ตราบฟ้าไร้ดาว
พี่หิน หนุ่มน้อยนิรนาม ผู้มามอบโลกใบใหม่ที่สดใสสวยงามให้น้องเอ๋ย และจากไปพร้อมกับโลกใบนั้น
ทิ้งไว้แต่โลกมืด โลกไร้สุขและสิ้นหวังเอาไว้ให้
น้องสาวที่เขาเองก็รักปานดวงใจ


‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’

‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’

‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’


วรินรำไพ หรือ เอ๋ย หญิงสาวผู้ไม่หลงเหลือหัวใจให้ใครได้แล้ว
นอกจาก 'พี่หิน' คนเดียวเท่านั้น


“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”

น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”

“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”

ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน

“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”

ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”

กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย

และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”


ชลธิป จิระธนานนท์ หรือ คุณร๊อค
ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ผู้ที่หวนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักปานดวงใจ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งวินาทีสุดท้าย



“นรกสำหรับคุณไง!”

เขาคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วกระชากตามตัวไปอย่างแรง

“เงียบทำไม! ถึงเวลาที่คุณจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้แล้ว ว่าคุณทำยังไงถึงได้รอดจากการติดคุก ถ้าเหตุผลเพียงเพราะคุณอยากได้ตัวผม เงินผม คุณก็บอกมาดีๆ สิ ผมจะจัดให้!”

“...”

“เงียบทำไม! คุณบอกผมมาสิว่าทำไม! ตอบผมมาให้ได้! ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณเอง! ตอบผมมา!!!”

ประตูห้องเปิดออกได้ ร่างผอมบางก็ถูกกระชากแขนอย่างแรงเข้าไปในห้องจนกระแทกกับตู้เสื้อผ้า ทว่าวริญรำไพก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา นอกจากมีน้ำตาไหลรินอาบสองแก้มเท่านั้น

“คุณพูดไม่ออกเหรอ! หรือบอกผมไม่ถูกว่าคุณใช้วิธีไหน ถึงได้รอดคุกมา!”

“ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”

“ผมไม่โง่พอที่จะเชื่อคำของคุณ เหมือนพ่อผม เหมือนพ่อตาผม เหมือนทนายนั่น หรือเหมือนไอ้หน้าโง่คนไหนทั้งนั้น เพราะผมรู้ดีว่าคุณมันแผนสูง คุณมันเก่งเรื่องมารยาสาไถจนผมเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้ว บอกผมมาสิ ว่าคุณไปทำอีท่าไหนทุกคนถึงได้เชื่อคุณนัก คุณลงทุนเอาตัวไปประเคนให้ถึงเตียง เหมือนที่ประเคนให้ไอ้ล่ำนั่นหรือเปล่า!!!”

“ฉันเปล่า คุณกำลังเข้าในฉันผิด”

“ใช่! ผมเข้าใจคุณผิด ผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าคุณมันเป็นคนดี! คนซื่อ คนสะอาดบริสุทธิ์! แต่ตอนนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคุณมันเลวยังไง! คดยังไง! สปรกแค่ไหน! ในตัวคุณมันเต็มไปด้วยคราบคาวของผู้ชายรวยๆ กี่สิบคนแล้ว หรือกี่เที่ยวแล้วล่ะ คุณถึงได้พ้นผิด คุณไปแบให้ตั้งแต่ร้อยเวรที่โรงพักยันไอ้ทนายมือหนึ่งนั่นเลยหรือเปล่า! พวกเขาถึงได้เชื่อ จนปล่อยให้คุณออกมายืนหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะทำให้ผมเชื่อเหมือนคนพวกนั้นบ้างแล้วล่ะ”

“ไม่จริง! ฉันไม่เคยทำอะไร คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น!”

“ผมไม่เชื่อ!!! หรือถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ก็ให้ผมพิสูจน์สิ! ว่าคุณมันบริสุทธิ์จริง! อย่าดีแต่เสแสร้ง!” เขาเข้าไปจับสองไหล่เหวี่ยงไปหาเตียง

“โอ๊ย!!!”

