะเขาใจร้อนอยากจะรีบแบ่งเงินให้ตามสัดส่วนที่เท่าๆ กันหลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว ตามที่เคยตกลงกันไว้ให้ใหญ่ จะได้มีไว้ใช้จ่ายในครอบครัวที่มีเพียงยายคนเดียวเท่านั้น
อันที่จริงเขาจะให้น้อยกว่านั้นก็ไม่น่าเกลียด เพราะเรือเป็นของตัวเอง อีกทั้งธนากรก็เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันเท่านั้น ไม่ได้มีความสัมพันทางสายเลือดใดๆ เลย
แต่เพราะความสงสารที่ธนากรขาดเสาหลักของบ้านตั้งแต่อายุสิบขวบมาแล้ว เขาเลยต้องช่วยเหลือเลี้ยงดูธนากรกับยายยวงมาตั้งแต่นั้น กระทั่งธนากรเรียนจบชั้นประถม เลยไม่เข้าเรียนต่อในระบบปกติ แต่เรียน กศน. แทน
และตอนนี้เขาก็จบชั้นมัธยมปลายแล้ว อีกไม่นานก็จะเรียนต่อระดับปริญญาตรี มสธ. เพราะเป็นคนรักเรียนและขณะเดียวกันก็รักที่จะเป็นชาวประมงไปด้วย
ซึ่งอุดมคตินี้เหมือนกันกับที่วสินมี แต่เรื่องเรียนนั้นวสินมองไม่ค่อยเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเรียนมากแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องลงเรือไปหาปลาอยู่ดี
“ครับลุง”
ตอน: ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง
“พี่หิน! เสร็จหรือยัง เร็วๆ เข้า เดี๋ยวเอ๋ยอดได้เปลือกหอยสวยๆ กันพอดี”
สาวน้อยในชุดกางเกงยีนส์สีเข้มขาสั้นกับเสื้อยืดสีฟ้าอ่อน ยืนท้าวสะเอวอยู่ใต้ถุน มองออกไปยังโอ่งน้ำที่มีผู้พี่กำลังเทน้ำถังสุดท้ายลงตุ่มพอดิบพอดี
“เสร็จแล้วจ้า เร่งจริงเราน่ะ”
หินเลยเงยหน้าไปหา ทำตาเขม็งใส่น้อยๆ แต่แววตาเอ็นดูน้องนั้นมีมากอย่างล้นเหลือ จนวสินกับรำไพที่กำลังช่วยกันเลือกปลาอยู่แคร่สังเกตเห็น เลยส่งประโยคเอ็ดลูกน้อยๆ ไปหา
“นั่นสิเอ๋ย เร่งพี่หินจัง เก็บเมื่อไหร่ก็เก็บได้แค่เปลือกหอยเอง”
“ถ้าขืนเอ๋ยไปช้า พวกเพื่อนในห้องก็ได้มาแอบเก็บไปหมดก่อนสิจ้ะแม่ ทีนี้เอ๋ยก็จะได้ของไม่สวยทำงานส่งครูกันพอดี”
“งั้นก็รีบๆ พากันไปสิ แล้วก็รีบๆ กลับมาให้ทันกินมื้อเช้านะ ไม่งั้นไม่จะไม่เหลือปลาตะกับต้มน้ำปลาไว้ให้เราแน่ๆ”
“จ้ะแม่! พี่หินไปเร็วๆ เข้า”
สาวน้อยวริญรำไพคว้าถุงผ้าที่กองอยู่บนแคร่ได้ก็รีบกวักมือเรียกพี่ชายไปทันที แต่ตัวเองนั้นเดินนำหน้าไปหลายสิบก้าวแล้วเพราะรีบร้อนเพราะกล้วว่าหอยสวยๆ จะถูกเพื่อนฉกไปก่อน
“แล้วเอ๋ยจะเอาไปทำอะไรส่งอาจารย์ล่ะเปลือกหอยพวกนี้น่ะ”
หินก้มลงเก็บเปลือกเล็กๆ สีขาวที่มีเกลื่อนหาดยื่นให้น้อง ที่เก็บอยู่ไม่ห่างตัวนัก ปากก็ถามไปด้วยความสงสัย เพราะตัวเองไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้จากของในมือพวกนี้
ผิดกับน้องที่เขามักเห็นประดิษฐ์นั่นนี่ไปส่งครูตลอดเวลา เปลือกไม้ต่อเป็นรูปบ้านบ้าง เถาวัลย์ดัดเป็นรูปนั่นนี่บ้างล่ะ ส่วนตัวเขานั้นเรื่องงานพวกนี้ดูเหมือนจะไม่มีในหัวเอาเสียเลย
“ยังไม่รู้เหมือนกัน เก็บไปไว้ให้ได้เยอะๆ ก่อน พี่หินเลือกเอาเปลือกสีสวยๆ นะ สีขาวอย่าเอาเยอะ ให้เอาสีเขียว สีฟ้า สีชมพู สีเหลือง”
“จ้าๆๆ สั่งจริงนะเราน่ะ”