จนร่างผอมๆ ร้องด้วยความจุก “คุณเจ็บเหรอ! แค่นี้มันยังน้อยไป! มันยังไม่สาสมที่คุณทำให้ผมเจ็บ! ต่อไปนี้คุณก็เชิญมีชีวิตอยู่ในขุมนรกกับผมก็แล้วกัน!”

ร่างเล็กๆ ถูกร่างใหญ่ๆ ล็อกไว้กับเตียงทันที ปากก็ร้องขอ อ้อนวอนต่อเขาทั้งน้ำตา “อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่า!!!”

“นี่เป็นคือคำพิพากษาสูงสุดจากผมสำหรับผู้หญิงชั่วอย่างคุณ!!!”

“อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำ...”

เรี่ยวแรงในกายที่เคยมีตอนนี้หดหายไปหมดแล้ว เมื่อถูกอีกกายตรึงไว้กับเตียงใหญ่ แล้วระดมจูบอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จนเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเขายื่นความจำนงค์ให้รู้อย่างโจ่งแจ้ง

“อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่าทำอย่างนี้กับฉัน!!!”

“อย่ามาขอชีวิตจากยมบาลอย่างผม! เพราะไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรแน่!!! คุณต้องตาย! และต้องตายทั้งเป็นด้วย!!!”


ดลยา นิติพงษ์พาณิชย์ หรือ คุณย่า
สาวผู้เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และมีเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เพราะเธอนั้นแสนดีจนเป็นที่เลื่องชื่อ
จนได้หัวใจของชลธิปไปครอบครอง


“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”

พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน

“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”

ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”

“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”

ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน


อติรัตน์ จิระธนานนท์
ผู้หญิงที่กุมชะตากรรมทุกคนไว้ในมือ
ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น
นอกจากหน้าตาทางสังคม ความเหมาะสม และผลประโยชน์


“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนกับฉันให้มากความหรอก!! เท่าไหร่บอกมา!!!”

“ห้าล้านพอมั้ย!!!” อติรัตน์รีบยื่นข้อเสนอ

“ถ้าน้อยไปก็สิบล้าน!!! แล้วเธอก็ต้องปิดปากให้เงียบ!!! อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!!!”

“งั้นก็ยี่สิบล้าน! ค่าช่วยชีวิตลูกฉัน อีกสิบล้าน! สำหรับเธอที่ต้องปิดปากเงียบ อีกสิบล้าน! สำหรับการเดินไปจากชีวิตลูกฉันซะ และอีกสิบล้าน! สำหรับการไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาหาลูกฉันอีก ทั้งหมดห้าสิบล้าน!!! ฉันว่าเธอรวมคนทั้งเกาะหาไปตลอดชาติก็ไม่มีทางได้เห็นเงินก้อนนี้ด้วยซ้ำ”

“ว่าไง!! จะเอาหรือไม่เอา! อย่ามาลีลาเพื่อจะขึ้นค่าปิดปากนะฉันไม่ชอบ! หรืออยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา! ฉันจะชดใช้ให้!!!”

“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกมาอยากได้เท่าไหร่ฉันจะจ่าย!!!”

“อย่ามาตีฝีปากกับฉัน!!! เธออยากได้อะไรฉันจะชดใช้ให้!!!”

“บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่! ฉันจะจ่ายให้!!! แล้วรีบไสหัวออกไปจากชีวิตพวกฉันสักที!!! ฉันเบื่อที่จะต้องตามแก้ปัญหาที่เธอคอยตามสร้างให้เต็มทีแล้ว!!!”

“ทำไมฉันต้องสนด้วย!!!”




==========================================================

สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

หนึ่งคอมเม้นต์คือหนึ่งแรกผลักดันและกำลังใจของคนเขียนนะคะ
แต่ยินดีต้อนรับนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ

นิยายของกันเกราเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับ สนพ. ยินดีจะลงให้อ่านจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนทำสัญญาแล้ว ขออนุญาตลงแค่ครึ่งเดียวนะคะ

ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้เรื่อยมา
ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: รักแรก ๑๐๐%

“จริงสิ! เอ๋ยถึงไม่อยากให้พี่หินจำอะไรได้ไง จะได้ไม่ต้องหนีเอ๋ยไปไหนอีก เอ๋ยจะได้มีเพื่อนเล่น มีคนคอยช่วยทำงานแล้วก็คอยสอนการบ้านเอ๋ยด้วย”

ใบหน้าหินเจื่อนลงน้อยๆ ด้วยความผิดหวังนิดๆ ที่คำว่า ‘รัก’ จากปากน้องนั้นดูเหมือนจะเป็นเพียง ‘รัก’ ทั่วๆ ไป รักแบบพี่ๆ น้องๆ เท่านั้น

และด้วยความที่รู้ดีว่าน้องอายุเพิ่งจะสิบสามปีครึ่ง คงยังเด็กเกินไปที่จะตีความหมายของคำว่า ‘รัก’ ออกได้อย่างชัดเจน ผิดกับตัวเองที่สามารถแยกแยะออกได้แล้วว่า ‘รัก’ นั้นมีกี่แบบ

‘พี่ก็รักเอ๋ย’

เขาเลยเลือกที่จะกลืนคำนี้เอาไว้ในใจเพียงคนเดียว และคาดหวังว่าถ้าชีวิตยังคงดำเนินอยู่แบบนี้ กับครอบครัวนี้ และกับน้องต่างสายเลือดคนนี้ต่อไป

เขาจะได้เอ่ยมันออกมาดังๆ ในสักวันอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เขาจะดื่มด่ำกับความสุขของบทบาทพี่ชายที่แสนดี ให้กับน้องสาวผู้แสนจะน่ารักคนนี้ไปก่อน จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมกว่านี้เท่านั้น



“เจ้าใหญ่อยู่ไหนล่ะพี่สิน บ้านเงียบเชียว”

รำไพที่หิ้วมะพร้าวแห้งติดมือมาด้วยสามลูก ชะเง้อคอมองไปยังบ้านอีกหลัง ปากก็ถามสามีตาก็สอดส่องหาสองยายหลาน สินหันไปมองเมียแล้วตอบ

“เห็นว่าพายายไปหาหลวงพ่อที่วัดนะแกอยากให้เจ้าใหญ่บวชแกบนที่แกหายปวดหัว ปวดขาน่ะ เพิ่งเอาเรือออกตะกี้น่ะ ไพมีอะไรกับมันล่ะ” แล้วถึงได้ก้มลงมองไปยังหลัวเพื่อใช้เชือกไนล่อนเย็บรอยแตกเสริมไว้จะได้ใช้งานให้นานกว่านี้อีก


==========================



“อ้าวแล้วกัน! ไพว่าจะให้ไปตลาดซื้อสาคูกับผงวุ้นมาให้หน่อย ลูกสาวพี่บ่นอยากกินมาสามวันแล้ว ไพก็ไม่ว่างทำให้สักที จะไปเองก็ยังปะอวนไม่เสร็จ ไหนจะต้องเตรียมของไว้ออกเรืออีก”

“ก็ให้ไอ้หินไปซื้อสิ ตลาดใกล้แค่นี้เอง เสร็จแล้วก็นั่งรถต่อไปรับเอ๋ยด้วยเลย พอถึงก็คงจะพอดีสอบเสร็จ กลับมาคงดีใจที่ไพจะทำของอร่อยให้”

วสินแนะนำโดยไม่ได้คิดอะไรมากมาย ผิดกับรำไพที่หันไปมองสามีด้วยความสงสัย ส่วนอีกหนุ่มที่นั่งปะหลัวอยู่ไม่ห่างแค่นั่งฟังผู้ใหญ่คุยกันเงียบๆ เท่านั้น