กระนั้นเขาก็ยังส่งยิ้มไปหาร่างผอมๆ เล็กๆ ที่นั่งยองๆ เลือกหอยอย่างขมักเขม้นอยู่ดี แล้วจู่ๆ ก้อนเท่ากำปั้นที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็เต้นตึกตักขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
สายตาก็จับจ้องอยู่กับใบหน้าเล็กเรียวรูปไข่ ผมสั้นเลยติ่งหูไปนิดเดียว ผิวแก้มสีน้ำผึ้งก็ป่องน่ารักในความรู้สึก มือเล็กๆ ที่เขาเห็นคอยช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านสารพัดก็เป็นอะไรที่น่าหวงแหนในความคิด
“พี่หินจำอะไรได้บ้างหรือยัง”
จู่ๆ คำถามนี้ของสาวน้อยตรงหน้า ก็ทำเอาภวังค์เขาแตกตื่น จนต้องรีบก้มลงไปเก็บเปลือกหอยแก้เก้อ ปากก็ถามกลับไปอย่างนั้น
“ยังเลย เอ๋ยถามทำไมเหรอ หรือเบื่อพี่แล้วอยากให้พี่จำอะไรได้ไวๆ จะได้หนีกลับบ้านเหรอ”
“เปล่าจ้ะ เอ๋ยแค่สงสัย เหมือนที่พ่อกับแม่สงสัยว่าพี่หินมาอยู่กับพวกเราได้หกเดือนแล้ว แต่ยังจำอะไรไม่ได้เลย”
วริญรำไพหยุดงานเก็บหอยเอาไว้ แล้วนั่งจ้องมองพี่ชายที่สายตาไล่ดูเปลือกหอยอยู่ห่างออกไปหลายก้าวอย่างพินิจพิเคราะห์ จนสังเกตเห็นว่า จากตอนแรกที่เห็นพี่ตรงโขดหินนั้น ผิวพี่ขาวจนซีด
แต่ตอนนี้ผิวกลายเป็นสีคล้ำเพราะตากแดดไปเรียบร้อยแล้ว เลยยิ้มออกมาทันที ผู้พี่เงยหน้ามาเห็นพอดี เลยโยนก้อนหินเล็กๆ มาตกลงใกล้ตัวน้อง
“ขำอะไรเหรอ หรือเห็นพี่เป็นตัวตลก”
“ป่าวสักหน่อย”
น้องปฏิเสธพร้อมกับยิ้ม ก่อนจะลุกเดินไปหาเปลือกหอยต่อ ผู้พี่ก็ลุกตามบ้าง แล้วช่วยเอาถุงมือในมือน้องมาถือไว้เอง น้องเลยหันไปหาอีกรอบ
“แล้วถ้าพี่หินจำอะไรได้หมดแล้ว พี่หินจะกลับบ้านหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ”
เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้อยากจะจำอะไรขึ้นมาได้หรือเปล่า ด้วยชีวิตบนเกาะแห่งนี้ กับสองครอบครัวนี้ กับการยึดอาชีพหาปลาขายพอได้เงินมาประทังชีวิตก็มีความสุขดีอยู่แล้ว
เขาไม่รู้และไม่อาจจะคาดเดาได้ว่า ชีวิตของตัวเองเบื้องหลังความทรงจำที่เลือนหายไปนั้น จะเป็นยังไง จะสุข จะทุกข์มากน้อยแค่ไหน จะมีพ่อแม่พี่น้องกี่คน จะยากจนหรือว่าร่ำรวย
รู้แต่ว่าตอนนี้เขาชอบและพึงพอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่แบบนี้แล้ว และไม่อยากจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่อยากได้อะไรเพิ่มเติมแล้ว แม้กระทั่งความทรงจำที่ไม่หลงเหลืออยู่ก็ตามที
“เอ๋ยไม่อยากให้พี่หินจำอะไรได้หรอก”
“ทำไมล่ะ” เขาหันไปหาน้องที่ก้มเลือกเปลือกหอยไปด้วย ปากบอกไปด้วย
“ก็เอ๋ยไม่อยากให้พี่หินไปอยู่ที่อื่นไง เอ๋ยไม่มีเพื่อนเล่น ไม่มีคนช่วยเก็บเปลือกหอย แล้วก็ไม่มีคนช่วยสอนการบ้านด้วย พี่หินเก่งเลข เก่งวิทย์ แล้วก็เก่งอีกหลายๆ วิชาเลย”
“เอ๋ยก็มีใหญ่ช่วยอยู่ไง”
“พี่ใหญ่ชอบบ่นเวลาเอ๋ยชวนมาเก็บเปลือกหอย เก็บเปลือกไม้ แล้วก็บ่น แถมดุเวลาสอนการบ้านเอ๋ยด้วย พอเอ๋ยโกรธพี่ใหญ่ค่อยสอนดีๆ เอ๋ยเบื่อ”
เพราะทั้งสองเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพี่น้อง ที่รักกันบ้าง ทะเลาะกันบ้างมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วก็ว่าได้ แม้วริญรำไพจะเบื่อพี่ใหญ่ยังไง แต่ก็ไม่มีเพื่อนที่ไหนให้เล่นอยู่ดี เพราะบ้านห่างจากบ้านคนอื่นมาก