“จะดีเหรอพี่ เจ้าหินไม่เคยไปตลาดคนเดียวสักที เกิดขึ้นรถผิดหรือลงผิดที่จะว่ายังไงล่ะ”

แม้ใจจะไม่ได้ห่วงเรื่องนี้นัก หากแต่ห่วงเรื่องที่ไม่อยากปล่อยให้ลูกอยู่ใกล้กับหินบ่อยเกินไปมากกว่า แต่รำไพก็ไม่กล้าพูดตรงๆ ออกมา

“จะผิดยังไงล่ะไพก็ ไอ้หินน่ะไปกับพี่ไปกับไพหรือไปกับไอ้ใหญ่มาหลายสิบรอบแล้วนะตลาดกับโรงเรียนน่ะ คนแถวนั้นก็รู้ว่ามันเป็นญาติห่างๆ พี่ ใครจะทำอะไรมันได้”

“แน่ใจเหรอพี่ ไพยังไม่เคยเห็นเจ้าหินไปไหนคนเดียวเลยสักครั้งตั้งแต่มาอยู่ที่นี่”

“อ้าว! ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ ไอ้หินไม่ได้เป็นคนโง่นะจะได้ไปไหนเองไม่เป็น อยู่นี่ตั้งแปดเก้าเดือนแล้ว มันคุ้นที่คุ้นทางหมดแล้วล่ะ หรือไพจะไปเองล่ะ”

==========================

“ไปได้ยังไงล่ะก็บอกว่าไม่ว่าง พี่ก็”

รำไพเคืองสามีน้อยๆ แต่ก็เดินไปคว้ากระเป๋าผ้าดิบบนบ้านที่มีเงินของครอบครัวทั้งหมดอยู่ในนั้น ตาก็มองเงินในมือ ปากก็สั่งอีกคนอย่างเลี่ยงไม่ได้

“หินลุกไปล้างเนื้อล้างตัว แล้วไปซื้อของกับรับน้องให้ป้าทีไป้”

“ครับป้า”

หินรีบรับคำแล้วลุกเดินไปหาโอ่งหลังบ้านทันที พอล้างเนื้อตัวเสร็จก็ขึ้นไปคว้าเสื้อผ้าชุดเก่งที่เป็นสมบัติแท้ๆ ของเขาที่มีติดตัวเพียงชุดเดียวมาใส่ทันควัน ก่อนจะเดินลงไปนั่งบนแคร่ข้างๆ รำไพ

“ไปร้านเจ้เนืองที่ป้าเคยพาไปครั้งก่อนนะ ซื้อสาคูที่เป็นเม็ดๆ สีผสมกันหลายสีมาสองถุง วุ้นอีกสี่ถุง น้ำตาทรายสามกิโล ถ้ามีแตงไทสุกๆ พอดีกินก็เอามาด้วยสักสองลูก ถ้าไม่มีไม่เป็นไร แล้วก็นั่งรถเลยไปรับน้องที่โรงเรียนด้วย”

“ครับป้า”

“เสร็จแล้วก็รีบกลับมานะ อย่าพาน้องเถลไถลไปไหนเด็ดขาด ป้าจะให้กลับมาปอกมะพร้าวแล้วก็ขูดให้ด้วย เย็นนี้จะแกงส้มออดิบปลากระบอกให้กิน เงินที่เหลือก็ซื้อขนมกินกับน้องได้ แต่อย่าซื้อกินหมดจนลืมเก็บไว้เป็นค่าสองแถวกลับบ้านล่ะ”

“ครับป้า”

“ดีมาก เอาเงินใส่กระเป๋ากางเกงดีๆ ล่ะ เดี๋ยวจะหล่นหายหมด ใส่กระเป๋าหน้านะอย่าใส่ข้างหลัง”

“ครับป้า”


หินรับเงินสามร้อยใส่กระเป๋าเล็กๆ ด้านหน้าอย่างว่าง่าย แล้วรีบเดินตรงไปหาถนนใหญ่หน้าบ้านที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรด้วยความอารมณ์ดี ผิดกับรำไพที่ออกแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด

=======================

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่าไพ เจ้าหินมันดูแลตัวเองได้” วสินเลยเงยหน้ามาเตือนด้วยใบหน้ายิ้มน้อยๆ แต่เมียก็ไม่ได้ยินตาม นอกจากขยับไปนั่งใกล้ๆ สามีก่อนเอ่ย

“ไพไม่ได้ห่วงตรงนั้นหรอกพี่ แต่ไพห่วงที่ว่าทำไมพี่ถึงชอบปล่อยให้เจ้าหินได้อยู่ใกล้ๆ ลูกเรานักนะ ลูกเรากำลังจะเป็นสาวนะ เจ้าหินก็เป็นหนุ่มรู้จักอะไรต่อมิอะไรมากแล้วด้วย”

“ไพเลยกลัวว่าลูกเรากับเจ้าหินจะรักกันว่างั้น”

“หรือพี่ไม่กลัวล่ะ”

“จะกลัวทำไมล่ะ เราก็สอดส่องดูอยู่ห่างๆ ตลอด เจ้าหินก็เป็นคนดีไม่เคยทำอะไรไม่ดีไม่งามกับลูกเรา อีกอย่างลูกเราน่ะยังเด็กเกินกว่าจะคิดเรื่องพวกนี้นะไพ”

“ว่าได้เหรอพี่ น้ำมันใกล้ไฟใครเขาให้ทำกันล่ะ อีกอย่างเจ้าหินเป็นใครมาจากไหนก็ไม่มีใครรู้ เกิดลูกเรารักขึ้นมาแล้วเจ้าหินจำอะไรได้ขึ้นมาไม่ทิ้งให้ลูกเราเสียใจแย่เหรอ”


“โอ๊ย! คงอีกหลายปีกว่าลูกเราจะคิดเรื่องนั้นได้ อีกอย่างนะ เจ้าหินคงไม่คิดจะไปไหนแล้วล่ะพี่ว่า ไม่เห็นเหรอว่าวันๆ มันติดลูกเราจะตาย ดูท่ามันก็มีความสุขกับชีวิตแบบนี้ด้วย ต่อให้ความจำมันกลับคืนมา มันก็คงจะลืมพวกเราหรือลืมลูกเราไม่ลงหรอก แต่ถ้าให้เลือกได้ พี่อยากให้มันอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ดีกว่า”

=======================

“พี่ก็เตรียมมีเจ้าหินเป็นลูกเขยแทนเจ้าใหญ่เลยก็แล้วกัน”

“ก็ดีสิ! เจ้าหินไม่มีอะไรเสียหายตรงไหนนอกจากความจำเสื่อมเท่านั้น ว่าแต่ไพเหอะมาพูดมาคิดแบบนี้ แต่เด็กๆ ไม่ได้คิดตาม ระวังจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอกเอานะ”

“ก็ไพห่วงนี่นา”

“ห่วงก็ให้ดูอยู่ห่างๆ อย่าแสดงออกมากเกินไป หรืออย่ากีดกันสองคนนั้นมาเกินไป เพราะนั่นยิ่งจะทำให้อยากอยู่ด้วยกันมากขึ้น สู้ปล่อยๆ ไปตามเรื่องดีกว่า ไม่เคยได้ยินที่เขาว่าเหรอ”

“อะไรล่ะพี่”

“ก็ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุน่ะสิ สู้ปล่อยๆ บ้างๆ ดูๆ บ้างดีกว่า เชื่อพี่สิ”



“พี่หิน!!! มาตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะ แล้วมาทำอะไรที่นี่ แล้วมาคนเดียวเหรอจ๊ะ”

สาวน้อยวริญรำไพเดินแกมวิ่งพร้อมเป้สะพายหลังตรงมาหาพี่ที่หิ้วถุงเต็มมือรออยู่หน้าโรงเรียนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ส่วนพี่ยิ้มแป้นให้น้องทันทีที่เห็นเช่นกัน