เลยจำต้องเล่นกับพี่ใหญ่คนเดียวเท่านั้น แต่พอมีพี่หินมาอยู่ด้วย และพี่หินมักจะไม่ทำในสิ่งที่น้องไม่ชอบ เลยกลับกลายเป็นว่าน้องมีตัวเลือกใหม่ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วมีความสุขกว่า
“แต่ใหญ่ก็ซื้อขนมมาฝากเอ๋ยทุกครั้งเวลาเรือเข้าฝั่งนะ”
“พี่หินก็ซื้อมาฝากเอ๋ยเหมือนกัน แล้วพี่หินก็ไม่เคยดุเวลาสอนการบ้านเอ๋ยด้วย พี่หินซักผ้าของตัวเองแถมยังช่วยเอ๋ยซักอีก ช่วยล้างจานช่วยถูบ้าน ช่วยกางมุ้งให้พ่อกับแม่ด้วย”
“แล้วใหญ่ไม่เคยช่วยหรือไงจ้ะเมื่อก่อนน่ะ”
“ช่วย! แต่บ่นก่อนแล้วค่อยช่วย เอ๋ยเลยเบื่อพี่ใหญ่ แล้วก็รักพี่ใหญ่น้อยกว่ารักพี่หินเยอะๆ ด้วย”
หนุ่มน้อยที่ร่างผอมสูงเกือบจะทำเปลือกหอยตกจากมือเมื่อหูได้ยินคำนี้ออกมา ใบหน้าหล่อเหลาเงยไปหาเจ้าของประโยคทันควัน
เขากลับเห็นแต่คนตรงหน้าก้มมองเปลือกหอยอย่างใจจดจ่อ และไม่ได้สนใจกับคำที่บอกออกมาเป็นพิเศษเลย จึงตัดสินใจย้ำถามอีกเพื่อหาข้อสังเกตสนับสนุนความคิดของตัวเอง
“เอ๋ยรักพี่มากกว่าใหญ่จริงๆ เหรอ”
“ใช่ พี่ไปดูของลงเรือก่อนนะ”
แล้วทุกคนก็ต้องรีบกินรีบแยกย้ายไปช่วยกันหอบข้าวของไปลงเรือ พอเสร็จสรรพตรงฝั่งก็มีเพียงหินกับวริญรำไพเท่านั้นที่ยืนส่งพ่อแม่แล้วก็ใหญ่ ส่วนยายยวงเข้านอนก่อนเพราะปวดหัว
“เป็นห่วงลูกจังพี่” และทั้งสองไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่ามีผู้แม่ห่วงใยมากแค่ไหน
“จะห่วงทำไมล่ะไพ อีกไม่กี่วันเราก็กลับแล้ว ดีซะอีกจะได้มีหินคอยดูแลเวลาเราไม่อยู่ พี่ว่ามันปลอดภัยกว่าให้ลูกอยู่กับยายแค่สองคนเท่านั้นนะ อีกอย่างบ้านเราก็ไม่มีอะไรสักหน่อย ขโมยขโจนก็ไม่เคยมี รีบไปเข้านอนเอาแรงเถอะจะได้ตื่นมาช่วยพี่กับใหญ่มัน”
อีกครั้งที่วสินเห็นว่าเมียวิตกกังวลมากไป เลยไม่ได้ให้ความสนใจมากไปกว่าท้องทะเลกว้างเบื้องหน้าที่เขาควบเรือตรงไป เป้าหมายคือแหล่งที่มีปลาชุกชุม และแข่งขันกับเรือเพื่อนบ้านคนอื่นๆ
เพื่อให้ได้กุ้งหอยปูปลากลับบ้านไปให้ได้มากที่สุด จะได้เอาไปขายแล้วมีเงินมาใช้จ่ายในบ้าน และเก็บไว้ยามฉุกเฉินบ้างเล็กๆ น้อยๆ
แล้วเขาก็ไม่ผิดหวังเลยสักนิด ที่เวลาอวนขึ้นแต่ละครั้งก็มีสิ่งที่อยากได้ติดมาด้วยเป็นกอบเป็นกำทำให้หายเหนื่อย และยิ่งหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเรือเทียบท่าแล้วนำมาซึ่งเงินเป็นของแลกเปลี่ยนกับปลาในเรือ
“พี่จ๊ะ ไพอยากซื้อเสื้อผ้ากับของกินเข้าบ้านด้วยจังเลย”
รำไพหันไปหาสามี “เอาสิ พี่ก็ว่าจะไปหาซื้อของไว้ปะอวนเหมือนกัน งั้นอีกชั่วโมงเรามาเจอกันที่เรือนะ ใหญ่ไปกับป้านะจะได้ช่วยหิ้วของ”
“จ้ะลุง”
หนุ่มร่างใหญ่สมชื่อทำตามอย่างว่าง่าย ส่วนวสินก็เดินลัดเลาะไปหาร้านประจำ แต่ระหว่างทางก็เห็นสองชายหนุ่มแต่งกายด้วยกางเกงยีนส์สีเข้ม เสื้อยืดสีดำ หมวกดำและแว่นตาดำกำลังเดินไปถามผู้คนในตลาดอย่างเอาเป็นเอาตาย และตรงดิ่งมาหาเขาทันทีเมื่อทั้งสองหันมาเห็น
“พี่ครับขอโทษทีนะครับ ไม่ทราบว่าเคยเห็นคนในรูปนี้บ้างหรือเปล่าครับ”