“ป้าให้พี่มาซื้อของในตลาดไปทำขนมให้เอ๋ยกินก่อนออกเรือ แล้วก็ให้เลยมารับเอ๋ยกลับบ้านด้วย” มือก็รีบยื่นถุงขนมที่ซื้อจากตลาดให้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่แพ้กัน

===============

“อะไรเหรอจ้ะ” แม้ปากจะถามแต่มือก็รับถุงกระดาษจากพี่มาทันที

“เปิดดูสิ”

“จำปาดะทอด! โห! ดีจังเลยจ้ะพี่หิน เอ๋ยกำลังหิวพอดี แล้วก็เหนื่อยด้วยกว่าจะสอบเสร็จปวดหัวแทบแย่”

“เหรอ แล้วทำได้หรือเปล่า”

เพราะรู้ดีว่าน้องเรียนไม่เก่งมากมายอะไร โดยเฉพาะวิชาคณิตกับวิทยาศาสตร์ที่น้องมักจะส่ายหน้าเวลาพี่สอนการบ้านตลอดเวลา

“คงได้มั้ง แต่ยากจะตาย เอ๋ยเบื่อเลข เบื่อวิทย์”

“แต่ก็ต้องเรียนนะ เอาเป้มาสิพี่จะใส่ของแล้วจะได้สะพายให้ด้วย เดี๋ยวรถจะมาก่อน”

น้องเอาปากคาบชิ้นจำปาดะไว้อีกมือก็ถือถุง อีกมือก็ปลดเป้ออกจากหลัง โดยมีพี่คอยช่วยอีกแรง พอเป้หลุดออกจากหลังได้ น้องก็เดินสองก้าวไปนั่งขอนไม้ที่มักจะใช้เป็นที่นั่งรอรถสองแถวแล้วกินของในถุงอย่างเอร็ดอร่อย


ส่วนพี่ก็นั่งยองๆ หันหลังให้ถนนเพื่อเอาถุงพลาสติกที่มีของอยู่หลายอย่างวางไว้กับพื้นแล้วไล่มัดปากถุงเพื่อจะใส่ในเป้ โดยไม่ได้สนใจอะไรหรือใครเท่าไหร่นัก แม้กระทั่งรถสองแถว

=================

“พี่หิน!!! รถเลยไปโน้นแล้ว!!!”

“อ้าว!!! ทำไมเอ๋ยไม่โบกไว้ล่ะ กว่าจะมาอีกทีก็เกือบเป็นชั่วโมงเลยนะ” พี่หันกลับไปหาถนนทันได้มองเห็นท้ายสองแถววิ่งหายไปตรงโค้งพอดี

“อ้าว!!! ถ้าเอ๋ยเรียกไว้แล้วพี่หินยังเก็บของไม่เสร็จ เราก็ขึ้นรถไม่ได้อยู่ดี ทำไมมาโทษเอ๋ยล่ะ”

น้องเลยแก้ตัวไปเรื่อยและไม่เดือดร้อนใดๆ แต่ยังคงจ้องถุงแล้วกินต่ออย่างอร่อย ผิดกับพี่ที่เป็นกังวลเพราะกลัวจะกลับถึงบ้านช้า

“แล้วจะทำยังไงดีล่ะ กว่าจะมาก็ตั้งนาน”

“จะยากอะไรล่ะพี่หิน เราก็เดินลัดเลาะไปตามแนวป่าไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึงบ้านเราเองล่ะ”

“พี่น่ะไหว แต่เราน่ะสิไหวหรือเปล่าล่ะ”

“สบายมาก เมื่อก่อนเอ๋ยเคยเดินกับแม่ตั้งหลายหน งั้นเราไปกันนะ”

“เอ๋ยจำทางได้เหรอ”