ทั้งสองยื่นรูปให้ดู วสินแทบไม่ต้องคิดนานก็รู้ว่านั่นคือ ‘หิน’ คนที่เขาช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อสองเดือนก่อนนั่นเอง แต่ด้วยความหวาดระแวงในตัวสองหนุ่มแปลกหน้า
อีกทั้งความไม่อยากเสียหิน ที่ดูเหมือนจะกลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้คนในบ้าน และอาจจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญถ้าถึงเวลาที่วสินพาออกเรือไปหาปลาแทนเมียในเที่ยวหน้าตามที่ตั้งใจไว้แล้ว
“ไม่เคยเลยครับ”
ทำให้วสินตอบออกไปอย่างไม่ยากเย็นนัก “ไม่เคยเห็นเลยเหรอครับพี่ ลองคิดดีๆ หน่อยสิครับ เผื่อจะเคยผ่านหูผ่านตา หรือเคยมีใครรู้จักบ้าง” สองหนุ่มไม่ยอมแพ้
วสินทำเป็นเอารูปขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้ง ทำท่าพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ย “เกาะนี้ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย แล้วผมก็รู้จักคนทุกคนบนเกาะนี้ ถ้ามีคนแปลกหน้ามาอยู่ผมหรือทุกคนในเกาะจะต้องรู้”
สองหนุ่มหันหน้าไปมองกันอย่างครุ่นคิด วสินเลยรีบสร้างความไขว้เขวให้อีกด้วยกัน “ผมว่าคุณลองไปดูเกาะอื่นดีกว่า อย่าเสียเวลาเลย ต่อให้คุณสองคนเที่ยวไปถามคนทั่วเกาะ ก็จะได้คำตอบแบบเดียวกับผมนี่ล่ะ”
แล้วก็เดินผละไปจากสองหนุ่ม โดยไม่เหลียวหลังกลับมามองอีก กระทั่งสองหนุ่มตัดสินใจเดินเคียงคู่กันไปทางท่าเรือ วสินจังหันไปยิ้มน้อยๆ ให้กับไหวพริบตัวเอง
“พี่หินเสร็จหรือยัง เร็วๆ เข้า เดี๋ยวจะไม่ทันพ่อกับแม่เอาเรือเข้าฝั่งนะ”
สาวน้อยวริญรำไพที่กำลังถูบ้านอยู่ ตะโกนลงไปหาอีกคนที่กำลังตักน้ำใส่โอ่งอย่างเร่งรีบไม่แพ้กัน
“ใกล้เสร็จแล้วๆ ว่าแต่เอ๋ยเถอะถูกบ้านใกล้เสร็จหรือยังล่ะมาเร่งพี่น่ะ”
“เอ๋ยเสร็จแล้วต่างหากล่ะ ว่าแต่พี่หินเหอะตักน้ำเต็มโอ่งหรือยัง” สาวน้อยเดินลงมาตามบันไดเล็กๆ แล้วยืนเอามือท้าวสะเอวอยู่ตรงใต้ถุนบ้าน ปากก็ร้องไปหาคนที่ยืนอยู่ตรงโอ่ง
“เสร็จเรียบร้อย” หินเทน้ำถังสุดท้ายเสร็จก็เต็มพอดิบพอดี
“งั้นเรารีบไปกัน เดี๋ยวไม่ทันพ่อกับแม่ แล้วเราก็จะได้กินขนมอร่อยๆ ด้วย” มือเล็กๆ ควักเรียกผู้พี่ไปอย่างเร่งรีบ “รู้ได้ยังไงว่าจะมีขนมน่ะ”
ผู้พี่ที่กำลังเอามือวิดน้ำในโอ่งล้างหน้าตา แขนขาอยู่ถามน้องอย่างไม่กระตือรือล้นนัก เพราะขนมกับวัยของเขาดูเหมือนจะห่างไกลกันยังไงไม่รู้
“อ้าว! ก็แม่จะต้องซื้อมาฝากเอ๋ยเวลาขึ้นฝั่งเอาปลาไปขายที่ตลาดทุกทีเลยไงล่ะ เร็วเข้าๆ มัวแต่ล้างตัวอยู่นั่นล่ะ” มือเล็กๆ กวักเรียกพี่อย่างระอาในความช้าไม่ทันใจ
“รู้แล้วๆ เร่งจริงเราน่ะ”
“ยายจ๋าเอ๋ยกับพี่หินจะไปรับพ่อกับแม่กับพี่ใหญ่นะจ๊ะ เดี๋ยวมาจ้า”
สาวน้อยร้องสั่งยายที่นั่งเลือกปลาแห้งอยู่ใต้ถุนอีกบ้านทันที และไม่รอให้ยายตอบรับใดๆ ก็รีบวิ่งนำหน้าผู้พี่ไปหาชายหาดแล้ว ทั้งสองเดินลัดเลาะไปตามแนวต้นไม้ใหญ่น้อยไม่นาน
ก็ถึงจุดที่พ่อจะต้องเอาเรือขึ้นเรียบร้อยแล้ว วริญรำไพใช้มือป้องแสงแดดแล้วมองออกไปหาทะเลกว้างอยู่ครู่หนึ่ง “พี่หิน! โน่นไง! พ่อกับแม่มาแล้ว!!!”
ก็ร้องตะโกนให้คนข้างๆ มองไปยังทิศทางที่มือชี้ไป เพราะเรือของพ่อแล่นอ้อมเกาะเล็กๆ เข้ามาพอดี รองเท้าแตะที่สวมอยู่ถูกสาวน้อยสบัดทิ้งทันที
“พ่อจ๋า แม่จ๋า! เอ๋ยอยู่นี่!!!”
แล้ววิ่งออกไป ปากก็ตะโกนเรียก แม้เรือของพ่อแม่จะอยู่ไกลยังไงแต่สาวน้อยก็ตะโกนอยู่ดี เพราะคิดถึงพ่อกับแม่ไม่น้อย หินเห็นแล้วก็อดยิ้มออกมาอย่างเป็นสุขใจไม่ได้
จนอดวิ่งไปยืนข้างๆ สาวน้อยไม่ได้ แต่ไม่ได้ตะโกนออกไปเท่านั้น เพราะรู้ดีว่าคนในเรือไม่มีทางจะได้ยินแน่ และก็อดสงสัยไม่ได้จนต้องหันไปถามเจ้าของใบหน้าเล็กๆ น่ารักๆ
“เอ๋ยมารอรับพ่อกับแม่ทุกครั้งเหรอ”
“ถ้าตรงกับวันที่เอ๋ยไม่ได้ไปเรียน เอ๋ยก็จะมาทุกครั้งจ้ะ พ่อกับแม่แล้วก็พี่ใหญ่จะดีใจเวลาเห็นเอ๋ยมารอรับแบบนี้ บางทียายก็มาเป็นเพื่อนด้วย”
ทำเอาคนพี่นึกสนุกขึ้นมาครามครัน เพราะนี่น่าจะเป็นประสบการณ์ใหม่ ที่ตัวเองอาจจะไม่เคยเจอมา หรือถ้าเจอก็อาจจะจำไม่ได้ “พี่อยากออกเรือไปหาปลาบ้างจัง”
“พี่ก็ขอพ่อสิจ๊ะ แล้วพี่หาปลาเป็นเหรอ” ปากตอบพี่ แต่ตามองเรือพ่อกับแม่ มือก็โบกไปมารอด้วยความดีใจ
“ไม่เป็นเลย” ส่วนพี่ทำเสียงอ่อย หน้าจ๋อย เพราะตัวเองไม่รู้วิธีออกเรือหาปลาสักนิดเดียว
น้องหันมาหาแล้วยิ้มให้พี่ พร้อมกับเสนอในสิ่งที่คิดว่าพี่จะต้องได้จากพ่อเป็นแน่ เพราะรู้ว่าพ่อใจดี “ก็ให้พ่อกับพี่ใหญ่สอนสิจ๊ะ”
“ลุงจะสอนพี่เหรอ ใหญ่ด้วย ท่าทางดุจะตายพี่ไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้”
“พ่อสอนพี่หินอยู่แล้ว พี่ใหญ่ก็เป็นแบบนั้นล่ะ ปากร้ายแต่ใจดีนะ” เพราะบ่อยครั้งที่มักจะเล่นกับใหญ่แล้วทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ใหญ่ก็ต้องยอมน้องทุกครั้งในตอนท้าย นั่นเลยทำให้น้องไม่คิดถือโทษโกรธพี่นัก
“ก็คงจะอย่างนั้น”
“ว่าแต่พี่จะอยากออกเรือไปหาปลาทำไมล่ะ”
“อ้าว! ตอนกลับมาจะได้เห็นเอ๋ยมายืนรอรับอยู่ตรงนี้ไงล่ะ ว่าแต่เอ๋ยจะมารับพี่มั้ย”
“มารับสิจ๊ะ ใครออกเรือเอ๋ยก็มารับทั้งนั้นล่ะจ้ะ” เพราะมักจะมีของฝากมาใส่มือด้วยครั้งด้วย นั่นทำให้สาวน้อยตื่นเต้นได้ไม่เคยเบื่อ
“จริงนะ” ใบหน้าคมคายหันไปมองคนข้างๆ อย่างอยากรู้
“จริงสิจ๊ะ แต่พี่หินต้องสัญญาว่าจะซื้อขนมมาฝากเอ๋ยด้วยนะ” สาวน้อยเลยได้โอกาสขอข้อแลกเปลี่ยนทันที ทำเอาอีกฝ่ายยิ้มร่าออกมาอย่างเป็นสุขใจ
“ได้เลย เอ๋ยอยากจะกินอะไรบอกพี่เลย รับรองพี่ซื้อมาฝากแน่”
“แม่จ๋า! พ่อจ๋า! เอ๋ยอยู่ทางนี้”
สาวน้อยส่งยิ้มให้ผู้พี่แล้วหันไปโบกมือให้พ่อกับแม่ที่แล่นเรือเข้าฝั่งเรียบร้อยแล้วทันที หินรีบวิ่งลงไปช่วยลากเชือกมาล่ามไว้กับต้นไม้ใหญ๋อย่างไม่เกี่ยงงอน แล้วก็รีบช่วยขนของออกจากเรือโดยไม่ต้องรอให้ใครบอก
“เอ๋ย! คิดถึงจังเลยลูกสาวแม่”
รำไพอ้าแขนรอรับร่างลูกสาวคนเดียวที่โผเข้าไปหาอย่างเป็นสุขใจ รวมทั้งวสินและสองหนุ่มด้วยที่เป็นสุขไม่แพ้กัน กับภาพแม่ลูกผูกพันตรงหน้า