“ทำไมจะจำไม่ได้ เกาะบ้านเรามีถนนแค่เส้นเดียว เดินอ้อมไปเรื่อยๆ เราก็จะกลับมายืนอยู่หน้าโรงเรียนนี้เหมือนเดิม บ้านเรากับโรงเรียนอยู่ครึ่งกลางระหว่างเกาะพอดี เดินไปเรื่อยๆ ตัดเนินลูกโน๊นนนน เดี๋ยวก็ถึงบ้านเองล่ะ ตามมาเร็วๆ สิ อย่าช้านะเดี๋ยวจะค่ำ”


น้องที่ได้ขนมไปหลายชิ้นจนอิ่มแปล้เดินข้ามถนนลาดยางเล็กๆ ตรงไปหาแนวป่าเลียบชายหาดนำหน้าพี่ไปด้วยท่าทีสดใสร่าเริงไม่น้อย เพราะกำลังวาดภาพที่ตัวเองเดินไปกับพี่ชายไว้อย่างสนุกสนาน เหมือนตอนที่เคยเดินกลับบ้านกับแม่เมื่อสองสามปีก่อน เพราะไม่มีเงินค่าสองแถว

==================

แต่สองปีก่อนสาวน้อยไม่ได้กินขนมไปชนิดอิ่มแปล้จนทำให้จุกแบบนี้ และแม่ก็ยังมีขวดน้ำเล็กๆ ติดกระเป๋ามาไว้ให้ดื่มแก้กระหายด้วย “พี่หินมีน้ำมาด้วยหรือเปล่าจ๊ะ”

“ไม่มีหรอกเลย เอ๋ยหิวเหรอ”

“ใช่! แล้วเอ๋ยก็เหนื่อยด้วย เมื่อคืนเอ๋ยมัวแต่ท่องหนังสือสอบเลยได้นอนนิดเดียวเอง”

“แล้วจะทำยังไงดีล่ะ อีกไกลหรือเปล่ากว่าจะถึงบ้าน”

หินมองไปมาระหว่างถนนใหญ่กับแนวป่าที่จะต้องเดินกลับ คะเนระยะทางแล้วน่าจะเพิ่งเดินมาได้ยังไม่ถึงกิโลเมตรด้วยซ้ำ หันไปมองน้องอีกทีก็กำลังนั่งเกาะเถาวัลย์เครือใหญ่ๆ เอาไว้อย่างอ่อนแรง

“เอ๋ยไม่รู้! เอ๋ยเคยเดินมากับแม่เมื่อก่อนมันไม่ได้ไกลอย่างนี้นี่นา เอ๋ยหิวน้ำด้วยล่ะพี่หิน จะทำยังไงดีล่ะ”

“แล้วเอ๋ยจะเดินไปต่อไหวหรือเปล่า”

“ไม่รู้เหมือนกัน เอ๋ยเหนื่อยแล้วเอ๋ยก็หิวน้ำด้วยพี่หิน จะทำยังไงดีเอ๋ยเดินไม่ไหวแล้ว”

เห็นน้องทำหน้าเศร้าๆ เหมือนจะร้องไห้ พี่ชายเลยปลดเป้ออกจากหลังแล้วเดินเข้านั่งยองๆ อยู่ใกล้ๆ แล้วปลอบขวัญด้วยความสงสาร


“ไม่เป็นไรหรอกเอ๋ยอย่าร้องไห้ นั่งพักให้หายเหนื่อยแล้วก็ตั้งสติดีๆ ถ้าหนทางข้างหน้าที่เราจะเดินไปมันไกลมาก จนเราคิดว่าจะเดินไปไม่ไหว เราก็ควรจะกลับไปตรงจุดเดิมที่เราจากมา แล้วดูว่าเราควรจะเอายังไงกับก้าวต่อไปของเรา”

================

“หมายถึงเราต้องเดินกลับไปหน้าโรงเรียนเหมือนเดิมเหรอจ๊ะ”

“ใช่ เอ๋ยเดินไหวหรือเปล่า เรายังมาไม่ไกลหรอกมั้ง”

“ไหวจ้ะ”

“งั้นก็กลับไปถนนกัน จะได้โบกรถกลับบ้าน”

หินสะพายเป้ขึ้นบ่าตามเดิม ก่อนจะยื่นมือให้น้องเกาะ “พี่หินจ๋า เอ๋ยปวดท้อง แล้วก็เหนื่อยด้วย” แต่เดินไปได้ไม่กี่สิบก้าวน้องสาวก็นั่งตัวงออยู่ตรงป่าด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อนกว่าที่หินเคยเห็นมา

“งั้นขี่หลังพี่เอาหรือเปล่า ใกล้ๆ ถนนแล้วค่อยลง” พี่เลยตัดสินใจเสนอ ส่วนน้องที่นั่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเพราะความไม่แน่ใจ

“ก็ได้”

แต่สุดท้ายก็ตอบตกลง พี่เลยต้องปลดเป้ออกจากตัว ไปใส่หลังน้องไว้ แล้วย่อกายลงให้น้องขึ้นขี่อย่างไม่เกี่ยงงอนใดๆ

“โห! เห็นตัวแค่นี้ไม่เบาเลยนะเรา กินข้าววันละกี่กะละมังกันฮึ!”

“เอ๋ยป่าวกินเยอะสักหน่อย พี่หินอย่าบ่นสิ กลับบ้านไปเอ๋ยจะแบ่งขนมที่แม่ทำให้ครึ่งหนึ่งเลย เป็นการตอบแทนที่ให้เอ๋ยขี่หลังนะ”


“จะคอยดู นั่งดีๆ สิเอ๋ย อย่ากระดุกกระดิก เดี๋ยวพี่พาล้มนะ ตัวเราไม่เบาเลย”

================

“ก็ได้ๆ บ่นจัง”

“แล้วห้ามชวนพี่คุยด้วย เดี๋ยวหมดแรงก่อน”

“ก็ได้”

แล้วน้องก็เกาะหลังพี่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เพราะสบายกว่าเดินเองเป็นไหนๆ “พรุ่งนี้ตอนพี่หินออกเรือแล้ว เอ๋ยจะไปเก็บเปลือกหอยมารอเยอะๆ นะ พอพี่หินกลับมาเราจะมาทำอัลบั้มรูปกัน” ในหัวก็คิดโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย

“อืม! ก็ได้”

ส่วนพี่นั้นไม่อยากพูดเพราะอยากถนอมแรงเอาไว้ให้เดินถึงถนน “แล้วเราก็เอามาทำเป็นรูปต่างๆ ใส่ฝากล่องแข็งๆ หรือไม่ก็ทำเป็นโมบายเอาไปขายให้ร้านในตลาด พี่หินต้องช่วยเอ๋ยนะ”

“อืม! ก็ได้”

“พอได้เงินแล้วเอ๋ยจะแบ่งไว้ให้พี่หินครึ่งหนึ่ง แต่พี่หินต้องสัญญาก่อนนะว่าจะซื้อขนมให้เอ๋ยกินตอนมารับเอ๋ยที่หน้าโรงเรียน”

“อืม! ก็ได้”

“เอ๋ยจะทำโมบายสวยๆ ให้พี่หินเป็นการตอบแทนนะ”

“อืม! ก็ได้”

“แล้วเราก็เอาเงินมาหย่อนกระปุก....”


แล้วน้องสาวที่อยู่บนหลังก็จ้อไม่ยอมหยุด กระทั่งพี่พากลับถึงถนน นั่งรอรถสองแถวก็ยังไม่ยอมหยุด “รถมาแล้วพี่หิน” เสียงน้องถึงได้เงียบลง



กันเกรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ก.ย. 2558, 20:04:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ก.ย. 2558, 20:04:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 855





<< หนุ่มน้อยนิรนาม ๑๐๐%   รักเกินจะปกปิดไว้ในใจ ๑๐๐% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account