“แม่ซื้อขนมมาฝากเอ๋ยหรือเปล่าจ๊ะ”
“มีเยอะแยะเลยจ้ะลูก แม่ซื้อเสื้อผ้ามาฝากเอ๋ยฝากยายแล้วก็ฝากหินด้วยนะ งั้นเราหิ้วของขึ้นบ้านก่อนแล้วค่อยดูนะ”
“จริงเหรอจ๊ะแม่ ไชโย้! เห็นมั้ยพี่หิน บอกแล้วว่าจะมีของฝากก็ไม่เชื่อ” สาวน้อยหันไปหาพี่ที่หอบของเต็มอกเดินลุยน้ำจากเรือมาหาฝั่งพร้อมกับยิ้มให้น้องเป็นการยอมแพ้
“พี่ก็ซื้อขนมมาฝากเอ๋ยด้วยนะ”
ธนากรตะโกนบอกมา แม้ตัวจะยังอยู่บนเรือก็ตาม สาวน้อยที่มืออีกข้างจูงมือแม่อยู่รับหันไปหาแล้วยิ้มให้พี่ชายด้วยความดีใจ ที่ไม่ว่าจะกี่ปีกี่หน พี่ใหญ่ก็ไม่เคยลืมเรื่องของฝากให้น้องคนนี้เลย
“ขอบคุณจ้าพี่ใหญ่”
“รีบขนของลงมาเร็วเข้าใหญ่ ลุงจะได้รีบขึ้นไปจัดสรรส่วนแบ่งให้แก”
วสินที่เพิ่งขนของออกจากเก๋งเรือเสร็จหันไปหาธนากรที่เอาแต่โบกไม้โบกมือให้น้องท่าเดียว เพราะเขาใจร้อนอยากจะรีบแบ่งเงินให้ตามสัดส่วนที่เท่าๆ กันหลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว ตามที่เคยตกลงกันไว้ให้ใหญ่ จะได้มีไว้ใช้จ่ายในครอบครัวที่มีเพียงยายคนเดียวเท่านั้น
อันที่จริงเขาจะให้น้อยกว่านั้นก็ไม่น่าเกลียด เพราะเรือเป็นของตัวเอง อีกทั้งธนากรก็เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันเท่านั้น ไม่ได้มีความสัมพันทางสายเลือดใดๆ เลย
แต่เพราะความสงสารที่ธนากรขาดเสาหลักของบ้านตั้งแต่อายุสิบขวบมาแล้ว เขาเลยต้องช่วยเหลือเลี้ยงดูธนากรกับยายยวงมาตั้งแต่นั้น กระทั่งธนากรเรียนจบชั้นประถม เลยไม่เข้าเรียนต่อในระบบปกติ แต่เรียน กศน. แทน
และตอนนี้เขาก็จบชั้นมัธยมปลายแล้ว อีกไม่นานก็จะเรียนต่อระดับปริญญาตรี มสธ. เพราะเป็นคนรักเรียนและขณะเดียวกันก็รักที่จะเป็นชาวประมงไปด้วย
ซึ่งอุดมคตินี้เหมือนกันกับที่วสินมี แต่เรื่องเรียนนั้นวสินมองไม่ค่อยเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเรียนมากแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องลงเรือไปหาปลาอยู่ดี
“ครับลุง”
ตอน: ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง
“พี่หิน! เสร็จหรือยัง เร็วๆ เข้า เดี๋ยวเอ๋ยอดได้เปลือกหอยสวยๆ กันพอดี”
สาวน้อยในชุดกางเกงยีนส์สีเข้มขาสั้นกับเสื้อยืดสีฟ้าอ่อน ยืนท้าวสะเอวอยู่ใต้ถุน มองออกไปยังโอ่งน้ำที่มีผู้พี่กำลังเทน้ำถังสุดท้ายลงตุ่มพอดิบพอดี
“เสร็จแล้วจ้า เร่งจริงเราน่ะ”
หินเลยเงยหน้าไปหา ทำตาเขม็งใส่น้อยๆ แต่แววตาเอ็นดูน้องนั้นมีมากอย่างล้นเหลือ จนวสินกับรำไพที่กำลังช่วยกันเลือกปลาอยู่แคร่สังเกตเห็น เลยส่งประโยคเอ็ดลูกน้อยๆ ไปหา
“นั่นสิเอ๋ย เร่งพี่หินจัง เก็บเมื่อไหร่ก็เก็บได้แค่เปลือกหอยเอง”
“ถ้าขืนเอ๋ยไปช้า พวกเพื่อนในห้องก็ได้มาแอบเก็บไปหมดก่อนสิจ้ะแม่ ทีนี้เอ๋ยก็จะได้ของไม่สวยทำงานส่งครูกันพอดี”
“งั้นก็รีบๆ พากันไปสิ แล้วก็รีบๆ กลับมาให้ทันกินมื้อเช้านะ ไม่งั้นไม่จะไม่เหลือปลาตะกับต้มน้ำปลาไว้ให้เราแน่ๆ”
“จ้ะแม่! พี่หินไปเร็วๆ เข้า”
สาวน้อยวริญรำไพคว้าถุงผ้าที่กองอยู่บนแคร่ได้ก็รีบกวักมือเรียกพี่ชายไปทันที แต่ตัวเองนั้นเดินนำหน้าไปหลายสิบก้าวแล้วเพราะรีบร้อนเพราะกล้วว่าหอยสวยๆ จะถูกเพื่อนฉกไปก่อน
“แล้วเอ๋ยจะเอาไปทำอะไรส่งอาจารย์ล่ะเปลือกหอยพวกนี้น่ะ”
หินก้มลงเก็บเปลือกเล็กๆ สีขาวที่มีเกลื่อนหาดยื่นให้น้อง ที่เก็บอยู่ไม่ห่างตัวนัก ปากก็ถามไปด้วยความสงสัย เพราะตัวเองไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้จากของในมือพวกนี้
ผิดกับน้องที่เขามักเห็นประดิษฐ์นั่นนี่ไปส่งครูตลอดเวลา เปลือกไม้ต่อเป็นรูปบ้านบ้าง เถาวัลย์ดัดเป็นรูปนั่นนี่บ้างล่ะ ส่วนตัวเขานั้นเรื่องงานพวกนี้ดูเหมือนจะไม่มีในหัวเอาเสียเลย
“ยังไม่รู้เหมือนกัน เก็บไปไว้ให้ได้เยอะๆ ก่อน พี่หินเลือกเอาเปลือกสีสวยๆ นะ สีขาวอย่าเอาเยอะ ให้เอาสีเขียว สีฟ้า สีชมพู สีเหลือง”
“จ้าๆๆ สั่งจริงนะเราน่ะ”
กระนั้นเขาก็ยังส่งยิ้มไปหาร่างผอมๆ เล็กๆ ที่นั่งยองๆ เลือกหอยอย่างขมักเขม้นอยู่ดี แล้วจู่ๆ ก้อนเท่ากำปั้นที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็เต้นตึกตักขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
สายตาก็จับจ้องอยู่กับใบหน้าเล็กเรียวรูปไข่ ผมสั้นเลยติ่งหูไปนิดเดียว ผิวแก้มสีน้ำผึ้งก็ป่องน่ารักในความรู้สึก มือเล็กๆ ที่เขาเห็นคอยช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านสารพัดก็เป็นอะไรที่น่าหวงแหนในความคิด
“พี่หินจำอะไรได้บ้างหรือยัง”
จู่ๆ คำถามนี้ของสาวน้อยตรงหน้า ก็ทำเอาภวังค์เขาแตกตื่น จนต้องรีบก้มลงไปเก็บเปลือกหอยแก้เก้อ ปากก็ถามกลับไปอย่างนั้น
“ยังเลย เอ๋ยถามทำไมเหรอ หรือเบื่อพี่แล้วอยากให้พี่จำอะไรได้ไวๆ จะได้หนีกลับบ้านเหรอ”
“เปล่าจ้ะ เอ๋ยแค่สงสัย เหมือนที่พ่อกับแม่สงสัยว่าพี่หินมาอยู่กับพวกเราได้หกเดือนแล้ว แต่ยังจำอะไรไม่ได้เลย”
วริญรำไพหยุดงานเก็บหอยเอาไว้ แล้วนั่งจ้องมองพี่ชายที่สายตาไล่ดูเปลือกหอยอยู่ห่างออกไปหลายก้าวอย่างพินิจพิเคราะห์ จนสังเกตเห็นว่า จากตอนแรกที่เห็นพี่ตรงโขดหินนั้น ผิวพี่ขาวจนซีด
แต่ตอนนี้ผิวกลายเป็นสีคล้ำเพราะตากแดดไปเรียบร้อยแล้ว เลยยิ้มออกมาทันที ผู้พี่เงยหน้ามาเห็นพอดี เลยโยนก้อนหินเล็กๆ มาตกลงใกล้ตัวน้อง
“ขำอะไรเหรอ หรือเห็นพี่เป็นตัวตลก”
“ป่าวสักหน่อย”
น้องปฏิเสธพร้อมกับยิ้ม ก่อนจะลุกเดินไปหาเปลือกหอยต่อ ผู้พี่ก็ลุกตามบ้าง แล้วช่วยเอาถุงมือในมือน้องมาถือไว้เอง น้องเลยหันไปหาอีกรอบ
“แล้วถ้าพี่หินจำอะไรได้หมดแล้ว พี่หินจะกลับบ้านหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ”
เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้อยากจะจำอะไรขึ้นมาได้หรือเปล่า ด้วยชีวิตบนเกาะแห่งนี้ กับสองครอบครัวนี้ กับการยึดอาชีพหาปลาขายพอได้เงินมาประทังชีวิตก็มีความสุขดีอยู่แล้ว
เขาไม่รู้และไม่อาจจะคาดเดาได้ว่า ชีวิตของตัวเองเบื้องหลังความทรงจำที่เลือนหายไปนั้น จะเป็นยังไง จะสุข จะทุกข์มากน้อยแค่ไหน จะมีพ่อแม่พี่น้องกี่คน จะยากจนหรือว่าร่ำรวย
รู้แต่ว่าตอนนี้เขาชอบและพึงพอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่แบบนี้แล้ว และไม่อยากจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่อยากได้อะไรเพิ่มเติมแล้ว แม้กระทั่งความทรงจำที่ไม่หลงเหลืออยู่ก็ตามที
“เอ๋ยไม่อยากให้พี่หินจำอะไรได้หรอก”
“ทำไมล่ะ” เขาหันไปหาน้องที่ก้มเลือกเปลือกหอยไปด้วย ปากบอกไปด้วย
“ก็เอ๋ยไม่อยากให้พี่หินไปอยู่ที่อื่นไง เอ๋ยไม่มีเพื่อนเล่น ไม่มีคนช่วยเก็บเปลือกหอย แล้วก็ไม่มีคนช่วยสอนการบ้านด้วย พี่หินเก่งเลข เก่งวิทย์ แล้วก็เก่งอีกหลายๆ วิชาเลย”
“เอ๋ยก็มีใหญ่ช่วยอยู่ไง”
“พี่ใหญ่ชอบบ่นเวลาเอ๋ยชวนมาเก็บเปลือกหอย เก็บเปลือกไม้ แล้วก็บ่น แถมดุเวลาสอนการบ้านเอ๋ยด้วย พอเอ๋ยโกรธพี่ใหญ่ค่อยสอนดีๆ เอ๋ยเบื่อ”
เพราะทั้งสองเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพี่น้อง ที่รักกันบ้าง ทะเลาะกันบ้างมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วก็ว่าได้ แม้วริญรำไพจะเบื่อพี่ใหญ่ยังไง แต่ก็ไม่มีเพื่อนที่ไหนให้เล่นอยู่ดี เพราะบ้านห่างจากบ้านคนอื่นมาก
เลยจำต้องเล่นกับพี่ใหญ่คนเดียวเท่านั้น แต่พอมีพี่หินมาอยู่ด้วย และพี่หินมักจะไม่ทำในสิ่งที่น้องไม่ชอบ เลยกลับกลายเป็นว่าน้องมีตัวเลือกใหม่ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วมีความสุขกว่า
“แต่ใหญ่ก็ซื้อขนมมาฝากเอ๋ยทุกครั้งเวลาเรือเข้าฝั่งนะ”
“พี่หินก็ซื้อมาฝากเอ๋ยเหมือนกัน แล้วพี่หินก็ไม่เคยดุเวลาสอนการบ้านเอ๋ยด้วย พี่หินซักผ้าของตัวเองแถมยังช่วยเอ๋ยซักอีก ช่วยล้างจานช่วยถูบ้าน ช่วยกางมุ้งให้พ่อกับแม่ด้วย”
“แล้วใหญ่ไม่เคยช่วยหรือไงจ้ะเมื่อก่อนน่ะ”
“ช่วย! แต่บ่นก่อนแล้วค่อยช่วย เอ๋ยเลยเบื่อพี่ใหญ่ แล้วก็รักพี่ใหญ่น้อยกว่ารักพี่หินเยอะๆ ด้วย”
หนุ่มน้อยที่ร่างผอมสูงเกือบจะทำเปลือกหอยตกจากมือเมื่อหูได้ยินคำนี้ออกมา ใบหน้าหล่อเหลาเงยไปหาเจ้าของประโยคทันควัน
เขากลับเห็นแต่คนตรงหน้าก้มมองเปลือกหอยอย่างใจจดจ่อ และไม่ได้สนใจกับคำที่บอกออกมาเป็นพิเศษเลย จึงตัดสินใจย้ำถามอีกเพื่อหาข้อสังเกตสนับสนุนความคิดของตัวเอง
“เอ๋ยรักพี่มากกว่าใหญ่จริงๆ เหรอ”
กันเกรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ก.ย. 2558, 20:01:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ก.ย. 2558, 20:01:13 น.
จำนวนการเข้าชม : 848
<< ชีวิตที่คล้ายฝัน ๑๐๐% | รักแรก ๑๐๐% >> |